Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā |
ทุกนิเกฺขปกถาวณฺณนา
Dukanikkhepakathāvaṇṇanā
๑๐๖๒. เมตฺตาย อยนํ อุปคมนํ เมตฺตายนํ, ตญฺจ อตฺตโน สนฺตาเน เมตฺตาย ลาโภ อุปฺปาทนํ สตฺตานํ อนุปคโม อตฺถโต มชฺชนเมวาติ ‘‘เมตฺตา, เมทน’’นฺติ วตฺวา ‘‘สิเนหน’’นฺติ อาหฯ
1062. Mettāya ayanaṃ upagamanaṃ mettāyanaṃ, tañca attano santāne mettāya lābho uppādanaṃ sattānaṃ anupagamo atthato majjanamevāti ‘‘mettā, medana’’nti vatvā ‘‘sinehana’’nti āha.
๑๐๖๕. ตสฺมิํ ตสฺมิํ วิสเย จิตฺตํ สํรญฺชตีติ จิตฺตสฺส สํรญฺชนํฯ ตณฺหาวิจริตาทีติ อาทิ-สเทฺทน เอสนาทโย สงฺคหิตาฯ ตณฺหาย วิปุลตา วิสยวเสน ปวตฺติวเสน วา เวทิตพฺพาฯ อนิจฺจาทิสภาวสฺส รูปาทิกสฺส นิจฺจาทิโต คหณํ อภินิเวโส วิเสสโต ตณฺหาวเสน โหติ ตณฺหารหิตาย ทิฎฺฐิยา อภาวาติ อุปจารวเสน นิมิตฺตสฺส กตฺตุภาวมาห ‘‘นิจฺจาทิโต คณฺหนฺตี วิสํวาทิกา โหตี’’ติฯ ปากเฎน สเทฺทน ลพฺภมานตฺตา ยถารุตวิญฺญายมานตฺตา จ วิสตฺติกาสทฺทสฺส วิสตสภาโว ‘‘ปธาโน อโตฺถ’’ติ วุโตฺตฯ ‘‘อนฺตลิกฺขจโร ปาโส, ยฺวายํ จรติ มานโสฯ เตน ตํ พาธยิสฺสามี’’ติอาทิวเสน (สํ. นิ. ๑.๑๕๑; มหาว. ๓๓) มาเรน คหิตตายฯ
1065. Tasmiṃ tasmiṃ visaye cittaṃ saṃrañjatīti cittassa saṃrañjanaṃ. Taṇhāvicaritādīti ādi-saddena esanādayo saṅgahitā. Taṇhāya vipulatā visayavasena pavattivasena vā veditabbā. Aniccādisabhāvassa rūpādikassa niccādito gahaṇaṃ abhiniveso visesato taṇhāvasena hoti taṇhārahitāya diṭṭhiyā abhāvāti upacāravasena nimittassa kattubhāvamāha ‘‘niccādito gaṇhantī visaṃvādikā hotī’’ti. Pākaṭena saddena labbhamānattā yathārutaviññāyamānattā ca visattikāsaddassa visatasabhāvo ‘‘padhāno attho’’ti vutto. ‘‘Antalikkhacaro pāso, yvāyaṃ carati mānaso. Tena taṃ bādhayissāmī’’tiādivasena (saṃ. ni. 1.151; mahāva. 33) mārena gahitatāya.
๑๐๖๖. อนตฺถจรณาทิอนภิสนฺธานกตาย อฎฺฐานภูเตสุ จ วสฺสวาตาทิสงฺขาเรสุ อุปฺปนฺนโกโป วิย สเตฺตสุ อตฺถาจรณาทินา อาโรปนาธิปฺปาเยสุเยว ตทชฺฌาโรปนวเสน ปวโตฺต ยทิปิ อนายตนุปฺปตฺติยา อฎฺฐานาฆาโตเยว โหติ, สตฺตวิสยตฺตา ปน สติ จิตฺตสฺส เอกนฺตพฺยาปตฺติยํ กมฺมปถเภโท โหติเยวาติ สกฺกา วิญฺญาตุํ, อฎฺฐานุปฺปตฺติยํ ปนสฺส น สิยา กมฺมปถเภโทติ อาห ‘‘สเตฺตสุ อุปฺปโนฺน อฎฺฐานโกโป กโรตี’’ติฯ ปฎิฆาทิปทานํ ฆฎฺฎนาปุริมยามวิการุปฺปตฺติสมญฺญาทีสุปิ ทสฺสนโต ‘‘ปฎิวิโรธาทิปทานิ เตสํ วิเสสนตฺถานี’’ติ วุตฺตํฯ
1066. Anatthacaraṇādianabhisandhānakatāya aṭṭhānabhūtesu ca vassavātādisaṅkhāresu uppannakopo viya sattesu atthācaraṇādinā āropanādhippāyesuyeva tadajjhāropanavasena pavatto yadipi anāyatanuppattiyā aṭṭhānāghātoyeva hoti, sattavisayattā pana sati cittassa ekantabyāpattiyaṃ kammapathabhedo hotiyevāti sakkā viññātuṃ, aṭṭhānuppattiyaṃ panassa na siyā kammapathabhedoti āha ‘‘sattesu uppanno aṭṭhānakopo karotī’’ti. Paṭighādipadānaṃ ghaṭṭanāpurimayāmavikāruppattisamaññādīsupi dassanato ‘‘paṭivirodhādipadāni tesaṃ visesanatthānī’’ti vuttaṃ.
๑๐๙๑. เทฺว ธมฺมา ตโย ธมฺมาติ สทฺทนฺตรสนฺนิธาเนน ปริเจฺฉทวโต พหุวจนสฺส ทสฺสนโต ‘‘อปริเจฺฉเทน พหุวจเนนา’’ติ วุตฺตํฯ อุเทฺทโส กโตติ อิติ-สโทฺท เหตุอโตฺถฯ เตน พหุวจเนน อุเทฺทสกรณํ พหุวจเนน ปุจฺฉาย การณนฺติ ทีเปติฯ อุเทฺทสานุวิธายินี หิ ปุจฺฉาติฯ ตถา หิ สงฺขาปริจฺฉิเนฺน อุเทฺทเส ‘‘กตเม วา ตโย’’ติ สงฺขาปริจฺฉินฺนาว ปุจฺฉา กรียตีติฯ อุเทฺทเสน ธมฺมานํ อตฺถิตามตฺตวจนิจฺฉายํ สภาวภูมิการณผลาทิปริเจฺฉโท วิย สงฺขาปริเจฺฉโทปิ น กาตโพฺพติ อธิปฺปาเยน ‘‘อนิทฺธาริตปริเจฺฉเท’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘อปจฺจยา ธมฺมา’’ติ ปทโต ปน เหฎฺฐา อเนกเภทภินฺนา ธมฺมา อปริเจฺฉเทน พหุวจเนเนว อุทฺทิฎฺฐา, อุทฺธญฺจ ตถา อุทฺทิสียนฺตีติ ตํ โสตปติตตาย เภทาภาเวปิ ปรมตฺถโต อปฺปจฺจยธมฺมสฺส อสงฺขตธมฺมสฺส จ โสปาทิเสสนิรุปาทิเสสราคกฺขยาทิอสงฺขตาทิวจนวจนียภาเวน อุปจริตเภเทคหิเต ปททฺวเยน อตฺถิ กาจิ เภทมตฺตาติ อปริเจฺฉเทน พหุวจเนน อุเทฺทโส กโตติ ยุตฺตํ สิยาฯ อุเทฺทสานุสารีนิ ปุจฺฉานิคมนานีติ ตานิปิ ตถา ปวตฺตานิฯ นิเทฺทโส ปน ยถาธิเปฺปตสภาวาทิปริเจฺฉทวิภาวนวเสเนว กาตโพฺพติ อสงฺขตา ธาตุ อิเจฺจว กโต ปรมตฺถโต เภทาภาวทีปนตฺถนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ กเถตุกามตาวเสน ปุจฺฉโนฺต ยสฺส กเถติ, เตน กาตพฺพปุจฺฉาย กรณโต ตคฺคตํ อชานนํ สํสยํ วา อนุวิธายเยว ปุจฺฉตีติ ‘‘สภาว…เป.… อชานนฺตสฺส วเสน ปุจฺฉา กรียตี’’ติ วุตฺตํฯ นิเทฺทสโต ปุเพฺพติอาทินา อฎฺฐกถายํ วุตฺตํ ปุจฺฉานุสนฺธิํเยว วิภาเวติฯ
1091. Dve dhammā tayo dhammāti saddantarasannidhānena paricchedavato bahuvacanassa dassanato ‘‘aparicchedena bahuvacanenā’’ti vuttaṃ. Uddeso katoti iti-saddo hetuattho. Tena bahuvacanena uddesakaraṇaṃ bahuvacanena pucchāya kāraṇanti dīpeti. Uddesānuvidhāyinī hi pucchāti. Tathā hi saṅkhāparicchinne uddese ‘‘katame vā tayo’’ti saṅkhāparicchinnāva pucchā karīyatīti. Uddesena dhammānaṃ atthitāmattavacanicchāyaṃ sabhāvabhūmikāraṇaphalādiparicchedo viya saṅkhāparicchedopi na kātabboti adhippāyena ‘‘aniddhāritaparicchede’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Apaccayā dhammā’’ti padato pana heṭṭhā anekabhedabhinnā dhammā aparicchedena bahuvacaneneva uddiṭṭhā, uddhañca tathā uddisīyantīti taṃ sotapatitatāya bhedābhāvepi paramatthato appaccayadhammassa asaṅkhatadhammassa ca sopādisesanirupādisesarāgakkhayādiasaṅkhatādivacanavacanīyabhāvena upacaritabhedegahite padadvayena atthi kāci bhedamattāti aparicchedena bahuvacanena uddeso katoti yuttaṃ siyā. Uddesānusārīni pucchānigamanānīti tānipi tathā pavattāni. Niddeso pana yathādhippetasabhāvādiparicchedavibhāvanavaseneva kātabboti asaṅkhatā dhātu icceva kato paramatthato bhedābhāvadīpanatthanti daṭṭhabbaṃ. Kathetukāmatāvasena pucchanto yassa katheti, tena kātabbapucchāya karaṇato taggataṃ ajānanaṃ saṃsayaṃ vā anuvidhāyayeva pucchatīti ‘‘sabhāva…pe… ajānantassa vasena pucchā karīyatī’’ti vuttaṃ. Niddesato pubbetiādinā aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ pucchānusandhiṃyeva vibhāveti.
๑๑๐๑. ภินฺทิตฺวาติ วิภชิตฺวาฯ รูปาว…เป.… วิเญฺญยฺยาติ กามาวจรกุสลมหากิริยวิญฺญาเณน มหคฺคตธมฺมานํ สมฺมสนวเสน ยถาโยคํ มหคฺคตปฺปมาณธมฺมานํ ปจฺจเวกฺขณาทิวเสน รูปราคารูปราคสมฺปยุเตฺตน อกุสลมโนวิญฺญาเณน มหคฺคตธมฺมานํ อภินิเวสนอสฺสาทนวเสน ตํตํปญฺญตฺติยญฺจ ตํตํโวหารวเสน ปวเตฺตน อาวชฺชเนน จ ยถาวุตฺตวิญฺญาณานํ ปุเรจาริเกน กามาวจรธมฺมา น วิเญฺญยฺยาฯ อิตเรนาติ ปริตฺตารมฺมเณนฯ กามาวจรานเมว อารมฺมณานนฺติ นิทฺธารเณ สามิวจนํฯ รูปารมฺมณาทีหิ วิญฺญาเณหิ ตตฺถ รูปารมฺมเณน วิญฺญาเณนปิ สทฺทาทีนํ อวิเญฺญยฺยตา รูปสฺส จ วิเญฺญยฺยตาฯ เอวํ เสเสสุปิ โยชนา ทฎฺฐพฺพาฯ จกฺขุทฺวาริเกน สทฺทาทีนํ อวิเญฺญยฺยตา รูปสฺส วิเญฺญยฺยตาติอาทินา ทฺวารเภทวเสน โยเชตพฺพํฯ อิตรนฺติ อิฎฺฐมชฺฌตฺตํ อนิฎฺฐมนิฎฺฐมชฺฌตฺตญฺจฯ รูปาวจราทโย กามาวจรวิปากาทีหีติ รูปาวจรารูปาวจรโลกุตฺตรปญฺญตฺติโย กามาวจรวิปาเกหิ โลกุตฺตรา กามาวจรโต ญาณวิปฺปยุตฺตกุสลกิริเยหิ อกุสเลหิ จ อวิเญฺญยฺยาติ โยเชตพฺพํฯ นิพฺพานสฺส อวิชานนสภาโว เอว อตฺตสมฺภโวฯ
1101. Bhinditvāti vibhajitvā. Rūpāva…pe… viññeyyāti kāmāvacarakusalamahākiriyaviññāṇena mahaggatadhammānaṃ sammasanavasena yathāyogaṃ mahaggatappamāṇadhammānaṃ paccavekkhaṇādivasena rūparāgārūparāgasampayuttena akusalamanoviññāṇena mahaggatadhammānaṃ abhinivesanaassādanavasena taṃtaṃpaññattiyañca taṃtaṃvohāravasena pavattena āvajjanena ca yathāvuttaviññāṇānaṃ purecārikena kāmāvacaradhammā na viññeyyā. Itarenāti parittārammaṇena. Kāmāvacarānameva ārammaṇānanti niddhāraṇe sāmivacanaṃ. Rūpārammaṇādīhi viññāṇehi tattha rūpārammaṇena viññāṇenapi saddādīnaṃ aviññeyyatā rūpassa ca viññeyyatā. Evaṃ sesesupi yojanā daṭṭhabbā. Cakkhudvārikena saddādīnaṃ aviññeyyatā rūpassa viññeyyatātiādinā dvārabhedavasena yojetabbaṃ. Itaranti iṭṭhamajjhattaṃ aniṭṭhamaniṭṭhamajjhattañca. Rūpāvacarādayo kāmāvacaravipākādīhīti rūpāvacarārūpāvacaralokuttarapaññattiyo kāmāvacaravipākehi lokuttarā kāmāvacarato ñāṇavippayuttakusalakiriyehi akusalehi ca aviññeyyāti yojetabbaṃ. Nibbānassa avijānanasabhāvo eva attasambhavo.
๑๑๐๒. รูปารูปาวจรกมฺมูปปตฺติภเว ทิฎฺฐิรหิโต โลโภ ภวาสโวติ ยถาวุตฺตวิสโย ทิฎฺฐิสหิโต สพฺพกามาวจรธมฺมวิสโย จ โลโภ กามาสโว ภวิตุํ ยุโตฺตติ วุตฺตํ ‘‘ภวาสวํ…เป.… สิยา’’ติฯ กามาสวภวาสววินิมุตฺตสฺส หิ โลภสฺส อภาวํ สยเมว วกฺขตีติฯ ปาฬิยนฺติ อฎฺฐกถากณฺฑปาฬิยํฯ ตตฺถ ยถา ‘‘กามาสโว อฎฺฐสุ โลภสหคตจิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปชฺชตี’’ติ วุตฺตํ, เอวํ ‘‘ภวาสโว อฎฺฐสุ โลภสหคตจิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปชฺชตี’’ติ อวตฺวา ‘‘จตูสุทิฎฺฐิคตวิปฺปยุตฺตโลภสหคตจิตฺตุปฺปาเทสุ อุปฺปชฺชตี’’ติ (ธ. ส. ๑๔๖๕) วุตฺตตฺตา ‘‘ภวาสโว…เป.… ยุเตฺตสุ เอว อุปฺปชฺชตี’’ติ ปาฬิยํ วุโตฺตติ สาวธารณํ วุตฺตํฯ ตถา จ วกฺขติ ‘‘ภวาสโว จตูสุ ทิฎฺฐิคตวิปฺปยุเตฺตสุ อวิชฺชาสเวน สทฺธิํ เอกธาว เอกโต อุปฺปชฺชตี’’ติ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๔๗๓)ฯ โสปิ ราโคติ สสฺสตทิฎฺฐิสหคโต ราโคฯ กามภวปตฺถนา วิย กามาสโวติ ยุตฺตํ วตฺตุํฯ สสฺสตทิฎฺฐิสหคตราคกามภวปตฺถนานมฺปิ หิ ภวาสโวติ วตฺตพฺพปริยาโย อตฺถีติ ‘‘สสฺสตทิฎฺฐิสหคโต ราโค ภวราควเสน ปตฺถนา ภวาสโว นามา’’ติ วุตฺตํ, น เตสํ อิธ อธิเปฺปตภวาสวภาวทสฺสนตฺถนฺติ อฎฺฐกถายํ อธิปฺปาโย ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา หิ ‘‘รูปารูปสงฺขาเต กมฺมโต จ อุปปตฺติโต จ ทุวิเธปิ ภเว อาสโว ภวาสโว’’ติ วุตฺตนฺติฯ ตตฺถ กามภวปตฺถนาย ตาว กามาสวภาโว โหตุ, รูปารูปภเวสุ สสฺสตาภินิเวสสหคตราคสฺส กถนฺติ? โสปิ ยถาวุตฺตวิสเย กามนวเสน ปวตฺติโต กามาสโวเยว นามฯ สเพฺพปิ หิ เตภูมกา ธมฺมา กมนียเฎฺฐน กามาติฯ น เจตฺถ อนิฎฺฐปฺปสโงฺค ทิฎฺฐิวิปฺปยุตฺตโลภสฺส ภวาสวภาเวน วิสุํ อุทฺธฎตฺตาฯ อวสฺสเญฺจตเมวํ วิญฺญาตพฺพํ, อิตรถา รูปารูปภเวสุ อุเจฺฉททิฎฺฐิสหคตสฺสปิ โลภสฺส ภวาสวภาโว อาปเชฺชยฺยาติฯ กามาสวาทโย เอว ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกาสวภาเวน ทฺวิธา วุตฺตาฯ
1102. Rūpārūpāvacarakammūpapattibhave diṭṭhirahito lobho bhavāsavoti yathāvuttavisayo diṭṭhisahito sabbakāmāvacaradhammavisayo ca lobho kāmāsavo bhavituṃ yuttoti vuttaṃ ‘‘bhavāsavaṃ…pe… siyā’’ti. Kāmāsavabhavāsavavinimuttassa hi lobhassa abhāvaṃ sayameva vakkhatīti. Pāḷiyanti aṭṭhakathākaṇḍapāḷiyaṃ. Tattha yathā ‘‘kāmāsavo aṭṭhasu lobhasahagatacittuppādesu uppajjatī’’ti vuttaṃ, evaṃ ‘‘bhavāsavo aṭṭhasu lobhasahagatacittuppādesu uppajjatī’’ti avatvā ‘‘catūsudiṭṭhigatavippayuttalobhasahagatacittuppādesu uppajjatī’’ti (dha. sa. 1465) vuttattā ‘‘bhavāsavo…pe… yuttesu eva uppajjatī’’ti pāḷiyaṃ vuttoti sāvadhāraṇaṃ vuttaṃ. Tathā ca vakkhati ‘‘bhavāsavo catūsu diṭṭhigatavippayuttesu avijjāsavena saddhiṃ ekadhāva ekato uppajjatī’’ti (dha. sa. aṭṭha. 1473). Sopi rāgoti sassatadiṭṭhisahagato rāgo. Kāmabhavapatthanā viya kāmāsavoti yuttaṃ vattuṃ. Sassatadiṭṭhisahagatarāgakāmabhavapatthanānampi hi bhavāsavoti vattabbapariyāyo atthīti ‘‘sassatadiṭṭhisahagato rāgo bhavarāgavasena patthanā bhavāsavo nāmā’’ti vuttaṃ, na tesaṃ idha adhippetabhavāsavabhāvadassanatthanti aṭṭhakathāyaṃ adhippāyo daṭṭhabbo. Tathā hi ‘‘rūpārūpasaṅkhāte kammato ca upapattito ca duvidhepi bhave āsavo bhavāsavo’’ti vuttanti. Tattha kāmabhavapatthanāya tāva kāmāsavabhāvo hotu, rūpārūpabhavesu sassatābhinivesasahagatarāgassa kathanti? Sopi yathāvuttavisaye kāmanavasena pavattito kāmāsavoyeva nāma. Sabbepi hi tebhūmakā dhammā kamanīyaṭṭhena kāmāti. Na cettha aniṭṭhappasaṅgo diṭṭhivippayuttalobhassa bhavāsavabhāvena visuṃ uddhaṭattā. Avassañcetamevaṃ viññātabbaṃ, itarathā rūpārūpabhavesu ucchedadiṭṭhisahagatassapi lobhassa bhavāsavabhāvo āpajjeyyāti. Kāmāsavādayo eva diṭṭhadhammikasamparāyikāsavabhāvena dvidhā vuttā.
๑๑๐๓. อิธ ปาฬิยาปิ ภวาสววินิมุตฺตโลภสฺส กามาสวภาโว น น สกฺกา โยเชตุนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘กามาสวนิเทฺทเส จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘ธมฺมจฺฉโนฺท สทฺธา’’ติ เกจิฯ
1103. Idha pāḷiyāpi bhavāsavavinimuttalobhassa kāmāsavabhāvo na na sakkā yojetunti dassetuṃ ‘‘kāmāsavaniddese cā’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Dhammacchando saddhā’’ti keci.
๑๑๐๕. อุปาทานกฺขเนฺธเสฺวว ปวตฺตติ ตพฺพินิมุตฺตสฺส ธมฺมสฺส ชีวคฺคหณวิสยสฺส ปรมตฺถโต อภาวาฯ รูเป…เป.… วิญฺญาเณ วา ปน น ปติฎฺฐาติ รูปาทีนํ อวิปรีตสภาวมเตฺต อฎฺฐตฺวา สยํ สมาโรปิตสฺส เตสุ ปริกปฺปนามตฺตสิทฺธสฺส กสฺสจิ อาการสฺส อภินิเวสนโตฯ เตเนวาห ‘‘ตโต อญฺญํ กตฺวา’’ติฯ ตโต อุปาทานกฺขนฺธโตฯ เวทนาทโยปิ หิ เกจิ ทิฎฺฐิคติกา อนิจฺจาติ ปสฺสนฺตีติฯ ตโตติ วา สรีรสงฺขาตรูปกฺขนฺธโตฯ ‘‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’’นฺติ หิ วุตฺตํฯ โหตีติ ภวติ สสฺสตํ อตฺตาติ อโตฺถฯ อญฺญนฺติ พฺรหฺมอิสฺสราทิโต อญฺญํฯ
1105. Upādānakkhandhesvevapavattati tabbinimuttassa dhammassa jīvaggahaṇavisayassa paramatthato abhāvā. Rūpe…pe… viññāṇe vā pana na patiṭṭhāti rūpādīnaṃ aviparītasabhāvamatte aṭṭhatvā sayaṃ samāropitassa tesu parikappanāmattasiddhassa kassaci ākārassa abhinivesanato. Tenevāha ‘‘tato aññaṃ katvā’’ti. Tato upādānakkhandhato. Vedanādayopi hi keci diṭṭhigatikā aniccāti passantīti. Tatoti vā sarīrasaṅkhātarūpakkhandhato. ‘‘Aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’’nti hi vuttaṃ. Hotīti bhavati sassataṃ attāti attho. Aññanti brahmaissarādito aññaṃ.
อรูปภโว วิย รูปราคปฺปหาเนน รูปภโว กามราคปฺปหาเนน ปตฺตโพฺพฯ รูปีพฺรหฺมานญฺจ ปญฺจกามคุณิโก ราโค ปหียติ, น วิมานาทีสุ ราโคติ โส อกามราโคติ กตฺวา กามาสโว น โหตีติ อฎฺฐกถายํ ปฎิกฺขิตฺตํฯ ฎีกากาเรหิ ปน กามาสวภวาสววินิมุตฺตโลภาภาวทสฺสเนน รูปีพฺรหฺมานํ วิมานาทิราคสฺสปิ กามจฺฉนฺทาทิภาวโต ทิฎฺฐิวิปฺปยุตฺตรูปารูปภวราควินิมุโตฺต สโพฺพ โลโภ กามาสโวติ ทสฺสิโตฯ ตตฺถ ยุตฺตํ วิจาเรตฺวา คเหตพฺพํฯ สิยา อาสวสมฺปยุโตฺต กามราเคน ภวราเคน วา สหุปฺปตฺติยํ, สิยา อาสววิปฺปยุโตฺต ตทญฺญราเคน สหุปฺปตฺติยํ, ‘‘จตูสุ ทิฎฺฐิคตา’’ติอาทิปาฬิยา อภาวทสฺสเนน กามาสวภวาสววินิมุตฺตโลภาภาวํ ทเสฺสตฺวา ‘‘กามาสโว’’ติอาทิปาฬิทสฺสเนน ทิฎฺฐิราคสฺส กามาสวภาวํ สาเธติฯ ปหาตพฺพทสฺสนตฺถนฺติ ปหาตพฺพตาทสฺสนตฺถํฯ ปหาเนติ ปหานนิมิตฺตํฯ
Arūpabhavo viya rūparāgappahānena rūpabhavo kāmarāgappahānena pattabbo. Rūpībrahmānañca pañcakāmaguṇiko rāgo pahīyati, na vimānādīsu rāgoti so akāmarāgoti katvā kāmāsavo na hotīti aṭṭhakathāyaṃ paṭikkhittaṃ. Ṭīkākārehi pana kāmāsavabhavāsavavinimuttalobhābhāvadassanena rūpībrahmānaṃ vimānādirāgassapi kāmacchandādibhāvato diṭṭhivippayuttarūpārūpabhavarāgavinimutto sabbo lobho kāmāsavoti dassito. Tattha yuttaṃ vicāretvā gahetabbaṃ. Siyā āsavasampayutto kāmarāgena bhavarāgena vā sahuppattiyaṃ, siyā āsavavippayutto tadaññarāgena sahuppattiyaṃ, ‘‘catūsu diṭṭhigatā’’tiādipāḷiyā abhāvadassanena kāmāsavabhavāsavavinimuttalobhābhāvaṃ dassetvā ‘‘kāmāsavo’’tiādipāḷidassanena diṭṭhirāgassa kāmāsavabhāvaṃ sādheti. Pahātabbadassanatthanti pahātabbatādassanatthaṃ. Pahāneti pahānanimittaṃ.
๑๑๒๑. ชาติยาติ ขตฺติยสภาวาทิชาติสมฺปตฺติยาฯ โคเตฺตนาติ โคตมโคตฺตาทิอุกฺกฎฺฐโคเตฺตนฯ โกลปุตฺติเยนาติ มหากุลภาเวนฯ วณฺณโปกฺขรตายาติ วณฺณสมฺปนฺนสรีรตายฯ ‘‘โปกฺขร’’นฺติ หิ สรีรํ วุจฺจตีติฯ มานํ ชเปฺปตีติ มานํ ปวเตฺตติ กโรติฯ ปวโตฺต มาโน ปวตฺตมาโนฯ ปุคฺคลวิเสสนฺติ เสยฺยสฺส เสโยฺยติอาทิเภทํ ปุคฺคลวิเสสํฯ เสยฺยํ ภินฺทิตฺวา ปวตฺตมาโน เสยฺยมาโนฯ ติณฺณนฺติ เสยฺยสฺส เสยฺยาทีนํ ติณฺณํ ‘‘เสโยฺยหมสฺมี’’ติอาทินา อญฺญํ ปุคฺคลํ อนิสฺสาย วุตฺตานํฯ เสยฺยาทิวเสน อตฺตโน มนนํ ปคฺคโห มาโน, ตสฺส กรณํ เสโยฺยหมสฺมีติอาทิปวตฺติเยวาติ วุตฺตํ ‘‘เสโยฺยติ อาทิกิจฺจกรณ’’นฺติฯ
1121. Jātiyāti khattiyasabhāvādijātisampattiyā. Gottenāti gotamagottādiukkaṭṭhagottena. Kolaputtiyenāti mahākulabhāvena. Vaṇṇapokkharatāyāti vaṇṇasampannasarīratāya. ‘‘Pokkhara’’nti hi sarīraṃ vuccatīti. Mānaṃ jappetīti mānaṃ pavatteti karoti. Pavatto māno pavattamāno. Puggalavisesanti seyyassa seyyotiādibhedaṃ puggalavisesaṃ. Seyyaṃ bhinditvā pavattamāno seyyamāno. Tiṇṇanti seyyassa seyyādīnaṃ tiṇṇaṃ ‘‘seyyohamasmī’’tiādinā aññaṃ puggalaṃ anissāya vuttānaṃ. Seyyādivasena attano mananaṃ paggaho māno, tassa karaṇaṃ seyyohamasmītiādipavattiyevāti vuttaṃ ‘‘seyyoti ādikiccakaraṇa’’nti.
๑๑๔๐. สโพฺพปิ โลโภ อภิชฺฌาสภาโวติ อภิชฺฌา อาสวทฺวยสภาวา, กามราโค กามาสวสภาโว เอวาติ อาสวทฺวยเอกาสวภาโว อภิชฺฌากามราคานํ วิเสโส วุโตฺตฯ น อภิชฺฌา จ ธมฺมา ฐเปตฺวา ทิฎฺฐิํ อวิชฺชญฺจ โนอาสวสภาวาฯ อภิชฺฌา จ อาสวทฺวยสภาวา เอว, นอภิชฺฌาสภาโว จ โลโภ นตฺถีติ อธิปฺปาเยน ‘‘โนอาสวโลภสฺส สพฺภาโว วิจาเรตโพฺพ’’ติ อาหฯ คณนาย เหตุยา สตฺตาติ วุตฺตนฺติ ปญฺหาวารปาฐํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตตฺถ หิ ‘‘อาสโว ธโมฺม อาสวสฺส ธมฺมสฺส เหตุปจฺจเยน ปจฺจโยฯ อาสโว ธโมฺม โนอาสวสฺส ธมฺมสฺสฯ อาสโว ธโมฺม อาสวสฺส จ โนอาสวสฺส จฯ โนอาสโว ธโมฺม โนอาสวสฺสฯ โนอาสโว ธโมฺม อาสวสฺสฯ โนอาสโว ธโมฺม อาสวสฺส จ โนอาสวสฺส จฯ อาสโว จ โนอาสโว จ ธมฺมา โนอาสวสฺส เหตุปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๓.๓.๑๖) อิเมสํ วารานํ วเสน ‘‘คณนาย สตฺตา’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยทิ โนอาสวสภาโวปิ โลโภ สิยา, ทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตจิตฺตสฺส วเสน ‘‘อาสโว จ โนอาสโว จ ธมฺมา โมหยถาวุตฺตโลภา อาสวสฺส ธมฺมสฺส ทิฎฺฐิยา เหตุปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ สตฺตโม, ปาฬิยํ อาคตํ สตฺตมํ อฎฺฐมํ กตฺวา ‘‘อาสโว จ โนอาสโว จ ธมฺมา อาสวสฺส จ โนอาสวสฺส จ ธมฺมสฺส เหตุปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ นวโม ปโญฺห วุเจฺจยฺย, น ปน วุโตฺตติฯ เอวํ ทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตโลภสฺส โนอาสวภาวาภาวํ ทเสฺสตฺวา อิตรสฺสปิ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ทิฎฺฐิวิปฺปยุเตฺต จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
1140. Sabbopi lobho abhijjhāsabhāvoti abhijjhā āsavadvayasabhāvā, kāmarāgo kāmāsavasabhāvo evāti āsavadvayaekāsavabhāvo abhijjhākāmarāgānaṃ viseso vutto. Na abhijjhā ca dhammā ṭhapetvā diṭṭhiṃ avijjañca noāsavasabhāvā. Abhijjhā ca āsavadvayasabhāvā eva, naabhijjhāsabhāvo ca lobho natthīti adhippāyena ‘‘noāsavalobhassa sabbhāvo vicāretabbo’’ti āha. Gaṇanāya hetuyā sattāti vuttanti pañhāvārapāṭhaṃ sandhāya vuttaṃ. Tattha hi ‘‘āsavo dhammo āsavassa dhammassa hetupaccayena paccayo. Āsavo dhammo noāsavassa dhammassa. Āsavo dhammo āsavassa ca noāsavassa ca. Noāsavo dhammo noāsavassa. Noāsavo dhammo āsavassa. Noāsavo dhammo āsavassa ca noāsavassa ca. Āsavo ca noāsavo ca dhammā noāsavassa hetupaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 3.3.16) imesaṃ vārānaṃ vasena ‘‘gaṇanāya sattā’’ti vuttaṃ. Tattha yadi noāsavasabhāvopi lobho siyā, diṭṭhisampayuttacittassa vasena ‘‘āsavo ca noāsavo ca dhammā mohayathāvuttalobhā āsavassa dhammassa diṭṭhiyā hetupaccayena paccayo’’ti sattamo, pāḷiyaṃ āgataṃ sattamaṃ aṭṭhamaṃ katvā ‘‘āsavo ca noāsavo ca dhammā āsavassa ca noāsavassa ca dhammassa hetupaccayena paccayo’’ti navamo pañho vucceyya, na pana vuttoti. Evaṃ diṭṭhisampayuttalobhassa noāsavabhāvābhāvaṃ dassetvā itarassapi taṃ dassetuṃ ‘‘diṭṭhivippayutte cā’’tiādi vuttaṃ.
๑๑๖๒. ยถารูเป รูปปฺปพเนฺธ วตฺตมาเน ปุคฺคโล คจฺฉติ ติฎฺฐติ นิสีทตีติ วุจฺจติ, ตถา วิสทรูปสฺส อุปฺปาทกํ จิตฺตํ อิริยาปถูปตฺถมฺภกํฯ ตํ ปน กุสลโต กิริยโต จ ปญฺจมชฺฌานจิตฺตํ อภิญฺญาปฺปตฺตํ อปฺปตฺตญฺจ ภินฺทิตฺวา สตฺตปญฺญาส ชวนานิ โวฎฺฐพฺพนญฺจาติ อฎฺฐปญฺญาสวิธํฯ สหชาตธมฺมานํ อกมฺมญฺญภาวกรตฺตา ถินมิทฺธสหคตจิตฺตํ วิสทานิ รูปานิ น สมุฎฺฐเปติ น อุปตฺถเมฺภติ จาติ วุตฺตํ ‘‘อิริยาปถํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺต’’นฺติฯ
1162. Yathārūpe rūpappabandhe vattamāne puggalo gacchati tiṭṭhati nisīdatīti vuccati, tathā visadarūpassa uppādakaṃ cittaṃ iriyāpathūpatthambhakaṃ. Taṃ pana kusalato kiriyato ca pañcamajjhānacittaṃ abhiññāppattaṃ appattañca bhinditvā sattapaññāsa javanāni voṭṭhabbanañcāti aṭṭhapaññāsavidhaṃ. Sahajātadhammānaṃ akammaññabhāvakarattā thinamiddhasahagatacittaṃ visadāni rūpāni na samuṭṭhapeti na upatthambheti cāti vuttaṃ ‘‘iriyāpathaṃ sandhāretuṃ asakkonta’’nti.
๑๑๖๓. วิปเกฺขปิ ภาวโต อเนกนฺติกตฺตา รูปตฺตาสาธกตฺตํฯ ครุภาวปฺปตฺติ ลหุตาวิรโห ทฎฺฐโพฺพฯ สติปิ อเญฺญสมฺปิ อกุสลาทีนํ ลหุตาวิรเห ถินมิทฺธานํ เอกนฺตโต ลหุตาปฎิปกฺขตฺตา การณานุรูปตฺตา จ ผลสฺส ‘‘ถินมิทฺธสมุฎฺฐิตรูเปหี’’ติ วุตฺตํฯ น ชาคร…เป.… สนฺตตินฺติ เอเตน นามกาเย สุปนสฺส อสิทฺธตํ ทเสฺสติฯ มิทฺธสฺส ผลตฺตาติ เอตฺถ มิทฺธํเยว นิทฺทาการณนฺติ นายํ นิยโม อิจฺฉิโต, นิทฺทาการณเมว ปน มิทฺธนฺติ นิยโม อิจฺฉิโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา หิ ขีณาสวานํ นิทฺทาย มิทฺธโต อญฺญํ การณํ กรชกายสฺส ทุพฺพลภาโว อฎฺฐกถายํ ทสฺสิโตติฯ
1163. Vipakkhepi bhāvato anekantikattā rūpattāsādhakattaṃ. Garubhāvappatti lahutāviraho daṭṭhabbo. Satipi aññesampi akusalādīnaṃ lahutāvirahe thinamiddhānaṃ ekantato lahutāpaṭipakkhattā kāraṇānurūpattā ca phalassa ‘‘thinamiddhasamuṭṭhitarūpehī’’ti vuttaṃ. Na jāgara…pe… santatinti etena nāmakāye supanassa asiddhataṃ dasseti. Middhassa phalattāti ettha middhaṃyeva niddākāraṇanti nāyaṃ niyamo icchito, niddākāraṇameva pana middhanti niyamo icchitoti daṭṭhabbo. Tathā hi khīṇāsavānaṃ niddāya middhato aññaṃ kāraṇaṃ karajakāyassa dubbalabhāvo aṭṭhakathāyaṃ dassitoti.
ฉาทนํ , อวตฺถรณํ วา โอนาโห, โส รูปเสฺสว สภาโวติ ปรสฺส อาสงฺกํ มนสิ กตฺวา อาห ‘‘เตน สห วุตฺตา โอนาหปริโยนาหา จา’’ติฯ อสโงฺกจวเสน วิสทา ปวตฺติ วิปฺผาริกภาโวฯ อาวรณภาโว วิยาติ เอเตน อาวรณสภาวเตฺตปิ มิทฺธสฺส ตพฺพิธุโร อนญฺญสาธารณตฺตา โอนหนาทิภาโวติ ทเสฺสติฯ สามญฺญญฺหิ ปญฺจนฺนมฺปิ กามจฺฉนฺทาทีนํ อาวรณสภาโวติ อาวรณภาวสทิสสฺส โอนหนาทิภาวสฺส นามกาเย ลพฺภมานสฺส คหิตตาติ เอตฺถาธิปฺปาโยฯ
Chādanaṃ , avattharaṇaṃ vā onāho, so rūpasseva sabhāvoti parassa āsaṅkaṃ manasi katvā āha ‘‘tena saha vuttā onāhapariyonāhā cā’’ti. Asaṅkocavasena visadā pavatti vipphārikabhāvo. Āvaraṇabhāvo viyāti etena āvaraṇasabhāvattepi middhassa tabbidhuro anaññasādhāraṇattā onahanādibhāvoti dasseti. Sāmaññañhi pañcannampi kāmacchandādīnaṃ āvaraṇasabhāvoti āvaraṇabhāvasadisassa onahanādibhāvassa nāmakāye labbhamānassa gahitatāti etthādhippāyo.
ปานนฺติ อนุโยโคติ จ ตํกิริยาสาธิกา เจตนา อธิเปฺปตาติ สุราปานสฺส สุรา…เป.… โยคสฺส จ อกุสลภาเวน อุปกฺกิเลสทุพฺพลีกรณภาโว ยุโตฺตติ วุโตฺตฯ ‘‘สุราเมรยสฺส อโชฺฌหรณํ ปานํ ปมาทฎฺฐานานุโยโค จา’’ติ ปรสฺส อธิปฺปาโยฯ นีวรณํ หุตฺวา วาติอาทินา อิทํ ทเสฺสติ ‘‘นีวรณสภาวานํ นีวรณสมฺปยุตฺตภาวทสฺสนปราย โจทนาย นีวรณนฺติ กตฺถจิ อทิฎฺฐปโยคสฺส อสมฺปยุตฺตสฺส รูปสฺส ยถาลาภโต คหณํ ญาโยเยว น โหติ, สิทฺธนีวรณภาวสมฺปยุตฺตสภาวานํเยว ปน คหณนฺติ ตํสภาวา อรูปธมฺมาเยว ทสฺสิตา, น รูปนฺติ ถินํ วิย มิทฺธมฺปิ อรูปเมวาติ วิญฺญายตี’’ติฯ ยนฺติ เยน วจเนนฯ อสมฺภววจนโตติ อสมฺภววจนภาวโตฯ
Pānanti anuyogoti ca taṃkiriyāsādhikā cetanā adhippetāti surāpānassa surā…pe… yogassa ca akusalabhāvena upakkilesadubbalīkaraṇabhāvo yuttoti vutto. ‘‘Surāmerayassa ajjhoharaṇaṃ pānaṃ pamādaṭṭhānānuyogo cā’’ti parassa adhippāyo. Nīvaraṇaṃ hutvā vātiādinā idaṃ dasseti ‘‘nīvaraṇasabhāvānaṃ nīvaraṇasampayuttabhāvadassanaparāya codanāya nīvaraṇanti katthaci adiṭṭhapayogassa asampayuttassa rūpassa yathālābhato gahaṇaṃ ñāyoyeva na hoti, siddhanīvaraṇabhāvasampayuttasabhāvānaṃyeva pana gahaṇanti taṃsabhāvā arūpadhammāyeva dassitā, na rūpanti thinaṃ viya middhampi arūpamevāti viññāyatī’’ti. Yanti yena vacanena. Asambhavavacanatoti asambhavavacanabhāvato.
เตนาติ เตน รูปารมฺมณสฺส ฉนฺทราคสฺส ปหานวจเนนฯ รูปปฺปหานโต อโญฺญติ กตฺวา รูเป ฉนฺทราคปฺปหานํ ‘‘อโญฺญ กาโร’’ติ วุตฺตํฯ ยํ อฎฺฐกถายํ ‘‘อญฺญถา’’ติ วุตฺตํฯ อิทนฺติอาทินา ‘‘ตํ ปชหถา’’ติ ปาฬิยา น นิปฺปริยายปฺปหานํ อธิเปฺปตนฺติ ทเสฺสติฯ อรูปเสฺสว ยุชฺชตีติ สุทุทฺทสํ ทูรงฺคมาทิปฺปวตฺตกํ จิตฺตํ ตํสมฺปยุโตฺต อรูปธโมฺมเยว วิพนฺธิตุํ สมโตฺถติ ทเสฺสติฯ เจตโส ปริยุฎฺฐานนฺติ กุสลจิตฺตสฺส คหณํฯ นีวรณานิ หิ อุปฺปชฺชมานานิ อุปฺปชฺชิตุํ อปฺปทาเนน กุสลวารํ คณฺหนฺตีติ วุจฺจนฺติฯ คหณเญฺจตฺถ ปริยุฎฺฐานํ ‘‘โจรา มเคฺค ปริยุฎฺฐิํสู’’ติอาทีสุ วิยฯ
Tenāti tena rūpārammaṇassa chandarāgassa pahānavacanena. Rūpappahānato aññoti katvā rūpe chandarāgappahānaṃ ‘‘añño kāro’’ti vuttaṃ. Yaṃ aṭṭhakathāyaṃ ‘‘aññathā’’ti vuttaṃ. Idantiādinā ‘‘taṃ pajahathā’’ti pāḷiyā na nippariyāyappahānaṃ adhippetanti dasseti. Arūpasseva yujjatīti sududdasaṃ dūraṅgamādippavattakaṃ cittaṃ taṃsampayutto arūpadhammoyeva vibandhituṃ samatthoti dasseti. Cetaso pariyuṭṭhānanti kusalacittassa gahaṇaṃ. Nīvaraṇāni hi uppajjamānāni uppajjituṃ appadānena kusalavāraṃ gaṇhantīti vuccanti. Gahaṇañcettha pariyuṭṭhānaṃ ‘‘corā magge pariyuṭṭhiṃsū’’tiādīsu viya.
๑๑๗๖. อุทฺธจฺจํ กุกฺกุจฺจญฺจ สห วุตฺตนฺติ อุเทฺทสปุจฺฉานิคมเน สนฺธาย วุตฺตํฯ ยํ ปน อฎฺฐกถายํ อุทฺธจฺจสฺส กุกฺกุเจฺจน วินาภาวการณํ วตฺวา ‘‘ภินฺทิตฺวา วุตฺต’’นฺติ วุตฺตํ, ตํ ‘‘นีวรณา เจว นีวรณสมฺปยุตฺตา จา’’ติ ปทสฺส นิเทฺทเส อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจานํ วิสุํ นิทฺทิฎฺฐตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ กามจฺฉนฺทสฺส อุกฺกฎฺฐนีวรณตา โอรมฺภาคิยภาโวฯ โส หิ รูปราคารูปราคปฺปการกามจฺฉนฺทํ อุปาทาย ตโต ติพฺพกิจฺจตาย ‘‘อุกฺกฎฺฐนีวรณ’’นฺติ วุจฺจติฯ กามจฺฉนฺทนีวรณเนฺตฺวว โลโภ วุโตฺต, น ภินฺทิตฺวาฯ กามจฺฉนฺทนีวรณสฺส จ อนวเสสโต อนาคามิมเคฺคน ปหาเน วุจฺจมาเน จตุตฺถมคฺควโชฺฌ โลโภ อนีวรณสภาโว อาปชฺชตีติ อาห ‘‘ยทิ…เป.… สิยา’’ติฯ โนนีวรโณ รูปราคารูปราคปฺปกาโร โลภธโมฺม นีวรณสฺส อวิชฺชาทิกสฺสฯ อาทิ-สเทฺทน ‘‘โนนีวรโณ ธโมฺม นีวรณสฺส จ โนนีวรณสฺส จ ธมฺมสฺสฯ นีวรโณ จ โนนีวรโณ จ ธมฺมา นีวรณสฺส ธมฺมสฺสฯ นีวรโณ จ โนนีวรโณ จ ธมฺมา โนนีวรณสฺส ธมฺมสฺสฯ นีวรโณ จ โนนีวรโณ จ ธมฺมา นีวรณสฺส จ โนนีวรณสฺส จ ธมฺมสฺส เหตุปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๓.๘.๒๕) อิเม ปเญฺห สงฺคณฺหาติฯ จตฺตารีติ วุตฺตํ นีวรณปทมูลกานํ ติณฺณํ โนนีวรณมูลกสฺส เอกสฺส วเสนฯ นีวรณโนนีวรณตทุภยมูลกานํ ปน ติณฺณํ ติณฺณํ วเสน นวาติ วุตฺตํฯ ตสฺมาติ ยถาทสฺสิตนยาย ปาฬิยา อภาวา โนนีวรณโลภาภาวาฯ
1176. Uddhaccaṃ kukkuccañca saha vuttanti uddesapucchānigamane sandhāya vuttaṃ. Yaṃ pana aṭṭhakathāyaṃ uddhaccassa kukkuccena vinābhāvakāraṇaṃ vatvā ‘‘bhinditvā vutta’’nti vuttaṃ, taṃ ‘‘nīvaraṇā ceva nīvaraṇasampayuttā cā’’ti padassa niddese uddhaccakukkuccānaṃ visuṃ niddiṭṭhataṃ sandhāya vuttaṃ. Kāmacchandassa ukkaṭṭhanīvaraṇatā orambhāgiyabhāvo. So hi rūparāgārūparāgappakārakāmacchandaṃ upādāya tato tibbakiccatāya ‘‘ukkaṭṭhanīvaraṇa’’nti vuccati. Kāmacchandanīvaraṇantveva lobho vutto, na bhinditvā. Kāmacchandanīvaraṇassa ca anavasesato anāgāmimaggena pahāne vuccamāne catutthamaggavajjho lobho anīvaraṇasabhāvo āpajjatīti āha ‘‘yadi…pe… siyā’’ti. Nonīvaraṇo rūparāgārūparāgappakāro lobhadhammo nīvaraṇassa avijjādikassa. Ādi-saddena ‘‘nonīvaraṇo dhammo nīvaraṇassa ca nonīvaraṇassa ca dhammassa. Nīvaraṇo ca nonīvaraṇo ca dhammā nīvaraṇassa dhammassa. Nīvaraṇo ca nonīvaraṇo ca dhammā nonīvaraṇassa dhammassa. Nīvaraṇo ca nonīvaraṇo ca dhammā nīvaraṇassa ca nonīvaraṇassa ca dhammassa hetupaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 3.8.25) ime pañhe saṅgaṇhāti. Cattārīti vuttaṃ nīvaraṇapadamūlakānaṃ tiṇṇaṃ nonīvaraṇamūlakassa ekassa vasena. Nīvaraṇanonīvaraṇatadubhayamūlakānaṃ pana tiṇṇaṃ tiṇṇaṃ vasena navāti vuttaṃ. Tasmāti yathādassitanayāya pāḷiyā abhāvā nonīvaraṇalobhābhāvā.
๑๒๑๙. เตเนวาติ ปุริมทิฎฺฐิอากาเรเนว อุปฺปชฺชมาเนนฯ ทิฎฺฐิคติเกหิ วุจฺจมานานํ ‘‘นิจฺจํ สุภ’’นฺติ เอวมาทิวจนานํ, ทิฎฺฐิรหิเตหิ วุจฺจมานานํ คคนกุสุมาทิโลกโวหารวจนานญฺจ วตฺถูนิ วาจาวตฺถุมตฺตานีติ อาห ‘‘วาจา…เป.… วา’’ติฯ
1219. Tenevāti purimadiṭṭhiākāreneva uppajjamānena. Diṭṭhigatikehi vuccamānānaṃ ‘‘niccaṃ subha’’nti evamādivacanānaṃ, diṭṭhirahitehi vuccamānānaṃ gaganakusumādilokavohāravacanānañca vatthūni vācāvatthumattānīti āha ‘‘vācā…pe… vā’’ti.
๑๒๒๑. จิเตฺตน ปรโลเก ฐิโตติ ยสฺมิํ โลเก นิพฺพตฺติวเสน สยํ ฐิโต, ตโต อญฺญํ โลกํ ปรโลโกติ จิเตฺตน คเหตฺวา ฐิโตฯ
1221. Cittenaparaloke ṭhitoti yasmiṃ loke nibbattivasena sayaṃ ṭhito, tato aññaṃ lokaṃ paralokoti cittena gahetvā ṭhito.
๑๒๓๖. น หิ ปุริเมหีติอาทินา ปฐมมคฺคาทีหิ สมุคฺฆาฎิตอปายคมนียภาวาทิกา เอว ราคาทโย ทุติยมคฺคาทีหิ ปหียนฺตีติ ทเสฺสติฯ
1236. Na hi purimehītiādinā paṭhamamaggādīhi samugghāṭitaapāyagamanīyabhāvādikā eva rāgādayo dutiyamaggādīhi pahīyantīti dasseti.
๑๒๘๗. อุปฎฺฐิเตปิ ทุคฺคตินิมิตฺตาทิเก น ตถา ติโพฺพ โลโภ อุปฺปชฺชติ, ยถา สุคตินิมิตฺตาทิเกติ อาห ‘‘พลวนิกนฺติวิรเหนา’’ติฯ
1287. Upaṭṭhitepi duggatinimittādike na tathā tibbo lobho uppajjati, yathā sugatinimittādiketi āha ‘‘balavanikantivirahenā’’ti.
๑๓๐๑. เอกสฺมิํ จิตฺตุปฺปาเท อุปฺปนฺนานํ วิย เอกสฺมิํ สนฺตาเน อุปฺปนฺนานมฺปิ สหปวตฺติปริยาโย อตฺถีติ ปหาเนกเฎฺฐน ราครเณน วิจิกิจฺฉุทฺธจฺจสหคตโมหสฺส สรณตา วุตฺตาฯ อุทฺธจฺจวิจิกิจฺฉาหิ โย โมโห สหชาโต ภเว, โสปิ ราเคน สรโณ ปหาเนกฎฺฐภาวโตติ ฯ โลภโทสโมหตเทกฎฺฐกิเลสตํสมฺปยุตฺตกฺขนฺธตํสมุฎฺฐานกมฺมเภทโต สพฺพสฺสปิ อกุสลสฺส สงฺคหณวเสน ปวโตฺต สรณปทนิเทฺทโส อรณวิภงฺคสุเตฺตนปิ อญฺญทตฺถุ สํสนฺทตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘อรณวิภงฺคสุเตฺต’’ติอาทิมาหฯ ยํ ปน อฎฺฐกถายํ สมฺปโยคปฺปหาเนกฎฺฐภาวทีปเนน ราคาทีนํ สเพฺพสํ วา อกุสลธมฺมานํ สรณภาวทสฺสนํ, ตํ ปาฬิยา ยถาทสฺสิตธมฺมานํ อญฺญมญฺญสรณภาวทสฺสนปรํ, ตทญฺญธมฺมานํ สรณภาวปฎิเสธนปรนฺติ อรณวิภงฺคสุตฺตวิโรโธติ ทฎฺฐพฺพํฯ สุตฺตนฺตเทสนาย วา ปริยายกถาภาวโต นิปฺปริยายโต สรณภาโว วิย อรณภาโวปิ อกุสลธมฺมานํเยวาติ ตถาปวตฺตาย อฎฺฐกถาย น โกจิ สุตฺตวิโรโธติ ทฎฺฐพฺพํฯ
1301. Ekasmiṃ cittuppāde uppannānaṃ viya ekasmiṃ santāne uppannānampi sahapavattipariyāyo atthīti pahānekaṭṭhena rāgaraṇena vicikicchuddhaccasahagatamohassa saraṇatā vuttā. Uddhaccavicikicchāhi yo moho sahajāto bhave, sopi rāgena saraṇo pahānekaṭṭhabhāvatoti . Lobhadosamohatadekaṭṭhakilesataṃsampayuttakkhandhataṃsamuṭṭhānakammabhedato sabbassapi akusalassa saṅgahaṇavasena pavatto saraṇapadaniddeso araṇavibhaṅgasuttenapi aññadatthu saṃsandatīti dassetuṃ ‘‘araṇavibhaṅgasutte’’tiādimāha. Yaṃ pana aṭṭhakathāyaṃ sampayogappahānekaṭṭhabhāvadīpanena rāgādīnaṃ sabbesaṃ vā akusaladhammānaṃ saraṇabhāvadassanaṃ, taṃ pāḷiyā yathādassitadhammānaṃ aññamaññasaraṇabhāvadassanaparaṃ, tadaññadhammānaṃ saraṇabhāvapaṭisedhanaparanti araṇavibhaṅgasuttavirodhoti daṭṭhabbaṃ. Suttantadesanāya vā pariyāyakathābhāvato nippariyāyato saraṇabhāvo viya araṇabhāvopi akusaladhammānaṃyevāti tathāpavattāya aṭṭhakathāya na koci suttavirodhoti daṭṭhabbaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / ทุกนิเกฺขปํ • Dukanikkhepaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā / ทุกนิเกฺขปกถา • Dukanikkhepakathā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā / ทุกนิเกฺขปกถาวณฺณนา • Dukanikkhepakathāvaṇṇanā