Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā

    ๒. ทุกนิปาโต

    2. Dukanipāto

    ๑. ปฐมวโคฺค

    1. Paṭhamavaggo

    ๑. ทุกฺขวิหารสุตฺตวณฺณนา

    1. Dukkhavihārasuttavaṇṇanā

    ๒๘. ทุกนิปาตสฺส ปฐเม ทฺวีหีติ คณนปริเจฺฉโทฯ ธเมฺมหีติ ปริจฺฉินฺนธมฺมนิทสฺสนํฯ ทฺวีหิ ธเมฺมหีติ ทฺวีหิ อกุสลธเมฺมหิฯ สมนฺนาคโตติ ยุโตฺตฯ ทิเฎฺฐว ธเมฺมติ อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเวฯ ทุกฺขํ วิหรตีติ จตูสุปิ อิริยาปเถสุ กิเลสทุเกฺขน เจว กายิกเจตสิกทุเกฺขน จ ทุกฺขํ วิหรติฯ สวิฆาตนฺติ จิตฺตูปฆาเตน เจว กายูปฆาเตน จ สวิฆาตํฯ สอุปายาสนฺติ กิเลสูปายาเสน เจว สรีรเขเทน จ พลวอายาสวเสน สอุปายาสํฯ สปริฬาหนฺติ กิเลสปริฬาเหน เจว กายปริฬาเหน จ สปริฬาหํฯ กายสฺส เภทาติ อุปาทินฺนกฺขนฺธปริจฺจาคาฯ ปรํ มรณาติ ตทนนฺตรํ อภินิพฺพตฺตกฺขนฺธคฺคหเณฯ อถ วา กายสฺส เภทาติ ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทาฯ ปรํ มรณาติ จุติโต อุทฺธํฯ ทุคฺคติ ปาฎิกงฺขาติ ทุคฺคติสงฺขาตานํ จตุนฺนํ อปายานํ อญฺญตรา คติ อิจฺฉิตพฺพา, อวสฺสํภาวินีติ อโตฺถฯ

    28. Dukanipātassa paṭhame dvīhīti gaṇanaparicchedo. Dhammehīti paricchinnadhammanidassanaṃ. Dvīhi dhammehīti dvīhi akusaladhammehi. Samannāgatoti yutto. Diṭṭheva dhammeti imasmiṃyeva attabhāve. Dukkhaṃ viharatīti catūsupi iriyāpathesu kilesadukkhena ceva kāyikacetasikadukkhena ca dukkhaṃ viharati. Savighātanti cittūpaghātena ceva kāyūpaghātena ca savighātaṃ. Saupāyāsanti kilesūpāyāsena ceva sarīrakhedena ca balavaāyāsavasena saupāyāsaṃ. Sapariḷāhanti kilesapariḷāhena ceva kāyapariḷāhena ca sapariḷāhaṃ. Kāyassa bhedāti upādinnakkhandhapariccāgā. Paraṃ maraṇāti tadanantaraṃ abhinibbattakkhandhaggahaṇe. Atha vā kāyassa bhedāti jīvitindriyupacchedā. Paraṃ maraṇāti cutito uddhaṃ. Duggati pāṭikaṅkhāti duggatisaṅkhātānaṃ catunnaṃ apāyānaṃ aññatarā gati icchitabbā, avassaṃbhāvinīti attho.

    อคุตฺตทฺวาโรติ อปิหิตทฺวาโรฯ กตฺถ ปน อคุตฺตทฺวาโรติ อาห ‘‘อินฺทฺริเยสู’’ติฯ เตน มนจฺฉฎฺฐานํ อินฺทฺริยานํ อสํวรมาหฯ ปฎิคฺคหณปริโภควเสน โภชเน มตฺตํ น ชานาตีติ โภชเน อมตฺตญฺญูฯ ‘‘อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวารตาย โภชเน อมตฺตญฺญุตายา’’ติปิ ปฐนฺติฯ

    Aguttadvāroti apihitadvāro. Kattha pana aguttadvāroti āha ‘‘indriyesū’’ti. Tena manacchaṭṭhānaṃ indriyānaṃ asaṃvaramāha. Paṭiggahaṇaparibhogavasena bhojane mattaṃ na jānātīti bhojane amattaññū. ‘‘Indriyesu aguttadvāratāya bhojane amattaññutāyā’’tipi paṭhanti.

    กถํ อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวารตา, กถํ วา คุตฺตทฺวารตาติ? กิญฺจาปิ หิ จกฺขุนฺทฺริเย สํวโร วา อสํวโร วา นตฺถิฯ น หิ จกฺขุปสาทํ นิสฺสาย สติ วา มุฎฺฐสฺสจฺจํ วา อุปฺปชฺชติฯ อปิจ ยทา รูปารมฺมณํ จกฺขุสฺส อาปาถํ อาคจฺฉติ, ตทา ภวเงฺค ทฺวิกฺขตฺตุํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุเทฺธ กิริยามโนธาตุ อาวชฺชนกิจฺจํ สาธยมานา อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌติ, ตโต จกฺขุวิญฺญาณํ ทสฺสนกิจฺจํ, ตโต วิปากมโนธาตุ สมฺปฎิจฺฉนกิจฺจํ, ตโต วิปากาเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุ สนฺตีรณกิจฺจํ, ตโต กิริยาเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุ โวฎฺฐพฺพนกิจฺจํ สาธยมานา อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌติ, ตทนนฺตรํ ชวนํ ชวติฯ ตถาปิ เนว ภวงฺคสมเย, น อาวชฺชนาทีนํ อญฺญตรสมเย สํวโร วา อสํวโร วา อตฺถิ, ชวนกฺขเณ ปน สเจ ทุสฺสีลฺยํ วา มุฎฺฐสฺสจฺจํ วา อญฺญาณํ วา อกฺขนฺติ วา โกสชฺชํ วา อุปฺปชฺชติ, อสํวโร โหติฯ เอวํ โหโนฺตปิ โส ‘‘จกฺขุทฺวาเร อสํวโร’’ติ วุจฺจติฯ กสฺมา? ยสฺมา ตสฺมิํ สติ ทฺวารมฺปิ อคุตฺตํ โหติ ภวงฺคมฺปิ อาวชฺชนาทีนิ วีถิจิตฺตานิปิฯ ยถา กิํ? ยถา นคเร จตูสุ ทฺวาเรสุ อสํวุเตสุ กิญฺจาปิ อโนฺตฆรทฺวารโกฎฺฐกคพฺภาทโย สุสํวุตา ตถาปิ อโนฺตนคเร สพฺพํ ภณฺฑํ อรกฺขิตํ อโคปิตเมว โหติฯ นครทฺวาเรหิ ปวิสิตฺวา โจรา ยทิจฺฉนฺติ, ตํ หเรยฺยุํฯ เอวเมว ชวเน ทุสฺสีลฺยาทีสุ อุปฺปเนฺนสุ ตสฺมิํ อสํวเร สติทฺวารมฺปิ อคุตฺตํ โหติ, ภวงฺคมฺปิ อาวชฺชนาทีนิ วีถิจิตฺตานิปิฯ ตสฺมิํ ปน อสติ ชวเน สีลาทีสุ อุปฺปเนฺนสุ ทฺวารมฺปิ คุตฺตํ โหติ ภวงฺคมฺปิ อาวชฺชนาทีนิ วีถิจิตฺตานิปิฯ ยถา กิํ? ยถา นครทฺวาเรสุ สํวุเตสุ กิญฺจาปิ อโนฺตฆรทฺวาราทโย อสํวุตา, ตถาปิ อโนฺตนคเร สพฺพํ ภณฺฑํ สุรกฺขิตํ สุโคปิตเมว โหติฯ นครทฺวาเรสุ หิ ปิหิเตสุ โจรานํ ปเวโส นตฺถิฯ เอวเมว ชวเน สีลาทีสุ อุปฺปเนฺนสุ ทฺวารมฺปิ คุตฺตํ โหติ, ภวงฺคมฺปิ, อาวชฺชนาทีนิ วีถิจิตฺตานิปิฯ ตสฺมา ชวนกฺขเณ อุปฺปชฺชมาโนปิ ‘‘จกฺขุทฺวาเร สํวโร’’ติ วุจฺจติฯ เสสทฺวาเรสุปิ เอเสว นโยฯ เอวํ อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวารตา, คุตฺตทฺวารตา จ เวทิตพฺพาฯ

    Kathaṃ indriyesu aguttadvāratā, kathaṃ vā guttadvāratāti? Kiñcāpi hi cakkhundriye saṃvaro vā asaṃvaro vā natthi. Na hi cakkhupasādaṃ nissāya sati vā muṭṭhassaccaṃ vā uppajjati. Apica yadā rūpārammaṇaṃ cakkhussa āpāthaṃ āgacchati, tadā bhavaṅge dvikkhattuṃ uppajjitvā niruddhe kiriyāmanodhātu āvajjanakiccaṃ sādhayamānā uppajjitvā nirujjhati, tato cakkhuviññāṇaṃ dassanakiccaṃ, tato vipākamanodhātu sampaṭicchanakiccaṃ, tato vipākāhetukamanoviññāṇadhātu santīraṇakiccaṃ, tato kiriyāhetukamanoviññāṇadhātu voṭṭhabbanakiccaṃ sādhayamānā uppajjitvā nirujjhati, tadanantaraṃ javanaṃ javati. Tathāpi neva bhavaṅgasamaye, na āvajjanādīnaṃ aññatarasamaye saṃvaro vā asaṃvaro vā atthi, javanakkhaṇe pana sace dussīlyaṃ vā muṭṭhassaccaṃ vā aññāṇaṃ vā akkhanti vā kosajjaṃ vā uppajjati, asaṃvaro hoti. Evaṃ hontopi so ‘‘cakkhudvāre asaṃvaro’’ti vuccati. Kasmā? Yasmā tasmiṃ sati dvārampi aguttaṃ hoti bhavaṅgampi āvajjanādīni vīthicittānipi. Yathā kiṃ? Yathā nagare catūsu dvāresu asaṃvutesu kiñcāpi antogharadvārakoṭṭhakagabbhādayo susaṃvutā tathāpi antonagare sabbaṃ bhaṇḍaṃ arakkhitaṃ agopitameva hoti. Nagaradvārehi pavisitvā corā yadicchanti, taṃ hareyyuṃ. Evameva javane dussīlyādīsu uppannesu tasmiṃ asaṃvare satidvārampi aguttaṃ hoti, bhavaṅgampi āvajjanādīni vīthicittānipi. Tasmiṃ pana asati javane sīlādīsu uppannesu dvārampi guttaṃ hoti bhavaṅgampi āvajjanādīni vīthicittānipi. Yathā kiṃ? Yathā nagaradvāresu saṃvutesu kiñcāpi antogharadvārādayo asaṃvutā, tathāpi antonagare sabbaṃ bhaṇḍaṃ surakkhitaṃ sugopitameva hoti. Nagaradvāresu hi pihitesu corānaṃ paveso natthi. Evameva javane sīlādīsu uppannesu dvārampi guttaṃ hoti, bhavaṅgampi, āvajjanādīni vīthicittānipi. Tasmā javanakkhaṇe uppajjamānopi ‘‘cakkhudvāre saṃvaro’’ti vuccati. Sesadvāresupi eseva nayo. Evaṃ indriyesu aguttadvāratā, guttadvāratā ca veditabbā.

    กถํ ปน โภชเน อมตฺตญฺญู, กถํ วา มตฺตญฺญูติ ? โย หิ ปุคฺคโล มหิโจฺฉ หุตฺวา ปฎิคฺคหเณ มตฺตํ น ชานาติฯ มหิจฺฉปุคฺคโล หิ ยถา นาม กจฺฉปุฎวาณิโช ปิฬนฺธนภณฺฑกํ หเตฺถน คเหตฺวา อุจฺฉเงฺคปิ ปกฺขิปิตพฺพยุตฺตกํ ปกฺขิปิตฺวา มหาชนสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว ‘‘อสุกํ คณฺหถ, อสุกํ คณฺหถา’’ติ มุเขน อุโคฺฆเสติ, เอวเมว อปฺปมตฺตกมฺปิ อตฺตโน สีลํ วา คนฺถํ วา ธุตงฺคคุณํ วา อนฺตมโส อรญฺญวาสมตฺตกมฺปิ มหาชนสฺส ชานนฺตเสฺสว สมฺภาเวติ, สมฺภาเวตฺวา จ ปน สกเฎหิปิ อุปนีเต ปจฺจเย ‘‘อล’’นฺติ อวตฺวา ปฎิคฺคณฺหาติฯ ตโย หิ ปูเรตุํ น สกฺกา อคฺคิ อุปาทาเนน, สมุโทฺท อุทเกน, มหิโจฺฉ ปจฺจเยหีติ –

    Kathaṃ pana bhojane amattaññū, kathaṃ vā mattaññūti ? Yo hi puggalo mahiccho hutvā paṭiggahaṇe mattaṃ na jānāti. Mahicchapuggalo hi yathā nāma kacchapuṭavāṇijo piḷandhanabhaṇḍakaṃ hatthena gahetvā ucchaṅgepi pakkhipitabbayuttakaṃ pakkhipitvā mahājanassa passantasseva ‘‘asukaṃ gaṇhatha, asukaṃ gaṇhathā’’ti mukhena ugghoseti, evameva appamattakampi attano sīlaṃ vā ganthaṃ vā dhutaṅgaguṇaṃ vā antamaso araññavāsamattakampi mahājanassa jānantasseva sambhāveti, sambhāvetvā ca pana sakaṭehipi upanīte paccaye ‘‘ala’’nti avatvā paṭiggaṇhāti. Tayo hi pūretuṃ na sakkā aggi upādānena, samuddo udakena, mahiccho paccayehīti –

    ‘‘อคฺคิกฺขโนฺธ สมุโทฺท จ, มหิโจฺฉ จาปิ ปุคฺคโล;

    ‘‘Aggikkhandho samuddo ca, mahiccho cāpi puggalo;

    พหุเก ปจฺจเย ทิเนฺน, ตโยเปเต น ปูรเยติ’’ฯ

    Bahuke paccaye dinne, tayopete na pūrayeti’’.

    มหิจฺฉปุคฺคโล หิ วิชาตมาตุยาปิ มนํ คณฺหิตุํ น สโกฺกติฯ เอวรูโป หิ อนุปฺปนฺนํ ลาภํ น อุปฺปาเทติ, อุปฺปนฺนลาภโต จ ปริหายติฯ เอวํ ตาว ปฎิคฺคหเณ อมตฺตญฺญู โหติฯ โย ปน ธเมฺมน สเมน ลทฺธมฺปิ อาหารํ คธิโต มุจฺฉิโต อโชฺฌปโนฺน อนาทีนวทสฺสาวี อนิสฺสรณปโญฺญ อาหรหตฺถกอลํสาฎกตตฺถวฎฺฎกกากมาสกภุตฺตวมิตกพฺราหฺมณานํ อญฺญตโร วิย อโยนิโส อนุปาเยน ยาวทตฺถํ อุทราวเทหกํ ปริภุญฺชิตฺวา เสยฺยสุขํ ปสฺสสุขํ มิทฺธสุขํ อนุยุโตฺต วิหรติฯ อยํ ปริโภเค อมตฺตญฺญู นามฯ

    Mahicchapuggalo hi vijātamātuyāpi manaṃ gaṇhituṃ na sakkoti. Evarūpo hi anuppannaṃ lābhaṃ na uppādeti, uppannalābhato ca parihāyati. Evaṃ tāva paṭiggahaṇe amattaññū hoti. Yo pana dhammena samena laddhampi āhāraṃ gadhito mucchito ajjhopanno anādīnavadassāvī anissaraṇapañño āharahatthakaalaṃsāṭakatatthavaṭṭakakākamāsakabhuttavamitakabrāhmaṇānaṃ aññataro viya ayoniso anupāyena yāvadatthaṃ udarāvadehakaṃ paribhuñjitvā seyyasukhaṃ passasukhaṃ middhasukhaṃ anuyutto viharati. Ayaṃ paribhoge amattaññū nāma.

    โย ปน ‘‘ยทิปิ เทยฺยธโมฺม พหุ โหติ, ทายโก อปฺปํ ทาตุกาโม, ทายกสฺส วเสน อปฺปํ คณฺหาติฯ เทยฺยธโมฺม อโปฺป, ทายโก พหุํ ทาตุกาโม, เทยฺยธมฺมสฺส วเสน อปฺปํ คณฺหาติฯ เทยฺยธโมฺม พหุ, ทายโกปิ พหุํ ทาตุกาโม, อตฺตโน ถามํ ญตฺวา ปมาณยุตฺตเมว คณฺหาตี’’ติ เอวํ วุตฺตสฺส ปฎิคฺคหเณ ปมาณชานนสฺส เจว, ‘‘ปฎิสงฺขา โยนิโส อาหารํ อาหาเรติ, เนว ทวาย, น มทายา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑๓๕๕) ‘‘ลทฺธญฺจ ปิณฺฑปาตํ อคธิโต อมุจฺฉิโต อนโชฺฌปโนฺน อาทีนวทสฺสาวี นิสฺสรณปโญฺญ ปริภุญฺชตี’’ติ จ อาทินา นเยน วุตฺตสฺส ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปฎิสงฺขานปญฺญาย ชานิตฺวา อาหารปริภุญฺชนสงฺขาตสฺส ปริโภเค ปมาณชานนสฺส จ วเสน โภชเน มตฺตญฺญู โหติ, อยํ โภชเน มตฺตญฺญู นามฯ เอวํ โภชเน อมตฺตญฺญุตา มตฺตญฺญุตา จ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Yo pana ‘‘yadipi deyyadhammo bahu hoti, dāyako appaṃ dātukāmo, dāyakassa vasena appaṃ gaṇhāti. Deyyadhammo appo, dāyako bahuṃ dātukāmo, deyyadhammassa vasena appaṃ gaṇhāti. Deyyadhammo bahu, dāyakopi bahuṃ dātukāmo, attano thāmaṃ ñatvā pamāṇayuttameva gaṇhātī’’ti evaṃ vuttassa paṭiggahaṇe pamāṇajānanassa ceva, ‘‘paṭisaṅkhā yoniso āhāraṃ āhāreti, neva davāya, na madāyā’’tiādinā (dha. sa. 1355) ‘‘laddhañca piṇḍapātaṃ agadhito amucchito anajjhopanno ādīnavadassāvī nissaraṇapañño paribhuñjatī’’ti ca ādinā nayena vuttassa paccavekkhitvā paṭisaṅkhānapaññāya jānitvā āhāraparibhuñjanasaṅkhātassa paribhoge pamāṇajānanassa ca vasena bhojane mattaññū hoti, ayaṃ bhojane mattaññū nāma. Evaṃ bhojane amattaññutā mattaññutā ca hotīti veditabbaṃ.

    คาถาสุ ปน จกฺขุนฺติอาทีสุ จกฺขตีติ จกฺขุ, รูปํ อสฺสาเทติ, สมวิสมํ อาจิกฺขนฺตํ วิย โหตีติ วา อโตฺถฯ สุณาตีติ โสตํฯ ฆายตีติ ฆานํฯ ชีวิตนิมิตฺตํ อาหารรโส ชีวิตํ, ตํ อวฺหายตีติ ชิวฺหาฯ กุจฺฉิตานํ อาโยติ กาโยฯ มนเต วิชานาตีติ มโนฯ โปราณา ปนาหุ มุนาตีติ มโน, นาฬิยา มินมาโน วิย มหาตุลาย ธารยมาโน วิย จ อารมฺมณํ วิชานาตีติ อโตฺถฯ เอวํ ตาเวตฺถ ปทโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Gāthāsu pana cakkhuntiādīsu cakkhatīti cakkhu, rūpaṃ assādeti, samavisamaṃ ācikkhantaṃ viya hotīti vā attho. Suṇātīti sotaṃ. Ghāyatīti ghānaṃ. Jīvitanimittaṃ āhāraraso jīvitaṃ, taṃ avhāyatīti jivhā. Kucchitānaṃ āyoti kāyo. Manate vijānātīti mano. Porāṇā panāhu munātīti mano, nāḷiyā minamāno viya mahātulāya dhārayamāno viya ca ārammaṇaṃ vijānātīti attho. Evaṃ tāvettha padattho veditabbo.

    ภาวตฺถโต ปน ทุวิธํ จกฺขุ – มํสจกฺขุ จ ปญฺญาจกฺขุ จฯ เตสุ พุทฺธจกฺขุ, สมนฺตจกฺขุ, ญาณจกฺขุ, ทิพฺพจกฺขุ, ธมฺมจกฺขูติ ปญฺจวิธํ ปญฺญาจกฺขุฯ ตตฺถ ‘‘อทฺทสํ โข อหํ, ภิกฺขเว, พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๘๓) อิทํ พุทฺธจกฺขุ นามฯ ‘‘สมนฺตจกฺขุ วุจฺจติ สพฺพญฺญุตญฺญาณ’’นฺติ (จูฬว. โธตกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๓๒) อิทํ สมนฺตจกฺขุ นามฯ ‘‘จกฺขุํ อุทปาที’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๕) อิทํ ญาณจกฺขุ นามฯ ‘‘อทฺทสํ โข อหํ, ภิกฺขเว, ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธนา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๘๔) อิทํ ทิพฺพจกฺขุ นามฯ ‘‘วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาที’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๙๕; มหาว. ๑๖) อิทํ เหฎฺฐิมมคฺคตฺตยสงฺขาตํ ธมฺมจกฺขุ นามฯ

    Bhāvatthato pana duvidhaṃ cakkhu – maṃsacakkhu ca paññācakkhu ca. Tesu buddhacakkhu, samantacakkhu, ñāṇacakkhu, dibbacakkhu, dhammacakkhūti pañcavidhaṃ paññācakkhu. Tattha ‘‘addasaṃ kho ahaṃ, bhikkhave, buddhacakkhunā lokaṃ volokento’’ti (ma. ni. 1.283) idaṃ buddhacakkhu nāma. ‘‘Samantacakkhu vuccati sabbaññutaññāṇa’’nti (cūḷava. dhotakamāṇavapucchāniddesa 32) idaṃ samantacakkhu nāma. ‘‘Cakkhuṃ udapādī’’ti (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 15) idaṃ ñāṇacakkhu nāma. ‘‘Addasaṃ kho ahaṃ, bhikkhave, dibbena cakkhunā visuddhenā’’ti (ma. ni. 1.284) idaṃ dibbacakkhu nāma. ‘‘Virajaṃ vītamalaṃ dhammacakkhuṃ udapādī’’ti (ma. ni. 2.395; mahāva. 16) idaṃ heṭṭhimamaggattayasaṅkhātaṃ dhammacakkhu nāma.

    มํสจกฺขุปิ ทุวิธํ – สสมฺภารจกฺขุ, ปสาทจกฺขูติฯ ตตฺถ ยฺวายํ อกฺขิกูปเก ปติฎฺฐิโต เหฎฺฐา อกฺขิกูปกฎฺฐิเกน, อุปริ ภมุกฎฺฐิเกน , อุภโต อกฺขิกูเฎหิ, อโนฺต มตฺถลุเงฺคน, พหิทฺธา อกฺขิโลเมหิ ปริจฺฉิโนฺน มํสปิโณฺฑ, สเงฺขปโต จตโสฺส ธาตุโย – วโณฺณ, คโนฺธ, รโส, โอชาสมฺภโว สณฺฐานํ ชีวิตํ ภาโว กายปสาโท จกฺขุปสาโทติ จุทฺทส สมฺภาราฯ วิตฺถารโต จตโสฺส ธาตุโย ตํนิสฺสิตา วณฺณคนฺธรสโอชาสณฺฐานสมฺภวาติ อิมานิ ทส จตุสมุฎฺฐานิกตฺตา จตฺตาลีสํ โหนฺติ, ชีวิตํ ภาโว กายปสาโท จกฺขุปสาโทติ จตฺตาริ เอกนฺตกมฺมสมุฎฺฐาเนวาติ อิเมสํ จตุจตฺตาลีสาย รูปานํ วเสน จตุจตฺตาลีส สมฺภาราฯ ยํ โลเก ‘‘เสตํ วฎฺฎํ ปุถุลํ วิสฎํ วิปุลํ จกฺขู’’ติ สญฺชานโนฺต น จกฺขุํ สญฺชานาติ, วตฺถุํ จกฺขุโต สญฺชานาติ, โย มํสปิโณฺฑ อกฺขิกูปเก ปติฎฺฐิโต นฺหารุสุตฺตเกน มตฺถลุเงฺคน อาพโทฺธ, ยตฺถ เสตมฺปิ อตฺถิ กณฺหมฺปิ โลหิตกมฺปิ ปถวีปิ อาโปปิ เตโชปิ วาโยปิฯ ยํ เสมฺหุสฺสทตฺตา เสตํ, ปิตฺตุสฺสทตฺตา กณฺหํ, รุหิรุสฺสทตฺตา โลหิตกํ, ปถวุสฺสทตฺตา ปตฺถทฺธํ, อาปุสฺสทตฺตา ปคฺฆรติ, เตชุสฺสทตฺตา ปริฑยฺหติ, วายุสฺสทตฺตา สมฺภมติ, อิทํ สสมฺภารจกฺขุ นามฯ โย ปน เอตฺถ สิโต เอตฺถ ปฎิพโทฺธ จตุนฺนํ มหาภูตานํ อุปาทาย ปสาโท, อิทํ ปสาทจกฺขุ นามฯ อิทญฺหิ จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ ยถารหํ วตฺถุทฺวารภาเวน ปวตฺตติฯ

    Maṃsacakkhupi duvidhaṃ – sasambhāracakkhu, pasādacakkhūti. Tattha yvāyaṃ akkhikūpake patiṭṭhito heṭṭhā akkhikūpakaṭṭhikena, upari bhamukaṭṭhikena , ubhato akkhikūṭehi, anto matthaluṅgena, bahiddhā akkhilomehi paricchinno maṃsapiṇḍo, saṅkhepato catasso dhātuyo – vaṇṇo, gandho, raso, ojāsambhavo saṇṭhānaṃ jīvitaṃ bhāvo kāyapasādo cakkhupasādoti cuddasa sambhārā. Vitthārato catasso dhātuyo taṃnissitā vaṇṇagandharasaojāsaṇṭhānasambhavāti imāni dasa catusamuṭṭhānikattā cattālīsaṃ honti, jīvitaṃ bhāvo kāyapasādo cakkhupasādoti cattāri ekantakammasamuṭṭhānevāti imesaṃ catucattālīsāya rūpānaṃ vasena catucattālīsa sambhārā. Yaṃ loke ‘‘setaṃ vaṭṭaṃ puthulaṃ visaṭaṃ vipulaṃ cakkhū’’ti sañjānanto na cakkhuṃ sañjānāti, vatthuṃ cakkhuto sañjānāti, yo maṃsapiṇḍo akkhikūpake patiṭṭhito nhārusuttakena matthaluṅgena ābaddho, yattha setampi atthi kaṇhampi lohitakampi pathavīpi āpopi tejopi vāyopi. Yaṃ semhussadattā setaṃ, pittussadattā kaṇhaṃ, ruhirussadattā lohitakaṃ, pathavussadattā patthaddhaṃ, āpussadattā paggharati, tejussadattā pariḍayhati, vāyussadattā sambhamati, idaṃ sasambhāracakkhu nāma. Yo pana ettha sito ettha paṭibaddho catunnaṃ mahābhūtānaṃ upādāya pasādo, idaṃ pasādacakkhu nāma. Idañhi cakkhuviññāṇādīnaṃ yathārahaṃ vatthudvārabhāvena pavattati.

    โสตาทีสุปิ โสตํ ทิพฺพโสตํ, มํสโสตนฺติ ทุวิธํฯ เอตฺถ ‘‘ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สเทฺท สุณาตี’’ติ อิทํ ทิพฺพโสตํ นามฯ มํสโสตํ ปน สสมฺภารโสตํ ปสาทโสตนฺติ ทุวิธนฺติอาทิ สพฺพํ จกฺขุมฺหิ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํ, ตถา ฆานชิวฺหาฯ กาโย ปน โจปนกาโย, กรชกาโย, สมูหกาโย, ปสาทกาโยติอาทินา พหุวิโธฯ ตตฺถ –

    Sotādīsupi sotaṃ dibbasotaṃ, maṃsasotanti duvidhaṃ. Ettha ‘‘dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya ubho sadde suṇātī’’ti idaṃ dibbasotaṃ nāma. Maṃsasotaṃ pana sasambhārasotaṃ pasādasotanti duvidhantiādi sabbaṃ cakkhumhi vuttanayeneva veditabbaṃ, tathā ghānajivhā. Kāyo pana copanakāyo, karajakāyo, samūhakāyo, pasādakāyotiādinā bahuvidho. Tattha –

    ‘‘กาเยน สํวุตา ธีรา, อโถ วาจาย สํวุตา’’ติฯ (ธ. ป. ๒๓๔) –

    ‘‘Kāyena saṃvutā dhīrā, atho vācāya saṃvutā’’ti. (dha. pa. 234) –

    อยํ โจปนกาโย นามฯ ‘‘อิมมฺหา กายา อญฺญํ กายํ อภินิมฺมินาตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๓๖; ปฎิ. ม. ๓.๑๔) อยํ กรชกาโย นามฯ สมูหกาโย ปน วิญฺญาณาทิสมูหวเสน อเนกวิโธ อาคโตฯ ตถา หิ ‘‘ฉ อิเม, อาวุโส, วิญฺญาณกายา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๐๑) วิญฺญาณสมูโห วุโตฺตฯ ‘‘ฉ ผสฺสกายา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๒๓; ม. นิ. ๑.๙๘) ผสฺสาทิสมูโห ฯ ตถา ‘‘กายปสฺสทฺธิ กายลหุตา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๑๔) เวทนากฺขนฺธาทโยฯ ‘‘อิเธกโจฺจ ปถวิกายํ อนิจฺจโต อนุปสฺสติ, อาโปกายํ เตโชกายํ วาโยกายํ เกสกายํ โลมกาย’’นฺติอาทีสุ (ปฎิ. ม. ๓.๓๕) ปถวาทิสมูโหฯ ‘‘กาเยน โผฎฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๖) อยํ ปสาทกาโยฯ อิธาปิ ปสาทกาโย เวทิตโพฺพฯ โส หิ กายวิญฺญาณาทีนํ ยถารหํ วตฺถุทฺวารภาเวน ปวตฺตติฯ มโนติ ปน กิญฺจาปิ สพฺพํ วิญฺญาณํ วุจฺจติ, ตถาปิ ทฺวารภาวสฺส อิธาธิเปฺปตตฺตา ทฺวารภูตํ สาวชฺชนํ ภวงฺคํ เวทิตพฺพํฯ

    Ayaṃ copanakāyo nāma. ‘‘Imamhā kāyā aññaṃ kāyaṃ abhinimminātī’’ti (dī. ni. 1.236; paṭi. ma. 3.14) ayaṃ karajakāyo nāma. Samūhakāyo pana viññāṇādisamūhavasena anekavidho āgato. Tathā hi ‘‘cha ime, āvuso, viññāṇakāyā’’tiādīsu (ma. ni. 1.101) viññāṇasamūho vutto. ‘‘Cha phassakāyā’’tiādīsu (dī. ni. 3.323; ma. ni. 1.98) phassādisamūho . Tathā ‘‘kāyapassaddhi kāyalahutā’’tiādīsu (dha. sa. 114) vedanākkhandhādayo. ‘‘Idhekacco pathavikāyaṃ aniccato anupassati, āpokāyaṃ tejokāyaṃ vāyokāyaṃ kesakāyaṃ lomakāya’’ntiādīsu (paṭi. ma. 3.35) pathavādisamūho. ‘‘Kāyena phoṭṭhabbaṃ phusitvā’’ti (a. ni. 3.16) ayaṃ pasādakāyo. Idhāpi pasādakāyo veditabbo. So hi kāyaviññāṇādīnaṃ yathārahaṃ vatthudvārabhāvena pavattati. Manoti pana kiñcāpi sabbaṃ viññāṇaṃ vuccati, tathāpi dvārabhāvassa idhādhippetattā dvārabhūtaṃ sāvajjanaṃ bhavaṅgaṃ veditabbaṃ.

    เอตานิ ยสฺส ทฺวารานิ อคุตฺตานิ จ ภิกฺขุโนติ ยสฺส ภิกฺขุโน เอตานิ มนจฺฉฎฺฐานิ ทฺวารานิ สติโวสฺสเคฺคน ปมาทํ อาปนฺนตฺตา สติกวาเฎน อปิหิตานิฯ โภชนมฺหิ…เป.… อธิคจฺฉตีติ โส ภิกฺขุ วุตฺตนเยน โภชเน อมตฺตญฺญู อินฺทฺริเยสุ จ สํวรรหิโต ทิฎฺฐธมฺมิกญฺจ โรคาทิวเสน, สมฺปรายิกญฺจ ทุคฺคติปริยาปนฺนํ กายทุกฺขํ ราคาทิกิเลสสนฺตาปวเสน, อิจฺฉาวิฆาตวเสน จ เจโตทุกฺขนฺติ สพฺพถาปิ ทุกฺขเมว อธิคจฺฉติ ปาปุณาติฯ ยสฺมา เจตเทวํ, ตสฺมา ทุวิเธนปิ ทุกฺขคฺคินา อิธโลเก จ ปรโลเก จ ฑยฺหมาเนน กาเยน ฑยฺหมาเนน เจตสา ทิวา วา ยทิ วา รตฺติํ นิจฺจกาลเมว ตาทิโส ปุคฺคโล ทุกฺขเมว วิหรติ, น ตสฺส สุขวิหารสฺส สมฺภโว, วฎฺฎทุกฺขานติกฺกเม ปน วตฺตพฺพเมว นตฺถีติฯ

    Etāni yassa dvārāni aguttāni ca bhikkhunoti yassa bhikkhuno etāni manacchaṭṭhāni dvārāni sativossaggena pamādaṃ āpannattā satikavāṭena apihitāni. Bhojanamhi…pe… adhigacchatīti so bhikkhu vuttanayena bhojane amattaññū indriyesu ca saṃvararahito diṭṭhadhammikañca rogādivasena, samparāyikañca duggatipariyāpannaṃ kāyadukkhaṃ rāgādikilesasantāpavasena, icchāvighātavasena ca cetodukkhanti sabbathāpi dukkhameva adhigacchati pāpuṇāti. Yasmā cetadevaṃ, tasmā duvidhenapi dukkhagginā idhaloke ca paraloke ca ḍayhamānena kāyena ḍayhamānena cetasā divā vā yadi vā rattiṃ niccakālameva tādiso puggalo dukkhameva viharati, na tassa sukhavihārassa sambhavo, vaṭṭadukkhānatikkame pana vattabbameva natthīti.

    ปฐมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๑. ทุกฺขวิหารสุตฺตํ • 1. Dukkhavihārasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact