Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā |
ทูตกถาวณฺณนา
Dūtakathāvaṇṇanā
เอวํ อาณาเปนฺตสฺส อาจริยสฺส ตาว ทุกฺกฎนฺติ สเจ สา อาณตฺติ ยถาธิปฺปายํ น คจฺฉติ, อาจริยสฺส อาณตฺติกฺขเณ ทุกฺกฎํฯ สเจ ปน สา อาณตฺติ ยถาธิปฺปายํ คจฺฉติ, ยํ ปรโต ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตํ, อาณตฺติกฺขเณ ตเทว โหติฯ อถ โส ตํ อวสฺสํ ฆาเตติ, ยํ ปรโต ‘‘สเพฺพสํ อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’’ติ วุตฺตํ, ตโต อิมสฺส ตงฺขเณเยว ปาราชิกํ โหตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ อาจริเยน ปน เหฎฺฐา อทินฺนาทานกถายํ (ปารา. ๑๒๑) วุตฺตนเยเนว อยมโตฺถ สกฺกา วิญฺญาตุนฺติ อิธ น วุโตฺตฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ ‘‘อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ เอวํ อาณาเปนฺตสฺส อาจริยสฺส ตาว ทุกฺกฎํฯ สเจ ปน สา อาณตฺติ ยถาธิปฺปายํ คจฺฉติ, ยํ ปรโต ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตํ, อาณตฺติกฺขเณ ตเทว โหติฯ อถ ตํ ภณฺฑํ อวสฺสํ หาริยํ โหติ, ยํ ปรโต ‘สเพฺพสํ อาปตฺติ ปาราชิกสฺสา’ติ วุตฺตํ, ตโต อิมสฺส ตงฺขเณเยว ปาราชิกํ โหตีติ อยํ ยุตฺติ สพฺพตฺถ เวทิตพฺพา’’ติฯ เตสมฺปิ ทุกฺกฎนฺติ อาโรจนปจฺจยา ทุกฺกฎํฯ ปฎิคฺคหิตมเตฺตติ เอตฺถ อวสฺสํ เจ ปฎิคฺคณฺหาติ, ตโต ปุเพฺพว อาจริยสฺส ถุลฺลจฺจยํ, น ปน ปฎิคฺคหิเตติ ทฎฺฐพฺพํฯ กสฺมา ปนสฺส ถุลฺลจฺจยนฺติ อาห ‘‘มหาชโน หิ เตน ปาเป นิโยชิโต’’ติฯ
Evaṃ āṇāpentassa ācariyassa tāva dukkaṭanti sace sā āṇatti yathādhippāyaṃ na gacchati, ācariyassa āṇattikkhaṇe dukkaṭaṃ. Sace pana sā āṇatti yathādhippāyaṃ gacchati, yaṃ parato thullaccayaṃ vuttaṃ, āṇattikkhaṇe tadeva hoti. Atha so taṃ avassaṃ ghāteti, yaṃ parato ‘‘sabbesaṃ āpatti pārājikassā’’ti vuttaṃ, tato imassa taṅkhaṇeyeva pārājikaṃ hotīti evamettha attho gahetabbo. Ācariyena pana heṭṭhā adinnādānakathāyaṃ (pārā. 121) vuttanayeneva ayamattho sakkā viññātunti idha na vutto. Vuttañhi tattha ‘‘āpatti dukkaṭassāti evaṃ āṇāpentassa ācariyassa tāva dukkaṭaṃ. Sace pana sā āṇatti yathādhippāyaṃ gacchati, yaṃ parato thullaccayaṃ vuttaṃ, āṇattikkhaṇe tadeva hoti. Atha taṃ bhaṇḍaṃ avassaṃ hāriyaṃ hoti, yaṃ parato ‘sabbesaṃ āpatti pārājikassā’ti vuttaṃ, tato imassa taṅkhaṇeyeva pārājikaṃ hotīti ayaṃ yutti sabbattha veditabbā’’ti. Tesampi dukkaṭanti ārocanapaccayā dukkaṭaṃ. Paṭiggahitamatteti ettha avassaṃ ce paṭiggaṇhāti, tato pubbeva ācariyassa thullaccayaṃ, na pana paṭiggahiteti daṭṭhabbaṃ. Kasmā panassa thullaccayanti āha ‘‘mahājano hi tena pāpe niyojito’’ti.
มูลฎฺฐเสฺสว ทุกฺกฎนฺติ อิทํ มหาอฎฺฐกถายํ อาคตนยทสฺสนมตฺตํ, น ปน ตํ อาจริยสฺส อธิเปฺปตํฯ เตนาห ‘‘เอวํ สเนฺต’’ติอาทิ, เอวํ มหาอฎฺฐกถายํ วุตฺตนเยน อเตฺถ สตีติ อโตฺถฯ ปฎิคฺคหเณ อาปตฺติเยว น สิยาติ วธกสฺส ‘‘สาธุ สุฎฺฐู’’ติ มารณปฎิคฺคหเณ ทุกฺกฎาปตฺติ น สิยา, เอวํ อโนฬาริกวิสเยปิ ตาว ทุกฺกฎํ โหติ, กิมงฺคํ ปน มารณปฎิคฺคหเณติ ทสฺสนตฺถํ สญฺจริตฺตปฎิคฺคหณาทิ นิทสฺสิตํฯ ‘‘อโห วต อิตฺถนฺนาโม หโต อสฺสา’’ติ เอวํ มรณาภินนฺทเนปิ ทุกฺกเฎ สติ ปเคว มารณปฎิคฺคหเณติ อธิปฺปาโยฯ ปฎิคฺคณฺหนฺตเสฺสเวตํ ทุกฺกฎนฺติ อวธารเณน วิสเงฺกตตฺตา อิมสฺส ปฎิคฺคหณปจฺจยา มูลฎฺฐสฺส นเตฺถว อาปตฺตีติ ทเสฺสติฯ เกจิ ปน ‘‘อิธ วุตฺตทุกฺกฎํ ปฎิคฺคณฺหนฺตเสฺสวาติ เอตฺตกเมว อวธารเณน ทสฺสิตํ, น ปน มูลฎฺฐสฺส มหาอฎฺฐกถายํ วุตฺตทุกฺกฎํ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ วทนฺติฯ ปุริมนเยติ สมนนฺตราตีเต อวิสกฺกิยทูตนิเทฺทเสฯ เอตนฺติ ทุกฺกฎํฯ ยทิ เอวํ กสฺมา ปาฬิยํ น วุตฺตนฺติ อาห ‘‘โอกาสาภาเวนา’’ติฯ ตตฺถ มูลฎฺฐสฺส ถุลฺลจฺจยวจนโต ปฎิคฺคณฺหนฺตสฺส ทุกฺกฎํ วตฺตุํ โอกาโส นตฺถีติ โอกาสาภาเวน น วุตฺตํ, น ปน อภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ
Mūlaṭṭhasseva dukkaṭanti idaṃ mahāaṭṭhakathāyaṃ āgatanayadassanamattaṃ, na pana taṃ ācariyassa adhippetaṃ. Tenāha ‘‘evaṃ sante’’tiādi, evaṃ mahāaṭṭhakathāyaṃ vuttanayena atthe satīti attho. Paṭiggahaṇe āpattiyeva na siyāti vadhakassa ‘‘sādhu suṭṭhū’’ti māraṇapaṭiggahaṇe dukkaṭāpatti na siyā, evaṃ anoḷārikavisayepi tāva dukkaṭaṃ hoti, kimaṅgaṃ pana māraṇapaṭiggahaṇeti dassanatthaṃ sañcarittapaṭiggahaṇādi nidassitaṃ. ‘‘Aho vata itthannāmo hato assā’’ti evaṃ maraṇābhinandanepi dukkaṭe sati pageva māraṇapaṭiggahaṇeti adhippāyo. Paṭiggaṇhantassevetaṃ dukkaṭanti avadhāraṇena visaṅketattā imassa paṭiggahaṇapaccayā mūlaṭṭhassa nattheva āpattīti dasseti. Keci pana ‘‘idha vuttadukkaṭaṃ paṭiggaṇhantassevāti ettakameva avadhāraṇena dassitaṃ, na pana mūlaṭṭhassa mahāaṭṭhakathāyaṃ vuttadukkaṭaṃ paṭikkhitta’’nti vadanti. Purimanayeti samanantarātīte avisakkiyadūtaniddese. Etanti dukkaṭaṃ. Yadi evaṃ kasmā pāḷiyaṃ na vuttanti āha ‘‘okāsābhāvenā’’ti. Tattha mūlaṭṭhassa thullaccayavacanato paṭiggaṇhantassa dukkaṭaṃ vattuṃ okāso natthīti okāsābhāvena na vuttaṃ, na pana abhāvatoti adhippāyo.
อาณตฺติกฺขเณ ปุถุชฺชโนติ เอตฺถ อนาคเต โวโรเปตพฺพชีวิตินฺทฺริยวเสน อตฺถสาธิกเจตนาย ปวตฺตตฺตา อรหนฺตฆาตโก ชาโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Āṇattikkhaṇeputhujjanoti ettha anāgate voropetabbajīvitindriyavasena atthasādhikacetanāya pavattattā arahantaghātako jātoti daṭṭhabbaṃ.
ทูตกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dūtakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
๑๗๕. สยํ สงฺฆเตฺถรตฺตา ‘‘อุปฎฺฐานกาเล’’ติ วุตฺตํฯ วาจาย วาจาย ทุกฺกฎนฺติ ‘‘โย โกจิ มม วจนํ สุตฺวา อิมํ ธาเรตู’’ติ อิมินา อธิปฺปาเยน อวตฺวา เกวลํ มรณาภินนฺทนวเสเนว วุตฺตตฺตา ‘‘โจราปิ นาม ตํ น หนนฺตี’’ติอาทิวาจาสุปิ ทุกฺกฎเมว วุตฺตํฯ อยมโตฺถ เอเตน วุโตฺตติ ยถา โส ชานาตีติ สมฺพโนฺธฯ วากฺยเภทนฺติ วจีเภทํฯ ทฺวินฺนํ อุทฺทิสฺสาติ เทฺว อุทฺทิสฺส, ทฺวินฺนํ วา มรณํ อุทฺทิสฺสฯ อุโภ อุทฺทิสฺส มรณํ สํวเณฺณนฺตสฺส เจตนาย เอกเตฺตปิ ‘‘เทฺว ปาณาติปาตา’’ติ วตฺตพฺพภาวโต พลวภาวํ อาปชฺชิตฺวา ปฎิสนฺธิวิปากสมนนฺตรํ ปวตฺติยํ อเนกาสุปิ ชาตีสุ อปราปริยเจตนาวเสน ทุกฺขุปฺปาทนโต มหาวิปากตฺตา ‘‘อกุสลราสี’’ติ วุตฺตํฯ พหู อุทฺทิสฺส มรณสํวณฺณเนปิ เอเสว นโยฯ
175. Sayaṃ saṅghattherattā ‘‘upaṭṭhānakāle’’ti vuttaṃ. Vācāya vācāya dukkaṭanti ‘‘yo koci mama vacanaṃ sutvā imaṃ dhāretū’’ti iminā adhippāyena avatvā kevalaṃ maraṇābhinandanavaseneva vuttattā ‘‘corāpi nāma taṃ na hanantī’’tiādivācāsupi dukkaṭameva vuttaṃ. Ayamattho etena vuttoti yathā so jānātīti sambandho. Vākyabhedanti vacībhedaṃ. Dvinnaṃ uddissāti dve uddissa, dvinnaṃ vā maraṇaṃ uddissa. Ubho uddissa maraṇaṃ saṃvaṇṇentassa cetanāya ekattepi ‘‘dve pāṇātipātā’’ti vattabbabhāvato balavabhāvaṃ āpajjitvā paṭisandhivipākasamanantaraṃ pavattiyaṃ anekāsupi jātīsu aparāpariyacetanāvasena dukkhuppādanato mahāvipākattā ‘‘akusalarāsī’’ti vuttaṃ. Bahū uddissa maraṇasaṃvaṇṇanepi eseva nayo.
เอวนฺติ ‘‘สีสํ วา ฉินฺทิตฺวา ปปาเต วา ปปติตฺวา’’ติอาทินาฯ อาโรจิตมเตฺตติ วุตฺตมเตฺตฯ ยถา อริยมคฺคกฺขเณ จตฺตาโร สติปฎฺฐานา จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา จ กิจฺจวเสน อิชฺฌนฺติ, เอวํ เจตนาย เอกเตฺตปิ กิจฺจวเสน อเนกา ปาณาติปาตา อิชฺฌนฺตีติ อาห ‘‘ตตฺตกา ปาณาติปาตา’’ติฯ ยถา หิ อตฺตานํ สตํ กตฺวา ทเสฺสตุกามสฺส ‘‘สตํ โหมิ สตํ โหมี’’ติ กตปริกมฺมวเสน ลทฺธปจฺจุปฺปนฺนปริตฺตารมฺมณํ อภิญฺญาจิตฺตํ สตโนฺตคธานํ วเณฺณสุ เอกสฺส วณฺณํ อารมฺมณํ กตฺวาปิ สตํ นิปฺผาเทติ, ยถา จ เอกสฺส มรเณ ปวตฺตมานาปิ วธกเจตนา สกลสรีเร อุปฺปชฺชมานํ นิรุชฺฌมานญฺจ สกลมฺปิ ชีวิตินฺทฺริยํ เอกปฺปหาเรเนว อาลมฺพิตุมสกฺกุเณยฺยตฺตา ฐานปฺปตฺตํ เอกเทสปฺปวตฺตํ ชีวิตินฺทฺริยํ อารมฺมณํ กตฺวา อารมฺมณภูตํ สกลมฺปิ ชีวิตินฺทฺริยํ วินาเสติ, เอวเมว ปจฺจุปฺปนฺนปริตฺตารมฺมณาย วธกเจตนาย มาเรตุกามตาย ปริคฺคหิตสเตฺตสุ เอกเสฺสว ชีวิตินฺทฺริเย อารมฺมเณ กเตปิ กิจฺจนิปฺผตฺติวเสน สเพฺพปิ มาริตาว โหนฺติฯ
Evanti ‘‘sīsaṃ vā chinditvā papāte vā papatitvā’’tiādinā. Ārocitamatteti vuttamatte. Yathā ariyamaggakkhaṇe cattāro satipaṭṭhānā cattāro sammappadhānā ca kiccavasena ijjhanti, evaṃ cetanāya ekattepi kiccavasena anekā pāṇātipātā ijjhantīti āha ‘‘tattakā pāṇātipātā’’ti. Yathā hi attānaṃ sataṃ katvā dassetukāmassa ‘‘sataṃ homi sataṃ homī’’ti kataparikammavasena laddhapaccuppannaparittārammaṇaṃ abhiññācittaṃ satantogadhānaṃ vaṇṇesu ekassa vaṇṇaṃ ārammaṇaṃ katvāpi sataṃ nipphādeti, yathā ca ekassa maraṇe pavattamānāpi vadhakacetanā sakalasarīre uppajjamānaṃ nirujjhamānañca sakalampi jīvitindriyaṃ ekappahāreneva ālambitumasakkuṇeyyattā ṭhānappattaṃ ekadesappavattaṃ jīvitindriyaṃ ārammaṇaṃ katvā ārammaṇabhūtaṃ sakalampi jīvitindriyaṃ vināseti, evameva paccuppannaparittārammaṇāya vadhakacetanāya māretukāmatāya pariggahitasattesu ekasseva jīvitindriye ārammaṇe katepi kiccanipphattivasena sabbepi māritāva honti.
๑๗๖. เยสํ หตฺถโตติ เยสํ ญาตกปวาริตานํ หตฺถโตฯ เตสํ มูลํ ทตฺวา มุจฺจตีติ อิทํ เตน กตปโยคสฺส ปุน ปากติกภาวาปาทนํ อวสานํ ปาเปตฺวา ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ‘‘มูเลน กีตํ ปน โปตฺถกํ โปตฺถกสามิกานํ ทตฺวา มุจฺจติเยวา’’ติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ เกนจิ ปน ‘‘สเจ โปตฺถกํ สามิกานํ ทตฺวา มูลํ น คณฺหาติ, น มุจฺจติ อตฺตนิยภาวโต อโมจิตตฺตา’’ติ วตฺวา พหุธา ปปญฺจิตํ, น ตํ สารโต ปเจฺจตพฺพํฯ โปตฺถกสามิกานญฺหิ โปตฺถเก ทิเนฺน อเญฺญน กตํ ปฎิลภิตฺวา อตฺตนา กตปโยคสฺส นาสิตตฺตา กถํ โส น มุเจฺจยฺย, น จ ปริจฺจตฺตสฺส อตฺตนิยภาโว ทิโฎฺฐติฯ คณฺฐิปเท ปน ‘‘สเจ มูเลน กีโต โหติ, โปตฺถกสามิกานํ โปตฺถกํ, เยสํ หตฺถโต มูลํ คหิตํ, เตสํ มูลํ ทตฺวา มุจฺจตีติ กสฺมา วุตฺตํฯ โปตฺถกนิมิตฺตํ มูลสฺส คหิตตฺตา อกปฺปิยเมตํฯ ยทิ หิ โปตฺถกสามิกสฺส โปตฺถกํ ทตฺวา สยเมว มูลํ คเณฺหยฺย, อกปฺปิยเมว ตํฯ อถาปิ โปตฺถกสามิกสฺส สนฺติกา มูลํ อคฺคเหตฺวา สยเมว ตํ โปตฺถกํ ฌาเปยฺย, ตถาปิ อญฺญา เยน สทฺธาเทยฺยวินิปาตเน อาปตฺติ, ตสฺมา เอวมาหา’’ติ วุตฺตํ, ตมฺปิ น สารโต ปเจฺจตพฺพํฯ ตสฺมา คณฺฐิปเทสุ วุตฺตนโยเวตฺถ สารโต ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘มรณวณฺณํ ลิขิสฺสามา’’ติ เอกชฺฌาสยา หุตฺวาติ อิทํ ตถา กโรเนฺต สนฺธาย วุตฺตํ, เอวํ ปน อสํวิทหิตฺวาปิ มรณาธิปฺปาเยน ตสฺมิํ โปตฺถเก วุตฺตวิธิํ กโรนฺตสฺส ปาราชิกเมวฯ
176.Yesaṃhatthatoti yesaṃ ñātakapavāritānaṃ hatthato. Tesaṃ mūlaṃ datvā muccatīti idaṃ tena katapayogassa puna pākatikabhāvāpādanaṃ avasānaṃ pāpetvā dassetuṃ vuttaṃ. ‘‘Mūlena kītaṃ pana potthakaṃ potthakasāmikānaṃ datvā muccatiyevā’’ti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Kenaci pana ‘‘sace potthakaṃ sāmikānaṃ datvā mūlaṃ na gaṇhāti, na muccati attaniyabhāvato amocitattā’’ti vatvā bahudhā papañcitaṃ, na taṃ sārato paccetabbaṃ. Potthakasāmikānañhi potthake dinne aññena kataṃ paṭilabhitvā attanā katapayogassa nāsitattā kathaṃ so na mucceyya, na ca pariccattassa attaniyabhāvo diṭṭhoti. Gaṇṭhipade pana ‘‘sace mūlena kīto hoti, potthakasāmikānaṃ potthakaṃ, yesaṃ hatthato mūlaṃ gahitaṃ, tesaṃ mūlaṃ datvā muccatīti kasmā vuttaṃ. Potthakanimittaṃ mūlassa gahitattā akappiyametaṃ. Yadi hi potthakasāmikassa potthakaṃ datvā sayameva mūlaṃ gaṇheyya, akappiyameva taṃ. Athāpi potthakasāmikassa santikā mūlaṃ aggahetvā sayameva taṃ potthakaṃ jhāpeyya, tathāpi aññā yena saddhādeyyavinipātane āpatti, tasmā evamāhā’’ti vuttaṃ, tampi na sārato paccetabbaṃ. Tasmā gaṇṭhipadesu vuttanayovettha sārato daṭṭhabbo. ‘‘Maraṇavaṇṇaṃ likhissāmā’’ti ekajjhāsayā hutvāti idaṃ tathā karonte sandhāya vuttaṃ, evaṃ pana asaṃvidahitvāpi maraṇādhippāyena tasmiṃ potthake vuttavidhiṃ karontassa pārājikameva.
ปมาเณติ อตฺตนา สลฺลกฺขิเต ปมาเณฯ ตเจฺฉตฺวาติ อุนฺนตปฺปเทสํ ตเจฺฉตฺวาฯ ปํสุปจฺฉินฺติ สพฺพนฺติมํ ปํสุปจฺฉิํฯ ‘‘เอตฺตกํ อล’’นฺติ นิฎฺฐาเปตุกามตาย สพฺพนฺติมปโยคสาธิกา เจตนา สนฺนิฎฺฐาปกเจตนา ฯ สุตฺตนฺติกเตฺถราติ วินเย อปกตญฺญุโน สุตฺตนฺตภาณกาฯ มหาอฎฺฐกถาจริยเตฺถเรเยว สนฺธาย ‘‘วินยํ เต น ชานนฺตีติ อุปหาสวเสน สุตฺตนฺติกเตฺถราติ วุตฺต’’นฺติปิ วทนฺติฯ เอตฺถ จ มหาอฎฺฐกถายํ ‘‘อาวาเฎ นิฎฺฐิเต ปติตฺวา มรนฺตุ, อนิฎฺฐิเต มา มรนฺตู’’ติ อิมินา อธิปฺปาเยน กโรนฺตํ สนฺธาย สพฺพนฺติมา สนฺนิฎฺฐาปกเจตนา วุตฺตา, มหาปจฺจริสเงฺขปฎฺฐกถาสุ ปน ปฐมปฺปหารโต ปฎฺฐาย ‘‘อิมสฺมิํ อาวาเฎ ปติตฺวา มรนฺตู’’ติ อิมินา อธิปฺปาเยน กโรนฺตสฺส ยสฺมิํ ยสฺมิํ ปโยเค กเต ตตฺถ ปติตา มรนฺติ, ตํตํปโยคสาธิกํ สนฺนิฎฺฐาปกเจตนํ สนฺธาย ‘‘เอกสฺมิมฺปิ กุทาลปฺปหาเร ทิเนฺน’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ ตสฺมา เตน เตน ปริยาเยน อฎฺฐกถาวาทานํ อญฺญมญฺญาวิโรโธ ยุโตฺตฯ อถ วา มหาอฎฺฐกถายํ เอกสฺมิํเยว ทิวเส อวูปสเนฺตเนว ปโยเคน ขณิตฺวา นิฎฺฐาเปนฺตํ สนฺธาย สพฺพนฺติมา สนฺนิฎฺฐาปกเจตนา วุตฺตา, อิตราสุ ปน ‘‘อิมสฺมิํ ปติตฺวา มรนฺตู’’ติ อธิปฺปาเยน เอกสฺมิํ ทิวเส กิญฺจิ ขณิตฺวา อปรสฺมิมฺปิ ทิวเส ตเถว กิญฺจิ กิญฺจิ ขณิตฺวา นิฎฺฐาเปนฺตํ สนฺธาย วุตฺตนฺติฯ เอวมฺปิ อฎฺฐกถานํ อญฺญมญฺญาวิโรโธ ยุโตฺตติ อมฺหากํ ขนฺติฯ
Pamāṇeti attanā sallakkhite pamāṇe. Tacchetvāti unnatappadesaṃ tacchetvā. Paṃsupacchinti sabbantimaṃ paṃsupacchiṃ. ‘‘Ettakaṃ ala’’nti niṭṭhāpetukāmatāya sabbantimapayogasādhikā cetanā sanniṭṭhāpakacetanā . Suttantikattherāti vinaye apakataññuno suttantabhāṇakā. Mahāaṭṭhakathācariyatthereyeva sandhāya ‘‘vinayaṃ te na jānantīti upahāsavasena suttantikattherāti vutta’’ntipi vadanti. Ettha ca mahāaṭṭhakathāyaṃ ‘‘āvāṭe niṭṭhite patitvā marantu, aniṭṭhite mā marantū’’ti iminā adhippāyena karontaṃ sandhāya sabbantimā sanniṭṭhāpakacetanā vuttā, mahāpaccarisaṅkhepaṭṭhakathāsu pana paṭhamappahārato paṭṭhāya ‘‘imasmiṃ āvāṭe patitvā marantū’’ti iminā adhippāyena karontassa yasmiṃ yasmiṃ payoge kate tattha patitā maranti, taṃtaṃpayogasādhikaṃ sanniṭṭhāpakacetanaṃ sandhāya ‘‘ekasmimpi kudālappahāre dinne’’tiādi vuttanti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Tasmā tena tena pariyāyena aṭṭhakathāvādānaṃ aññamaññāvirodho yutto. Atha vā mahāaṭṭhakathāyaṃ ekasmiṃyeva divase avūpasanteneva payogena khaṇitvā niṭṭhāpentaṃ sandhāya sabbantimā sanniṭṭhāpakacetanā vuttā, itarāsu pana ‘‘imasmiṃ patitvā marantū’’ti adhippāyena ekasmiṃ divase kiñci khaṇitvā aparasmimpi divase tatheva kiñci kiñci khaṇitvā niṭṭhāpentaṃ sandhāya vuttanti. Evampi aṭṭhakathānaṃ aññamaññāvirodho yuttoti amhākaṃ khanti.
อตฺตโน ธมฺมตายาติ อชานิตฺวา ปกฺขลิตฺวา วาฯ อรหนฺตาปิ สงฺคหํ คจฺฉนฺตีติ อเญฺญหิ ปาติยมานานํ อมริตุกามานมฺปิ อรหนฺตานํ มรณํ สมฺภวตีติ วุตฺตํฯ ปุริมนเยติ ‘‘มริตุกามา อิธ มริสฺสนฺตี’’ติ วุตฺตนเยฯ ตตฺถ ปติตํ พหิ นีหริตฺวาติ เอตฺถ ‘‘อิมสฺมิํ อาวาเฎเยว มรนฺตูติ นิยมาภาวโต พหิ นีหริตฺวา มาริเตปิ ปาราชิกํ วุตฺตํฯ อาวาเฎ ปติตฺวา โถกํ จิรายิตฺวา คจฺฉนฺตํ คเหตฺวา มาริเต อาวาฎสฺมิํเยว อคฺคหิตตฺตา ปาราชิกํ น โหตี’’ติ วทนฺติ, ตํ ปน อฎฺฐกถายํ ‘‘ปติตปฺปโยเคน คหิตตฺตา’’ติ วุตฺตเหตุสฺส อิธาปิ สมฺภวโต วีมํสิตฺวา คเหตพฺพํฯ อมริตุกามา วาติปิ อธิปฺปายสฺส สมฺภวโต โอปปาติเก อุตฺตริตุํ อสกฺกุณิตฺวา มเตปิ ปาราชิกํ วุตฺตํฯ นิพฺพตฺติตฺวาติ วุตฺตตฺตา ปตนํ น ทิสฺสตีติ เจ? โอปปาติกสฺส ตตฺถ นิพฺพตฺติเยว ปตนนฺติ นตฺถิ วิโรโธฯ ยสฺมา มาตุยา ปติตฺวา ปริวตฺติตลิงฺคาย มตาย โส มาตุฆาตโก โหติ, น เกวลํ มนุสฺสปุริสฆาตโก, ตสฺมา ปติตเสฺสว วเสน อาปตฺตีติ อธิปฺปาเยน ‘‘ปตนรูปํ ปมาณ’’นฺติ วุตฺตํฯ อิทํ ปน อการณํฯ ‘‘มนุสฺสภูตํ มาตรํ วา ปิตรํ วา อปิ ปริวตฺตลิงฺคํ ชีวิตา โวโรเปนฺตสฺส กมฺมํ อานนฺตริยํ โหตี’’ติ เอตฺตกเมว หิ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ
Attano dhammatāyāti ajānitvā pakkhalitvā vā. Arahantāpi saṅgahaṃ gacchantīti aññehi pātiyamānānaṃ amaritukāmānampi arahantānaṃ maraṇaṃ sambhavatīti vuttaṃ. Purimanayeti ‘‘maritukāmā idha marissantī’’ti vuttanaye. Tattha patitaṃ bahi nīharitvāti ettha ‘‘imasmiṃ āvāṭeyeva marantūti niyamābhāvato bahi nīharitvā māritepi pārājikaṃ vuttaṃ. Āvāṭe patitvā thokaṃ cirāyitvā gacchantaṃ gahetvā mārite āvāṭasmiṃyeva aggahitattā pārājikaṃ na hotī’’ti vadanti, taṃ pana aṭṭhakathāyaṃ ‘‘patitappayogena gahitattā’’ti vuttahetussa idhāpi sambhavato vīmaṃsitvā gahetabbaṃ. Amaritukāmā vātipi adhippāyassa sambhavato opapātike uttarituṃ asakkuṇitvā matepi pārājikaṃ vuttaṃ. Nibbattitvāti vuttattā patanaṃ na dissatīti ce? Opapātikassa tattha nibbattiyeva patananti natthi virodho. Yasmā mātuyā patitvā parivattitaliṅgāya matāya so mātughātako hoti, na kevalaṃ manussapurisaghātako, tasmā patitasseva vasena āpattīti adhippāyena ‘‘patanarūpaṃ pamāṇa’’nti vuttaṃ. Idaṃ pana akāraṇaṃ. ‘‘Manussabhūtaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā api parivattaliṅgaṃ jīvitā voropentassa kammaṃ ānantariyaṃ hotī’’ti ettakameva hi aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ.
ตตฺถ จ ลิเงฺค ปริวเตฺตปิ โส เอว เอกกมฺมนิพฺพโตฺต ภวงฺคปฺปพโนฺธ ชีวิตินฺทฺริยปฺปพโนฺธ จ, น อโญฺญติ ‘‘อปิ ปริวตฺตลิงฺค’’นฺติ วุตฺตํฯ โย หิ ลิเงฺค อปริวเตฺต ตสฺมิํ อตฺตภาเว ภวงฺคชีวิตินฺทฺริยปฺปพโนฺธ , โส เอว ปริวเตฺตปิ ลิเงฺค ตํเยว จ อุปาทาย เอกชาติสมญฺญาฯ น เจตฺถ ภาวกลาปคตชีวิตินฺทฺริยสฺส วเสน โจทนา กาตพฺพา ตทญฺญเสฺสว อธิเปฺปตตฺตาฯ ตญฺหิ ตตฺถ อวิเจฺฉทวุตฺติยา ปพนฺธโวหารํ ลภติ, อิตรมฺปิ วา ภาวานุปาลตาสามเญฺญนาติ อโนกาสาว โจทนาฯ ตสฺมา ปริวเตฺตปิ ลิเงฺค ตเสฺสว เอกกมฺมนิพฺพตฺตสฺส สนฺตานสฺส ชีวิตา โวโรปนโต โวหารเภทโต โส อิตฺถิฆาตโก วา โหตุ ปุริสฆาตโก วา, อานนฺตริยกมฺมโต น มุจฺจตีติ เอตฺตกเมว ตตฺถ วตฺตพฺพํฯ อิธ ปน ยํยํชาติกา สตฺตา โหนฺติ, เต มรณสมเย อตฺตโน อตฺตโน ชาติรูเปเนว มรนฺติ, นาญฺญรูเปน, ชาติวเสเนว จ ปาจิตฺติยถุลฺลจฺจยปาราชิเกหิ ภวิตพฺพํฯ ตสฺมา นาโค วา สุปโณฺณ วา ยกฺขรูเปน วา เปตรูเปน วา ปติตฺวา อตฺตโน ติรจฺฉานรูเปน มรติ, ตตฺถ ปาจิตฺติยเมว ยุตฺตํ, น ถุลฺลจฺจยํ ติรจฺฉานคตเสฺสว มตตฺตาฯ เตเนว ทุติยเตฺถรวาเท มรณรูปํ ปมาณํ, ตสฺมา ปาจิตฺติยนฺติ วุตฺตํฯ อยเมว จ วาโท ยุตฺตตโร, เตเนว โส ปจฺฉา วุโตฺตฯ
Tattha ca liṅge parivattepi so eva ekakammanibbatto bhavaṅgappabandho jīvitindriyappabandho ca, na aññoti ‘‘api parivattaliṅga’’nti vuttaṃ. Yo hi liṅge aparivatte tasmiṃ attabhāve bhavaṅgajīvitindriyappabandho , so eva parivattepi liṅge taṃyeva ca upādāya ekajātisamaññā. Na cettha bhāvakalāpagatajīvitindriyassa vasena codanā kātabbā tadaññasseva adhippetattā. Tañhi tattha avicchedavuttiyā pabandhavohāraṃ labhati, itarampi vā bhāvānupālatāsāmaññenāti anokāsāva codanā. Tasmā parivattepi liṅge tasseva ekakammanibbattassa santānassa jīvitā voropanato vohārabhedato so itthighātako vā hotu purisaghātako vā, ānantariyakammato na muccatīti ettakameva tattha vattabbaṃ. Idha pana yaṃyaṃjātikā sattā honti, te maraṇasamaye attano attano jātirūpeneva maranti, nāññarūpena, jātivaseneva ca pācittiyathullaccayapārājikehi bhavitabbaṃ. Tasmā nāgo vā supaṇṇo vā yakkharūpena vā petarūpena vā patitvā attano tiracchānarūpena marati, tattha pācittiyameva yuttaṃ, na thullaccayaṃ tiracchānagatasseva matattā. Teneva dutiyattheravāde maraṇarūpaṃ pamāṇaṃ, tasmā pācittiyanti vuttaṃ. Ayameva ca vādo yuttataro, teneva so pacchā vutto.
อิมินาว นเยน มนุสฺสวิคฺคเห นาคสุปณฺณสทิเส ติรจฺฉานคเต ปติตฺวา อตฺตโน รูเปน มเต ปาจิตฺติเยน ภวิตพฺพํฯ เอวํ สเนฺต ปาฬิยํ ‘‘ยโกฺข วา เปโต วา ติรจฺฉานคตมนุสฺสวิคฺคโห วา ตสฺมิํ ปตติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ ปติเต ทุกฺขา เวทนา อุปฺปชฺชติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ มรติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ กสฺมา วุตฺตนฺติ เจ? ตตฺถ เกจิ วทนฺติ – ยโกฺข วา เปโต วาติ ปฐมํ สกรูเปเนว ฐิเต ยกฺขเปเต ทเสฺสตฺวา ปุน อญฺญรูเปนปิ ฐิเต เตเยว ยกฺขเปเต ทเสฺสตุํ ‘‘ติรจฺฉานคตมนุสฺสวิคฺคโห วา’’ติ วุตฺตํ, น ปน ตาทิสํ ติรจฺฉานคตํ วิสุํ ทเสฺสตุํฯ ตสฺมา ติรจฺฉานคตวิคฺคโห วา มนุสฺสวิคฺคโห วา ยโกฺข วา เปโต วาติ เอวเมตฺถ โยชนา กาตพฺพาติฯ คณฺฐิปเทสุ ปน ตีสุปิ ‘‘ปาฬิยํ มนุสฺสวิคฺคเหน ฐิตติรจฺฉานคตานํ อาเวณิกํ กตฺวา ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตํ วิย ทิสฺสตี’’ติ กถิตํฯ ยกฺขรูปเปตรูเปน มเตปิ เอเสว นโยติ อิมินา มรณรูปเสฺสว ปมาณตฺตา ถุลฺลจฺจยํ อติทิสฺสติฯ
Imināva nayena manussaviggahe nāgasupaṇṇasadise tiracchānagate patitvā attano rūpena mate pācittiyena bhavitabbaṃ. Evaṃ sante pāḷiyaṃ ‘‘yakkho vā peto vā tiracchānagatamanussaviggaho vā tasmiṃ patati, āpatti dukkaṭassa. Patite dukkhā vedanā uppajjati, āpatti dukkaṭassa. Marati, āpatti thullaccayassā’’ti kasmā vuttanti ce? Tattha keci vadanti – yakkho vā peto vāti paṭhamaṃ sakarūpeneva ṭhite yakkhapete dassetvā puna aññarūpenapi ṭhite teyeva yakkhapete dassetuṃ ‘‘tiracchānagatamanussaviggaho vā’’ti vuttaṃ, na pana tādisaṃ tiracchānagataṃ visuṃ dassetuṃ. Tasmā tiracchānagataviggaho vā manussaviggaho vā yakkho vā peto vāti evamettha yojanā kātabbāti. Gaṇṭhipadesu pana tīsupi ‘‘pāḷiyaṃ manussaviggahena ṭhitatiracchānagatānaṃ āveṇikaṃ katvā thullaccayaṃ vuttaṃ viya dissatī’’ti kathitaṃ. Yakkharūpapetarūpena matepi eseva nayoti iminā maraṇarūpasseva pamāṇattā thullaccayaṃ atidissati.
มุธาติ อมูเลน, กิญฺจิ มูลํ อคฺคเหตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ โส นิโทฺทโสติ เตน ตตฺถ กตปโยคสฺส อภาวโตฯ ยทิ ปน โสปิ ตตฺถ กิญฺจิ กิญฺจิ กโรติ, น มุจฺจติเยวาติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เอวํ ปติตา’’ติอาทิฯ ตตฺถ เอวนฺติ เอวํ มยา กเตติ อโตฺถฯ น นสฺสิสฺสนฺตีติ อทสฺสนํ น คมิสฺสนฺติ, น ปลายิสฺสนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ วิปฺปฎิสาเร อุปฺปเนฺนติ มูลฎฺฐํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ยทิ ปน ปจฺฉิโมปิ ลภิตฺวา ตตฺถ วุตฺตปฺปการํ กิญฺจิ กตฺวา ปุน วิปฺปฎิสาเร อุปฺปเนฺน เอวํ กโรติ, ตสฺสปิ เอเสว นโยฯ ปํสุมฺหิ ปติตฺวา มรตีติ อภินวปูริเต ปํสุมฺหิ ปาเท ปเวเสตฺวา อุทฺธริตุํ อสโกฺกโนฺต ตเตฺถว ปติตฺวา มรติฯ ชาตปถวี ชาตาติ อิทํ สพฺพถา มตฺถกปฺปตฺตํ ถิรภาวํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ปํสุนา ปูเรเนฺตน ปน ปาททณฺฑาทีหิ มทฺทนตาฬนาทินา สุฎฺฐุตรํ ถิรภาวํ อาปาเทตฺวา ปกติปถวิยา นิพฺพิเสเส กเต ชาตปถวีลกฺขณํ อปฺปเตฺตปิ มุจฺจติเยวฯ โอปาตํ หรตีติ เอตฺถ โปกฺขรณีสทิสตฺตา มุจฺจติฯ
Mudhāti amūlena, kiñci mūlaṃ aggahetvāti vuttaṃ hoti. So niddosoti tena tattha katapayogassa abhāvato. Yadi pana sopi tattha kiñci kiñci karoti, na muccatiyevāti dassento āha ‘‘evaṃ patitā’’tiādi. Tattha evanti evaṃ mayā kateti attho. Na nassissantīti adassanaṃ na gamissanti, na palāyissantīti adhippāyo. Vippaṭisāre uppanneti mūlaṭṭhaṃ sandhāya vuttaṃ. Yadi pana pacchimopi labhitvā tattha vuttappakāraṃ kiñci katvā puna vippaṭisāre uppanne evaṃ karoti, tassapi eseva nayo. Paṃsumhi patitvā maratīti abhinavapūrite paṃsumhi pāde pavesetvā uddharituṃ asakkonto tattheva patitvā marati. Jātapathavī jātāti idaṃ sabbathā matthakappattaṃ thirabhāvaṃ dassetuṃ vuttaṃ. Paṃsunā pūrentena pana pādadaṇḍādīhi maddanatāḷanādinā suṭṭhutaraṃ thirabhāvaṃ āpādetvā pakatipathaviyā nibbisese kate jātapathavīlakkhaṇaṃ appattepi muccatiyeva. Opātaṃ haratīti ettha pokkharaṇīsadisattā muccati.
หตฺถา มุตฺตมเตฺตติ โอเฑฺฑตฺวา หตฺถโต มุตฺตมเตฺตฯ วติํ กตฺวาติ เอตฺถ ยทิ โส ปาเส วุตฺตปฺปการํ กญฺจิ วิเสสํ น กโรติ, อตฺตนา กตวติยา วิทฺธํสิตาย มุจฺจติฯ ถทฺธตรํ วา ปาสยฎฺฐิํ ฐเปตีติ ถิรภาวตฺถํ อปราย ปาสยฎฺฐิยา สทฺธิํ พนฺธิตฺวา วา ตเมว วา สิถิลภูตํ ถทฺธตรํ พนฺธิตฺวา ฐเปติฯ ทฬฺหตรํ วา ถิรตรํ วาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ขาณุกนฺติ ปาสยฎฺฐิพนฺธนขาณุกํฯ สพฺพเตฺถว มารณตฺถาย กตปฺปโยคตฺตา น มุจฺจติฯ วิปฺปฎิสาเร อุปฺปเนฺนติ มูลฎฺฐเสฺสว วิปฺปฎิสาเร อุปฺปเนฺนฯ
Hatthā muttamatteti oḍḍetvā hatthato muttamatte. Vatiṃ katvāti ettha yadi so pāse vuttappakāraṃ kañci visesaṃ na karoti, attanā katavatiyā viddhaṃsitāya muccati. Thaddhataraṃ vā pāsayaṭṭhiṃ ṭhapetīti thirabhāvatthaṃ aparāya pāsayaṭṭhiyā saddhiṃ bandhitvā vā tameva vā sithilabhūtaṃ thaddhataraṃ bandhitvā ṭhapeti. Daḷhataraṃ vā thirataraṃ vāti etthāpi eseva nayo. Khāṇukanti pāsayaṭṭhibandhanakhāṇukaṃ. Sabbattheva māraṇatthāya katappayogattā na muccati. Vippaṭisāre uppanneti mūlaṭṭhasseva vippaṭisāre uppanne.
เตน อลาเตน…เป.… น มุจฺจตีติ เอตฺถ ‘‘ปุเพฺพ กตปฺปโยคํ วินาเสตฺวา ปจฺฉา กุสลจิเตฺตน ปโยเค กเตปิ น มุจฺจตีติ อิทํ สนฺธาย คนฺตพฺพ’’นฺติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย ยุโตฺต สิยา – อาทิโตเยว มารณตฺถาย กตปฺปโยคตฺตา กตปริโยสิตาย ปาสยฎฺฐิยา ตปฺปจฺจยา เย เย สตฺตา มริสฺสนฺติ, เตสํ เตสํ วเสน ปฐมตรํเยว ปาณาติปาตกมฺมสิทฺธิโต ปจฺฉา กุสลจิเตฺตน อญฺญถา กเตปิ น มุจฺจตีติฯ รชฺชุเกติ ขุทฺทกรชฺชุเกฯ สยํ วฎฺฎิตนฺติ พหุรชฺชุเก เอกโต กตฺวา อตฺตนา วฎฺฎิตํฯ อุพฺพเฎฺฎตฺวาติ เต รชฺชุเก วิสุํ วิสุํ กตฺวาฯ ครุกตรํ กโรตีติ อติภาริยํ กโรติฯ ปริเยสิตฺวา กตนฺติ อรญฺญํ คนฺตฺวา รุกฺขํ ฉินฺทิตฺวา ตเจฺฉตฺวา กตํฯ
Tena alātena…pe… na muccatīti ettha ‘‘pubbe katappayogaṃ vināsetvā pacchā kusalacittena payoge katepi na muccatīti idaṃ sandhāya gantabba’’nti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Ayaṃ panettha adhippāyo yutto siyā – āditoyeva māraṇatthāya katappayogattā katapariyositāya pāsayaṭṭhiyā tappaccayā ye ye sattā marissanti, tesaṃ tesaṃ vasena paṭhamataraṃyeva pāṇātipātakammasiddhito pacchā kusalacittena aññathā katepi na muccatīti. Rajjuketi khuddakarajjuke. Sayaṃ vaṭṭitanti bahurajjuke ekato katvā attanā vaṭṭitaṃ. Ubbaṭṭetvāti te rajjuke visuṃ visuṃ katvā. Garukataraṃ karotīti atibhāriyaṃ karoti. Pariyesitvā katanti araññaṃ gantvā rukkhaṃ chinditvā tacchetvā kataṃ.
๑๗๗. อาลมฺพนรุโกฺข วาติ ตตฺถชาตกํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตทตฺถเมวาติ มารณตฺถเมวฯ วิสมณฺฑลนฺติ มญฺจปีฐาทีสุ อาลิตฺตํ วิสมณฺฑลํฯ วตฺวา อสิํ อุปนิกฺขิปตีติ เอตฺถ มุเขน อวตฺวา วุตฺตปฺปการํ มนสา จิเนฺตตฺวา อุปนิกฺขิปเนปิ เอเสว นโยฯ ปุริมนเยนาติ ‘‘เยสํ หตฺถโต มูลํ คหิต’’นฺติอาทินาฯ สรีรสฺส วิรูปภาวกรณโต กุฎฺฐาทิ วิสภาคโรโค นาม, ชีวิตปฺปวตฺติยา วา อสภาคตฺตา อนนุกูลตฺตา คณฺฑปิฬกาทิ โย โกจิ ชีวิตปฺปวตฺติปจฺจนีโก วิสภาคโรโคฯ
177.Ālambanarukkho vāti tatthajātakaṃ sandhāya vuttaṃ. Tadatthamevāti māraṇatthameva. Visamaṇḍalanti mañcapīṭhādīsu ālittaṃ visamaṇḍalaṃ. Vatvā asiṃ upanikkhipatīti ettha mukhena avatvā vuttappakāraṃ manasā cintetvā upanikkhipanepi eseva nayo. Purimanayenāti ‘‘yesaṃ hatthato mūlaṃ gahita’’ntiādinā. Sarīrassa virūpabhāvakaraṇato kuṭṭhādi visabhāgarogo nāma, jīvitappavattiyā vā asabhāgattā ananukūlattā gaṇḍapiḷakādi yo koci jīvitappavattipaccanīko visabhāgarogo.
๑๗๘. ปรํ วา อมนาปรูปนฺติ เอตฺถ อมนาปํ รูปํ เอตสฺสาติ อมนาปรูโปติ พาหิรตฺถสมาโส ทฎฺฐโพฺพฯ มนาปิเยปิ เอเสว นโยติ เอเตน มนาปิกํ รูปํ อุปสํหรตีติ เอตฺถ ปรํ วา มนาปรูปํ ตสฺส สมีเป ฐเปติ, อตฺตนา วา มนาปิเยน รูเปน สมนฺนาคโต ติฎฺฐตีติอาทิ โยเชตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ เตเนว อญฺญตรสฺมิํ คณฺฐิปเท วุตฺตํ –
178.Paraṃvā amanāparūpanti ettha amanāpaṃ rūpaṃ etassāti amanāparūpoti bāhiratthasamāso daṭṭhabbo. Manāpiyepi eseva nayoti etena manāpikaṃ rūpaṃ upasaṃharatīti ettha paraṃ vā manāparūpaṃ tassa samīpe ṭhapeti, attanā vā manāpiyena rūpena samannāgato tiṭṭhatītiādi yojetabbanti dasseti. Teneva aññatarasmiṃ gaṇṭhipade vuttaṃ –
‘‘มมาลาเภน เอสิตฺถี, มรตูติ สมีปโค;
‘‘Mamālābhena esitthī, maratūti samīpago;
ทุฎฺฐจิโตฺต สเจ ยาติ, โหติ โส อิตฺถิมารโกฯ
Duṭṭhacitto sace yāti, hoti so itthimārako.
‘‘ภิกฺขตฺถาย สเจ ยาติ, ชานโนฺตปิ น มารโก;
‘‘Bhikkhatthāya sace yāti, jānantopi na mārako;
อนตฺถิโก หิ โส ตสฺสา, มรเณน อุเปกฺขโก’’ติฯ
Anatthiko hi so tassā, maraṇena upekkhako’’ti.
อปรมฺปิ ตเตฺถว วุตฺตํ –
Aparampi tattheva vuttaṃ –
‘‘วิโยเคน จ เม ชายา, ชนนี จ น ชีวติ;
‘‘Viyogena ca me jāyā, jananī ca na jīvati;
อิติ ชานํ วิยุญฺชโนฺต, ตทตฺถี โหติ มารโกฯ
Iti jānaṃ viyuñjanto, tadatthī hoti mārako.
‘‘ปพฺพชฺชาทินิมิตฺตเญฺจ, ยาติ ชานํ น มารโก;
‘‘Pabbajjādinimittañce, yāti jānaṃ na mārako;
อนตฺถิโก หิ โส เตสํ, มรเณน อุเปกฺขโก’’ติฯ
Anatthiko hi so tesaṃ, maraṇena upekkhako’’ti.
อลงฺกริตฺวา อุปสํหรตีติ ‘‘อลาภเกน สุสฺสิตฺวา มรตู’’ติ อิมินา อธิปฺปาเยน อุปสํหรติฯ เตเนว ‘‘สเจ อุตฺตสิตฺวา มรติ, วิสเงฺกโต’’ติ วุตฺตํฯ อลาภเกน สุสฺสิตฺวา มรตีติ เอตฺถ จ ปาราชิกนฺติ ปาฐเสโส ทฎฺฐโพฺพฯ กุณปคนฺธา จาติ อหิอาทิกุณปานํ คนฺธาฯ หํสปุปฺผนฺติ หํสาทีนํ ปกฺขโลมํ สนฺธาย วทติฯ
Alaṅkaritvā upasaṃharatīti ‘‘alābhakena sussitvā maratū’’ti iminā adhippāyena upasaṃharati. Teneva ‘‘sace uttasitvā marati, visaṅketo’’ti vuttaṃ. Alābhakena sussitvā maratīti ettha ca pārājikanti pāṭhaseso daṭṭhabbo. Kuṇapagandhā cāti ahiādikuṇapānaṃ gandhā. Haṃsapupphanti haṃsādīnaṃ pakkhalomaṃ sandhāya vadati.
๑๗๙. อสญฺจิจฺจาติ อิทํ มรณสํวตฺตนิกอุปกฺกมสฺส อสลฺลกฺขณํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ อาห ‘‘อิมินา อุปกฺกเมนา’’ติอาทิฯ อชานนฺตสฺสาติ อิทํ ปน มรณสํวตฺตนิกอุปกฺกมกรณสฺส อชานนํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ อาห ‘‘อิมินา อยํ มริสฺสตี’’ติอาทิฯ นมรณาธิปฺปายสฺสาติ อิทํ อุปกฺกมํ ชานนฺตสฺสปิ มรณาธิปฺปายสฺส อภาวํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ อาห ‘‘มรณํ อนิจฺฉนฺตสฺสา’’ติอาทิฯ
179.Asañciccāti idaṃ maraṇasaṃvattanikaupakkamassa asallakkhaṇaṃ sandhāya vuttanti āha ‘‘iminā upakkamenā’’tiādi. Ajānantassāti idaṃ pana maraṇasaṃvattanikaupakkamakaraṇassa ajānanaṃ sandhāya vuttanti āha ‘‘iminā ayaṃ marissatī’’tiādi. Namaraṇādhippāyassāti idaṃ upakkamaṃ jānantassapi maraṇādhippāyassa abhāvaṃ sandhāya vuttanti āha ‘‘maraṇaṃ anicchantassā’’tiādi.
ปทภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Padabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๓. ตติยปาราชิกํ • 3. Tatiyapārājikaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๓. ตติยปาราชิกํ • 3. Tatiyapārājikaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ปทภาชนียวณฺณนา • Padabhājanīyavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ปทภาชนียวณฺณนา • Padabhājanīyavaṇṇanā