Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya |
๑๐. ทุติยอริยสาวกสุตฺตํ
10. Dutiyaariyasāvakasuttaṃ
๕๐. สาวตฺถิยํ วิหรติ…เป.… ‘‘น, ภิกฺขเว, สุตวโต อริยสาวกสฺส เอวํ โหติ – ‘กิํ นุ โข กิสฺมิํ สติ กิํ โหติ, กิสฺสุปฺปาทา กิํ อุปฺปชฺชติ? กิสฺมิํ สติ สงฺขารา โหนฺติ, กิสฺมิํ สติ วิญฺญาณํ โหติ, กิสฺมิํ สติ นามรูปํ โหติ, กิสฺมิํ สติ สฬายตนํ โหติ, กิสฺมิํ สติ ผโสฺส โหติ, กิสฺมิํ สติ เวทนา โหติ, กิสฺมิํ สติ ตณฺหา โหติ, กิสฺมิํ สติ อุปาทานํ โหติ, กิสฺมิํ สติ ภโว โหติ, กิสฺมิํ สติ ชาติ โหติ, กิสฺมิํ สติ ชรามรณํ โหตี’’’ติ?
50. Sāvatthiyaṃ viharati…pe… ‘‘na, bhikkhave, sutavato ariyasāvakassa evaṃ hoti – ‘kiṃ nu kho kismiṃ sati kiṃ hoti, kissuppādā kiṃ uppajjati? Kismiṃ sati saṅkhārā honti, kismiṃ sati viññāṇaṃ hoti, kismiṃ sati nāmarūpaṃ hoti, kismiṃ sati saḷāyatanaṃ hoti, kismiṃ sati phasso hoti, kismiṃ sati vedanā hoti, kismiṃ sati taṇhā hoti, kismiṃ sati upādānaṃ hoti, kismiṃ sati bhavo hoti, kismiṃ sati jāti hoti, kismiṃ sati jarāmaraṇaṃ hotī’’’ti?
‘‘อถ โข, ภิกฺขเว, สุตวโต อริยสาวกสฺส อปรปฺปจฺจยา ญาณเมเวตฺถ โหติ – ‘อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหติ, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติฯ อวิชฺชาย สติ สงฺขารา โหนฺติ; สงฺขาเรสุ สติ วิญฺญาณํ โหติ; วิญฺญาเณ สติ นามรูปํ โหติ; นามรูเป สติ สฬายตนํ โหติ; สฬายตเน สติ ผโสฺส โหติ; ผเสฺส สติ เวทนา โหติ ; เวทนาย สติ ตณฺหา โหติ; ตณฺหาย สติ อุปาทานํ โหติ; อุปาทาเน สติ ภโว โหติ; ภเว สติ ชาติ โหติ; ชาติยา สติ ชรามรณํ โหตี’ติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘เอวมยํ โลโก สมุทยตี’’’ติฯ
‘‘Atha kho, bhikkhave, sutavato ariyasāvakassa aparappaccayā ñāṇamevettha hoti – ‘imasmiṃ sati idaṃ hoti, imassuppādā idaṃ uppajjati. Avijjāya sati saṅkhārā honti; saṅkhāresu sati viññāṇaṃ hoti; viññāṇe sati nāmarūpaṃ hoti; nāmarūpe sati saḷāyatanaṃ hoti; saḷāyatane sati phasso hoti; phasse sati vedanā hoti ; vedanāya sati taṇhā hoti; taṇhāya sati upādānaṃ hoti; upādāne sati bhavo hoti; bhave sati jāti hoti; jātiyā sati jarāmaraṇaṃ hotī’ti. So evaṃ pajānāti – ‘evamayaṃ loko samudayatī’’’ti.
‘‘น, ภิกฺขเว, สุตวโต อริยสาวกสฺส เอวํ โหติ – ‘กิํ นุ โข กิสฺมิํ อสติ กิํ น โหติ, กิสฺส นิโรธา กิํ นิรุชฺฌติ? กิสฺมิํ อสติ สงฺขารา น โหนฺติ, กิสฺมิํ อสติ วิญฺญาณํ น โหติ, กิสฺมิํ อสติ นามรูปํ น โหติ, กิสฺมิํ อสติ สฬายตนํ น โหติ, กิสฺมิํ อสติ ผโสฺส น โหติ, กิสฺมิํ อสติ เวทนา น โหติ, กิสฺมิํ อสติ ตณฺหา น โหติ…เป.… อุปาทานํ… ภโว… ชาติ… กิสฺมิํ อสติ ชรามรณํ น โหตี’’’ติ?
‘‘Na, bhikkhave, sutavato ariyasāvakassa evaṃ hoti – ‘kiṃ nu kho kismiṃ asati kiṃ na hoti, kissa nirodhā kiṃ nirujjhati? Kismiṃ asati saṅkhārā na honti, kismiṃ asati viññāṇaṃ na hoti, kismiṃ asati nāmarūpaṃ na hoti, kismiṃ asati saḷāyatanaṃ na hoti, kismiṃ asati phasso na hoti, kismiṃ asati vedanā na hoti, kismiṃ asati taṇhā na hoti…pe… upādānaṃ… bhavo… jāti… kismiṃ asati jarāmaraṇaṃ na hotī’’’ti?
‘‘อถ โข, ภิกฺขเว, สุตวโต อริยสาวกสฺส อปรปฺปจฺจยา ญาณเมเวตฺถ โหติ – ‘อิมสฺมิํ อสติ อิทํ น โหติ, อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติฯ อวิชฺชาย อสติ สงฺขารา น โหนฺติ; สงฺขาเรสุ อสติ วิญฺญาณํ น โหติ; วิญฺญาเณ อสติ นามรูปํ น โหติ; นามรูเป อสติ สฬายตนํ น โหติ…เป.… ชาติยา อสติ ชรามรณํ น โหตี’ติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘เอวมยํ โลโก นิรุชฺฌตี’’’ติฯ
‘‘Atha kho, bhikkhave, sutavato ariyasāvakassa aparappaccayā ñāṇamevettha hoti – ‘imasmiṃ asati idaṃ na hoti, imassa nirodhā idaṃ nirujjhati. Avijjāya asati saṅkhārā na honti; saṅkhāresu asati viññāṇaṃ na hoti; viññāṇe asati nāmarūpaṃ na hoti; nāmarūpe asati saḷāyatanaṃ na hoti…pe… jātiyā asati jarāmaraṇaṃ na hotī’ti. So evaṃ pajānāti – ‘evamayaṃ loko nirujjhatī’’’ti.
‘‘ยโต โข, ภิกฺขเว, อริยสาวโก เอวํ โลกสฺส สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ ยถาภูตํ ปชานาติ, อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, อริยสาวโก ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน อิติปิ, ทสฺสนสมฺปโนฺน อิติปิ, อาคโต อิมํ สทฺธมฺมํ อิติปิ, ปสฺสติ อิมํ สทฺธมฺมํ อิติปิ, เสเกฺขน ญาเณน สมนฺนาคโต อิติปิ , เสกฺขาย วิชฺชาย สมนฺนาคโต อิติปิ, ธมฺมโสตํ สมาปโนฺน อิติปิ, อริโย นิเพฺพธิกปโญฺญ อิติปิ, อมตทฺวารํ อาหจฺจ ติฎฺฐติ อิติปี’’ติฯ ทสมํฯ
‘‘Yato kho, bhikkhave, ariyasāvako evaṃ lokassa samudayañca atthaṅgamañca yathābhūtaṃ pajānāti, ayaṃ vuccati, bhikkhave, ariyasāvako diṭṭhisampanno itipi, dassanasampanno itipi, āgato imaṃ saddhammaṃ itipi, passati imaṃ saddhammaṃ itipi, sekkhena ñāṇena samannāgato itipi , sekkhāya vijjāya samannāgato itipi, dhammasotaṃ samāpanno itipi, ariyo nibbedhikapañño itipi, amatadvāraṃ āhacca tiṭṭhati itipī’’ti. Dasamaṃ.
คหปติวโคฺค ปญฺจโมฯ
Gahapativaggo pañcamo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
เทฺว ปญฺจเวรภยา วุตฺตา, ทุกฺขํ โลโก จ ญาติกํ;
Dve pañcaverabhayā vuttā, dukkhaṃ loko ca ñātikaṃ;
อญฺญตรํ ชาณุโสฺสณิ จ, โลกายติเกน อฎฺฐมํ;
Aññataraṃ jāṇussoṇi ca, lokāyatikena aṭṭhamaṃ;
เทฺว อริยสาวกา วุตฺตา, วโคฺค เตน ปวุจฺจตีติฯ
Dve ariyasāvakā vuttā, vaggo tena pavuccatīti.
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. ทุติยอริยสาวกสุตฺตวณฺณนา • 10. Dutiyaariyasāvakasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๑๐. ทุติยอริยสาวกสุตฺตวณฺณนา • 10. Dutiyaariyasāvakasuttavaṇṇanā