Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๐] ๑๐. ทุเมฺมธชาตกวณฺณนา

    [50] 10. Dummedhajātakavaṇṇanā

    ทุเมฺมธานนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต โลกตฺถจริยํ อารพฺภ กเถสิฯ สา ทฺวาทสกนิปาเต มหากณฺหชาตเก (ชา. ๑.๑๒.๖๑ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ

    Dummedhānanti idaṃ satthā jetavane viharanto lokatthacariyaṃ ārabbha kathesi. Sā dvādasakanipāte mahākaṇhajātake (jā. 1.12.61 ādayo) āvi bhavissati.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส รโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตสฺส มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขนฺตสฺส นามคฺคหณทิวเส ‘‘พฺรหฺมทตฺตกุมาโร’’ติ นามํ อกํสุฯ โส โสฬสวสฺสุเทฺทสิโก หุตฺวา ตกฺกสิลายํ สิปฺปํ อุคฺคณฺหิตฺวา ติณฺณํ เวทานํ ปารํ คนฺตฺวา อฎฺฐารสนฺนํ วิชฺชฎฺฐานานํ นิปฺผตฺติํ ปาปุณิ, อถสฺส ปิตา โอปรชฺชํ อทาสิฯ ตสฺมิํ สมเย พาราณสิวาสิโน เทวตามงฺคลิกา โหนฺติ, เทวตา นมสฺสนฺติ, พหู อเชฬกกุกฺกุฎภูกราทโย วธิตฺวา นานปฺปกาเรหิ ปุปฺผคเนฺธหิ เจว มํสโลหิเตหิ จ พลิกมฺมํ กโรนฺติฯ โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘อิทานิ สตฺตา เทวตามงฺคลิกา, พหุํ ปาณวธํ กโรนฺติ, มหาชโน เยภุเยฺยน อธมฺมสฺมิํเยว นิวิโฎฺฐ, อหํ ปิตุ อจฺจเยน รชฺชํ ลภิตฺวา เอกมฺปิ อกิลเมตฺวา อุปาเยเนว ปาณวธํ กาตุํ น ทสฺสามี’’ติฯ โส เอกทิวสํ รถํ อภิรุยฺห นครา นิกฺขโนฺต อทฺทส เอกสฺมิํ มหเนฺต วฎรุเกฺข มหาชนํ สนฺนิปติตํ, ตสฺมิํ รุเกฺข นิพฺพตฺตเทวตาย สนฺติเก ปุตฺตธีตุยสธนาทีสุ ยํ ยํ อิจฺฉติ, ตํ ตํ ปเตฺถนฺตํฯ โส ตํ ทิสฺวา รถา โอรุยฺห ตํ รุกฺขํ อุปสงฺกมิตฺวา คนฺธปุเปฺผหิ ปูเชตฺวา อุทเกน อภิเสกํ กตฺวา รุกฺขํ ปทกฺขิณํ กตฺวา เทวตามงฺคลิโก วิย หุตฺวา เทวตํ นมสฺสิตฺวา รถํ อภิรุยฺห นครํ ปาวิสิฯ ตโต ปฎฺฐาย อิมินาว นิยาเมน อนฺตรนฺตเร ตตฺถ คนฺตฺวา เทวตามงฺคลิโก วิย ปูชํ กโรติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa rañño aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Tassa mātukucchito nikkhantassa nāmaggahaṇadivase ‘‘brahmadattakumāro’’ti nāmaṃ akaṃsu. So soḷasavassuddesiko hutvā takkasilāyaṃ sippaṃ uggaṇhitvā tiṇṇaṃ vedānaṃ pāraṃ gantvā aṭṭhārasannaṃ vijjaṭṭhānānaṃ nipphattiṃ pāpuṇi, athassa pitā oparajjaṃ adāsi. Tasmiṃ samaye bārāṇasivāsino devatāmaṅgalikā honti, devatā namassanti, bahū ajeḷakakukkuṭabhūkarādayo vadhitvā nānappakārehi pupphagandhehi ceva maṃsalohitehi ca balikammaṃ karonti. Bodhisatto cintesi ‘‘idāni sattā devatāmaṅgalikā, bahuṃ pāṇavadhaṃ karonti, mahājano yebhuyyena adhammasmiṃyeva niviṭṭho, ahaṃ pitu accayena rajjaṃ labhitvā ekampi akilametvā upāyeneva pāṇavadhaṃ kātuṃ na dassāmī’’ti. So ekadivasaṃ rathaṃ abhiruyha nagarā nikkhanto addasa ekasmiṃ mahante vaṭarukkhe mahājanaṃ sannipatitaṃ, tasmiṃ rukkhe nibbattadevatāya santike puttadhītuyasadhanādīsu yaṃ yaṃ icchati, taṃ taṃ patthentaṃ. So taṃ disvā rathā oruyha taṃ rukkhaṃ upasaṅkamitvā gandhapupphehi pūjetvā udakena abhisekaṃ katvā rukkhaṃ padakkhiṇaṃ katvā devatāmaṅgaliko viya hutvā devataṃ namassitvā rathaṃ abhiruyha nagaraṃ pāvisi. Tato paṭṭhāya imināva niyāmena antarantare tattha gantvā devatāmaṅgaliko viya pūjaṃ karoti.

    โส อปเรน สมเยน ปิตุ อจฺจเยน รเชฺช ปติฎฺฐาย จตโสฺส อคติโย วเชฺชตฺวา ทส ราชธเมฺม อโกเปโนฺต ธเมฺมน รชฺชํ กาเรโนฺต จิเนฺตสิ ‘‘มยฺหํ มโนรโถ มตฺถกํ ปโตฺต, รเชฺช ปติฎฺฐิโตมฺหิฯ ยํ ปนาหํ ปุเพฺพ เอกํ อตฺถํ จินฺตยิํ, อิทานิ ตํ มตฺถกํ ปาเปสฺสามี’’ติ อมเจฺจ จ พฺราหฺมณคหปติกาทโย จ สนฺนิปาตาเปตฺวา อามเนฺตสิ ‘‘ชานาถ โภ มยา เกน การเณน รชฺชํ ปตฺต’’นฺติ? ‘‘น ชานาม, เทวา’’ติฯ ‘‘อปิ โวหํ อสุกํ นาม วฎรุกฺขํ คนฺธาทีหิ ปูเชตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา นมสฺสมาโน ทิฎฺฐปุโพฺพ’’ติฯ ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ตทาหํ ปตฺถนํ อกาสิํ ‘‘สเจ รชฺชํ ปาปุณิสฺสามิ, พลิกมฺมํ เต กริสฺสามี’’ติฯ ‘‘ตสฺสา เม เทวตาย อานุภาเวน อิทํ รชฺชํ ลทฺธํ, อิทานิสฺสา พลิกมฺมํ กริสฺสามิ, ตุเมฺห ปปญฺจํ อกตฺวา ขิปฺปํ เทวตาย พลิกมฺมํ สเชฺชถา’’ติฯ ‘‘กิํ กิํ คณฺหาม, เทวา’’ติ? โภ อหํ เทวตาย อายาจมาโน ‘‘เย มยฺหํ รเชฺช ปาณาติปาตาทีนิ ปญฺจ ทุสฺสีลกมฺมานิ ทส อกุสลกมฺมปเถ สมาทาย วตฺติสฺสนฺติ, เต ฆาเตตฺวา อนฺตวฎฺฎิมํสโลหิตาทีหิ พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ อายาจิํฯ ตสฺมา ตุเมฺห เอวํ เภริํ จราเปถ ‘‘อมฺหากํ ราชา อุปราชกาเลเยว เอวํ อายาจิ ‘สจาหํ รชฺชํ ปาปุณิสฺสามิ, เย เม รเชฺช ทุสฺสีลา ภวิสฺสนฺติ, เต สเพฺพ ฆาเตตฺวา พลิกมฺมํ กริสฺสามี’ติ, โส อิทานิ ปญฺจวิธํ ทุสฺสีลกมฺมํ ทสวิธํ อกุสลกมฺมปถํ สมาทาย วตฺตมานานํ ทุสฺสีลานํ สหสฺสํ ฆาเตตฺวา เตสํ หทยมํสาทีนิ คาหาเปตฺวา เทวตาย พลิกมฺมํ กาตุกาโม, เอวํ นครวาสิโน ชานนฺตู’’ติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘เยทานิ อิโต ปฎฺฐาย ทุสฺสีลกเมฺม วตฺติสฺสนฺติ, เตสํ สหสฺสํ ฆาเตตฺวา ยญฺญํ ยชิตฺวา อายาจนโต มุจฺจิสฺสามี’’ติ เอตมตฺถํ ปกาเสโนฺต อิมํ คาถมาห –

    So aparena samayena pitu accayena rajje patiṭṭhāya catasso agatiyo vajjetvā dasa rājadhamme akopento dhammena rajjaṃ kārento cintesi ‘‘mayhaṃ manoratho matthakaṃ patto, rajje patiṭṭhitomhi. Yaṃ panāhaṃ pubbe ekaṃ atthaṃ cintayiṃ, idāni taṃ matthakaṃ pāpessāmī’’ti amacce ca brāhmaṇagahapatikādayo ca sannipātāpetvā āmantesi ‘‘jānātha bho mayā kena kāraṇena rajjaṃ patta’’nti? ‘‘Na jānāma, devā’’ti. ‘‘Api vohaṃ asukaṃ nāma vaṭarukkhaṃ gandhādīhi pūjetvā añjaliṃ paggahetvā namassamāno diṭṭhapubbo’’ti. ‘‘Āma, devā’’ti. Tadāhaṃ patthanaṃ akāsiṃ ‘‘sace rajjaṃ pāpuṇissāmi, balikammaṃ te karissāmī’’ti. ‘‘Tassā me devatāya ānubhāvena idaṃ rajjaṃ laddhaṃ, idānissā balikammaṃ karissāmi, tumhe papañcaṃ akatvā khippaṃ devatāya balikammaṃ sajjethā’’ti. ‘‘Kiṃ kiṃ gaṇhāma, devā’’ti? Bho ahaṃ devatāya āyācamāno ‘‘ye mayhaṃ rajje pāṇātipātādīni pañca dussīlakammāni dasa akusalakammapathe samādāya vattissanti, te ghātetvā antavaṭṭimaṃsalohitādīhi balikammaṃ karissāmī’’ti āyāciṃ. Tasmā tumhe evaṃ bheriṃ carāpetha ‘‘amhākaṃ rājā uparājakāleyeva evaṃ āyāci ‘sacāhaṃ rajjaṃ pāpuṇissāmi, ye me rajje dussīlā bhavissanti, te sabbe ghātetvā balikammaṃ karissāmī’ti, so idāni pañcavidhaṃ dussīlakammaṃ dasavidhaṃ akusalakammapathaṃ samādāya vattamānānaṃ dussīlānaṃ sahassaṃ ghātetvā tesaṃ hadayamaṃsādīni gāhāpetvā devatāya balikammaṃ kātukāmo, evaṃ nagaravāsino jānantū’’ti. Evañca pana vatvā ‘‘yedāni ito paṭṭhāya dussīlakamme vattissanti, tesaṃ sahassaṃ ghātetvā yaññaṃ yajitvā āyācanato muccissāmī’’ti etamatthaṃ pakāsento imaṃ gāthamāha –

    ๕๐.

    50.

    ‘‘ทุเมฺมธานํ สหเสฺสน, ยโญฺญ เม อุปยาจิโต;

    ‘‘Dummedhānaṃ sahassena, yañño me upayācito;

    อิทานิ โขหํ ยชิสฺสามิ, พหุ อธมฺมิโก ชโน’’ติฯ

    Idāni khohaṃ yajissāmi, bahu adhammiko jano’’ti.

    ตตฺถ ทุเมฺมธานํ สหเสฺสนาติ ‘‘อิทํ กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติ, อิทํ น วฎฺฎตี’’ติ อชานนภาเวน, ทสสุ วา ปน อกุสลกมฺมปเถสุ สมาทาย วตฺตนภาเวน ทุฎฺฐา เมธา เอเตสนฺติ ทุเมฺมธา, เตสํ ทุเมฺมธานํ นิปฺปญฺญานํ พาลปุคฺคลานํ คณิตฺวา คหิเตน สหเสฺสนฯ ยโญฺญ เม อุปยาจิโตติ มยา เทวตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เอวํ ยชิสฺสามี’’ติ ยโญฺญ ยาจิโตฯ อิทานิ โขหํ ยชิสฺสามีติ โส อหํ อิมินา อายาจเนน รชฺชสฺส ปฎิลทฺธตฺตา อิทานิ ยชิสฺสามิฯ กิํการณา? อิทานิ หิ พหุ อธมฺมิโก ชโน, ตสฺมา อิทาเนว นํ คเหตฺวา พลิกมฺมํ กริสฺสามีติฯ

    Tattha dummedhānaṃ sahassenāti ‘‘idaṃ kammaṃ kātuṃ vaṭṭati, idaṃ na vaṭṭatī’’ti ajānanabhāvena, dasasu vā pana akusalakammapathesu samādāya vattanabhāvena duṭṭhā medhā etesanti dummedhā, tesaṃ dummedhānaṃ nippaññānaṃ bālapuggalānaṃ gaṇitvā gahitena sahassena. Yañño me upayācitoti mayā devataṃ upasaṅkamitvā ‘‘evaṃ yajissāmī’’ti yañño yācito. Idāni khohaṃ yajissāmīti so ahaṃ iminā āyācanena rajjassa paṭiladdhattā idāni yajissāmi. Kiṃkāraṇā? Idāni hi bahu adhammiko jano, tasmā idāneva naṃ gahetvā balikammaṃ karissāmīti.

    อมจฺจา โพธิสตฺตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ ทฺวาทสโยชนิเก พาราณสินคเร เภริํ จราเปสุํฯ เภริยา อาณํ สุตฺวา เอกมฺปิ ทุสฺสีลกมฺมํ สมาทาย ฐิโต เอกปุริโสปิ นาโหสิฯ อิติ ยาว โพธิสโตฺต รชฺชํ กาเรสิ, ตาว เอกปุคฺคโลปิ ปญฺจสุ ทสสุ วา ทุสฺสีลกเมฺมสุ เอกมฺปิ กมฺมํ กโรโนฺต น ปญฺญายิตฺถฯ เอวํ โพธิสโตฺต เอกปุคฺคลมฺปิ อกิลเมโนฺต สกลรฎฺฐวาสิโน สีลํ รกฺขาเปตฺวา สยมฺปิ ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา ชีวิตปริโยสาเน อตฺตโน ปริสํ อาทาย เทวนครํ ปูเรโนฺต อคมาสิฯ

    Amaccā bodhisattassa vacanaṃ sutvā ‘‘sādhu, devā’’ti dvādasayojanike bārāṇasinagare bheriṃ carāpesuṃ. Bheriyā āṇaṃ sutvā ekampi dussīlakammaṃ samādāya ṭhito ekapurisopi nāhosi. Iti yāva bodhisatto rajjaṃ kāresi, tāva ekapuggalopi pañcasu dasasu vā dussīlakammesu ekampi kammaṃ karonto na paññāyittha. Evaṃ bodhisatto ekapuggalampi akilamento sakalaraṭṭhavāsino sīlaṃ rakkhāpetvā sayampi dānādīni puññāni katvā jīvitapariyosāne attano parisaṃ ādāya devanagaraṃ pūrento agamāsi.

    สตฺถาปิ ‘‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต อิทาเนว โลกสฺส อตฺถํ จรติ, ปุเพฺพปิ จริเยวา’’ติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทาปริสา พุทฺธปริสา อเหสุํ, พาราณสิราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthāpi ‘‘na, bhikkhave, tathāgato idāneva lokassa atthaṃ carati, pubbepi cariyevā’’ti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadāparisā buddhaparisā ahesuṃ, bārāṇasirājā pana ahameva ahosi’’nti.

    ทุเมฺมธชาตกวณฺณนา ทสมาฯ

    Dummedhajātakavaṇṇanā dasamā.

    อตฺถกามวโคฺค ปญฺจโมฯ

    Atthakāmavaggo pañcamo.

    ตสฺสุทฺทานํ –

    Tassuddānaṃ –

    โลสกติสฺสกโปต, เวฬุกํ มกสมฺปิ จ;

    Losakatissakapota, veḷukaṃ makasampi ca;

    โรหิณี อารามทูสํ, วารุณีทูสเวทพฺพํ;

    Rohiṇī ārāmadūsaṃ, vāruṇīdūsavedabbaṃ;

    นกฺขตฺตํ ทุเมฺมธํ ทสาติฯ

    Nakkhattaṃ dummedhaṃ dasāti.

    ปฐโม ปณฺณาสโกฯ

    Paṭhamo paṇṇāsako.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๐. ทุเมฺมธชาตกํ • 50. Dummedhajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact