Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปญฺจปกรณ-มูลฎีกา • Pañcapakaraṇa-mūlaṭīkā

    ๒. ทุติยนโย สงฺคหิเตนอสงฺคหิตปทวณฺณนา

    2. Dutiyanayo saṅgahitenaasaṅgahitapadavaṇṇanā

    ๑๗๑. สงฺคหิเตนอสงฺคหิตปทนิเทฺทเส ยํ ตํ อุเทฺทเส อสงฺคหิตตาย ปุจฺฉิตพฺพํ วิสฺสชฺชิตพฺพญฺจ สงฺคหิตตาวิสิฎฺฐํ อสงฺคหิตํ ธมฺมชาตํ นิทฺธาริตํ, ตเทว ตาว ทเสฺสโนฺต ‘‘จกฺขายตเนน เย ธมฺมา ขนฺธสงฺคเหน สงฺคหิตา อายตนธาตุสงฺคเหน อสงฺคหิตา’’ติ อาหฯ สพฺพตฺถ ขนฺธาทิสงฺคหสามญฺญานํ นิจฺจํ วิเสสาเปกฺขตฺตา เภทนิสฺสิตตฺตา จ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนานํ สวิเสสาว ขนฺธาทิคณนา สุทฺธาฯ ตตฺถ สงฺคหิเตนอสงฺคหิตวจนมเตฺตน ธมฺมวิเสสสฺส นิทฺธาริตตฺตา ตีสุ สงฺคเหสุ เอเกน ทฺวีหิ วา เย สงฺคหิตา หุตฺวา อเญฺญหิ อสงฺคหิตา, เตเยว ธมฺมา ‘‘ขนฺธสงฺคเหน สงฺคหิตา อายตนธาตุสงฺคเหน อสงฺคหิตา’’ติ เอตฺตเกเนว ทเสฺสตพฺพา สิยุํ, เตสํ ปน เอวํวิธานํ อสมฺภวา นยมาติกาย จ อพฺภนฺตรพาหิรมาติกาเปกฺขตฺตา อุเทฺทเสปิ ยํ ยํ รูปกฺขนฺธาทีสุ อรณเนฺตสุ สงฺคาหกํ, ตํ ตํ อเปกฺขิตฺวา สงฺคหิเตนอสงฺคหิตํ นิทฺธาริตนฺติ วิญฺญายตีติ เตน เตน สงฺคาหเกน ยถานิทฺธาริตํ ธมฺมํ นิยเมตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘จกฺขายตเนนา’’ติอาทิมาหฯ ยตฺถ หิ ปุจฺฉิตพฺพวิสฺสชฺชิตพฺพธมฺมวิเสสนิทฺธารณํ นตฺถิ, ตสฺมิํ ปฐมนเย ฉฎฺฐนเย จ ปุจฺฉิตพฺพวิสฺสชฺชิตพฺพภาเวน, อิตเรสุ จ ยํ ยํ ปุจฺฉิตพฺพวิสฺสชฺชิตพฺพํ นิทฺธาริตํ, ตสฺส ตสฺส นิยามกภาเวน รูปกฺขนฺธาทโย อรณนฺตา อุทฺทิฎฺฐาติฯ

    171. Saṅgahitenaasaṅgahitapadaniddese yaṃ taṃ uddese asaṅgahitatāya pucchitabbaṃ vissajjitabbañca saṅgahitatāvisiṭṭhaṃ asaṅgahitaṃ dhammajātaṃ niddhāritaṃ, tadeva tāva dassento ‘‘cakkhāyatanena ye dhammā khandhasaṅgahena saṅgahitā āyatanadhātusaṅgahena asaṅgahitā’’ti āha. Sabbattha khandhādisaṅgahasāmaññānaṃ niccaṃ visesāpekkhattā bhedanissitattā ca pucchāvissajjanānaṃ savisesāva khandhādigaṇanā suddhā. Tattha saṅgahitenaasaṅgahitavacanamattena dhammavisesassa niddhāritattā tīsu saṅgahesu ekena dvīhi vā ye saṅgahitā hutvā aññehi asaṅgahitā, teyeva dhammā ‘‘khandhasaṅgahena saṅgahitā āyatanadhātusaṅgahena asaṅgahitā’’ti ettakeneva dassetabbā siyuṃ, tesaṃ pana evaṃvidhānaṃ asambhavā nayamātikāya ca abbhantarabāhiramātikāpekkhattā uddesepi yaṃ yaṃ rūpakkhandhādīsu araṇantesu saṅgāhakaṃ, taṃ taṃ apekkhitvā saṅgahitenaasaṅgahitaṃ niddhāritanti viññāyatīti tena tena saṅgāhakena yathāniddhāritaṃ dhammaṃ niyametvā dassetuṃ ‘‘cakkhāyatanenā’’tiādimāha. Yattha hi pucchitabbavissajjitabbadhammavisesaniddhāraṇaṃ natthi, tasmiṃ paṭhamanaye chaṭṭhanaye ca pucchitabbavissajjitabbabhāvena, itaresu ca yaṃ yaṃ pucchitabbavissajjitabbaṃ niddhāritaṃ, tassa tassa niyāmakabhāvena rūpakkhandhādayo araṇantā uddiṭṭhāti.

    ตตฺถ ‘‘จกฺขายตเนน…เป.… โผฎฺฐพฺพธาตุยา’’ติ กตฺตุอเตฺถ กรณนิเทฺทโส ทฎฺฐโพฺพ, ‘‘ขนฺธสงฺคเหน อายตนสงฺคเหน ธาตุสงฺคเหนา’’ติ กรณเตฺถฯ เอตฺถ จ เยน เยน สงฺคาหเกน ขนฺธาทิสงฺคเหสุ เตน เตน สงฺคเหตพฺพาสงฺคเหตพฺพํ อญฺญํ อตฺถิ, ตํ ตเทว สงฺคาหกาสงฺคาหกภาเวน อุทฺธฎํฯ รูปกฺขเนฺธน ปน ขนฺธสงฺคเหน สงฺคเหตโพฺพ อโญฺญ ธโมฺม นตฺถิ, ตถา เวทนากฺขนฺธาทีหิ , น จ โส เอว ตสฺส สงฺคาหโก อสงฺคาหโก วา โหติฯ ยญฺจ ‘‘รูปกฺขโนฺธ เอเกน ขเนฺธน สงฺคหิโต’’ติ วุตฺตํ, ตญฺจ น ตเสฺสว เตน สงฺคหิตตํ สนฺธาย วุตฺตํ, รูปกฺขนฺธภาเวน ปน รูปกฺขนฺธวจเนน วา คหิตตํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ ปกาสิโตยมโตฺถฯ

    Tattha ‘‘cakkhāyatanena…pe… phoṭṭhabbadhātuyā’’ti kattuatthe karaṇaniddeso daṭṭhabbo, ‘‘khandhasaṅgahena āyatanasaṅgahena dhātusaṅgahenā’’ti karaṇatthe. Ettha ca yena yena saṅgāhakena khandhādisaṅgahesu tena tena saṅgahetabbāsaṅgahetabbaṃ aññaṃ atthi, taṃ tadeva saṅgāhakāsaṅgāhakabhāvena uddhaṭaṃ. Rūpakkhandhena pana khandhasaṅgahena saṅgahetabbo añño dhammo natthi, tathā vedanākkhandhādīhi , na ca so eva tassa saṅgāhako asaṅgāhako vā hoti. Yañca ‘‘rūpakkhandho ekena khandhena saṅgahito’’ti vuttaṃ, tañca na tasseva tena saṅgahitataṃ sandhāya vuttaṃ, rūpakkhandhabhāvena pana rūpakkhandhavacanena vā gahitataṃ sandhāya vuttanti pakāsitoyamattho.

    ยทิ จ โส เอว เตน สงฺคเยฺหยฺย, สงฺคหิเตนสมฺปยุตฺตวิปฺปยุตฺตปทนิเทฺทเส – ‘‘เวทนากฺขเนฺธน เย ธมฺมา ขนฺธสงฺคเหน สงฺคหิตา อายตนสงฺคเหน สงฺคหิตา ธาตุสงฺคเหน สงฺคหิตา, เต ธมฺมา ตีหิ ขเนฺธหิ เอเกนายตเนน สตฺตหิ ธาตูหิ สมฺปยุตฺตา’’ติอาทิ วตฺตพฺพํ สิยา, น จ วุตฺตํ, ตสฺมา ยถา จิตฺตํ จิเตฺตน สมฺปยุตฺตํ วิปฺปยุตฺตญฺจ น โหติ, เอวํ รูปกฺขโนฺธ รูปกฺขเนฺธน สงฺคหิโต อสงฺคหิโต จ น โหติ, ตถา เวทนากฺขนฺธาทโย เวทนากฺขนฺธาทีหิฯ น หิ โส เอว ตสฺส สภาโค วิสภาโค จาติฯ เตเนว น เอกเทสา วิย สมุทายสฺส, สมุทาโย เอกเทสานํ สงฺคาหโก อสงฺคาหโก จฯ ยถา รูปกฺขโนฺธ จกฺขายตนาทีนํ, ธมฺมายตนํ เวทนากฺขนฺธาทีนํ, สรณา ธมฺมา จตุนฺนํ ขนฺธานํฯ สมุทายโนฺตคธานญฺหิ เอกเทสานํ น วิภาโค อตฺถิ, เยน เต สมุทายสฺส สมุทาโย จ เตสํ สภาโค วิสภาโค จ สิยาติ, ตถา น สมุทาโย เอกเทสสภาควิสภาคานํ สงฺคาหโก อสงฺคาหโก จฯ ยถา ธมฺมายตนํ สุขุมรูปสภาคสฺส เวทนาทิวิสภาคสฺส จ รูปกฺขเนฺธกเทสสฺส ขนฺธสงฺคเหน, ชีวิตินฺทฺริยํ รูปารูปชีวิตสภาควิสภาคสฺส รูปกฺขเนฺธกเทสสฺส สงฺขารกฺขเนฺธกเทสสฺส จ ชีวิตวชฺชสฺส ขนฺธสงฺคเหเนวฯ น หิ เอกเทสสภาคํ สมุทายสภาคํ, นาปิ เอกเทสวิสภาคํ สมุทายวิสภาคนฺติ, ตสฺมา สติปิ อตฺตโต อตฺตนิ อโนฺตคธโต อเตฺตกเทสสภาคโต จ อญฺญสฺส อสงฺคาหกเตฺต สงฺคาหกตฺตเมว เอเตสํ นตฺถิ, เยน สงฺคหิตสฺส อสงฺคาหกา สิยุนฺติ สงฺคาหกตฺตาภาวโต เอว เอวรูปานํ อคฺคหณํ เวทิตพฺพํฯ

    Yadi ca so eva tena saṅgayheyya, saṅgahitenasampayuttavippayuttapadaniddese – ‘‘vedanākkhandhena ye dhammā khandhasaṅgahena saṅgahitā āyatanasaṅgahena saṅgahitā dhātusaṅgahena saṅgahitā, te dhammā tīhi khandhehi ekenāyatanena sattahi dhātūhi sampayuttā’’tiādi vattabbaṃ siyā, na ca vuttaṃ, tasmā yathā cittaṃ cittena sampayuttaṃ vippayuttañca na hoti, evaṃ rūpakkhandho rūpakkhandhena saṅgahito asaṅgahito ca na hoti, tathā vedanākkhandhādayo vedanākkhandhādīhi. Na hi so eva tassa sabhāgo visabhāgo cāti. Teneva na ekadesā viya samudāyassa, samudāyo ekadesānaṃ saṅgāhako asaṅgāhako ca. Yathā rūpakkhandho cakkhāyatanādīnaṃ, dhammāyatanaṃ vedanākkhandhādīnaṃ, saraṇā dhammā catunnaṃ khandhānaṃ. Samudāyantogadhānañhi ekadesānaṃ na vibhāgo atthi, yena te samudāyassa samudāyo ca tesaṃ sabhāgo visabhāgo ca siyāti, tathā na samudāyo ekadesasabhāgavisabhāgānaṃ saṅgāhako asaṅgāhako ca. Yathā dhammāyatanaṃ sukhumarūpasabhāgassa vedanādivisabhāgassa ca rūpakkhandhekadesassa khandhasaṅgahena, jīvitindriyaṃ rūpārūpajīvitasabhāgavisabhāgassa rūpakkhandhekadesassa saṅkhārakkhandhekadesassa ca jīvitavajjassa khandhasaṅgaheneva. Na hi ekadesasabhāgaṃ samudāyasabhāgaṃ, nāpi ekadesavisabhāgaṃ samudāyavisabhāganti, tasmā satipi attato attani antogadhato attekadesasabhāgato ca aññassa asaṅgāhakatte saṅgāhakattameva etesaṃ natthi, yena saṅgahitassa asaṅgāhakā siyunti saṅgāhakattābhāvato eva evarūpānaṃ aggahaṇaṃ veditabbaṃ.

    ยํ ปน ‘‘ธมฺมายตนํ อสงฺขตํ ขนฺธโต ฐเปตฺวา จตูหิ ขเนฺธหิ สงฺคหิต’’นฺติ (ธาตุ. ๒๕), ‘‘จกฺขายตนญฺจ โสตายตนญฺจ เอเกน ขเนฺธน สงฺคหิต’’นฺติ (ธาตุ. ๒๖) จ วุตฺตํ, น เตน เอกเทสานํ สมุทายสงฺคาหกตฺตํ, สมุทายสฺส จ เอกเทสสงฺคาหกตฺตํ ทเสฺสติ, จตุกฺขนฺธคณนเภเทหิ ปน ธมฺมายตนสฺส คเณตพฺพาคเณตพฺพภาเวน ปญฺจธา ภินฺนตํ, จกฺขายตนาทีนํ เอกกฺขนฺธคณเนน คเณตพฺพตาย เอกวิธตญฺจ ทเสฺสติฯ สงฺคาหกาสงฺคาหกนิรเปกฺขานํ คเณตพฺพาคเณตพฺพานํ ตํตํคณเนหิ คณนทสฺสนมตฺตเมว หิ ปฐมนโย กมฺมกรณมตฺตสพฺภาวา, ทุติยาทโย ปน สงฺคาหกาสงฺคาหเกหิ สงฺคหิตาสงฺคหิตานํ อคณนาทิทสฺสนานิ กตฺตุกรณกมฺมตฺตยสพฺภาวา ฯ ตถา ปฐมนเย ตถา ตถา คเณตพฺพาคเณตพฺพภาวสงฺขาโต ตํตํขนฺธาทิภาวาภาโว สภาควิสภาคตา , ทุติยาทีสุ ยถานิทฺธาริตธมฺมทสฺสเน สงฺคาหกสงฺคเหตพฺพานํ สมานกฺขนฺธาทิภาโว สภาคตา, ตทภาโว จ วิสภาคตาฯ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชเนสุ ตํตํขนฺธาทิภาวาภาโว เอวาติ อยเมเตสํ วิเสโสติฯ

    Yaṃ pana ‘‘dhammāyatanaṃ asaṅkhataṃ khandhato ṭhapetvā catūhi khandhehi saṅgahita’’nti (dhātu. 25), ‘‘cakkhāyatanañca sotāyatanañca ekena khandhena saṅgahita’’nti (dhātu. 26) ca vuttaṃ, na tena ekadesānaṃ samudāyasaṅgāhakattaṃ, samudāyassa ca ekadesasaṅgāhakattaṃ dasseti, catukkhandhagaṇanabhedehi pana dhammāyatanassa gaṇetabbāgaṇetabbabhāvena pañcadhā bhinnataṃ, cakkhāyatanādīnaṃ ekakkhandhagaṇanena gaṇetabbatāya ekavidhatañca dasseti. Saṅgāhakāsaṅgāhakanirapekkhānaṃ gaṇetabbāgaṇetabbānaṃ taṃtaṃgaṇanehi gaṇanadassanamattameva hi paṭhamanayo kammakaraṇamattasabbhāvā, dutiyādayo pana saṅgāhakāsaṅgāhakehi saṅgahitāsaṅgahitānaṃ agaṇanādidassanāni kattukaraṇakammattayasabbhāvā . Tathā paṭhamanaye tathā tathā gaṇetabbāgaṇetabbabhāvasaṅkhāto taṃtaṃkhandhādibhāvābhāvo sabhāgavisabhāgatā , dutiyādīsu yathāniddhāritadhammadassane saṅgāhakasaṅgahetabbānaṃ samānakkhandhādibhāvo sabhāgatā, tadabhāvo ca visabhāgatā. Pucchāvissajjanesu taṃtaṃkhandhādibhāvābhāvo evāti ayametesaṃ visesoti.

    สมุทยสจฺจสุขินฺทฺริยสทิสานิ ปน เตหิ สงฺคเหตพฺพเมว อตฺถิ, น สงฺคหิตํ อสงฺคเหตพฺพนฺติ อสงฺคาหกตฺตาภาวโต น อุทฺธฎานิฯ ทุกฺขสจฺจสทิสานิ เตหิ วิสภาคสมุทายภูเตหิ อเนกกฺขเนฺธหิ ขนฺธสงฺคเหน สงฺคเหตพฺพํ, อิตเรหิ อสงฺคเหตพฺพญฺจ นตฺถีติ สงฺคาหกตฺตาสงฺคาหกตฺตาภาวโตฯ เอวํ สงฺคาหกตฺตาภาวโต อสงฺคาหกตฺตาภาวโต อุภยาภาวโต จ ยถาวุตฺตสทิสานิ อนุทฺธริตฺวา สงฺคาหกตฺตาสงฺคาหกตฺตภาวโต จกฺขายตนาทีเนว อุทฺธฎานีติ เวทิตพฺพานิฯ ตตฺถ ‘‘จกฺขายตเนน เย ธมฺมา ขนฺธสงฺคเหน สงฺคหิตา’’ติ จกฺขายตนวชฺชา รูปธมฺมา ขนฺธสงฺคเหน สงฺคหิตาติ เวทิตพฺพา, น รูปกฺขโนฺธติฯ น หิ เอกเทโส สมุทายสงฺคาหโกติ ทสฺสิตเมตนฺติฯ

    Samudayasaccasukhindriyasadisāni pana tehi saṅgahetabbameva atthi, na saṅgahitaṃ asaṅgahetabbanti asaṅgāhakattābhāvato na uddhaṭāni. Dukkhasaccasadisāni tehi visabhāgasamudāyabhūtehi anekakkhandhehi khandhasaṅgahena saṅgahetabbaṃ, itarehi asaṅgahetabbañca natthīti saṅgāhakattāsaṅgāhakattābhāvato. Evaṃ saṅgāhakattābhāvato asaṅgāhakattābhāvato ubhayābhāvato ca yathāvuttasadisāni anuddharitvā saṅgāhakattāsaṅgāhakattabhāvato cakkhāyatanādīneva uddhaṭānīti veditabbāni. Tattha ‘‘cakkhāyatanena ye dhammā khandhasaṅgahena saṅgahitā’’ti cakkhāyatanavajjā rūpadhammā khandhasaṅgahena saṅgahitāti veditabbā, na rūpakkhandhoti. Na hi ekadeso samudāyasaṅgāhakoti dassitametanti.

    อฎฺฐกถายํ ปน ขนฺธปเทนาติ ขนฺธปทสงฺคเหนาติ อโตฺถ, น สงฺคาหเกนาติฯ ‘‘เกนจิ สงฺคาหเกนา’’ติ อิทํ ปน อาเนตฺวา วตฺตพฺพํฯ ตํ ปน รูปกฺขนฺธาทีสุ น ยุชฺชตีติ ตํ วิสฺสชฺชนํ รูปกฺขนฺธาทีสุ สงฺคาหเกสุ น ยุชฺชตีติ อโตฺถฯ รูปกฺขเนฺธน หิ…เป.… สงฺคหิโตติ เอเตน นเยน จกฺขายตเนน รูปกฺขโนฺธว สงฺคหิโต, โส จ อเฑฺฒกาทสหิ อายตนธาตูหิ อสงฺคหิโต นาม นตฺถีติ เอวํ จกฺขายตนาทีนิปิ น คเหตพฺพานีติ อาปชฺชตีติ เจ? นาปชฺชติฯ น หิ อญฺญมตฺตนิวารณํ เอวสทฺทสฺส อโตฺถ, อถ โข สงฺคาหกโต อญฺญนิวารณํฯ โส จาติอาทิ จ น นิรเปกฺขวจนํ, อถ โข สงฺคาหกาเปกฺขนฺติฯ กถํ? รูปกฺขเนฺธน หิ รูปกฺขโนฺธว สงฺคหิโตติ ยถา จกฺขายตเนน จกฺขายตนโต อญฺญมฺปิ ขนฺธสงฺคเหน สงฺคหิตํ อตฺถิ, ยํ อายตนธาตุสงฺคเหหิ อสงฺคหิตํ โหติ, น เอวํ รูปกฺขเนฺธน รูปกฺขนฺธโต อญฺญํ ขนฺธสงฺคเหน สงฺคหิตํ อตฺถิ, ยํ อายตนธาตุสงฺคเหหิ อสงฺคหิตํ สิยา, รูปกฺขเนฺธน ปน รูปกฺขโนฺธว ขนฺธสงฺคเหน สงฺคหิโตติ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย ยุโตฺตฯ สิยา ปเนตํ ‘‘โส เอว รูปกฺขโนฺธ รูปกฺขเนฺธน อายตนธาตุสงฺคเหหิ อสงฺคหิโต โหตู’’ติ, ตํ นิวาเรโนฺต อาห ‘‘โส จ อเฑฺฒกาทสหิ อายตนธาตูหิ อสงฺคหิโต นาม นตฺถี’’ติ ฯ เอตฺถ จ ‘‘รูปกฺขเนฺธนา’’ติ อาเนตฺวา วตฺตพฺพํฯ ตตฺถ รูปกฺขโนฺธ รูปกฺขนฺธสฺส วา ตเทกเทสานํ วา จกฺขาทีนํ อายตนธาตุสงฺคเหหิ สงฺคาหโก อสงฺคาหโก จ น โหตีติ อิมินา ปริยาเยน อสงฺคหิตตาย อภาโว วุโตฺตติ ยุชฺชติ, น รูปกฺขเนฺธน รูปกฺขนฺธสฺส ตเทกเทสานํ วา อเฑฺฒกาทสหิ อายตนธาตุสงฺคเหหิ สงฺคหิตตายฯ น หิ สา สงฺคหิตตา อตฺถิฯ ยทิ สิยา, สงฺคหิเตนสมฺปยุตฺตวิปฺปยุตฺตปทนิเทฺทเส รูปกฺขโนฺธปิ อุทฺธริตโพฺพ สิยาฯ เตน หิ ตีหิปิ สงฺคเหหิ รูปกฺขโนฺธ ตเทกเทโส วา สงฺคหิตา สิยุํ, อตฺถิ จ เตสํ วิปฺปยุตฺตตาติฯ

    Aṭṭhakathāyaṃ pana khandhapadenāti khandhapadasaṅgahenāti attho, na saṅgāhakenāti. ‘‘Kenaci saṅgāhakenā’’ti idaṃ pana ānetvā vattabbaṃ. Taṃ pana rūpakkhandhādīsu na yujjatīti taṃ vissajjanaṃ rūpakkhandhādīsu saṅgāhakesu na yujjatīti attho. Rūpakkhandhena hi…pe… saṅgahitoti etena nayena cakkhāyatanena rūpakkhandhova saṅgahito, so ca aḍḍhekādasahi āyatanadhātūhi asaṅgahito nāma natthīti evaṃ cakkhāyatanādīnipi na gahetabbānīti āpajjatīti ce? Nāpajjati. Na hi aññamattanivāraṇaṃ evasaddassa attho, atha kho saṅgāhakato aññanivāraṇaṃ. So cātiādi ca na nirapekkhavacanaṃ, atha kho saṅgāhakāpekkhanti. Kathaṃ? Rūpakkhandhena hi rūpakkhandhova saṅgahitoti yathā cakkhāyatanena cakkhāyatanato aññampi khandhasaṅgahena saṅgahitaṃ atthi, yaṃ āyatanadhātusaṅgahehi asaṅgahitaṃ hoti, na evaṃ rūpakkhandhena rūpakkhandhato aññaṃ khandhasaṅgahena saṅgahitaṃ atthi, yaṃ āyatanadhātusaṅgahehi asaṅgahitaṃ siyā, rūpakkhandhena pana rūpakkhandhova khandhasaṅgahena saṅgahitoti ayañhettha adhippāyo yutto. Siyā panetaṃ ‘‘so eva rūpakkhandho rūpakkhandhena āyatanadhātusaṅgahehi asaṅgahito hotū’’ti, taṃ nivārento āha ‘‘so ca aḍḍhekādasahi āyatanadhātūhi asaṅgahito nāma natthī’’ti . Ettha ca ‘‘rūpakkhandhenā’’ti ānetvā vattabbaṃ. Tattha rūpakkhandho rūpakkhandhassa vā tadekadesānaṃ vā cakkhādīnaṃ āyatanadhātusaṅgahehi saṅgāhako asaṅgāhako ca na hotīti iminā pariyāyena asaṅgahitatāya abhāvo vuttoti yujjati, na rūpakkhandhena rūpakkhandhassa tadekadesānaṃ vā aḍḍhekādasahi āyatanadhātusaṅgahehi saṅgahitatāya. Na hi sā saṅgahitatā atthi. Yadi siyā, saṅgahitenasampayuttavippayuttapadaniddese rūpakkhandhopi uddharitabbo siyā. Tena hi tīhipi saṅgahehi rūpakkhandho tadekadeso vā saṅgahitā siyuṃ, atthi ca tesaṃ vippayuttatāti.

    เอวํ อสงฺคหิตตาย อภาวโต เอตานิ, อญฺญานิ จาติ เอตฺถาปิ จกฺขายตนาทีหิ วิย เอเตหิ อเญฺญหิ จ สงฺคหิตานํ อสงฺคหิตตาย อภาวโต เอตานิ อญฺญานิ จ ยถา วา ตถา วา เอตานิ วิย อยุชฺชมานวิสฺสชฺชนตฺตา เอวรูปานิ ปทานิ สงฺคาหกภาเวน น คหิตานีติ อธิปฺปาโยฯ

    Evaṃ asaṅgahitatāya abhāvato etāni, aññāni cāti etthāpi cakkhāyatanādīhi viya etehi aññehi ca saṅgahitānaṃ asaṅgahitatāya abhāvato etāni aññāni ca yathā vā tathā vā etāni viya ayujjamānavissajjanattā evarūpāni padāni saṅgāhakabhāvena na gahitānīti adhippāyo.

    ตตฺถ ยํ วุตฺตํ ‘‘รูปกฺขเนฺธน หิ รูปกฺขโนฺธว สงฺคหิโต’’ติ, ตํ เตเนว ตสฺส สงฺคหิตตฺตาสงฺคหิตตฺตาภาวทสฺสเนน นิวาริตํฯ ยเญฺหตฺถ อคฺคหเณ การณํ วุตฺตํ, ตญฺจ สติปิ สงฺคหิตเตฺต อสงฺคหิตตาย อภาวโตติ วิญฺญายมานํ สมุทยสจฺจาทีสุ ยุเชฺชยฺย สติ เตหิ สงฺคหิเต ตทสงฺคหิตตฺตาภาวโตฯ รูปกฺขนฺธาทีหิ ปน สงฺคหิตเมว นตฺถิ, กุโต ตสฺส อสงฺคหิตตา ภวิสฺสติ, ตสฺมา สงฺคาหกตฺตาภาโว เอเวตฺถ อคฺคหเณ การณนฺติ ยุตฺตํฯ สงฺคหิตตฺตาภาเวน อสงฺคหิตตฺตํ ยทิปิ รูปกฺขนฺธาทินา อตฺตโน อตฺตนิ อโนฺตคธสฺส อเตฺตกเทสสภาคสฺส จ นตฺถิ, อญฺญสฺส ปน อตฺถีติ น ทุกฺขสจฺจาทีสุ วิย อุภยาภาโว เจตฺถ อคฺคหเณ การณํ ภวิตุํ ยุโตฺตติฯ ธมฺมายตนชีวิตินฺทฺริยาทีนญฺจ ขนฺธจตุกฺกทุกาทิสงฺคาหกเตฺต สติ น เตสํ สงฺคหิตานํ เตหิ ธมฺมายตนชีวิตินฺทฺริยาทีหิ อายตนธาตุสงฺคเหหิ อสงฺคหิตตา นตฺถีติ อสงฺคหิตตาย อภาโว อเนกนฺติโก, ตสฺมา ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว อคฺคหิตานํ อคฺคหเณ, คหิตานญฺจ คหเณ การณํ เวทิตพฺพนฺติฯ

    Tattha yaṃ vuttaṃ ‘‘rūpakkhandhena hi rūpakkhandhova saṅgahito’’ti, taṃ teneva tassa saṅgahitattāsaṅgahitattābhāvadassanena nivāritaṃ. Yañhettha aggahaṇe kāraṇaṃ vuttaṃ, tañca satipi saṅgahitatte asaṅgahitatāya abhāvatoti viññāyamānaṃ samudayasaccādīsu yujjeyya sati tehi saṅgahite tadasaṅgahitattābhāvato. Rūpakkhandhādīhi pana saṅgahitameva natthi, kuto tassa asaṅgahitatā bhavissati, tasmā saṅgāhakattābhāvo evettha aggahaṇe kāraṇanti yuttaṃ. Saṅgahitattābhāvena asaṅgahitattaṃ yadipi rūpakkhandhādinā attano attani antogadhassa attekadesasabhāgassa ca natthi, aññassa pana atthīti na dukkhasaccādīsu viya ubhayābhāvo cettha aggahaṇe kāraṇaṃ bhavituṃ yuttoti. Dhammāyatanajīvitindriyādīnañca khandhacatukkadukādisaṅgāhakatte sati na tesaṃ saṅgahitānaṃ tehi dhammāyatanajīvitindriyādīhi āyatanadhātusaṅgahehi asaṅgahitatā natthīti asaṅgahitatāya abhāvo anekantiko, tasmā pubbe vuttanayeneva aggahitānaṃ aggahaṇe, gahitānañca gahaṇe kāraṇaṃ veditabbanti.

    อนิทสฺสนํ ปุนเทว สปฺปฎิฆนฺติ เอตฺถ อนิทสฺสนนฺติ เอเตน ‘‘สนิทสฺสนสปฺปฎิฆ’’นฺติ เอตฺถ วุเตฺตน สปฺปฎิฆสเทฺทน สทฺธิํ โยเชตฺวา อนิทสฺสนสปฺปฎิฆา ทสฺสิตาฯ ปุนเทวาติ เอเตน ตเตฺถว อวิสิฎฺฐํ สนิทสฺสนปทํ นิวเตฺตตฺวา คณฺหโนฺต สนิทสฺสนทุกปทํ ทเสฺสติฯ ‘‘จกฺขายตเนน จกฺขายตนเมเวกํ สงฺคหิต’’นฺติ อิทํ น สกฺกา วตฺตุํฯ น หิ ‘‘จกฺขายตเนน จกฺขายตนํ อายตนสงฺคเหน สงฺคหิต’’นฺติ จ ‘‘อสงฺคหิต’’นฺติ จ วตฺตพฺพนฺติ ทสฺสิโตยํ นโยติฯ เอวํ สพฺพตฺถ ตเสฺสว สมุทาเยกเทสานญฺจ สงฺคาหกสงฺคหิตนฺติ วจเนสุ อสงฺคาหกอสงฺคหิตนฺติ วจเนสุ จ ตทวตฺตพฺพตา โยเชตพฺพาฯ อสงฺคาหกตฺตาภาวโต เอว หิ จกฺขายตนาทีนิ จกฺขายตนาทีหิ อสงฺคหิตานีติ น วุจฺจนฺติ, น สงฺคาหกตฺตาภาวโตติฯ

    Anidassanaṃ punadeva sappaṭighanti ettha anidassananti etena ‘‘sanidassanasappaṭigha’’nti ettha vuttena sappaṭighasaddena saddhiṃ yojetvā anidassanasappaṭighā dassitā. Punadevāti etena tattheva avisiṭṭhaṃ sanidassanapadaṃ nivattetvā gaṇhanto sanidassanadukapadaṃ dasseti. ‘‘Cakkhāyatanena cakkhāyatanamevekaṃ saṅgahita’’nti idaṃ na sakkā vattuṃ. Na hi ‘‘cakkhāyatanena cakkhāyatanaṃ āyatanasaṅgahena saṅgahita’’nti ca ‘‘asaṅgahita’’nti ca vattabbanti dassitoyaṃ nayoti. Evaṃ sabbattha tasseva samudāyekadesānañca saṅgāhakasaṅgahitanti vacanesu asaṅgāhakaasaṅgahitanti vacanesu ca tadavattabbatā yojetabbā. Asaṅgāhakattābhāvato eva hi cakkhāyatanādīni cakkhāyatanādīhi asaṅgahitānīti na vuccanti, na saṅgāhakattābhāvatoti.

    ทุติยนยสงฺคหิเตนอสงฺคหิตปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dutiyanayasaṅgahitenaasaṅgahitapadavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธาตุกถาปาฬิ • Dhātukathāpāḷi / ๒. สงฺคหิเตนอสงฺคหิตปทนิเทฺทโส • 2. Saṅgahitenaasaṅgahitapadaniddeso

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ปญฺจปกรณ-อฎฺฐกถา • Pañcapakaraṇa-aṭṭhakathā / ๒. ทุติยนโย สงฺคหิเตนอสงฺคหิตปทวณฺณนา • 2. Dutiyanayo saṅgahitenaasaṅgahitapadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ปญฺจปกรณ-อนุฎีกา • Pañcapakaraṇa-anuṭīkā / ๒. ทุติยนโย สงฺคหิเตนอสงฺคหิตปทวณฺณนา • 2. Dutiyanayo saṅgahitenaasaṅgahitapadavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact