Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๑๒๒] ๒. ทุเมฺมธชาตกวณฺณนา

    [122] 2. Dummedhajātakavaṇṇanā

    ยสํ ลทฺธาน ทุเมฺมโธติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ ธมฺมสภายญฺหิ ภิกฺขู ‘‘อาวุโส เทวทโตฺต, ตถาคตสฺส ปุณฺณจนฺทสสฺสิริกมุขํ อสีตานุพฺยญฺชนทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณปฎิมณฺฑิตํ พฺยามปฺปภาปริกฺขิตฺตํ อาเวฬาเวฬาภูตา ยมกยมกภูตา ฆนพุทฺธรสฺมิโย วิสฺสเชฺชนฺตํ ปรมโสภคฺคปฺปตฺตํ อตฺตภาวญฺจ โอโลเกตฺวา จิตฺตํ ปสาเทตุํ น สโกฺกติ, อุสูยเมว กโรติฯ ‘พุทฺธา นาม เอวรูเปน สีเลน สมาธินา ปญฺญาย วิมุตฺติยา วิมุตฺติญาณทสฺสเนน สมนฺนาคตา’ติ วุจฺจมาเน วณฺณํ สหิตุํ น สโกฺกติ, อุสูยเมว กโรตี’’ติ เทวทตฺตสฺส อคุณกถํ กถยิํสุฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว , อิทาเนว เทวทโตฺต มม วเณฺณ ภญฺญมาเน อุสูยํ กโรติ, ปุเพฺพปิ อกาสิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Yasaṃladdhāna dummedhoti idaṃ satthā veḷuvane viharanto devadattaṃ ārabbha kathesi. Dhammasabhāyañhi bhikkhū ‘‘āvuso devadatto, tathāgatassa puṇṇacandasassirikamukhaṃ asītānubyañjanadvattiṃsamahāpurisalakkhaṇapaṭimaṇḍitaṃ byāmappabhāparikkhittaṃ āveḷāveḷābhūtā yamakayamakabhūtā ghanabuddharasmiyo vissajjentaṃ paramasobhaggappattaṃ attabhāvañca oloketvā cittaṃ pasādetuṃ na sakkoti, usūyameva karoti. ‘Buddhā nāma evarūpena sīlena samādhinā paññāya vimuttiyā vimuttiñāṇadassanena samannāgatā’ti vuccamāne vaṇṇaṃ sahituṃ na sakkoti, usūyameva karotī’’ti devadattassa aguṇakathaṃ kathayiṃsu. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave , idāneva devadatto mama vaṇṇe bhaññamāne usūyaṃ karoti, pubbepi akāsiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต มคธรเฎฺฐ ราชคหนคเร เอกสฺมิํ มคธราเช รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต หตฺถิโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา สพฺพเสโต อโหสิ เหฎฺฐา วณฺณิตสทิสาย รูปสมฺปตฺติยา สมนฺนาคโตฯ อถ นํ ‘‘ลกฺขณสมฺปโนฺน อย’’นฺติ โส ราชา มงฺคลหตฺถิํ อกาสิฯ อเถกสฺมิํ ฉณทิวเส สกลนครํ เทวนครํ วิย อลงฺการาเปตฺวา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ มงฺคลหตฺถิํ อภิรุหิตฺวา มหเนฺตน ราชานุภาเวน นครํ ปทกฺขิณํ อกาสิฯ มหาชโน ตตฺถ ตตฺถ ฐตฺวา มงฺคลหตฺถิโน รูปโสภคฺคปฺปตฺตํ สรีรํ ทิสฺวา ‘‘อโห รูปํ, อโห คติ, อโห ลีฬา, อโห ลกฺขณสมฺปตฺติ, เอวรูโป นาม สพฺพเสตวรวารโณ จกฺกวตฺติรโญฺญ อนุจฺฉวิโก’’ติ มงฺคลหตฺถิเมว วเณฺณสิฯ

    Atīte magadharaṭṭhe rājagahanagare ekasmiṃ magadharāje rajjaṃ kārente bodhisatto hatthiyoniyaṃ nibbattitvā sabbaseto ahosi heṭṭhā vaṇṇitasadisāya rūpasampattiyā samannāgato. Atha naṃ ‘‘lakkhaṇasampanno aya’’nti so rājā maṅgalahatthiṃ akāsi. Athekasmiṃ chaṇadivase sakalanagaraṃ devanagaraṃ viya alaṅkārāpetvā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ maṅgalahatthiṃ abhiruhitvā mahantena rājānubhāvena nagaraṃ padakkhiṇaṃ akāsi. Mahājano tattha tattha ṭhatvā maṅgalahatthino rūpasobhaggappattaṃ sarīraṃ disvā ‘‘aho rūpaṃ, aho gati, aho līḷā, aho lakkhaṇasampatti, evarūpo nāma sabbasetavaravāraṇo cakkavattirañño anucchaviko’’ti maṅgalahatthimeva vaṇṇesi.

    ราชา มงฺคลหตฺถิสฺส วณฺณํ สุตฺวา สหิตุํ อสโกฺกโนฺต อุสูยํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘อเชฺชว ตํ ปพฺพตปาเท ปาเตตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสฺสามี’’ติ หตฺถาจริยํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘กินฺติ กตฺวา ตยา อยํ นาโค สิกฺขาปิโต’’ติ อาหฯ ‘‘สุสิกฺขาปิโต, เทวา’’ติฯ ‘‘น สุสิกฺขิโต, ทุสิกฺขิโต’’ติฯ ‘‘สุสิกฺขิโต, เทวา’’ติฯ ‘‘ยทิ สุสิกฺขิโต , สกฺขิสฺสสิ นํ เวปุลฺลปพฺพตมตฺถกํ อาโรเปตุ’’นฺติฯ ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘เตน หิ เอหี’’ติ สยํ โอตริตฺวา หตฺถาจริยํ อาโรเปตฺวา ปพฺพตปาทํ คนฺตฺวา หตฺถาจริเยน หตฺถิปิฎฺฐิยํ นิสีทิตฺวาว หตฺถิมฺหิ เวปุลฺลปพฺพตมตฺถกํ อาโรปิเต สยมฺปิ อมจฺจคณปริวุโต ปพฺพตมตฺถกํ อภิรุหิตฺวา หตฺถิํ ปปาตาภิมุขํ กาเรตฺวา ‘‘ตฺวํ ‘มยา เอส สุสิกฺขาปิโต’ติ วเทสิ, ตีหิเยว ตาว นํ ปาเทหิ ฐเปหี’’ติ อาหฯ หตฺถาจริโย ปิฎฺฐิยํ นิสีทิตฺวาว ‘‘โภ ตีหิ ปาเทหิ ติฎฺฐา’’ติ หตฺถิสฺส ปณฺหิกาย สญฺญํ อทาสิ, มหาสโตฺต ตถา อกาสิฯ ปุน ราชา ‘‘ทฺวีหิ ปุริมปาเทหิเยว ฐเปหี’’ติ อาห, มหาสโตฺต เทฺว ปจฺฉิมปาเท อุกฺขิปิตฺวา ปุริมปาเทหิ อฎฺฐาสิฯ ‘‘ปจฺฉิมปาเทหิเยวา’’ติ วุเตฺตปิ เทฺว ปุริมปาเท อุกฺขิปิตฺวา ปจฺฉิมปาเทหิ อฎฺฐาสิ, ‘‘เอเกนา’’ติ วุเตฺตปิ ตโย ปาเท อุกฺขิปิตฺวา เอเกเนว อฎฺฐาสิฯ อถสฺส อปตนภาวํ ญตฺวา ‘‘สเจ ปโหสิ, อากาเส นํ ฐเปหี’’ติ อาหฯ

    Rājā maṅgalahatthissa vaṇṇaṃ sutvā sahituṃ asakkonto usūyaṃ uppādetvā ‘‘ajjeva taṃ pabbatapāde pātetvā jīvitakkhayaṃ pāpessāmī’’ti hatthācariyaṃ pakkosāpetvā ‘‘kinti katvā tayā ayaṃ nāgo sikkhāpito’’ti āha. ‘‘Susikkhāpito, devā’’ti. ‘‘Na susikkhito, dusikkhito’’ti. ‘‘Susikkhito, devā’’ti. ‘‘Yadi susikkhito , sakkhissasi naṃ vepullapabbatamatthakaṃ āropetu’’nti. ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Tena hi ehī’’ti sayaṃ otaritvā hatthācariyaṃ āropetvā pabbatapādaṃ gantvā hatthācariyena hatthipiṭṭhiyaṃ nisīditvāva hatthimhi vepullapabbatamatthakaṃ āropite sayampi amaccagaṇaparivuto pabbatamatthakaṃ abhiruhitvā hatthiṃ papātābhimukhaṃ kāretvā ‘‘tvaṃ ‘mayā esa susikkhāpito’ti vadesi, tīhiyeva tāva naṃ pādehi ṭhapehī’’ti āha. Hatthācariyo piṭṭhiyaṃ nisīditvāva ‘‘bho tīhi pādehi tiṭṭhā’’ti hatthissa paṇhikāya saññaṃ adāsi, mahāsatto tathā akāsi. Puna rājā ‘‘dvīhi purimapādehiyeva ṭhapehī’’ti āha, mahāsatto dve pacchimapāde ukkhipitvā purimapādehi aṭṭhāsi. ‘‘Pacchimapādehiyevā’’ti vuttepi dve purimapāde ukkhipitvā pacchimapādehi aṭṭhāsi, ‘‘ekenā’’ti vuttepi tayo pāde ukkhipitvā ekeneva aṭṭhāsi. Athassa apatanabhāvaṃ ñatvā ‘‘sace pahosi, ākāse naṃ ṭhapehī’’ti āha.

    อาจริโย จิเนฺตสิ – ‘‘สกลชมฺพุทีเป อิมินา สทิโส สุสิกฺขิโต หตฺถี นาม นตฺถิ, นิสฺสํสยํ ปเนตํ เอส ปปาเต ปาเตตฺวา มาเรตุกาโม ภวิสฺสตี’’ติฯ โส ตสฺส กณฺณมูเล มเนฺตสิ ‘‘ตาต, อยํ ราชา ตํ ปปาเต ปาเตตฺวา มาเรตุกาโม, น ตฺวํ เอตสฺส อนุจฺฉวิโกฯ สเจ เต อากาเสน คนฺตุํ พลํ อตฺถิ, มํ ยถานิสินฺนํเยว อาทาย เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา พาราณสิํ คจฺฉา’’ติฯ ปุญฺญิทฺธิยา สมนฺนาคโต มหาสโตฺต ตงฺขณเญฺญว อากาเส อฎฺฐาสิฯ หตฺถาจริโย ‘‘มหาราช, อยํ หตฺถี ปุญฺญิทฺธิยา สมนฺนาคโต, น ตาทิสสฺส มนฺทปุญฺญสฺส ทุพฺพุทฺธิโน อนุจฺฉวิโก, ปณฺฑิตสฺส ปุญฺญสมฺปนฺนสฺส รโญฺญ อนุจฺฉวิโก, ตาทิสา นาม มนฺทปุญฺญา เอวรูปํ วาหนํ ลภิตฺวา ตสฺส คุณํ อชานนฺตา ตเญฺจว วาหนํ อวเสสญฺจ ยสสมฺปตฺติํ นาเสนฺติเยวา’’ติ วตฺวา หตฺถิกฺขเนฺธ นิสิโนฺนว อิมํ คาถมาห –

    Ācariyo cintesi – ‘‘sakalajambudīpe iminā sadiso susikkhito hatthī nāma natthi, nissaṃsayaṃ panetaṃ esa papāte pātetvā māretukāmo bhavissatī’’ti. So tassa kaṇṇamūle mantesi ‘‘tāta, ayaṃ rājā taṃ papāte pātetvā māretukāmo, na tvaṃ etassa anucchaviko. Sace te ākāsena gantuṃ balaṃ atthi, maṃ yathānisinnaṃyeva ādāya vehāsaṃ abbhuggantvā bārāṇasiṃ gacchā’’ti. Puññiddhiyā samannāgato mahāsatto taṅkhaṇaññeva ākāse aṭṭhāsi. Hatthācariyo ‘‘mahārāja, ayaṃ hatthī puññiddhiyā samannāgato, na tādisassa mandapuññassa dubbuddhino anucchaviko, paṇḍitassa puññasampannassa rañño anucchaviko, tādisā nāma mandapuññā evarūpaṃ vāhanaṃ labhitvā tassa guṇaṃ ajānantā tañceva vāhanaṃ avasesañca yasasampattiṃ nāsentiyevā’’ti vatvā hatthikkhandhe nisinnova imaṃ gāthamāha –

    ๑๒๒.

    122.

    ‘‘ยสํ ลทฺธาน ทุเมฺมโธ, อนตฺถํ จรติ อตฺตโน;

    ‘‘Yasaṃ laddhāna dummedho, anatthaṃ carati attano;

    อตฺตโน จ ปเรสญฺจ, หิํสาย ปฎิปชฺชตี’’ติฯ

    Attano ca paresañca, hiṃsāya paṭipajjatī’’ti.

    ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – มหาราช, ตาทิโส ทุเมฺมโธ นิปฺปโญฺญ ปุคฺคโล ปริวารสมฺปตฺติํ ลภิตฺวา อตฺตโน อนตฺถํ จรติฯ กิํการณา? โส หิ ยสมทมโตฺต กตฺตพฺพากตฺตพฺพํ อชานโนฺต อตฺตโน จ ปเรสญฺจ หิํสาย ปฎิปชฺชติฯ หิํสา วุจฺจติ กิลมนํ ทุกฺขุปฺปาทนํ, ตทตฺถาย เอว ปฎิปชฺชตีติฯ

    Tatrāyaṃ saṅkhepattho – mahārāja, tādiso dummedho nippañño puggalo parivārasampattiṃ labhitvā attano anatthaṃ carati. Kiṃkāraṇā? So hi yasamadamatto kattabbākattabbaṃ ajānanto attano ca paresañca hiṃsāya paṭipajjati. Hiṃsā vuccati kilamanaṃ dukkhuppādanaṃ, tadatthāya eva paṭipajjatīti.

    เอวํ อิมาย คาถาย รโญฺญ ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘ติฎฺฐ ทานิ ตฺว’’นฺติ วตฺวา อากาเส อุปฺปติตฺวา พาราณสินครํ คนฺตฺวา ราชงฺคเณ อากาเส อฎฺฐาสิฯ สกลนครํ สงฺขุภิตฺวา ‘‘อมฺหากํ รโญฺญ อากาเสน เสตวรวารโณ อาคนฺตฺวา ราชงฺคเณ ฐิโต’’ติ เอกโกลาหลํ อโหสิฯ เวเคน รโญฺญปิ อาโรเจสุํฯ ราชา นิกฺขมิตฺวา ‘‘สเจ มยฺหํ อุปโภคตฺถาย อาคโตสิ, ภูมิยํ ปติฎฺฐาหี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ภูมิยํ ปติฎฺฐาสิ, อาจริโย โอตริตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา ‘‘กุโต อาคโตสิ, ตาตา’’ติ วุเตฺต ‘‘ราชคหโต’’ติ วตฺวา สพฺพํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘มนาปํ เต, ตาต, กตํ อิธาคจฺฉเนฺตนา’’ติ ตุฎฺฐหโฎฺฐ นครํ สชฺชาเปตฺวา วารณํ มงฺคลหตฺถิฎฺฐาเน ฐเปตฺวา สกลรชฺชํ ตโย โกฎฺฐาเส กตฺวา เอกํ โพธิสตฺตสฺส อทาสิ, เอกํ อาจริยสฺส, เอกํ อตฺตนา อคฺคเหสิฯ โพธิสตฺตสฺส อาคตกาลโต ปฎฺฐาเยว ปน รโญฺญ สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ หตฺถคตเมว ชาตํฯ โส ชมฺพุทีเป อคฺคราชา หุตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา ยถากมฺมํ อคมาสิฯ

    Evaṃ imāya gāthāya rañño dhammaṃ desetvā ‘‘tiṭṭha dāni tva’’nti vatvā ākāse uppatitvā bārāṇasinagaraṃ gantvā rājaṅgaṇe ākāse aṭṭhāsi. Sakalanagaraṃ saṅkhubhitvā ‘‘amhākaṃ rañño ākāsena setavaravāraṇo āgantvā rājaṅgaṇe ṭhito’’ti ekakolāhalaṃ ahosi. Vegena raññopi ārocesuṃ. Rājā nikkhamitvā ‘‘sace mayhaṃ upabhogatthāya āgatosi, bhūmiyaṃ patiṭṭhāhī’’ti āha. Bodhisatto bhūmiyaṃ patiṭṭhāsi, ācariyo otaritvā rājānaṃ vanditvā ‘‘kuto āgatosi, tātā’’ti vutte ‘‘rājagahato’’ti vatvā sabbaṃ pavattiṃ ārocesi. Rājā ‘‘manāpaṃ te, tāta, kataṃ idhāgacchantenā’’ti tuṭṭhahaṭṭho nagaraṃ sajjāpetvā vāraṇaṃ maṅgalahatthiṭṭhāne ṭhapetvā sakalarajjaṃ tayo koṭṭhāse katvā ekaṃ bodhisattassa adāsi, ekaṃ ācariyassa, ekaṃ attanā aggahesi. Bodhisattassa āgatakālato paṭṭhāyeva pana rañño sakalajambudīpe rajjaṃ hatthagatameva jātaṃ. So jambudīpe aggarājā hutvā dānādīni puññāni katvā yathākammaṃ agamāsi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มคธราชา เทวทโตฺต อโหสิ, พาราณสิราชา สาริปุโตฺต, หตฺถาจริโย อานโนฺท, หตฺถี ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā magadharājā devadatto ahosi, bārāṇasirājā sāriputto, hatthācariyo ānando, hatthī pana ahameva ahosi’’nti.

    ทุเมฺมธชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ

    Dummedhajātakavaṇṇanā dutiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๒๒. ทุเมฺมธชาตกํ • 122. Dummedhajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact