Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā |
๙. ทุติยทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา
9. Dutiyaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā
๓๙๑. เตน สมเยน พุโทฺธ ภควาติ ทุติยทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทํฯ ตตฺถ หนฺท มยํ อาวุโส อิมํ ฉคลกํ ทพฺพํ มลฺลปุตฺตํ นาม กโรมาติ เต กิร ปฐมวตฺถุสฺมิํ อตฺตโน มโนรถํ สมฺปาเทตุํ อสโกฺกนฺตา ลทฺธนิคฺคหา วิฆาตปฺปตฺตา ‘‘อิทานิ ชานิสฺสามา’’ติ ตาทิสํ วตฺถุํ ปริเยสมานา วิจรนฺติฯ อเถกทิวสํ ทิสฺวา ตุฎฺฐา อญฺญมญฺญํ โอโลเกตฺวา เอวมาหํสุ – ‘‘หนฺท มยํ, อาวุโส, อิมํ ฉคลกํ ทพฺพํ มลฺลปุตฺตํ นาม กโรมา’’ติ, ‘‘ทโพฺพ มลฺลปุโตฺต นามาย’’นฺติ เอวมสฺส นามํ กโรมาติ วุตฺตํ โหติฯ เอส นโย เมตฺติยํ นาม ภิกฺขุนินฺติ เอตฺถาปิฯ
391.Tena samayena buddho bhagavāti dutiyaduṭṭhadosasikkhāpadaṃ. Tattha handa mayaṃ āvuso imaṃ chagalakaṃ dabbaṃ mallaputtaṃ nāma karomāti te kira paṭhamavatthusmiṃ attano manorathaṃ sampādetuṃ asakkontā laddhaniggahā vighātappattā ‘‘idāni jānissāmā’’ti tādisaṃ vatthuṃ pariyesamānā vicaranti. Athekadivasaṃ disvā tuṭṭhā aññamaññaṃ oloketvā evamāhaṃsu – ‘‘handa mayaṃ, āvuso, imaṃ chagalakaṃ dabbaṃ mallaputtaṃ nāma karomā’’ti, ‘‘dabbo mallaputto nāmāya’’nti evamassa nāmaṃ karomāti vuttaṃ hoti. Esa nayo mettiyaṃ nāma bhikkhuninti etthāpi.
เต ภิกฺขู เมตฺติยภุมชเก ภิกฺขู อนุยุญฺชิํสูติ เอวํ อนุยุญฺชิํสุ –‘‘อาวุโส, กุหิํ ตุเมฺหหิ ทโพฺพ มลฺลปุโตฺต เมตฺติยาย ภิกฺขุนิยา สทฺธิํ ทิโฎฺฐ’’ติ? ‘‘คิชฺฌกูฎปพฺพตปาเท’’ติฯ ‘‘กาย เวลาย’’ติ? ‘‘ภิกฺขาจารคมนเวลายา’’ติฯ อาวุโส ทพฺพ อิเม เอวํ วทนฺติ – ‘‘ตฺวํ ตทา กุหิ’’นฺติ? ‘‘เวฬุวเน ภตฺตานิ อุทฺทิสามี’’ติฯ ‘‘ตว ตาย เวลาย เวฬุวเน อตฺถิภาวํ โก ชานาตี’’ติ? ‘‘ภิกฺขุสโงฺฆ, ภเนฺต’’ติฯ เต สงฺฆํ ปุจฺฉิํสุ – ‘‘ชานาถ ตุเมฺห ตาย เวลาย อิมสฺส เวฬุวเน อตฺถิภาว’’นฺติฯ ‘‘อาม, อาวุโส, ชานาม, เถโร สมฺมุติลทฺธทิวสโต ปฎฺฐาย เวฬุวเนเยวา’’ติฯ ตโต เมตฺติยภุมชเก อาหํสุ – ‘‘อาวุโส, ตุมฺหากํ กถา น สเมติ, กจฺจิ โน เลสํ โอเฑฺฑตฺวา วทถา’’ติฯ เอวํ เต เตหิ ภิกฺขูหิ อนุยุญฺชิยมานา อาม อาวุโสติ วตฺวา เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ
Te bhikkhū mettiyabhumajake bhikkhū anuyuñjiṃsūti evaṃ anuyuñjiṃsu –‘‘āvuso, kuhiṃ tumhehi dabbo mallaputto mettiyāya bhikkhuniyā saddhiṃ diṭṭho’’ti? ‘‘Gijjhakūṭapabbatapāde’’ti. ‘‘Kāya velāya’’ti? ‘‘Bhikkhācāragamanavelāyā’’ti. Āvuso dabba ime evaṃ vadanti – ‘‘tvaṃ tadā kuhi’’nti? ‘‘Veḷuvane bhattāni uddisāmī’’ti. ‘‘Tava tāya velāya veḷuvane atthibhāvaṃ ko jānātī’’ti? ‘‘Bhikkhusaṅgho, bhante’’ti. Te saṅghaṃ pucchiṃsu – ‘‘jānātha tumhe tāya velāya imassa veḷuvane atthibhāva’’nti. ‘‘Āma, āvuso, jānāma, thero sammutiladdhadivasato paṭṭhāya veḷuvaneyevā’’ti. Tato mettiyabhumajake āhaṃsu – ‘‘āvuso, tumhākaṃ kathā na sameti, kacci no lesaṃ oḍḍetvā vadathā’’ti. Evaṃ te tehi bhikkhūhi anuyuñjiyamānā āma āvusoti vatvā etamatthaṃ ārocesuṃ.
กิํ ปน ตุเมฺห, อาวุโส, อายสฺมนฺตํ ทพฺพํ มลฺลปุตฺตํ อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺสาติ เอตฺถ อญฺญภาคสฺส อิทํ, อญฺญภาโค วา อสฺส อตฺถีติ อญฺญภาคิยํฯ อธิกรณนฺติ อาธาโร เวทิตโพฺพ, วตฺถุ อธิฎฺฐานนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โย หิ โส ‘‘ทโพฺพ มลฺลปุโตฺต นามา’’ติ ฉคลโก วุโตฺต, โส ยฺวายํ อายสฺมโต ทพฺพสฺส มลฺลปุตฺตสฺส ภาโค โกฎฺฐาโส ปโกฺข มนุสฺสชาติ เจว ภิกฺขุภาโว จ ตโต อญฺญสฺส ภาคสฺส โกฎฺฐาสสฺส ปกฺขสฺส โหติ ติรจฺฉานชาติยา เจว ฉคลกภาวสฺส จ โส วา อญฺญภาโค อสฺส อตฺถีติ ตสฺมา อญฺญภาคิยสงฺขฺยํ ลภติฯ ยสฺมา จ เตสํ ‘‘อิมํ มยํ ทพฺพํ มลฺลปุตฺตํ นาม กโรมา’’ติ วทนฺตานํ ตสฺสา นามกรณสญฺญาย อาธาโร วตฺถุ อธิฎฺฐานํ, ตสฺมา อธิกรณนฺติ เวทิตโพฺพฯ ตญฺหิ สนฺธาย ‘‘เต ภิกฺขู อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺสา’’ติ อาหํสุ, น วิวาทาธิกรณาทีสุ อญฺญตรํฯ กสฺมา? อสมฺภวโตฯ น หิ เต จตุนฺนํ อธิกรณานํ กสฺสจิ อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺส กญฺจิเทสํ เลสมตฺตํ อุปาทิยิํสุฯ น จ จตุนฺนํ อธิกรณานํ เลโส นาม อตฺถิฯ ชาติเลสาทโย หิ ปุคฺคลานํเยว เลสา วุตฺตา, น วิวาทาธิกรณาทีนํฯ อิทญฺจ ‘‘ทโพฺพ มลฺลปุโตฺต’’ติ นามํ ตสฺส อญฺญภาคิยาธิกรณภาเว ฐิตสฺส ฉคลกสฺส โกจิ เทโส โหติ เถรํ อมูลเกน ปาราชิเกน อนุทฺธํเสตุํ เลสมโตฺตฯ
Kiṃpana tumhe, āvuso, āyasmantaṃ dabbaṃ mallaputtaṃ aññabhāgiyassa adhikaraṇassāti ettha aññabhāgassa idaṃ, aññabhāgo vā assa atthīti aññabhāgiyaṃ. Adhikaraṇanti ādhāro veditabbo, vatthu adhiṭṭhānanti vuttaṃ hoti. Yo hi so ‘‘dabbo mallaputto nāmā’’ti chagalako vutto, so yvāyaṃ āyasmato dabbassa mallaputtassa bhāgo koṭṭhāso pakkho manussajāti ceva bhikkhubhāvo ca tato aññassa bhāgassa koṭṭhāsassa pakkhassa hoti tiracchānajātiyā ceva chagalakabhāvassa ca so vā aññabhāgo assa atthīti tasmā aññabhāgiyasaṅkhyaṃ labhati. Yasmā ca tesaṃ ‘‘imaṃ mayaṃ dabbaṃ mallaputtaṃ nāma karomā’’ti vadantānaṃ tassā nāmakaraṇasaññāya ādhāro vatthu adhiṭṭhānaṃ, tasmā adhikaraṇanti veditabbo. Tañhi sandhāya ‘‘te bhikkhū aññabhāgiyassa adhikaraṇassā’’ti āhaṃsu, na vivādādhikaraṇādīsu aññataraṃ. Kasmā? Asambhavato. Na hi te catunnaṃ adhikaraṇānaṃ kassaci aññabhāgiyassa adhikaraṇassa kañcidesaṃ lesamattaṃ upādiyiṃsu. Na ca catunnaṃ adhikaraṇānaṃ leso nāma atthi. Jātilesādayo hi puggalānaṃyeva lesā vuttā, na vivādādhikaraṇādīnaṃ. Idañca ‘‘dabbo mallaputto’’ti nāmaṃ tassa aññabhāgiyādhikaraṇabhāve ṭhitassa chagalakassa koci deso hoti theraṃ amūlakena pārājikena anuddhaṃsetuṃ lesamatto.
เอตฺถ จ ทิสฺสติ อปทิสฺสติ อสฺส อยนฺติ โวหรียตีติ เทโสฯ ชาติอาทีสุ อญฺญตรโกฎฺฐาสเสฺสตํ อธิวจนํฯ อญฺญมฺปิ วตฺถุํ ลิสฺสติ สิลิสฺสติ โวหารมเตฺตเนว อีสกํ อลฺลียตีติ เลโสฯ ชาติอาทีนํเยว อญฺญตรโกฎฺฐาสเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตโต ปรํ อุตฺตานตฺถเมวฯ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยมฺปิ อยเมวโตฺถฯ ปทภาชเน ปน ยสฺส อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺส กิญฺจิเทสํ เลสมตฺตํ อุปาทาย ปาราชิเกน ธเมฺมน อนุทฺธํเสยฺย , ตํ ยสฺมา อฎฺฐุปฺปตฺติวเสเนว อาวิภูตํ, ตสฺมา น วิภตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Ettha ca dissati apadissati assa ayanti voharīyatīti deso. Jātiādīsu aññatarakoṭṭhāsassetaṃ adhivacanaṃ. Aññampi vatthuṃ lissati silissati vohāramatteneva īsakaṃ allīyatīti leso. Jātiādīnaṃyeva aññatarakoṭṭhāsassetaṃ adhivacanaṃ. Tato paraṃ uttānatthameva. Sikkhāpadapaññattiyampi ayamevattho. Padabhājane pana yassa aññabhāgiyassa adhikaraṇassa kiñcidesaṃ lesamattaṃ upādāya pārājikena dhammena anuddhaṃseyya , taṃ yasmā aṭṭhuppattivaseneva āvibhūtaṃ, tasmā na vibhattanti veditabbaṃ.
๓๙๓. ยานิ ปน อธิกรณนฺติ วจนสามญฺญโต อตฺถุทฺธารวเสน ปวตฺตานิ จตฺตาริ อธิกรณานิ, เตสํ อญฺญภาคิยตา จ ตพฺภาคิยตา จ ยสฺมา อปากฎา ชานิตพฺพา จ วินยธเรหิ, ตสฺมา วจนสามญฺญโต ลทฺธํ อธิกรณํ นิสฺสาย ตํ อาวิกโรโนฺต ‘‘อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺสาติ อาปตฺตญฺญภาคิยํ วา โหติ อธิกรณญฺญภาคิยํ วา’’ติอาทิมาหฯ ยา จ สา อวสาเน อาปตฺตญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺส วเสน โจทนา วุตฺตา, ตมฺปิ ทเสฺสตุํ อยํ สพฺพาธิกรณานํ ตพฺภาคิยอญฺญภาคิยตา สมาหฎาติ เวทิตพฺพาฯ
393. Yāni pana adhikaraṇanti vacanasāmaññato atthuddhāravasena pavattāni cattāri adhikaraṇāni, tesaṃ aññabhāgiyatā ca tabbhāgiyatā ca yasmā apākaṭā jānitabbā ca vinayadharehi, tasmā vacanasāmaññato laddhaṃ adhikaraṇaṃ nissāya taṃ āvikaronto ‘‘aññabhāgiyassa adhikaraṇassāti āpattaññabhāgiyaṃ vā hoti adhikaraṇaññabhāgiyaṃ vā’’tiādimāha. Yā ca sā avasāne āpattaññabhāgiyassa adhikaraṇassa vasena codanā vuttā, tampi dassetuṃ ayaṃ sabbādhikaraṇānaṃ tabbhāgiyaaññabhāgiyatā samāhaṭāti veditabbā.
ตตฺถ จ อาปตฺตญฺญภาคิยํ วาติ ปฐมํ อุทฺทิฎฺฐตฺตา ‘‘กถญฺจ อาปตฺติ อาปตฺติยา อญฺญภาคิยา โหตี’’ติ นิเทฺทเส อารภิตเพฺพ ยสฺมา อาปตฺตาธิกรณสฺส ตพฺภาคิยวิจารณายํเยว อยมโตฺถ อาคมิสฺสติ, ตสฺมา เอวํ อนารภิตฺวา ‘‘กถญฺจ อธิกรณํ อธิกรณสฺส อญฺญภาคิย’’นฺติ ปจฺฉิมปทํเยว คเหตฺวา นิเทฺทโส อารโทฺธติ เวทิตโพฺพฯ
Tattha ca āpattaññabhāgiyaṃ vāti paṭhamaṃ uddiṭṭhattā ‘‘kathañca āpatti āpattiyā aññabhāgiyā hotī’’ti niddese ārabhitabbe yasmā āpattādhikaraṇassa tabbhāgiyavicāraṇāyaṃyeva ayamattho āgamissati, tasmā evaṃ anārabhitvā ‘‘kathañca adhikaraṇaṃ adhikaraṇassa aññabhāgiya’’nti pacchimapadaṃyeva gahetvā niddeso āraddhoti veditabbo.
ตตฺถ อญฺญภาคิยวาโร อุตฺตานโตฺถเยวฯ เอกเมกญฺหิ อธิกรณํ อิตเรสํ ติณฺณํ ติณฺณํ อญฺญภาคิยํ อญฺญปกฺขิยํ อญฺญโกฎฺฐาสิยํ โหติ, วตฺถุวิสภาคตฺตา, ตพฺภาคิยวาเร ปน วิวาทาธิกรณํ วิวาทาธิกรณสฺส ตพฺภาคิยํ ตปฺปกฺขิยํ ตํโกฎฺฐาสิยํ วตฺถุสภาคตฺตา, ตถา อนุวาทาธิกรณํ อนุวาทาธิกรณสฺสฯ กถํ? พุทฺธกาลโต ปฎฺฐาย หิ อฎฺฐารส เภทกรวตฺถูนิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนวิวาโท จ อิทานิ อุปฺปชฺชนกวิวาโท จ วตฺถุสภาคตาย เอกํ วิวาทาธิกรณเมว โหติ, ตถา พุทฺธกาลโต ปฎฺฐาย จตโสฺส วิปตฺติโย นิสฺสาย อุปฺปนฺนอนุวาโท จ อิทานิ อุปฺปชฺชนกอนุวาโท จ วตฺถุสภาคตาย เอกํ อนุวาทาธิกรณเมว โหติฯ ยสฺมา ปน อาปตฺตาธิกรณํ อาปตฺตาธิกรณสฺส สภาควิสภาควตฺถุโต สภาคสริกฺขาสริกฺขโต จ เอกํเสน ตพฺภาคิยํ น โหติ, ตสฺมา อาปตฺตาธิกรณํ อาปตฺตาธิกรณสฺส สิยา ตพฺภาคิยํ สิยา อญฺญภาคิยนฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ อาทิโต ปฎฺฐาย อญฺญภาคิยสฺส ปฐมํ นิทฺทิฎฺฐตฺตา อิธาปิ อญฺญภาคิยเมว ปฐมํ นิทฺทิฎฺฐํ, ตตฺถ อญฺญภาคิยตฺตญฺจ ปรโต ตพฺภาคิยตฺตญฺจ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
Tattha aññabhāgiyavāro uttānatthoyeva. Ekamekañhi adhikaraṇaṃ itaresaṃ tiṇṇaṃ tiṇṇaṃ aññabhāgiyaṃ aññapakkhiyaṃ aññakoṭṭhāsiyaṃ hoti, vatthuvisabhāgattā, tabbhāgiyavāre pana vivādādhikaraṇaṃ vivādādhikaraṇassa tabbhāgiyaṃ tappakkhiyaṃ taṃkoṭṭhāsiyaṃ vatthusabhāgattā, tathā anuvādādhikaraṇaṃ anuvādādhikaraṇassa. Kathaṃ? Buddhakālato paṭṭhāya hi aṭṭhārasa bhedakaravatthūni nissāya uppannavivādo ca idāni uppajjanakavivādo ca vatthusabhāgatāya ekaṃ vivādādhikaraṇameva hoti, tathā buddhakālato paṭṭhāya catasso vipattiyo nissāya uppannaanuvādo ca idāni uppajjanakaanuvādo ca vatthusabhāgatāya ekaṃ anuvādādhikaraṇameva hoti. Yasmā pana āpattādhikaraṇaṃ āpattādhikaraṇassa sabhāgavisabhāgavatthuto sabhāgasarikkhāsarikkhato ca ekaṃsena tabbhāgiyaṃ na hoti, tasmā āpattādhikaraṇaṃ āpattādhikaraṇassa siyā tabbhāgiyaṃ siyā aññabhāgiyanti vuttaṃ. Tattha ādito paṭṭhāya aññabhāgiyassa paṭhamaṃ niddiṭṭhattā idhāpi aññabhāgiyameva paṭhamaṃ niddiṭṭhaṃ, tattha aññabhāgiyattañca parato tabbhāgiyattañca vuttanayeneva veditabbaṃ.
กิจฺจาธิกรณํ กิจฺจาธิกรณสฺส ตพฺภาคิยนฺติ เอตฺถ ปน พุทฺธกาลโต ปฎฺฐาย จตฺตาริ สงฺฆกมฺมานิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนํ อธิกรณญฺจ อิทานิ จตฺตาริ สงฺฆกมฺมานิ นิสฺสาย อุปฺปชฺชนกํ อธิกรณญฺจ สภาคตาย สริกฺขตาย จ เอกํ กิจฺจาธิกรณเมว โหติฯ กิํ ปน สงฺฆกมฺมานิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนํ อธิกรณํ กิจฺจาธิกรณํ, อุทาหุ สงฺฆกมฺมานเมเวตํ อธิวจนนฺติ? สงฺฆกมฺมานเมเวตํ อธิวจนํฯ เอวํ สเนฺตปิ สงฺฆกมฺมํ นาม ‘‘อิทญฺจิทญฺจ เอวํ กตฺตพฺพ’’นฺติ ยํ กมฺมลกฺขณํ มนสิกโรติ ตํ นิสฺสาย อุปฺปชฺชนโต ปุริมํ ปุริมํ สงฺฆกมฺมํ นิสฺสาย อุปฺปชฺชนโต จ สงฺฆกมฺมานิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนํ อธิกรณํ กิจฺจาธิกรณนฺติ วุตฺตํฯ
Kiccādhikaraṇaṃkiccādhikaraṇassa tabbhāgiyanti ettha pana buddhakālato paṭṭhāya cattāri saṅghakammāni nissāya uppannaṃ adhikaraṇañca idāni cattāri saṅghakammāni nissāya uppajjanakaṃ adhikaraṇañca sabhāgatāya sarikkhatāya ca ekaṃ kiccādhikaraṇameva hoti. Kiṃ pana saṅghakammāni nissāya uppannaṃ adhikaraṇaṃ kiccādhikaraṇaṃ, udāhu saṅghakammānamevetaṃ adhivacananti? Saṅghakammānamevetaṃ adhivacanaṃ. Evaṃ santepi saṅghakammaṃ nāma ‘‘idañcidañca evaṃ kattabba’’nti yaṃ kammalakkhaṇaṃ manasikaroti taṃ nissāya uppajjanato purimaṃ purimaṃ saṅghakammaṃ nissāya uppajjanato ca saṅghakammāni nissāya uppannaṃ adhikaraṇaṃ kiccādhikaraṇanti vuttaṃ.
๓๙๔. กิญฺจิ เทสํ เลสมตฺตํ อุปาทายาติ เอตฺถ ปน ยสฺมา เทโสติ วา เลสมโตฺตติ วา ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว พฺยญฺชนโต นานํ อตฺถโต เอกํ, ตสฺมา ‘‘เลโส นาม ทส เลสา ชาติเลโส นามเลโส’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ชาติเยว ชาติเลโสฯ เอส นโย เสเสสุฯ
394.Kiñci desaṃ lesamattaṃ upādāyāti ettha pana yasmā desoti vā lesamattoti vā pubbe vuttanayeneva byañjanato nānaṃ atthato ekaṃ, tasmā ‘‘leso nāma dasa lesā jātileso nāmaleso’’tiādimāha. Tattha jātiyeva jātileso. Esa nayo sesesu.
๓๙๕. อิทานิ ตเมว เลสํ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ ยถา ตํ อุปาทาย อนุทฺธํสนา โหติ ตถา สวตฺถุกํ กตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘ชาติเลโส นาม ขตฺติโย ทิโฎฺฐ โหตี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ขตฺติโย ทิโฎฺฐ โหตีติ อโญฺญ โกจิ ขตฺติยชาติโย อิมินา โจทเกน ทิโฎฺฐ โหติฯ ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปชฺชโนฺตติ เมถุนธมฺมาทีสุ อญฺญตรํ อาปชฺชโนฺตฯ อญฺญํ ขตฺติยํ ปสฺสิตฺวา โจเทตีติ อถ โส อญฺญํ อตฺตโน เวริํ ขตฺติยชาติยํ ภิกฺขุํ ปสฺสิตฺวา ตํ ขตฺติยชาติเลสํ คเหตฺวา เอวํ โจเทติ ‘‘ขตฺติโย มยา ทิโฎฺฐ ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปชฺชโนฺต, ตฺวํ ขตฺติโย, ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปโนฺนสี’’ อถ วา ‘‘ตฺวํ โส ขตฺติโย, น อโญฺญ, ปาราชิกํ ธมฺมํ อชฺฌาปโนฺนสิ, อสฺสมโณสิ อสกฺยปุตฺติโยสิ นตฺถิ ตยา สทฺธิํ อุโปสโถ วา ปวารณา วา สงฺฆกมฺมํ วา’’ติ, อาปตฺติ วาจาย วาจาย สงฺฆาทิเสสสฺสฯ เอตฺถ จ เตสํ ขตฺติยานํ อญฺญมญฺญํ อสทิสสฺส ตสฺส ตสฺส ทีฆาทิโน วา ทิฎฺฐาทิโน วา วเสน อญฺญภาคิยตา ขตฺติยชาติปญฺญตฺติยา อาธารวเสน อธิกรณตา จ เวทิตพฺพา, เอเตนุปาเยน สพฺพปเทสุ โยชนา เวทิตพฺพาฯ
395. Idāni tameva lesaṃ vitthārato dassetuṃ yathā taṃ upādāya anuddhaṃsanā hoti tathā savatthukaṃ katvā dassento ‘‘jātileso nāma khattiyo diṭṭho hotī’’tiādimāha. Tattha khattiyo diṭṭho hotīti añño koci khattiyajātiyo iminā codakena diṭṭho hoti. Pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpajjantoti methunadhammādīsu aññataraṃ āpajjanto. Aññaṃ khattiyaṃ passitvācodetīti atha so aññaṃ attano veriṃ khattiyajātiyaṃ bhikkhuṃ passitvā taṃ khattiyajātilesaṃ gahetvā evaṃ codeti ‘‘khattiyo mayā diṭṭho pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpajjanto, tvaṃ khattiyo, pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpannosī’’ atha vā ‘‘tvaṃ so khattiyo, na añño, pārājikaṃ dhammaṃ ajjhāpannosi, assamaṇosi asakyaputtiyosi natthi tayā saddhiṃ uposatho vā pavāraṇā vā saṅghakammaṃ vā’’ti, āpatti vācāya vācāya saṅghādisesassa. Ettha ca tesaṃ khattiyānaṃ aññamaññaṃ asadisassa tassa tassa dīghādino vā diṭṭhādino vā vasena aññabhāgiyatā khattiyajātipaññattiyā ādhāravasena adhikaraṇatā ca veditabbā, etenupāyena sabbapadesu yojanā veditabbā.
๔๐๐. ปตฺตเลสนิเทฺทเส จ สาฎกปโตฺตติ โลหปตฺตสทิโส สุสณฺฐาโน สุจฺฉวิ สินิโทฺธ ภมรวโณฺณ มตฺติกาปโตฺต วุจฺจติฯ สุมฺภกปโตฺตติ ปกติมตฺติกาปโตฺตฯ
400. Pattalesaniddese ca sāṭakapattoti lohapattasadiso susaṇṭhāno succhavi siniddho bhamaravaṇṇo mattikāpatto vuccati. Sumbhakapattoti pakatimattikāpatto.
๔๐๖. ยสฺมา ปน อาปตฺติเลสสฺส เอกปเทเนว สเงฺขปโต นิเทฺทโส วุโตฺต, ตสฺมา วิตฺถารโตปิ ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ภิกฺขุ สงฺฆาทิเสสํ อชฺฌาปชฺชโนฺต ทิโฎฺฐ โหตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ กสฺมา ปนสฺส ตเตฺถว นิเทฺทสํ อวตฺวา อิธ วิสุํ วุโตฺตติ? เสสนิเทฺทเสหิ อสภาคตฺตาฯ เสสนิเทฺทสา หิ อญฺญํ ทิสฺวา อญฺญสฺส โจทนาวเสน วุตฺตาฯ อยํ ปน เอกเมว อญฺญํ อาปตฺติํ อาปชฺชนฺตํ ทิสฺวา อญฺญาย อาปตฺติยา โจทนาวเสน วุโตฺตฯ ยทิ เอวํ กถํ อญฺญภาคิยํ อธิกรณํ โหตีติ? อาปตฺติยาฯ เตเนว วุตฺตํ – ‘‘เอวมฺปิ อาปตฺตญฺญภาคิยญฺจ โหติ เลโส จ อุปาทิโนฺน’’ติฯ ยญฺหิ โส สงฺฆาทิเสสํ อาปโนฺน ตํ ปาราชิกสฺส อญฺญภาคิยํ อธิกรณํฯ ตสฺส ปน อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺส เลโส นาม โย โส สพฺพขตฺติยานํ สาธารโณ ขตฺติยภาโว วิย สพฺพาปตฺตีนํ สาธารโณ อาปตฺติภาโวฯ เอเตนุปาเยน เสสาปตฺติมูลกนโย โจทาปกวาโร จ เวทิตโพฺพฯ
406. Yasmā pana āpattilesassa ekapadeneva saṅkhepato niddeso vutto, tasmā vitthāratopi taṃ dassetuṃ ‘‘bhikkhu saṅghādisesaṃ ajjhāpajjanto diṭṭho hotī’’tiādi vuttaṃ. Kasmā panassa tattheva niddesaṃ avatvā idha visuṃ vuttoti? Sesaniddesehi asabhāgattā. Sesaniddesā hi aññaṃ disvā aññassa codanāvasena vuttā. Ayaṃ pana ekameva aññaṃ āpattiṃ āpajjantaṃ disvā aññāya āpattiyā codanāvasena vutto. Yadi evaṃ kathaṃ aññabhāgiyaṃ adhikaraṇaṃ hotīti? Āpattiyā. Teneva vuttaṃ – ‘‘evampi āpattaññabhāgiyañca hoti leso ca upādinno’’ti. Yañhi so saṅghādisesaṃ āpanno taṃ pārājikassa aññabhāgiyaṃ adhikaraṇaṃ. Tassa pana aññabhāgiyassa adhikaraṇassa leso nāma yo so sabbakhattiyānaṃ sādhāraṇo khattiyabhāvo viya sabbāpattīnaṃ sādhāraṇo āpattibhāvo. Etenupāyena sesāpattimūlakanayo codāpakavāro ca veditabbo.
๔๐๘. อนาปตฺติ ตถาสญฺญี โจเทติ วา โจทาเปติ วาติ ‘‘ปาราชิกํเยว อยํ อาปโนฺน’’ติ โย เอวํ ตถาสญฺญี โจเทติ วา โจทาเปติ วา ตสฺส อนาปตฺติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวฯ สมุฎฺฐานาทีนิปิ ปฐมทุฎฺฐโทสสทิสาเนวาติฯ
408.Anāpatti tathāsaññī codeti vā codāpeti vāti ‘‘pārājikaṃyeva ayaṃ āpanno’’ti yo evaṃ tathāsaññī codeti vā codāpeti vā tassa anāpatti. Sesaṃ sabbattha uttānameva. Samuṭṭhānādīnipi paṭhamaduṭṭhadosasadisānevāti.
ทุติยทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dutiyaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๙. ทุติยทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทํ • 9. Dutiyaduṭṭhadosasikkhāpadaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๙. ทุติยทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา • 9. Dutiyaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๙. ทุติยทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา • 9. Dutiyaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๙. ทุติยทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา • 9. Dutiyaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā