Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-อภินว-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-abhinava-ṭīkā

    ๒. ทุติยปาราชิกวณฺณนา

    2. Dutiyapārājikavaṇṇanā

    เอตฺถาติ เอเตสุ ทฺวีสุฯ เอกกุฎิกาทิเภโท สโพฺพปิ คาโมติ เวทิตโพฺพติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถ เอกกุฎิกาทิเภโทติ ยสฺมิํ คาเม เอกา เอว กุฎิ เอกํ เคหํ เสยฺยถาปิ มลยชนปเท, อยํ เอกกุฎิโก คาโม นามฯ อาทิสเทฺทน ‘‘ทฺวิกุฎิโกปิ คาโม, ติกุฎิโกปิ คาโม, จตุกฺกุฎิโกปิ คาโม’’ติ (ปารา. ๙๒) วุตฺตปฺปเภทํ สงฺคณฺหาติฯ อภินวนิวิโฎฺฐ เอกกุฎิกาทิคาโม ปน ยาว มนุสฺสา ปวิสิตฺวา วาสํ น กเปฺปนฺติ, ตาว คามสงฺขํ น คจฺฉติฯ กิํภูโตติ อาห ‘‘ปริกฺขิโตฺต วา’’ติอาทิฯ ตตฺถ ปริกฺขิโตฺต นาม อิฎฺฐกปาการํ อาทิํ กตฺวา อนฺตมโส กณฺฎกสาขาหิปิ ปริกฺขิโตฺตฯ ตพฺพิปรีโต อปริกฺขิโตฺตอมนุโสฺส นาม โย สพฺพโส วา มนุสฺสานํ อภาเวน ยกฺขปริคฺคหภูโต, ยโต วา มนุสฺสา เกนจิ กรณีเยน ปุนปิ อาคนฺตุกามา เอว อปกฺกนฺตา, ยโต ปน นิรเปกฺขา หุตฺวา ปกฺกมนฺติ, โส คามสงฺขํ น คจฺฉติฯ น เกวลํ เอกกุฎิกาทิเภโทวาติ อาห ‘‘อนฺตมโส’’ติอาทิฯ โย โกจิ สโตฺถปีติ ชงฺฆสตฺถสกฎสตฺถาทีสุ โย โกจิ สโตฺถปิฯ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท นิคมนครานิ วิย คามคฺคหเณเนว คามูปจาโรปิ สงฺคหิโตติ อาห ‘‘ฐเปตฺวา คามญฺจ คามูปจารญฺจา’’ติฯ อญฺญถา ปน มาติกาย อนวเสสโต อวหารฎฺฐานปริคฺคโห กโต นาม น โหติ, น จ พุทฺธา สาวเสสํ ปาราชิกํ ปญฺญาเปนฺติฯ

    Etthāti etesu dvīsu. Ekakuṭikādibhedo sabbopi gāmoti veditabboti sambandho. Tattha ekakuṭikādibhedoti yasmiṃ gāme ekā eva kuṭi ekaṃ gehaṃ seyyathāpi malayajanapade, ayaṃ ekakuṭiko gāmo nāma. Ādisaddena ‘‘dvikuṭikopi gāmo, tikuṭikopi gāmo, catukkuṭikopi gāmo’’ti (pārā. 92) vuttappabhedaṃ saṅgaṇhāti. Abhinavaniviṭṭho ekakuṭikādigāmo pana yāva manussā pavisitvā vāsaṃ na kappenti, tāva gāmasaṅkhaṃ na gacchati. Kiṃbhūtoti āha ‘‘parikkhitto vā’’tiādi. Tattha parikkhitto nāma iṭṭhakapākāraṃ ādiṃ katvā antamaso kaṇṭakasākhāhipi parikkhitto. Tabbiparīto aparikkhitto. Amanusso nāma yo sabbaso vā manussānaṃ abhāvena yakkhapariggahabhūto, yato vā manussā kenaci karaṇīyena punapi āgantukāmā eva apakkantā, yato pana nirapekkhā hutvā pakkamanti, so gāmasaṅkhaṃ na gacchati. Na kevalaṃ ekakuṭikādibhedovāti āha ‘‘antamaso’’tiādi. Yo koci satthopīti jaṅghasatthasakaṭasatthādīsu yo koci satthopi. Imasmiṃ sikkhāpade nigamanagarāni viya gāmaggahaṇeneva gāmūpacāropi saṅgahitoti āha ‘‘ṭhapetvā gāmañca gāmūpacārañcā’’ti. Aññathā pana mātikāya anavasesato avahāraṭṭhānapariggaho kato nāma na hoti, na ca buddhā sāvasesaṃ pārājikaṃ paññāpenti.

