Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi |
๘. ทุสฺสีลปโญฺห
8. Dussīlapañho
๘. ‘‘ภเนฺต นาคเสน, คิหิทุสฺสีลสฺส จ สมณทุสฺสีลสฺส จ โก วิเสโส, กิํ นานากรณํ, อุโภเปเต สมสมคติกา, อุภินฺนมฺปิ สมสโม วิปาโก โหติ, อุทาหุ กิญฺจิ นานาการณํ อตฺถี’’ติ?
8. ‘‘Bhante nāgasena, gihidussīlassa ca samaṇadussīlassa ca ko viseso, kiṃ nānākaraṇaṃ, ubhopete samasamagatikā, ubhinnampi samasamo vipāko hoti, udāhu kiñci nānākāraṇaṃ atthī’’ti?
‘‘ทส ยิเม, มหาราช, คุณา สมณทุสฺสีลสฺส คิหิทุสฺสีลโต วิเสเสน อติเรกา, ทสหิ จ การเณหิ อุตฺตริํ ทกฺขิณํ วิโสเธติฯ
‘‘Dasa yime, mahārāja, guṇā samaṇadussīlassa gihidussīlato visesena atirekā, dasahi ca kāraṇehi uttariṃ dakkhiṇaṃ visodheti.
‘‘กตเม ทส คุณา สมณทุสฺสีลสฺส คิหิทุสฺสีลโต วิเสเสน อติเรกา? อิธ, มหาราช, สมณทุสฺสีโล พุเทฺธ สคารโว โหติ, ธเมฺม สคารโว โหติ, สเงฺฆ สคารโว โหติ, สพฺรหฺมจารีสุ สคารโว โหติ, อุเทฺทสปริปุจฺฉาย วายมติ, สวนพหุโล โหติ, ภินฺนสีโลปิ, มหาราช, ทุสฺสีโล ปริสคโต อากปฺปํ อุปฎฺฐเปติ, ครหภยา กายิกํ วาจสิกํ รกฺขติ, ปธานาภิมุขญฺจสฺส โหติ จิตฺตํ, ภิกฺขุสามญฺญํ อุปคโต โหติฯ กโรโนฺตปิ, มหาราช, สมณทุสฺสีโล ปาปํ ปฎิจฺฉนฺนํ อาจรติฯ ยถา, มหาราช, อิตฺถี สปติกา นิลียิตฺวา รหเสฺสเนว ปาปมาจรติ; เอวเมว โข, มหาราช, กโรโนฺตปิ สมณทุสฺสีโล ปาปํ ปฎิจฺฉนฺนํ อาจรติฯ อิเม โข, มหาราช, ทส คุณา สมณทุสฺสีลสฺส คิหิทุสฺสีลโต วิเสเสน อติเรกาฯ
‘‘Katame dasa guṇā samaṇadussīlassa gihidussīlato visesena atirekā? Idha, mahārāja, samaṇadussīlo buddhe sagāravo hoti, dhamme sagāravo hoti, saṅghe sagāravo hoti, sabrahmacārīsu sagāravo hoti, uddesaparipucchāya vāyamati, savanabahulo hoti, bhinnasīlopi, mahārāja, dussīlo parisagato ākappaṃ upaṭṭhapeti, garahabhayā kāyikaṃ vācasikaṃ rakkhati, padhānābhimukhañcassa hoti cittaṃ, bhikkhusāmaññaṃ upagato hoti. Karontopi, mahārāja, samaṇadussīlo pāpaṃ paṭicchannaṃ ācarati. Yathā, mahārāja, itthī sapatikā nilīyitvā rahasseneva pāpamācarati; evameva kho, mahārāja, karontopi samaṇadussīlo pāpaṃ paṭicchannaṃ ācarati. Ime kho, mahārāja, dasa guṇā samaṇadussīlassa gihidussīlato visesena atirekā.
‘‘กตเมหิ ทสหิ การเณหิ อุตฺตริํ ทกฺขิณํ วิโสเธติ? อนวชฺชกวจธารณตายปิ ทกฺขิณํ วิโสเธติ, อิสิสามญฺญภณฺฑุลิงฺคธารณโตปิ ทกฺขิณํ วิโสเธติ, สงฺฆสมยมนุปฺปวิฎฺฐตายปิ ทกฺขิณํ วิโสเธติ, พุทฺธธมฺมสงฺฆสรณคตตายปิ ทกฺขิณํ วิโสเธติ, ปธานาสยนิเกตวาสิตายปิ ทกฺขิณํ วิโสเธติ, ชินสาสนธร 1 ปริเยสนโตปิ ทกฺขิณํ วิโสเธติ, ปวรธมฺมเทสนโตปิ ทกฺขิณํ วิโสเธติ, ธมฺมทีปคติปรายณตายปิ ทกฺขิณํ วิโสเธติ, ‘อโคฺค พุโทฺธ’ติ เอกนฺตอุชุทิฎฺฐิตายปิ ทกฺขิณํ วิโสเธติ, อุโปสถสมาทานโตปิ ทกฺขิณํ วิโสเธติฯ อิเมหิ โข, มหาราช, ทสหิ การเณหิ อุตฺตริํ ทกฺขิณํ วิโสเธติ ฯ
‘‘Katamehi dasahi kāraṇehi uttariṃ dakkhiṇaṃ visodheti? Anavajjakavacadhāraṇatāyapi dakkhiṇaṃ visodheti, isisāmaññabhaṇḍuliṅgadhāraṇatopi dakkhiṇaṃ visodheti, saṅghasamayamanuppaviṭṭhatāyapi dakkhiṇaṃ visodheti, buddhadhammasaṅghasaraṇagatatāyapi dakkhiṇaṃ visodheti, padhānāsayaniketavāsitāyapi dakkhiṇaṃ visodheti, jinasāsanadhara 2 pariyesanatopi dakkhiṇaṃ visodheti, pavaradhammadesanatopi dakkhiṇaṃ visodheti, dhammadīpagatiparāyaṇatāyapi dakkhiṇaṃ visodheti, ‘aggo buddho’ti ekantaujudiṭṭhitāyapi dakkhiṇaṃ visodheti, uposathasamādānatopi dakkhiṇaṃ visodheti. Imehi kho, mahārāja, dasahi kāraṇehi uttariṃ dakkhiṇaṃ visodheti .
‘‘สุวิปโนฺนปิ หิ, มหาราช, สมณทุสฺสีโล ทายกานํ ทกฺขิณํ วิโสเธติฯ ยถา, มหาราช, อุทกํ สุพหลมฺปิ กลลกทฺทมรโชชลฺลํ อปเนติ; เอวเมว โข, มหาราช, สุวิปโนฺนปิ สมณทุสฺสีโล ทายกานํ ทกฺขิณํ วิโสเธติฯ
‘‘Suvipannopi hi, mahārāja, samaṇadussīlo dāyakānaṃ dakkhiṇaṃ visodheti. Yathā, mahārāja, udakaṃ subahalampi kalalakaddamarajojallaṃ apaneti; evameva kho, mahārāja, suvipannopi samaṇadussīlo dāyakānaṃ dakkhiṇaṃ visodheti.
‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, อุโณฺหทกํ สุกุธิตมฺปิ 3 ชฺชลนฺตํ มหนฺตํ อคฺคิกฺขนฺธํ นิพฺพาเปติ, เอวเมว โข, มหาราช, สุวิปโนฺนปิ สมณทุสฺสีโล ทายกานํ ทกฺขิณํ วิโสเธติฯ
‘‘Yathā vā pana, mahārāja, uṇhodakaṃ sukudhitampi 4 jjalantaṃ mahantaṃ aggikkhandhaṃ nibbāpeti, evameva kho, mahārāja, suvipannopi samaṇadussīlo dāyakānaṃ dakkhiṇaṃ visodheti.
‘‘ยถา วา ปน, มหาราช, โภชนํ วิรสมฺปิ ขุทาทุพฺพลฺยํ อปเนติ, เอวเมว โข, มหาราช, สุวิปโนฺนปิ สมณทุสฺสีโล ทายกานํ ทกฺขิณํ วิโสเธติฯ
‘‘Yathā vā pana, mahārāja, bhojanaṃ virasampi khudādubbalyaṃ apaneti, evameva kho, mahārāja, suvipannopi samaṇadussīlo dāyakānaṃ dakkhiṇaṃ visodheti.
‘‘ภาสิตเมฺปตํ, มหาราช, ตถาคเตน เทวาติเทเวน มชฺฌิมนิกายวรลญฺฉเก ทกฺขิณวิภเงฺค เวยฺยากรเณ –
‘‘Bhāsitampetaṃ, mahārāja, tathāgatena devātidevena majjhimanikāyavaralañchake dakkhiṇavibhaṅge veyyākaraṇe –
‘‘‘โย สีลวา ทุสฺสีเลสุ ททาติ ทานํ, ธเมฺมน ลทฺธํ สุปสนฺนจิโตฺต;
‘‘‘Yo sīlavā dussīlesu dadāti dānaṃ, dhammena laddhaṃ supasannacitto;
อภิสทฺทหํ กมฺมผลํ อุฬารํ, สา ทกฺขิณา ทายกโต วิสุชฺฌตี’’’ติ 5ฯ
Abhisaddahaṃ kammaphalaṃ uḷāraṃ, sā dakkhiṇā dāyakato visujjhatī’’’ti 6.
‘‘อจฺฉริยํ , ภเนฺต นาคเสน, อพฺภุตํ, ภเนฺต นาคเสน, ตาวตกํ มยํ ปญฺหํ อปุจฺฉิมฺห, ตํ ตฺวํ โอปเมฺมหิ การเณหิ วิภาเวโนฺต อมตมธุรํ สวนูปคํ อกาสิฯ ยถา นาม, ภเนฺต, สูโท วา สูทเนฺตวาสี วา ตาวตกํ มํสํ ลภิตฺวา นานาวิเธหิ สมฺภาเรหิ สมฺปาเทตฺวา ราชูปโภคํ กโรติ; เอวเมว โข, ภเนฺต นาคเสน, ตาวตกํ มยํ ปญฺหํ อปุจฺฉิมฺห, ตํ ตฺวํ โอปเมฺมหิ การเณหิ วิภาเวตฺวา อมตมธุรํ สวนูปคํ อกาสี’’ติฯ
‘‘Acchariyaṃ , bhante nāgasena, abbhutaṃ, bhante nāgasena, tāvatakaṃ mayaṃ pañhaṃ apucchimha, taṃ tvaṃ opammehi kāraṇehi vibhāvento amatamadhuraṃ savanūpagaṃ akāsi. Yathā nāma, bhante, sūdo vā sūdantevāsī vā tāvatakaṃ maṃsaṃ labhitvā nānāvidhehi sambhārehi sampādetvā rājūpabhogaṃ karoti; evameva kho, bhante nāgasena, tāvatakaṃ mayaṃ pañhaṃ apucchimha, taṃ tvaṃ opammehi kāraṇehi vibhāvetvā amatamadhuraṃ savanūpagaṃ akāsī’’ti.
ทุสฺสีลปโญฺห อฎฺฐโมฯ
Dussīlapañho aṭṭhamo.
Footnotes: