Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จูฬวคฺคปาฬิ • Cūḷavaggapāḷi

    ๒. ทุติยภาณวาโร

    2. Dutiyabhāṇavāro

    ๔๕๓. อโสฺสสุํ โข เวสาลิกา วชฺชิปุตฺตกา ภิกฺขู – ‘‘ยโส กิร กากณฺฑกปุโตฺต อิทํ อธิกรณํ อาทิยิตุกาโม ปกฺขํ ปริเยสติ, ลภติ จ กิร ปกฺข’’นฺติฯ อถ โข เวสาลิกานํ วชฺชิปุตฺตกานํ ภิกฺขูนํ เอตทโหสิ – ‘‘อิทํ โข อธิกรณํ กกฺขฬญฺจ วาฬญฺจฯ กํ นุ โข มยํ ปกฺขํ ลเภยฺยาม, เยน มยํ อิมสฺมิํ อธิกรเณ พลวนฺตตรา อสฺสามา’’ติฯ

    453. Assosuṃ kho vesālikā vajjiputtakā bhikkhū – ‘‘yaso kira kākaṇḍakaputto idaṃ adhikaraṇaṃ ādiyitukāmo pakkhaṃ pariyesati, labhati ca kira pakkha’’nti. Atha kho vesālikānaṃ vajjiputtakānaṃ bhikkhūnaṃ etadahosi – ‘‘idaṃ kho adhikaraṇaṃ kakkhaḷañca vāḷañca. Kaṃ nu kho mayaṃ pakkhaṃ labheyyāma, yena mayaṃ imasmiṃ adhikaraṇe balavantatarā assāmā’’ti.

    อถ โข เวสาลิกานํ วชฺชิปุตฺตกานํ ภิกฺขูนํ เอตทโหสิ – ‘‘อยํ โข อายสฺมา เรวโต พหุสฺสุโต อาคตาคโม ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร ปณฺฑิโต วิยโตฺต เมธาวี ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโมฯ สเจ มยํ อายสฺมนฺตํ เรวตํ ปกฺขํ ลเภยฺยาม, เอวํ มยํ อิมสฺมิํ อธิกรเณ พลวนฺตตรา อสฺสามา’’ติฯ

    Atha kho vesālikānaṃ vajjiputtakānaṃ bhikkhūnaṃ etadahosi – ‘‘ayaṃ kho āyasmā revato bahussuto āgatāgamo dhammadharo vinayadharo mātikādharo paṇḍito viyatto medhāvī lajjī kukkuccako sikkhākāmo. Sace mayaṃ āyasmantaṃ revataṃ pakkhaṃ labheyyāma, evaṃ mayaṃ imasmiṃ adhikaraṇe balavantatarā assāmā’’ti.

    อถ โข เวสาลิกา วชฺชิปุตฺตกา ภิกฺขู ปหูตํ สามณกํ ปริกฺขารํ ปฎิยาเทสุํ – ปตฺตมฺปิ, จีวรมฺปิ, นิสีทนมฺปิ, สูจิฆรมฺปิ, กายพนฺธนมฺปิ, ปริสฺสาวนมฺปิ, ธมฺมกรณมฺปิฯ อถ โข เวสาลิกา วชฺชิปุตฺตกา ภิกฺขู ตํ สามณกํ ปริกฺขารํ อาทาย นาวาย สหชาติํ อุชฺชวิํสุ; นาวาย ปโจฺจโรหิตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล ภตฺตวิสฺสคฺคํ กโรนฺติฯ อถ โข อายสฺมโต สาฬฺหสฺส รโหคตสฺส ปฎิสลฺลีนสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ – ‘‘เก นุ โข ธมฺมวาทิโน – ปาจีนกา วา ภิกฺขู, ปาเวยฺยกา วา’’ติ? อถ โข อายสฺมโต สาฬฺหสฺส, ธมฺมญฺจ วินยญฺจ เจตสา ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส, เอตทโหสิ – ‘‘อธมฺมวาทิโน ปาจีนกา ภิกฺขู, ธมฺมวาทิโน ปาเวยฺยกา 1 ภิกฺขู’’ติฯ

    Atha kho vesālikā vajjiputtakā bhikkhū pahūtaṃ sāmaṇakaṃ parikkhāraṃ paṭiyādesuṃ – pattampi, cīvarampi, nisīdanampi, sūcigharampi, kāyabandhanampi, parissāvanampi, dhammakaraṇampi. Atha kho vesālikā vajjiputtakā bhikkhū taṃ sāmaṇakaṃ parikkhāraṃ ādāya nāvāya sahajātiṃ ujjaviṃsu; nāvāya paccorohitvā aññatarasmiṃ rukkhamūle bhattavissaggaṃ karonti. Atha kho āyasmato sāḷhassa rahogatassa paṭisallīnassa evaṃ cetaso parivitakko udapādi – ‘‘ke nu kho dhammavādino – pācīnakā vā bhikkhū, pāveyyakā vā’’ti? Atha kho āyasmato sāḷhassa, dhammañca vinayañca cetasā paccavekkhantassa, etadahosi – ‘‘adhammavādino pācīnakā bhikkhū, dhammavādino pāveyyakā 2 bhikkhū’’ti.

    อถ โข อญฺญตรา สุทฺธาวาสกายิกา เทวตา อายสฺมโต สาฬฺหสฺส เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย – เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมฺมิเญฺชยฺย, เอวเมว สุทฺธาวาเสสุ เทเวสุ อนฺตรหิตา – อายสฺมโต สาฬฺหสฺส สมฺมุเข ปาตุรโหสิฯ อถ โข สา เทวตา อายสฺมนฺตํ สาฬฺหํ เอตทโวจ – ‘‘สาธุ, ภเนฺต สาฬฺห, อธมฺมวาที ปาจีนกา ภิกฺขู, ธมฺมวาที ปาเวยฺยกา ภิกฺขูฯ เตน หิ, ภเนฺต สาฬฺห, ยถาธโมฺม ตถา ติฎฺฐาหี’’ติฯ ‘‘ปุเพฺพปิ จาหํ, เทวเต, เอตรหิ จ ยถาธโมฺม ตถา ฐิโต ; อปิ จาหํ น ตาว ทิฎฺฐิํ อาวิ กโรมิ, อเปฺปว นาม มํ อิมสฺมิํ อธิกรเณ สมฺมเนฺนยฺยา’’ติฯ

    Atha kho aññatarā suddhāvāsakāyikā devatā āyasmato sāḷhassa cetasā cetoparivitakkamaññāya – seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya, pasāritaṃ vā bāhaṃ sammiñjeyya, evameva suddhāvāsesu devesu antarahitā – āyasmato sāḷhassa sammukhe pāturahosi. Atha kho sā devatā āyasmantaṃ sāḷhaṃ etadavoca – ‘‘sādhu, bhante sāḷha, adhammavādī pācīnakā bhikkhū, dhammavādī pāveyyakā bhikkhū. Tena hi, bhante sāḷha, yathādhammo tathā tiṭṭhāhī’’ti. ‘‘Pubbepi cāhaṃ, devate, etarahi ca yathādhammo tathā ṭhito ; api cāhaṃ na tāva diṭṭhiṃ āvi karomi, appeva nāma maṃ imasmiṃ adhikaraṇe sammanneyyā’’ti.

    ๔๕๔. อถ โข เวสาลิกา วชฺชิปุตฺตกา ภิกฺขู ตํ สามณกํ ปริกฺขารํ อาทาย เยนายสฺมา เรวโต เตนุปสงฺกมิํสุ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ เรวตํ เอตทโวจุํ – ‘‘ปฎิคฺคณฺหาตุ, ภเนฺต, เถโร สามณกํ ปริกฺขารํ – ปตฺตมฺปิ, จีวรมฺปิ, นิสีทนมฺปิ, สูจิฆรมฺปิ, กายพนฺธนมฺปิ, ปริสฺสาวนมฺปิ, ธมฺมกรณมฺปี’’ติฯ ‘‘อลํ, อาวุโส, ปริปุณฺณํ เม ปตฺตจีวร’’นฺติ น อิจฺฉิ ปฎิคฺคเหตุํฯ

    454. Atha kho vesālikā vajjiputtakā bhikkhū taṃ sāmaṇakaṃ parikkhāraṃ ādāya yenāyasmā revato tenupasaṅkamiṃsu, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ revataṃ etadavocuṃ – ‘‘paṭiggaṇhātu, bhante, thero sāmaṇakaṃ parikkhāraṃ – pattampi, cīvarampi, nisīdanampi, sūcigharampi, kāyabandhanampi, parissāvanampi, dhammakaraṇampī’’ti. ‘‘Alaṃ, āvuso, paripuṇṇaṃ me pattacīvara’’nti na icchi paṭiggahetuṃ.

    เตน โข ปน สมเยน อุตฺตโร นาม ภิกฺขุ วีสติวโสฺส อายสฺมโต เรวตสฺส อุปฎฺฐาโก โหติฯ อถ โข เวสาลิกา วชฺชิปุตฺตกา ภิกฺขู เยนายสฺมา อุตฺตโร เตนุปสงฺกมิํสุ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อุตฺตรํ เอตทโวจุํ – ‘‘ปฎิคฺคณฺหาตุ อายสฺมา อุตฺตโร สามณกํ ปริกฺขารํ – ปตฺตมฺปิ, จีวรมฺปิ, นิสีทนมฺปิ, สูจิฆรมฺปิ, กายพนฺธนมฺปิ, ปริสฺสาวนมฺปิ, ธมฺมกรณมฺปี’’ติฯ ‘‘อลํ, อาวุโส, ปริปุณฺณํ เม ปตฺตจีวร’’นฺติ น อิจฺฉิ ปฎิคฺคเหตุํฯ ‘‘มนุสฺสา โข, อาวุโส อุตฺตร, ภควโต สามณกํ ปริกฺขารํ อุปนาเมนฺติฯ สเจ ภควา ปฎิคฺคณฺหาติ, เตเนว เต อตฺตมนา โหนฺติฯ โน เจ ภควา ปฎิคฺคณฺหาติ, อายสฺมโต 3 อานนฺทสฺส อุปนาเมนฺติ – ปฎิคฺคณฺหาตุ, ภเนฺต, เถโร สามณกํ ปริกฺขารํฯ ยถา ภควตา ปฎิคฺคหิโต, เอวเมว โส ภวิสฺสตีติฯ ปฎิคฺคณฺหาตุ อายสฺมา อุตฺตโร สามณกํ ปริกฺขารํฯ ยถา เถเรน ปฎิคฺคหิโต, เอวเมว โส ภวิสฺสตี’’ติฯ อถ โข อายสฺมา อุตฺตโร เวสาลิเกหิ วชฺชิปุเตฺตหิ ภิกฺขูหิ นิปฺปีฬิยมาโน เอกํ จีวรํ อคฺคเหสิฯ ‘‘วเทยฺยาถ, อาวุโส, เยน อโตฺถ’’ติฯ ‘‘เอตฺตกํ อายสฺมา อุตฺตโร เถรํ วเทตุ; เอตฺตกญฺจ, ภเนฺต, เถโร สงฺฆมเชฺฌ วเทตุ – ‘ปุรตฺถิเมสุ ชนปเทสุ พุทฺธา ภควโนฺต อุปฺปชฺชนฺติฯ ธมฺมวาที ปาจีนกา ภิกฺขู, อธมฺมวาที ปาเวยฺยกา ภิกฺขู’’’ติฯ ‘‘เอวมาวุโส’’ติ โข อายสฺมา อุตฺตโร เวสาลิกานํ วชฺชิปุตฺตกานํ ภิกฺขูนํ ปฎิสฺสุตฺวา เยนายสฺมา เรวโต เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ เรวตํ เอตทโวจ – ‘‘เอตฺตกํ, ภเนฺต, เถโร สงฺฆมเชฺฌ วเทตุ – ‘ปุรตฺถิเมสุ ชนปเทสุ พุทฺธา ภควโนฺต อุปฺปชฺชนฺติ ฯ ธมฺมวาที ปาจีนกา ภิกฺขู, อธมฺมวาที ปาเวยฺยกา ภิกฺขู’’’ติฯ ‘‘อธเมฺม มํ ตฺวํ, ภิกฺขุ, นิโยเชสี’’ติ เถโร อายสฺมนฺตํ อุตฺตรํ ปณาเมสิฯ

    Tena kho pana samayena uttaro nāma bhikkhu vīsativasso āyasmato revatassa upaṭṭhāko hoti. Atha kho vesālikā vajjiputtakā bhikkhū yenāyasmā uttaro tenupasaṅkamiṃsu, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ uttaraṃ etadavocuṃ – ‘‘paṭiggaṇhātu āyasmā uttaro sāmaṇakaṃ parikkhāraṃ – pattampi, cīvarampi, nisīdanampi, sūcigharampi, kāyabandhanampi, parissāvanampi, dhammakaraṇampī’’ti. ‘‘Alaṃ, āvuso, paripuṇṇaṃ me pattacīvara’’nti na icchi paṭiggahetuṃ. ‘‘Manussā kho, āvuso uttara, bhagavato sāmaṇakaṃ parikkhāraṃ upanāmenti. Sace bhagavā paṭiggaṇhāti, teneva te attamanā honti. No ce bhagavā paṭiggaṇhāti, āyasmato 4 ānandassa upanāmenti – paṭiggaṇhātu, bhante, thero sāmaṇakaṃ parikkhāraṃ. Yathā bhagavatā paṭiggahito, evameva so bhavissatīti. Paṭiggaṇhātu āyasmā uttaro sāmaṇakaṃ parikkhāraṃ. Yathā therena paṭiggahito, evameva so bhavissatī’’ti. Atha kho āyasmā uttaro vesālikehi vajjiputtehi bhikkhūhi nippīḷiyamāno ekaṃ cīvaraṃ aggahesi. ‘‘Vadeyyātha, āvuso, yena attho’’ti. ‘‘Ettakaṃ āyasmā uttaro theraṃ vadetu; ettakañca, bhante, thero saṅghamajjhe vadetu – ‘puratthimesu janapadesu buddhā bhagavanto uppajjanti. Dhammavādī pācīnakā bhikkhū, adhammavādī pāveyyakā bhikkhū’’’ti. ‘‘Evamāvuso’’ti kho āyasmā uttaro vesālikānaṃ vajjiputtakānaṃ bhikkhūnaṃ paṭissutvā yenāyasmā revato tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ revataṃ etadavoca – ‘‘ettakaṃ, bhante, thero saṅghamajjhe vadetu – ‘puratthimesu janapadesu buddhā bhagavanto uppajjanti . Dhammavādī pācīnakā bhikkhū, adhammavādī pāveyyakā bhikkhū’’’ti. ‘‘Adhamme maṃ tvaṃ, bhikkhu, niyojesī’’ti thero āyasmantaṃ uttaraṃ paṇāmesi.

    อถ โข เวสาลิกา วชฺชิปุตฺตกา ภิกฺขู อายสฺมนฺตํ อุตฺตรํ เอตทโวจุํ – ‘‘กิํ, อาวุโส อุตฺตร, เถโร อาหา’’ติ? ‘‘ปาปิกํ โน, อาวุโส, กตํฯ ‘อธเมฺม มํ ตฺวํ, ภิกฺขุ, นิโยเชสี’’’ติ เถโร มํ ปณาเมสีติฯ ‘‘นนุ ตฺวํ, อาวุโส 5, วุโฑฺฒ วีสติวโสฺสสี’’ติ? ‘‘อามาวุโส, อปิ จ มยํ ครุนิสฺสยํ คณฺหามา’’ติฯ

    Atha kho vesālikā vajjiputtakā bhikkhū āyasmantaṃ uttaraṃ etadavocuṃ – ‘‘kiṃ, āvuso uttara, thero āhā’’ti? ‘‘Pāpikaṃ no, āvuso, kataṃ. ‘Adhamme maṃ tvaṃ, bhikkhu, niyojesī’’’ti thero maṃ paṇāmesīti. ‘‘Nanu tvaṃ, āvuso 6, vuḍḍho vīsativassosī’’ti? ‘‘Āmāvuso, api ca mayaṃ garunissayaṃ gaṇhāmā’’ti.

    ๔๕๕. อถ โข สโงฺฆ ตํ อธิกรณํ วินิจฺฉินิตุกาโม สนฺนิปติฯ อถ โข อายสฺมา เรวโต สงฺฆํ ญาเปสิ –

    455. Atha kho saṅgho taṃ adhikaraṇaṃ vinicchinitukāmo sannipati. Atha kho āyasmā revato saṅghaṃ ñāpesi –

    ‘‘สุณาตุ เม, อาวุโส, สโงฺฆฯ สเจ มยํ อิมํ อธิกรณํ อิธ วูปสเมสฺสาม, สิยาปิ มูลาทายกา 7 ภิกฺขู ปุนกมฺมาย อุโกฺกเฎยฺยุํฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, ยเตฺถวิมํ อธิกรณํ สมุปฺปนฺนํ, สโงฺฆ ตเตฺถวิมํ อธิกรณํ วูปสเมยฺยา’’ติฯ

    ‘‘Suṇātu me, āvuso, saṅgho. Sace mayaṃ imaṃ adhikaraṇaṃ idha vūpasamessāma, siyāpi mūlādāyakā 8 bhikkhū punakammāya ukkoṭeyyuṃ. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, yatthevimaṃ adhikaraṇaṃ samuppannaṃ, saṅgho tatthevimaṃ adhikaraṇaṃ vūpasameyyā’’ti.

    อถ โข เถรา ภิกฺขู เวสาลิํ อคมํสุ – ตํ อธิกรณํ วินิจฺฉินิตุกามาฯ

    Atha kho therā bhikkhū vesāliṃ agamaṃsu – taṃ adhikaraṇaṃ vinicchinitukāmā.

    เตน โข ปน สมเยน สพฺพกามี นาม ปถพฺยา สงฺฆเตฺถโร วีสวสฺสสติโก อุปสมฺปทาย, อายสฺมโต อานนฺทสฺส สทฺธิวิหาริโก, เวสาลิยํ ปฎิวสติฯ อถ โข อายสฺมา เรวโต อายสฺมนฺตํ สมฺภูตํ สาณวาสิํ เอตทโวจ – ‘‘อหํ, อาวุโส, ยสฺมิํ วิหาเร สพฺพกามี เถโร วิหรติ, ตํ วิหารํ อุปคจฺฉามิฯ โส ตฺวํ กาลเสฺสว อายสฺมนฺตํ สพฺพกามิํ อุปสงฺกมิตฺวา อิมานิ ทส วตฺถูนิ ปุเจฺฉยฺยาสี’’ติฯ

    Tena kho pana samayena sabbakāmī nāma pathabyā saṅghatthero vīsavassasatiko upasampadāya, āyasmato ānandassa saddhivihāriko, vesāliyaṃ paṭivasati. Atha kho āyasmā revato āyasmantaṃ sambhūtaṃ sāṇavāsiṃ etadavoca – ‘‘ahaṃ, āvuso, yasmiṃ vihāre sabbakāmī thero viharati, taṃ vihāraṃ upagacchāmi. So tvaṃ kālasseva āyasmantaṃ sabbakāmiṃ upasaṅkamitvā imāni dasa vatthūni puccheyyāsī’’ti.

    ‘‘เอวํ ภเนฺต’’ติ โข อายสฺมา สมฺภูโต สาณวาสี อายสฺมโต เรวตสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข อายสฺมา เรวโต, ยสฺมิํ วิหาเร สพฺพกามี เถโร วิหรติ, ตํ วิหารํ อุปคจฺฉิฯ คเพฺภ อายสฺมโต สพฺพกามิสฺส เสนาสนํ ปญฺญตฺตํ โหติ, คพฺภปฺปมุเข อายสฺมโต เรวตสฺสฯ อถ โข อายสฺมา เรวโต – อยํ เถโร มหลฺลโก น นิปชฺชตีติ – น เสยฺยํ กเปฺปสิฯ อายสฺมา สพฺพกามี – อยํ ภิกฺขุ อาคนฺตุโก กิลโนฺต น นิปชฺชตีติ – น เสยฺยํ กเปฺปสิฯ อถ โข อายสฺมา สพฺพกามี รตฺติยา ปจฺจูสสมยํ ปจฺจุฎฺฐาย อายสฺมนฺตํ เรวตํ เอตทโวจ – ‘‘กตเมน ตฺวํ ภูมิ วิหาเรน เอตรหิ พหุลํ วิหรสี’’ติ? ‘‘เมตฺตาวิหาเรน โข อหํ , ภเนฺต, เอตรหิ พหุลํ วิหรามี’’ติฯ ‘‘กุลฺลกวิหาเรน กิร ตฺวํ ภูมิ เอตรหิ พหุลํ วิหรสิ ฯ กุลฺลกวิหาโร เอโส 9 ภูมิ ยทิทํ เมตฺตา’’ติฯ ‘‘ปุเพฺพปิ เม, ภเนฺต, คิหิภูตสฺส อาจิณฺณา เมตฺตาฯ เตนาหํ เอตรหิปิ เมตฺตาวิหาเรน พหุลํ วิหรามิ, อปิ จ โข มยา จิรปฺปตฺตํ อรหตฺต’’นฺติฯ ‘‘เถโร ปน, ภเนฺต, กตเมน วิหาเรน เอตรหิ พหุลํ วิหรตี’’ติ? ‘‘สุญฺญตาวิหาเรน โข อหํ ภูมิ เอตรหิ พหุลํ วิหรามี’’ติฯ ‘‘มหาปุริสวิหาเรน กิร, ภเนฺต, เถโร เอตรหิ พหุลํ วิหรติฯ มหาปุริสวิหาโร เอโส, ภเนฺต, ยทิทํ สุญฺญตา’’ติฯ ‘‘ปุเพฺพปิ เม ภูมิ คิหิภูตสฺส อาจิณฺณา สุญฺญตาฯ เตนาหํ เอตรหิปิ สุญฺญตาวิหาเรน พหุลํ วิหรามิ, อปิ จ มยา จิรปฺปตฺตํ อรหตฺต’’นฺติฯ อยญฺจรหิ เถรานํ ภิกฺขูนํ อนฺตรากถา วิปฺปกตา, อถายสฺมา สมฺภูโต สาณวาสี ตสฺมิํ อนุปฺปโตฺต โหติฯ อถ โข อายสฺมา สมฺภูโต สาณวาสี เยนายสฺมา สพฺพกามี เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ สพฺพกามิํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา สมฺภูโต สาณวาสี อายสฺมนฺตํ สพฺพกามิํ เอตทโวจ – ‘‘อิเม, ภเนฺต, เวสาลิกา วชฺชิปุตฺตกา ภิกฺขู เวสาลิยํ ทส วตฺถูนิ ทีเปนฺติ – กปฺปติ สิงฺคิโลณกโปฺป, กปฺปติ ทฺวงฺคุลกโปฺป, กปฺปติ คามนฺตรกโปฺป, กปฺปติ อาวาสกโปฺป, กปฺปติ อนุมติกโปฺป, กปฺปติ อาจิณฺณกโปฺป, กปฺปติ อมถิตกโปฺป, กปฺปติ ชโฬคิํ , ปาตุํ กปฺปติ อทสกํ นิสีทนํ, กปฺปติ ชาตรูปรชตนฺติฯ เถเรน, ภเนฺต, อุปชฺฌายสฺส มูเล พหุธโมฺม จ วินโย จ ปริยโตฺตฯ เถรสฺส ภเนฺต, ธมฺมญฺจ วินยญฺจ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส กถํ โหติ? เก นุ โข ธมฺมวาทิโน – ปาจีนกา วา ภิกฺขู, ปาเวยฺยกา วา’’ติ? ‘‘ตยาปิ โข, อาวุโส, อุปชฺฌายสฺส มูเล พหุ ธโมฺม จ วินโย จ ปริยโตฺตฯ ตุยฺหํ ปน, อาวุโส, ธมฺมญฺจ วินยญฺจ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส กถํ โหติ? เก นุ โข ธมฺมวาทิโน – ปาจีนกา วา ภิกฺขู, ปาเวยฺยกา วา’’ติ? ‘‘มยฺหํ โข, ภเนฺต, ธมฺมญฺจ วินยญฺจ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส เอวํ โหติ – อธมฺมวาที ปาจีนกา ภิกฺขู, ธมฺมวาที ปาเวยฺยกา ภิกฺขูติ; อปิ จาหํ น ตาว ทิฎฺฐิํ อาวิ กโรมิ, อเปฺปว นาม มํ อิมสฺมิํ อธิกรเณ สมฺมเนฺนยฺยา’’ติฯ ‘‘มยฺหมฺปิ โข, อาวุโส, ธมฺมญฺจ วินยญฺจ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส เอวํ โหติ – อธมฺมวาที ปาจีนกา ภิกฺขู, ธมฺมวาที ปาเวยฺยกา ภิกฺขูติ; อปิ จาหํ น ตาว ทิฎฺฐิํ อาวิ กโรมิ, อเปฺปว นาม มํ อิมสฺมิํ อธิกรเณ สมฺมเนฺนยฺยา’’ติฯ

    ‘‘Evaṃ bhante’’ti kho āyasmā sambhūto sāṇavāsī āyasmato revatassa paccassosi. Atha kho āyasmā revato, yasmiṃ vihāre sabbakāmī thero viharati, taṃ vihāraṃ upagacchi. Gabbhe āyasmato sabbakāmissa senāsanaṃ paññattaṃ hoti, gabbhappamukhe āyasmato revatassa. Atha kho āyasmā revato – ayaṃ thero mahallako na nipajjatīti – na seyyaṃ kappesi. Āyasmā sabbakāmī – ayaṃ bhikkhu āgantuko kilanto na nipajjatīti – na seyyaṃ kappesi. Atha kho āyasmā sabbakāmī rattiyā paccūsasamayaṃ paccuṭṭhāya āyasmantaṃ revataṃ etadavoca – ‘‘katamena tvaṃ bhūmi vihārena etarahi bahulaṃ viharasī’’ti? ‘‘Mettāvihārena kho ahaṃ , bhante, etarahi bahulaṃ viharāmī’’ti. ‘‘Kullakavihārena kira tvaṃ bhūmi etarahi bahulaṃ viharasi . Kullakavihāro eso 10 bhūmi yadidaṃ mettā’’ti. ‘‘Pubbepi me, bhante, gihibhūtassa āciṇṇā mettā. Tenāhaṃ etarahipi mettāvihārena bahulaṃ viharāmi, api ca kho mayā cirappattaṃ arahatta’’nti. ‘‘Thero pana, bhante, katamena vihārena etarahi bahulaṃ viharatī’’ti? ‘‘Suññatāvihārena kho ahaṃ bhūmi etarahi bahulaṃ viharāmī’’ti. ‘‘Mahāpurisavihārena kira, bhante, thero etarahi bahulaṃ viharati. Mahāpurisavihāro eso, bhante, yadidaṃ suññatā’’ti. ‘‘Pubbepi me bhūmi gihibhūtassa āciṇṇā suññatā. Tenāhaṃ etarahipi suññatāvihārena bahulaṃ viharāmi, api ca mayā cirappattaṃ arahatta’’nti. Ayañcarahi therānaṃ bhikkhūnaṃ antarākathā vippakatā, athāyasmā sambhūto sāṇavāsī tasmiṃ anuppatto hoti. Atha kho āyasmā sambhūto sāṇavāsī yenāyasmā sabbakāmī tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ sabbakāmiṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā sambhūto sāṇavāsī āyasmantaṃ sabbakāmiṃ etadavoca – ‘‘ime, bhante, vesālikā vajjiputtakā bhikkhū vesāliyaṃ dasa vatthūni dīpenti – kappati siṅgiloṇakappo, kappati dvaṅgulakappo, kappati gāmantarakappo, kappati āvāsakappo, kappati anumatikappo, kappati āciṇṇakappo, kappati amathitakappo, kappati jaḷogiṃ , pātuṃ kappati adasakaṃ nisīdanaṃ, kappati jātarūparajatanti. Therena, bhante, upajjhāyassa mūle bahudhammo ca vinayo ca pariyatto. Therassa bhante, dhammañca vinayañca paccavekkhantassa kathaṃ hoti? Ke nu kho dhammavādino – pācīnakā vā bhikkhū, pāveyyakā vā’’ti? ‘‘Tayāpi kho, āvuso, upajjhāyassa mūle bahu dhammo ca vinayo ca pariyatto. Tuyhaṃ pana, āvuso, dhammañca vinayañca paccavekkhantassa kathaṃ hoti? Ke nu kho dhammavādino – pācīnakā vā bhikkhū, pāveyyakā vā’’ti? ‘‘Mayhaṃ kho, bhante, dhammañca vinayañca paccavekkhantassa evaṃ hoti – adhammavādī pācīnakā bhikkhū, dhammavādī pāveyyakā bhikkhūti; api cāhaṃ na tāva diṭṭhiṃ āvi karomi, appeva nāma maṃ imasmiṃ adhikaraṇe sammanneyyā’’ti. ‘‘Mayhampi kho, āvuso, dhammañca vinayañca paccavekkhantassa evaṃ hoti – adhammavādī pācīnakā bhikkhū, dhammavādī pāveyyakā bhikkhūti; api cāhaṃ na tāva diṭṭhiṃ āvi karomi, appeva nāma maṃ imasmiṃ adhikaraṇe sammanneyyā’’ti.

    ๔๕๖. อถ โข สโงฺฆ ตํ อธิกรณํ วินิจฺฉินิตุกาโม สนฺนิปติฯ ตสฺมิํ โข ปน อธิกรเณ วินิจฺฉิยมาเน อนคฺคานิ เจว ภสฺสานิ ชายนฺติ, น เจกสฺส ภาสิตสฺส อโตฺถ วิญฺญายติฯ อถ โข อายสฺมา เรวโต สงฺฆํ ญาเปสิ –

    456. Atha kho saṅgho taṃ adhikaraṇaṃ vinicchinitukāmo sannipati. Tasmiṃ kho pana adhikaraṇe vinicchiyamāne anaggāni ceva bhassāni jāyanti, na cekassa bhāsitassa attho viññāyati. Atha kho āyasmā revato saṅghaṃ ñāpesi –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อมฺหากํ อิมสฺมิํ อธิกรเณ วินิจฺฉิยมาเน อนคฺคานิ เจว ภสฺสานิ ชายนฺติ, น เจกสฺส ภาสิตสฺส อโตฺถ วิญฺญายติฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิมํ อธิกรณํ อุพฺพาหิกาย วูปสเมยฺยา’’ติฯ สโงฺฆ จตฺตาโร ปาจีนเก ภิกฺขู, จตฺตาโร ปาเวยฺยเก ภิกฺขู อุจฺจินิฯ ปาจีนกานํ ภิกฺขูนํ – อายสฺมนฺตญฺจ สพฺพกามิํ, อายสฺมนฺตญฺจ สาฬฺหํ, อายสฺมนฺตญฺจ ขุชฺชโสภิตํ, อายสฺมนฺตญฺจ วาสภคามิกํ; ปาเวยฺยกานํ ภิกฺขูนํ – อายสฺมนฺตญฺจ เรวตํ, อายสฺมนฺตญฺจ สมฺภูตํ สาณวาสิํ, อายสฺมนฺตญฺจ ยสํ กากณฺฑกปุตฺตํ, อายสฺมนฺตญฺจ สุมนนฺติฯ อถ โข อายสฺมา เรวโต สงฺฆํ ญาเปสิ –

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Amhākaṃ imasmiṃ adhikaraṇe vinicchiyamāne anaggāni ceva bhassāni jāyanti, na cekassa bhāsitassa attho viññāyati. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho imaṃ adhikaraṇaṃ ubbāhikāya vūpasameyyā’’ti. Saṅgho cattāro pācīnake bhikkhū, cattāro pāveyyake bhikkhū uccini. Pācīnakānaṃ bhikkhūnaṃ – āyasmantañca sabbakāmiṃ, āyasmantañca sāḷhaṃ, āyasmantañca khujjasobhitaṃ, āyasmantañca vāsabhagāmikaṃ; pāveyyakānaṃ bhikkhūnaṃ – āyasmantañca revataṃ, āyasmantañca sambhūtaṃ sāṇavāsiṃ, āyasmantañca yasaṃ kākaṇḍakaputtaṃ, āyasmantañca sumananti. Atha kho āyasmā revato saṅghaṃ ñāpesi –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อมฺหากํ อิมสฺมิํ อธิกรเณ วินิจฺฉิยมาเน อนคฺคานิ เจว ภสฺสานิ ชายนฺติ, น เจกสฺส ภาสิตสฺส อโตฺถ วิญฺญายติฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ จตฺตาโร ปาจีนเก ภิกฺขู, จตฺตาโร ปาเวยฺยเก ภิกฺขู สมฺมเนฺนยฺย อุพฺพาหิกาย อิมํ อธิกรณํ วูปสเมตุํฯ เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Amhākaṃ imasmiṃ adhikaraṇe vinicchiyamāne anaggāni ceva bhassāni jāyanti, na cekassa bhāsitassa attho viññāyati. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho cattāro pācīnake bhikkhū, cattāro pāveyyake bhikkhū sammanneyya ubbāhikāya imaṃ adhikaraṇaṃ vūpasametuṃ. Esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อมฺหากํ อิมสฺมิํ อธิกรเณ วินิจฺฉิยมาเน อนคฺคานิ เจว ภสฺสานิ ชายนฺติ, น เจกสฺส ภาสิตสฺส อโตฺถ วิญฺญายติฯ สโงฺฆ จตฺตาโร ปาจีนเก ภิกฺขู, จตฺตาโร ปาเวยฺยเก ภิกฺขู สมฺมนฺนติ อุพฺพาหิกาย อิมํ อธิกรณํ วูปสเมตุํฯ ยสฺสายสฺมโต ขมติ จตุนฺนํ ปาจีนกานํ ภิกฺขูนํ, จตุนฺนํ ปาเวยฺยกานํ ภิกฺขูนํ สมฺมุติ, อุพฺพาหิกาย อิมํ อธิกรณํ วูปสเมตุํ , โส ตุณฺหสฺส; ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Amhākaṃ imasmiṃ adhikaraṇe vinicchiyamāne anaggāni ceva bhassāni jāyanti, na cekassa bhāsitassa attho viññāyati. Saṅgho cattāro pācīnake bhikkhū, cattāro pāveyyake bhikkhū sammannati ubbāhikāya imaṃ adhikaraṇaṃ vūpasametuṃ. Yassāyasmato khamati catunnaṃ pācīnakānaṃ bhikkhūnaṃ, catunnaṃ pāveyyakānaṃ bhikkhūnaṃ sammuti, ubbāhikāya imaṃ adhikaraṇaṃ vūpasametuṃ , so tuṇhassa; yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘สมฺมตา สเงฺฆน จตฺตาโร ปาจีนกา ภิกฺขู, จตฺตาโร ปาเวยฺยกา ภิกฺขู, อุพฺพาหิกาย อิมํ อธิกรณํ วูปสเมตุํฯ ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติฯ

    ‘‘Sammatā saṅghena cattāro pācīnakā bhikkhū, cattāro pāveyyakā bhikkhū, ubbāhikāya imaṃ adhikaraṇaṃ vūpasametuṃ. Khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti.

    เตน โข ปน สมเยน อชิโต นาม ภิกฺขุ ทสวโสฺส สงฺฆสฺส ปาติโมกฺขุเทฺทสโก โหติฯ อถ โข สโงฺฆ อายสฺมนฺตมฺปิ อชิตํ สมฺมนฺนติ – เถรานํ ภิกฺขูนํ อาสนปญฺญาปกํฯ อถ โข เถรานํ ภิกฺขูนํ เอตทโหสิ – ‘‘กตฺถ นุ โข มยํ อิมํ อธิกรณํ วูปสเมยฺยามา’’ติ? อถ โข เถรานํ ภิกฺขูนํ เอตทโหสิ – ‘‘อยํ โข วาลิการาโม รมณีโย อปฺปสโทฺท อปฺปนิโคฺฆโสฯ ยํนูน มยํ วาลิการาเม อิมํ อธิกรณํ วูปสเมยฺยามา’’ติฯ

    Tena kho pana samayena ajito nāma bhikkhu dasavasso saṅghassa pātimokkhuddesako hoti. Atha kho saṅgho āyasmantampi ajitaṃ sammannati – therānaṃ bhikkhūnaṃ āsanapaññāpakaṃ. Atha kho therānaṃ bhikkhūnaṃ etadahosi – ‘‘kattha nu kho mayaṃ imaṃ adhikaraṇaṃ vūpasameyyāmā’’ti? Atha kho therānaṃ bhikkhūnaṃ etadahosi – ‘‘ayaṃ kho vālikārāmo ramaṇīyo appasaddo appanigghoso. Yaṃnūna mayaṃ vālikārāme imaṃ adhikaraṇaṃ vūpasameyyāmā’’ti.

    ๔๕๗. อถ โข เถรา ภิกฺขู วาลิการามํ อคมํสุ – ตํ อธิกรณํ วินิจฺฉินิตุกามาฯ อถ โข อายสฺมา เรวโต สงฺฆํ ญาเปสิ –

    457. Atha kho therā bhikkhū vālikārāmaṃ agamaṃsu – taṃ adhikaraṇaṃ vinicchinitukāmā. Atha kho āyasmā revato saṅghaṃ ñāpesi –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ อายสฺมนฺตํ สพฺพกามิํ วินยํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ āyasmantaṃ sabbakāmiṃ vinayaṃ puccheyya’’nti.

    อายสฺมา สพฺพกามี สงฺฆํ ญาเปสิ –

    Āyasmā sabbakāmī saṅghaṃ ñāpesi –

    ‘‘สุณาตุ เม, อาวุโส, สโงฺฆฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ เรวเตน วินยํ ปุโฎฺฐ วิสฺสเชฺชยฺย’’นฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, āvuso, saṅgho. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, ahaṃ revatena vinayaṃ puṭṭho vissajjeyya’’nti.

    อถ โข อายสฺมา เรวโต อายสฺมนฺตํ สพฺพกามิํ เอตทโวจ – ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต, สิงฺคิโลณกโปฺป’’ติ? ‘‘โก โส, อาวุโส, สิงฺคิโลณกโปฺป’’ติ? ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต, สิงฺคินา โลณํ ปริหริตุํ – ยตฺถ อโลณกํ ภวิสฺสติ ตตฺถ ปริภุญฺชิสฺสามา’’ติ? ‘‘นาวุโส, กปฺปตี’’ติฯ 11 ‘‘กตฺถ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ? ‘‘สาวตฺถิยํ, สุตฺตวิภเงฺค’’ติฯ ‘‘กิํ อาปชฺชตี’’ติ? ‘‘สนฺนิธิการกโภชเน ปาจิตฺติย’’นฺติฯ

    Atha kho āyasmā revato āyasmantaṃ sabbakāmiṃ etadavoca – ‘‘kappati, bhante, siṅgiloṇakappo’’ti? ‘‘Ko so, āvuso, siṅgiloṇakappo’’ti? ‘‘Kappati, bhante, siṅginā loṇaṃ pariharituṃ – yattha aloṇakaṃ bhavissati tattha paribhuñjissāmā’’ti? ‘‘Nāvuso, kappatī’’ti. 12 ‘‘Kattha paṭikkhitta’’nti? ‘‘Sāvatthiyaṃ, suttavibhaṅge’’ti. ‘‘Kiṃ āpajjatī’’ti? ‘‘Sannidhikārakabhojane pācittiya’’nti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อิทํ ปฐมํ วตฺถุ สเงฺฆน วินิจฺฉิตํฯ อิติปิทํ วตฺถุ อุทฺธมฺมํ, อุพฺพินยํ, อปคตสตฺถุสาสนํฯ อิทํ ปฐมํ สลากํ นิกฺขิปามิ’’ฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Idaṃ paṭhamaṃ vatthu saṅghena vinicchitaṃ. Itipidaṃ vatthu uddhammaṃ, ubbinayaṃ, apagatasatthusāsanaṃ. Idaṃ paṭhamaṃ salākaṃ nikkhipāmi’’.

    ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต, ทฺวงฺคุลกโปฺป’’ติ? ‘‘โก โส, อาวุโส, ทฺวงฺคุลกโปฺป’’ติ? ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต, ทฺวงฺคุลาย ฉายาย วีติวตฺตาย วิกาเล โภชนํ ภุญฺชิตุ’’นฺติ ? ‘‘นาวุโส, กปฺปตี’’ติ 13ฯ ‘‘กตฺถ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ? ‘‘ราชคเห, สุตฺตวิภเงฺค’’ติฯ ‘‘กิํ อาปชฺชตี’’ติ? วิกาลโภชเน ปาจิตฺติย’’นฺติฯ

    ‘‘Kappati, bhante, dvaṅgulakappo’’ti? ‘‘Ko so, āvuso, dvaṅgulakappo’’ti? ‘‘Kappati, bhante, dvaṅgulāya chāyāya vītivattāya vikāle bhojanaṃ bhuñjitu’’nti ? ‘‘Nāvuso, kappatī’’ti 14. ‘‘Kattha paṭikkhitta’’nti? ‘‘Rājagahe, suttavibhaṅge’’ti. ‘‘Kiṃ āpajjatī’’ti? Vikālabhojane pācittiya’’nti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อิทํ ทุติยํ วตฺถุ สเงฺฆน วินิจฺฉิตํฯ อิติปิทํ วตฺถุ อุทฺธมฺมํ, อุพฺพินยํ, อปคตสตฺถุสาสนํฯ อิทํ ทุติยํ สลากํ นิกฺขิปามิ’’ฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Idaṃ dutiyaṃ vatthu saṅghena vinicchitaṃ. Itipidaṃ vatthu uddhammaṃ, ubbinayaṃ, apagatasatthusāsanaṃ. Idaṃ dutiyaṃ salākaṃ nikkhipāmi’’.

    ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต, คามนฺตรกโปฺป’’ติ? ‘‘โก โส, อาวุโส, คามนฺตรกโปฺป’’ติ? ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต – อิทานิ คามนฺตรํ คมิสฺสามีติ – ภุตฺตาวินา ปวาริเตน อนติริตฺตํ โภชนํ ภุญฺชิตุ’’นฺติ? ‘‘นาวุโส, กปฺปตี’’ติ 15ฯ ‘‘กตฺถ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ? ‘‘สาวตฺถิยํ, สุตฺตวิภเงฺค’’ติฯ ‘‘กิํ อาปชฺชตี’’ติ? ‘‘อนติริตฺตโภชเน ปาจิตฺติย’’นฺติฯ

    ‘‘Kappati, bhante, gāmantarakappo’’ti? ‘‘Ko so, āvuso, gāmantarakappo’’ti? ‘‘Kappati, bhante – idāni gāmantaraṃ gamissāmīti – bhuttāvinā pavāritena anatirittaṃ bhojanaṃ bhuñjitu’’nti? ‘‘Nāvuso, kappatī’’ti 16. ‘‘Kattha paṭikkhitta’’nti? ‘‘Sāvatthiyaṃ, suttavibhaṅge’’ti. ‘‘Kiṃ āpajjatī’’ti? ‘‘Anatirittabhojane pācittiya’’nti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อิทํ ตติยํ วตฺถุ สเงฺฆน วินิจฺฉิตํฯ อิติปิทํ วตฺถุ อุทฺธมฺมํ, อุพฺพินยํ, อปคตสตฺถุสาสนํฯ อิทํ ตติยํ สลากํ นิกฺขิปามิ’’ฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Idaṃ tatiyaṃ vatthu saṅghena vinicchitaṃ. Itipidaṃ vatthu uddhammaṃ, ubbinayaṃ, apagatasatthusāsanaṃ. Idaṃ tatiyaṃ salākaṃ nikkhipāmi’’.

    ‘‘กปฺปติ , ภเนฺต, อาวาสกโปฺป’’ติ? ‘‘โก โส, อาวุโส, อาวาสกโปฺป’’ติ? ‘‘กปฺปติ ภเนฺต, สมฺพหุลา อาวาสา สมานสีมา นานุโปสถํ กาตุ’’นฺติฯ ‘‘นาวุโส, กปฺปตี’’ติ 17ฯ ‘‘กตฺถ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ? ‘‘ราชคเห, อุโปสถสํยุเตฺต’’ติฯ ‘‘กิํ อาปชฺชตี’’ติ? ‘‘วินยาติสาเร ทุกฺกฎ’’นฺติฯ

    ‘‘Kappati , bhante, āvāsakappo’’ti? ‘‘Ko so, āvuso, āvāsakappo’’ti? ‘‘Kappati bhante, sambahulā āvāsā samānasīmā nānuposathaṃ kātu’’nti. ‘‘Nāvuso, kappatī’’ti 18. ‘‘Kattha paṭikkhitta’’nti? ‘‘Rājagahe, uposathasaṃyutte’’ti. ‘‘Kiṃ āpajjatī’’ti? ‘‘Vinayātisāre dukkaṭa’’nti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อิทํ จตุตฺถํ วตฺถุ สเงฺฆน วินิจฺฉิตํฯ อิติปิทํ วตฺถุ อุทฺธมฺมํ, อุพฺพินยํ, อปคตสตฺถุสาสนํฯ อิทํ จตุตฺถํ สลากํ นิกฺขิปามิ’’ฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Idaṃ catutthaṃ vatthu saṅghena vinicchitaṃ. Itipidaṃ vatthu uddhammaṃ, ubbinayaṃ, apagatasatthusāsanaṃ. Idaṃ catutthaṃ salākaṃ nikkhipāmi’’.

    ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต, อนุมติกโปฺป’’ติ? ‘‘โก โส, อาวุโส, อนุมติกโปฺป’’ติ? ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต, วเคฺคน สเงฺฆน กมฺมํ กาตุํ – อาคเต ภิกฺขู อนุมาเนสฺสามา’’ติ? ‘‘นาวุโส, กปฺปตี’’ติ 19ฯ ‘‘กตฺถ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ? ‘‘จเมฺปยฺยเก, วินยวตฺถุสฺมิ’’นฺติฯ ‘‘กิํ อาปชฺชตี’’ติ? ‘‘วินยาติสาเร ทุกฺกฎ’’นฺติฯ

    ‘‘Kappati, bhante, anumatikappo’’ti? ‘‘Ko so, āvuso, anumatikappo’’ti? ‘‘Kappati, bhante, vaggena saṅghena kammaṃ kātuṃ – āgate bhikkhū anumānessāmā’’ti? ‘‘Nāvuso, kappatī’’ti 20. ‘‘Kattha paṭikkhitta’’nti? ‘‘Campeyyake, vinayavatthusmi’’nti. ‘‘Kiṃ āpajjatī’’ti? ‘‘Vinayātisāre dukkaṭa’’nti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อิทํ ปญฺจมํ วตฺถุ สเงฺฆน วินิจฺฉิตํฯ อิติปิทํ วตฺถุ อุทฺธมฺมํ, อุพฺพินยํ, อปคตสตฺถุสาสนํฯ อิทํ ปญฺจมํ สลากํ นิกฺขิปามิ’’ฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Idaṃ pañcamaṃ vatthu saṅghena vinicchitaṃ. Itipidaṃ vatthu uddhammaṃ, ubbinayaṃ, apagatasatthusāsanaṃ. Idaṃ pañcamaṃ salākaṃ nikkhipāmi’’.

    ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต, อาจิณฺณกโปฺป’’ติ? ‘‘โก โส, อาวุโส, อาจิณฺณกโปฺป’’ติ? ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต – อิทํ เม อุปชฺฌาเยน อชฺฌาจิณฺณํ, อิทํ เม อาจริเยน อชฺฌาจิณฺณํ – ตํ อชฺฌาจริตุ’’นฺติ? ‘‘อาจิณฺณกโปฺป โข, อาวุโส, เอกโจฺจ กปฺปติ, เอกโจฺจ น กปฺปตี’’ติฯ

    ‘‘Kappati, bhante, āciṇṇakappo’’ti? ‘‘Ko so, āvuso, āciṇṇakappo’’ti? ‘‘Kappati, bhante – idaṃ me upajjhāyena ajjhāciṇṇaṃ, idaṃ me ācariyena ajjhāciṇṇaṃ – taṃ ajjhācaritu’’nti? ‘‘Āciṇṇakappo kho, āvuso, ekacco kappati, ekacco na kappatī’’ti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อิทํ ฉฎฺฐํ วตฺถุ สเงฺฆน วินิจฺฉิตํ ฯ อิติปิทํ วตฺถุ อุทฺธมฺมํ, อุพฺพินยํ, อปคตสตฺถุสาสนํฯ อิทํ ฉฎฺฐํ สลากํ นิกฺขิปามิ’’ฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Idaṃ chaṭṭhaṃ vatthu saṅghena vinicchitaṃ . Itipidaṃ vatthu uddhammaṃ, ubbinayaṃ, apagatasatthusāsanaṃ. Idaṃ chaṭṭhaṃ salākaṃ nikkhipāmi’’.

    ‘‘กปฺปติ , ภเนฺต, อมถิตกโปฺป’’ติ? ‘‘โก โส, อาวุโส, อมถิตกโปฺป’’ติ? ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต, ยํ ตํ ขีรํ ขีรภาวํ วิชหิตํ, อสมฺปตฺตํ ทธิภาวํ, ตํ ภุตฺตาวินา ปวาริเตน อนติริตฺตํ ปาตุ’’นฺติ? ‘‘นาวุโส, กปฺปตี’’ติ 21ฯ ‘‘กตฺถ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ? ‘‘สาวตฺถิยํ, สุตฺตวิภเงฺค’’ติฯ ‘‘กิํ อาปชฺชตี’’ติ? ‘‘อนติริตฺตโภชเน ปาจิตฺติย’’นฺติฯ

    ‘‘Kappati , bhante, amathitakappo’’ti? ‘‘Ko so, āvuso, amathitakappo’’ti? ‘‘Kappati, bhante, yaṃ taṃ khīraṃ khīrabhāvaṃ vijahitaṃ, asampattaṃ dadhibhāvaṃ, taṃ bhuttāvinā pavāritena anatirittaṃ pātu’’nti? ‘‘Nāvuso, kappatī’’ti 22. ‘‘Kattha paṭikkhitta’’nti? ‘‘Sāvatthiyaṃ, suttavibhaṅge’’ti. ‘‘Kiṃ āpajjatī’’ti? ‘‘Anatirittabhojane pācittiya’’nti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อิทํ สตฺตมํ วตฺถุ สเงฺฆน วินิจฺฉิตํฯ อิติปิทํ วตฺถุ อุทฺธมฺมํ, อุพฺพินยํ, อปคตสตฺถุสาสนํฯ อิทํ สตฺตมํ สลากํ นิกฺขิปามิ’’ฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Idaṃ sattamaṃ vatthu saṅghena vinicchitaṃ. Itipidaṃ vatthu uddhammaṃ, ubbinayaṃ, apagatasatthusāsanaṃ. Idaṃ sattamaṃ salākaṃ nikkhipāmi’’.

    ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต, ชโฬคิํ ปาตุ’’นฺติ? ‘‘กา สา, อาวุโส, ชโฬคี’’ติ? ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต, ยา สา สุรา อาสุตา อสมฺปตฺตา มชฺชภาวํ, สา ปาตุ’’นฺติ? ‘‘นาวุโส, กปฺปตี’’ติ 23ฯ ‘‘กตฺถ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ? ‘‘โกสมฺพิยํ, สุตฺตวิภเงฺค’’ติฯ ‘‘กิํ อาปชฺชตี’’ติฯ ‘‘สุราเมรยปาเน ปาจิตฺติย’’นฺติฯ

    ‘‘Kappati, bhante, jaḷogiṃ pātu’’nti? ‘‘Kā sā, āvuso, jaḷogī’’ti? ‘‘Kappati, bhante, yā sā surā āsutā asampattā majjabhāvaṃ, sā pātu’’nti? ‘‘Nāvuso, kappatī’’ti 24. ‘‘Kattha paṭikkhitta’’nti? ‘‘Kosambiyaṃ, suttavibhaṅge’’ti. ‘‘Kiṃ āpajjatī’’ti. ‘‘Surāmerayapāne pācittiya’’nti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อิทํ อฎฺฐมํ วตฺถุ สเงฺฆน วินิจฺฉิตํฯ อิติปิทํ วตฺถุ อุทฺธมฺมํ, อุพฺพินยํ, อปคตสตฺถุสาสนํฯ อิทํ อฎฺฐมํ สลากํ นิกฺขิปามิ’’ฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Idaṃ aṭṭhamaṃ vatthu saṅghena vinicchitaṃ. Itipidaṃ vatthu uddhammaṃ, ubbinayaṃ, apagatasatthusāsanaṃ. Idaṃ aṭṭhamaṃ salākaṃ nikkhipāmi’’.

    ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต, อทสกํ นิสีทน’’นฺติ? ‘‘นาวุโส, กปฺปตี’’ติ 25ฯ ‘‘กตฺถ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ? ‘‘สาวตฺถิยํ, สุตฺตวิภเงฺค’’ติฯ ‘‘กิํ อาปชฺชตี’’ติ? ‘‘เฉทนเก ปาจิตฺติย’’นฺติฯ

    ‘‘Kappati, bhante, adasakaṃ nisīdana’’nti? ‘‘Nāvuso, kappatī’’ti 26. ‘‘Kattha paṭikkhitta’’nti? ‘‘Sāvatthiyaṃ, suttavibhaṅge’’ti. ‘‘Kiṃ āpajjatī’’ti? ‘‘Chedanake pācittiya’’nti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อิทํ นวมํ วตฺถุ สเงฺฆน วินิจฺฉิตํฯ อิติปิทํ วตฺถุ อุทฺธมฺมํ, อุพฺพินยํ, อปคตสตฺถุสาสนํฯ อิทํ นวมํ สลากํ นิกฺขิปามิ’’ฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Idaṃ navamaṃ vatthu saṅghena vinicchitaṃ. Itipidaṃ vatthu uddhammaṃ, ubbinayaṃ, apagatasatthusāsanaṃ. Idaṃ navamaṃ salākaṃ nikkhipāmi’’.

    ‘‘กปฺปติ, ภเนฺต, ชาตรูปรชต’’นฺติ? ‘‘นาวุโส, กปฺปตี’’ติ 27ฯ ‘‘กตฺถ ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติฯ ‘‘ราชคเห, สุตฺตวิภเงฺค’’ติฯ ‘‘กิํ อาปชฺชตี’’ติ? ‘‘ชาตรูปรชตปฎิคฺคหเณ ปาจิตฺติย’’นฺติฯ

    ‘‘Kappati, bhante, jātarūparajata’’nti? ‘‘Nāvuso, kappatī’’ti 28. ‘‘Kattha paṭikkhitta’’nti. ‘‘Rājagahe, suttavibhaṅge’’ti. ‘‘Kiṃ āpajjatī’’ti? ‘‘Jātarūparajatapaṭiggahaṇe pācittiya’’nti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อิทํ ทสมํ วตฺถุ สเงฺฆน วินิจฺฉิตํฯ อิติปิทํ วตฺถุ อุทฺธมฺมํ, อุพฺพินยํ, อปคตสตฺถุสาสนํฯ อิทํ ทสมํ สลากํ นิกฺขิปามิฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Idaṃ dasamaṃ vatthu saṅghena vinicchitaṃ. Itipidaṃ vatthu uddhammaṃ, ubbinayaṃ, apagatasatthusāsanaṃ. Idaṃ dasamaṃ salākaṃ nikkhipāmi.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อิมานิ ทส วตฺถูนิ สเงฺฆน วินิจฺฉิตานิฯ อิติปิมานิ ทสวตฺถูนิ อุทฺธมฺมานิ, อุพฺพินยานิ, อปคตสตฺถุสาสนานี’’ติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Imāni dasa vatthūni saṅghena vinicchitāni. Itipimāni dasavatthūni uddhammāni, ubbinayāni, apagatasatthusāsanānī’’ti.

    ๔๕๘. ‘‘นิหตเมตํ, อาวุโส, อธิกรณํ, สนฺตํ วูปสนฺตํ สุวูปสนฺตํฯ อปิ จ มํ ตฺวํ, อาวุโส, สงฺฆมเชฺฌปิ อิมานิ ทส วตฺถูนิ ปุเจฺฉยฺยาสิ – เตสํ ภิกฺขูนํ สญฺญตฺติยา’’ติฯ อถ โข อายสฺมา เรวโต อายสฺมนฺตํ สพฺพกามิํ สงฺฆมเชฺฌปิ อิมานิ ทส วตฺถูนิ ปุจฺฉิฯ ปุโฎฺฐ ปุโฎฺฐ อายสฺมา สพฺพกามี วิสฺสเชฺชสิฯ อิมาย โข ปน วินยสงฺคีติยา สตฺต ภิกฺขุสตานิ อนูนานิ อนธิกานิ อเหสุํ, ตสฺมายํ วินยสงฺคีติ ‘‘สตฺตสติกา’’ติ วุจฺจตีติฯ

    458. ‘‘Nihatametaṃ, āvuso, adhikaraṇaṃ, santaṃ vūpasantaṃ suvūpasantaṃ. Api ca maṃ tvaṃ, āvuso, saṅghamajjhepi imāni dasa vatthūni puccheyyāsi – tesaṃ bhikkhūnaṃ saññattiyā’’ti. Atha kho āyasmā revato āyasmantaṃ sabbakāmiṃ saṅghamajjhepi imāni dasa vatthūni pucchi. Puṭṭho puṭṭho āyasmā sabbakāmī vissajjesi. Imāya kho pana vinayasaṅgītiyā satta bhikkhusatāni anūnāni anadhikāni ahesuṃ, tasmāyaṃ vinayasaṅgīti ‘‘sattasatikā’’ti vuccatīti.

    ทุติยภาณวาโร นิฎฺฐิโตฯ

    Dutiyabhāṇavāro niṭṭhito.

    สตฺตสติกกฺขนฺธโก ทฺวาทสโมฯ

    Sattasatikakkhandhako dvādasamo.

    อิมมฺหิ ขนฺธเก วตฺถู ปญฺจวีสติฯ

    Imamhi khandhake vatthū pañcavīsati.

    ตสฺสุทฺทานํ –

    Tassuddānaṃ –

    ทส วตฺถูนิ ปูเรตฺวา, กมฺมํ ทูเตน ปาวิสิ;

    Dasa vatthūni pūretvā, kammaṃ dūtena pāvisi;

    จตฺตาโร ปุน รูปญฺจ, โกสมฺพิ จ ปาเวยฺยโกฯ

    Cattāro puna rūpañca, kosambi ca pāveyyako.

    มโคฺค โสเรยฺยํ สงฺกสฺสํ, กณฺณกุชฺชํ อุทุมฺพรํ;

    Maggo soreyyaṃ saṅkassaṃ, kaṇṇakujjaṃ udumbaraṃ;

    สหชาติ จ มเชฺฌสิ, อโสฺสสิ กํ นุ โข มยํฯ

    Sahajāti ca majjhesi, assosi kaṃ nu kho mayaṃ.

    ปตฺตนาวาย อุชฺชวิ, รโหสิ อุปนามยํ 29;

    Pattanāvāya ujjavi, rahosi upanāmayaṃ 30;

    ครุ 31 สโงฺฆ จ เวสาลิํ, เมตฺตา สโงฺฆ อุพฺพาหิกาติฯ

    Garu 32 saṅgho ca vesāliṃ, mettā saṅgho ubbāhikāti.

    สตฺตสติกกฺขนฺธโก นิฎฺฐิโตฯ

    Sattasatikakkhandhako niṭṭhito.

    จูฬวโคฺค 33 นิฎฺฐิโตฯ

    Cūḷavaggo 34 niṭṭhito.

    จูฬวคฺคปาฬิ นิฎฺฐิตาฯ

    Cūḷavaggapāḷi niṭṭhitā.




    Footnotes:
    1. ปาเฐยฺยกา (สฺยา.)
    2. pāṭheyyakā (syā.)
    3. อายสฺมโต จ (สฺยา.)
    4. āyasmato ca (syā.)
    5. อาวุโส อุตฺตร (สฺยา. กํ.)
    6. āvuso uttara (syā. kaṃ.)
    7. มูลทายกา (สี.)
    8. mūladāyakā (sī.)
    9. เหโส (สฺยา.)
    10. heso (syā.)
    11. ปาจิ. ๒๕๔ อาทโย
    12. pāci. 254 ādayo
    13. ปาจิ. ๒๔๕
    14. pāci. 245
    15. ปาจิ. ๒๓๔
    16. pāci. 234
    17. มหาว. ๑๔๑ อาทโย
    18. mahāva. 141 ādayo
    19. มหาว. ๓๘๓ อาทโย
    20. mahāva. 383 ādayo
    21. ปาจิ. ๒๓๔
    22. pāci. 234
    23. ปาจิ. ๓๒๖
    24. pāci. 326
    25. ปาจิ. ๕๓๑ อาทโย
    26. pāci. 531 ādayo
    27. ปารา. ๕๘๐ อาทโย
    28. pārā. 580 ādayo
    29. ทูรโตปิ อุทปาทิ (ก.)
    30. dūratopi udapādi (ka.)
    31. ทารุณํ (สฺยา.)
    32. dāruṇaṃ (syā.)
    33. จุลฺลวโคฺค (สี.)
    34. cullavaggo (sī.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / จูฬวคฺค-อฎฺฐกถา • Cūḷavagga-aṭṭhakathā / ทสวตฺถุกถา • Dasavatthukathā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ทสวตฺถุกถาวณฺณนา • Dasavatthukathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ทสวตฺถุกถาวณฺณนา • Dasavatthukathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ทสวตฺถุกถาวณฺณนา • Dasavatthukathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ทสวตฺถุกถา • Dasavatthukathā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact