Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๖. ทุติยโลกธมฺมสุตฺตํ
6. Dutiyalokadhammasuttaṃ
๖. ‘‘อฎฺฐิเม, ภิกฺขเว, โลกธมฺมา โลกํ อนุปริวตฺตนฺติ, โลโก จ อฎฺฐ โลกธเมฺม อนุปริวตฺตติฯ กตเม อฎฺฐ? ลาโภ จ, อลาโภ จ, ยโส จ, อยโส จ, นินฺทา จ, ปสํสา จ, สุขญฺจ, ทุกฺขญฺจฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, อฎฺฐ โลกธมฺมา โลกํ อนุปริวตฺตนฺติ, โลโก จ อิเม อฎฺฐ โลกธเมฺม อนุปริวตฺตติฯ
6. ‘‘Aṭṭhime, bhikkhave, lokadhammā lokaṃ anuparivattanti, loko ca aṭṭha lokadhamme anuparivattati. Katame aṭṭha? Lābho ca, alābho ca, yaso ca, ayaso ca, nindā ca, pasaṃsā ca, sukhañca, dukkhañca. Ime kho, bhikkhave, aṭṭha lokadhammā lokaṃ anuparivattanti, loko ca ime aṭṭha lokadhamme anuparivattati.
‘‘อสฺสุตวโต, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชนสฺส อุปฺปชฺชติ ลาโภปิ อลาโภปิ ยโสปิ อยโสปิ นินฺทาปิ ปสํสาปิ สุขมฺปิ ทุกฺขมฺปิฯ สุตวโตปิ, ภิกฺขเว, อริยสาวกสฺส อุปฺปชฺชติ ลาโภปิ อลาโภปิ ยโสปิ อยโสปิ นินฺทาปิ ปสํสาปิ สุขมฺปิ ทุกฺขมฺปิฯ ตตฺร, ภิกฺขเว, โก วิเสโส โก อธิปฺปยาโส 1 กิํ นานากรณํ สุตวโต อริยสาวกสฺส อสฺสุตวตา ปุถุชฺชเนนา’’ติ? ‘‘ภควํมูลกา โน, ภเนฺต, ธมฺมา ภควํเนตฺติกา ภควํปฎิสรณาฯ สาธุ วต, ภเนฺต, ภควนฺตํเยว ปฎิภาตุ เอตสฺส ภาสิตสฺส อโตฺถฯ ภควโต สุตฺวา ภิกฺขู ธาเรสฺสนฺตี’’ติฯ
‘‘Assutavato, bhikkhave, puthujjanassa uppajjati lābhopi alābhopi yasopi ayasopi nindāpi pasaṃsāpi sukhampi dukkhampi. Sutavatopi, bhikkhave, ariyasāvakassa uppajjati lābhopi alābhopi yasopi ayasopi nindāpi pasaṃsāpi sukhampi dukkhampi. Tatra, bhikkhave, ko viseso ko adhippayāso 2 kiṃ nānākaraṇaṃ sutavato ariyasāvakassa assutavatā puthujjanenā’’ti? ‘‘Bhagavaṃmūlakā no, bhante, dhammā bhagavaṃnettikā bhagavaṃpaṭisaraṇā. Sādhu vata, bhante, bhagavantaṃyeva paṭibhātu etassa bhāsitassa attho. Bhagavato sutvā bhikkhū dhāressantī’’ti.
‘‘เตน หิ, ภิกฺขเว, สุณาถ, สาธุกํ มนสิ กโรถ; ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ – ‘‘อสฺสุตวโต, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชนสฺส อุปฺปชฺชติ ลาโภฯ โส น อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อุปฺปโนฺน โข เม อยํ ลาโภ; โส จ โข อนิโจฺจ ทุโกฺข วิปริณามธโมฺม’ติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติฯ อุปฺปชฺชติ อลาโภ…เป.… อุปฺปชฺชติ ยโส… อุปฺปชฺชติ อยโส… อุปฺปชฺชติ นินฺทา… อุปฺปชฺชติ ปสํสา… อุปฺปชฺชติ สุขํ… อุปฺปชฺชติ ทุกฺขํฯ โส น อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อุปฺปนฺนํ โข เม อิทํ ทุกฺขํ; ตญฺจ โข อนิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺม’นฺติ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ’’ฯ
‘‘Tena hi, bhikkhave, suṇātha, sādhukaṃ manasi karotha; bhāsissāmī’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho te bhikkhū bhagavato paccassosuṃ. Bhagavā etadavoca – ‘‘assutavato, bhikkhave, puthujjanassa uppajjati lābho. So na iti paṭisañcikkhati – ‘uppanno kho me ayaṃ lābho; so ca kho anicco dukkho vipariṇāmadhammo’ti yathābhūtaṃ nappajānāti. Uppajjati alābho…pe… uppajjati yaso… uppajjati ayaso… uppajjati nindā… uppajjati pasaṃsā… uppajjati sukhaṃ… uppajjati dukkhaṃ. So na iti paṭisañcikkhati – ‘uppannaṃ kho me idaṃ dukkhaṃ; tañca kho aniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhamma’nti yathābhūtaṃ nappajānāti’’.
‘‘ตสฺส ลาโภปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ, อลาโภปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ยโสปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ, อยโสปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ, นินฺทาปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ปสํสาปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ, สุขมฺปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ทุกฺขมฺปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติฯ โส อุปฺปนฺนํ ลาภํ อนุรุชฺฌติ, อลาเภ ปฎิวิรุชฺฌติ; อุปฺปนฺนํ ยสํ อนุรุชฺฌติ, อยเส ปฎิวิรุชฺฌติ; อุปฺปนฺนํ ปสํสํ อนุรุชฺฌติ, นินฺทาย ปฎิวิรุชฺฌติ; อุปฺปนฺนํ สุขํ อนุรุชฺฌติ, ทุเกฺข ปฎิวิรุชฺฌติฯ โส เอวํ อนุโรธวิโรธสมาปโนฺน น ปริมุจฺจติ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิฯ ‘น ปริมุจฺจติ ทุกฺขสฺมา’ติ วทามิ’’ฯ
‘‘Tassa lābhopi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati, alābhopi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati, yasopi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati, ayasopi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati, nindāpi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati, pasaṃsāpi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati, sukhampi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati, dukkhampi cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati. So uppannaṃ lābhaṃ anurujjhati, alābhe paṭivirujjhati; uppannaṃ yasaṃ anurujjhati, ayase paṭivirujjhati; uppannaṃ pasaṃsaṃ anurujjhati, nindāya paṭivirujjhati; uppannaṃ sukhaṃ anurujjhati, dukkhe paṭivirujjhati. So evaṃ anurodhavirodhasamāpanno na parimuccati jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi. ‘Na parimuccati dukkhasmā’ti vadāmi’’.
‘‘สุตวโต จ โข, ภิกฺขเว, อริยสาวกสฺส อุปฺปชฺชติ ลาโภฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อุปฺปโนฺน โข เม อยํ ลาโภ; โส จ โข อนิโจฺจ ทุโกฺข วิปริณามธโมฺม’ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ อุปฺปชฺชติ อลาโภ…เป.… อุปฺปชฺชติ ยโส… อุปฺปชฺชติ อยโส… อุปฺปชฺชติ นินฺทา… อุปฺปชฺชติ ปสํสา… อุปฺปชฺชติ สุขํ… อุปฺปชฺชติ ทุกฺขํฯ โส อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘อุปฺปนฺนํ โข เม อิทํ ทุกฺขํ; ตญฺจ โข อนิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺม’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ’’ฯ
‘‘Sutavato ca kho, bhikkhave, ariyasāvakassa uppajjati lābho. So iti paṭisañcikkhati – ‘uppanno kho me ayaṃ lābho; so ca kho anicco dukkho vipariṇāmadhammo’ti yathābhūtaṃ pajānāti. Uppajjati alābho…pe… uppajjati yaso… uppajjati ayaso… uppajjati nindā… uppajjati pasaṃsā… uppajjati sukhaṃ… uppajjati dukkhaṃ. So iti paṭisañcikkhati – ‘uppannaṃ kho me idaṃ dukkhaṃ; tañca kho aniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhamma’nti yathābhūtaṃ pajānāti’’.
‘‘ตสฺส ลาโภปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, อลาโภปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ยโสปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, อยโสปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, นินฺทาปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ปสํสาปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, สุขมฺปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ทุกฺขมฺปิ จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติฯ โส อุปฺปนฺนํ ลาภํ นานุรุชฺฌติ, อลาเภ นปฺปฎิวิรุชฺฌติ; อุปฺปนฺนํ ยสํ นานุรุชฺฌติ, อยเส นปฺปฎิวิรุชฺฌติ; อุปฺปนฺนํ ปสํสํ นานุรุชฺฌติ, นินฺทาย นปฺปฎิวิรุชฺฌติ; อุปฺปนฺนํ สุขํ นานุรุชฺฌติ, ทุเกฺข นปฺปฎิวิรุชฺฌติฯ โส เอวํ อนุโรธวิโรธวิปฺปหีโน ปริมุจฺจติ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุเกฺขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิฯ ‘ปริมุจฺจติ ทุกฺขสฺมา’ติ วทามิฯ อยํ โข, ภิกฺขเว, วิเสโส อยํ อธิปฺปยาโส อิทํ นานากรณํ สุตวโต อริยสาวกสฺส อสฺสุตวตา ปุถุชฺชเนนา’’ติฯ
‘‘Tassa lābhopi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, alābhopi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, yasopi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, ayasopi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, nindāpi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, pasaṃsāpi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, sukhampi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, dukkhampi cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati. So uppannaṃ lābhaṃ nānurujjhati, alābhe nappaṭivirujjhati; uppannaṃ yasaṃ nānurujjhati, ayase nappaṭivirujjhati; uppannaṃ pasaṃsaṃ nānurujjhati, nindāya nappaṭivirujjhati; uppannaṃ sukhaṃ nānurujjhati, dukkhe nappaṭivirujjhati. So evaṃ anurodhavirodhavippahīno parimuccati jātiyā jarāya maraṇena sokehi paridevehi dukkhehi domanassehi upāyāsehi. ‘Parimuccati dukkhasmā’ti vadāmi. Ayaṃ kho, bhikkhave, viseso ayaṃ adhippayāso idaṃ nānākaraṇaṃ sutavato ariyasāvakassa assutavatā puthujjanenā’’ti.
‘‘ลาโภ อลาโภ จ ยสายโส จ,
‘‘Lābho alābho ca yasāyaso ca,
นินฺทา ปสํสา จ สุขํ ทุขญฺจ;
Nindā pasaṃsā ca sukhaṃ dukhañca;
เอเต อนิจฺจา มนุเชสุ ธมฺมา,
Ete aniccā manujesu dhammā,
อสสฺสตา วิปริณามธมฺมาฯ
Asassatā vipariṇāmadhammā.
‘‘เอเต จ ญตฺวา สติมา สุเมโธ,
‘‘Ete ca ñatvā satimā sumedho,
อเวกฺขติ วิปริณามธเมฺม;
Avekkhati vipariṇāmadhamme;
อิฎฺฐสฺส ธมฺมา น มเถนฺติ จิตฺตํ,
Iṭṭhassa dhammā na mathenti cittaṃ,
อนิฎฺฐโต โน ปฎิฆาตเมติฯ
Aniṭṭhato no paṭighātameti.
‘‘ตสฺสานุโรธา อถ วา วิโรธา,
‘‘Tassānurodhā atha vā virodhā,
วิธูปิตา อตฺถงฺคตา น สนฺติ;
Vidhūpitā atthaṅgatā na santi;
ปทญฺจ ญตฺวา วิรชํ อโสกํ,
Padañca ñatvā virajaṃ asokaṃ,
สมฺมปฺปชานาติ ภวสฺส ปารคู’’ติฯ ฉฎฺฐํ;
Sammappajānāti bhavassa pāragū’’ti. chaṭṭhaṃ;
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๖. ทุติยโลกธมฺมสุตฺตวณฺณนา • 6. Dutiyalokadhammasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๖-๘. ทุติยโลกธมฺมสุตฺตาทิวณฺณนา • 6-8. Dutiyalokadhammasuttādivaṇṇanā