Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๖๔] ๔. ทุราชานชาตกวณฺณนา
[64] 4. Durājānajātakavaṇṇanā
มาสุ นนฺทิ อิจฺฉติ มนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อุปาสกํ อารพฺภ กเถสิฯ เอโก กิร สาวตฺถิวาสี อุปาสโก ตีสุ สรเณสุ ปญฺจสุ จ สีเลสุ ปติฎฺฐิโต พุทฺธมามโก, ธมฺมมามโก, สงฺฆมามโก, ภริยา ปนสฺส ทุสฺสีลา ปาปธมฺมาฯ ยํ ทิวสํ มิจฺฉาจารํ จรติ, ตํ ทิวสํ สตกีตทาสี วิย โหติ, มิจฺฉาจารสฺส ปน อกตทิวเส สามินี วิย โหติ จณฺฑา ผรุสาฯ โส ตสฺสา ภาวํ ชานิตุํ น สโกฺกติ, อถ ตาย อุพฺพาโฬฺห พุทฺธูปฎฺฐานํ น คจฺฉติฯ อถ นํ เอกทิวสํ คนฺธปุปฺผาทีนิ อาทาย อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา นิสินฺนํ สตฺถา อาห – ‘‘กิํ นุ โข ตฺวํ, อุปาสก, สตฺตฎฺฐ ทิวเส พุทฺธูปฎฺฐานํ นาคจฺฉสี’’ติฯ ฆรณี เม, ภเนฺต, เอกสฺมิํ ทิวเส สตกีตทาสี วิย โหติ, เอกสฺมิํ ทิวเส สามินี วิย จณฺฑา ผรุสาฯ อหํ ตสฺสา ภาวํ ชานิตุํ น สโกฺกมิ, สฺวาหํ ตาย อุพฺพาโฬฺห พุทฺธูปฎฺฐานํ นาคจฺฉามีติฯ อถสฺส วจนํ สุตฺวา สตฺถา ‘‘อุปาสก, ‘มาตุคามสฺส ภาโว นาม ทุชฺชาโน’ติ ปุเพฺพปิ เต ปณฺฑิตา กถยิํสุ, ตฺวํ ปน ตํ ภวสเงฺขปคตตฺตา สลฺลเกฺขตุํ น สโกฺกสี’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Māsu nandi icchati manti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ upāsakaṃ ārabbha kathesi. Eko kira sāvatthivāsī upāsako tīsu saraṇesu pañcasu ca sīlesu patiṭṭhito buddhamāmako, dhammamāmako, saṅghamāmako, bhariyā panassa dussīlā pāpadhammā. Yaṃ divasaṃ micchācāraṃ carati, taṃ divasaṃ satakītadāsī viya hoti, micchācārassa pana akatadivase sāminī viya hoti caṇḍā pharusā. So tassā bhāvaṃ jānituṃ na sakkoti, atha tāya ubbāḷho buddhūpaṭṭhānaṃ na gacchati. Atha naṃ ekadivasaṃ gandhapupphādīni ādāya āgantvā vanditvā nisinnaṃ satthā āha – ‘‘kiṃ nu kho tvaṃ, upāsaka, sattaṭṭha divase buddhūpaṭṭhānaṃ nāgacchasī’’ti. Gharaṇī me, bhante, ekasmiṃ divase satakītadāsī viya hoti, ekasmiṃ divase sāminī viya caṇḍā pharusā. Ahaṃ tassā bhāvaṃ jānituṃ na sakkomi, svāhaṃ tāya ubbāḷho buddhūpaṭṭhānaṃ nāgacchāmīti. Athassa vacanaṃ sutvā satthā ‘‘upāsaka, ‘mātugāmassa bhāvo nāma dujjāno’ti pubbepi te paṇḍitā kathayiṃsu, tvaṃ pana taṃ bhavasaṅkhepagatattā sallakkhetuṃ na sakkosī’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย หุตฺวา ปญฺจ มาณวกสตานิ สิปฺปํ สิกฺขาเปติฯ อเถโก ติโรรฎฺฐวาสิโก พฺราหฺมณมาณวโก อาคนฺตฺวา ตสฺส สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหโนฺต เอกาย อิตฺถิยา ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา ตํ ภริยํ กตฺวา ตสฺมิํเยว พาราณสินคเร วสโนฺต เทฺว ติโสฺส เวลาโย อาจริยสฺส อุปฎฺฐานํ น คจฺฉติฯ สา ปนสฺส ภริยา ทุสฺสีลา ปาปธมฺมาฯ มิจฺฉาจารํ จิณฺณทิวเส ทาสี วิย โหติ, อจิณฺณทิวเส สามินี วิย โหติ จณฺฑา ผรุสาฯ โส ตสฺสา ภาวํ ชานิตุํ อสโกฺกโนฺต ตาย อุพฺพาโฬฺห อากุลจิโตฺต อาจริยสฺส อุปฎฺฐานํ น คจฺฉติฯ อถ นํ สตฺตฎฺฐ ทิวเส อติกฺกมิตฺวา อาคตํ ‘‘กิํ, มาณว , น ปญฺญายสี’’ติ อาจริโย ปุจฺฉิฯ โส ‘‘ภริยา มํ, อาจริย, เอกทิวสํ อิจฺฉติ ปเตฺถติ, ทาสี วิย นิหตมานา โหติฯ เอกทิวสํ สามินี วิย ถทฺธา จณฺฑา ผรุสา, อหํ ตสฺสา ภาวํ ชานิตุํ น สโกฺกมิ, ตาย อุพฺพาโฬฺห อากุลจิโตฺต ตุมฺหากํ อุปฎฺฐานํ นาคโตมฺหี’’ติฯ อาจริโย ‘‘เอวเมตํ, มาณว, อิตฺถิโย นาม อนาจารํ จิณฺณทิวเส สามิกํ อนุวตฺตนฺติ, ทาสี วิย นิหตมานา โหนฺติฯ อนาจิณฺณทิวเส ปน มานตฺถทฺธา หุตฺวา สามิกํ น คเณนฺติฯ เอวํ อิตฺถิโย นาเมตา อนาจารา ทุสฺสีลา, ตาสํ ภาโว นาม ทุชฺชาโน, ตาสุ อิจฺฉนฺตีสุปิ อนิจฺฉนฺตีสุปิ มชฺฌเตฺตเนว ภวิตพฺพ’’นฺติ วตฺวา ตโสฺสวาทวเสน อิมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto disāpāmokkho ācariyo hutvā pañca māṇavakasatāni sippaṃ sikkhāpeti. Atheko tiroraṭṭhavāsiko brāhmaṇamāṇavako āgantvā tassa santike sippaṃ uggaṇhanto ekāya itthiyā paṭibaddhacitto hutvā taṃ bhariyaṃ katvā tasmiṃyeva bārāṇasinagare vasanto dve tisso velāyo ācariyassa upaṭṭhānaṃ na gacchati. Sā panassa bhariyā dussīlā pāpadhammā. Micchācāraṃ ciṇṇadivase dāsī viya hoti, aciṇṇadivase sāminī viya hoti caṇḍā pharusā. So tassā bhāvaṃ jānituṃ asakkonto tāya ubbāḷho ākulacitto ācariyassa upaṭṭhānaṃ na gacchati. Atha naṃ sattaṭṭha divase atikkamitvā āgataṃ ‘‘kiṃ, māṇava , na paññāyasī’’ti ācariyo pucchi. So ‘‘bhariyā maṃ, ācariya, ekadivasaṃ icchati pattheti, dāsī viya nihatamānā hoti. Ekadivasaṃ sāminī viya thaddhā caṇḍā pharusā, ahaṃ tassā bhāvaṃ jānituṃ na sakkomi, tāya ubbāḷho ākulacitto tumhākaṃ upaṭṭhānaṃ nāgatomhī’’ti. Ācariyo ‘‘evametaṃ, māṇava, itthiyo nāma anācāraṃ ciṇṇadivase sāmikaṃ anuvattanti, dāsī viya nihatamānā honti. Anāciṇṇadivase pana mānatthaddhā hutvā sāmikaṃ na gaṇenti. Evaṃ itthiyo nāmetā anācārā dussīlā, tāsaṃ bhāvo nāma dujjāno, tāsu icchantīsupi anicchantīsupi majjhatteneva bhavitabba’’nti vatvā tassovādavasena imaṃ gāthamāha –
๖๔.
64.
‘‘มา สุ นนฺทิ อิจฺฉติ มํ, มา สุ โสจิ น มิจฺฉติ;
‘‘Mā su nandi icchati maṃ, mā su soci na micchati;
ถีนํ ภาโว ทุราชาโน, มจฺฉเสฺสโวทเก คต’’นฺติฯ
Thīnaṃ bhāvo durājāno, macchassevodake gata’’nti.
ตตฺถ มา สุ นนฺทิ อิจฺฉติ มนฺติ สุ-กาโร นิปาตมตฺตํ, ‘‘อยํ อิตฺถี มํ อิจฺฉติ ปเตฺถติ, มยิ สิเนหํ กโรตี’’ติ มา ตุสฺสิฯ มา สุ โสจิ น มิจฺฉตีติ ‘‘อยํ มํ น อิจฺฉตี’’ติปิ มา โสจิ, ตสฺสา อิจฺฉมานาย นนฺทิํ, น อิจฺฉมานาย จ โสกํ อกตฺวา มชฺฌโตฺตว โหหีติ ทีเปติฯ ถีนํ ภาโว ทุราชาโนติ อิตฺถีนํ ภาโว นาม อิตฺถิมายาย ปฎิจฺฉนฺนตฺตา ทุราชาโนฯ ยถา กิํ? มจฺฉเสฺสโวทเก คตนฺติ ยถา มจฺฉสฺส คมนํ อุทเกน ปฎิจฺฉนฺนตฺตา ทุชฺชานํ, เตเนว โส เกวเฎฺฎ อาคเต อุทเกน คมนํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปลายติ, อตฺตานํ คณฺหิตุํ น เทติ, เอวเมว อิตฺถิโย มหนฺตมฺปิ ทุสฺสีลกมฺมํ กตฺวา ‘‘มยํ เอวรูปํ น กโรมา’’ติ อตฺตนา กตกมฺมํ อิตฺถิมายาย ปฎิจฺฉาเทตฺวา สามิเก วเญฺจนฺติ ฯ เอวํ อิตฺถิโย นาเมตา ปาปธมฺมา ทุราชานา, ตาสุ มชฺฌโตฺตเยว สุขิโต โหตีติฯ
Tattha mā su nandi icchati manti su-kāro nipātamattaṃ, ‘‘ayaṃ itthī maṃ icchati pattheti, mayi sinehaṃ karotī’’ti mā tussi. Mā su soci na micchatīti ‘‘ayaṃ maṃ na icchatī’’tipi mā soci, tassā icchamānāya nandiṃ, na icchamānāya ca sokaṃ akatvā majjhattova hohīti dīpeti. Thīnaṃ bhāvo durājānoti itthīnaṃ bhāvo nāma itthimāyāya paṭicchannattā durājāno. Yathā kiṃ? Macchassevodake gatanti yathā macchassa gamanaṃ udakena paṭicchannattā dujjānaṃ, teneva so kevaṭṭe āgate udakena gamanaṃ paṭicchādetvā palāyati, attānaṃ gaṇhituṃ na deti, evameva itthiyo mahantampi dussīlakammaṃ katvā ‘‘mayaṃ evarūpaṃ na karomā’’ti attanā katakammaṃ itthimāyāya paṭicchādetvā sāmike vañcenti . Evaṃ itthiyo nāmetā pāpadhammā durājānā, tāsu majjhattoyeva sukhito hotīti.
เอวํ โพธิสโตฺต อเนฺตวาสิกสฺส โอวาทํ อทาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย โส ตสฺสา อุปริ มชฺฌโตฺตว อโหสิฯ สาปิสฺส ภริยา ‘‘อาจริเยน กิร เม ทุสฺสีลภาโว ญาโต’’ติ ตโต ปฎฺฐาย น อนาจารํ จริฯ สาปิ ตสฺส อุปาสกสฺส อิตฺถี ‘‘สมฺมาสมฺพุเทฺธน กิร มยฺหํ ทุราจารภาโว ญาโต’’ติ ตโต ปฎฺฐาย ปาปกมฺมํ นาม น อกาสิฯ
Evaṃ bodhisatto antevāsikassa ovādaṃ adāsi. Tato paṭṭhāya so tassā upari majjhattova ahosi. Sāpissa bhariyā ‘‘ācariyena kira me dussīlabhāvo ñāto’’ti tato paṭṭhāya na anācāraṃ cari. Sāpi tassa upāsakassa itthī ‘‘sammāsambuddhena kira mayhaṃ durācārabhāvo ñāto’’ti tato paṭṭhāya pāpakammaṃ nāma na akāsi.
สตฺถาปิ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน โส อุปาสโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิ, สตฺถา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ชยมฺปติกาเยว อิทานิ ชยมฺปติกา, อาจริโย ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthāpi imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsesi, saccapariyosāne so upāsako sotāpattiphale patiṭṭhahi, satthā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā jayampatikāyeva idāni jayampatikā, ācariyo pana ahameva ahosi’’nti.
ทุราชานชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ
Durājānajātakavaṇṇanā catutthā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๖๔. ทุราชานชาตกํ • 64. Durājānajātakaṃ