Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
๑๐. ทุติยโกสลสุตฺตวณฺณนา
10. Dutiyakosalasuttavaṇṇanā
๓๐. ทสเม อุคฺคนฺตฺวา ยุชฺฌติ เอตายาติ อุโยฺยธิกา, สตฺถปฺปหาเรหิ ยุชฺฌิตเสฺสตํ อธิวจนํฯ อุคฺคนฺตฺวา ยุชฺฌนํ วา อุโยฺยธิโก, สตฺถปฺปหาโรฯ เตนาห ‘‘ยุทฺธโต นิวโตฺต’’ติฯ อุปสฺสุติวเสน ยุชฺฌิตพฺพาการํ ญตฺวาติ เชตวเน กิร ทตฺตเตฺถโร ธนุคฺคหติสฺสเตฺถโรติ เทฺว มหลฺลกเตฺถรา วิหารปจฺจเนฺต ปณฺณสาลาย วสนฺติฯ เตสุ ธนุคฺคหติสฺสเตฺถโร ปจฺฉิมยาเม ปพุชฺฌิตฺวา อุฎฺฐาย นิสิโนฺน ทตฺตเตฺถรํ อามเนฺตตฺวา ‘‘อยํ เต มโหทโร โกสโล ภุตฺตภตฺตเมว ปูติํ กโรติ, ยุทฺธวิจารณํ ปน กิญฺจิ น ชานาติ, ปราชิโตเตฺวว วทาเปตี’’ติ วตฺวา เตน ‘‘กิํ ปน กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุเตฺต – ‘‘ภเนฺต, ยุโทฺธ นาม ปทุมพฺยูโห จกฺกพฺยูโห สกฎพฺยูโหติ ตโย พฺยูหา โหนฺติ, อชาตสตฺตุํ คณฺหิตุกาเมน อสุกสฺมิํ นาม ปพฺพตกุจฺฉิสฺมิํ ทฺวีสุ ปพฺพตภิตฺตีสุ มนุเสฺส ฐเปตฺวา ปุรโต ทุพฺพลํ ทเสฺสตฺวา ปพฺพตนฺตรํ ปวิฎฺฐภาวํ ชานิตฺวา ปวิฎฺฐมคฺคํ รุนฺธิตฺวา ปุรโต จ ปจฺฉโต จ อุโภสุ ปพฺพตภิตฺตีสุ วคฺคิตฺวา นทิตฺวา ชาลปกฺขิตฺตมจฺฉํ วิย กตฺวา สกฺกา คเหตุ’’นฺติฯ ตสฺมิํ ขเณ ‘‘ภิกฺขูนํ กถาสลฺลาปํ สุณาถา’’ติ รโญฺญ เปสิตจรปุริสา ตํ สุตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ตํ สุตฺวา ราชา สงฺคามเภริํ ปหราเปตฺวา คนฺตฺวา สกฎพฺยูหํ กตฺวา อชาตสตฺตุํ ชีวคฺคาหํ คณฺหิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อุปสฺสุติวเส…เป... อชาตสตฺตุํ คณฺหี’’ติฯ
30. Dasame uggantvā yujjhati etāyāti uyyodhikā, satthappahārehi yujjhitassetaṃ adhivacanaṃ. Uggantvā yujjhanaṃ vā uyyodhiko, satthappahāro. Tenāha ‘‘yuddhato nivatto’’ti. Upassutivasena yujjhitabbākāraṃ ñatvāti jetavane kira dattatthero dhanuggahatissattheroti dve mahallakattherā vihārapaccante paṇṇasālāya vasanti. Tesu dhanuggahatissatthero pacchimayāme pabujjhitvā uṭṭhāya nisinno dattattheraṃ āmantetvā ‘‘ayaṃ te mahodaro kosalo bhuttabhattameva pūtiṃ karoti, yuddhavicāraṇaṃ pana kiñci na jānāti, parājitotveva vadāpetī’’ti vatvā tena ‘‘kiṃ pana kātuṃ vaṭṭatī’’ti vutte – ‘‘bhante, yuddho nāma padumabyūho cakkabyūho sakaṭabyūhoti tayo byūhā honti, ajātasattuṃ gaṇhitukāmena asukasmiṃ nāma pabbatakucchismiṃ dvīsu pabbatabhittīsu manusse ṭhapetvā purato dubbalaṃ dassetvā pabbatantaraṃ paviṭṭhabhāvaṃ jānitvā paviṭṭhamaggaṃ rundhitvā purato ca pacchato ca ubhosu pabbatabhittīsu vaggitvā naditvā jālapakkhittamacchaṃ viya katvā sakkā gahetu’’nti. Tasmiṃ khaṇe ‘‘bhikkhūnaṃ kathāsallāpaṃ suṇāthā’’ti rañño pesitacarapurisā taṃ sutvā rañño ārocesuṃ. Taṃ sutvā rājā saṅgāmabheriṃ paharāpetvā gantvā sakaṭabyūhaṃ katvā ajātasattuṃ jīvaggāhaṃ gaṇhi. Tena vuttaṃ ‘‘upassutivase…pe... ajātasattuṃ gaṇhī’’ti.
โทณปากนฺติ โทณตณฺฑุลานํ ปกฺกภตฺตํฯ โทณนฺติ จตุนาฬิกานเมตมธิวจนํฯ มนุชสฺสาติ สตฺตสฺสฯ ตนุกสฺสาติ ตนุกา อปฺปิกา อสฺส ปุคฺคลสฺส, ภุตฺตปจฺจยา วิสภาคเวทนา น โหนฺติฯ สณิกนฺติ มนฺทํ มุทุกํ, อปริสฺสยเมวาติ อโตฺถฯ ชีรตีติ ปริภุตฺตาหาโร ปจฺจติฯ อายุ ปาลยนฺติ นิโรโค อเวทโน ชีวิตํ รกฺขโนฺตฯ อถ วา สณิกํ ชีรตีติ โส โภชเน มตฺตญฺญู ปุคฺคโล ปริมิตาหารตาย สณิกํ จิเรน ชีรติ ชรํ ปาปุณาติ ชีวิตํ ปาลยโนฺตฯ
Doṇapākanti doṇataṇḍulānaṃ pakkabhattaṃ. Doṇanti catunāḷikānametamadhivacanaṃ. Manujassāti sattassa. Tanukassāti tanukā appikā assa puggalassa, bhuttapaccayā visabhāgavedanā na honti. Saṇikanti mandaṃ mudukaṃ, aparissayamevāti attho. Jīratīti paribhuttāhāro paccati. Āyu pālayanti nirogo avedano jīvitaṃ rakkhanto. Atha vā saṇikaṃ jīratīti so bhojane mattaññū puggalo parimitāhāratāya saṇikaṃ cirena jīrati jaraṃ pāpuṇāti jīvitaṃ pālayanto.
อิมํ โอวาทํ อทาสีติ เอกสฺมิํ กิร (ธ. ป. อฎฺฐ. ๒.๒๐๓ ปเสนทิโกสลวตฺถุ) สมเย ราชา ตณฺฑุลโทณสฺส โอทนํ ตทุปิเยน สูปพฺยญฺชเนน ภุญฺชติฯ โส เอกทิวสํ ภุตฺตปาตราโส ภตฺตสมฺมทํ อวิโนเทตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา กิลนฺตรูโป อิโต จิโต จ สมฺปริวตฺตติ, นิทฺทาย อภิภุยฺยมาโนปิ ลหุกํ นิปชฺชิตุํ อสโกฺกโนฺต เอกมนฺตํ นิสีทิฯ อถ นํ สตฺถา อาห ‘‘กิํ, มหาราช, อวิสฺสมิตฺวาว อาคโตสี’’ติฯ อาม, ภเนฺต, ภุตฺตกาลโต ปฎฺฐาย เม มหาทุกฺขํ โหตีติฯ อถ นํ สตฺถา, ‘‘มหาราช, อติพหุโภชีนํ เอตํ ทุกฺขํ โหตี’’ติ วตฺวา –
Imaṃ ovādaṃ adāsīti ekasmiṃ kira (dha. pa. aṭṭha. 2.203 pasenadikosalavatthu) samaye rājā taṇḍuladoṇassa odanaṃ tadupiyena sūpabyañjanena bhuñjati. So ekadivasaṃ bhuttapātarāso bhattasammadaṃ avinodetvā satthu santikaṃ gantvā kilantarūpo ito cito ca samparivattati, niddāya abhibhuyyamānopi lahukaṃ nipajjituṃ asakkonto ekamantaṃ nisīdi. Atha naṃ satthā āha ‘‘kiṃ, mahārāja, avissamitvāva āgatosī’’ti. Āma, bhante, bhuttakālato paṭṭhāya me mahādukkhaṃ hotīti. Atha naṃ satthā, ‘‘mahārāja, atibahubhojīnaṃ etaṃ dukkhaṃ hotī’’ti vatvā –
‘‘มิทฺธี ยทา โหติ มหคฺฆโส จ,
‘‘Middhī yadā hoti mahagghaso ca,
นิทฺทายิตา สมฺปริวตฺตสายี;
Niddāyitā samparivattasāyī;
มหาวราโหว นิวาปปุโฎฺฐ,
Mahāvarāhova nivāpapuṭṭho,
ปุนปฺปุนํ คพฺภมุเปติ มโนฺท’’ติฯ (ธ. ป. ๓๒๕; เนตฺติ. ๒๖, ๙๐) –
Punappunaṃ gabbhamupeti mando’’ti. (dha. pa. 325; netti. 26, 90) –
อิมาย คาถาย โอวทิตฺวา, ‘‘มหาราช, โภชนํ นาม มตฺตาย ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติ, มตฺตโภชิโน หิ สุขํ โหตี’’ติ อุตฺตริปิ ปุน โอวทโนฺต ‘‘มนุชสฺส สทา สตีมโต’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๒๔) อิมํ คาถมาหฯ
Imāya gāthāya ovaditvā, ‘‘mahārāja, bhojanaṃ nāma mattāya bhuñjituṃ vaṭṭati, mattabhojino hi sukhaṃ hotī’’ti uttaripi puna ovadanto ‘‘manujassa sadā satīmato’’ti (saṃ. ni. 1.124) imaṃ gāthamāha.
ราชา ปน คาถํ อุคฺคณฺหิตุํ นาสกฺขิ, สมีเป ฐิตํ ปน ภาคิเนยฺยํ สุทสฺสนํ นาม มาณวํ ‘‘อิมํ คาถํ อุคฺคณฺห ตาตา’’ติ อาหฯ โส ตํ คาถํ อุคฺคณฺหิตฺวา ‘‘กิํ กโรมิ, ภเนฺต’’ติ สตฺถารํ ปุจฺฉิฯ อถ นํ สตฺถา อาห, ‘‘มาณว, อิมํ คาถํ นโฎ วิย ปตฺตปตฺตฎฺฐาเน มา อวจ, รโญฺญ ปาตราสํ ภุญฺชนฎฺฐาเน ฐตฺวา ปฐมปิณฺฑาทีสุปิ อวตฺวา อวสาเน ปิเณฺฑ คหิเต วเทยฺยาสิ, ราชา สุตฺวา ภตฺตปิณฺฑํ ฉเฑฺฑสฺสติฯ อถ รโญฺญ หเตฺถสุ โธเตสุ ปาติํ อปเนตฺวา สิตฺถานิ คเณตฺวา ตทุปิยํ พฺยญฺชนํ ญตฺวา ปุนทิวเส ตาวตเก ตณฺฑุเล หาเรยฺยาสิฯ ปาตราเส จ วตฺวา สายมาเส มา วเทยฺยาสี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ตํ ทิวสํ รโญฺญ ปาตราสํ ภุตฺวา คตตฺตา สายมาเส ภควโต อนุสิฎฺฐินิยาเมน คาถํ อภาสิฯ ราชา ทสพลสฺส วจนํ สริตฺวา ภตฺตปิณฺฑํ ปาติยํเยว ฉเฑฺฑสิฯ รโญฺญ หเตฺถสุ โธเตสุ ปาติํ อปเนตฺวา สิตฺถานิ คเณตฺวา ปุนทิวเส ตตฺตเก ตณฺฑุเล หริํสุ, โสปิ มาณโว ทิวเส ทิวเส ตถาคตสฺส สนฺติกํ คจฺฉติฯ ทสพลสฺส วิสฺสาสิโก อโหสิฯ อถ นํ เอกทิวสํ ปุจฺฉิ ‘‘ราชา กิตฺตกํ ภุญฺชตี’’ติ? โส ‘‘นาฬิโกทน’’นฺติ อาหฯ วฎฺฎิสฺสติ เอตฺตาวตา ปุริสภาโค เอส, อิโต ปฎฺฐาย คาถํ มา วทีติฯ ราชา ตเถว สณฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘นาฬิโกทนปรมตาย สณฺฐาสี’’ติฯ รตฺตญฺญุตาย วฑฺฒิตํ สีลํ อสฺส อตฺถีติ วฑฺฒิตสีโลฯ อโปถุชฺชนิเกหิ สีเลหีติ จตุปาริสุทฺธิสีเลหิ สีลํ อริยํ สุทฺธํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อริยสีโล’’ติฯ ตเทกํ อนวชฺชเฎฺฐน กุสลํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘กุสลสีโล’’ติฯ
Rājā pana gāthaṃ uggaṇhituṃ nāsakkhi, samīpe ṭhitaṃ pana bhāgineyyaṃ sudassanaṃ nāma māṇavaṃ ‘‘imaṃ gāthaṃ uggaṇha tātā’’ti āha. So taṃ gāthaṃ uggaṇhitvā ‘‘kiṃ karomi, bhante’’ti satthāraṃ pucchi. Atha naṃ satthā āha, ‘‘māṇava, imaṃ gāthaṃ naṭo viya pattapattaṭṭhāne mā avaca, rañño pātarāsaṃ bhuñjanaṭṭhāne ṭhatvā paṭhamapiṇḍādīsupi avatvā avasāne piṇḍe gahite vadeyyāsi, rājā sutvā bhattapiṇḍaṃ chaḍḍessati. Atha rañño hatthesu dhotesu pātiṃ apanetvā sitthāni gaṇetvā tadupiyaṃ byañjanaṃ ñatvā punadivase tāvatake taṇḍule hāreyyāsi. Pātarāse ca vatvā sāyamāse mā vadeyyāsī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā taṃ divasaṃ rañño pātarāsaṃ bhutvā gatattā sāyamāse bhagavato anusiṭṭhiniyāmena gāthaṃ abhāsi. Rājā dasabalassa vacanaṃ saritvā bhattapiṇḍaṃ pātiyaṃyeva chaḍḍesi. Rañño hatthesu dhotesu pātiṃ apanetvā sitthāni gaṇetvā punadivase tattake taṇḍule hariṃsu, sopi māṇavo divase divase tathāgatassa santikaṃ gacchati. Dasabalassa vissāsiko ahosi. Atha naṃ ekadivasaṃ pucchi ‘‘rājā kittakaṃ bhuñjatī’’ti? So ‘‘nāḷikodana’’nti āha. Vaṭṭissati ettāvatā purisabhāgo esa, ito paṭṭhāya gāthaṃ mā vadīti. Rājā tatheva saṇṭhāsi. Tena vuttaṃ ‘‘nāḷikodanaparamatāya saṇṭhāsī’’ti. Rattaññutāya vaḍḍhitaṃ sīlaṃ assa atthīti vaḍḍhitasīlo. Apothujjanikehi sīlehīti catupārisuddhisīlehi sīlaṃ ariyaṃ suddhaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘ariyasīlo’’ti. Tadekaṃ anavajjaṭṭhena kusalaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘kusalasīlo’’ti.
ทุติยโกสลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dutiyakosalasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
มหาวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mahāvaggavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑๐. ทุติยโกสลสุตฺตํ • 10. Dutiyakosalasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. ทุติยโกสลสุตฺตวณฺณนา • 10. Dutiyakosalasuttavaṇṇanā