Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā |
ทุกนิเกฺขปกถา
Dukanikkhepakathā
๑๐๖๒. ทุเกสุ อโทสนิเทฺทเส เมตฺตายนวเสน เมตฺติฯ เมตฺตากาโร เมตฺตายนาฯ เมตฺตาย อยิตสฺส เมตฺตาสมงฺคิโน จิตฺตสฺส ภาโว เมตฺตายิตตฺตํฯ อนุทยตีติ อนุทฺทา, รกฺขตีติ อโตฺถฯ อนุทฺทากาโร อนุทฺทายนาฯ อนุทฺทายิตสฺส ภาโว อนุทฺทายิตตฺตํฯ หิตสฺส เอสนวเสน หิเตสิตาฯ อนุกมฺปนวเสน อนุกมฺปาฯ สเพฺพหิปิ อิเมหิ ปเทหิ อุปจารปฺปนาปฺปตฺตา เมตฺตาว วุตฺตาฯ เสสปเทหิ โลกิยโลกุตฺตโร อโทโส กถิโตฯ
1062. Dukesu adosaniddese mettāyanavasena metti. Mettākāro mettāyanā. Mettāya ayitassa mettāsamaṅgino cittassa bhāvo mettāyitattaṃ. Anudayatīti anuddā, rakkhatīti attho. Anuddākāro anuddāyanā. Anuddāyitassa bhāvo anuddāyitattaṃ. Hitassa esanavasena hitesitā. Anukampanavasena anukampā. Sabbehipi imehi padehi upacārappanāppattā mettāva vuttā. Sesapadehi lokiyalokuttaro adoso kathito.
๑๐๖๓. อโมหนิเทฺทเส ทุเกฺข ญาณนฺติ ทุกฺขสเจฺจ ปญฺญาฯ ทุกฺขสมุทเยติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ จ ทุเกฺข ญาณํ สวนสมฺมสนปฎิเวธปจฺจเวกฺขณาสุ วตฺตติฯ ตถา ทุกฺขสมุทเยฯ นิโรเธ ปน สวนปฎิเวธปจฺจเวกฺขณาสุ เอวฯ ตถา ปฎิปทายฯ ปุพฺพเนฺตติ อตีตโกฎฺฐาเสฯ อปรเนฺตติ อนาคตโกฎฺฐาเสฯ ปุพฺพนฺตาปรเนฺตติ ตทุภเยฯ อิทปฺปจฺจยตาปฎิจฺจสมุปฺปเนฺนสุ ธเมฺมสุ ญาณนฺติ อยํ ปจฺจโย, อิทํ ปจฺจยุปฺปนฺนํ, อิทํ ปฎิจฺจ อิทํ นิพฺพตฺตนฺติ, เอวํ ปจฺจเยสุ จ ปจฺจยุปฺปนฺนธเมฺมสุ จ ญาณํฯ
1063. Amohaniddese dukkhe ñāṇanti dukkhasacce paññā. Dukkhasamudayetiādīsupi eseva nayo. Ettha ca dukkhe ñāṇaṃ savanasammasanapaṭivedhapaccavekkhaṇāsu vattati. Tathā dukkhasamudaye. Nirodhe pana savanapaṭivedhapaccavekkhaṇāsu eva. Tathā paṭipadāya. Pubbanteti atītakoṭṭhāse. Aparanteti anāgatakoṭṭhāse. Pubbantāparanteti tadubhaye. Idappaccayatāpaṭiccasamuppannesu dhammesu ñāṇanti ayaṃ paccayo, idaṃ paccayuppannaṃ, idaṃ paṭicca idaṃ nibbattanti, evaṃ paccayesu ca paccayuppannadhammesu ca ñāṇaṃ.
๑๐๖๕. โลภนิเทฺทเสปิ เหฎฺฐา อนาคตานํ ปทานํ อยมโตฺถ – รญฺชนวเสน ราโคฯ พลวรญฺชนเฎฺฐน สาราโคฯ วิสเยสุ สตฺตานํ อนุนยนโต อนุนโยฯ อนุรุชฺฌตีติ อนุโรโธ, กาเมตีติ อโตฺถฯ ยตฺถ กตฺถจิ ภเว สตฺตา เอตาย นนฺทนฺติ, สยํ วา นนฺทตีติ นนฺทีฯ นนฺที จ สา รญฺชนเฎฺฐน ราโค จาติ นนฺทีราโคฯ ตตฺถ เอกสฺมิํ อารมฺมเณ สกิํ อุปฺปนฺนา ตณฺหา ‘นนฺที’ฯ ปุนปฺปุนํ อุปฺปชฺชมานา ‘นนฺทีราโค’ติ วุจฺจติฯ จิตฺตสฺส สาราโคติ โย เหฎฺฐา พลวรญฺชนเฎฺฐน สาราโคติ วุโตฺต, โส น สตฺตสฺส, จิตฺตเสฺสว สาราโคติ อโตฺถฯ
1065. Lobhaniddesepi heṭṭhā anāgatānaṃ padānaṃ ayamattho – rañjanavasena rāgo. Balavarañjanaṭṭhena sārāgo. Visayesu sattānaṃ anunayanato anunayo. Anurujjhatīti anurodho, kāmetīti attho. Yattha katthaci bhave sattā etāya nandanti, sayaṃ vā nandatīti nandī. Nandī ca sā rañjanaṭṭhena rāgo cāti nandīrāgo. Tattha ekasmiṃ ārammaṇe sakiṃ uppannā taṇhā ‘nandī’. Punappunaṃ uppajjamānā ‘nandīrāgo’ti vuccati. Cittassa sārāgoti yo heṭṭhā balavarañjanaṭṭhena sārāgoti vutto, so na sattassa, cittasseva sārāgoti attho.
อิจฺฉนฺติ เอตาย อารมฺมณานีติ อิจฺฉาฯ พหลกิเลสภาเวน มุจฺฉนฺติ เอตาย ปาณิโนติ มุจฺฉาฯ คิลิตฺวา ปรินิฎฺฐเปตฺวา คหณวเสน อโชฺฌสานํฯ อิมินา สตฺตา คิชฺฌนฺติ, เคธํ อาปชฺชนฺตีติ เคโธ; พหลเฎฺฐน วา เคโธฯ ‘‘เคธํ วา ปวนสณฺฑ’’นฺติ หิ พหลเฎฺฐเนว วุตฺตํฯ อนนฺตรปทํ อุปสคฺควเสน วฑฺฒิตํฯ สพฺพโตภาเคน วา เคโธติ ปลิเคโธฯ สญฺชนฺติ เอเตนาติ สโงฺค; ลคฺคนเฎฺฐน วา สโงฺคฯ โอสีทนเฎฺฐน ปโงฺกฯ อากฑฺฒนวเสน เอชาฯ ‘‘เอชา อิมํ ปุริสํ ปริกฑฺฒติ ตสฺส ตเสฺสว ภวสฺส อภินิพฺพตฺติยา’’ติ หิ วุตฺตํฯ วญฺจนเฎฺฐน มายาฯ วฎฺฎสฺมิํ สตฺตานํ ชนนเฎฺฐน ชนิกาฯ ‘‘ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ จิตฺตมสฺส วิธาวตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๕๕-๕๗) หิ วุตฺตํฯ วฎฺฎสฺมิํ สเตฺต ทุเกฺขน สํโยชยมานา ชเนตีติ สญฺชนนีฯ ฆฎนเฎฺฐน สิพฺพินีฯ อยญฺหิ วฎฺฎสฺมิํ สเตฺต จุติปฎิสนฺธิวเสน สิพฺพติ ฆเฎติ, ตุนฺนกาโร วิย ปิโลติกาย ปิโลติกํ; ตสฺมา ฆฎนเฎฺฐน สิพฺพินีติ วุตฺตาฯ อเนกปฺปการํ วิสยชาลํ ตณฺหาวิปฺผนฺทิตนิเวสสงฺขาตํ วา ชาลมสฺสา อตฺถีติ ชาลินีฯ
Icchanti etāya ārammaṇānīti icchā. Bahalakilesabhāvena mucchanti etāya pāṇinoti mucchā. Gilitvā pariniṭṭhapetvā gahaṇavasena ajjhosānaṃ. Iminā sattā gijjhanti, gedhaṃ āpajjantīti gedho; bahalaṭṭhena vā gedho. ‘‘Gedhaṃ vā pavanasaṇḍa’’nti hi bahalaṭṭheneva vuttaṃ. Anantarapadaṃ upasaggavasena vaḍḍhitaṃ. Sabbatobhāgena vā gedhoti paligedho. Sañjanti etenāti saṅgo; lagganaṭṭhena vā saṅgo. Osīdanaṭṭhena paṅko. Ākaḍḍhanavasena ejā. ‘‘Ejā imaṃ purisaṃ parikaḍḍhati tassa tasseva bhavassa abhinibbattiyā’’ti hi vuttaṃ. Vañcanaṭṭhena māyā. Vaṭṭasmiṃ sattānaṃ jananaṭṭhena janikā. ‘‘Taṇhā janeti purisaṃ cittamassa vidhāvatī’’ti (saṃ. ni. 1.55-57) hi vuttaṃ. Vaṭṭasmiṃ satte dukkhena saṃyojayamānā janetīti sañjananī. Ghaṭanaṭṭhena sibbinī. Ayañhi vaṭṭasmiṃ satte cutipaṭisandhivasena sibbati ghaṭeti, tunnakāro viya pilotikāya pilotikaṃ; tasmā ghaṭanaṭṭhena sibbinīti vuttā. Anekappakāraṃ visayajālaṃ taṇhāvipphanditanivesasaṅkhātaṃ vā jālamassā atthīti jālinī.
อากฑฺฒนเฎฺฐน สีฆโสตา สริตา วิยาติ สริตาฯ อลฺลเฎฺฐน วา สริตาฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘สริตานิ สิเนหิตานิ จ โสมนสฺสานิ ภวนฺติ ชนฺตุโน’’ติ (ธ. ป. ๓๔๑)ฯ อลฺลานิ เจว สินิทฺธานิ จาติ อยเญฺหตฺถ อโตฺถฯ วิสตาติ วิสตฺติกาฯ วิสฎาติ วิสตฺติกาฯ วิสาลาติ วิสตฺติกาฯ วิสกฺกตีติ วิสตฺติกาฯ วิสํวาทิกาติ วิสตฺติกาฯ วิสํหรตีติ วิสตฺติกาฯ วิสมูลาติ วิสตฺติกาฯ วิสผลาติ วิสตฺติกาฯ วิสปริโภคาติ วิสตฺติกาฯ วิสตา วา ปน สา ตณฺหา รูเป สเทฺท คเนฺธ รเส โผฎฺฐเพฺพ ธเมฺม กุเล คเณ วิตฺถตาติ วิสตฺติกา (มหานิ. ๓)ฯ อนยพฺยสนปาปนเฎฺฐน กุมฺมานุพนฺธสุตฺตกํ วิยาติ สุตฺตํฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘สุตฺตกนฺติ โข, ภิกฺขเว, นนฺทีราคเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๙)ฯ รูปาทีสุ วิตฺถตเฎฺฐน วิสฎาฯ ตสฺส ตสฺส ปฎิลาภตฺถาย สเตฺต อายูหาเปตีติ อายูหินีฯ อุกฺกณฺฐิตุํ อปฺปทานโต สหายเฎฺฐน ทุติยาฯ อยญฺหิ สตฺตานํ วฎฺฎสฺมิํ อุกฺกณฺฐิตุํ น เทติ, คตคตฎฺฐาเน ปิยสหาโย วิย อภิรมาเปติฯ เตน วุตฺตํ –
Ākaḍḍhanaṭṭhena sīghasotā saritā viyāti saritā. Allaṭṭhena vā saritā. Vuttañhetaṃ – ‘‘saritāni sinehitāni ca somanassāni bhavanti jantuno’’ti (dha. pa. 341). Allāni ceva siniddhāni cāti ayañhettha attho. Visatāti visattikā. Visaṭāti visattikā. Visālāti visattikā. Visakkatīti visattikā. Visaṃvādikāti visattikā. Visaṃharatīti visattikā. Visamūlāti visattikā. Visaphalāti visattikā. Visaparibhogāti visattikā. Visatā vā pana sā taṇhā rūpe sadde gandhe rase phoṭṭhabbe dhamme kule gaṇe vitthatāti visattikā (mahāni. 3). Anayabyasanapāpanaṭṭhena kummānubandhasuttakaṃ viyāti suttaṃ. Vuttañhetaṃ – ‘‘suttakanti kho, bhikkhave, nandīrāgassetaṃ adhivacana’’nti (saṃ. ni. 2.159). Rūpādīsu vitthataṭṭhena visaṭā. Tassa tassa paṭilābhatthāya satte āyūhāpetīti āyūhinī. Ukkaṇṭhituṃ appadānato sahāyaṭṭhena dutiyā. Ayañhi sattānaṃ vaṭṭasmiṃ ukkaṇṭhituṃ na deti, gatagataṭṭhāne piyasahāyo viya abhiramāpeti. Tena vuttaṃ –
‘‘ตณฺหาทุติโย ปุริโส, ทีฆมทฺธาน สํสรํ;
‘‘Taṇhādutiyo puriso, dīghamaddhāna saṃsaraṃ;
อิตฺถภาวญฺญถาภาวํ, สํสารํ นาติวตฺตตี’’ติฯ (อ. นิ. ๔.๙; อิติวุ. ๑๕; มหานิ. ๑๙๑; จูฬนิ. ปารายนานุคีติคาถานิเทฺทส ๑๐๗);
Itthabhāvaññathābhāvaṃ, saṃsāraṃ nātivattatī’’ti. (a. ni. 4.9; itivu. 15; mahāni. 191; cūḷani. pārāyanānugītigāthāniddesa 107);
ปณิธานกวเสน ปณิธิฯ ภวเนตฺตีติ ภวรชฺชุฯ เอตาย หิ สตฺตา, รชฺชุยา คีวาย พทฺธา โคณา วิย, อิจฺฉิติจฺฉิตฎฺฐานํ นิยฺยนฺติฯ ตํ ตํ อารมฺมณํ วนติ ภชติ อลฺลียตีติ วนํฯ วนติ ยาจตีติ วา วนํฯ วนโถติ พฺยญฺชเนน ปทํ วฑฺฒิตํฯ อนตฺถทุกฺขานํ วา สมุฎฺฐาปนเฎฺฐน คหนเฎฺฐน จ วนํ วิยาติ ‘วนํ’; พลวตณฺหาเยตํ นามํฯ คหนตรเฎฺฐน ปน ตโต พลวตโร ‘วนโถ’ นามฯ เตน วุตฺตํ –
Paṇidhānakavasena paṇidhi. Bhavanettīti bhavarajju. Etāya hi sattā, rajjuyā gīvāya baddhā goṇā viya, icchiticchitaṭṭhānaṃ niyyanti. Taṃ taṃ ārammaṇaṃ vanati bhajati allīyatīti vanaṃ. Vanati yācatīti vā vanaṃ. Vanathoti byañjanena padaṃ vaḍḍhitaṃ. Anatthadukkhānaṃ vā samuṭṭhāpanaṭṭhena gahanaṭṭhena ca vanaṃ viyāti ‘vanaṃ’; balavataṇhāyetaṃ nāmaṃ. Gahanataraṭṭhena pana tato balavataro ‘vanatho’ nāma. Tena vuttaṃ –
‘‘วนํ ฉินฺทถ มา รุกฺขํ, วนโต ชายเต ภยํ;
‘‘Vanaṃ chindatha mā rukkhaṃ, vanato jāyate bhayaṃ;
เฉตฺวา วนญฺจ วนถญฺจ, นิพฺพนา โหถ ภิกฺขโว’’ติฯ (ธ. ป. ๒๘๓);
Chetvā vanañca vanathañca, nibbanā hotha bhikkhavo’’ti. (dha. pa. 283);
สนฺถวนวเสน สนฺถโว; สํสโคฺคติ อโตฺถฯ โส ทุวิโธ – ตณฺหาสนฺถโว มิตฺตสนฺถโว จฯ เตสุ อิธ ตณฺหาสนฺถโว อธิเปฺปโตฯ สิเนหวเสน สิเนโหฯ อาลยกรณวเสน อเปกฺขตีติ อเปกฺขาฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘อิมานิ เต เทว จตุราสีตินครสหสฺสานิ กุสาวตีราชธานีปมุขานิฯ เอตฺถ เทว ฉนฺทํ ชเนหิ, ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหี’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๖๖)ฯ อาลยํ กโรหีติ อยเญฺหตฺถ อโตฺถฯ ปาฎิเยเกฺก ปาฎิเยเกฺก อารมฺมเณ พนฺธตีติ ปฎิพนฺธุฯ ญาตกเฎฺฐน วา ปาฎิเยโกฺก พนฺธูติปิ ปฎิพนฺธุฯ นิจฺจสนฺนิสฺสิตเฎฺฐน หิ สตฺตานํ ตณฺหาสโม พนฺธุ นาม นตฺถิฯ
Santhavanavasena santhavo; saṃsaggoti attho. So duvidho – taṇhāsanthavo mittasanthavo ca. Tesu idha taṇhāsanthavo adhippeto. Sinehavasena sineho. Ālayakaraṇavasena apekkhatīti apekkhā. Vuttampi cetaṃ – ‘‘imāni te deva caturāsītinagarasahassāni kusāvatīrājadhānīpamukhāni. Ettha deva chandaṃ janehi, jīvite apekkhaṃ karohī’’ti (dī. ni. 2.266). Ālayaṃ karohīti ayañhettha attho. Pāṭiyekke pāṭiyekke ārammaṇe bandhatīti paṭibandhu. Ñātakaṭṭhena vā pāṭiyekko bandhūtipi paṭibandhu. Niccasannissitaṭṭhena hi sattānaṃ taṇhāsamo bandhu nāma natthi.
อารมฺมณานํ อสนโต อาสาฯ อโชฺฌตฺถรณโต เจว ติตฺติํ อนุปคนฺตฺวาว ปริภุญฺชนโต จาติ อโตฺถฯ อาสิสนวเสน อาสิสนาฯ อาสิสิตสฺส ภาโว อาสิสิตตฺตํฯ อิทานิ ตสฺสา ปวตฺติฎฺฐานํ ทเสฺสตุํ รูปาสาติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อาสิสนวเสน อาสาติ อาสาย อตฺถํ คเหตฺวา รูเป อาสา รูปาสาติ เอวํ นวปิ ปทานิ เวทิตพฺพานิฯ เอตฺถ จ ปุริมานิ ปญฺจ ปญฺจกามคุณวเสน วุตฺตานิฯ ปริกฺขารโลภวเสน ฉฎฺฐํฯ ตํ วิเสสโต ปพฺพชิตานํฯ ตโต ปรานิ ตีณิ อติตฺติยวตฺถุวเสน คหฎฺฐานํฯ น หิ เตสํ ธนปุตฺตชีวิเตหิ อญฺญํ ปิยตรํ อตฺถิฯ ‘เอตํ มยฺหํ เอตํ มยฺห’นฺติ วา ‘อสุเกน เม อิทํ ทินฺนํ อิทํ ทินฺน’นฺติ วา เอวํ สเตฺต ชปฺปาเปตีติ ชปฺปาฯ ปรโต เทฺว ปทานิ อุปสเคฺคน วฑฺฒิตานิฯ ตโต ปรํ อเญฺญนากาเรน วิภชิตุํ อารทฺธตฺตา ปุน ชปฺปาติ วุตฺตํฯ ชปฺปนากาโร ชปฺปนาฯ ชปฺปิตสฺส ภาโว ชปฺปิตตฺตํฯ ปุนปฺปุนํ วิสเย ลุมฺปติ อากฑฺฒตีติ โลลุโปฯ โลลุปสฺส ภาโว โลลุปฺปํฯ โลลุปฺปากาโร โลลุปฺปายนาฯ โลลุปฺปสมงฺคิโน ภาโว โลลุปฺปายิตตฺตํฯ
Ārammaṇānaṃ asanato āsā. Ajjhottharaṇato ceva tittiṃ anupagantvāva paribhuñjanato cāti attho. Āsisanavasena āsisanā. Āsisitassa bhāvo āsisitattaṃ. Idāni tassā pavattiṭṭhānaṃ dassetuṃ rūpāsātiādi vuttaṃ. Tattha āsisanavasena āsāti āsāya atthaṃ gahetvā rūpe āsā rūpāsāti evaṃ navapi padāni veditabbāni. Ettha ca purimāni pañca pañcakāmaguṇavasena vuttāni. Parikkhāralobhavasena chaṭṭhaṃ. Taṃ visesato pabbajitānaṃ. Tato parāni tīṇi atittiyavatthuvasena gahaṭṭhānaṃ. Na hi tesaṃ dhanaputtajīvitehi aññaṃ piyataraṃ atthi. ‘Etaṃ mayhaṃ etaṃ mayha’nti vā ‘asukena me idaṃ dinnaṃ idaṃ dinna’nti vā evaṃ satte jappāpetīti jappā. Parato dve padāni upasaggena vaḍḍhitāni. Tato paraṃ aññenākārena vibhajituṃ āraddhattā puna jappāti vuttaṃ. Jappanākāro jappanā. Jappitassa bhāvo jappitattaṃ. Punappunaṃ visaye lumpati ākaḍḍhatīti lolupo. Lolupassa bhāvo loluppaṃ. Loluppākāro loluppāyanā. Loluppasamaṅgino bhāvo loluppāyitattaṃ.
ปุจฺฉญฺชิกตาติ ยาย ตณฺหาย ลาภฎฺฐาเนสุ, ปุจฺฉํ จาลยมานา สุนขา วิย, กมฺปมานา วิจรนฺติ, ตํ ตสฺสา กมฺปนตณฺหาย นามํฯ สาธุ มนาปมนาเป วิสเย กาเมตีติ สาธุกาโมฯ ตสฺส ภาโว สาธุกมฺยตาฯ มาตา มาตุจฺฉาติอาทิเก อยุตฺตฎฺฐาเน ราโคติ อธมฺมราโคฯ ยุตฺตฎฺฐาเนปิ พลวา หุตฺวา อุปฺปนฺนโลโภ วิสมโลโภฯ ‘‘ราโค วิสม’’นฺติอาทิวจนโต (วิภ. ๙๒๔) วา ยุตฺตฎฺฐาเน วา อยุตฺตฎฺฐาเน วา อุปฺปโนฺน ฉนฺทราโค อธมฺมเฎฺฐน ‘อธมฺมราโค’, วิสมเฎฺฐน ‘วิสมโลโภ’ติ เวทิตโพฺพฯ
Pucchañjikatāti yāya taṇhāya lābhaṭṭhānesu, pucchaṃ cālayamānā sunakhā viya, kampamānā vicaranti, taṃ tassā kampanataṇhāya nāmaṃ. Sādhu manāpamanāpe visaye kāmetīti sādhukāmo. Tassa bhāvo sādhukamyatā. Mātā mātucchātiādike ayuttaṭṭhāne rāgoti adhammarāgo. Yuttaṭṭhānepi balavā hutvā uppannalobho visamalobho. ‘‘Rāgo visama’’ntiādivacanato (vibha. 924) vā yuttaṭṭhāne vā ayuttaṭṭhāne vā uppanno chandarāgo adhammaṭṭhena ‘adhammarāgo’, visamaṭṭhena ‘visamalobho’ti veditabbo.
อารมฺมณานํ นิกามนวเสน นิกนฺติฯ นิกามนากาโร นิกามนาฯ ปตฺถนาวเสน ปตฺถนาฯ ปิหายนวเสน ปิหนาฯ สุฎฺฐุ ปตฺถนา สมฺปตฺถนาฯ ปญฺจสุ กามคุเณสุ ตณฺหา กามตณฺหาฯ รูปารูปภเว ตณฺหา ภวตณฺหาฯ อุเจฺฉทสงฺขาเต วิภเว ตณฺหา วิภวตณฺหาฯ สุเทฺธ รูปภวสฺมิํเยว ตณฺหา รูปตณฺหาฯ อรูปภเว ตณฺหา อรูปตณฺหาฯ อุเจฺฉททิฎฺฐิสหคโต ราโค ทิฎฺฐิราโคฯ นิโรเธ ตณฺหา นิโรธตณฺหาฯ รูเป ตณฺหา รูปตณฺหาฯ สเทฺท ตณฺหา สทฺทตณฺหาฯ คนฺธตณฺหาทีสุปิ เอเสว นโยฯ โอฆาทโย วุตฺตตฺถาวฯ
Ārammaṇānaṃ nikāmanavasena nikanti. Nikāmanākāro nikāmanā. Patthanāvasena patthanā. Pihāyanavasena pihanā. Suṭṭhu patthanā sampatthanā. Pañcasu kāmaguṇesu taṇhā kāmataṇhā. Rūpārūpabhave taṇhā bhavataṇhā. Ucchedasaṅkhāte vibhave taṇhā vibhavataṇhā. Suddhe rūpabhavasmiṃyeva taṇhā rūpataṇhā. Arūpabhave taṇhā arūpataṇhā. Ucchedadiṭṭhisahagato rāgo diṭṭhirāgo. Nirodhe taṇhā nirodhataṇhā. Rūpe taṇhā rūpataṇhā. Sadde taṇhā saddataṇhā. Gandhataṇhādīsupi eseva nayo. Oghādayo vuttatthāva.
กุสลธเมฺม อาวรตีติ อาวรณํฯ ฉาทนวเสน ฉาทนํฯ สเตฺต วฎฺฎสฺมิํ พนฺธตีติ พนฺธนํฯ จิตฺตํ อุปคนฺตฺวา กิลิสฺสติ สํกิลิฎฺฐํ กโรตีติ อุปกฺกิเลโสฯ ถามคตเฎฺฐน อนุเสตีติ อนุสโยฯ อุปฺปชฺชมานา จิตฺตํ ปริยุฎฺฐาตีติ ปริยุฎฺฐานํ; อุปฺปชฺชิตุํ อปฺปทาเนน กุสลจารํ คณฺหาตีติ อโตฺถฯ ‘‘โจรา มเคฺค ปริยุฎฺฐิํสุ ธุตฺตา มเคฺค ปริยุฎฺฐิํสู’’ติอาทีสุ (จูฬว. ๔๓๐) หิ มคฺคํ คณฺหิํสูติ อโตฺถฯ เอวมิธาปิ คหณเฎฺฐน ปริยุฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ ปลิเวฐนเฎฺฐน ลตา วิยาติ ลตาฯ ‘‘ลตา อุพฺภิชฺช ติฎฺฐตี’’ติ (ธ. ป. ๓๔๐) อาคตฎฺฐาเนปิ อยํ ตณฺหา ลตาติ วุตฺตาฯ วิวิธานิ วตฺถูนิ อิจฺฉตีติ เววิจฺฉํฯ วฎฺฎทุกฺขสฺส มูลนฺติ ทุกฺขมูลํฯ ตเสฺสว ทุกฺขสฺส นิทานนฺติ ทุกฺขนิทานํฯ ตํ ทุกฺขํ อิโต ปภวตีติ ทุกฺขปฺปภโวฯ พนฺธนเฎฺฐน ปาโส วิยาติ ปาโสฯ มารสฺส ปาโส มารปาโสฯ ทุรุคฺคิลนเฎฺฐน พฬิสํ วิยาติ พฬิสํฯ มารสฺส พฬิสํ มารพฬิสํฯ ตณฺหาภิภูตา มารสฺส วิสยํ นาติกฺกมนฺติ, เตสํ อุปริ มาโร วสํ วเตฺตตีติ อิมินา ปริยาเยน มารสฺส วิสโยติ มารวิสโย ฯ สนฺทนเฎฺฐน ตณฺหาว นที ตณฺหานทีฯ อโชฺฌตฺถรณเฎฺฐน ตณฺหาว ชาลํ ตณฺหาชาลํฯ ยถา สุนขา คทฺทุลพทฺธา ยทิจฺฉกํ นียนฺติ, เอวํ ตณฺหาพทฺธา สตฺตาปีติ ทฬฺหพนฺธนเฎฺฐน คทฺทุลํ วิยาติ คทฺทุลํฯ ตณฺหาว คทฺทุลํ ตณฺหาคทฺทุลํฯ ทุปฺปูรณเฎฺฐน ตณฺหาว สมุโทฺท ตณฺหาสมุโทฺทฯ
Kusaladhamme āvaratīti āvaraṇaṃ. Chādanavasena chādanaṃ. Satte vaṭṭasmiṃ bandhatīti bandhanaṃ. Cittaṃ upagantvā kilissati saṃkiliṭṭhaṃ karotīti upakkileso. Thāmagataṭṭhena anusetīti anusayo. Uppajjamānā cittaṃ pariyuṭṭhātīti pariyuṭṭhānaṃ; uppajjituṃ appadānena kusalacāraṃ gaṇhātīti attho. ‘‘Corā magge pariyuṭṭhiṃsu dhuttā magge pariyuṭṭhiṃsū’’tiādīsu (cūḷava. 430) hi maggaṃ gaṇhiṃsūti attho. Evamidhāpi gahaṇaṭṭhena pariyuṭṭhānaṃ veditabbaṃ. Paliveṭhanaṭṭhena latā viyāti latā. ‘‘Latā ubbhijja tiṭṭhatī’’ti (dha. pa. 340) āgataṭṭhānepi ayaṃ taṇhā latāti vuttā. Vividhāni vatthūni icchatīti vevicchaṃ. Vaṭṭadukkhassa mūlanti dukkhamūlaṃ. Tasseva dukkhassa nidānanti dukkhanidānaṃ. Taṃ dukkhaṃ ito pabhavatīti dukkhappabhavo. Bandhanaṭṭhena pāso viyāti pāso. Mārassa pāso mārapāso. Duruggilanaṭṭhena baḷisaṃ viyāti baḷisaṃ. Mārassa baḷisaṃ mārabaḷisaṃ. Taṇhābhibhūtā mārassa visayaṃ nātikkamanti, tesaṃ upari māro vasaṃ vattetīti iminā pariyāyena mārassa visayoti māravisayo. Sandanaṭṭhena taṇhāva nadī taṇhānadī. Ajjhottharaṇaṭṭhena taṇhāva jālaṃ taṇhājālaṃ. Yathā sunakhā gaddulabaddhā yadicchakaṃ nīyanti, evaṃ taṇhābaddhā sattāpīti daḷhabandhanaṭṭhena gaddulaṃ viyāti gaddulaṃ. Taṇhāva gaddulaṃ taṇhāgaddulaṃ. Duppūraṇaṭṭhena taṇhāva samuddo taṇhāsamuddo.
๑๐๖๖. โทสนิเทฺทเส อนตฺถํ เม อจรีติ อวุฑฺฒิํ เม อกาสิฯ อิมินา อุปาเยน สพฺพปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อฎฺฐาเน วา ปน อาฆาโตติ อการเณ โกโป – เอกโจฺจ หิ ‘เทโว อติวสฺสตี’ติ กุปฺปติ, ‘น วสฺสตี’ติ กุปฺปติ, ‘สูริโย ตปฺปตี’ติ กุปฺปติ, ‘น ตปฺปตี’ติ กุปฺปติ, วาเต วายเนฺตปิ กุปฺปติ, อวายเนฺตปิ กุปฺปติ, สมฺมชฺชิตุํ อสโกฺกโนฺต โพธิปณฺณานํ กุปฺปติ, จีวรํ ปารุปิตุํ อสโกฺกโนฺต วาตสฺส กุปฺปติ, อุปกฺขลิตฺวา ขาณุกสฺส กุปฺปติ อิทํ สนฺธาย วุตฺตํ – อฎฺฐาเน วา ปน อาฆาโต ชายตีติฯ ตตฺถ เหฎฺฐา นวสุ ฐาเนสุ สเตฺต อารพฺภ อุปฺปนฺนตฺตา กมฺมปถเภโท โหติฯ อฎฺฐานาฆาโต ปน สงฺขาเรสุ อุปฺปโนฺน กมฺมปถเภทํ น กโรติฯ จิตฺตํ อาฆาเตโนฺต อุปฺปโนฺนติ จิตฺตสฺส อาฆาโตฯ ตโต พลวตโร ปฎิฆาโตฯ ปฎิหญฺญนวเสน ปฎิฆํฯ ปฎิวิรุชฺฌตีติ ปฎิวิโรโธฯ กุปฺปนวเสน โกโปฯ ปโกโป สมฺปโกโปติ อุปสเคฺคน ปทํ วฑฺฒิตํฯ ทุสฺสนวเสน โทโสฯ ปโทโส สมฺปโทโสติ อุปสเคฺคน ปทํ วฑฺฒิตํฯ จิตฺตสฺส พฺยาปตฺตีติ จิตฺตสฺส วิปนฺนตา, วิปริวตฺตนากาโรฯ มนํ ปทูสยมาโน อุปฺปชฺชตีติ มโนปโทโสฯ กุชฺฌนวเสน โกโธฯ กุชฺฌนากาโร กุชฺฌนาฯ กุชฺฌิตสฺส ภาโว กุชฺฌิตตฺตํฯ
1066. Dosaniddese anatthaṃ me acarīti avuḍḍhiṃ me akāsi. Iminā upāyena sabbapadesu attho veditabbo. Aṭṭhāne vā pana āghātoti akāraṇe kopo – ekacco hi ‘devo ativassatī’ti kuppati, ‘na vassatī’ti kuppati, ‘sūriyo tappatī’ti kuppati, ‘na tappatī’ti kuppati, vāte vāyantepi kuppati, avāyantepi kuppati, sammajjituṃ asakkonto bodhipaṇṇānaṃ kuppati, cīvaraṃ pārupituṃ asakkonto vātassa kuppati, upakkhalitvā khāṇukassa kuppati idaṃ sandhāya vuttaṃ – aṭṭhāne vā pana āghāto jāyatīti. Tattha heṭṭhā navasu ṭhānesu satte ārabbha uppannattā kammapathabhedo hoti. Aṭṭhānāghāto pana saṅkhāresu uppanno kammapathabhedaṃ na karoti. Cittaṃ āghātento uppannoti cittassa āghāto. Tato balavataro paṭighāto. Paṭihaññanavasena paṭighaṃ. Paṭivirujjhatīti paṭivirodho. Kuppanavasena kopo. Pakopo sampakopoti upasaggena padaṃ vaḍḍhitaṃ. Dussanavasena doso. Padoso sampadosoti upasaggena padaṃ vaḍḍhitaṃ. Cittassa byāpattīti cittassa vipannatā, viparivattanākāro. Manaṃ padūsayamāno uppajjatīti manopadoso. Kujjhanavasena kodho. Kujjhanākāro kujjhanā. Kujjhitassa bhāvo kujjhitattaṃ.
อิทานิ อกุสลนิเทฺทเส วุตฺตนยํ ทเสฺสตุํ โทโส ทุสฺสนาติอาทิ วุตฺตํฯ ตสฺมา ‘‘โย เอวรูโป จิตฺตสฺส อาฆาโต…เป.… กุชฺฌิตตฺต’’นฺติ จ อิธ วุโตฺต, ‘‘โทโส ทุสฺสนา’’ติอาทินา นเยน เหฎฺฐา วุโตฺต, อยํ วุจฺจติ โทโสติฯ เอวเมตฺถ โยชนา กาตพฺพาฯ เอวญฺหิ สติ ปุนรุตฺติโทโส ปฎิเสธิโต โหติฯ โมหนิเทฺทโส อโมหนิเทฺทเส วุตฺตปฎิปกฺขนเยน เวทิตโพฺพฯ สพฺพากาเรน ปเนส วิภงฺคฎฺฐกถายํ อาวิ ภวิสฺสติฯ
Idāni akusalaniddese vuttanayaṃ dassetuṃ doso dussanātiādi vuttaṃ. Tasmā ‘‘yo evarūpo cittassa āghāto…pe… kujjhitatta’’nti ca idha vutto, ‘‘doso dussanā’’tiādinā nayena heṭṭhā vutto, ayaṃ vuccati dosoti. Evamettha yojanā kātabbā. Evañhi sati punaruttidoso paṭisedhito hoti. Mohaniddeso amohaniddese vuttapaṭipakkhanayena veditabbo. Sabbākārena panesa vibhaṅgaṭṭhakathāyaṃ āvi bhavissati.
๑๐๗๙. เตหิ ธเมฺมหิ เย ธมฺมา สเหตุกาติ เตหิ เหตุธเมฺมหิ เย อเญฺญ เหตุธมฺมา วา นเหตุธมฺมา วา เต สเหตุกาฯ อเหตุกปเทปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ จ เหตุ เหตุเยว จ โหติ, ติณฺณํ วา ทฺวินฺนํ วา เอกโต อุปฺปตฺติยํ สเหตุโก จฯ วิจิกิจฺฉุทฺธจฺจสหคโต ปน โมโห เหตุ อเหตุโกฯ เหตุสมฺปยุตฺตทุกนิเทฺทเสปิ เอเสว นโยฯ
1079. Tehidhammehi ye dhammā sahetukāti tehi hetudhammehi ye aññe hetudhammā vā nahetudhammā vā te sahetukā. Ahetukapadepi eseva nayo. Ettha ca hetu hetuyeva ca hoti, tiṇṇaṃ vā dvinnaṃ vā ekato uppattiyaṃ sahetuko ca. Vicikicchuddhaccasahagato pana moho hetu ahetuko. Hetusampayuttadukaniddesepi eseva nayo.
๑๐๙๑. สงฺขตทุกนิเทฺทเส ปุริมทุเก วุตฺตํ อสงฺขตธาตุํ สนฺธาย โย เอว โส ธโมฺมติ เอกวจนนิเทฺทโส กโตฯ ปุริมทุเก ปน พหุวจนวเสน ปุจฺฉาย อุทฺธฎตฺตา อิเม ธมฺมา อปฺปจฺจยาติ ปุจฺฉานุสนฺธินเยน พหุวจนํ กตํฯ อิเม ธมฺมา สนิทสฺสนาติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
1091. Saṅkhatadukaniddese purimaduke vuttaṃ asaṅkhatadhātuṃ sandhāya yo eva so dhammoti ekavacananiddeso kato. Purimaduke pana bahuvacanavasena pucchāya uddhaṭattā ime dhammā appaccayāti pucchānusandhinayena bahuvacanaṃ kataṃ. Ime dhammā sanidassanātiādīsupi eseva nayo.
๑๑๐๑. เกนจิ วิเญฺญยฺยทุกนิเทฺทเส จกฺขุวิเญฺญยฺยาติ จกฺขุวิญฺญาเณน วิชานิตพฺพาฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ จ เกนจิ วิเญฺญยฺยาติ จกฺขุวิญฺญาณาทีสุ เกนจิ เอเกน จกฺขุวิญฺญาเณน วา โสตวิญฺญาเณน วา วิชานิตพฺพาฯ เกนจิ น วิเญฺญยฺยาติ เตเนว จกฺขุวิญฺญาเณน วา โสตวิญฺญาเณน วา น วิชานิตพฺพาฯ ‘เอวํ สเนฺต ทฺวินฺนมฺปิ ปทานํ อตฺถนานตฺตโต ทุโก โหตี’ติ เหฎฺฐา วุตฺตตฺตา ‘เย เต ธมฺมา จกฺขุวิเญฺญยฺยา น เต ธมฺมา โสตวิเญฺญยฺยา’ติ อยํ ทุโก น โหติฯ รูปํ ปน จกฺขุวิเญฺญยฺยํ สโทฺท น จกฺขุวิเญฺญโยฺยติ อิมมตฺถํ คเหตฺวา ‘เย เต ธมฺมา จกฺขุวิเญฺญยฺยา น เต ธมฺมา โสตวิเญฺญยฺยา, เย วา ปน เต ธมฺมา โสตวิเญฺญยฺยา น เต ธมฺมา จกฺขุวิเญฺญยฺยา’ติ อยเมโก ทุโกติ เวทิตโพฺพฯ เอวํ เอเกกอินฺทฺริยมูลเก จตฺตาโร จตฺตาโร กตฺวา วีสติ ทุกา วิภตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ
1101. Kenaci viññeyyadukaniddese cakkhuviññeyyāti cakkhuviññāṇena vijānitabbā. Sesapadesupi eseva nayo. Ettha ca kenaci viññeyyāti cakkhuviññāṇādīsu kenaci ekena cakkhuviññāṇena vā sotaviññāṇena vā vijānitabbā. Kenaci na viññeyyāti teneva cakkhuviññāṇena vā sotaviññāṇena vā na vijānitabbā. ‘Evaṃ sante dvinnampi padānaṃ atthanānattato duko hotī’ti heṭṭhā vuttattā ‘ye te dhammā cakkhuviññeyyā na te dhammā sotaviññeyyā’ti ayaṃ duko na hoti. Rūpaṃ pana cakkhuviññeyyaṃ saddo na cakkhuviññeyyoti imamatthaṃ gahetvā ‘ye te dhammā cakkhuviññeyyā na te dhammā sotaviññeyyā, ye vā pana te dhammā sotaviññeyyā na te dhammā cakkhuviññeyyā’ti ayameko dukoti veditabbo. Evaṃ ekekaindriyamūlake cattāro cattāro katvā vīsati dukā vibhattāti veditabbā.
กิํ ปน ‘มโนวิญฺญาเณน เกนจิ วิเญฺญยฺยา เกนจิ น วิเญฺญยฺยา’ นตฺถิ? เตเนตฺถ ทุกา น วุตฺตาติ? โน นตฺถิ, ววตฺถานาภาวโต ปน น วุตฺตาฯ น หิ, ยถา จกฺขุวิญฺญาเณน อวิเญฺญยฺยา เอวาติ ววตฺถานํ อตฺถิ, เอวํ มโนวิญฺญาเณนาปีติ ววตฺถานาภาวโต เอตฺถ ทุกา น วุตฺตาฯ มโนวิญฺญาเณน ปน เกนจิ วิเญฺญยฺยา เจว อวิเญฺญยฺยา จาติ อยมโตฺถ อตฺถิฯ ตสฺมา โส อวุโตฺตปิ ยถาลาภวเสน เวทิตโพฺพฯ มโนวิญฺญาณนฺติ หิ สงฺขฺยํ คเตหิ กามาวจรธเมฺมหิ กามาวจรธมฺมา เอว ตาว เกหิจิ วิเญฺญยฺยา เกหิจิ อวิเญฺญยฺยาฯ เตหิเยว รูปาวจราทิธมฺมาปิ เกหิจิ วิเญฺญยฺยา เกหิจิ อวิเญฺญยฺยาฯ รูปาวจเรหิปิ กามาวจรา เกหิจิ วิเญฺญยฺยา เกหิจิ อวิเญฺญยฺยาฯ เตเหว รูปาวจราทโยปิ เกหิจิ วิเญฺญยฺยา เกหิจิ อวิเญฺญยฺยาฯ อรูปาวจเรหิ ปน กามาวจรา รูปาวจรา อปริยาปนฺนา จ เนว วิเญฺญยฺยาฯ อรูปาวจรา ปน เกหิจิ วิเญฺญยฺยา เกหิจิ อวิเญฺญยฺยาฯ เตปิ จ เกจิเทว วิเญฺญยฺยา เกจิ อวิเญฺญยฺยาฯ อปริยาปเนฺนหิ กามาวจราทโย เนว วิเญฺญยฺยาฯ อปริยาปนฺนา ปน นิพฺพาเนน อวิเญฺญยฺยตฺตา เกหิจิ วิเญฺญยฺยา เกหิจิ อวิเญฺญยฺยาฯ เตปิ จ มคฺคผลานํ อวิเญฺญยฺยตฺตา เกจิเทว วิเญฺญยฺยา เกจิ อวิเญฺญยฺยาติฯ
Kiṃ pana ‘manoviññāṇena kenaci viññeyyā kenaci na viññeyyā’ natthi? Tenettha dukā na vuttāti? No natthi, vavatthānābhāvato pana na vuttā. Na hi, yathā cakkhuviññāṇena aviññeyyā evāti vavatthānaṃ atthi, evaṃ manoviññāṇenāpīti vavatthānābhāvato ettha dukā na vuttā. Manoviññāṇena pana kenaci viññeyyā ceva aviññeyyā cāti ayamattho atthi. Tasmā so avuttopi yathālābhavasena veditabbo. Manoviññāṇanti hi saṅkhyaṃ gatehi kāmāvacaradhammehi kāmāvacaradhammā eva tāva kehici viññeyyā kehici aviññeyyā. Tehiyeva rūpāvacarādidhammāpi kehici viññeyyā kehici aviññeyyā. Rūpāvacarehipi kāmāvacarā kehici viññeyyā kehici aviññeyyā. Teheva rūpāvacarādayopi kehici viññeyyā kehici aviññeyyā. Arūpāvacarehi pana kāmāvacarā rūpāvacarā apariyāpannā ca neva viññeyyā. Arūpāvacarā pana kehici viññeyyā kehici aviññeyyā. Tepi ca kecideva viññeyyā keci aviññeyyā. Apariyāpannehi kāmāvacarādayo neva viññeyyā. Apariyāpannā pana nibbānena aviññeyyattā kehici viññeyyā kehici aviññeyyā. Tepi ca maggaphalānaṃ aviññeyyattā kecideva viññeyyā keci aviññeyyāti.
๑๑๐๒. อาสวนิเทฺทเส ปญฺจกามคุณิโก ราโค กามาสโว นามฯ รูปารูปภเวสุ ฉนฺทราโค ฌานนิกนฺติ สสฺสตทิฎฺฐิสหชาโต ราโค ภววเสน ปตฺถนา ภวาสโว นามฯ ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิโย ทิฎฺฐาสโว นามฯ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ อญฺญาณํ อวิชฺชาสโว นามฯ ตตฺถ ตตฺถ อาคเตสุ ปน อาสเวสุ อสโมฺมหตฺถํ เอกวิธาทิเภโท เวทิตโพฺพฯ อตฺถโต เหเต จิรปาริวาสิยเฎฺฐน อาสวาติ เอวํ เอกวิธาว โหนฺติฯ วินเย ปน ‘‘ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฎิฆาตายา’’ติ (ปารา. ๓๙) ทุวิเธน อาคตาฯ สุตฺตเนฺต สฬายตเน ตาว ‘‘ตโยเม, อาวุโส, อาสวา – กามาสโว ภวาสโว อวิชฺชาสโว’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๒๑) ติวิเธน อาคตาฯ นิเพฺพธิกปริยาเย ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อาสวา นิรยคมนียา , อตฺถิ อาสวา ติรจฺฉานโยนิคมนียา, อตฺถิ อาสวา เปตฺติวิสยคมนียา, อตฺถิ อาสวา มนุสฺสโลกคมนียา, อตฺถิ อาสวา เทวโลกคมนียา’’ติ (อ. นิ. ๖.๖๓) ปญฺจวิเธน อาคตาฯ ฉกฺกนิปาเต อาหุเนยฺยสุเตฺต – ‘‘อตฺถิ อาสวา สํวรา ปหาตพฺพา, อตฺถิ อาสวา ปฎิเสวนา ปหาตพฺพา, อตฺถิ อาสวา อธิวาสนา ปหาตพฺพา, อตฺถิ อาสวา ปริวชฺชนา ปหาตพฺพา, อตฺถิ อาสวา วิโนทนา ปหาตพฺพา, อตฺถิ อาสวา ภาวนา ปหาตพฺพา’’ติ (อ. นิ. ๖.๕๘) ฉพฺพิเธน อาคตาฯ สพฺพาสวปริยาเย (ม. นิ. ๑.๑๔ อาทโย) ‘ทสฺสนปหาตเพฺพหิ’ สทฺธิํ สตฺตวิเธน อาคตาฯ อิธ ปเนเต กามาสวาทิเภทโต จตุพฺพิเธน อาคตาฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถ – ปญฺจกามคุณสงฺขาเต กาเม อาสโว ‘กามาสโว’ฯ รูปารูปสงฺขาเต กมฺมโต จ อุปปตฺติโต จ ทุวิเธปิ ภเว อาสโว ‘ภวาสโว’ฯ ทิฎฺฐิ เอว อาสโว ‘ทิฎฺฐาสโว’ฯ อวิชฺชาว อาสโว ‘อวิชฺชาสโว’ฯ
1102. Āsavaniddese pañcakāmaguṇiko rāgo kāmāsavo nāma. Rūpārūpabhavesu chandarāgo jhānanikanti sassatadiṭṭhisahajāto rāgo bhavavasena patthanā bhavāsavo nāma. Dvāsaṭṭhi diṭṭhiyo diṭṭhāsavo nāma. Aṭṭhasu ṭhānesu aññāṇaṃ avijjāsavo nāma. Tattha tattha āgatesu pana āsavesu asammohatthaṃ ekavidhādibhedo veditabbo. Atthato hete cirapārivāsiyaṭṭhena āsavāti evaṃ ekavidhāva honti. Vinaye pana ‘‘diṭṭhadhammikānaṃ āsavānaṃ saṃvarāya samparāyikānaṃ āsavānaṃ paṭighātāyā’’ti (pārā. 39) duvidhena āgatā. Suttante saḷāyatane tāva ‘‘tayome, āvuso, āsavā – kāmāsavo bhavāsavo avijjāsavo’’ti (saṃ. ni. 4.321) tividhena āgatā. Nibbedhikapariyāye ‘‘atthi, bhikkhave, āsavā nirayagamanīyā , atthi āsavā tiracchānayonigamanīyā, atthi āsavā pettivisayagamanīyā, atthi āsavā manussalokagamanīyā, atthi āsavā devalokagamanīyā’’ti (a. ni. 6.63) pañcavidhena āgatā. Chakkanipāte āhuneyyasutte – ‘‘atthi āsavā saṃvarā pahātabbā, atthi āsavā paṭisevanā pahātabbā, atthi āsavā adhivāsanā pahātabbā, atthi āsavā parivajjanā pahātabbā, atthi āsavā vinodanā pahātabbā, atthi āsavā bhāvanā pahātabbā’’ti (a. ni. 6.58) chabbidhena āgatā. Sabbāsavapariyāye (ma. ni. 1.14 ādayo) ‘dassanapahātabbehi’ saddhiṃ sattavidhena āgatā. Idha panete kāmāsavādibhedato catubbidhena āgatā. Tatrāyaṃ vacanattho – pañcakāmaguṇasaṅkhāte kāme āsavo ‘kāmāsavo’. Rūpārūpasaṅkhāte kammato ca upapattito ca duvidhepi bhave āsavo ‘bhavāsavo’. Diṭṭhi eva āsavo ‘diṭṭhāsavo’. Avijjāva āsavo ‘avijjāsavo’.
๑๑๐๓. กาเมสูติ ปญฺจสุ กามคุเณสุฯ กามจฺฉโนฺทติ กามสงฺขาโต ฉโนฺท, น กตฺตุกมฺยตาฉโนฺท, น ธมฺมจฺฉโนฺทฯ กามนวเสน รชฺชนวเสน จ กาโมเยว ราโค กามราโคฯ กามนวเสน นนฺทนวเสน จ กาโมว นนฺทีติ กามนนฺทีฯ เอวํ สพฺพตฺถ กามตฺถํ วิทิตฺวา ตณฺหายนเฎฺฐน กามตณฺหา, สิเนหนเฎฺฐน กามสิเนโห, ปริฑยฺหนเฎฺฐน กามปริฬาโห, มุจฺฉนเฎฺฐน กามมุจฺฉา, คิลิตฺวา ปรินิฎฺฐาปนเฎฺฐน กามโชฺฌสานนฺติ เวทิตพฺพํฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ อฎฺฐหิ ปเทหิ วิภโตฺต กามาสโว นาม วุจฺจติฯ
1103. Kāmesūti pañcasu kāmaguṇesu. Kāmacchandoti kāmasaṅkhāto chando, na kattukamyatāchando, na dhammacchando. Kāmanavasena rajjanavasena ca kāmoyeva rāgo kāmarāgo. Kāmanavasena nandanavasena ca kāmova nandīti kāmanandī. Evaṃ sabbattha kāmatthaṃ viditvā taṇhāyanaṭṭhena kāmataṇhā, sinehanaṭṭhena kāmasineho, pariḍayhanaṭṭhena kāmapariḷāho, mucchanaṭṭhena kāmamucchā, gilitvā pariniṭṭhāpanaṭṭhena kāmajjhosānanti veditabbaṃ. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ aṭṭhahi padehi vibhatto kāmāsavo nāma vuccati.
๑๑๐๔. ภเวสุ ภวฉโนฺทติ รูปารูปภเวสุ ภวปตฺถนาวเสเนว ปวโตฺต ฉโนฺท ‘ภวฉโนฺท’ฯ เสสปทานิปิ อิมินาว นเยน เวทิตพฺพานิฯ
1104. Bhavesu bhavachandoti rūpārūpabhavesu bhavapatthanāvaseneva pavatto chando ‘bhavachando’. Sesapadānipi imināva nayena veditabbāni.
๑๑๐๕. สสฺสโต โลโกติ วาติอาทีหิ ทสหากาเรหิ ทิฎฺฐิปฺปเภโทว วุโตฺตฯ ตตฺถ สสฺสโต โลโกติ เอตฺถ ขนฺธปญฺจกํ โลโกติ คเหตฺวา ‘อยํ โลโก นิโจฺจ ธุโว สพฺพกาลิโก’ติ คณฺหนฺตสฺส ‘สสฺสต’นฺติ คหณาการปฺปวตฺตา ทิฎฺฐิฯ อสสฺสโตติ ตเมว โลกํ ‘อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสตี’ติ คณฺหนฺตสฺส อุเจฺฉทคหณาการปฺปวตฺตา ทิฎฺฐิฯ อนฺตวาติ ปริตฺตกสิณลาภิโน ‘สุปฺปมเตฺต วา สราวมเตฺต วา’ กสิเณ สมาปนฺนสฺส อโนฺตสมาปตฺติยํ ปวตฺติตรูปารูปธเมฺม โลโกติ จ กสิณปริเจฺฉทเนฺตน จ ‘อนฺตวา’ติ คณฺหนฺตสฺส ‘อนฺตวา โลโก’ติ คหณาการปฺปวตฺตา ทิฎฺฐิฯ สา สสฺสตทิฎฺฐิปิ โหติ อุเจฺฉททิฎฺฐิปิฯ วิปุลกสิณลาภิโน ปน ตสฺมิํ กสิเณ สมาปนฺนสฺส อโนฺตสมาปตฺติยํ ปวตฺติตรูปารูปธเมฺม โลโกติ จ กสิณปริเจฺฉทเนฺตน จ ‘อนโนฺต’ติ คณฺหนฺตสฺส ‘อนนฺตวา โลโก’ติ คหณาการปฺปวตฺตา ทิฎฺฐิฯ สา สสฺสตทิฎฺฐิปิ โหติ, อุเจฺฉททิฎฺฐิปิฯ
1105. Sassato lokoti vātiādīhi dasahākārehi diṭṭhippabhedova vutto. Tattha sassato lokoti ettha khandhapañcakaṃ lokoti gahetvā ‘ayaṃ loko nicco dhuvo sabbakāliko’ti gaṇhantassa ‘sassata’nti gahaṇākārappavattā diṭṭhi. Asassatoti tameva lokaṃ ‘ucchijjati vinassatī’ti gaṇhantassa ucchedagahaṇākārappavattā diṭṭhi. Antavāti parittakasiṇalābhino ‘suppamatte vā sarāvamatte vā’ kasiṇe samāpannassa antosamāpattiyaṃ pavattitarūpārūpadhamme lokoti ca kasiṇaparicchedantena ca ‘antavā’ti gaṇhantassa ‘antavā loko’ti gahaṇākārappavattā diṭṭhi. Sā sassatadiṭṭhipi hoti ucchedadiṭṭhipi. Vipulakasiṇalābhino pana tasmiṃ kasiṇe samāpannassa antosamāpattiyaṃ pavattitarūpārūpadhamme lokoti ca kasiṇaparicchedantena ca ‘ananto’ti gaṇhantassa ‘anantavā loko’ti gahaṇākārappavattā diṭṭhi. Sā sassatadiṭṭhipi hoti, ucchedadiṭṭhipi.
ตํ ชีวํ ตํ สรีรนฺติ เภทนธมฺมสฺส สรีรเสฺสว ‘ชีว’นฺติ คหิตตฺตา สรีเร อุจฺฉิชฺชมาเน ‘ชีวมฺปิ อุจฺฉิชฺชตี’ติ อุเจฺฉทคหณาการปฺปวตฺตา ทิฎฺฐิฯ ทุติยปเท สรีรโต อญฺญสฺส ชีวสฺส คหิตตฺตา สรีเร อุจฺฉิชฺชมาเนปิ ‘ชีวํ น อุจฺฉิชฺชตี’ติ สสฺสตคหณาการปฺปวตฺตา ทิฎฺฐิฯ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติอาทีสุ สโตฺต ตถาคโต นามฯ โส ปรํ มรณา โหตีติ คณฺหโต ปฐมา สสฺสตทิฎฺฐิฯ น โหตีติ คณฺหโต ทุติยา อุเจฺฉททิฎฺฐิฯ โหติ จ น จ โหตีติ คณฺหโต ตติยา เอกจฺจสสฺสตทิฎฺฐิฯ เนว โหติ น นโหตีติ คณฺหโต จตุตฺถา อมราวิเกฺขปทิฎฺฐิฯ อิเม ธมฺมา อาสวาติ อิเม กามาสวญฺจ ภวาสวญฺจ ราควเสน เอกโต กตฺวา, สเงฺขปโต ตโย, วิตฺถารโต จตฺตาโร ธมฺมา อาสวา นามฯ
Taṃ jīvaṃ taṃ sarīranti bhedanadhammassa sarīrasseva ‘jīva’nti gahitattā sarīre ucchijjamāne ‘jīvampi ucchijjatī’ti ucchedagahaṇākārappavattā diṭṭhi. Dutiyapade sarīrato aññassa jīvassa gahitattā sarīre ucchijjamānepi ‘jīvaṃ na ucchijjatī’ti sassatagahaṇākārappavattā diṭṭhi. Hoti tathāgato paraṃ maraṇātiādīsu satto tathāgato nāma. So paraṃ maraṇā hotīti gaṇhato paṭhamā sassatadiṭṭhi. Na hotīti gaṇhato dutiyā ucchedadiṭṭhi. Hoti ca na ca hotīti gaṇhato tatiyā ekaccasassatadiṭṭhi. Neva hoti na nahotīti gaṇhato catutthā amarāvikkhepadiṭṭhi. Ime dhammā āsavāti ime kāmāsavañca bhavāsavañca rāgavasena ekato katvā, saṅkhepato tayo, vitthārato cattāro dhammā āsavā nāma.
โย ปน พฺรหฺมานํ วิมานกปฺปรุกฺขอาภรเณสุ ฉนฺทราโค อุปฺปชฺชติ, โส กามาสโว โหติ น โหตีติ? น โหติฯ กสฺมา? ปญฺจกามคุณิกสฺส ราคสฺส อิเธว ปหีนตฺตาฯ เหตุโคจฺฉกํ ปน ปตฺวา โลโภ เหตุ นาม โหติฯ คนฺถโคจฺฉกํ ปตฺวา อภิชฺฌากายคโนฺถ นามฯ กิเลสโคจฺฉกํ ปตฺวา โลโภ กิเลโส นาม โหติฯ ทิฎฺฐิสหชาโต ปน ราโค กามาสโว โหติ น โหตีติ? น โหติ; ทิฎฺฐิราโค นาม โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘ทิฎฺฐิราครเตฺต ปุริสปุคฺคเล ทินฺนทานํ น มหปฺผลํ โหติ, น มหานิสํส’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๒๙)ฯ
Yo pana brahmānaṃ vimānakapparukkhaābharaṇesu chandarāgo uppajjati, so kāmāsavo hoti na hotīti? Na hoti. Kasmā? Pañcakāmaguṇikassa rāgassa idheva pahīnattā. Hetugocchakaṃ pana patvā lobho hetu nāma hoti. Ganthagocchakaṃ patvā abhijjhākāyagantho nāma. Kilesagocchakaṃ patvā lobho kileso nāma hoti. Diṭṭhisahajāto pana rāgo kāmāsavo hoti na hotīti? Na hoti; diṭṭhirāgo nāma hoti. Vuttañhetaṃ ‘‘diṭṭhirāgaratte purisapuggale dinnadānaṃ na mahapphalaṃ hoti, na mahānisaṃsa’’nti (paṭi. ma. 1.129).
อิเม ปน อาสเว กิเลสปฎิปาฎิยาปิ อาหริตุํ วฎฺฎติ, มคฺคปฎิปาฎิยาปิฯ กิเลสปฎิปาฎิยา กามาสโว อนาคามิมเคฺคน ปหียติ, ภวาสโว อรหตฺตมเคฺคน, ทิฎฺฐาสโว โสตาปตฺติมเคฺคน, อวิชฺชาสโว อรหตฺตมเคฺคนฯ มคฺคปฎิปาฎิยา โสตาปตฺติมเคฺคน ทิฎฺฐาสโว ปหียติ, อนาคามิมเคฺคน กามาสโว, อรหตฺตมเคฺคน ภวาสโว อวิชฺชาสโว จาติฯ
Ime pana āsave kilesapaṭipāṭiyāpi āharituṃ vaṭṭati, maggapaṭipāṭiyāpi. Kilesapaṭipāṭiyā kāmāsavo anāgāmimaggena pahīyati, bhavāsavo arahattamaggena, diṭṭhāsavo sotāpattimaggena, avijjāsavo arahattamaggena. Maggapaṭipāṭiyā sotāpattimaggena diṭṭhāsavo pahīyati, anāgāmimaggena kāmāsavo, arahattamaggena bhavāsavo avijjāsavo cāti.
๑๑๒๑. สํโยชเนสุ มานนิเทฺทเส เสโยฺยหมสฺมีติ มาโนติ อุตฺตมเฎฺฐน ‘อหํ เสโยฺย’ติ เอวํ อุปฺปนฺนมาโนฯ สทิโสหมสฺมีติ มาโนติ สมสมเฎฺฐน ‘อหํ สทิโส’ติ เอวํ อุปฺปนฺนมาโนฯ หีโนหมสฺมีติ มาโนติ ลามกเฎฺฐน ‘อหํ หีโน’ติ เอวํ อุปฺปนฺนมาโนฯ เอวํ เสยฺยมาโน สทิสมาโน หีนมาโนติ อิเม ตโย มานา ติณฺณํ ชนานํ อุปฺปชฺชนฺติฯ เสยฺยสฺสาปิ หิ ‘อหํ เสโยฺย สทิโส หีโน’ติ ตโย มานา อุปฺปชฺชนฺติฯ สทิสสฺสาปิ, หีนสฺสาปิฯ ตตฺถ เสยฺยสฺส เสยฺยมาโนว ยาถาวมาโน, อิตเร เทฺว อยาถาวมานาฯ สทิสสฺส สทิสมาโนว…เป.… หีนสฺส หีนมาโนว ยาถาวมาโน, อิตเร เทฺว อยาถาวมานาฯ อิมินา กิํ กถิตํ? เอกสฺส ตโย มานา อุปฺปชฺชนฺตีติ กถิตํฯ ขุทฺทกวตฺถุเก ปน ปฐมกมานภาชนีเย เอโก มาโน ติณฺณํ ชนานํ อุปฺปชฺชตีติ กถิโตฯ
1121. Saṃyojanesu mānaniddese seyyohamasmīti mānoti uttamaṭṭhena ‘ahaṃ seyyo’ti evaṃ uppannamāno. Sadisohamasmīti mānoti samasamaṭṭhena ‘ahaṃ sadiso’ti evaṃ uppannamāno. Hīnohamasmīti mānoti lāmakaṭṭhena ‘ahaṃ hīno’ti evaṃ uppannamāno. Evaṃ seyyamāno sadisamāno hīnamānoti ime tayo mānā tiṇṇaṃ janānaṃ uppajjanti. Seyyassāpi hi ‘ahaṃ seyyo sadiso hīno’ti tayo mānā uppajjanti. Sadisassāpi, hīnassāpi. Tattha seyyassa seyyamānova yāthāvamāno, itare dve ayāthāvamānā. Sadisassa sadisamānova…pe… hīnassa hīnamānova yāthāvamāno, itare dve ayāthāvamānā. Iminā kiṃ kathitaṃ? Ekassa tayo mānā uppajjantīti kathitaṃ. Khuddakavatthuke pana paṭhamakamānabhājanīye eko māno tiṇṇaṃ janānaṃ uppajjatīti kathito.
มานกรณวเสน มาโนฯ มญฺญนา มญฺญิตตฺตนฺติ อาการภาวนิเทฺทสาฯ อุสฺสิตเฎฺฐน อุนฺนติฯ ยสฺสุปฺปชฺชติ ตํ ปุคฺคลํ อุนฺนาเมติ, อุกฺขิปิตฺวา ฐเปตีติ อุนฺนโมฯ สมุสฺสิตเฎฺฐน ธโชฯ อุกฺขิปนเฎฺฐน จิตฺตํ สมฺปคฺคณฺหาตีติ สมฺปคฺคาโหฯ เกตุ วุจฺจติ พหูสุ ธเชสุ อจฺจุคฺคตธโชฯ มาโนปิ ปุนปฺปุนํ อุปฺปชฺชมาโน อปราปเร อุปาทาย อจฺจุคฺคตเฎฺฐน เกตุ วิยาติ ‘เกตุ’ฯ เกตุํ อิจฺฉตีติ เกตุกมฺยํ, ตสฺส ภาโว เกตุกมฺยตาฯ สา ปน จิตฺตสฺส, น อตฺตโนฯ เตน วุตฺตํ – ‘เกตุกมฺยตา จิตฺตสฺสา’ติฯ มานสมฺปยุตฺตญฺหิ จิตฺตํ เกตุํ อิจฺฉติฯ ตสฺส จ ภาโว เกตุกมฺยตา; เกตุสงฺขาโต มาโนติฯ
Mānakaraṇavasena māno. Maññanā maññitattanti ākārabhāvaniddesā. Ussitaṭṭhena unnati. Yassuppajjati taṃ puggalaṃ unnāmeti, ukkhipitvā ṭhapetīti unnamo. Samussitaṭṭhena dhajo. Ukkhipanaṭṭhena cittaṃ sampaggaṇhātīti sampaggāho. Ketu vuccati bahūsu dhajesu accuggatadhajo. Mānopi punappunaṃ uppajjamāno aparāpare upādāya accuggataṭṭhena ketu viyāti ‘ketu’. Ketuṃ icchatīti ketukamyaṃ, tassa bhāvo ketukamyatā. Sā pana cittassa, na attano. Tena vuttaṃ – ‘ketukamyatā cittassā’ti. Mānasampayuttañhi cittaṃ ketuṃ icchati. Tassa ca bhāvo ketukamyatā; ketusaṅkhāto mānoti.
๑๑๒๖. อิสฺสานิเทฺทเส ยา ปรลาภสกฺการครุการมานนวนฺทนปูชนาสุ อิสฺสาติ ยา เอเตสุ ปเรสํ ลาภาทีสุ ‘กิํ อิมินา อิเมส’นฺติ ปรสมฺปตฺติขิยฺยนลกฺขณา อิสฺสาฯ ตตฺถ ลาโภติ จีวราทีนํ จตุนฺนํ ปจฺจยานํ ปฎิลาโภฯ อิสฺสุกี หิ ปุคฺคโล ปรสฺส ตํ ลาภํ ขิยฺยติ, ‘กิํ อิมสฺส อิมินา’ติ น อิจฺฉติฯ สกฺกาโรติ เตสํเยว ปจฺจยานํ สุกตานํ สุนฺทรานํ ปฎิลาโภฯ ครุกาโรติ ครุกิริยา, ภาริยกรณํฯ มานนนฺติ มเนน ปิยกรณํฯ วนฺทนนฺติ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทนํฯ ปูชนาติ คนฺธมาลาทีหิ ปูชนาฯ อิสฺสายนวเสน อิสฺสาฯ อิสฺสากาโร อิสฺสายนาฯ อิสฺสายิตภาโว อิสฺสายิตตฺตํฯ อุสูยาทีนิ อิสฺสาทิเววจนานิฯ
1126. Issāniddese yā paralābhasakkāragarukāramānanavandanapūjanāsu issāti yā etesu paresaṃ lābhādīsu ‘kiṃ iminā imesa’nti parasampattikhiyyanalakkhaṇā issā. Tattha lābhoti cīvarādīnaṃ catunnaṃ paccayānaṃ paṭilābho. Issukī hi puggalo parassa taṃ lābhaṃ khiyyati, ‘kiṃ imassa iminā’ti na icchati. Sakkāroti tesaṃyeva paccayānaṃ sukatānaṃ sundarānaṃ paṭilābho. Garukāroti garukiriyā, bhāriyakaraṇaṃ. Mānananti manena piyakaraṇaṃ. Vandananti pañcapatiṭṭhitena vandanaṃ. Pūjanāti gandhamālādīhi pūjanā. Issāyanavasena issā. Issākāro issāyanā. Issāyitabhāvo issāyitattaṃ. Usūyādīni issādivevacanāni.
อิมิสฺสา ปน อิสฺสาย ขิยฺยนลกฺขณํ อาคาริเกนาปิ อนาคาริเกนาปิ ทีเปตพฺพํฯ อาคาริโก หิ เอกโจฺจ กสิวณิชฺชาทีสุ อญฺญตเรน อาชีเวน อตฺตโน ปุริสการํ นิสฺสาย ภทฺทกํ ยานํ วา วาหนํ วา รตนํ วา ลภติฯ อปโร ตสฺส อลาภตฺถิโก เตน ลาเภน น ตุสฺสติฯ ‘กทา นุ โข เอส อิมาย สมฺปตฺติยา ปริหายิตฺวา กปโณ หุตฺวา จริสฺสตี’ติ จิเนฺตตฺวา เอเกน การเณน ตสฺมิํ ตาย สมฺปตฺติยา ปริหีเน อตฺตมโน โหติฯ อนาคาริโกปิ เอโก อิสฺสามนโก อญฺญํ อตฺตโน สุตปริยตฺติอาทีนิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนลาภาทิสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘กทา นุ โข เอโส อิเมหิ ลาภาทีหิ ปริหายิสฺสตี’ติ จิเนฺตตฺวา, ยทา ตํ เอเกน การเณน ปริหีนํ ปสฺสติ, ตทา อตฺตมโน โหติฯ เอวํ ปรสมฺปตฺติขิยฺยนลกฺขณา ‘อิสฺสา’ติ เวทิตพฺพาฯ
Imissā pana issāya khiyyanalakkhaṇaṃ āgārikenāpi anāgārikenāpi dīpetabbaṃ. Āgāriko hi ekacco kasivaṇijjādīsu aññatarena ājīvena attano purisakāraṃ nissāya bhaddakaṃ yānaṃ vā vāhanaṃ vā ratanaṃ vā labhati. Aparo tassa alābhatthiko tena lābhena na tussati. ‘Kadā nu kho esa imāya sampattiyā parihāyitvā kapaṇo hutvā carissatī’ti cintetvā ekena kāraṇena tasmiṃ tāya sampattiyā parihīne attamano hoti. Anāgārikopi eko issāmanako aññaṃ attano sutapariyattiādīni nissāya uppannalābhādisampattiṃ disvā ‘kadā nu kho eso imehi lābhādīhi parihāyissatī’ti cintetvā, yadā taṃ ekena kāraṇena parihīnaṃ passati, tadā attamano hoti. Evaṃ parasampattikhiyyanalakkhaṇā ‘issā’ti veditabbā.
๑๑๒๗. มจฺฉริยนิเทฺทเส วตฺถุโต มจฺฉริยทสฺสนตฺถํ ‘ปญฺจ มจฺฉริยานิ อาวาสมจฺฉริย’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อาวาเส มจฺฉริยํ อาวาสมจฺฉริยํฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ
1127. Macchariyaniddese vatthuto macchariyadassanatthaṃ ‘pañca macchariyāni āvāsamacchariya’ntiādi vuttaṃ. Tattha āvāse macchariyaṃ āvāsamacchariyaṃ. Sesapadesupi eseva nayo.
อาวาโส นาม สกลาราโมปิ ปริเวณมฺปิ เอโกวรโกปิ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานาทีนิปิฯ เตสุ วสนฺตา สุขํ วสนฺติ ปจฺจเย ลภนฺติฯ เอโก ภิกฺขุ วตฺตสมฺปนฺนเสฺสว เปสลสฺส ภิกฺขุโน ตตฺถ อาคมนํ น อิจฺฉติฯ อาคโตปิ ‘ขิปฺปํ คจฺฉตู’ติ จิเนฺตติฯ อิทํ ‘อาวาสมจฺฉริยํ’ นามฯ ภณฺฑนการกาทีนํ ปน ตตฺถ วาสํ อนิจฺฉโต อาวาสมจฺฉริยํ นาม น โหติฯ
Āvāso nāma sakalārāmopi pariveṇampi ekovarakopi rattiṭṭhānadivāṭṭhānādīnipi. Tesu vasantā sukhaṃ vasanti paccaye labhanti. Eko bhikkhu vattasampannasseva pesalassa bhikkhuno tattha āgamanaṃ na icchati. Āgatopi ‘khippaṃ gacchatū’ti cinteti. Idaṃ ‘āvāsamacchariyaṃ’ nāma. Bhaṇḍanakārakādīnaṃ pana tattha vāsaṃ anicchato āvāsamacchariyaṃ nāma na hoti.
กุลนฺติ อุปฎฺฐากกุลมฺปิ ญาติกุลมฺปิฯ ตตฺถ อญฺญสฺส อุปสงฺกมนํ อนิจฺฉโต กุลมจฺฉริยํ โหติฯ ปาปปุคฺคลสฺส ปน อุปสงฺกมนํ อนิจฺฉโนฺตปิ มจฺฉรี นาม น โหติฯ โส หิ เตสํ ปสาทเภทาย ปฎิปชฺชติฯ ปสาทํ รกฺขิตุํ สมตฺถเสฺสว ปน ภิกฺขุโน ตตฺถ อุปสงฺกมนํ อนิจฺฉโนฺต มจฺฉรี นาม โหติฯ
Kulanti upaṭṭhākakulampi ñātikulampi. Tattha aññassa upasaṅkamanaṃ anicchato kulamacchariyaṃ hoti. Pāpapuggalassa pana upasaṅkamanaṃ anicchantopi maccharī nāma na hoti. So hi tesaṃ pasādabhedāya paṭipajjati. Pasādaṃ rakkhituṃ samatthasseva pana bhikkhuno tattha upasaṅkamanaṃ anicchanto maccharī nāma hoti.
ลาโภติ จตุปจฺจยลาโภวฯ ตํ อญฺญสฺมิํ สีลวเนฺตเยว ลภเนฺต ‘มา ลภตู’ติ จิเนฺตนฺตสฺส ลาภมจฺฉริยํ โหติฯ โย ปน สทฺธาเทยฺยํ วินิปาเตติ, อปริโภคทุปฺปริโภคาทิวเสน วินาเสติ, ปูติภาวํ คจฺฉนฺตมฺปิ อญฺญสฺส น เทติ, ตํ ทิสฺวา ‘สเจ อิมํ เอส น ลเภยฺย , อโญฺญ สีลวา ลเภยฺย, ปริโภคํ คเจฺฉยฺยา’ติ จิเนฺตนฺตสฺส มจฺฉริยํ นาม นตฺถิฯ
Lābhoti catupaccayalābhova. Taṃ aññasmiṃ sīlavanteyeva labhante ‘mā labhatū’ti cintentassa lābhamacchariyaṃ hoti. Yo pana saddhādeyyaṃ vinipāteti, aparibhogadupparibhogādivasena vināseti, pūtibhāvaṃ gacchantampi aññassa na deti, taṃ disvā ‘sace imaṃ esa na labheyya , añño sīlavā labheyya, paribhogaṃ gaccheyyā’ti cintentassa macchariyaṃ nāma natthi.
วโณฺณ นาม สรีรวโณฺณปิ คุณวโณฺณปิฯ ตตฺถ สรีรวเณฺณ มจฺฉริปุคฺคโล ‘ปโร ปาสาทิโก รูปวา’ติ วุเตฺต ตํ น กเถตุกาโม โหติฯ คุณวณฺณมจฺฉรี สีเลน ธุตเงฺคน ปฎิปทาย อาจาเรน วณฺณํ น กเถตุกาโม โหติฯ
Vaṇṇo nāma sarīravaṇṇopi guṇavaṇṇopi. Tattha sarīravaṇṇe maccharipuggalo ‘paro pāsādiko rūpavā’ti vutte taṃ na kathetukāmo hoti. Guṇavaṇṇamaccharī sīlena dhutaṅgena paṭipadāya ācārena vaṇṇaṃ na kathetukāmo hoti.
ธโมฺมติ ปริยตฺติธโมฺม จ ปฎิเวธธโมฺม จฯ ตตฺถ อริยสาวกา ปฎิเวธธมฺมํ น มจฺฉรายนฺติ, อตฺตนา ปฎิวิทฺธธเมฺม สเทวกสฺส โลกสฺส ปฎิเวธํ อิจฺฉนฺติฯ ตํ ปน ปฎิเวธํ ‘ปเร ชานนฺตู’ติ อิจฺฉนฺติฯ ตนฺติธเมฺมเยว ปน ธมฺมมจฺฉริยํ นาม โหติฯ เตน สมนฺนาคโต ปุคฺคโล ยํ คุฬฺหํ คนฺถํ วา กถามคฺคํ วา ชานาติ ตํ อญฺญํ น ชานาเปตุกาโม โหติฯ โย ปน ปุคฺคลํ อุปปริกฺขิตฺวา ธมฺมานุคฺคเหน, ธมฺมํ วา อุปปริกฺขิตฺวา ปุคฺคลานุคฺคเหน น เทติ, อยํ ธมฺมมจฺฉรี นาม น โหติฯ
Dhammoti pariyattidhammo ca paṭivedhadhammo ca. Tattha ariyasāvakā paṭivedhadhammaṃ na maccharāyanti, attanā paṭividdhadhamme sadevakassa lokassa paṭivedhaṃ icchanti. Taṃ pana paṭivedhaṃ ‘pare jānantū’ti icchanti. Tantidhammeyeva pana dhammamacchariyaṃ nāma hoti. Tena samannāgato puggalo yaṃ guḷhaṃ ganthaṃ vā kathāmaggaṃ vā jānāti taṃ aññaṃ na jānāpetukāmo hoti. Yo pana puggalaṃ upaparikkhitvā dhammānuggahena, dhammaṃ vā upaparikkhitvā puggalānuggahena na deti, ayaṃ dhammamaccharī nāma na hoti.
ตตฺถ เอกโจฺจ ปุคฺคโล โลโล โหติ, กาเลน สมโณ โหติ, กาเลน พฺราหฺมโณ, กาเลน นิคโณฺฐฯ โย หิ ภิกฺขุ ‘อยํ ปุคฺคโล ปเวณิอาคตํ ตนฺติํ สณฺหํ สุขุมํ ธมฺมนฺตรํ ภินฺทิตฺวา อาลุฬิสฺสตี’ติ น เทติ, อยํ ปุคฺคลํ อุปปริกฺขิตฺวา ธมฺมานุคฺคเหน น เทติ นาม ฯ โย ปน ‘อยํ ธโมฺม สโณฺห สุขุโม, สจายํ ปุคฺคโล คณฺหิสฺสติ อญฺญํ พฺยากริตฺวา อตฺตานํ อาวิกตฺวา นสฺสิสฺสตี’ติ น เทติ, อยํ ธมฺมํ อุปปริกฺขิตฺวา ปุคฺคลานุคฺคเหน น เทติ นามฯ โย ปน ‘สจายํ อิมํ ธมฺมํ คณฺหิสฺสติ, อมฺหากํ สมยํ ภินฺทิตุํ สมโตฺถ ภวิสฺสตี’ติ น เทติ, อยํ ธมฺมมจฺฉรี นาม โหติฯ
Tattha ekacco puggalo lolo hoti, kālena samaṇo hoti, kālena brāhmaṇo, kālena nigaṇṭho. Yo hi bhikkhu ‘ayaṃ puggalo paveṇiāgataṃ tantiṃ saṇhaṃ sukhumaṃ dhammantaraṃ bhinditvā āluḷissatī’ti na deti, ayaṃ puggalaṃ upaparikkhitvā dhammānuggahena na deti nāma . Yo pana ‘ayaṃ dhammo saṇho sukhumo, sacāyaṃ puggalo gaṇhissati aññaṃ byākaritvā attānaṃ āvikatvā nassissatī’ti na deti, ayaṃ dhammaṃ upaparikkhitvā puggalānuggahena na deti nāma. Yo pana ‘sacāyaṃ imaṃ dhammaṃ gaṇhissati, amhākaṃ samayaṃ bhindituṃ samattho bhavissatī’ti na deti, ayaṃ dhammamaccharī nāma hoti.
อิเมสุ ปญฺจสุ มจฺฉริเยสุ อาวาสมจฺฉริเยน ตาว ยโกฺข วา เปโต วา หุตฺวา ตเสฺสว อาวาสสฺส สงฺการํ สีเสน อุกฺขิปิตฺวา วิจรติฯ กุลมจฺฉริเยน ตสฺมิํ กุเล อเญฺญสํ ทานมานนาทีนิ กโรเนฺต ทิสฺวา ‘ภินฺนํ วติทํ กุลํ มมา’ติ จินฺตยโต โลหิตมฺปิ มุขโต อุคฺคจฺฉติ, กุจฺฉิวิเรจนมฺปิ โหติ, อนฺตานิปิ ขณฺฑาขณฺฑานิ หุตฺวา นิกฺขมนฺติฯ ลาภมจฺฉริเยน สงฺฆสฺส วา คณสฺส วา สนฺตเก ลาเภ มจฺฉรายิตฺวา ปุคฺคลิกปริโภคํ วิย ปริภุญฺชิตฺวา ยโกฺข วา เปโต วา มหาอชคโร วา หุตฺวา นิพฺพตฺตติฯ สรีรวณฺณคุณวณฺณมจฺฉเรน ปริยตฺติธมฺมมจฺฉริเยน จ อตฺตโนว วณฺณํ วเณฺณติ, ปเรสํ วเณฺณ ‘กิํ วโณฺณ เอโส’ติ ตํ ตํ โทสํ วทโนฺต ปริยตฺติธมฺมญฺจ กสฺสจิ กิญฺจิ อเทโนฺต ทุพฺพโณฺณ เจว เอฬมูโค จ โหติฯ
Imesu pañcasu macchariyesu āvāsamacchariyena tāva yakkho vā peto vā hutvā tasseva āvāsassa saṅkāraṃ sīsena ukkhipitvā vicarati. Kulamacchariyena tasmiṃ kule aññesaṃ dānamānanādīni karonte disvā ‘bhinnaṃ vatidaṃ kulaṃ mamā’ti cintayato lohitampi mukhato uggacchati, kucchivirecanampi hoti, antānipi khaṇḍākhaṇḍāni hutvā nikkhamanti. Lābhamacchariyena saṅghassa vā gaṇassa vā santake lābhe maccharāyitvā puggalikaparibhogaṃ viya paribhuñjitvā yakkho vā peto vā mahāajagaro vā hutvā nibbattati. Sarīravaṇṇaguṇavaṇṇamaccharena pariyattidhammamacchariyena ca attanova vaṇṇaṃ vaṇṇeti, paresaṃ vaṇṇe ‘kiṃ vaṇṇo eso’ti taṃ taṃ dosaṃ vadanto pariyattidhammañca kassaci kiñci adento dubbaṇṇo ceva eḷamūgo ca hoti.
อปิจ อาวาสมจฺฉริเยน โลหเคเห ปจฺจติฯ กุลมจฺฉริเยน อปฺปลาโภ โหติฯ ลาภมจฺฉริเยน คูถนิรเย นิพฺพตฺตติฯ วณฺณมจฺฉริเยน ภเว ภเว นิพฺพตฺตสฺส วโณฺณ นาม น โหติฯ ธมฺมมจฺฉริเยน กุกฺกุฬนิรเย นิพฺพตฺตตีติฯ
Apica āvāsamacchariyena lohagehe paccati. Kulamacchariyena appalābho hoti. Lābhamacchariyena gūthaniraye nibbattati. Vaṇṇamacchariyena bhave bhave nibbattassa vaṇṇo nāma na hoti. Dhammamacchariyena kukkuḷaniraye nibbattatīti.
มจฺฉรายนวเสน มเจฺฉรํฯ มจฺฉรายนากาโร มจฺฉรายนาฯ มจฺฉเรน อยิตสฺส มเจฺฉรสมงฺคิโน ภาโว มจฺฉรายิตตฺตํฯ ‘มยฺหเมว โหนฺตุ มา อญฺญสฺสา’ติ สพฺพาปิ อตฺตโน สมฺปตฺติโย พฺยาเปตุํ น อิจฺฉตีติ วิวิโจฺฉฯ วิวิจฺฉสฺส ภาโว เววิจฺฉํ, มุทุมจฺฉริยเสฺสตํ นามํฯ กทริโย วุจฺจติ อนาทโรฯ ตสฺส ภาโว กทริยํฯ ถทฺธมจฺฉริยเสฺสตํ นามํฯ เตน หิ สมนฺนาคโต ปุคฺคโล ปรมฺปิ ปเรสํ ททมานํ นิวาเรติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Maccharāyanavasena maccheraṃ. Maccharāyanākāro maccharāyanā. Maccharena ayitassa maccherasamaṅgino bhāvo maccharāyitattaṃ. ‘Mayhameva hontu mā aññassā’ti sabbāpi attano sampattiyo byāpetuṃ na icchatīti viviccho. Vivicchassa bhāvo vevicchaṃ, mudumacchariyassetaṃ nāmaṃ. Kadariyo vuccati anādaro. Tassa bhāvo kadariyaṃ. Thaddhamacchariyassetaṃ nāmaṃ. Tena hi samannāgato puggalo parampi paresaṃ dadamānaṃ nivāreti. Vuttampi cetaṃ –
กทริโย ปาปสงฺกโปฺป, มิจฺฉาทิฎฺฐิ อนาทโร;
Kadariyo pāpasaṅkappo, micchādiṭṭhi anādaro;
ททมานํ นิวาเรติ, ยาจมานาน โภชนนฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๓๒);
Dadamānaṃ nivāreti, yācamānāna bhojananti. (saṃ. ni. 1.132);
ยาจเก ทิสฺวา กฎุกภาเวน จิตฺตํ อญฺจติ สโงฺกเจตีติ กฎุกญฺจุโกฯ ตสฺส ภาโว กฎุกญฺจุกตาฯ อปโร นโย – กฎุกญฺจุกตา วุจฺจติ กฎจฺฉุคฺคาโหฯ สมติตฺติกปุณฺณาย หิ อุกฺขลิยา ภตฺตํ คณฺหโนฺต สพฺพโตภาเคน สงฺกุฎิเตน อคฺคกฎจฺฉุนา คณฺหาติ, ปูเรตฺวา คเหตุํ น สโกฺกติ; เอวํ มจฺฉริปุคฺคลสฺส จิตฺตํ สงฺกุจติฯ ตสฺมิํ สงฺกุจิเต กาโยปิ ตเถว สงฺกุจติ, ปฎิกุฎติ, ปฎินิวตฺตติ, น สมฺปสาริยตีติ มเจฺฉรํ ‘กฎุกญฺจุกตา’ติ วุตฺตํฯ
Yācake disvā kaṭukabhāvena cittaṃ añcati saṅkocetīti kaṭukañcuko. Tassa bhāvo kaṭukañcukatā. Aparo nayo – kaṭukañcukatā vuccati kaṭacchuggāho. Samatittikapuṇṇāya hi ukkhaliyā bhattaṃ gaṇhanto sabbatobhāgena saṅkuṭitena aggakaṭacchunā gaṇhāti, pūretvā gahetuṃ na sakkoti; evaṃ maccharipuggalassa cittaṃ saṅkucati. Tasmiṃ saṅkucite kāyopi tatheva saṅkucati, paṭikuṭati, paṭinivattati, na sampasāriyatīti maccheraṃ ‘kaṭukañcukatā’ti vuttaṃ.
อคฺคหิตตฺตํ จิตฺตสฺสาติ ปเรสํ อุปการกรเณ ทานาทินา อากาเรน ยถา น สมฺปสาริยติ, เอวํ อาวริตฺวา คหิตภาโว จิตฺตสฺสฯ ยสฺมา ปน มจฺฉริปุคฺคโล อตฺตโน สนฺตกํ ปเรสํ อทาตุกาโม โหติ ปรสนฺตกํ คณฺหิตุกาโม, ตสฺมา ‘อิทํ อจฺฉริยํ มยฺหเมว โหตุ, มา อญฺญสฺสา’ติ ปวตฺติวเสนสฺส อตฺตสมฺปตฺตินิคูหนลกฺขณตา อตฺตสมฺปตฺติคฺคหณลกฺขณตา วา เวทิตพฺพาฯ เสสํ อิมสฺมิํ โคจฺฉเก อุตฺตานตฺถเมวฯ
Aggahitattaṃ cittassāti paresaṃ upakārakaraṇe dānādinā ākārena yathā na sampasāriyati, evaṃ āvaritvā gahitabhāvo cittassa. Yasmā pana maccharipuggalo attano santakaṃ paresaṃ adātukāmo hoti parasantakaṃ gaṇhitukāmo, tasmā ‘idaṃ acchariyaṃ mayhameva hotu, mā aññassā’ti pavattivasenassa attasampattinigūhanalakkhaṇatā attasampattiggahaṇalakkhaṇatā vā veditabbā. Sesaṃ imasmiṃ gocchake uttānatthameva.
อิมานิ ปน สํโยชนานิ กิเลสปฎิปาฎิยาปิ อาหริตุํ วฎฺฎติ มคฺคปฎิปาฎิยาปิฯ กิเลสปฎิปาฎิยา กามราคปฎิฆสํโยชนานิ อนาคามิมเคฺคน ปหียนฺติ, มานสํโยชนํ อรหตฺตมเคฺคน, ทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉาสีลพฺพตปรามาสา โสตาปตฺติมเคฺคน, ภวราคสํโยชนํ อรหตฺตมเคฺคน, อิสฺสามจฺฉริยานิ โสตาปตฺติมเคฺคน, อวิชฺชา อรหตฺตมเคฺคนฯ มคฺคปฎิปาฎิยา ทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉาสีลพฺพตปรามาสอิสฺสามจฺฉริยานิ โสตาปตฺติมเคฺคน ปหียนฺติ, กามราคปฎิฆา อนาคามิมเคฺคน, มานภวราคอวิชฺชา อรหตฺตมเคฺคนาติฯ
Imāni pana saṃyojanāni kilesapaṭipāṭiyāpi āharituṃ vaṭṭati maggapaṭipāṭiyāpi. Kilesapaṭipāṭiyā kāmarāgapaṭighasaṃyojanāni anāgāmimaggena pahīyanti, mānasaṃyojanaṃ arahattamaggena, diṭṭhivicikicchāsīlabbataparāmāsā sotāpattimaggena, bhavarāgasaṃyojanaṃ arahattamaggena, issāmacchariyāni sotāpattimaggena, avijjā arahattamaggena. Maggapaṭipāṭiyā diṭṭhivicikicchāsīlabbataparāmāsaissāmacchariyāni sotāpattimaggena pahīyanti, kāmarāgapaṭighā anāgāmimaggena, mānabhavarāgaavijjā arahattamaggenāti.
๑๑๔๐. คนฺถโคจฺฉเก นามกายํ คเนฺถติ, จุติปฎิสนฺธิวเสน วฎฺฎสฺมิํ ฆเฎตีติ กายคโนฺถฯ สพฺพญฺญุภาสิตมฺปิ ปฎิกฺขิปิตฺวา สสฺสโต โลโก อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺติ อิมินา อากาเรน อภินิวิสตีติ อิทํสจฺจาภินิเวโสฯ ยสฺมา ปน อภิชฺฌากามราคานํ วิเสโส อตฺถิ, ตสฺมา อภิชฺฌากายคนฺถสฺส ปทภาชเน ‘‘โย กาเมสุ กามจฺฉโนฺท กามราโค’’ติ อวตฺวา โย ราโค สาราโคติอาทิ วุตฺตํฯ อิมินา ยํ เหฎฺฐา วุตฺตํ ‘พฺรหฺมานํ วิมานาทีสุ ฉนฺทราโค กามาสโว น โหติ, คนฺถโคจฺฉกํ ปตฺวา อภิชฺฌากายคโนฺถ โหตี’ติ ตํ สุวุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ปรโต กิเลสโคจฺฉเกปิ เอเสว นโยฯ ฐเปตฺวา สีลพฺพตปรามาสนฺติ อิทํ ยสฺมา สีลพฺพตปรามาโส ‘อิทเมว สจฺจ’นฺติอาทินา อากาเรน นาภินิวิสติ, ‘สีเลน สุทฺธี’ติอาทินา เอว ปน อภินิวิสติ, ตสฺมา มิจฺฉาทิฎฺฐิภูตมฺปิ ตํ ปฎิกฺขิปโนฺต ‘ฐเปตฺวา’ติ อาหฯ
1140. Ganthagocchake nāmakāyaṃ gantheti, cutipaṭisandhivasena vaṭṭasmiṃ ghaṭetīti kāyagantho. Sabbaññubhāsitampi paṭikkhipitvā sassato loko idameva saccaṃ moghamaññanti iminā ākārena abhinivisatīti idaṃsaccābhiniveso. Yasmā pana abhijjhākāmarāgānaṃ viseso atthi, tasmā abhijjhākāyaganthassa padabhājane ‘‘yo kāmesu kāmacchando kāmarāgo’’ti avatvā yo rāgo sārāgotiādi vuttaṃ. Iminā yaṃ heṭṭhā vuttaṃ ‘brahmānaṃ vimānādīsu chandarāgo kāmāsavo na hoti, ganthagocchakaṃ patvā abhijjhākāyagantho hotī’ti taṃ suvuttanti veditabbaṃ. Parato kilesagocchakepi eseva nayo. Ṭhapetvā sīlabbataparāmāsanti idaṃ yasmā sīlabbataparāmāso ‘idameva sacca’ntiādinā ākārena nābhinivisati, ‘sīlena suddhī’tiādinā eva pana abhinivisati, tasmā micchādiṭṭhibhūtampi taṃ paṭikkhipanto ‘ṭhapetvā’ti āha.
๑๑๖๒. นีวรณโคจฺฉกสฺส ถินมิทฺธนิเทฺทเส จิตฺตสฺส อกลฺลตาติ จิตฺตสฺส คิลานภาโวฯ คิลาโน หิ อกลฺลโกติ วุจฺจติฯ วินเยปิ วุตฺตํ – ‘‘นาหํ, ภเนฺต, อกลฺลโก’’ติ (ปารา. ๑๕๑)ฯ อกมฺมญฺญตาติ จิตฺตเคลญฺญสงฺขาโตว อกมฺมญฺญตากาโรฯ โอลียนาติ โอลียนากาโรฯ อิริยาปถิกจิตฺตญฺหิ อิริยาปถํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตํ, รุเกฺข วคฺคุลิ วิย, ขีเล ลคฺคิตผาณิตวารโก วิย จ, โอลียติฯ ตสฺส ตํ อาการํ สนฺธาย โอลียนาติ วุตฺตํฯ ทุติยปทํ อุปสคฺควเสน วฑฺฒิตํฯ ลีนนฺติ อวิปฺผาริกตาย ปฎิกุฎิตํฯ อิตเร เทฺว อาการภาวนิเทฺทสาฯ ถินนฺติ สปฺปิปิโณฺฑ วิย อวิปฺผาริกตาย ฆนภาเวน ฐิตํฯ ถิยนาติ อาการนิเทฺทโสฯ ถิยิตภาโว ถิยิตตฺตํ, อวิปฺผารวเสเนว ถทฺธตาติ อโตฺถฯ
1162. Nīvaraṇagocchakassa thinamiddhaniddese cittassa akallatāti cittassa gilānabhāvo. Gilāno hi akallakoti vuccati. Vinayepi vuttaṃ – ‘‘nāhaṃ, bhante, akallako’’ti (pārā. 151). Akammaññatāti cittagelaññasaṅkhātova akammaññatākāro. Olīyanāti olīyanākāro. Iriyāpathikacittañhi iriyāpathaṃ sandhāretuṃ asakkontaṃ, rukkhe vagguli viya, khīle laggitaphāṇitavārako viya ca, olīyati. Tassa taṃ ākāraṃ sandhāya olīyanāti vuttaṃ. Dutiyapadaṃ upasaggavasena vaḍḍhitaṃ. Līnanti avipphārikatāya paṭikuṭitaṃ. Itare dve ākārabhāvaniddesā. Thinanti sappipiṇḍo viya avipphārikatāya ghanabhāvena ṭhitaṃ. Thiyanāti ākāraniddeso. Thiyitabhāvo thiyitattaṃ, avipphāravaseneva thaddhatāti attho.
๑๑๖๓. กายสฺสาติ ขนฺธตฺตยสงฺขาตสฺส นามกายสฺสฯ อกลฺลตา อกมฺมญฺญตาติ เหฎฺฐา วุตฺตนยเมวฯ เมโฆ วิย อากาสํ กายํ โอนยฺหตีติ โอนาโหฯ สพฺพโตภาเคน โอนาโห ปริโยนาโหฯ อพฺภนฺตเร สโมรุนฺธตีติ อโนฺตสโมโรโธฯ ยถา หิ นคเร รุนฺธิตฺวา คหิเต มนุสฺสา พหิ นิกฺขมิตุํ น ลภนฺติ, เอวมฺปิ มิเทฺธน สโมรุทฺธา ธมฺมา วิปฺผารวเสน นิกฺขมิตุํ น ลภนฺติฯ ตสฺมา อโนฺตสโมโรโธติ วุตฺตํฯ เมธตีติ มิทฺธํ; อกมฺมญฺญภาเวน วิหิํสตีติ อโตฺถฯ สุปนฺติ เตนาติ โสปฺปํฯ อกฺขิทลาทีนํ ปจลภาวํ กโรตีติ ปจลายิกาฯ สุปนา สุปิตตฺตนฺติ อาการภาวนิเทฺทสาฯ ยํ ปน เตสํ ปุรโต โสปฺปปทํ ตสฺส ปุนวจเน การณํ วุตฺตเมวฯ อิทํ วุจฺจติ ถินมิทฺธนีวรณนฺติ อิทํ ถินญฺจ มิทฺธญฺจ เอกโต กตฺวา อาวรณเฎฺฐน ถินมิทฺธนีวรณนฺติ วุจฺจติฯ ยํ เยภุเยฺยน เสกฺขปุถุชฺชนานํ นิทฺทาย ปุพฺพภาคอปรภาเคสุ อุปฺปชฺชติ ตํ อรหตฺตมเคฺคน สมุจฺฉิชฺชติฯ ขีณาสวานํ ปน กรชกายสฺส ทุพฺพลภาเวน ภวโงฺคตรณํ โหติ, ตสฺมิํ อสมฺมิเสฺส วตฺตมาเน เต สุปนฺติ, สา เนสํ นิทฺทา นาม โหติฯ เตนาห ภควา – ‘‘อภิชานามิ โข ปนาหํ, อคฺคิเวสฺสน, คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส จตุคฺคุณํ สงฺฆาฎิํ ปญฺญเปตฺวา ทกฺขิเณน ปเสฺสน สโต สมฺปชาโน นิทฺทํ โอกฺกมิตา’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๘๗)ฯ เอวรูโป ปนายํ กรชกายสฺส ทุพฺพลภาโว น มคฺควโชฺฌ, อุปาทินฺนเกปิ อนุปาทินฺนเกปิ ลพฺภติฯ อุปาทินฺนเก ลพฺภมาโน ยทา ขีณาสโว ทีฆมคฺคํ คโต โหติ, อญฺญตรํ วา ปน กมฺมํ กตฺวา กิลโนฺต, เอวรูเป กาเล ลพฺภติฯ อนุปาทินฺนเก ลพฺภมาโน ปณฺณปุเปฺผสุ ลพฺภติฯ เอกจฺจานญฺหิ รุกฺขานํ ปณฺณานิ สูริยาตเปน ปสาริยนฺติ รตฺติํ ปฎิกุฎนฺติ, ปทุมปุปฺผาทีนิ สูริยาตเปน ปุปฺผนฺติ, รตฺติํ ปุน ปฎิกุฎนฺติ ฯ อิทํ ปน มิทฺธํ อกุสลตฺตา ขีณาสวานํ น โหตีติฯ
1163. Kāyassāti khandhattayasaṅkhātassa nāmakāyassa. Akallatā akammaññatāti heṭṭhā vuttanayameva. Megho viya ākāsaṃ kāyaṃ onayhatīti onāho. Sabbatobhāgena onāho pariyonāho. Abbhantare samorundhatīti antosamorodho. Yathā hi nagare rundhitvā gahite manussā bahi nikkhamituṃ na labhanti, evampi middhena samoruddhā dhammā vipphāravasena nikkhamituṃ na labhanti. Tasmā antosamorodhoti vuttaṃ. Medhatīti middhaṃ; akammaññabhāvena vihiṃsatīti attho. Supanti tenāti soppaṃ. Akkhidalādīnaṃ pacalabhāvaṃ karotīti pacalāyikā. Supanā supitattanti ākārabhāvaniddesā. Yaṃ pana tesaṃ purato soppapadaṃ tassa punavacane kāraṇaṃ vuttameva. Idaṃ vuccati thinamiddhanīvaraṇanti idaṃ thinañca middhañca ekato katvā āvaraṇaṭṭhena thinamiddhanīvaraṇanti vuccati. Yaṃ yebhuyyena sekkhaputhujjanānaṃ niddāya pubbabhāgaaparabhāgesu uppajjati taṃ arahattamaggena samucchijjati. Khīṇāsavānaṃ pana karajakāyassa dubbalabhāvena bhavaṅgotaraṇaṃ hoti, tasmiṃ asammisse vattamāne te supanti, sā nesaṃ niddā nāma hoti. Tenāha bhagavā – ‘‘abhijānāmi kho panāhaṃ, aggivessana, gimhānaṃ pacchime māse catugguṇaṃ saṅghāṭiṃ paññapetvā dakkhiṇena passena sato sampajāno niddaṃ okkamitā’’ti (ma. ni. 1.387). Evarūpo panāyaṃ karajakāyassa dubbalabhāvo na maggavajjho, upādinnakepi anupādinnakepi labbhati. Upādinnake labbhamāno yadā khīṇāsavo dīghamaggaṃ gato hoti, aññataraṃ vā pana kammaṃ katvā kilanto, evarūpe kāle labbhati. Anupādinnake labbhamāno paṇṇapupphesu labbhati. Ekaccānañhi rukkhānaṃ paṇṇāni sūriyātapena pasāriyanti rattiṃ paṭikuṭanti, padumapupphādīni sūriyātapena pupphanti, rattiṃ puna paṭikuṭanti . Idaṃ pana middhaṃ akusalattā khīṇāsavānaṃ na hotīti.
ตตฺถ สิยา – ‘‘น มิทฺธํ อกุสลํฯ กสฺมา? รูปตฺตาฯ รูปญฺหิ อพฺยากตํฯ อิทญฺจ รูปํฯ เตเนเวตฺถ ‘กายสฺส อกลฺลตา อกมฺมญฺญตา’ติ กายคฺคหณํ กต’’นฺติฯ ยทิ ‘กายสฺสา’ติ วุตฺตมเตฺตเนเวตํ รูปํ, กายปสฺสทฺธาทโยปิ ธมฺมา รูปเมว ภเวยฺยุํฯ ‘สุขญฺจ กาเยน ปฎิสํเวเทติ’ (ธ. ส. ๑๖๓; ที. นิ. ๑.๒๓๐) ‘กาเยน เจว ปรมสจฺจํ สจฺฉิกโรตี’ติ (ม. นิ. ๒.๑๘๓; อ. นิ. ๔.๑๑๓) สุขปฎิสํเวทนปรมตฺถสจฺจสจฺฉิกรณานิปิ รูปกาเยเนว สิยุํฯ ตสฺมา น วตฺตพฺพเมตํ ‘รูปํ มิทฺธ’นฺติฯ นามกาโย เหตฺถ กาโย นามฯ ยทิ นามกาโย, อถ กสฺมา ‘โสปฺปํ ปจลายิกา’ติ วุตฺตํ? น หิ นามกาโย สุปติ, น จ ปจลายตีติฯ ‘ลิงฺคาทีนิ วิย อินฺทฺริยสฺส, ตสฺส ผลตฺตาฯ ยถา หิ ‘อิตฺถิลิงฺคํ อิตฺถินิมิตฺตํ อิตฺถิกุตฺตํ อิตฺถากโปฺป’ติ อิมานิ ลิงฺคาทีนิ อิตฺถินฺทฺริยสฺส ผลตฺตา วุตฺตานิ, เอวํ อิมสฺสาปิ นามกายเคลญฺญสงฺขาตสฺส มิทฺธสฺส ผลตฺตา โสปฺปาทีนิ วุตฺตานิฯ มิเทฺธ หิ สติ ตานิ โหนฺตีติฯ ผลูปจาเรน, มิทฺธํ อรูปมฺปิ สมานํ ‘โสปฺปํ ปจลายิกา สุปนา สุปิตตฺต’นฺติ วุตฺตํฯ
Tattha siyā – ‘‘na middhaṃ akusalaṃ. Kasmā? Rūpattā. Rūpañhi abyākataṃ. Idañca rūpaṃ. Tenevettha ‘kāyassa akallatā akammaññatā’ti kāyaggahaṇaṃ kata’’nti. Yadi ‘kāyassā’ti vuttamattenevetaṃ rūpaṃ, kāyapassaddhādayopi dhammā rūpameva bhaveyyuṃ. ‘Sukhañca kāyena paṭisaṃvedeti’ (dha. sa. 163; dī. ni. 1.230) ‘kāyena ceva paramasaccaṃ sacchikarotī’ti (ma. ni. 2.183; a. ni. 4.113) sukhapaṭisaṃvedanaparamatthasaccasacchikaraṇānipi rūpakāyeneva siyuṃ. Tasmā na vattabbametaṃ ‘rūpaṃ middha’nti. Nāmakāyo hettha kāyo nāma. Yadi nāmakāyo, atha kasmā ‘soppaṃ pacalāyikā’ti vuttaṃ? Na hi nāmakāyo supati, na ca pacalāyatīti. ‘Liṅgādīni viya indriyassa, tassa phalattā. Yathā hi ‘itthiliṅgaṃ itthinimittaṃ itthikuttaṃ itthākappo’ti imāni liṅgādīni itthindriyassa phalattā vuttāni, evaṃ imassāpi nāmakāyagelaññasaṅkhātassa middhassa phalattā soppādīni vuttāni. Middhe hi sati tāni hontīti. Phalūpacārena, middhaṃ arūpampi samānaṃ ‘soppaṃ pacalāyikā supanā supitatta’nti vuttaṃ.
‘อกฺขิทลาทีนํ ปจลภาวํ กโรตีติ ปจลายิกา’ติ วจนเตฺถนาปิ จายมโตฺถ สาธิโตเยวาติ น รูปํ มิทฺธํฯ โอนาหาทีหิปิ จสฺส อรูปภาโว ทีปิโตเยวฯ น หิ รูปํ นามกายสฺส ‘โอนาโห ปริโยนาโห อโนฺตสโมโรโธ’ โหตีติฯ ‘นนุ จ อิมินาว การเณเนตํ รูปํ? น หิ อรูปํ กสฺสจิ โอนาโห, น ปริโยนาโห, น อโนฺตสโมโรโธ โหตี’ติฯ ยทิ เอวํ, อาวรณมฺปิ น ภเวยฺยฯ ตสฺมาฯ ยถา กามจฺฉนฺทาทโย อรูปธมฺมา อาวรณเฎฺฐน นีวรณา, เอวํ อิมสฺสาปิ โอนาหนาทิอเตฺถน โอนาหาทิตา เวทิตพฺพาฯ อปิจ ‘‘ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๔๖; สํ. นิ. ๕.๒๓๓) วจนโตเปตํ อรูปํฯ น หิ รูปํ จิตฺตุปกฺกิเลโส, น ปญฺญาย ทุพฺพลีกรณํ โหตีติฯ
‘Akkhidalādīnaṃ pacalabhāvaṃ karotīti pacalāyikā’ti vacanatthenāpi cāyamattho sādhitoyevāti na rūpaṃ middhaṃ. Onāhādīhipi cassa arūpabhāvo dīpitoyeva. Na hi rūpaṃ nāmakāyassa ‘onāho pariyonāho antosamorodho’ hotīti. ‘Nanu ca imināva kāraṇenetaṃ rūpaṃ? Na hi arūpaṃ kassaci onāho, na pariyonāho, na antosamorodho hotī’ti. Yadi evaṃ, āvaraṇampi na bhaveyya. Tasmā. Yathā kāmacchandādayo arūpadhammā āvaraṇaṭṭhena nīvaraṇā, evaṃ imassāpi onāhanādiatthena onāhāditā veditabbā. Apica ‘‘pañca nīvaraṇe pahāya cetaso upakkilese paññāya dubbalīkaraṇe’’ti (dī. ni. 2.146; saṃ. ni. 5.233) vacanatopetaṃ arūpaṃ. Na hi rūpaṃ cittupakkileso, na paññāya dubbalīkaraṇaṃ hotīti.
กสฺมา น โหติ? นนุ วุตฺตํ –
Kasmā na hoti? Nanu vuttaṃ –
‘‘สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา สุรํ ปิวนฺติ เมรยํ, สุราเมรยปานา อปฺปฎิวิรตา, อยํ, ภิกฺขเว, ปฐโม สมณพฺราหฺมณานํ อุปกฺกิเลโส’’ติ (อ. นิ. ๔.๕๐)ฯ
‘‘Santi, bhikkhave, eke samaṇabrāhmaṇā suraṃ pivanti merayaṃ, surāmerayapānā appaṭiviratā, ayaṃ, bhikkhave, paṭhamo samaṇabrāhmaṇānaṃ upakkileso’’ti (a. ni. 4.50).
อปรมฺปิ วุตฺตํ ‘‘ฉ โขเม, คหปติปุตฺต, อาทีนวา สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานานุโยเค – สนฺทิฎฺฐิกา ธนชานิ, กลหปฺปวฑฺฒนี, โรคานํ อายตนํ, อกิตฺติสญฺชนนี, โกปีนนิทํสนี, ปญฺญาย ทุพฺพลีกรณีเตฺวว ฉฎฺฐํ ปทํ ภวตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๔๘)ฯ ปจฺจกฺขโตปิ เจตํ สิทฺธเมวฯ ยถา มเชฺช อุทรคเต, จิตฺตํ สํกิลิสฺสติ, ปญฺญา ทุพฺพลา โหติ, ตสฺมา มชฺชํ วิย มิทฺธมฺปิ จิตฺตสํกิเลโส เจว ปญฺญาย ทุพฺพลีกรณญฺจ สิยาติฯ น, ปจฺจยนิเทฺทสโตฯ ยทิ หิ มชฺชํ สํกิเลโส ภเวยฺย, โส ‘‘อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๙๗) วา, ‘‘เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ปญฺจิเม จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสา, เยหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฎฺฐํ จิตฺตํ น เจว มุทุ โหติ, น จ กมฺมนิยํ, น จ ปภสฺสรํ, ปภงฺคุ จ, น จ สมฺมา สมาธิยติ อาสวานํ ขยายฯ กตเม ปญฺจ? กามจฺฉโนฺท, ภิกฺขเว, จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๑๔) วา, ‘‘กตเม จ, ภิกฺขเว, จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสา? อภิชฺฌา วิสมโลโภ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’’ติ (ม. นิ. ๑.๗๑) วา – เอวมาทีสุ อุปกฺกิเลสนิเทฺทเสสุ นิเทฺทสํ อาคเจฺฉยฺยฯ ยสฺมา ปน ตสฺมิํ ปีเต อุปกฺกิเลสา อุปฺปชฺชนฺติ เย จิตฺตสํกิเลสา เจว ปญฺญาย จ ทุพฺพลีกรณา โหนฺติ, ตสฺมา ตํ เตสํ ปจฺจยตฺตา ปจฺจยนิเทฺทสโต เอวํ วุตฺตํฯ มิทฺธํ ปน สยเมว จิตฺตสฺส สํกิเลโส เจว ปญฺญาย ทุพฺพลีกรณญฺจาติ อรูปเมว มิทฺธํฯ
Aparampi vuttaṃ ‘‘cha khome, gahapatiputta, ādīnavā surāmerayamajjapamādaṭṭhānānuyoge – sandiṭṭhikā dhanajāni, kalahappavaḍḍhanī, rogānaṃ āyatanaṃ, akittisañjananī, kopīnanidaṃsanī, paññāya dubbalīkaraṇītveva chaṭṭhaṃ padaṃ bhavatī’’ti (dī. ni. 3.248). Paccakkhatopi cetaṃ siddhameva. Yathā majje udaragate, cittaṃ saṃkilissati, paññā dubbalā hoti, tasmā majjaṃ viya middhampi cittasaṃkileso ceva paññāya dubbalīkaraṇañca siyāti. Na, paccayaniddesato. Yadi hi majjaṃ saṃkileso bhaveyya, so ‘‘ime pañca nīvaraṇe pahāya cetaso upakkilese’’ti (ma. ni. 1.297) vā, ‘‘evameva kho, bhikkhave, pañcime cittassa upakkilesā, yehi upakkilesehi upakkiliṭṭhaṃ cittaṃ na ceva mudu hoti, na ca kammaniyaṃ, na ca pabhassaraṃ, pabhaṅgu ca, na ca sammā samādhiyati āsavānaṃ khayāya. Katame pañca? Kāmacchando, bhikkhave, cittassa upakkileso’’ti (saṃ. ni. 5.214) vā, ‘‘katame ca, bhikkhave, cittassa upakkilesā? Abhijjhā visamalobho cittassa upakkileso’’ti (ma. ni. 1.71) vā – evamādīsu upakkilesaniddesesu niddesaṃ āgaccheyya. Yasmā pana tasmiṃ pīte upakkilesā uppajjanti ye cittasaṃkilesā ceva paññāya ca dubbalīkaraṇā honti, tasmā taṃ tesaṃ paccayattā paccayaniddesato evaṃ vuttaṃ. Middhaṃ pana sayameva cittassa saṃkileso ceva paññāya dubbalīkaraṇañcāti arūpameva middhaṃ.
กิญฺจ ภิโยฺย? สมฺปโยควจนโตฯ ‘‘ถินมิทฺธนีวรณํ อวิชฺชานีวรเณน นีวรณเญฺจว นีวรณสมฺปยุตฺตญฺจา’’ติ (ธ. ส. ๑๑๗๖) หิ วุตฺตํฯ ตสฺมา สมฺปโยควจนโต นยิทํ รูปํฯ น หิ รูปํ สมฺปยุตฺตสงฺขฺยํ ลภตีติฯ อถาปิ สิยา – ‘ยถาลาภวเสเนตํ วุตฺตํฯ ยถา หิ ‘‘สิปฺปิสมฺพุกมฺปิ สกฺขรกถลมฺปิ มจฺฉคุมฺพมฺปิ จรนฺตมฺปิ ติฎฺฐนฺตมฺปี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๔๙; ม. นิ. ๑.๔๓๓) เอวํ เอกโต กตฺวา ยถาลาภวเสน วุตฺตํฯ สกฺขรกถลญฺหิ ติฎฺฐติ เยว น จรติ, อิตรทฺวยํ ติฎฺฐติปิ จรติปิฯ เอวมิธาปิ มิทฺธํ นีวรณเมว, น สมฺปยุตฺตํ , ถินํ นีวรณมฺปิ สมฺปยุตฺตมฺปีติ สพฺพํ เอกโต กตฺวา ยถาลาภวเสน ‘‘นีวรณเญฺจว นีวรณสมฺปยุตฺตญฺจา’’ติ วุตฺตํฯ มิทฺธํ ปน ยถา สกฺขรกถลํ ติฎฺฐเตว น จรติ, เอวํ นีวรณเมว, น สมฺปยุตฺตํฯ ตสฺมา รูปเมว มิทฺธนฺติฯ น, รูปภาวาสิทฺธิโตฯ สกฺขรกถลญฺหิ น จรตีติ วินาปิ สุเตฺตน สิทฺธํฯ ตสฺมา ตตฺถ ยถาลาภวเสนโตฺถ โหตุ ฯ มิทฺธํ ปน รูปนฺติ อสิทฺธเมตํฯ น สกฺกา ตสฺส อิมินา สุเตฺตน รูปภาโว สาเธตุนฺติ มิทฺธสฺส รูปภาวาสิทฺธิโต น อิทํ ยถาลาภวเสน วุตฺตนฺติ อรูปเมว มิทฺธํฯ
Kiñca bhiyyo? Sampayogavacanato. ‘‘Thinamiddhanīvaraṇaṃ avijjānīvaraṇena nīvaraṇañceva nīvaraṇasampayuttañcā’’ti (dha. sa. 1176) hi vuttaṃ. Tasmā sampayogavacanato nayidaṃ rūpaṃ. Na hi rūpaṃ sampayuttasaṅkhyaṃ labhatīti. Athāpi siyā – ‘yathālābhavasenetaṃ vuttaṃ. Yathā hi ‘‘sippisambukampi sakkharakathalampi macchagumbampi carantampi tiṭṭhantampī’’ti (dī. ni. 1.249; ma. ni. 1.433) evaṃ ekato katvā yathālābhavasena vuttaṃ. Sakkharakathalañhi tiṭṭhati yeva na carati, itaradvayaṃ tiṭṭhatipi caratipi. Evamidhāpi middhaṃ nīvaraṇameva, na sampayuttaṃ , thinaṃ nīvaraṇampi sampayuttampīti sabbaṃ ekato katvā yathālābhavasena ‘‘nīvaraṇañceva nīvaraṇasampayuttañcā’’ti vuttaṃ. Middhaṃ pana yathā sakkharakathalaṃ tiṭṭhateva na carati, evaṃ nīvaraṇameva, na sampayuttaṃ. Tasmā rūpameva middhanti. Na, rūpabhāvāsiddhito. Sakkharakathalañhi na caratīti vināpi suttena siddhaṃ. Tasmā tattha yathālābhavasenattho hotu . Middhaṃ pana rūpanti asiddhametaṃ. Na sakkā tassa iminā suttena rūpabhāvo sādhetunti middhassa rūpabhāvāsiddhito na idaṃ yathālābhavasena vuttanti arūpameva middhaṃ.
กิญฺจ ภิโยฺย? ‘จตฺตตฺตา’ติอาทิวจนโตฯ วิภงฺคสฺมิญฺหิ ‘‘วิคตถินมิโทฺธติ ตสฺส ถินมิทฺธสฺส จตฺตตฺตา วนฺตตฺตา มุตฺตตฺตา ปหีนตฺตา ปฎินิสฺสฎฺฐตฺตา, เตน วุจฺจติ วิคตถินมิโทฺธ’’ติ (วิภ. ๕๔๗) จ, ‘‘อิทํ จิตฺตํ อิมมฺหา ถินมิทฺธา โสเธติ วิโสเธติ ปริโสเธติ โมเจติ วิโมเจติ ปริโมเจติ, เตน วุจฺจติ ถินมิทฺธา จิตฺตํ ปริโสเธติ’’ จาติ (วิภ. ๕๕๑) – เอวํ ‘จตฺตตฺตา’ติอาทิ วุตฺตํฯ น จ ‘รูปํ’ เอวํ วุจฺจติ, ตสฺมาปิ อรูปเมว มิทฺธนฺติฯ น, จิตฺตชสฺสาสมฺภววจนโตฯ ติวิธญฺหิ มิทฺธํ – จิตฺตชํ อุตุชํ อาหารชญฺจฯ ตสฺมา ยํ ตตฺถ จิตฺตชํ ตสฺส วิภเงฺค ฌานจิเตฺตหิ อสมฺภโว วุโตฺต, น อรูปภาโว สาธิโตติ รูปเมว มิทฺธนฺติฯ น, รูปภาวาสิทฺธิโตวฯ มิทฺธสฺส หิ รูปภาเว สิเทฺธ สกฺกา เอตํ ลทฺธุํฯ ตตฺถ จิตฺตชสฺสาสมฺภโว วุโตฺตฯ โส เอว จ น สิชฺฌตีติ อรูปเมว มิทฺธํฯ
Kiñca bhiyyo? ‘Cattattā’tiādivacanato. Vibhaṅgasmiñhi ‘‘vigatathinamiddhoti tassa thinamiddhassa cattattā vantattā muttattā pahīnattā paṭinissaṭṭhattā, tena vuccati vigatathinamiddho’’ti (vibha. 547) ca, ‘‘idaṃ cittaṃ imamhā thinamiddhā sodheti visodheti parisodheti moceti vimoceti parimoceti, tena vuccati thinamiddhā cittaṃ parisodheti’’ cāti (vibha. 551) – evaṃ ‘cattattā’tiādi vuttaṃ. Na ca ‘rūpaṃ’ evaṃ vuccati, tasmāpi arūpameva middhanti. Na, cittajassāsambhavavacanato. Tividhañhi middhaṃ – cittajaṃ utujaṃ āhārajañca. Tasmā yaṃ tattha cittajaṃ tassa vibhaṅge jhānacittehi asambhavo vutto, na arūpabhāvo sādhitoti rūpameva middhanti. Na, rūpabhāvāsiddhitova. Middhassa hi rūpabhāve siddhe sakkā etaṃ laddhuṃ. Tattha cittajassāsambhavo vutto. So eva ca na sijjhatīti arūpameva middhaṃ.
กิญฺจ ภิโยฺย? ปหานวจนโตฯ ภควตา หิ ‘‘ฉ, ภิกฺขเว, ธเมฺม ปหาย ภโพฺพ ปฐมชฺฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหริตุํ; กตเม ฉ? กามจฺฉนฺทํ, พฺยาปาทํ, ถินมิทฺธํ, อุทฺธจฺจํ, กกฺกุจฺจํ, วิจิกิจฺฉํ; กาเมสุ โข ปนสฺส อาทีนโว สมฺมปญฺญาย สุทิโฎฺฐ โหตี’’ติ (อ. นิ. ๖.๗๓) จ, ‘‘อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย พลวติยา ปญฺญาย อตฺตตฺถํ วา ปรตฺถํ วา ญสฺสตี’’ติ (อ. นิ. ๕.๕๑) จ อาทีสุ มิทฺธสฺสาปิ ปหานํ วุตฺตํฯ น จ รูปํ ปหาตพฺพํฯ ยถาห – ‘‘รูปกฺขโนฺธ อภิเญฺญโยฺย, ปริเญฺญโยฺย, น ปหาตโพฺพ, น ภาเวตโพฺพ น สจฺฉิกาตโพฺพ’’ติ (วิภ. ๑๐๓๑) อิมสฺสาปิ ปหานวจนโต อรูปเมว มิทฺธนฺติฯ น, รูปสฺสาปิ ปหานวจนโตฯ ‘‘รูปํ, ภิกฺขเว, น ตุมฺหากํ, ตํ ปชหถา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๔๗; สํ. นิ. ๓.๓๓)ฯ เอตฺถ หิ รูปสฺสาปิ ปหานํ วุตฺตเมวฯ ตสฺมา อการณเมตนฺติฯ น, อญฺญถา วุตฺตตฺตาฯ ตสฺมิญฺหิ สุเตฺต ‘‘โย, ภิกฺขเว, รูเป ฉนฺทราควินโย ตํ ตตฺถ ปหาน’’นฺติ (สํ. นิ. ๓.๒๕) เอวํ ฉนฺทราคปฺปหานวเสน รูปสฺส ปหานํ วุตฺตํ, น ยถา ‘‘ฉ ธเมฺม ปหาย ปญฺจ นีวรเณ ปหายา’’ติ เอวํ ปหาตพฺพเมว วุตฺตนฺติ, อญฺญถา วุตฺตตฺตา, น รูปํ มิทฺธํฯ ตสฺมา ยาเนตานิ ‘‘โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส’’ติอาทีนิ สุตฺตานิ วุตฺตานิ, เอเตหิ เจว อเญฺญหิ จ สุเตฺตหิ อรูปเมว มิทฺธนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตถา หิ –
Kiñca bhiyyo? Pahānavacanato. Bhagavatā hi ‘‘cha, bhikkhave, dhamme pahāya bhabbo paṭhamajjhānaṃ upasampajja viharituṃ; katame cha? Kāmacchandaṃ, byāpādaṃ, thinamiddhaṃ, uddhaccaṃ, kakkuccaṃ, vicikicchaṃ; kāmesu kho panassa ādīnavo sammapaññāya sudiṭṭho hotī’’ti (a. ni. 6.73) ca, ‘‘ime pañca nīvaraṇe pahāya balavatiyā paññāya attatthaṃ vā paratthaṃ vā ñassatī’’ti (a. ni. 5.51) ca ādīsu middhassāpi pahānaṃ vuttaṃ. Na ca rūpaṃ pahātabbaṃ. Yathāha – ‘‘rūpakkhandho abhiññeyyo, pariññeyyo, na pahātabbo, na bhāvetabbo na sacchikātabbo’’ti (vibha. 1031) imassāpi pahānavacanato arūpameva middhanti. Na, rūpassāpi pahānavacanato. ‘‘Rūpaṃ, bhikkhave, na tumhākaṃ, taṃ pajahathā’’ti (ma. ni. 1.247; saṃ. ni. 3.33). Ettha hi rūpassāpi pahānaṃ vuttameva. Tasmā akāraṇametanti. Na, aññathā vuttattā. Tasmiñhi sutte ‘‘yo, bhikkhave, rūpe chandarāgavinayo taṃ tattha pahāna’’nti (saṃ. ni. 3.25) evaṃ chandarāgappahānavasena rūpassa pahānaṃ vuttaṃ, na yathā ‘‘cha dhamme pahāya pañca nīvaraṇe pahāyā’’ti evaṃ pahātabbameva vuttanti, aññathā vuttattā, na rūpaṃ middhaṃ. Tasmā yānetāni ‘‘so ime pañca nīvaraṇe pahāya cetaso upakkilese’’tiādīni suttāni vuttāni, etehi ceva aññehi ca suttehi arūpameva middhanti veditabbaṃ. Tathā hi –
‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, อาวรณา นีวรณา เจตโส อชฺฌารุหา ปญฺญาย ทุพฺพลีกรณาฯ กตเม ปญฺจ? กามจฺฉโนฺท, ภิกฺขเว, อาวรโณ นีวรโณ…เป.… ถินมิทฺธํ, ภิกฺขเว, อาวรณํ นีวรณํ เจตโส อชฺฌารุหํ ปญฺญาย ทุพฺพลีกรณ’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๒๒๐) จ, ‘‘ถินมิทฺธนีวรณํ, ภิกฺขเว, อนฺธกรณํ อจกฺขุกรณํ อญฺญาณกรณํ ปญฺญานิโรธิกํ วิฆาตปกฺขิกํ อนิพฺพานสํวตฺตนิก’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๒๒๑) จ, ‘‘เอวเมว โข, พฺราหฺมณ, ยสฺมิํ สมเย ถินมิทฺธปริยุฎฺฐิเตน เจตสา วิหรติ ถินมิทฺธปเรเตนา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๖) จ, ‘‘อโยนิโส, ภิกฺขเว, มนสิกโรโต อนุปฺปโนฺน เจว กามจฺฉโนฺท อุปฺปชฺชติ…เป.… อนุปฺปนฺนเญฺจว ถินมิทฺธํ อุปฺปชฺชตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๑๖) จ, ‘‘เกวโลหายํ, ภิกฺขเว, อกุสลราสิ ยทิทํ ปญฺจ นีวรณา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๗๑) จ –
‘‘Pañcime, bhikkhave, āvaraṇā nīvaraṇā cetaso ajjhāruhā paññāya dubbalīkaraṇā. Katame pañca? Kāmacchando, bhikkhave, āvaraṇo nīvaraṇo…pe… thinamiddhaṃ, bhikkhave, āvaraṇaṃ nīvaraṇaṃ cetaso ajjhāruhaṃ paññāya dubbalīkaraṇa’’nti (saṃ. ni. 5.220) ca, ‘‘thinamiddhanīvaraṇaṃ, bhikkhave, andhakaraṇaṃ acakkhukaraṇaṃ aññāṇakaraṇaṃ paññānirodhikaṃ vighātapakkhikaṃ anibbānasaṃvattanika’’nti (saṃ. ni. 5.221) ca, ‘‘evameva kho, brāhmaṇa, yasmiṃ samaye thinamiddhapariyuṭṭhitena cetasā viharati thinamiddhaparetenā’’ti (saṃ. ni. 5.236) ca, ‘‘ayoniso, bhikkhave, manasikaroto anuppanno ceva kāmacchando uppajjati…pe… anuppannañceva thinamiddhaṃ uppajjatī’’ti (saṃ. ni. 5.216) ca, ‘‘kevalohāyaṃ, bhikkhave, akusalarāsi yadidaṃ pañca nīvaraṇā’’ti (saṃ. ni. 5.371) ca –
เอวมาทีนิ จ อเนกานิ เอตสฺส อรูปภาวโชตกาเนว สุตฺตานิ วุตฺตานิฯ ยสฺมา เจตํ อรูปํ ตสฺมา อารุเปฺปปิ อุปฺปชฺชติฯ วุตฺตเญฺหตํ มหาปกรเณ ปฎฺฐาเน – ‘‘นีวรณํ ธมฺมํ ปฎิจฺจ นีวรโณ ธโมฺม อุปฺปชฺชติ, น ปุเรชาตปจฺจยา’’ติ เอตสฺส วิภเงฺค ‘‘อารุเปฺป กามจฺฉนฺทนีวรณํ ปฎิจฺจ ถินมิทฺธํ… อุทฺธจฺจํ อวิชฺชานีวรณ’’นฺติ (ปฎฺฐา. ๓.๘.๘) สพฺพํ วิตฺถาเรตพฺพํฯ ตสฺมา สนฺนิฎฺฐานเมตฺถ คนฺตพฺพํ อรูปเมว มิทฺธนฺติฯ
Evamādīni ca anekāni etassa arūpabhāvajotakāneva suttāni vuttāni. Yasmā cetaṃ arūpaṃ tasmā āruppepi uppajjati. Vuttañhetaṃ mahāpakaraṇe paṭṭhāne – ‘‘nīvaraṇaṃ dhammaṃ paṭicca nīvaraṇo dhammo uppajjati, na purejātapaccayā’’ti etassa vibhaṅge ‘‘āruppe kāmacchandanīvaraṇaṃ paṭicca thinamiddhaṃ… uddhaccaṃ avijjānīvaraṇa’’nti (paṭṭhā. 3.8.8) sabbaṃ vitthāretabbaṃ. Tasmā sanniṭṭhānamettha gantabbaṃ arūpameva middhanti.
๑๑๖๖. กุกฺกุจฺจนิเทฺทเส อกปฺปิเย กปฺปิยสญฺญิตาติอาทีนิ มูลโต กุกฺกุจฺจทสฺสนตฺถํ วุตฺตานิฯ เอวํสญฺญิตาย หิ กเต วีติกเมฺม, นิฎฺฐิเต วตฺถุชฺฌาจาเร, ปุน สญฺชาตสติโนปิ ‘ทุฎฺฐุ มยา กต’นฺติ เอวํ อนุตปฺปมานสฺส ปจฺฉานุตาปวเสเนตํ อุปฺปชฺชติฯ เตน ตํ มูลโต ทเสฺสตุํ ‘อกปฺปิเย กปฺปิยสญฺญิตา’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อกปฺปิยโภชนํ กปฺปิยสญฺญี หุตฺวา ปริภุญฺชติ, อกปฺปิยมํสํ กปฺปิยมํสสญฺญี หุตฺวา, อจฺฉมํสํ สูกรมํสนฺติ, ทีปิมํสํ วา มิคมํสนฺติ ขาทติ; กาเล วีติวเตฺต กาลสญฺญาย, ปวาเรตฺวา อปฺปวาริตสญฺญาย, ปตฺตสฺมิํ รเช ปติเต ปฎิคฺคหิตสญฺญาย ภุญฺชติ – เอวํ ‘อกปฺปิเย กปฺปิยสญฺญาย’ วีติกฺกมํ กโรติ นามฯ สูกรมํสํ ปน อจฺฉมํสสญฺญาย ขาทมาโน, กาเล จ วิกาลสญฺญาย ภุญฺชมาโน ‘กปฺปิเย อกปฺปิยสญฺญิตาย’ วีติกฺกมํ กโรติ นามฯ อนวชฺชํ ปน กิญฺจิเทว วชฺชสญฺญิตาย, วชฺชญฺจ อนวชฺชสญฺญิตาย กโรโนฺต ‘อนวเชฺช วชฺชสญฺญาย วเชฺช จ อนวชฺชสญฺญาย’ วีติกฺกมํ กโรติ นามฯ ยสฺมา ปเนตํ ‘‘อกตํ วต เม กลฺยาณํ, อกตํ กุสลํ, อกตํ ภีรุตฺตาณํ, กตํ ปาปํ, กตํ ลุทฺทํ, กตํ กิพฺพิส’’นฺติ เอวํ อนวเชฺช วชฺชสญฺญิตายปิ กเต วีติกฺกเม อุปฺปชฺชติ, ตสฺมาสฺส อญฺญมฺปิ วตฺถุํ อนุชานโนฺต ยํ เอวรูปนฺติอาทิมาหฯ
1166. Kukkuccaniddese akappiye kappiyasaññitātiādīni mūlato kukkuccadassanatthaṃ vuttāni. Evaṃsaññitāya hi kate vītikamme, niṭṭhite vatthujjhācāre, puna sañjātasatinopi ‘duṭṭhu mayā kata’nti evaṃ anutappamānassa pacchānutāpavasenetaṃ uppajjati. Tena taṃ mūlato dassetuṃ ‘akappiye kappiyasaññitā’tiādi vuttaṃ. Tattha akappiyabhojanaṃ kappiyasaññī hutvā paribhuñjati, akappiyamaṃsaṃ kappiyamaṃsasaññī hutvā, acchamaṃsaṃ sūkaramaṃsanti, dīpimaṃsaṃ vā migamaṃsanti khādati; kāle vītivatte kālasaññāya, pavāretvā appavāritasaññāya, pattasmiṃ raje patite paṭiggahitasaññāya bhuñjati – evaṃ ‘akappiye kappiyasaññāya’ vītikkamaṃ karoti nāma. Sūkaramaṃsaṃ pana acchamaṃsasaññāya khādamāno, kāle ca vikālasaññāya bhuñjamāno ‘kappiye akappiyasaññitāya’ vītikkamaṃ karoti nāma. Anavajjaṃ pana kiñcideva vajjasaññitāya, vajjañca anavajjasaññitāya karonto ‘anavajje vajjasaññāya vajje ca anavajjasaññāya’ vītikkamaṃ karoti nāma. Yasmā panetaṃ ‘‘akataṃ vata me kalyāṇaṃ, akataṃ kusalaṃ, akataṃ bhīruttāṇaṃ, kataṃ pāpaṃ, kataṃ luddaṃ, kataṃ kibbisa’’nti evaṃ anavajje vajjasaññitāyapi kate vītikkame uppajjati, tasmāssa aññampi vatthuṃ anujānanto yaṃ evarūpantiādimāha.
ตตฺถ กุกฺกุจฺจปทํ วุตฺตตฺถเมวฯ กุกฺกุจฺจายนากาโร กุกฺกุจฺจายนาฯ กุกฺกุเจฺจน อยิตสฺส ภาโว กุกฺกุจฺจายิตตฺตํฯ เจตโส วิปฺปฎิสาโรติ เอตฺถ กตากตสฺส สาวชฺชานวชฺชสฺส วา อภิมุขคมนํ ‘วิปฺปฎิสาโร’ นามฯ ยสฺมา ปน โส กตํ วา ปาปํ อกตํ น กโรติ, อกตํ วา กลฺยาณํ กตํ น กโรติ, ตสฺมา วิรูโป กุจฺฉิโต วา ปฎิสาโรติ ‘วิปฺปฎิสาโร’ฯ โส ปน เจตโส, น สตฺตสฺสาติ ญาปนตฺถํ ‘เจตโส’ วิปฺปฎิสาโรติ วุตฺตํฯ อยมสฺส สภาวนิเทฺทโสฯ อุปฺปชฺชมานํ ปน กุกฺกุจฺจํ อารคฺคมิว กํสปตฺตํ มนํ วิลิขมานเมว อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา มโนวิเลโขติ วุตฺตํฯ อยมสฺส กิจฺจนิเทฺทโสฯ ยํ ปน วินเย ‘‘อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ภควตา ปฎิกฺขิตฺตํ อนุวสิตฺวา อนุวสิตฺวา อาวสถปิณฺฑํ ปริภุญฺชิตุ’’นฺติ กุกฺกุจฺจายโนฺต น ปฎิคฺคเหสีติ (ปาจิ. ๒๐๔) กุกฺกุจฺจํ อาคตํ, น ตํ นีวรณํฯ น หิ อรหโต ‘ทุฎฺฐุ มยา อิทํ กต’นฺติ เอวํ อนุตาโป อตฺถิฯ นีวรณปติรูปกํ ปเนตํ ‘กปฺปติ น กปฺปตี’ติ วีมํสนสงฺขาตํ วินยกุกฺกุจฺจํ นามฯ
Tattha kukkuccapadaṃ vuttatthameva. Kukkuccāyanākāro kukkuccāyanā. Kukkuccena ayitassa bhāvo kukkuccāyitattaṃ. Cetaso vippaṭisāroti ettha katākatassa sāvajjānavajjassa vā abhimukhagamanaṃ ‘vippaṭisāro’ nāma. Yasmā pana so kataṃ vā pāpaṃ akataṃ na karoti, akataṃ vā kalyāṇaṃ kataṃ na karoti, tasmā virūpo kucchito vā paṭisāroti ‘vippaṭisāro’. So pana cetaso, na sattassāti ñāpanatthaṃ ‘cetaso’ vippaṭisāroti vuttaṃ. Ayamassa sabhāvaniddeso. Uppajjamānaṃ pana kukkuccaṃ āraggamiva kaṃsapattaṃ manaṃ vilikhamānameva uppajjati, tasmā manovilekhoti vuttaṃ. Ayamassa kiccaniddeso. Yaṃ pana vinaye ‘‘atha kho āyasmā sāriputto bhagavatā paṭikkhittaṃ anuvasitvā anuvasitvā āvasathapiṇḍaṃ paribhuñjitu’’nti kukkuccāyanto na paṭiggahesīti (pāci. 204) kukkuccaṃ āgataṃ, na taṃ nīvaraṇaṃ. Na hi arahato ‘duṭṭhu mayā idaṃ kata’nti evaṃ anutāpo atthi. Nīvaraṇapatirūpakaṃ panetaṃ ‘kappati na kappatī’ti vīmaṃsanasaṅkhātaṃ vinayakukkuccaṃ nāma.
๑๑๗๖. ‘‘กตเม ธมฺมา นีวรณา เจว นีวรณสมฺปยุตฺตา จา’’ติ ปทสฺส นิเทฺทเส ยสฺมา ถินมิทฺธํ อญฺญมญฺญํ น วิชหติ, ตสฺมา ถินมิทฺธนีวรณํ อวิชฺชานีวรเณน นีวรณเญฺจว นีวรณสมฺปยุตฺตญฺจาติ อภินฺทิตฺวา วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน อุทฺธเจฺจ สติปิ กุกฺกุจฺจสฺส อภาวา กุกฺกุเจฺจน วินาปิ อุทฺธจฺจํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา ตํ ภินฺทิตฺวา วุตฺตํฯ ยญฺจ เยน สมฺปโยคํ น คจฺฉติ, ตํ น โยชิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
1176. ‘‘Katame dhammā nīvaraṇā ceva nīvaraṇasampayuttā cā’’ti padassa niddese yasmā thinamiddhaṃ aññamaññaṃ na vijahati, tasmā thinamiddhanīvaraṇaṃ avijjānīvaraṇena nīvaraṇañceva nīvaraṇasampayuttañcāti abhinditvā vuttaṃ. Yasmā pana uddhacce satipi kukkuccassa abhāvā kukkuccena vināpi uddhaccaṃ uppajjati, tasmā taṃ bhinditvā vuttaṃ. Yañca yena sampayogaṃ na gacchati, taṃ na yojitanti veditabbaṃ.
อิเม ปน นีวรเณ กิเลสปฎิปาฎิยาปิ อาหริตุํ วฎฺฎติ มคฺคปฎิปาฎิยาปิฯ กิเลสปฎิปาฎิยา กามจฺฉนฺทพฺยาปาทา อนาคามิมเคฺคน ปหียนฺติ, ถินมิทฺธุทฺธจฺจานิ อรหตฺตมเคฺคน, กุกฺกุจฺจวิจิกิจฺฉา โสตาปตฺติมเคฺคน, อวิชฺชา อรหตฺตมเคฺคนฯ มคฺคปฎิปาฎิยา โสตาปตฺติมเคฺคน กุกฺกุจฺจวิจิกิจฺฉา ปหียนฺติ, อนาคามิมเคฺคน กามจฺฉนฺทพฺยาปาทา, อรหตฺตมเคฺคน ถินมิทฺธุทฺธจฺจาวิชฺชาติฯ
Ime pana nīvaraṇe kilesapaṭipāṭiyāpi āharituṃ vaṭṭati maggapaṭipāṭiyāpi. Kilesapaṭipāṭiyā kāmacchandabyāpādā anāgāmimaggena pahīyanti, thinamiddhuddhaccāni arahattamaggena, kukkuccavicikicchā sotāpattimaggena, avijjā arahattamaggena. Maggapaṭipāṭiyā sotāpattimaggena kukkuccavicikicchā pahīyanti, anāgāmimaggena kāmacchandabyāpādā, arahattamaggena thinamiddhuddhaccāvijjāti.
๑๑๘๒. ปรามาสโคจฺฉเก เต ธเมฺม ฐเปตฺวาติ ปุจฺฉาสภาเคน พหุวจนํ กตํฯ
1182. Parāmāsagocchake te dhamme ṭhapetvāti pucchāsabhāgena bahuvacanaṃ kataṃ.
๑๒๑๙. อุปาทานนิเทฺทเส วตฺถุสงฺขาตํ กามํ อุปาทิยตีติ กามุปาทานํ กาโม จ โส อุปาทานญฺจาติปิ กามุปาทานํฯ อุปาทานนฺติ ทฬฺหคฺคหณํฯ ทฬฺหโตฺถ หิ เอตฺถ อุปสโทฺท อุปายาสอุปกฎฺฐาทีสุ วิยฯ ตถา ทิฎฺฐิ จ สา อุปาทานญฺจาติ ทิฎฺฐุปาทานํฯ ทิฎฺฐิํ อุปาทิยตีติ ทิฎฺฐุปาทานํฯ ‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๓๑) หิ ปุริมทิฎฺฐิํ อุตฺตรทิฎฺฐิ อุปาทิยหิฯ ตถา สีลพฺพตํ อุปาทิยตีติ สีลพฺพตุปาทานํฯ สีลพฺพตญฺจ ตํ อุปาทานญฺจาติปิ สีลพฺพตุปาทานํฯ โคสีลโควตาทีนิ หิ ‘เอวํ สุทฺธี’ติ อภินิเวสโต สยเมว อุปาทานานิฯ ตถา, วทนฺติ เอเตนาติ ‘วาโท’; อุปาทิยนฺติ เอเตนาติ ‘อุปาทานํ’ฯ กิํ วทนฺติ, อุปาทิยนฺติ วา? อตฺตานํฯ อตฺตโน วาทุปาทานํ อตฺตวาทุปาทานํ; ‘อตฺตวาทมตฺตเมว วา อตฺตา’ติ อุปาทิยนฺติ เอเตนาติ อตฺตวาทุปาทานํฯ
1219. Upādānaniddese vatthusaṅkhātaṃ kāmaṃ upādiyatīti kāmupādānaṃ kāmo ca so upādānañcātipi kāmupādānaṃ. Upādānanti daḷhaggahaṇaṃ. Daḷhattho hi ettha upasaddo upāyāsaupakaṭṭhādīsu viya. Tathā diṭṭhi ca sā upādānañcāti diṭṭhupādānaṃ. Diṭṭhiṃ upādiyatīti diṭṭhupādānaṃ. ‘Sassato attā ca loko cā’tiādīsu (dī. ni. 1.31) hi purimadiṭṭhiṃ uttaradiṭṭhi upādiyahi. Tathā sīlabbataṃ upādiyatīti sīlabbatupādānaṃ. Sīlabbatañca taṃ upādānañcātipi sīlabbatupādānaṃ. Gosīlagovatādīni hi ‘evaṃ suddhī’ti abhinivesato sayameva upādānāni. Tathā, vadanti etenāti ‘vādo’; upādiyanti etenāti ‘upādānaṃ’. Kiṃ vadanti, upādiyanti vā? Attānaṃ. Attano vādupādānaṃ attavādupādānaṃ; ‘attavādamattameva vā attā’ti upādiyanti etenāti attavādupādānaṃ.
๑๒๒๐. โย กาเมสุ กามจฺฉโนฺทติ เอตฺถาปิ วตฺถุกามาว อนวเสสโต กามาติ อธิเปฺปตาฯ ตสฺมา วตฺถุกาเมสุ กามจฺฉโนฺท อิธ กามุปาทานนฺติ อนาคามิโนปิ ตํ สิทฺธํ โหติฯ ปญฺจกามคุณวตฺถุโก ปนสฺส กามราโคว นตฺถีติฯ
1220. Yo kāmesu kāmacchandoti etthāpi vatthukāmāva anavasesato kāmāti adhippetā. Tasmā vatthukāmesu kāmacchando idha kāmupādānanti anāgāminopi taṃ siddhaṃ hoti. Pañcakāmaguṇavatthuko panassa kāmarāgova natthīti.
๑๒๒๑. ทิฎฺฐุปาทานนิเทฺทเส นตฺถิ ทินฺนนฺติฯ ทินฺนํ นาม อตฺถิ, สกฺกา กสฺสจิ กิญฺจิ ทาตุนฺติ ชานาติ; ทินฺนสฺส ปน ผลํ วิปาโก นตฺถีติ คณฺหาติฯ นตฺถิ ยิฎฺฐนฺติฯ ยิฎฺฐํ วุจฺจติ มหายาโคฯ ตํ ยชิตุํ สกฺกาติ ชานาติ; ยิฎฺฐสฺส ปน ผลํ วิปาโก นตฺถีติ คณฺหาติฯ นตฺถิ หุตนฺติ อาหุนปาหุนมงฺคลกิริยาฯ ตํ กาตุํ สกฺกาติ ชานาติ; ตสฺส ปน ผลํ วิปาโก นตฺถีติ คณฺหาติฯ นตฺถิ, สุกตทุกฺกฎานนฺติ เอตฺถ ทส กุสลกมฺมปถา สุกตกมฺมานิ นามฯ ทส อกุสลกมฺมปถา ทุกฺกฎกมฺมานิ นามฯ เตสํ อตฺถิภาวํ ชานาติ ผลํ วิปาโก ปน นตฺถีติ คณฺหาติฯ นตฺถิ อยํ โลโกติ ปรโลเก ฐิโต อิมํ โลกํ นตฺถีติ คณฺหาติฯ นตฺถิ ปรโลโกติ อิธ โลเก ฐิโต ปรโลกํ นตฺถีติ คณฺหาติฯ นตฺถิ มาตา นตฺถิ ปิตาติ มาตาปิตูนํ อตฺถิภาวํ ชานาติ, เตสุ กตปจฺจเยน โกจิ ผลํ วิปาโก นตฺถีติ คณฺหาติฯ นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกาติ จวนกอุปปชฺชนกา สตฺตา นตฺถีติ คณฺหาติฯ สมฺมคฺคตา สมฺมา ปฎิปนฺนาติ อนุโลมปฎิปทํ ปฎิปนฺนา ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณา โลกสฺมิํ นตฺถีติ คณฺหาติฯ เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตีติ อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ อตฺตนาว อภิวิสิเฎฺฐน ญาเณน ญตฺวา ปเวทนสมโตฺถ สพฺพญฺญู พุโทฺธ นาม นตฺถีติ คณฺหาติฯ
1221. Diṭṭhupādānaniddese natthi dinnanti. Dinnaṃ nāma atthi, sakkā kassaci kiñci dātunti jānāti; dinnassa pana phalaṃ vipāko natthīti gaṇhāti. Natthi yiṭṭhanti. Yiṭṭhaṃ vuccati mahāyāgo. Taṃ yajituṃ sakkāti jānāti; yiṭṭhassa pana phalaṃ vipāko natthīti gaṇhāti. Natthi hutanti āhunapāhunamaṅgalakiriyā. Taṃ kātuṃ sakkāti jānāti; tassa pana phalaṃ vipāko natthīti gaṇhāti. Natthi, sukatadukkaṭānanti ettha dasa kusalakammapathā sukatakammāni nāma. Dasa akusalakammapathā dukkaṭakammāni nāma. Tesaṃ atthibhāvaṃ jānāti phalaṃ vipāko pana natthīti gaṇhāti. Natthi ayaṃ lokoti paraloke ṭhito imaṃ lokaṃ natthīti gaṇhāti. Natthi paralokoti idha loke ṭhito paralokaṃ natthīti gaṇhāti. Natthi mātā natthi pitāti mātāpitūnaṃ atthibhāvaṃ jānāti, tesu katapaccayena koci phalaṃ vipāko natthīti gaṇhāti. Natthi sattā opapātikāti cavanakaupapajjanakā sattā natthīti gaṇhāti. Sammaggatā sammā paṭipannāti anulomapaṭipadaṃ paṭipannā dhammikasamaṇabrāhmaṇā lokasmiṃ natthīti gaṇhāti. Ye imañca lokaṃ parañca lokaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedentīti imañca lokaṃ parañca lokaṃ attanāva abhivisiṭṭhena ñāṇena ñatvā pavedanasamattho sabbaññū buddho nāma natthīti gaṇhāti.
อิมานิ ปน อุปาทานานิ กิเลสปฎิปาฎิยาปิ อาหริตุํ วฎฺฎติ มคฺคปฎิปาฎิยาปิฯ กิเลสปฎิปาฎิยา กามุปาทานํ จตูหิ มเคฺคหิ ปหียติ, เสสานิ ตีณิ โสตาปตฺติมเคฺคนฯ มคฺคปฎิปาฎิยา โสตาปตฺติมเคฺคน ทิฎฺฐุปาทานาทีนิ ปหียนฺติ, จตูหิ มเคฺคหิ กามุปาทานนฺติฯ
Imāni pana upādānāni kilesapaṭipāṭiyāpi āharituṃ vaṭṭati maggapaṭipāṭiyāpi. Kilesapaṭipāṭiyā kāmupādānaṃ catūhi maggehi pahīyati, sesāni tīṇi sotāpattimaggena. Maggapaṭipāṭiyā sotāpattimaggena diṭṭhupādānādīni pahīyanti, catūhi maggehi kāmupādānanti.
๑๒๓๕. กิเลสโคจฺฉเก กิเลสา เอว กิเลสวตฺถูนิฯ วสนฺติ วา เอตฺถ อขีณาสวา สตฺตา โลภาทีสุ ปติฎฺฐิตตฺตาติ ‘วตฺถูนิ’ฯ กิเลสา จ เต ตปฺปติฎฺฐานํ สตฺตานํ วตฺถูนิ จาติ ‘กิเลสวตฺถูนิ’ฯ ยสฺมา เจตฺถ อนนฺตรปจฺจยาทิภาเวน อุปฺปชฺชมานา กิเลสาปิ วสนฺติ เอว นาม, ตสฺมา กิเลสานํ วตฺถูนีติปิ ‘กิเลสวตฺถูนิ’ฯ
1235. Kilesagocchake kilesā eva kilesavatthūni. Vasanti vā ettha akhīṇāsavā sattā lobhādīsu patiṭṭhitattāti ‘vatthūni’. Kilesā ca te tappatiṭṭhānaṃ sattānaṃ vatthūni cāti ‘kilesavatthūni’. Yasmā cettha anantarapaccayādibhāvena uppajjamānā kilesāpi vasanti eva nāma, tasmā kilesānaṃ vatthūnītipi ‘kilesavatthūni’.
๑๒๓๖. ตตฺถ กตโม โลโภ? โย ราโค สาราโคติ อยํ ปน โลโภ เหตุโคจฺฉเก คนฺถโคจฺฉเก อิมสฺมิํ กิเลสโคจฺฉเกติ ตีสุ ฐาเนสุ อติเรกปทสเตน นิทฺทิโฎฺฐฯ อาสวสํโยชนโอฆโยคนีวรณอุปาทานโคจฺฉเกสุ อฎฺฐหิ อฎฺฐหิ ปเทหิ นิทฺทิโฎฺฐฯ สฺวายํ อติเรกปทสเตน นิทฺทิฎฺฐฎฺฐาเนปิ อฎฺฐหิ อฎฺฐหิ ปเทหิ นิทฺทิฎฺฐฎฺฐาเนปิ นิปฺปเทสโตว คหิโตติ เวทิตโพฺพฯ เตสุ เหตุคนฺถนีวรณอุปาทานกิเลสโคจฺฉเกสุ จตุมคฺควชฺฌา ตณฺหา เอเกเนว โกฎฺฐาเสน ฐิตาฯ อาสวสํโยชนโอฆโยเคสุ จตุมคฺควชฺฌาปิ เทฺว โกฎฺฐาสา หุตฺวา ฐิตาฯ กถํ? อาสเวสุ กามาสโว ภวาสโวติ, สํโยชเนสุ กามราคสํโยชนํ ภวราคสํโยชนนฺติ, โอเฆสุ กาโมโฆ ภโวโฆติ, โยเคสุ กามโยโค ภวโยโคติฯ
1236. Tattha katamo lobho? Yo rāgo sārāgoti ayaṃ pana lobho hetugocchake ganthagocchake imasmiṃ kilesagocchaketi tīsu ṭhānesu atirekapadasatena niddiṭṭho. Āsavasaṃyojanaoghayoganīvaraṇaupādānagocchakesu aṭṭhahi aṭṭhahi padehi niddiṭṭho. Svāyaṃ atirekapadasatena niddiṭṭhaṭṭhānepi aṭṭhahi aṭṭhahi padehi niddiṭṭhaṭṭhānepi nippadesatova gahitoti veditabbo. Tesu hetuganthanīvaraṇaupādānakilesagocchakesu catumaggavajjhā taṇhā ekeneva koṭṭhāsena ṭhitā. Āsavasaṃyojanaoghayogesu catumaggavajjhāpi dve koṭṭhāsā hutvā ṭhitā. Kathaṃ? Āsavesu kāmāsavo bhavāsavoti, saṃyojanesu kāmarāgasaṃyojanaṃ bhavarāgasaṃyojananti, oghesu kāmogho bhavoghoti, yogesu kāmayogo bhavayogoti.
อิมานิ ปน กิเลสวตฺถูนิ กิเลสปฎิปาฎิยาปิ อาหริตุํ วฎฺฎติ มคฺคปฎิปาฎิยาปิฯ กิเลสปฎิปาฎิยา โลโภ จตูหิ มเคฺคหิ ปหียติ, โทโส อนาคามิมเคฺคน, โมหมานา อรหตฺตมเคฺคน, ทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉา โสตาปตฺติมเคฺคน, ถินาทีนิ อรหตฺตมเคฺคนฯ มคฺคปฎิปาฎิยา โสตาปตฺติมเคฺคน ทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉา ปหียนฺติ, อนาคามิมเคฺคน โทโส, อรหตฺตมเคฺคน เสสา สตฺตาติฯ
Imāni pana kilesavatthūni kilesapaṭipāṭiyāpi āharituṃ vaṭṭati maggapaṭipāṭiyāpi. Kilesapaṭipāṭiyā lobho catūhi maggehi pahīyati, doso anāgāmimaggena, mohamānā arahattamaggena, diṭṭhivicikicchā sotāpattimaggena, thinādīni arahattamaggena. Maggapaṭipāṭiyā sotāpattimaggena diṭṭhivicikicchā pahīyanti, anāgāmimaggena doso, arahattamaggena sesā sattāti.
๑๒๘๗. กามาวจรนิเทฺทเส เหฎฺฐโตติ เหฎฺฐาภาเคนฯ อวีจินิรยนฺติ วา อคฺคิชาลานํ วา สตฺตานํ วา ทุกฺขเวทนาย วีจิ, อนฺตรํ, ฉิทฺทํ เอตฺถ นตฺถีติ อวีจิฯ สุขสงฺขาโต อโย เอตฺถ นตฺถีติ นิรโยฯ นิรติอเตฺถนปิ นิรสฺสาทเตฺถนปิ นิรโยฯ ปริยนฺตํ กริตฺวาติ ตํ อวีจิสงฺขาตํ นิรยํ อนฺตํ กตฺวาฯ อุปริโตติ อุปริภาเคนฯ ปรนิมฺมิตวสวตฺติเทเวติ ปรนิมฺมิเตสุ กาเมสุ วสํ วตฺตนโต เอวํลทฺธโวหาเร เทเวฯ อโนฺต กริตฺวาติ อโนฺต ปกฺขิปิตฺวาฯ ยํ เอตสฺมิํ อนฺตเรติ เย เอตสฺมิํ โอกาเสฯ เอตฺถาวจราติ อิมินา ยสฺมา เอตสฺมิํ อนฺตเร อเญฺญปิ จรนฺติ กทาจิ กตฺถจิ สมฺภวโต, ตสฺมา เตสํ อสงฺคณฺหนตฺถํ ‘อวจรา’ติ วุตฺตํฯ เตน เย เอตสฺมิํ อนฺตเร โอคาฬฺหา หุตฺวา จรนฺติ สพฺพตฺถ สทา จ สมฺภวโต, อโธภาเค จรนฺติ อวีจินิรยสฺส เหฎฺฐา ภูตุปาทายปวตฺติภาเวน, เตสํ สงฺคโห กโต โหติฯ เต หิ อวคาฬฺหาว จรนฺติ, อโธภาเคว จรนฺตีติ อวจราฯ เอตฺถ ปริยาปนฺนาติ อิมินา ปน ยสฺมา เอเต เอตฺถาวจรา อญฺญตฺถาปิ อวจรนฺติ, น ปน ตตฺถ ปริยาปนฺนา โหนฺติ, ตสฺมา เตสํ อญฺญตฺถาปิ อวจรนฺตานํ ปริคฺคโห กโต โหติฯ อิทานิ เต เอตฺถ ปริยาปนฺนธเมฺม ราสิสุญฺญตปจฺจยภาวโต เจว สภาวโต จ ทเสฺสโนฺต ขนฺธาติอาทิมาหฯ
1287. Kāmāvacaraniddese heṭṭhatoti heṭṭhābhāgena. Avīcinirayanti vā aggijālānaṃ vā sattānaṃ vā dukkhavedanāya vīci, antaraṃ, chiddaṃ ettha natthīti avīci. Sukhasaṅkhāto ayo ettha natthīti nirayo. Niratiatthenapi nirassādatthenapi nirayo. Pariyantaṃ karitvāti taṃ avīcisaṅkhātaṃ nirayaṃ antaṃ katvā. Uparitoti uparibhāgena. Paranimmitavasavattideveti paranimmitesu kāmesu vasaṃ vattanato evaṃladdhavohāre deve. Anto karitvāti anto pakkhipitvā. Yaṃ etasmiṃ antareti ye etasmiṃ okāse. Etthāvacarāti iminā yasmā etasmiṃ antare aññepi caranti kadāci katthaci sambhavato, tasmā tesaṃ asaṅgaṇhanatthaṃ ‘avacarā’ti vuttaṃ. Tena ye etasmiṃ antare ogāḷhā hutvā caranti sabbattha sadā ca sambhavato, adhobhāge caranti avīcinirayassa heṭṭhā bhūtupādāyapavattibhāvena, tesaṃ saṅgaho kato hoti. Te hi avagāḷhāva caranti, adhobhāgeva carantīti avacarā. Ettha pariyāpannāti iminā pana yasmā ete etthāvacarā aññatthāpi avacaranti, na pana tattha pariyāpannā honti, tasmā tesaṃ aññatthāpi avacarantānaṃ pariggaho kato hoti. Idāni te ettha pariyāpannadhamme rāsisuññatapaccayabhāvato ceva sabhāvato ca dassento khandhātiādimāha.
๑๒๘๙. รูปาวจรนิเทฺทเส พฺรหฺมโลกนฺติ ปฐมชฺฌานภูมิสงฺขาตํ พฺรหฺมฎฺฐานํฯ เสสเมตฺถ กามาวจรนิเทฺทเส วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ สมาปนฺนสฺส วาติอาทีสุ ปฐมปเทน กุสลชฺฌานํ วุตฺตํ, ทุติเยน วิปากชฺฌานํ, วุตฺตํ ตติเยน กิริยชฺฌานํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
1289. Rūpāvacaraniddese brahmalokanti paṭhamajjhānabhūmisaṅkhātaṃ brahmaṭṭhānaṃ. Sesamettha kāmāvacaraniddese vuttanayeneva veditabbaṃ. Samāpannassa vātiādīsu paṭhamapadena kusalajjhānaṃ vuttaṃ, dutiyena vipākajjhānaṃ, vuttaṃ tatiyena kiriyajjhānaṃ vuttanti veditabbaṃ.
๑๒๙๑. อรูปาวจรนิเทฺทเส อากาสานญฺจายตนูปเคติ อากาสานญฺจายตนสงฺขาตํ ภวํ อุปคเตฯ ทุติยปเทปิ เอเสว นโยฯ เสสํ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
1291. Arūpāvacaraniddese ākāsānañcāyatanūpageti ākāsānañcāyatanasaṅkhātaṃ bhavaṃ upagate. Dutiyapadepi eseva nayo. Sesaṃ heṭṭhā vuttanayeneva veditabbaṃ.
๑๓๐๑. สรณทุกนิเทฺทเส ยฺวายํ ตีสุ อกุสลมูเลสุ โมโห, โส โลภสมฺปยุโตฺต จ โลเภน สรโณ, โทสสมฺปยุโตฺต จ โทเสน สรโณฯ วิจิกิจฺฉุทฺธจฺจสมฺปยุโตฺต ปน โมโห ทิฎฺฐิสมฺปยุเตฺตน เจว รูปราคอรูปราคสงฺขาเตน จ ราครเณน ปหาเนกฎฺฐภาวโต สรโณ สรโชติ เวทิตโพฺพฯ
1301. Saraṇadukaniddese yvāyaṃ tīsu akusalamūlesu moho, so lobhasampayutto ca lobhena saraṇo, dosasampayutto ca dosena saraṇo. Vicikicchuddhaccasampayutto pana moho diṭṭhisampayuttena ceva rūparāgaarūparāgasaṅkhātena ca rāgaraṇena pahānekaṭṭhabhāvato saraṇo sarajoti veditabbo.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / ทุกนิเกฺขปํ • Dukanikkhepaṃ
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā / ทุกนิเกฺขปกถาวณฺณนา • Dukanikkhepakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / ทุกนิเกฺขปกถาวณฺณนา • Dukanikkhepakathāvaṇṇanā