Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
๙. ทุติยทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา
9. Dutiyaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā
๓๙๑. เวฬุวเนเยวาติ อิทํ เตหิ วุตฺตเวลํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘ปุเพฺพ มยํ อาวุโส สุเตน อโวจุมฺหา’’ติ ‘‘อเมฺหหิ สา อุสฺสาหิตา กุปิเตหิ อนตฺตมเนหี’’ติอาทิวจนํ สนฺธาย วุตฺตํ, อญฺญภาคสฺส อิทนฺติ มนุสฺสภิกฺขุภาวโต อญฺญภาคสฺส ติรจฺฉานฉคลกภาคสฺส อิทํ ฉคลกชาตํ อธิกรณํฯ อญฺญภาโค วา อสฺส อตฺถีติ โส ติรจฺฉานฉคลกภาวสงฺขาโต อญฺญภาโค อสฺส ฉคลกสฺส อตฺถีติ สฺวายํ ฉคลโก อญฺญภาคิยํ อธิกรณํ นามฯ
391.Veḷuvaneyevāti idaṃ tehi vuttavelaṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Pubbe mayaṃ āvuso sutena avocumhā’’ti ‘‘amhehi sā ussāhitā kupitehi anattamanehī’’tiādivacanaṃ sandhāya vuttaṃ, aññabhāgassa idanti manussabhikkhubhāvato aññabhāgassa tiracchānachagalakabhāgassa idaṃ chagalakajātaṃ adhikaraṇaṃ. Aññabhāgo vā assa atthīti so tiracchānachagalakabhāvasaṅkhāto aññabhāgo assa chagalakassa atthīti svāyaṃ chagalako aññabhāgiyaṃ adhikaraṇaṃ nāma.
ตตฺถ ปฎิมาย สรีรํ, สิลาปุตฺตกสฺส สรีรนฺติ นิทสฺสนํ, ปฐมํ ปเนตฺถ นิพฺพจนํ ชาติปทโตฺถติวาทีนํ มเตน วุตฺตํฯ สา หิ สามิภาเวน, นิจฺจภาเวน จ ปธานตฺตา สตฺติสภาเว ฐิตาฯ ตพฺพิปรีตกตฺตา พฺยตฺตากติ ชาติโย ตุ ปทโตฺถ อิติ อิมสฺส สุตฺตสฺส วเสน ทุติยํ นิพฺพจนํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ นามกรณสญฺญาย อาธาโรติ เอตฺถ นามเมว นามกรณํฯ นามํ กโรนฺตานํ สญฺญา นามกรณสญฺญา, ตสฺสาฯ มนุสฺสชาติโก ฉคลกชาติอาธาโร นามฯ น หิ ตํ นามํ กจฺฉปโลมํ วิย อนาธารนฺติ อธิปฺปาโยฯ ตํ ปน ฉคลกสฺส ทโพฺพติ ทินฺนนามํ ‘‘เทโส’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺมา เถรํ อมูลเกนาติอาทินา อญฺญมฺปิ วตฺถุํ เถรสฺส ลิสฺสติ สิลิสฺสติ โวหารมเตฺตเนว, น อตฺถโต, อีสกํ อลฺลียตีติ เลโสติ อธิปฺปาโยฯ ยสฺมา เทสเลสา อตฺถโต นินฺนานากรณา, ตสฺมา ‘‘กญฺจิเทสํ เลสมตฺตํ อุปาทายา’’ติ อุทฺธริตฺวา ‘‘ทส เลสา ชาติเลโส’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยถา นิทาเน , เอวํ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยมฺปิ มาติกายมฺปิ อยเมวโตฺถฯ ยสฺมา อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺสาติ ฉคลกสฺสฯ กญฺจิเทสํ เลสมตฺตํ อุปาทายาติ ทโพฺพติ นามํ อุปาทายาติ อยมโตฺถ อฎฺฐุปฺปตฺติวเสเนว อาวิภูโต, ตสฺมา น วิภโตฺตฯ กิญฺจ ภิโยฺย อนิยมตฺตาฯ น หิ เมตฺติยภูมชกานํ วิย สเพฺพสมฺปิ ฉคลกเมว อญฺญภาคิยํ อธิกรณํ โหติฯ อญฺญํ โคมหิํ สาทิกมฺปิ โหติ, น จ เมตฺติยภูมชกา วิย สเพฺพปิ นามเลสมตฺตเมว อุปาทิยนฺติฯ อญฺญมฺปิ ชาติเลสาทิํ อุปาทิยนฺติ, ตสฺมา อนิยมตฺตา จ ยถาวุตฺตนเยน น วิภตฺตํฯ กิญฺจ ภิโยฺย ตถา วุเตฺต ฉคลกเสฺสว อญฺญภาคิยตา สมฺภวติ, น อญฺญสฺส, เยน โสว ทสฺสิโตฯ เลโส จ นาม เลโสว, น ชาติอาทิ, เยน โสว ทสฺสิโตติ เอวํ มิจฺฉาคาหปฺปสงฺคโต จ ตถา น วิภโตฺตฯ
Tattha paṭimāya sarīraṃ, silāputtakassa sarīranti nidassanaṃ, paṭhamaṃ panettha nibbacanaṃ jātipadatthotivādīnaṃ matena vuttaṃ. Sā hi sāmibhāvena, niccabhāvena ca padhānattā sattisabhāve ṭhitā. Tabbiparītakattā byattākati jātiyo tu padattho iti imassa suttassa vasena dutiyaṃ nibbacanaṃ vuttanti veditabbaṃ. Nāmakaraṇasaññāya ādhāroti ettha nāmameva nāmakaraṇaṃ. Nāmaṃ karontānaṃ saññā nāmakaraṇasaññā, tassā. Manussajātiko chagalakajātiādhāro nāma. Na hi taṃ nāmaṃ kacchapalomaṃ viya anādhāranti adhippāyo. Taṃ pana chagalakassa dabboti dinnanāmaṃ ‘‘deso’’ti vuccati. Tasmā theraṃ amūlakenātiādinā aññampi vatthuṃ therassa lissati silissati vohāramatteneva, na atthato, īsakaṃ allīyatīti lesoti adhippāyo. Yasmā desalesā atthato ninnānākaraṇā, tasmā ‘‘kañcidesaṃ lesamattaṃ upādāyā’’ti uddharitvā ‘‘dasa lesā jātileso’’tiādi vuttanti veditabbaṃ. Yathā nidāne , evaṃ sikkhāpadapaññattiyampi mātikāyampi ayamevattho. Yasmā aññabhāgiyassa adhikaraṇassāti chagalakassa. Kañcidesaṃ lesamattaṃ upādāyāti dabboti nāmaṃ upādāyāti ayamattho aṭṭhuppattivaseneva āvibhūto, tasmā na vibhatto. Kiñca bhiyyo aniyamattā. Na hi mettiyabhūmajakānaṃ viya sabbesampi chagalakameva aññabhāgiyaṃ adhikaraṇaṃ hoti. Aññaṃ gomahiṃ sādikampi hoti, na ca mettiyabhūmajakā viya sabbepi nāmalesamattameva upādiyanti. Aññampi jātilesādiṃ upādiyanti, tasmā aniyamattā ca yathāvuttanayena na vibhattaṃ. Kiñca bhiyyo tathā vutte chagalakasseva aññabhāgiyatā sambhavati, na aññassa, yena sova dassito. Leso ca nāma lesova, na jātiādi, yena sova dassitoti evaṃ micchāgāhappasaṅgato ca tathā na vibhatto.
๓๙๓. อญฺญภาคิยสฺสาติ จุทิตกโต อญฺญสฺสฯ อธิกรณสฺสาติ มนุสฺสสฺส วา อมนุสฺสสฺส วา ติรจฺฉานคตสฺส วาติ เอวํ วตฺตพฺพํฯ เอวญฺหิ วุเตฺต มนุสฺสาทีนํเยว ชาติเลสาทโย วุตฺตา โหนฺติ, อญฺญถา จตุนฺนํ อธิกรณานํ เต อาปชฺชนฺติ ‘‘อธิกรณสฺส กญฺจิ เทสํ เลสมตฺต’’นฺติ สามิวจนํ ปุพฺพงฺคมํ อุทฺทิฎฺฐตฺตาติ เจ? น, นามสฺส วิย ชาติอาทีนํ มนุสฺสาทีนํ อาธารภาวนิยมสมฺภวโต, อธิกรณภาวานิยมโตติ วุตฺตํ โหติฯ นิยเม จ สติ ชาติยา อาธาโร ชาติ, ลิงฺคสฺส จ ลิงฺคํ, อาปตฺติยา จ อาปโนฺน อาธาโร, วิรุทฺธานมฺปิ อสมาทินฺนานมฺปิ ปตฺตจีวรานํ สามิโก อาธาโร, เยน อธิกรณสงฺขฺยํ คเจฺฉยฺยาติ อาปชฺชตีติ อธิกรณสฺสาติ ปทํ อภาเชตพฺพเมว ภเวยฺยาติ น อุทฺธริตพฺพํ สิยา, อุทฺธริตพฺพํฯ ตสฺมา ‘‘อธิกรณนฺติ วจนสามญฺญโต’’ติอาทิ สพฺพํ วตฺตพฺพํฯ อปากฎา อิโต อญฺญตฺร ทสฺสิตฎฺฐานาภาวโตฯ ชานิตพฺพา จ วินยธเรหิ ยสฺมา อญฺญถา ปริวาเร ‘‘วิวาทาธิกรณํ จตุนฺนํ อธิกรณานํ วิวาทาธิกรณํ ภชตี’’ติอาทินา นเยน อนาคตฎฺฐาเน ‘‘กสฺมา’’ติ วุเตฺต การณํ น ปญฺญาเยยฺย, ตสฺมา เตสํ ตพฺภาคิยตา จ อญฺญภาคิยตา จ ชานิตพฺพา วินยธเรหิฯ ตาสุ หิ วิญฺญาตาสุ วิวาทาธิกรณํ วิวาทาธิกรณํ ภชติฯ กสฺมา? ตพฺภาคิยตฺตาฯ อิตรํ น ภชติ อญฺญภาคิยตฺตาติ สุขการณโต ปญฺญายนฺติ, ตสฺมา วจนสามญฺญโต ลทฺธํ อธิกรณํ นิสฺสายาติอาทิฯ ตตฺถ ยสฺมา อาปตฺตญฺญภาคิยํ มหาวิสยํ, อิตเรหิ อสทิสนิเทฺทสญฺจ, ตสฺมา ตํ อธิกรณปริยาปนฺนมฺปิ สมานํ วิสุํ วุตฺตํ ‘‘อาปตฺตญฺญภาคิยํ วา โหตี’’ติฯ อธิกรณปริยาปนฺนตฺตา จ ‘‘อธิกรณญฺญภาคิยํ วา’’ติ เอตฺถ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถาปิ มหาวิสยตฺตา, มาติกายํ อาคตตฺตา จ ปฐมํ อญฺญภาคิยตา วุตฺตา, ปจฺฉา ตพฺภาคิยตาติ เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ ยสฺมา อธิกรณญฺญภาคิยวจเนน อตฺถาปตฺตินเยน สิทฺธํฯ อธิกรณํ ตพฺภาคิยํ, ตสฺมา ‘‘อธิกรณํ ตพฺภาคิยํ โหตี’’ติ เอวํ อุเทฺทสํ อกตฺวา ‘‘กถํ อธิกรณํ อธิกรณสฺส ตพฺภาคิยํ โหตี’’ติ ปุจฺฉาปุพฺพงฺคมนิเทฺทโส กโตฯ ตตฺถาปิ อาปตฺตาธิกรณสฺส อญฺญภาคิยตา กิญฺจาปิ ปาราชิเกน อนุทฺธํสิภาธิการตฺตา ปาราชิกานํเยว วเสน วุตฺตา, อถ โข เสสาปตฺติกฺขนฺธวเสนาปิ เวทิตพฺพาฯ ยา จ สา โจทนา ‘‘อสุโก นาม ภิกฺขุ สงฺฆาทิเสสํ อชฺฌาปชฺชโนฺต ทิโฎฺฐ โหตี’’ติอาทิกา, ตตฺถ ‘‘สงฺฆาทิเสเส ถุลฺลจฺจยทิฎฺฐิ โหติ, ทุพฺภาสิเต สงฺฆาทิเสสทิฎฺฐิ โหตี’’ติ เอวมาทิกา วินเย อปกตญฺญุตาย, ตํตํวตฺถุสริกฺขตาย วา วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ สพฺพตฺถาปิ ‘‘ปาราชิกทิฎฺฐิ โหตี’’ติ น วุตฺตํฯ ตถาสญฺญิโน อนาปตฺติโตฯ ‘‘ตพฺภาคิยวิจารณาย’’นฺติ ตพฺภาคิยปทนิเทฺทเส อญฺญภาคิยตายปิ นิทฺทิฎฺฐตฺตา วุตฺตํฯ
393.Aññabhāgiyassāti cuditakato aññassa. Adhikaraṇassāti manussassa vā amanussassa vā tiracchānagatassa vāti evaṃ vattabbaṃ. Evañhi vutte manussādīnaṃyeva jātilesādayo vuttā honti, aññathā catunnaṃ adhikaraṇānaṃ te āpajjanti ‘‘adhikaraṇassa kañci desaṃ lesamatta’’nti sāmivacanaṃ pubbaṅgamaṃ uddiṭṭhattāti ce? Na, nāmassa viya jātiādīnaṃ manussādīnaṃ ādhārabhāvaniyamasambhavato, adhikaraṇabhāvāniyamatoti vuttaṃ hoti. Niyame ca sati jātiyā ādhāro jāti, liṅgassa ca liṅgaṃ, āpattiyā ca āpanno ādhāro, viruddhānampi asamādinnānampi pattacīvarānaṃ sāmiko ādhāro, yena adhikaraṇasaṅkhyaṃ gaccheyyāti āpajjatīti adhikaraṇassāti padaṃ abhājetabbameva bhaveyyāti na uddharitabbaṃ siyā, uddharitabbaṃ. Tasmā ‘‘adhikaraṇanti vacanasāmaññato’’tiādi sabbaṃ vattabbaṃ. Apākaṭā ito aññatra dassitaṭṭhānābhāvato. Jānitabbā ca vinayadharehi yasmā aññathā parivāre ‘‘vivādādhikaraṇaṃ catunnaṃ adhikaraṇānaṃ vivādādhikaraṇaṃ bhajatī’’tiādinā nayena anāgataṭṭhāne ‘‘kasmā’’ti vutte kāraṇaṃ na paññāyeyya, tasmā tesaṃ tabbhāgiyatā ca aññabhāgiyatā ca jānitabbā vinayadharehi. Tāsu hi viññātāsu vivādādhikaraṇaṃ vivādādhikaraṇaṃ bhajati. Kasmā? Tabbhāgiyattā. Itaraṃ na bhajati aññabhāgiyattāti sukhakāraṇato paññāyanti, tasmā vacanasāmaññato laddhaṃ adhikaraṇaṃ nissāyātiādi. Tattha yasmā āpattaññabhāgiyaṃ mahāvisayaṃ, itarehi asadisaniddesañca, tasmā taṃ adhikaraṇapariyāpannampi samānaṃ visuṃ vuttaṃ ‘‘āpattaññabhāgiyaṃ vā hotī’’ti. Adhikaraṇapariyāpannattā ca ‘‘adhikaraṇaññabhāgiyaṃ vā’’ti ettha vuttanti veditabbaṃ. Tatthāpi mahāvisayattā, mātikāyaṃ āgatattā ca paṭhamaṃ aññabhāgiyatā vuttā, pacchā tabbhāgiyatāti veditabbā. Tattha yasmā adhikaraṇaññabhāgiyavacanena atthāpattinayena siddhaṃ. Adhikaraṇaṃ tabbhāgiyaṃ, tasmā ‘‘adhikaraṇaṃ tabbhāgiyaṃ hotī’’ti evaṃ uddesaṃ akatvā ‘‘kathaṃ adhikaraṇaṃ adhikaraṇassa tabbhāgiyaṃ hotī’’ti pucchāpubbaṅgamaniddeso kato. Tatthāpi āpattādhikaraṇassa aññabhāgiyatā kiñcāpi pārājikena anuddhaṃsibhādhikārattā pārājikānaṃyeva vasena vuttā, atha kho sesāpattikkhandhavasenāpi veditabbā. Yā ca sā codanā ‘‘asuko nāma bhikkhu saṅghādisesaṃ ajjhāpajjanto diṭṭho hotī’’tiādikā, tattha ‘‘saṅghādisese thullaccayadiṭṭhi hoti, dubbhāsite saṅghādisesadiṭṭhi hotī’’ti evamādikā vinaye apakataññutāya, taṃtaṃvatthusarikkhatāya vā vuttāti veditabbā. Sabbatthāpi ‘‘pārājikadiṭṭhi hotī’’ti na vuttaṃ. Tathāsaññino anāpattito. ‘‘Tabbhāgiyavicāraṇāya’’nti tabbhāgiyapadaniddese aññabhāgiyatāyapi niddiṭṭhattā vuttaṃ.
วตฺถุสภาคตายาติ อนุวาทวตฺถุสภาคตายาติ อโตฺถฯ อญฺญถา ‘‘จตโสฺส วิปตฺติโย’’ติ วจนํ วิรุเชฺฌยฺยฯ สภาวสริกฺขาสริกฺขโต จาติ สภาเวน สทิสาสทิสโตฯ ตตฺถ ฌานาทิวตฺถุวิสภาคตายปิ สภาวสริกฺขตาย อุตฺตริมนุสฺสธมฺมปาราชิกาปตฺติ ตเสฺสว ตพฺภาคิยาว โหติฯ ตถา วตฺถุวเสน อนุวาทาธิกรณํ, กิจฺจาธิกรณญฺจ ปาเฎกฺกํ จตุพฺพิธมฺปิ วุตฺตญฺญภาคิยํ น ชาตํ, ตสฺมา ตทญฺญภาคิยตาย วิทิตาย ตพฺภาคิยตา ปาริเยสยุตฺติยา อวุตฺตาปิ สิชฺฌตีติ กตฺวา ‘‘อญฺญภาคิยเมว ปฐมํ นิทฺทิฎฺฐ’’นฺติปิ วตฺตุํ ยุชฺชติฯ เอกํเสน ตพฺภาคิยํ น โหตีติ สริกฺขวเสน อรหตฺตํ อาปตฺติ อนาปตฺตีติ วิวาทสพฺภาวโต อพฺยากตภาเวน วิวาทาธิกรณสฺสปิ อญฺญภาคิยํ สิยา, ปาฬิยํ อาปตฺตาธิกรณสฺส วุตฺตตฺตา เอวํ วุตฺตํ, อาทิโต ปฎฺฐายาติ ‘‘อญฺญภาคิยสฺส อธิกรณสฺสา’’ติ อิโต ปฎฺฐายฯ ‘‘เมถุนราเคน มนุสฺสวิคฺคโห โทเสนาติอาทินา สริกฺขโต จา’’ติ ลิขิตํฯ ตํ วตฺถุวิสภาคตาย เอว สิทฺธํฯ อยํ ปน วตฺถุสภาคตายปิ สติ อาปตฺติสภาคตา สริกฺขโตติ โน ตโกฺกติ จ, เอกสฺมิมฺปิ หิ วตฺถุสฺมิํ อาปตฺติเภโท โหตีติ อาจริโยฯ ปรโต วุตฺตนเยน เวทิตพฺพนฺติ สมฺพโนฺธฯ
Vatthusabhāgatāyāti anuvādavatthusabhāgatāyāti attho. Aññathā ‘‘catasso vipattiyo’’ti vacanaṃ virujjheyya. Sabhāvasarikkhāsarikkhato cāti sabhāvena sadisāsadisato. Tattha jhānādivatthuvisabhāgatāyapi sabhāvasarikkhatāya uttarimanussadhammapārājikāpatti tasseva tabbhāgiyāva hoti. Tathā vatthuvasena anuvādādhikaraṇaṃ, kiccādhikaraṇañca pāṭekkaṃ catubbidhampi vuttaññabhāgiyaṃ na jātaṃ, tasmā tadaññabhāgiyatāya viditāya tabbhāgiyatā pāriyesayuttiyā avuttāpi sijjhatīti katvā ‘‘aññabhāgiyameva paṭhamaṃ niddiṭṭha’’ntipi vattuṃ yujjati. Ekaṃsena tabbhāgiyaṃ na hotīti sarikkhavasena arahattaṃ āpatti anāpattīti vivādasabbhāvato abyākatabhāvena vivādādhikaraṇassapi aññabhāgiyaṃ siyā, pāḷiyaṃ āpattādhikaraṇassa vuttattā evaṃ vuttaṃ, ādito paṭṭhāyāti ‘‘aññabhāgiyassa adhikaraṇassā’’ti ito paṭṭhāya. ‘‘Methunarāgena manussaviggaho dosenātiādinā sarikkhato cā’’ti likhitaṃ. Taṃ vatthuvisabhāgatāya eva siddhaṃ. Ayaṃ pana vatthusabhāgatāyapi sati āpattisabhāgatā sarikkhatoti no takkoti ca, ekasmimpi hi vatthusmiṃ āpattibhedo hotīti ācariyo. Parato vuttanayena veditabbanti sambandho.
‘‘กิจฺจเมว กิจฺจาธิกรณ’’นฺติ วุตฺตตฺตา สงฺฆกมฺมานเมตํ อธิวจนํฯ กมฺมลกฺขณนฺติ กมฺมานํ สภาวํฯ ตํ นิสฺสายาติ ปุเพฺพว หิ สํวิธาย สโงฺฆ กมฺมํ กโรติฯ อถ วา ปุริมํ ปุริมนฺติ ปริวาสอุเกฺขปนิยาทีนิ สงฺฆกมฺมานิ นิสฺสาย อพฺภานโอสารณาทิ อุปฺปนฺนนฺติ กตฺวา วุตฺตํฯ ตสฺมา กิญฺจาปิ สงฺฆกมฺมเมว กิจฺจาธิกรณํ, ตถาปิ เสสวิเสโส ลพฺภตีติ ทเสฺสติฯ
‘‘Kiccameva kiccādhikaraṇa’’nti vuttattā saṅghakammānametaṃ adhivacanaṃ. Kammalakkhaṇanti kammānaṃ sabhāvaṃ. Taṃ nissāyāti pubbeva hi saṃvidhāya saṅgho kammaṃ karoti. Atha vā purimaṃ purimanti parivāsaukkhepaniyādīni saṅghakammāni nissāya abbhānaosāraṇādi uppannanti katvā vuttaṃ. Tasmā kiñcāpi saṅghakammameva kiccādhikaraṇaṃ, tathāpi sesaviseso labbhatīti dasseti.
๓๙๔. อตฺถโต เอกํ, ตสฺมา เทสสฺส อตฺถมวตฺวา ‘‘เลโส’’ติอาทิ วุตฺตํ กิรฯ
394. Atthato ekaṃ, tasmā desassa atthamavatvā ‘‘leso’’tiādi vuttaṃ kira.
๓๙๕. สวตฺถุกํ กตฺวาติ ปุคฺคลสฺส อุปริ อาโรเปตฺวา ขตฺติยาทิภาเวน เอกชาติโกปิ ทีฆรสฺสกาฬโกทาตาทีนํ ทิฎฺฐสุตปริสงฺกิตานํ วเสน อญฺญภาคิยตา, ทีฆํ ขตฺติยํ อชฺฌาจรนฺตํ ทิสฺวา รสฺสาทิขตฺติยปญฺญตฺติยา อาธารภาวโต ชาติเลเสน โจเทติ, เอกํ วา ขตฺติยํ อชฺฌาจรนฺตํ ทิสฺวา ตโต วิสิฎฺฐญฺญภาคภูตํ ขตฺติยํ ชาติเลสํ คเหตฺวา ‘‘ขตฺติโย ทิโฎฺฐ ตฺวํ ขตฺติโยสี’’ติ โจเทติ ทิฎฺฐาทิอญฺญภาเคนฯ เอตฺถ จ ‘‘ทีฆาทโย, ทิฎฺฐาทโย จ ชาตินามาทีนํ วตฺถุภูตตฺตา อธิกรณ’’นฺติ ลิขิตํฯ ตํ ‘‘อธิกรณภาวานิยมโต’’ติ วุตฺตโทสํ นาติกฺกมติ, อฎฺฐกถายํ ‘‘ขตฺติยชาติปญฺญตฺติยา อาธารวเสน อธิกรณตา จ เวทิตพฺพา’’ติ วุตฺตํฯ ตมฺปิ นามโคตฺตโต อญฺญิสฺสา นามโคตฺตปญฺญตฺติยา นาม กสฺสจิ อภาวโต น สพฺพสาธารณํ, ตสฺมา ‘‘อธิกรณสฺสา’’ติ ปทุทฺธารณํ อธิกรณจตุกฺกทสฺสนตฺถํ, ตํ สมานวจนทสฺสนตฺถนฺติ โน ตโกฺกติฯ ตตฺถ ทีฆาทิโน วา ทิฎฺฐาทิโน วาติ เอตฺถ ทีฆาทิตา, ทิฎฺฐาทิตา จ อญฺญภาโค, โย จุทิตโก อิตรสฺส วิเสโส ยโต อโญฺญติ วุจฺจติฯ
395.Savatthukaṃ katvāti puggalassa upari āropetvā khattiyādibhāvena ekajātikopi dīgharassakāḷakodātādīnaṃ diṭṭhasutaparisaṅkitānaṃ vasena aññabhāgiyatā, dīghaṃ khattiyaṃ ajjhācarantaṃ disvā rassādikhattiyapaññattiyā ādhārabhāvato jātilesena codeti, ekaṃ vā khattiyaṃ ajjhācarantaṃ disvā tato visiṭṭhaññabhāgabhūtaṃ khattiyaṃ jātilesaṃ gahetvā ‘‘khattiyo diṭṭho tvaṃ khattiyosī’’ti codeti diṭṭhādiaññabhāgena. Ettha ca ‘‘dīghādayo, diṭṭhādayo ca jātināmādīnaṃ vatthubhūtattā adhikaraṇa’’nti likhitaṃ. Taṃ ‘‘adhikaraṇabhāvāniyamato’’ti vuttadosaṃ nātikkamati, aṭṭhakathāyaṃ ‘‘khattiyajātipaññattiyā ādhāravasena adhikaraṇatā ca veditabbā’’ti vuttaṃ. Tampi nāmagottato aññissā nāmagottapaññattiyā nāma kassaci abhāvato na sabbasādhāraṇaṃ, tasmā ‘‘adhikaraṇassā’’ti paduddhāraṇaṃ adhikaraṇacatukkadassanatthaṃ, taṃ samānavacanadassanatthanti no takkoti. Tattha dīghādino vā diṭṭhādino vāti ettha dīghāditā, diṭṭhāditā ca aññabhāgo, yo cuditako itarassa viseso yato aññoti vuccati.
๓๙๙. ลหุกํ อาปตฺตินฺติ ปาราชิกโต ลหุกาปตฺติ สงฺฆาทิเสสาทิฯ เตเนว อเนฺต ตํ ทเสฺสเนฺตน ‘‘ภิกฺขุ สงฺฆาทิเสสํ อชฺฌาปชฺชโนฺต ทิโฎฺฐ โหตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อาปตฺติเลโสปิ กิมตฺถํ ชาติเลสาทโย วิย น วิตฺถาริโตติ เจ? ตถา อสมฺภวโตติ เวทิตพฺพํฯ
399.Lahukaṃ āpattinti pārājikato lahukāpatti saṅghādisesādi. Teneva ante taṃ dassentena ‘‘bhikkhu saṅghādisesaṃ ajjhāpajjanto diṭṭho hotī’’tiādi vuttaṃ. Āpattilesopi kimatthaṃ jātilesādayo viya na vitthāritoti ce? Tathā asambhavatoti veditabbaṃ.
๔๐๐. สาฎกปโตฺต สรีรฎฺฐปโตฺตฯ อาปตฺติยาติ ปาราชิกาปตฺติยา อญฺญภาคิยํ สงฺฆาทิเสสาทิ, อธิกรณญฺจ อาปตฺติปญฺญตฺติยาฯ ‘‘เลโส นาม อาปตฺติภาโค’’ติ วุตฺตตฺตา อาปตฺติภาวเลโส วุโตฺตติ เวทิตโพฺพ, ตสฺมา ปาราชิกาปตฺติโต อญฺญภาคิยสฺส อาปตฺติปญฺญตฺติยา อาธารณเฎฺฐน ‘‘อธิกรณ’’นฺติ สงฺขฺยํ คตสฺส สงฺฆาทิเสสาทิโน อาปตฺตินิกายสฺส อาปตฺติภาวเลสํ คเหตฺวา โจทนา อาปตฺติเลสโจทนาติ เวทิตพฺพาฯ
400.Sāṭakapatto sarīraṭṭhapatto. Āpattiyāti pārājikāpattiyā aññabhāgiyaṃ saṅghādisesādi, adhikaraṇañca āpattipaññattiyā. ‘‘Leso nāma āpattibhāgo’’ti vuttattā āpattibhāvaleso vuttoti veditabbo, tasmā pārājikāpattito aññabhāgiyassa āpattipaññattiyā ādhāraṇaṭṭhena ‘‘adhikaraṇa’’nti saṅkhyaṃ gatassa saṅghādisesādino āpattinikāyassa āpattibhāvalesaṃ gahetvā codanā āpattilesacodanāti veditabbā.
๔๐๘. อนาปตฺติ ตถาสญฺญี โจเทติ วา โจทาเปติ วาติ อาปตฺตญฺญภาคิยโจทนายเมว, น อญฺญตฺถฯ เอตฺตาวตา ปฐมทุฎฺฐโทเส วุตฺตวิจรณาย สํสนฺทิตํ โหติ, ตํ อิธ กถํ ปญฺญายตีติ เจ? กงฺขาวิตรณิยา วจนโตฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ตตฺถ อิธ จ อาปตฺตญฺญภาคิยโจทนาย ตถาสญฺญิโนปิ อนาปตฺตี’’ติฯ
408.Anāpatti tathāsaññī codeti vā codāpeti vāti āpattaññabhāgiyacodanāyameva, na aññattha. Ettāvatā paṭhamaduṭṭhadose vuttavicaraṇāya saṃsanditaṃ hoti, taṃ idha kathaṃ paññāyatīti ce? Kaṅkhāvitaraṇiyā vacanato. Vuttañhi ‘‘tattha idha ca āpattaññabhāgiyacodanāya tathāsaññinopi anāpattī’’ti.
อญฺญาภาคิยสิกฺขํ โย, เนว สิกฺขติ ยุตฺติโตฯ คเจฺฉ วินยวิญฺญูหิ, อญฺญภาคิยตญฺจ
Aññābhāgiyasikkhaṃ yo, neva sikkhati yuttito. Gacche vinayaviññūhi, aññabhāgiyatañca
โสติฯ
Soti.
ทุติยทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dutiyaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๙. ทุติยทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทํ • 9. Dutiyaduṭṭhadosasikkhāpadaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๙. ทุติยทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา • 9. Dutiyaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๙. ทุติยทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา • 9. Dutiyaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๙. ทุติยทุฎฺฐโทสสิกฺขาปทวณฺณนา • 9. Dutiyaduṭṭhadosasikkhāpadavaṇṇanā