Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā |
ทุกมาติกาปทวณฺณนา
Dukamātikāpadavaṇṇanā
๑-๖. มูลเฎฺฐนาติ สุปฺปติฎฺฐิตภาวสาธเนน มูลภาเวน, น ปจฺจยมตฺตเฎฺฐน เหตุธมฺมา เหตู ธมฺมาติ สมาสาสมาสนิเทฺทสภาโว ทฺวินฺนํ ปาฐานํ วิเสโสฯ ตเถวาติ สมฺปโยคโตวฯ สเหตุกานํ เหตุสมฺปยุตฺตภาวโต ‘‘สมฺปโยคโต’’ติ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํ, น สหสทฺทสฺส สมฺปโยคตฺถตฺตาฯ สห-สโทฺท ปน เอกปุเญฺช อุปฺปาทโต ยาว ภงฺคา สเหตุกานํ เหตูหิ สมานเทสคหณานํ เหตุอาทิสพฺภาวํ ทีเปติ, สมฺปยุตฺต-สโทฺท เอกุปฺปาทาทิวเสน สห เหตูหิ เอกีภาวุปคมนํ, ตโต เอว จ ทฺวินฺนํ ทุกานํ นานตฺตํ เวทิตพฺพํฯ ธมฺมนานตฺตาภาเวปิ หิ ปทตฺถนานเตฺตน ทุกนฺตรํ วุจฺจติฯ น หิ เหตุทุกสงฺคหิเตหิ ธเมฺมหิ อเญฺญ สเหตุกทุกาทีหิ วุจฺจนฺติ, เต เอว ปน สเหตุกาเหตุกาทิภาวโต สเหตุกทุกาทีหิ วุตฺตาฯ เอวํ สเหตุกทุกสงฺคหิตา เอว เหตุสมฺปยุตฺตวิปฺปยุตฺตภาวโต เหตุสมฺปยุตฺตทุเกน วุตฺตาฯ น หิ ธมฺมานํ อวุตฺตตาเปกฺขํ ทุกนฺตรวจนนฺติ นตฺถิ ปุนรุตฺติโทโสฯ เทเสตพฺพปฺปการชานนญฺหิ เทสนาวิลาโส ตถา เทสนาญาณญฺจาติฯ เตน ธมฺมานํ ตปฺปการตา วุตฺตา โหติฯ สกเลกเทสวเสน ปฐมทุกํ ทุติยตติเยหิ สทฺธิํ โยเชตฺวา จตุตฺถาทโย ตโย ทุกา วุตฺตาฯ สกลญฺหิ ปฐมทุกํ ทุติยทุเกกเทเสน สเหตุกปเทน ตติยทุเกกเทเสน เหตุสมฺปยุตฺตปเทน จ โยเชตฺวา ยถากฺกมํ จตุตฺถปญฺจมทุกา วุตฺตา, ตถา ปฐมทุเกกเทสํ นเหตุปทํ สกเลน ทุติยทุเกน โยเชตฺวา ฉฎฺฐทุโก วุโตฺตฯ อิทมฺปิ สมฺภวตีติ เอเตน อวุตฺตมฺปิ สมฺภววเสน ทีปิตนฺติ ทเสฺสติฯ สมฺภโว หิ คหณสฺส การณนฺติฯ ยถา เหตุสเหตุกาติ อิทํ สมฺภวตีติ กตฺวา คหิตํ, เอวํ เหตุอเหตุกาติ อิทมฺปิ สมฺภวตีติ กตฺวา คเหตพฺพเมวาติ เอวํ อญฺญตฺถาปิ โยเชตพฺพํฯ
1-6. Mūlaṭṭhenāti suppatiṭṭhitabhāvasādhanena mūlabhāvena, na paccayamattaṭṭhena hetudhammā hetū dhammāti samāsāsamāsaniddesabhāvo dvinnaṃ pāṭhānaṃ viseso. Tathevāti sampayogatova. Sahetukānaṃ hetusampayuttabhāvato ‘‘sampayogato’’ti vuttanti veditabbaṃ, na sahasaddassa sampayogatthattā. Saha-saddo pana ekapuñje uppādato yāva bhaṅgā sahetukānaṃ hetūhi samānadesagahaṇānaṃ hetuādisabbhāvaṃ dīpeti, sampayutta-saddo ekuppādādivasena saha hetūhi ekībhāvupagamanaṃ, tato eva ca dvinnaṃ dukānaṃ nānattaṃ veditabbaṃ. Dhammanānattābhāvepi hi padatthanānattena dukantaraṃ vuccati. Na hi hetudukasaṅgahitehi dhammehi aññe sahetukadukādīhi vuccanti, te eva pana sahetukāhetukādibhāvato sahetukadukādīhi vuttā. Evaṃ sahetukadukasaṅgahitā eva hetusampayuttavippayuttabhāvato hetusampayuttadukena vuttā. Na hi dhammānaṃ avuttatāpekkhaṃ dukantaravacananti natthi punaruttidoso. Desetabbappakārajānanañhi desanāvilāso tathā desanāñāṇañcāti. Tena dhammānaṃ tappakāratā vuttā hoti. Sakalekadesavasena paṭhamadukaṃ dutiyatatiyehi saddhiṃ yojetvā catutthādayo tayo dukā vuttā. Sakalañhi paṭhamadukaṃ dutiyadukekadesena sahetukapadena tatiyadukekadesena hetusampayuttapadena ca yojetvā yathākkamaṃ catutthapañcamadukā vuttā, tathā paṭhamadukekadesaṃ nahetupadaṃ sakalena dutiyadukena yojetvā chaṭṭhaduko vutto. Idampi sambhavatīti etena avuttampi sambhavavasena dīpitanti dasseti. Sambhavo hi gahaṇassa kāraṇanti. Yathā hetusahetukāti idaṃ sambhavatīti katvā gahitaṃ, evaṃ hetuahetukāti idampi sambhavatīti katvā gahetabbamevāti evaṃ aññatthāpi yojetabbaṃ.
เอวํ ปฐมทุกํ ทุติยตติยทุเกสุ ทุติยปเทหิ โยเชตฺวา ‘‘เหตู เจว ธมฺมา อเหตุกา จ, อเหตุกา เจว ธมฺมา น จ เหตู, เหตู เจว ธมฺมา เหตุวิปฺปยุตฺตา จ, เหตุวิปฺปยุตฺตา เจว ธมฺมา น จ เหตู’’ติ เย เทฺว ทุกา กาตพฺพา, เตสํ สมฺภววเสเนว สงฺคหํ ทเสฺสตฺวา โข ปน-ปเทน อปเรสมฺปิ ทุกานํ สงฺคหํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺร ยเทต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺราติ ปาฬิยํฯ อยํ อติเรกโตฺถติ อิทานิ ยํ วกฺขติ, ตมตฺถมาหฯ ตตฺถ ปน อเญฺญปิ อญฺญถาปีติ เอเตสํ วิสุํ ปวตฺติยา เทฺว ทุกา ทสฺสิตา, สห ปวตฺติยา ปน อยมฺปิ ทุโก เวทิตโพฺพ ‘‘เหตู เจว ธมฺมา เหตุสมฺปยุตฺตาปิ เหตุวิปฺปยุตฺตาปี’’ติ, เอเตสุ ปน ปญฺจสุ ทุเกสุ ทุติยทุเกน ตติยทุโก วิย, จตุตฺถทุเกน ปญฺจมทุโก วิย จ ฉฎฺฐทุเกน นินฺนานตฺถตฺตา ‘‘น เหตุ โข ปน ธมฺมา เหตุสมฺปยุตฺตาปิ เหตุวิปฺปยุตฺตาปี’’ติ อยํ ทุโก น วุโตฺตฯ ทสฺสิตนินฺนานตฺถนโย หิ โส ปุริมทุเกหีติฯ อิตเรสุ จตูสุ เหตู เจว อเหตุกทุเกน สมานตฺถตฺตา เหตู เจว เหตุวิปฺปยุตฺตทุโก, เหตุสเหตุกทุเกน สมานตฺถตฺตา เหตุเหตุสมฺปยุตฺตทุโก จ นเหตุเหตุสมฺปยุตฺตทุโก วิย น วตฺตโพฺพฯ เตสุ ปน ทฺวีสุ ปจฺฉิมทุเก ‘‘เหตู โข ปน ธมฺมา สเหตุกา’’ติ ปทํ จตุตฺถทุเก ปฐมปเทน นินฺนานากรณตฺตา น วตฺตพฺพํ, ‘‘เหตู โข ปน ธมฺมา อเหตุกา’’ติ ปทํ ‘‘เหตู เจว ธมฺมา อเหตุกา’’ติ เอเตน นินฺนานตฺตา น วตฺตพฺพํฯ อวสิเฎฺฐ ปน เอกสฺมิํ ทุเก ‘‘อเหตุกา เจว ธมฺมา น จ เหตู’’ติ ปทํ ฉฎฺฐทุเก ทุติยปเทน เอกตฺถตฺตา น วตฺตพฺพํฯ อิทานิ ‘‘เหตู เจว ธมฺมา อเหตุกา จา’’ติ อิทเมเวกํ ปทํ อวสิฎฺฐํ, น จ เอเกน ปเทน ทุโก โหตีติ ตญฺจ น วุตฺตนฺติฯ จตุตฺถทุเก ทุติยปเทน ปน สมานตฺถสฺส ฉฎฺฐทุเก ปฐมปทสฺส วจนํ ทุกปูรณตฺถํ, เอเตน วา คติทสฺสเนน สพฺพสฺส สมฺภวนฺตสฺส สงฺคโห กโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา หิ สโพฺพ สมฺภวทุโก ปฐมทุเก ทุติยตติยทุกปเกฺขเปน ทสฺสิโต, เตสุ จ ปฐมทุกปเกฺขเปนาติฯ
Evaṃ paṭhamadukaṃ dutiyatatiyadukesu dutiyapadehi yojetvā ‘‘hetū ceva dhammā ahetukā ca, ahetukā ceva dhammā na ca hetū, hetū ceva dhammā hetuvippayuttā ca, hetuvippayuttā ceva dhammā na ca hetū’’ti ye dve dukā kātabbā, tesaṃ sambhavavaseneva saṅgahaṃ dassetvā kho pana-padena aparesampi dukānaṃ saṅgahaṃ dassetuṃ ‘‘tatra yadeta’’ntiādimāha. Tatrāti pāḷiyaṃ. Ayaṃ atirekatthoti idāni yaṃ vakkhati, tamatthamāha. Tattha pana aññepi aññathāpīti etesaṃ visuṃ pavattiyā dve dukā dassitā, saha pavattiyā pana ayampi duko veditabbo ‘‘hetū ceva dhammā hetusampayuttāpi hetuvippayuttāpī’’ti, etesu pana pañcasu dukesu dutiyadukena tatiyaduko viya, catutthadukena pañcamaduko viya ca chaṭṭhadukena ninnānatthattā ‘‘na hetu kho pana dhammā hetusampayuttāpi hetuvippayuttāpī’’ti ayaṃ duko na vutto. Dassitaninnānatthanayo hi so purimadukehīti. Itaresu catūsu hetū ceva ahetukadukena samānatthattā hetū ceva hetuvippayuttaduko, hetusahetukadukena samānatthattā hetuhetusampayuttaduko ca nahetuhetusampayuttaduko viya na vattabbo. Tesu pana dvīsu pacchimaduke ‘‘hetū kho pana dhammā sahetukā’’ti padaṃ catutthaduke paṭhamapadena ninnānākaraṇattā na vattabbaṃ, ‘‘hetū kho pana dhammā ahetukā’’ti padaṃ ‘‘hetū ceva dhammā ahetukā’’ti etena ninnānattā na vattabbaṃ. Avasiṭṭhe pana ekasmiṃ duke ‘‘ahetukā ceva dhammā na ca hetū’’ti padaṃ chaṭṭhaduke dutiyapadena ekatthattā na vattabbaṃ. Idāni ‘‘hetū ceva dhammā ahetukā cā’’ti idamevekaṃ padaṃ avasiṭṭhaṃ, na ca ekena padena duko hotīti tañca na vuttanti. Catutthaduke dutiyapadena pana samānatthassa chaṭṭhaduke paṭhamapadassa vacanaṃ dukapūraṇatthaṃ, etena vā gatidassanena sabbassa sambhavantassa saṅgaho katoti daṭṭhabbo. Tathā hi sabbo sambhavaduko paṭhamaduke dutiyatatiyadukapakkhepena dassito, tesu ca paṭhamadukapakkhepenāti.
๗-๑๓. สมานกาเลน อสมานกาเลน กาลวิมุเตฺตน จ ปจฺจเยน นิปฺผนฺนานํ ปจฺจยายตฺตานํ ปจฺจยภาวมเตฺตน เตสํ ปจฺจยานํ อตฺถิตํ ทีเปตุํ สปฺปจฺจยวจนํ, น สเหตุกวจนํ วิย สมานกาลานเมว, นาปิ สนิทสฺสนํ วิย ตํสภาวสฺส อนตฺถนฺตรภูตสฺสฯ สงฺขต-สโทฺท ปน สเมเตหิ นิปฺผาทิตภาวํ ทีเปตีติ อยเมเตสํ วิเสโส ทุกนฺตรวจเน การณํฯ เอตฺถ จ อปฺปจฺจยา อสงฺขตาติ พหุวจนนิเทฺทโส อวินิจฺฉิตตฺถปริเจฺฉททสฺสนวเสน มาติกาฐปนโต กโตติ เวทิตโพฺพฯ อุเทฺทเสน หิ กุสลาทิสภาวานํ ธมฺมานํ อตฺถิตามตฺตํ วุจฺจติ, น ปริเจฺฉโทติ อปริเจฺฉเทน พหุวจเนน อุเทฺทโส วุโตฺตติฯ รูปนฺติ รูปายตนํ ปถวิยาทิ วาฯ ปุริมสฺมิํ อตฺถวิกเปฺป รูปายตนสฺส อสงฺคหิตตา อาปชฺชตีติ รุปฺปนลกฺขณํ วา รูปนฺติ อยํ อตฺถนโย วุโตฺตฯ ตตฺถ รูปนฺติ รุปฺปนสภาโวฯ น ลุชฺชติ น ปลุชฺชตีติ โย คหิโต ตถา น โหติ, โส โลโกติ ตํคหณรหิตานํ โลกุตฺตรานํ นตฺถิ โลกตาฯ ทุกฺขสจฺจํ วา โลโก, ตตฺถ เตเนว โลกสภาเวน วิทิตาติ โลกิยาฯ
7-13. Samānakālena asamānakālena kālavimuttena ca paccayena nipphannānaṃ paccayāyattānaṃ paccayabhāvamattena tesaṃ paccayānaṃ atthitaṃ dīpetuṃ sappaccayavacanaṃ, na sahetukavacanaṃ viya samānakālānameva, nāpi sanidassanaṃ viya taṃsabhāvassa anatthantarabhūtassa. Saṅkhata-saddo pana sametehi nipphāditabhāvaṃ dīpetīti ayametesaṃ viseso dukantaravacane kāraṇaṃ. Ettha ca appaccayā asaṅkhatāti bahuvacananiddeso avinicchitatthaparicchedadassanavasena mātikāṭhapanato katoti veditabbo. Uddesena hi kusalādisabhāvānaṃ dhammānaṃ atthitāmattaṃ vuccati, na paricchedoti aparicchedena bahuvacanena uddeso vuttoti. Rūpanti rūpāyatanaṃ pathaviyādi vā. Purimasmiṃ atthavikappe rūpāyatanassa asaṅgahitatā āpajjatīti ruppanalakkhaṇaṃ vā rūpanti ayaṃ atthanayo vutto. Tattha rūpanti ruppanasabhāvo. Na lujjati na palujjatīti yo gahito tathā na hoti, so lokoti taṃgahaṇarahitānaṃ lokuttarānaṃ natthi lokatā. Dukkhasaccaṃ vā loko, tattha teneva lokasabhāvena viditāti lokiyā.
เอวํ สเนฺต จกฺขุวิญฺญาเณน วิชานิตพฺพสฺส รูปายตนสฺส เตเนว นวิชานิตพฺพสฺส สทฺทายตนาทิกสฺส จ นานตฺตา ทฺวินฺนมฺปิ ปทานํ อตฺถนานตฺตโต ทุโก โหติฯ เอวํ ปน ทุเก วุจฺจมาเน ทุกพหุตา อาปชฺชติ, ยตฺตกานิ วิญฺญาณานิ, ตตฺตกา ทุกา วุตฺตา สมตฺตา ฐเปตฺวา สพฺพธมฺมารมฺมณานิ วิญฺญาณานิฯ เตสุ จ ทุกสฺส ปเจฺฉโท อาปชฺชติ, ตถา จ สติ ‘‘เกนจี’’ติ ปทํ สพฺพวิญฺญาณสงฺคาหกํ น สิยา, นิเทฺทเสน จ วิรุทฺธํ อิทํ วจนํฯ โย จ ตตฺถ ‘‘เย เต ธมฺมา จกฺขุวิเญฺญยฺยา, น เต ธมฺมา โสตวิเญฺญยฺยาติ อยํ ทุโก น โหตี’’ติ ปฎิเสโธ กโต, โส จ กถํ ยุเชฺชยฺยฯ น หิ สมตฺถา อฎฺฐกถา ปาฬิํ ปฎิเสเธตุนฺติ, น จ เกนจิ-สทฺทสฺส เตเนวาติ อยํ ปทโตฺถ สมฺภวติ, ‘‘เกนจี’’ติ เอตสฺส อาทิปทสฺส อนิยมิตํ ยํ กิญฺจิ เอกํ ปทโตฺถ, ตํ วตฺวา วุจฺจมานสฺส ‘‘เกนจี’’ติ ทุติยปทสฺส ยํ กิญฺจิ อปรํ อนิยมิตํ ปทโตฺถติ โลกสิทฺธเมตํ, ตเถว จ นิเทฺทโส ปวโตฺต, น เจตฺถ วิญฺญาตพฺพธมฺมเภเทน ทุกเภโท สมโตฺต อาปชฺชติ ยตฺตกา วิญฺญาตพฺพา, ตตฺตกา ทุกาติ, ตสฺมา นตฺถิ ทุกพหุตาฯ น หิ เอกํเยว วิญฺญาตพฺพํ เกนจิ วิเญฺญยฺยํ เกนจิ น วิเญฺญยฺยญฺจ, กินฺตุ อปรมฺปิ อปรมฺปีติ สพฺพวิญฺญาตพฺพสงฺคเห ทุโก สมโตฺต โหติ, เอวญฺจ สติ ‘‘เกนจี’’ติ ปทํ อนิยเมน สพฺพวิญฺญาณสงฺคาหกนฺติ สิทฺธํ โหติ, วิญฺญาณนานเตฺตน จ วิญฺญาตพฺพํ ภินฺทิตฺวา อยํ ทุโก วุโตฺต, น วิญฺญาตพฺพานํ อตฺถนฺตรตายาติฯ เอตสฺส ปน ทุกสฺส นิเกฺขปราสินิเทฺทโส ทุกสงฺคหิตธเมฺมกเทเสสุ ทุกปททฺวยปฺปวตฺติทสฺสนวเสน ปวโตฺตฯ อตฺถุทฺธารนิเทฺทโส นิรวเสสทุกสงฺคหิตธมฺมทสฺสนวเสนาติ เวทิตโพฺพฯ
Evaṃ sante cakkhuviññāṇena vijānitabbassa rūpāyatanassa teneva navijānitabbassa saddāyatanādikassa ca nānattā dvinnampi padānaṃ atthanānattato duko hoti. Evaṃ pana duke vuccamāne dukabahutā āpajjati, yattakāni viññāṇāni, tattakā dukā vuttā samattā ṭhapetvā sabbadhammārammaṇāni viññāṇāni. Tesu ca dukassa pacchedo āpajjati, tathā ca sati ‘‘kenacī’’ti padaṃ sabbaviññāṇasaṅgāhakaṃ na siyā, niddesena ca viruddhaṃ idaṃ vacanaṃ. Yo ca tattha ‘‘ye te dhammā cakkhuviññeyyā, na te dhammā sotaviññeyyāti ayaṃ duko na hotī’’ti paṭisedho kato, so ca kathaṃ yujjeyya. Na hi samatthā aṭṭhakathā pāḷiṃ paṭisedhetunti, na ca kenaci-saddassa tenevāti ayaṃ padattho sambhavati, ‘‘kenacī’’ti etassa ādipadassa aniyamitaṃ yaṃ kiñci ekaṃ padattho, taṃ vatvā vuccamānassa ‘‘kenacī’’ti dutiyapadassa yaṃ kiñci aparaṃ aniyamitaṃ padatthoti lokasiddhametaṃ, tatheva ca niddeso pavatto, na cettha viññātabbadhammabhedena dukabhedo samatto āpajjati yattakā viññātabbā, tattakā dukāti, tasmā natthi dukabahutā. Na hi ekaṃyeva viññātabbaṃ kenaci viññeyyaṃ kenaci na viññeyyañca, kintu aparampi aparampīti sabbaviññātabbasaṅgahe duko samatto hoti, evañca sati ‘‘kenacī’’ti padaṃ aniyamena sabbaviññāṇasaṅgāhakanti siddhaṃ hoti, viññāṇanānattena ca viññātabbaṃ bhinditvā ayaṃ duko vutto, na viññātabbānaṃ atthantaratāyāti. Etassa pana dukassa nikkheparāsiniddeso dukasaṅgahitadhammekadesesu dukapadadvayappavattidassanavasena pavatto. Atthuddhāraniddeso niravasesadukasaṅgahitadhammadassanavasenāti veditabbo.
๑๔-๑๙. จกฺขุโตปิ…เป.… มนโตปีติ จกฺขุวิญฺญาณาทิวีถีสุ ตทนุคตมโนวิญฺญาณวีถีสุ จ กิญฺจาปิ กุสลาทีนมฺปิ ปวตฺติ อตฺถิ, กามาสวาทโย เอว ปน วณโต ยูสํ วิย ปคฺฆรณกอสุจิภาเวน สนฺทนฺติ, ตสฺมา เต เอว ‘‘อาสวา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ตตฺถ หิ ปคฺฆรณกอสุจิมฺหิ นิรุโฬฺห อาสวสโทฺทติฯ ธมฺมโต ยาว โคตฺรภุนฺติ ตโต ปรํ มคฺคผเลสุ อปฺปวตฺติโต วุตฺตํฯ เอเต หิ อารมฺมณกรณวเสน ธเมฺม คจฺฉนฺตา ตโต ปรํ น คจฺฉนฺตีติฯ นนุ ตโต ปรํ ภวงฺคาทีนิปิ คจฺฉนฺตีติ เจ? น, เตสมฺปิ ปุเพฺพ อาลมฺพิเตสุ โลกิยธเมฺมสุ สาสวภาเวน อโนฺตคธตฺตา ตโต ปรตาภาวโตฯ เอตฺถ จ โคตฺรภุวจเนน โคตฺรภุโวทานผลสมาปตฺติปุเรจาริกปริกมฺมานิ วุตฺตานีติ เวทิตพฺพานิ, ปฐมมคฺคปุเรจาริกเมว วา โคตฺรภุ อวธินิทสฺสนภาเวน คหิตํ, ตโต ปรํ มคฺคผลสมานตาย ปน อเญฺญสุ มเคฺคสุ มคฺควีถิยํ ผลสมาปตฺติวีถิยํ นิโรธานนฺตรญฺจ ปวตฺตมาเนสุ ผเลสุ นิพฺพาเน จ ปวตฺติ นิวาริตา อาสวานนฺติ เวทิตพฺพาฯ สวนฺตีติ คจฺฉนฺติฯ ทุวิโธ หิ อวธิ อภิวิธิวิสโย อนภิวิธิวิสโย จฯ อภิวิธิวิสยํ กิริยา พฺยาเปตฺวา ปวตฺตติ ‘‘อาภวคฺคา ภควโต ยโส คโต’’ติ, อิตรํ พหิ กตฺวา ‘‘อาปาฎลิปุตฺตา วุโฎฺฐ เทโว’’ติฯ อยญฺจ อา-กาโร อภิวิธิอโตฺถ อิธ คหิโตติ ‘‘อโนฺตกรณโตฺถ’’ติ วุตฺตํฯ
14-19. Cakkhutopi…pe… manatopīti cakkhuviññāṇādivīthīsu tadanugatamanoviññāṇavīthīsu ca kiñcāpi kusalādīnampi pavatti atthi, kāmāsavādayo eva pana vaṇato yūsaṃ viya paggharaṇakaasucibhāvena sandanti, tasmā te eva ‘‘āsavā’’ti vuccanti. Tattha hi paggharaṇakaasucimhi niruḷho āsavasaddoti. Dhammato yāva gotrabhunti tato paraṃ maggaphalesu appavattito vuttaṃ. Ete hi ārammaṇakaraṇavasena dhamme gacchantā tato paraṃ na gacchantīti. Nanu tato paraṃ bhavaṅgādīnipi gacchantīti ce? Na, tesampi pubbe ālambitesu lokiyadhammesu sāsavabhāvena antogadhattā tato paratābhāvato. Ettha ca gotrabhuvacanena gotrabhuvodānaphalasamāpattipurecārikaparikammāni vuttānīti veditabbāni, paṭhamamaggapurecārikameva vā gotrabhu avadhinidassanabhāvena gahitaṃ, tato paraṃ maggaphalasamānatāya pana aññesu maggesu maggavīthiyaṃ phalasamāpattivīthiyaṃ nirodhānantarañca pavattamānesu phalesu nibbāne ca pavatti nivāritā āsavānanti veditabbā. Savantīti gacchanti. Duvidho hi avadhi abhividhivisayo anabhividhivisayo ca. Abhividhivisayaṃ kiriyā byāpetvā pavattati ‘‘ābhavaggā bhagavato yaso gato’’ti, itaraṃ bahi katvā ‘‘āpāṭaliputtā vuṭṭho devo’’ti. Ayañca ā-kāro abhividhiattho idha gahitoti ‘‘antokaraṇattho’’ti vuttaṃ.
จิรปาริวาสิยโฎฺฐ จิรปริวุตฺถตา ปุราณภาโวฯ อาทิ-สเทฺทน ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ ภวตณฺหายา’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๖๒) อิทํ สุตฺตํ สงฺคหิตํฯ อวิชฺชาสวภวาสวานญฺจ จิรปริวุตฺถตาย ทสฺสิตาย ตพฺภาวภาวีนํ กามาสวทิฎฺฐาสวานญฺจ จิรปริวุตฺถตา ทสฺสิตา โหติฯ อเญฺญสุปิ ยถาวุเตฺต ธเมฺม โอกาสญฺจ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตมาเนสุ มานาทีสุ วิชฺชมาเนสุ อตฺตตฺตนิยาทิคฺคาหวเสน อภิพฺยาปนํ มทกรณวเสน อาสวสทิสตา จ เอเตสํเยว, นาเญฺญสนฺติ เอเตเสฺวว อาสวสโทฺท นิรุโฬฺห ทฎฺฐโพฺพฯ อายตํ วา สวนฺติ ผลนฺตีติ อาสวา ฯ น หิ กิญฺจิ สํสารทุกฺขํ อาสเวหิ วินา อุปฺปชฺชมานํ อตฺถีติฯ อารมฺมณภาเวน เย ธมฺมา วโณ วิย อาสเว ปคฺฆรนฺติ, เต อสมฺปโยเค อตพฺภาเวปิ สห อาสเวหีติ สาสวา, อาสววโนฺตติ อโตฺถฯ
Cirapārivāsiyaṭṭho ciraparivutthatā purāṇabhāvo. Ādi-saddena ‘‘purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati bhavataṇhāyā’’ti (a. ni. 10.62) idaṃ suttaṃ saṅgahitaṃ. Avijjāsavabhavāsavānañca ciraparivutthatāya dassitāya tabbhāvabhāvīnaṃ kāmāsavadiṭṭhāsavānañca ciraparivutthatā dassitā hoti. Aññesupi yathāvutte dhamme okāsañca ārammaṇaṃ katvā pavattamānesu mānādīsu vijjamānesu attattaniyādiggāhavasena abhibyāpanaṃ madakaraṇavasena āsavasadisatā ca etesaṃyeva, nāññesanti etesveva āsavasaddo niruḷho daṭṭhabbo. Āyataṃ vā savanti phalantīti āsavā. Na hi kiñci saṃsāradukkhaṃ āsavehi vinā uppajjamānaṃ atthīti. Ārammaṇabhāvena ye dhammā vaṇo viya āsave paggharanti, te asampayoge atabbhāvepi saha āsavehīti sāsavā, āsavavantoti attho.
โอสานทุเก ‘‘โน อาสวา โข ปนา’’ติ อวตฺวา ‘‘อาสววิปฺปยุตฺตา โข ปนา’’ติ วจนํ สาสวานํ สเหตุกานํ วิย สมฺปยุเตฺตหิ ตํสหิตตา น โหตีติ ทสฺสนตฺถํฯ เอวํ เสสโคจฺฉเกสุปิ ยถาสมฺภวํ วิปฺปยุตฺตคฺคหเณ ปโยชนํ ทฎฺฐพฺพํฯ อปิจ ‘‘โน อาสวา โข ปน ธมฺมา สาสวา’’ติ อิทํ ปทํ จตุตฺถทุเก ทุติยปเทน นินฺนานํ, น จ เอเกน ทุโก โหติ, ตสฺมา อาสววิปฺปยุตฺตปทเมว คเหตฺวา โอสานทุกโยชนา ญายาคตาติ กตาฯ เหตุโคจฺฉเก ปน เหตุวิปฺปยุตฺตานํ สเหตุกตา นตฺถีติ เต คเหตฺวา ทุกโยชนาย อสกฺกุเณยฺยตฺตา นเหตุปทํ คเหตฺวา โอสานทุกโยชนา กตาฯ เย วา ปน ปฐเม ทุเก ทุติยสฺส ปเกฺขเป เอโก, ตติยสฺส เทฺว, ปฐมสฺส ทุติเย เอโก, ตติเย เทฺว, ทุติยสฺส ตติเย เอโก, ทุติเย จ ตติยสฺส เอโกติ อฎฺฐ ทุกา ลพฺภนฺติ, เตสุ ตีหิ อิตเร จ นยโต ทสฺสิตาติ เวทิตพฺพาฯ เอส นโย เสสโคจฺฉเกสุปิฯ
Osānaduke ‘‘no āsavā kho panā’’ti avatvā ‘‘āsavavippayuttā kho panā’’ti vacanaṃ sāsavānaṃ sahetukānaṃ viya sampayuttehi taṃsahitatā na hotīti dassanatthaṃ. Evaṃ sesagocchakesupi yathāsambhavaṃ vippayuttaggahaṇe payojanaṃ daṭṭhabbaṃ. Apica ‘‘no āsavā kho pana dhammā sāsavā’’ti idaṃ padaṃ catutthaduke dutiyapadena ninnānaṃ, na ca ekena duko hoti, tasmā āsavavippayuttapadameva gahetvā osānadukayojanā ñāyāgatāti katā. Hetugocchake pana hetuvippayuttānaṃ sahetukatā natthīti te gahetvā dukayojanāya asakkuṇeyyattā nahetupadaṃ gahetvā osānadukayojanā katā. Ye vā pana paṭhame duke dutiyassa pakkhepe eko, tatiyassa dve, paṭhamassa dutiye eko, tatiye dve, dutiyassa tatiye eko, dutiye ca tatiyassa ekoti aṭṭha dukā labbhanti, tesu tīhi itare ca nayato dassitāti veditabbā. Esa nayo sesagocchakesupi.
๒๐-๒๕. กิเลสกมฺมวิปากวฎฺฎานํ ปจฺจยภาเวน ตตฺถ สํโยเชนฺติ, สติปิ อเญฺญสํ ตปฺปจฺจยภาเว น วินา สํโยชนานิ เตสํ ตปฺปจฺจยภาโว อตฺถิ, โอรมฺภาคิยุทฺธมฺภาคิยสงฺคหิเตหิ จ ตํตํภวนิพฺพตฺตกกมฺมนิยโม ภวนิยโม จ โหติ, น จ อุปจฺฉินฺนสํโยชนสฺส กตานิปิ กมฺมานิ ภวํ นิพฺพเตฺตนฺตีติฯ สํโยเชตพฺพาติ วา สํโยชนิยา, สํโยชเน นิยุตฺตาติ วาฯ ทูรคตสฺสปิ อากฑฺฒนโต นิสฺสริตุํ อปฺปทานวเสน พนฺธนํ สํโยชนํ, คนฺถกรณํ สงฺขลิกจกฺกลกานํ วิย ปฎิพทฺธตากรณํ วา คนฺถนํ คโนฺถ, สํสิลิสกรณํ โยชนํ โยโคติ อยเมเตสํ วิเสโสติ เวทิตโพฺพฯ ธมฺมานํ สภาวกิจฺจวิเสสญฺญุนา ปน ภควตา สมฺปยุเตฺตสุ อารมฺมเณสุ ตปฺปจฺจเยสุ จ เตหิ เตหิ นิปฺผาทิยมานํ ตํ ตํ กิจฺจวิเสสํ ปสฺสเนฺตน เต เต ธมฺมา ตถา ตถา อาสวสํโยชนคนฺถาทิวเสน วุตฺตาติ ‘‘กิมตฺถํ เอเตเยว ธมฺมา เอวํ วุตฺตา, กสฺมา จ วุตฺตา เอว ปุน วุตฺตา’’ติ น โจเทตพฺพเมตํฯ
20-25. Kilesakammavipākavaṭṭānaṃ paccayabhāvena tattha saṃyojenti, satipi aññesaṃ tappaccayabhāve na vinā saṃyojanāni tesaṃ tappaccayabhāvo atthi, orambhāgiyuddhambhāgiyasaṅgahitehi ca taṃtaṃbhavanibbattakakammaniyamo bhavaniyamo ca hoti, na ca upacchinnasaṃyojanassa katānipi kammāni bhavaṃ nibbattentīti. Saṃyojetabbāti vā saṃyojaniyā, saṃyojane niyuttāti vā. Dūragatassapi ākaḍḍhanato nissarituṃ appadānavasena bandhanaṃ saṃyojanaṃ, ganthakaraṇaṃ saṅkhalikacakkalakānaṃ viya paṭibaddhatākaraṇaṃ vā ganthanaṃ gantho, saṃsilisakaraṇaṃ yojanaṃ yogoti ayametesaṃ visesoti veditabbo. Dhammānaṃ sabhāvakiccavisesaññunā pana bhagavatā sampayuttesu ārammaṇesu tappaccayesu ca tehi tehi nipphādiyamānaṃ taṃ taṃ kiccavisesaṃ passantena te te dhammā tathā tathā āsavasaṃyojanaganthādivasena vuttāti ‘‘kimatthaṃ eteyeva dhammā evaṃ vuttā, kasmā ca vuttā eva puna vuttā’’ti na codetabbametaṃ.
๒๖-๓๗. คนฺถนิยาติ เอตฺถ อยมโญฺญ อโตฺถ ‘‘คนฺถกรณํ คนฺถนํ, คนฺถเน นิยุตฺตาติ คนฺถนิยา, คนฺถยิตุํ สกฺกุเณยฺยา, คนฺถยิตุํ อรหนฺตีติ วา คนฺถนิยา’’ติฯ เอวํ โอฆนิยาทีสุปิ ทฎฺฐพฺพํฯ เตนาติกฺกมตีติ เอตํ ธาตฺวตฺถํ คเหตฺวา โอฆนิยาติ ปทสิทฺธิ กตาฯ
26-37. Ganthaniyāti ettha ayamañño attho ‘‘ganthakaraṇaṃ ganthanaṃ, ganthane niyuttāti ganthaniyā, ganthayituṃ sakkuṇeyyā, ganthayituṃ arahantīti vā ganthaniyā’’ti. Evaṃ oghaniyādīsupi daṭṭhabbaṃ. Tenātikkamatīti etaṃ dhātvatthaṃ gahetvā oghaniyāti padasiddhi katā.
๕๐-๕๔. ธมฺมสภาวํ อคฺคเหตฺวา ปรโต อามสนฺตีติ ปรามาสาฯ ปรโตติ นิจฺจาทิโตฯ อามสนฺตีติ สภาวปฎิเสเธน ปริมชฺชนฺติฯ
50-54. Dhammasabhāvaṃ aggahetvā parato āmasantīti parāmāsā. Paratoti niccādito. Āmasantīti sabhāvapaṭisedhena parimajjanti.
๕๕-๖๘. สภาวโต วิชฺชมานํ อวิชฺชมานํ วา วิจิตฺตสญฺญาย สญฺญิตํ อารมฺมณํ อคฺคเหตฺวา อปฺปวตฺติโต อาลมฺพมานา ธมฺมา สารมฺมณาฯ จินฺตนํ คหณํ อารมฺมณูปลทฺธิฯ เจตสิ นิยุตฺตา, เจตสา สํสฎฺฐา วา เจตสิกาฯ ทุพฺพิเญฺญยฺยนานตฺตตาย เอกีภาวมิวุปคมนํ นิรนฺตรภาวุปคมนํฯ เยสํ รูปานํ จิตฺตํ สหชาตปจฺจโย โหติ, เตสํ จิตฺตสฺส จ สุวิเญฺญยฺยนานตฺตนฺติ นิรนฺตรภาวานุปคมนํ เวทิตพฺพํฯ เอกโต วตฺตมานาปีติ อปิ-สโทฺท โก ปน วาโท เอกโต อวตฺตมานาติ เอตมตฺถํ ทีเปติฯ อิทเมตฺถ วิจาเรตพฺพํ – อวินิโพฺภครูปานํ กิํ อญฺญมญฺญํ สํสฎฺฐตา, อุทาหุ วิสํสฎฺฐตาติ? วิสุํ อารมฺมณภาเวน สุวิเญฺญยฺยนานตฺตตฺตา น สํสฎฺฐตา, นาปิ วิสํสฎฺฐตา สํสฎฺฐาติ อนาสงฺกนียสภาวตฺตาฯ จตุนฺนญฺหิ ขนฺธานํ อญฺญมญฺญํ สํสฎฺฐสภาวตฺตา รูปนิพฺพาเนหิปิ โส สํสฎฺฐภาโว อตฺถิ นตฺถีติ สิยา อาสงฺกา, ตสฺมา เตสํ อิตเรหิ, อิตเรสญฺจ เตหิ วิสํสฎฺฐสภาวตา วุจฺจติ, น ปน รูปานํ รูเปหิ กตฺถจิ สํสฎฺฐตา อตฺถีติ ตทาสงฺกาภาวโต วิสํสฎฺฐตา จ รูปานํ รูเปหิ น วุจฺจตีติฯ เอส หิ เตสํ สภาโวติฯ จิตฺตสํสฎฺฐสมุฎฺฐานาทิปเทสุ สํสฎฺฐสมุฎฺฐานาทิสทฺทา จิตฺตสทฺทาเปกฺขาติ ปเจฺจกํ จิตฺตสทฺทสมฺพนฺธตฺตา จิตฺตสํสฎฺฐา จ เต จิตฺตสมุฎฺฐานา จาติ ปเจฺจกํ โยเชตฺวา อโตฺถ วุโตฺตฯ อุปาทิยเนฺตวาติ ภูตานิ คณฺหนฺติ เอว, นิสฺสยนฺติ เอวาติ อโตฺถฯ ยถา ภูตานิ อุปาทิยนฺติ คยฺหนฺติ นิสฺสียนฺติ, น ตถา เอตานิ คยฺหนฺติ นิสฺสียนฺติ, ตสฺมา อุปาทาฯ อถ วา ภูตานิ อมุญฺจิตฺวา เตสํ วณฺณนิภาทิภาเวน คเหตพฺพโต อุปาทาฯ
55-68. Sabhāvato vijjamānaṃ avijjamānaṃ vā vicittasaññāya saññitaṃ ārammaṇaṃ aggahetvā appavattito ālambamānā dhammā sārammaṇā. Cintanaṃ gahaṇaṃ ārammaṇūpaladdhi. Cetasi niyuttā, cetasā saṃsaṭṭhā vā cetasikā. Dubbiññeyyanānattatāya ekībhāvamivupagamanaṃ nirantarabhāvupagamanaṃ. Yesaṃ rūpānaṃ cittaṃ sahajātapaccayo hoti, tesaṃ cittassa ca suviññeyyanānattanti nirantarabhāvānupagamanaṃ veditabbaṃ. Ekato vattamānāpīti api-saddo ko pana vādo ekato avattamānāti etamatthaṃ dīpeti. Idamettha vicāretabbaṃ – avinibbhogarūpānaṃ kiṃ aññamaññaṃ saṃsaṭṭhatā, udāhu visaṃsaṭṭhatāti? Visuṃ ārammaṇabhāvena suviññeyyanānattattā na saṃsaṭṭhatā, nāpi visaṃsaṭṭhatā saṃsaṭṭhāti anāsaṅkanīyasabhāvattā. Catunnañhi khandhānaṃ aññamaññaṃ saṃsaṭṭhasabhāvattā rūpanibbānehipi so saṃsaṭṭhabhāvo atthi natthīti siyā āsaṅkā, tasmā tesaṃ itarehi, itaresañca tehi visaṃsaṭṭhasabhāvatā vuccati, na pana rūpānaṃ rūpehi katthaci saṃsaṭṭhatā atthīti tadāsaṅkābhāvato visaṃsaṭṭhatā ca rūpānaṃ rūpehi na vuccatīti. Esa hi tesaṃ sabhāvoti. Cittasaṃsaṭṭhasamuṭṭhānādipadesu saṃsaṭṭhasamuṭṭhānādisaddā cittasaddāpekkhāti paccekaṃ cittasaddasambandhattā cittasaṃsaṭṭhā ca te cittasamuṭṭhānā cāti paccekaṃ yojetvā attho vutto. Upādiyantevāti bhūtāni gaṇhanti eva, nissayanti evāti attho. Yathā bhūtāni upādiyanti gayhanti nissīyanti, na tathā etāni gayhanti nissīyanti, tasmā upādā. Atha vā bhūtāni amuñcitvā tesaṃ vaṇṇanibhādibhāvena gahetabbato upādā.
๗๕-๘๒. สํกิลิฎฺฐตฺติเก วุตฺตนเยนาติ สํ-สทฺทํ อปเนตฺวา กิลิสนฺตีติ กิเลสาติอาทินา นเยนฯ
75-82. Saṃkiliṭṭhattikevuttanayenāti saṃ-saddaṃ apanetvā kilisantīti kilesātiādinā nayena.
๘๓-๑๐๐. กามาวจราทีสุ อยมปโร อโตฺถ – กามตณฺหา กาโม, เอวํ รูปารูปตณฺหา รูปํ อรูปญฺจฯ อารมฺมณกรณวเสน ตานิ ยตฺถ อวจรนฺติ, เต กามาวจราทโยติฯ เอวญฺหิ สติ อญฺญภูมีสุ อุปฺปชฺชมานานํ อกามาวจราทิตา กามาวจราทิตา จ นาปชฺชตีติ สิทฺธํ โหติฯ นิเกฺขปกเณฺฑปิ ‘‘เอตฺถาวจรา’’ติ วจนํ อวีจิปรนิมฺมิตปริจฺฉิโนฺนกาสาย กามตณฺหาย อารมฺมณภาวํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํ, ตโทกาสตา จ ตณฺหาย ตนฺนินฺนตาย เวทิตพฺพาฯ ยทิ ปริยาปนฺนสทฺทสฺส อโนฺตคธาติ อยมโตฺถ, มคฺคาทิธมฺมานญฺจ โลกุตฺตรโนฺตคธตฺตา ปริยาปนฺนตา อาปชฺชติฯ น หิ ‘‘ปริยาปนฺนา’’ติ เอตฺถ เตภูมกคหณํ อตฺถีติ? นาปชฺชติ สพฺพทา ปวตฺตมานสฺส ปจฺจกฺขสฺส โลกสฺส วเสน ปริยาปนฺนนิจฺฉยโตฯ อถ วา ปริเจฺฉทการิกาย ตณฺหาย ปริจฺฉินฺทิตฺวา อาปนฺนา ปฎิปนฺนา คหิตาติ ปริยาปนฺนาฯ
83-100. Kāmāvacarādīsu ayamaparo attho – kāmataṇhā kāmo, evaṃ rūpārūpataṇhā rūpaṃ arūpañca. Ārammaṇakaraṇavasena tāni yattha avacaranti, te kāmāvacarādayoti. Evañhi sati aññabhūmīsu uppajjamānānaṃ akāmāvacarāditā kāmāvacarāditā ca nāpajjatīti siddhaṃ hoti. Nikkhepakaṇḍepi ‘‘etthāvacarā’’ti vacanaṃ avīciparanimmitaparicchinnokāsāya kāmataṇhāya ārammaṇabhāvaṃ sandhāya vuttanti veditabbaṃ, tadokāsatā ca taṇhāya tanninnatāya veditabbā. Yadi pariyāpannasaddassa antogadhāti ayamattho, maggādidhammānañca lokuttarantogadhattā pariyāpannatā āpajjati. Na hi ‘‘pariyāpannā’’ti ettha tebhūmakagahaṇaṃ atthīti? Nāpajjati sabbadā pavattamānassa paccakkhassa lokassa vasena pariyāpannanicchayato. Atha vā paricchedakārikāya taṇhāya paricchinditvā āpannā paṭipannā gahitāti pariyāpannā.
อนีย-สโทฺท พหุลา กตฺตุอภิธายโกติ วฎฺฎจารกโต นิยฺยนฺตีติ นิยฺยานียา, นี-การสฺส รสฺสตฺตํ ย-การสฺส จ ก-การตฺตํ กตฺวา ‘‘นิยฺยานิกา’’ติ วุตฺตํ, นิยฺยานกรณสีลา วา นิยฺยานิกาฯ อุตฺตริตพฺพสฺส อญฺญสฺส นิทฺทิฎฺฐสฺส อภาวา นิทฺทิสิยมานา สอุตฺตรา ธมฺมาว อุตฺตริตพฺพาติ ‘‘อตฺตาน’’นฺติ อาหฯ ราคาทีนนฺติ ราคาทีนํ ทสนฺนํ กิเลสานํ สพฺพนิยตากุสลานํ วาฯ เตหิ นานปฺปการทุกฺขนิพฺพตฺตเกหิ อภิภูตา สตฺตา กนฺทนฺติ อกนฺทนฺตาปิ กนฺทนการณภาวโตฯ ยสฺมา ปน ปหาเนกฎฺฐตาวเสน จ ‘‘สรณา’’ติ อาห, ตสฺมา ‘‘ราคาทีน’’นฺติ วจเนน ราคโทสโมหาว คหิตาติ ญายติฯ รณ-สโทฺท วา ราคาทิเรณูสุ นิรุโฬฺห ทฎฺฐโพฺพ, รณํ วา ยุทฺธํ, ‘‘กามา เต ปฐมา เสนา’’ติ (สุ. นิ. ๔๓๘; มหานิ. ๒๘, ๖๘, ๑๔๙; จูฬนิ. นนฺทมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๔๗) เอวมาทิกา จ อกุสลา เสนา อริยมคฺคยุเทฺธน เชตพฺพตฺตา สยุทฺธตฺตา ‘‘สรณา’’ติ วุจฺจนฺตีติฯ อรณวิภงฺคสุเตฺต (ม. นิ. ๓.๓๒๓ อาทโย) ปน สทุกฺขา สอุปฆาตา สอุปายาสา สปริฬาหา มิจฺฉาปฎิปทาภูตา กามสุขานุโยคาทโย ‘‘สรณา’’ติ วุตฺตาติ ทุกฺขาทีนํ รณภาโว ตนฺนิพฺพตฺตกสภาวานํ อกุสลานํ สรณตา จ เวทิตพฺพาฯ
Anīya-saddo bahulā kattuabhidhāyakoti vaṭṭacārakato niyyantīti niyyānīyā, nī-kārassa rassattaṃ ya-kārassa ca ka-kārattaṃ katvā ‘‘niyyānikā’’ti vuttaṃ, niyyānakaraṇasīlā vā niyyānikā. Uttaritabbassa aññassa niddiṭṭhassa abhāvā niddisiyamānā sauttarā dhammāva uttaritabbāti ‘‘attāna’’nti āha. Rāgādīnanti rāgādīnaṃ dasannaṃ kilesānaṃ sabbaniyatākusalānaṃ vā. Tehi nānappakāradukkhanibbattakehi abhibhūtā sattā kandanti akandantāpi kandanakāraṇabhāvato. Yasmā pana pahānekaṭṭhatāvasena ca ‘‘saraṇā’’ti āha, tasmā ‘‘rāgādīna’’nti vacanena rāgadosamohāva gahitāti ñāyati. Raṇa-saddo vā rāgādireṇūsu niruḷho daṭṭhabbo, raṇaṃ vā yuddhaṃ, ‘‘kāmā te paṭhamā senā’’ti (su. ni. 438; mahāni. 28, 68, 149; cūḷani. nandamāṇavapucchāniddesa 47) evamādikā ca akusalā senā ariyamaggayuddhena jetabbattā sayuddhattā ‘‘saraṇā’’ti vuccantīti. Araṇavibhaṅgasutte (ma. ni. 3.323 ādayo) pana sadukkhā saupaghātā saupāyāsā sapariḷāhā micchāpaṭipadābhūtā kāmasukhānuyogādayo ‘‘saraṇā’’ti vuttāti dukkhādīnaṃ raṇabhāvo tannibbattakasabhāvānaṃ akusalānaṃ saraṇatā ca veditabbā.
ปิฎฺฐิทุกา สมตฺตาฯ
Piṭṭhidukā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / ๒. ทุกมาติกา • 2. Dukamātikā
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā / ทุกมาติกาปทวณฺณนา • Dukamātikāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / ทุกมาติกาปทวณฺณนา • Dukamātikāpadavaṇṇanā