    ตตฺถาติ เตสุ คามคามูปจาเรสุฯ ทฺวาเรติ นิพฺพโกสสฺส อุทกปตนฎฺฐานโต อพฺภนฺตเรฯ อโนฺตเคเหติ ปมุขสฺส อพฺภนฺตเรฯ กตปริเกฺขโปติ ปาการวติอาทีหิ กตปริเกฺขโปฯ สุปฺปปตนาทิปริเจฺฉโท ปเนตฺถ อปริกฺขิตฺตฆรํ สนฺธาย วุโตฺตฯ น เกวลํ ฆรสฺส ปุรโต, อถ โข สมนฺตโต ตตฺตโกว ปริเจฺฉโท ฆรูปจาโร นามาติ คเหตพฺพํฯ ‘‘ปุรโต’’ติอาทิกํ ปน โลกิเยหิ ตถากรณโต วุตฺตํฯ ถามมชฺฌิมสฺสาติ มชฺฌิมถามสฺส, เนว อปฺปถามสฺส, น มหาถามสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘ยถา ตรุณมนุสฺสา’’ติอาทินา ยถา มาตุคาโม กาเก อุฑฺฑาเปโนฺต อุชุกเมว หตฺถํ อุกฺขิปิตฺวา เลฑฺฑุํ ขิปติ, ยถา จ อุทกุเกฺขเป อุทกํ ขิปนฺติ, เอวํ ขิตฺตสฺส เลฑฺฑุสฺส ปติตฎฺฐานํ ปฎิกฺขิปติฯ ปวตฺติตฺวาติ ลุฐิตฺวา, ปริวตฺติตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺส สเจ เทฺว อินฺทขีลา โหนฺตีติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๙๒) ตสฺส ปริกฺขิตฺตสฺส คามสฺส สเจ อนุราธปุรเสฺสว เทฺว อุมฺมารา โหนฺติฯ ยสฺส ปน เอโก, ตสฺส คามทฺวารพาหานํ เวมเชฺฌ ฐิตสฺส เลฑฺฑุปาตพฺภนฺตรํ คามูปจาโร นามฯ ยตฺร ปน อินฺทขีโล นตฺถิ, ตตฺร คามทฺวารพาหานํ เวมชฺฌํฯ ยตฺร ทฺวารพาหาปิ นตฺถิ, ตตฺถ อุโภสุ ปเสฺสสุ วติยา วา ปาการสฺส วา โกฎิเวมชฺฌํว อินฺทขีลฎฺฐานิยตฺตา อินฺทขีโลติ คเหตพฺพํฯ โย ปน คาโม ปุเพฺพ มหา หุตฺวา ปจฺฉา กุเลสุ นเฎฺฐสุ อปฺปโก โหติ, โส ฆรูปจารโต เลฑฺฑุปาเตเนว ปริจฺฉินฺทิตโพฺพฯ ปุริมปริเจฺฉโท ปนสฺส ปริกฺขิตฺตสฺสาปิ อปริกฺขิตฺตสฺสาปิ อปฺปมาณเมวาติฯ นนุ เจตํ อปริกฺขิตฺตสฺส อุปจารทสฺสนํ ปทภาชเนน วิรุทฺธมิว ทิสฺสติฯ ตตฺถ หิ ‘‘คามูปจาโร นาม ปริกฺขิตฺตสฺส คามสฺส อินฺทขีเล ฐิตสฺส มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส เลฑฺฑุปาโต’’ติ (ปารา. ๙๒) วตฺวา ‘‘อปริกฺขิตฺตสฺส คามสฺส ฆรูปจาเร ฐิตสฺส มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส เลฑฺฑุปาโต’’ติ (ปารา. ๙๒) เอตฺตกเมว วุตฺตํ, น ปน ตํ เลฑฺฑุปาตํ คามสเงฺขปํ กตฺวา ตโต ปรํ คามูปจาโรติ วุโตฺตติ อาห ‘‘ปทภาชเนปิ หิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพ’’ติฯ

    Tatthāti tesu gāmagāmūpacāresu. Dvāreti nibbakosassa udakapatanaṭṭhānato abbhantare. Antogeheti pamukhassa abbhantare. Kataparikkhepoti pākāravatiādīhi kataparikkhepo. Suppapatanādiparicchedo panettha aparikkhittagharaṃ sandhāya vutto. Na kevalaṃ gharassa purato, atha kho samantato tattakova paricchedo gharūpacāro nāmāti gahetabbaṃ. ‘‘Purato’’tiādikaṃ pana lokiyehi tathākaraṇato vuttaṃ. Thāmamajjhimassāti majjhimathāmassa, neva appathāmassa, na mahāthāmassāti vuttaṃ hoti. ‘‘Yathā taruṇamanussā’’tiādinā yathā mātugāmo kāke uḍḍāpento ujukameva hatthaṃ ukkhipitvā leḍḍuṃ khipati, yathā ca udakukkhepe udakaṃ khipanti, evaṃ khittassa leḍḍussa patitaṭṭhānaṃ paṭikkhipati. Pavattitvāti luṭhitvā, parivattitvāti vuttaṃ hoti. Tassa sace dve indakhīlā hontīti (pārā. aṭṭha. 1.92) tassa parikkhittassa gāmassa sace anurādhapurasseva dve ummārā honti. Yassa pana eko, tassa gāmadvārabāhānaṃ vemajjhe ṭhitassa leḍḍupātabbhantaraṃ gāmūpacāro nāma. Yatra pana indakhīlo natthi, tatra gāmadvārabāhānaṃ vemajjhaṃ. Yatra dvārabāhāpi natthi, tattha ubhosu passesu vatiyā vā pākārassa vā koṭivemajjhaṃva indakhīlaṭṭhāniyattā indakhīloti gahetabbaṃ. Yo pana gāmo pubbe mahā hutvā pacchā kulesu naṭṭhesu appako hoti, so gharūpacārato leḍḍupāteneva paricchinditabbo. Purimaparicchedo panassa parikkhittassāpi aparikkhittassāpi appamāṇamevāti. Nanu cetaṃ aparikkhittassa upacāradassanaṃ padabhājanena viruddhamiva dissati. Tattha hi ‘‘gāmūpacāro nāma parikkhittassa gāmassa indakhīle ṭhitassa majjhimassa purisassa leḍḍupāto’’ti (pārā. 92) vatvā ‘‘aparikkhittassa gāmassa gharūpacāre ṭhitassa majjhimassa purisassa leḍḍupāto’’ti (pārā. 92) ettakameva vuttaṃ, na pana taṃ leḍḍupātaṃ gāmasaṅkhepaṃ katvā tato paraṃ gāmūpacāroti vuttoti āha ‘‘padabhājanepi hi imināva nayena attho veditabbo’’ti.

    อยเมตฺถ อธิปฺปาโย – อิธ คาโม นาม ทุวิโธ โหติ ปริกฺขิโตฺต จ อปริกฺขิโตฺต จ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๙๒)ฯ ตตฺร ปริกฺขิตฺตสฺส ปริเกฺขโปเยว ปริเจฺฉโทฯ ตสฺมา ตสฺส วิสุํ ปริเจฺฉทํ อวตฺวา ‘‘คามูปจาโร นาม ปริกฺขิตฺตสฺส คามสฺส อินฺทขีเล ฐิตสฺส มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส เลฑฺฑุปาโต’’ติ ปาฬิยํ วุตฺตํฯ อปริกฺขิตฺตสฺส ปน คามสฺส คามปริเจฺฉโท วตฺตโพฺพฯ ตสฺมา ตสฺส คามสฺส คามปริเจฺฉททสฺสนตฺถํ ‘‘อปริกฺขิตฺตสฺส คามสฺส ฆรูปจาเร ฐิตสฺส มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส เลฑฺฑุปาโต’’ติ (ปารา. ๙๒) วุตฺตํฯ คามปริเจฺฉเท จ ทสฺสิเต คามูปจารลกฺขณํ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว สกฺกา ญาตุนฺติ ปุน ‘‘ตตฺถ ฐิตสฺส มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส เลฑฺฑุปาโต’’ติ น วุตฺตํ, อโตฺถ ปน ตตฺถาปิ อยเมว ยถาวุโตฺตติฯ โย ปน ฆรูปจาเร ฐิตสฺส เลฑฺฑุปาตํเยว ‘‘คามูปจาโร’’ติ วทติ, ตสฺส ฆรูปจาโร ‘‘คาโม’’ติ อาปชฺชติฯ ตโต ฆรํ ฆรูปจาโร, คาโม คามูปจาโรติ เอส วิภาโค สงฺกรียติฯ อสํกรโต เจตฺถ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ ตสฺมา ปาฬิญฺจ อฎฺฐกถญฺจ สํสนฺทิตฺวา วุตฺตนเยเนเวตฺถ คาโม, คามูปจาโร จ เวทิตโพฺพติฯ

    Ayamettha adhippāyo – idha gāmo nāma duvidho hoti parikkhitto ca aparikkhitto ca (pārā. aṭṭha. 1.92). Tatra parikkhittassa parikkhepoyeva paricchedo. Tasmā tassa visuṃ paricchedaṃ avatvā ‘‘gāmūpacāro nāma parikkhittassa gāmassa indakhīle ṭhitassa majjhimassa purisassa leḍḍupāto’’ti pāḷiyaṃ vuttaṃ. Aparikkhittassa pana gāmassa gāmaparicchedo vattabbo. Tasmā tassa gāmassa gāmaparicchedadassanatthaṃ ‘‘aparikkhittassa gāmassa gharūpacāre ṭhitassa majjhimassa purisassa leḍḍupāto’’ti (pārā. 92) vuttaṃ. Gāmaparicchede ca dassite gāmūpacāralakkhaṇaṃ pubbe vuttanayeneva sakkā ñātunti puna ‘‘tattha ṭhitassa majjhimassa purisassa leḍḍupāto’’ti na vuttaṃ, attho pana tatthāpi ayameva yathāvuttoti. Yo pana gharūpacāre ṭhitassa leḍḍupātaṃyeva ‘‘gāmūpacāro’’ti vadati, tassa gharūpacāro ‘‘gāmo’’ti āpajjati. Tato gharaṃ gharūpacāro, gāmo gāmūpacāroti esa vibhāgo saṅkarīyati. Asaṃkarato cettha vinicchayo veditabbo. Tasmā pāḷiñca aṭṭhakathañca saṃsanditvā vuttanayenevettha gāmo, gāmūpacāro ca veditabboti.

    ตตฺถาติ เตสุ ทฺวีสุ อุปจาเรสุฯ ยฺวายํ อุปจาโร ทสฺสิโตติ สมฺพโนฺธฯ วิกาเล คามปฺปเวสนาทีสูติ เอตฺถ อาทิสเทฺทน อสํกจฺจิกาคามปฺปเวสนํ (ปาจิ. ๑๒๒๕) สงฺคณฺหาติฯ โย ปน ปริกฺขิตฺตสฺส คามสฺส อุปจาโร วุโตฺต, โส น กตฺถจิ วินยปิฎเก อุปโยคํ คโตฯ เกวลํ อปริกฺขิตฺตสฺส ปริเกฺขโปกาสโต อปโร เอโก เลฑฺฑุปาโต คามูปจาโร นามาติ ญาปนตฺถํ วุโตฺตฯ เอวํ วุเตฺต หิ ญายติ ‘‘ปริกฺขิตฺตสฺสาปิ เจ คามสฺส เอโก เลฑฺฑุปาโต กปฺปิยภูมิ สมาโน อุปจาโรติ วุโตฺต, ปเคว อปริกฺขิตฺตสฺส ปริเกฺขโปกาสโต เอโก’’ติฯ อิเมสํ ปริเจฺฉททสฺสนตฺถนฺติ อิเมสํ คามารญฺญานํ ปริเจฺฉททสฺสนตฺถํ วุตฺตา อฎฺฐกถายํฯ ปาราชิกวตฺถุนฺติ ปาทคฺฆนกํฯ อวหรนฺตสฺสาติ คณฺหนฺตสฺสฯ

    Tatthāti tesu dvīsu upacāresu. Yvāyaṃ upacāro dassitoti sambandho. Vikāle gāmappavesanādīsūti ettha ādisaddena asaṃkaccikāgāmappavesanaṃ (pāci. 1225) saṅgaṇhāti. Yo pana parikkhittassa gāmassa upacāro vutto, so na katthaci vinayapiṭake upayogaṃ gato. Kevalaṃ aparikkhittassa parikkhepokāsato aparo eko leḍḍupāto gāmūpacāro nāmāti ñāpanatthaṃ vutto. Evaṃ vutte hi ñāyati ‘‘parikkhittassāpi ce gāmassa eko leḍḍupāto kappiyabhūmi samāno upacāroti vutto, pageva aparikkhittassa parikkhepokāsato eko’’ti. Imesaṃ paricchedadassanatthanti imesaṃ gāmāraññānaṃ paricchedadassanatthaṃ vuttā aṭṭhakathāyaṃ. Pārājikavatthunti pādagghanakaṃ. Avaharantassāti gaṇhantassa.

    อทินฺนนฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๙๒) ทนฺตโปนสิกฺขาปเท อตฺตโน สนฺตกมฺปิ อปฺปฎิคฺคหิตกํ กปฺปิยํ อโชฺฌหรณียํ วุจฺจติ, อิธ ปน ยํ กิญฺจิ ปรปริคฺคหิตํ สสามิกํ ภณฺฑํ, ตเทตํ เตหิ สามิเกหิ กาเยน วา วาจาย วา น ทินฺนนฺติ อทินฺนํฯ อวหารปฺปโหนกเมว ปน ทเสฺสตุํ ‘‘อญฺญสฺส มนุสฺสชาติกสฺส สนฺตก’’นฺติ วุตฺตํฯ สงฺขาสทฺทเสฺสว ต-กาเรน วเฑฺฒตฺวา วุตฺตตฺตา ‘‘สงฺขา สงฺขาตนฺติ อตฺถโต เอก’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ อตฺถโต เอกนฺติ ปทตฺถโต เอกํ, อนตฺถนฺตรนฺติ วุตฺตํ โหติฯ โกฎฺฐาสเสฺสตํ นามํ ภาคโต สงฺขายติ อุปฎฺฐาตีติ กตฺวาฯ ปปญฺจสงฺขาติ สตฺตานํ สํสาเร ปปเญฺจนฺติ จิรายนฺตีติ ปปญฺจา, ตณฺหามานทิฎฺฐิโย, ยสฺส วา อุปฺปนฺนา, ตํ ‘‘รโตฺต’’ติ วา ‘‘มโตฺต’’ติ วา ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐินิวิโฎฺฐ’’ติ วา ปปเญฺจนฺติ พฺยเญฺชนฺตีติ ปปญฺจา, สงฺขา วุจฺจติ โกฎฺฐาโส, ปปญฺจาว สงฺขา ปปญฺจสงฺขา, ปปญฺจโกฎฺฐาสาติ อโตฺถ, ตณฺหามานทิฎฺฐิโยติ วุตฺตํ โหติฯ เถยฺยจิตฺตสงฺขาโตติ ‘‘เถยฺยจิโตฺต’’ติ กถิโตฯ เอโก จิตฺตโกฎฺฐาโสติ วิสฺสาสตาวกาลิกาทิคฺคาหวสปฺปวตฺตอเถยฺยจิตฺตโกฎฺฐาสโต อโญฺญ จิตฺตโกฎฺฐาโสฯ เถยฺยสงฺขาเตนาติ เถยฺยภูตจิตฺตโกฎฺฐาเสนฯ ยทิ เอวํ อถ กสฺมา เอตสฺส วิภเงฺค ‘‘เถยฺยจิโตฺต อวหรณจิโตฺต’’ติ (ปารา. ๙๒) วุตฺตนฺติ อาห ‘‘โย จา’’ติอาทิฯ พฺยญฺชนํ อนาทิยิตฺวาติ พฺยญฺชเน อาทรํ อกตฺวาติ อโตฺถ, สทฺทตฺถมนเปกฺขิตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ อตฺถเมวาติ ภาวตฺถเมวฯ

    Adinnanti (pārā. aṭṭha. 92) dantaponasikkhāpade attano santakampi appaṭiggahitakaṃ kappiyaṃ ajjhoharaṇīyaṃ vuccati, idha pana yaṃ kiñci parapariggahitaṃ sasāmikaṃ bhaṇḍaṃ, tadetaṃ tehi sāmikehi kāyena vā vācāya vā na dinnanti adinnaṃ. Avahārappahonakameva pana dassetuṃ ‘‘aññassa manussajātikassa santaka’’nti vuttaṃ. Saṅkhāsaddasseva ta-kārena vaḍḍhetvā vuttattā ‘‘saṅkhā saṅkhātanti atthato eka’’nti vuttaṃ. Tattha atthato ekanti padatthato ekaṃ, anatthantaranti vuttaṃ hoti. Koṭṭhāsassetaṃ nāmaṃ bhāgato saṅkhāyati upaṭṭhātīti katvā. Papañcasaṅkhāti sattānaṃ saṃsāre papañcenti cirāyantīti papañcā, taṇhāmānadiṭṭhiyo, yassa vā uppannā, taṃ ‘‘ratto’’ti vā ‘‘matto’’ti vā ‘‘micchādiṭṭhiniviṭṭho’’ti vā papañcenti byañjentīti papañcā, saṅkhā vuccati koṭṭhāso, papañcāva saṅkhā papañcasaṅkhā, papañcakoṭṭhāsāti attho, taṇhāmānadiṭṭhiyoti vuttaṃ hoti. Theyyacittasaṅkhātoti ‘‘theyyacitto’’ti kathito. Eko cittakoṭṭhāsoti vissāsatāvakālikādiggāhavasappavattaatheyyacittakoṭṭhāsato añño cittakoṭṭhāso. Theyyasaṅkhātenāti theyyabhūtacittakoṭṭhāsena. Yadi evaṃ atha kasmā etassa vibhaṅge ‘‘theyyacitto avaharaṇacitto’’ti (pārā. 92) vuttanti āha ‘‘yo cā’’tiādi. Byañjanaṃ anādiyitvāti byañjane ādaraṃ akatvāti attho, saddatthamanapekkhitvāti vuttaṃ hoti. Atthamevāti bhāvatthameva.

    เต ปน อวหาราติ เต ปญฺจวีสติ อวหาราฯ สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกวเสน นานาวิโธ ภโณฺฑ เอตสฺส ปญฺจกสฺสาติ นานาภณฺฑํ, ปญฺจนฺนํ อวหารานํ สมูโห ปญฺจกํ, ปญฺจปริมาณมสฺสาติ วา ปญฺจกํ, นานาภณฺฑเมว ปญฺจกํ นานาภณฺฑปญฺจกํฯ สวิญฺญาณกวเสน เอโก ภโณฺฑ เอตสฺสาติ เอกภณฺฑํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ สาหตฺถิโกว ปญฺจกํ สาหตฺถิกปญฺจกํฯ อาทิปทวเสน เจตํ นามํ กุสลาทิตฺติกสฺส กุสลตฺติกโวหาโร วิยฯ ตสฺมา สาหตฺถิกาทิปญฺจกนฺติ อตฺถโต ทฎฺฐพฺพํฯ เอส นโย เสเสสุ ปญฺจกทฺวเยสุฯ เอตเสฺสวาติ ‘‘อาทิเยยฺยา’’ติ เอตเสฺสว มาติกาปทสฺสฯ อิเมสํ ปทานํ วเสนาติ อิเมสํ ปญฺจนฺนํ ปทานํ วเสนฯ เอตฺถ จ ปฐมปทํ อภิโยควเสน วุตฺตํ, ทุติยปทํ อเญฺญสํ ภณฺฑํ หรนฺตสฺส คจฺฉโต วเสน, ตติยปทํ อุปนิกฺขิตฺตภณฺฑวเสน, จตุตฺถํ สวิญฺญาณกวเสน, ปญฺจมํ ถเล นิกฺขิตฺตาทิวเสน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Te pana avahārāti te pañcavīsati avahārā. Saviññāṇakāviññāṇakavasena nānāvidho bhaṇḍo etassa pañcakassāti nānābhaṇḍaṃ, pañcannaṃ avahārānaṃ samūho pañcakaṃ, pañcaparimāṇamassāti vā pañcakaṃ, nānābhaṇḍameva pañcakaṃ nānābhaṇḍapañcakaṃ. Saviññāṇakavasena eko bhaṇḍo etassāti ekabhaṇḍaṃ. Sesaṃ vuttanayameva. Sāhatthikova pañcakaṃ sāhatthikapañcakaṃ. Ādipadavasena cetaṃ nāmaṃ kusalādittikassa kusalattikavohāro viya. Tasmā sāhatthikādipañcakanti atthato daṭṭhabbaṃ. Esa nayo sesesu pañcakadvayesu. Etassevāti ‘‘ādiyeyyā’’ti etasseva mātikāpadassa. Imesaṃ padānaṃ vasenāti imesaṃ pañcannaṃ padānaṃ vasena. Ettha ca paṭhamapadaṃ abhiyogavasena vuttaṃ, dutiyapadaṃ aññesaṃ bhaṇḍaṃ harantassa gacchato vasena, tatiyapadaṃ upanikkhittabhaṇḍavasena, catutthaṃ saviññāṇakavasena, pañcamaṃ thale nikkhittādivasena vuttanti veditabbaṃ.

    อิทานิ เนสํ อตฺถโยชนํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตตฺถาติ เตสุ ทฺวีสุ ปญฺจเกสุฯ อิตรนฺติ เอกภณฺฑปญฺจกํฯ อารามนฺติ ปุปฺผารามผลารามํฯ อภิยุญฺชตีติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๐๒) ปรสนฺตกํ ‘‘มม สนฺตโกว อย’’นฺติ มุสา ภณิตฺวา อภิยุญฺชติ โจเทติ, อฎฺฎํ กโรตีติ อโตฺถฯ สมฺปชานมุสาวาเทปิ อทินฺนาทานสฺส ปุพฺพปโยคตฺตา ทุกฺกฎนฺติ อาห ‘‘อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ, ทุกฺกฎสงฺขาตา อาปตฺติ ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ อถ วา ทุกฺกฎสญฺญิตสฺส วีติกฺกมสฺส อาปชฺชนนฺติ อโตฺถฯ เอส นโย ‘‘อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติอาทีสุฯ สามิกสฺส วิมติํ อุปฺปาเทตีติ วินิจฺฉยกุสลตาย, พลวนิสฺสิตาทิภาเวน วา อารามสามิกสฺส สํสยํ ชเนติฯ กถํ? ตญฺหิ ตถา วินิจฺฉยปฺปสุตํ ทิสฺวา สามิโก จิเนฺตติ ‘‘สกฺขิสฺสามิ นุ โข อหํ อิมํ อารามํ อตฺตโน กาตุํ, น สกฺขิสฺสามิ นุ โข’’ติฯ เอวํ ตสฺส วิมติ อุปฺปชฺชมานา เตน อุปฺปาทิตา โหติฯ ธุรํ นิกฺขิปตีติ ยทา ปน สามิโก ‘‘อยํ ถโทฺธ กกฺขโฬ ชีวิตพฺรหฺมจริยนฺตรายมฺปิ เม กเรยฺย, อลํ ทานิ มยฺหํ อิมินา อาราเมนา’’ติ ธุรํ นิกฺขิปติ, อุสฺสาหํ ฐเปติ, อตฺตโน สนฺตกกรเณ นิรุสฺสาโห โหตีติ อโตฺถฯ อาปตฺติ ปาราชิกสฺส สเจ สยมฺปิ กตธุรนิเกฺขโป จาติ อธิปฺปาโยฯ อถ ปน สามิเกน ธุเร นิกฺขิเตฺตปิ อภิยุญฺชโก ธุรํ อนิกฺขิปิตฺวาว ‘‘อิมํ สุฎฺฐุ ปีเฬตฺวา มม อาณาปวตฺติํ ทเสฺสตฺวา กิงฺการปฺปฎิสฺสาวิภาเว ฐเปตฺวา ทสฺสามี’’ติ ทาตพฺพภาเว สอุสฺสาโห, รกฺขติ ตาวฯ อถาปิ อภิยุญฺชโก อจฺฉินฺทิตฺวา ‘‘น ทานิ อิมํ อิมสฺส ทสฺสามี’’ติ ธุรํ นิกฺขิปติ, สามิโก ปน ธุรํ น นิกฺขิปติ, ปกฺขํ ปริเยสติ, กาลํ อาคเมติ, ‘‘ลชฺชิปริสํ ตาว ลภามิ, ปจฺฉา ชานิสฺสามี’’ติ คหเณเยว สอุสฺสาโห โหติ, รกฺขติเยวฯ ยทา ปน ‘‘โสปิ น ทสฺสามี’’ติ, ‘‘สามิโกปิ น ลจฺฉามี’’ติ เอวํ อุโภ ธุรํ นิกฺขิปนฺติ, ตทา อภิยุญฺชกสฺส ปาราชิกํฯ

    Idāni nesaṃ atthayojanaṃ dassetuṃ ‘‘tatthā’’tiādimāha. Tattha tatthāti tesu dvīsu pañcakesu. Itaranti ekabhaṇḍapañcakaṃ. Ārāmanti pupphārāmaphalārāmaṃ. Abhiyuñjatīti (pārā. aṭṭha. 1.102) parasantakaṃ ‘‘mama santakova aya’’nti musā bhaṇitvā abhiyuñjati codeti, aṭṭaṃ karotīti attho. Sampajānamusāvādepi adinnādānassa pubbapayogattā dukkaṭanti āha ‘‘āpattidukkaṭassā’’ti, dukkaṭasaṅkhātā āpatti bhaveyyāti attho. Atha vā dukkaṭasaññitassa vītikkamassa āpajjananti attho. Esa nayo ‘‘āpatti thullaccayassā’’tiādīsu. Sāmikassa vimatiṃ uppādetīti vinicchayakusalatāya, balavanissitādibhāvena vā ārāmasāmikassa saṃsayaṃ janeti. Kathaṃ? Tañhi tathā vinicchayappasutaṃ disvā sāmiko cinteti ‘‘sakkhissāmi nu kho ahaṃ imaṃ ārāmaṃ attano kātuṃ, na sakkhissāmi nu kho’’ti. Evaṃ tassa vimati uppajjamānā tena uppāditā hoti. Dhuraṃ nikkhipatīti yadā pana sāmiko ‘‘ayaṃ thaddho kakkhaḷo jīvitabrahmacariyantarāyampi me kareyya, alaṃ dāni mayhaṃ iminā ārāmenā’’ti dhuraṃ nikkhipati, ussāhaṃ ṭhapeti, attano santakakaraṇe nirussāho hotīti attho. Āpatti pārājikassa sace sayampi katadhuranikkhepo cāti adhippāyo. Atha pana sāmikena dhure nikkhittepi abhiyuñjako dhuraṃ anikkhipitvāva ‘‘imaṃ suṭṭhu pīḷetvā mama āṇāpavattiṃ dassetvā kiṅkārappaṭissāvibhāve ṭhapetvā dassāmī’’ti dātabbabhāve saussāho, rakkhati tāva. Athāpi abhiyuñjako acchinditvā ‘‘na dāni imaṃ imassa dassāmī’’ti dhuraṃ nikkhipati, sāmiko pana dhuraṃ na nikkhipati, pakkhaṃ pariyesati, kālaṃ āgameti, ‘‘lajjiparisaṃ tāva labhāmi, pacchā jānissāmī’’ti gahaṇeyeva saussāho hoti, rakkhatiyeva. Yadā pana ‘‘sopi na dassāmī’’ti, ‘‘sāmikopi na lacchāmī’’ti evaṃ ubho dhuraṃ nikkhipanti, tadā abhiyuñjakassa pārājikaṃ.

    อญฺญสฺส ภณฺฑํ หรโนฺตติ เวตเนน วา มิตฺตภาเวน วา อญฺญสฺส ภณฺฑํ หรโนฺตฯ สีเส ภารนฺติ สีเส ฐิตภารํฯ สีสสฺส ตาว ปุริมคเล คลวาฎโก, ปิฎฺฐิคเล เกสญฺจิ เกสเนฺต อาวโฎฺฎ โหติ, คลเสฺสว อุโภสุ ปเสฺสสุ เกสญฺจิ เกสา โอรุยฺห ชายนฺติ, เย ‘‘กณฺณจูฬิกา’’ติ วุจฺจนฺติ, เตสํ อโธภาโค จาติ อยํ เหฎฺฐิมโก ปริเจฺฉโท, ตโต อุปริ สีสํ, เอตฺถนฺตเร ฐิตภารนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ขนฺธํ โอโรเปตีติ อุโภสุ ปเสฺสสุ กณฺณจูฬิกาหิ ปฎฺฐาย เหฎฺฐา, กปฺปเรหิ ปฎฺฐาย อุปริ, ปิฎฺฐิคลาวฎฺฎโต จ คลวาฎกโต จ ปฎฺฐาย เหฎฺฐา, ปิฎฺฐิเวมชฺฌาวฎฺฎโต จ อุรปริเจฺฉทมเชฺฌ, หทยาวาฎกโต จ ปฎฺฐาย อุปริ ขโนฺธ, ตํ โอโรเปติฯ

    Aññassa bhaṇḍaṃ harantoti vetanena vā mittabhāvena vā aññassa bhaṇḍaṃ haranto. Sīse bhāranti sīse ṭhitabhāraṃ. Sīsassa tāva purimagale galavāṭako, piṭṭhigale kesañci kesante āvaṭṭo hoti, galasseva ubhosu passesu kesañci kesā oruyha jāyanti, ye ‘‘kaṇṇacūḷikā’’ti vuccanti, tesaṃ adhobhāgo cāti ayaṃ heṭṭhimako paricchedo, tato upari sīsaṃ, etthantare ṭhitabhāranti vuttaṃ hoti. Khandhaṃ oropetīti ubhosu passesu kaṇṇacūḷikāhi paṭṭhāya heṭṭhā, kapparehi paṭṭhāya upari, piṭṭhigalāvaṭṭato ca galavāṭakato ca paṭṭhāya heṭṭhā, piṭṭhivemajjhāvaṭṭato ca uraparicchedamajjhe, hadayāvāṭakato ca paṭṭhāya upari khandho, taṃ oropeti.

    อยํ ปเนตฺถ วินิจฺฉโย – โย ภิกฺขุ ‘‘อิทํ คเหตฺวา เอตฺถ ยาหี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๐๑) สามิเกหิ อนาณโตฺต สยเมว ‘‘มยฺหํ อิทํ นาม เทถ, อหํ โว ภณฺฑํ วหามี’’ติ เตสํ ภณฺฑํ สีเสน อาทาย คจฺฉโนฺต เถยฺยจิเตฺตน ตํ ภณฺฑํ อามสติ, ทุกฺกฎํฯ ยถาวุตฺตสีสปริเจฺฉทํ อนติกฺกมโนฺตว อิโต จิโต จ ฆํสโนฺต สาเรติปิ ปจฺจาสาเรติปิ, ถุลฺลจฺจยํฯ ขนฺธํ โอโรปิตมเตฺต กิญฺจาปิ สามิกานํ ‘‘วหตู’’ติ จิตฺตํ อตฺถิ, เตหิ ปน อนาณตฺตตฺตา ปาราชิกํฯ ขนฺธํ ปน อโนโรเปตฺวาปิ สีสโต เกสคฺคมตฺตมฺปิ จาเวนฺตสฺส ปาราชิกํฯ ยมกภารสฺส ปน เอโก ภาโค สีเส ปติฎฺฐาติ, เอโก ปิฎฺฐิยํ, ตตฺถ ทฺวินฺนํ ฐานานํ วเสน วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ อยํ ปน สุทฺธสีสภารเสฺสว วเสน วุโตฺตฯ โย จายํ สีสภาเร วุโตฺต, ขนฺธภาราทีสุปิ อยเมว วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ

    Ayaṃ panettha vinicchayo – yo bhikkhu ‘‘idaṃ gahetvā ettha yāhī’’ti (pārā. aṭṭha. 1.101) sāmikehi anāṇatto sayameva ‘‘mayhaṃ idaṃ nāma detha, ahaṃ vo bhaṇḍaṃ vahāmī’’ti tesaṃ bhaṇḍaṃ sīsena ādāya gacchanto theyyacittena taṃ bhaṇḍaṃ āmasati, dukkaṭaṃ. Yathāvuttasīsaparicchedaṃ anatikkamantova ito cito ca ghaṃsanto sāretipi paccāsāretipi, thullaccayaṃ. Khandhaṃ oropitamatte kiñcāpi sāmikānaṃ ‘‘vahatū’’ti cittaṃ atthi, tehi pana anāṇattattā pārājikaṃ. Khandhaṃ pana anoropetvāpi sīsato kesaggamattampi cāventassa pārājikaṃ. Yamakabhārassa pana eko bhāgo sīse patiṭṭhāti, eko piṭṭhiyaṃ, tattha dvinnaṃ ṭhānānaṃ vasena vinicchayo veditabbo. Ayaṃ pana suddhasīsabhārasseva vasena vutto. Yo cāyaṃ sīsabhāre vutto, khandhabhārādīsupi ayameva vinicchayo veditabbo.

    อุปนิกฺขิตฺตํ ภณฺฑนฺติ สโงฺคปนตฺถาย อตฺตโน หเตฺถ ปเรหิ ฐปิตภณฺฑํฯ อหํ น คณฺหามีติ สมฺพโนฺธฯ อตีตเตฺถ เจตํ วตฺตมานวจนํ, นาหํ คเหสินฺติ อโตฺถฯ ทุกฺกฎํ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๑๑) สมฺปชานมุสาวาเทปิ อทินฺนาทานสฺส ปุพฺพปโยคตฺตาฯ ‘‘กิํ ตุเมฺห ภณถ, เนวิทํ มยฺหํ อนุรูปํ, น ตุมฺหาก’’นฺติอาทีนิ วทนฺตสฺสาปิ ทุกฺกฎเมวฯ สามิกสฺส วิมติํ อุปฺปาเทตีติ ‘‘รโห มยา เอตสฺส หเตฺถ ฐปิตํ, น อโญฺญ โกจิ ชานาติ, ทสฺสติ นุ โข เม, โน’’ติ สามิกสฺส วิมติํ อุปฺปาเทติฯ ธุรํ นิกฺขิปตีติ ตสฺส ผรุสาทิภาวํ ทิสฺวา อุสฺสาหํ ฐเปติฯ ตตฺร สจายํ ภิกฺขุ ‘‘กิลเมตฺวา นํ ทสฺสามี’’ติ ทาเน สอุสฺสาโห, รกฺขติ ตาวฯ สเจ โส ทาเน นิรุสฺสาโห, ภณฺฑสามิโก ปน คหเณ สอุสฺสาโห, รกฺขเตวฯ ยทิ ปน โส ตสฺมิํ ทาเน นิรุสฺสาโห, ภณฺฑสามิโกปิ ‘‘น มยฺหํ ทสฺสตี’’ติ ธุรํ นิกฺขิปติ, เอวํ อุภินฺนํ ธุรนิเกฺขเปน ภิกฺขุโน ปาราชิกํฯ ยทิปิ มุเขน ‘‘ทสฺสามี’’ติ วทติ, จิเตฺตน ปน อทาตุกาโม, เอวมฺปิ สามิกสฺส ธุรนิเกฺขเปน ภิกฺขุโน ปาราชิกํฯ

    Upanikkhittaṃ bhaṇḍanti saṅgopanatthāya attano hatthe parehi ṭhapitabhaṇḍaṃ. Ahaṃ na gaṇhāmīti sambandho. Atītatthe cetaṃ vattamānavacanaṃ, nāhaṃ gahesinti attho. Dukkaṭaṃ (pārā. aṭṭha. 1.111) sampajānamusāvādepi adinnādānassa pubbapayogattā. ‘‘Kiṃ tumhe bhaṇatha, nevidaṃ mayhaṃ anurūpaṃ, na tumhāka’’ntiādīni vadantassāpi dukkaṭameva. Sāmikassa vimatiṃ uppādetīti ‘‘raho mayā etassa hatthe ṭhapitaṃ, na añño koci jānāti, dassati nu kho me, no’’ti sāmikassa vimatiṃ uppādeti. Dhuraṃ nikkhipatīti tassa pharusādibhāvaṃ disvā ussāhaṃ ṭhapeti. Tatra sacāyaṃ bhikkhu ‘‘kilametvā naṃ dassāmī’’ti dāne saussāho, rakkhati tāva. Sace so dāne nirussāho, bhaṇḍasāmiko pana gahaṇe saussāho, rakkhateva. Yadi pana so tasmiṃ dāne nirussāho, bhaṇḍasāmikopi ‘‘na mayhaṃ dassatī’’ti dhuraṃ nikkhipati, evaṃ ubhinnaṃ dhuranikkhepena bhikkhuno pārājikaṃ. Yadipi mukhena ‘‘dassāmī’’ti vadati, cittena pana adātukāmo, evampi sāmikassa dhuranikkhepena bhikkhuno pārājikaṃ.

    สหภณฺฑหารกํ เนสฺสามีติ ‘‘สหภณฺฑหารกํ ภณฺฑํ เนสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวาฯ ปฐมํ ปาทํ อติกฺกาเมตีติ ภณฺฑหารกํ ตเชฺชตฺวา ตสฺส คมนปถํ วาเรตฺวา อตฺตนา รุจิตมคฺคํ เอกปาทํ อติกฺกาเมติฯ ถลฎฺฐนฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๙๕) ถเล นิกฺขิตฺตํ, ภูมิตเล วา ปาสาณปพฺพตตลาทีสุ วา ยตฺถ กตฺถจิ ปฎิจฺฉเนฺน วา อปฺปฎิจฺฉเนฺน วา ฐปิตนฺติ อโตฺถฯ ผนฺทาเปติ, ถุลฺลจฺจยนฺติ โย ผนฺทาเปติ , ตสฺส ปโยเค ปโยเค ถุลฺลจฺจยํ, อามสเน ทุกฺกฎํ, ผนฺทาปเน ถุลฺลจฺจยญฺจ วิสุํ วิสุํ เถยฺยจิเตฺตน อามสนผนฺทาปนปโยเค กโรนฺตเสฺสว โหติฯ ‘‘เอกปโยเคน คณฺหนฺตสฺส ปน อุทฺธาเร ปาราชิกเมว, น ทุกฺกฎถุลฺลจฺจยานี’’ติ วทนฺติฯ ฐานาติ ฐิตฎฺฐานโตฯ สเจ ตํ ถลฎฺฐํ ราสิกตํ โหติ, อโนฺตกุมฺภิยํ ภาชนคตกรณมุฎฺฐิเจฺฉทนวินิจฺฉเยน วินิจฺฉินิตพฺพํฯ สเจ เอกาพทฺธํ สิเลสนิยฺยาสาทิ, ปกฺกมธุผาณิตวินิจฺฉเยน วินิจฺฉินิตพฺพํฯ สเจ ครุกํ โหติ ภารพทฺธํ โลหปิณฺฑิเตลมธุฆฎาทิ วา, กุมฺภิยํ ฐานาจาวนวินิจฺฉเยน วินิจฺฉินิตพฺพํฯ สงฺขลิกาพทฺธสฺส จ ฐานเภโท สลฺลเกฺขตโพฺพฯ ปตฺถริตฺวา ฐปิตํ ปน ปาวารตฺถรณกฎสารกาทิํ อุชุกํ คเหตฺวา อากฑฺฒติ, ปาริมเนฺต โอริมเนฺตน ผุโฎฺฐกาสํ อติกฺกเนฺต ปาราชิกํฯ ตเถว คเหตฺวา ปรโต เปลฺลติ, ปาริมเนฺต ผุโฎฺฐกาสํ โอริมเนฺต อติกฺกเนฺต ปาราชิกํฯ วามโต วา ทกฺขิณโต วา อปนาเมนฺตสฺส วามเนฺตน วา ทกฺขิณเนฺตน วา ผุโฎฺฐกาสํ ทกฺขิณเนฺต วา วามเนฺต วา อติกฺกเนฺต ปาราชิกํฯ เวเฐตฺวา อุทฺธรติ, เกสคฺคมตฺตํ อากาสคตํ กโรนฺตสฺส ปาราชิกํฯ

    Sahabhaṇḍahārakaṃnessāmīti ‘‘sahabhaṇḍahārakaṃ bhaṇḍaṃ nessāmī’’ti cintetvā. Paṭhamaṃ pādaṃ atikkāmetīti bhaṇḍahārakaṃ tajjetvā tassa gamanapathaṃ vāretvā attanā rucitamaggaṃ ekapādaṃ atikkāmeti. Thalaṭṭhanti (pārā. aṭṭha. 1.95) thale nikkhittaṃ, bhūmitale vā pāsāṇapabbatatalādīsu vā yattha katthaci paṭicchanne vā appaṭicchanne vā ṭhapitanti attho. Phandāpeti, thullaccayanti yo phandāpeti , tassa payoge payoge thullaccayaṃ, āmasane dukkaṭaṃ, phandāpane thullaccayañca visuṃ visuṃ theyyacittena āmasanaphandāpanapayoge karontasseva hoti. ‘‘Ekapayogena gaṇhantassa pana uddhāre pārājikameva, na dukkaṭathullaccayānī’’ti vadanti. Ṭhānāti ṭhitaṭṭhānato. Sace taṃ thalaṭṭhaṃ rāsikataṃ hoti, antokumbhiyaṃ bhājanagatakaraṇamuṭṭhicchedanavinicchayena vinicchinitabbaṃ. Sace ekābaddhaṃ silesaniyyāsādi, pakkamadhuphāṇitavinicchayena vinicchinitabbaṃ. Sace garukaṃ hoti bhārabaddhaṃ lohapiṇḍitelamadhughaṭādi vā, kumbhiyaṃ ṭhānācāvanavinicchayena vinicchinitabbaṃ. Saṅkhalikābaddhassa ca ṭhānabhedo sallakkhetabbo. Pattharitvā ṭhapitaṃ pana pāvārattharaṇakaṭasārakādiṃ ujukaṃ gahetvā ākaḍḍhati, pārimante orimantena phuṭṭhokāsaṃ atikkante pārājikaṃ. Tatheva gahetvā parato pellati, pārimante phuṭṭhokāsaṃ orimante atikkante pārājikaṃ. Vāmato vā dakkhiṇato vā apanāmentassa vāmantena vā dakkhiṇantena vā phuṭṭhokāsaṃ dakkhiṇante vā vāmante vā atikkante pārājikaṃ. Veṭhetvā uddharati, kesaggamattaṃ ākāsagataṃ karontassa pārājikaṃ.

    สโก หโตฺถ สหโตฺถ, เตน นิพฺพโตฺต, ตสฺส วา สมฺพนฺธีติ สาหตฺถิโก, อวหาโรฯ อาณาปนํ อาณตฺติ, ตาย อาณตฺติยา นิพฺพโตฺต อวหาโร อาณตฺติโกฯ นิสฺสชฺชนํ นิสฺสโคฺค, สุงฺกฆาตฎฺฐาเน, ปริกปฺปิโตกาเส จ ฐตฺวา ภณฺฑสฺส พหิ นิปาตนํ, นิสฺสโคฺคว นิสฺสคฺคิโยฯ กิริยาสิทฺธิโต ปุเรตรเมว ปาราชิกาปตฺติสงฺขาตํ อตฺถํ สาเธตีติ อตฺถสาธโกฯ ธุรสฺส อาลยสงฺขาตสฺส ภารสฺส นิกฺขิปนํ ปริจฺจชนํ นิรุสฺสาหภาวาปชฺชนํ ธุรนิเกฺขโปฯ อิทานิ พฺยญฺชเน อาทรํ อกตฺวา เตสํ อตฺถมตฺตเมว ทเสฺสโนฺต ‘‘ตตฺถ สาหตฺถิโก นามา’’ติอาทิมาหฯ สหตฺถาติ สหเตฺถนฯ กรณเตฺถ หิ อิทํ นิสฺสกฺกวจนํฯ ‘‘อสุกสฺส ภณฺฑํ อวหรา’’ติ อญฺญํ อาณาเปตีติ เอตฺถาปิ อาณตฺติกฺขเณ เอว อาปตฺติ ทฎฺฐพฺพาฯ ยทิ เอวํ อิมสฺส, อตฺถสาธกสฺส จ โก วิเสโสติ? ตํ ขณํ เอว คหเณ นิยุญฺชนํ อาณตฺติกปโยโค, กาลนฺตเรน คหณตฺถํ นิโยโค อตฺถสาธโกติ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๙๒; วิ. วิ. ฎี. ๑.๙๒) อยเมเตสํ วิเสโสติฯ เตเนวาห ‘‘อสุกสฺส ภณฺฑํ ยทา สโกฺกสิ, ตทา ตํ อวหราติ อาณาเปตี’’ติฯ

    Sako hattho sahattho, tena nibbatto, tassa vā sambandhīti sāhatthiko, avahāro. Āṇāpanaṃ āṇatti, tāya āṇattiyā nibbatto avahāro āṇattiko. Nissajjanaṃ nissaggo, suṅkaghātaṭṭhāne, parikappitokāse ca ṭhatvā bhaṇḍassa bahi nipātanaṃ, nissaggova nissaggiyo. Kiriyāsiddhito puretarameva pārājikāpattisaṅkhātaṃ atthaṃ sādhetīti atthasādhako. Dhurassa ālayasaṅkhātassa bhārassa nikkhipanaṃ pariccajanaṃ nirussāhabhāvāpajjanaṃ dhuranikkhepo. Idāni byañjane ādaraṃ akatvā tesaṃ atthamattameva dassento ‘‘tattha sāhatthiko nāmā’’tiādimāha. Sahatthāti sahatthena. Karaṇatthe hi idaṃ nissakkavacanaṃ. ‘‘Asukassa bhaṇḍaṃ avaharā’’ti aññaṃ āṇāpetīti etthāpi āṇattikkhaṇe eva āpatti daṭṭhabbā. Yadi evaṃ imassa, atthasādhakassa ca ko visesoti? Taṃ khaṇaṃ eva gahaṇe niyuñjanaṃ āṇattikapayogo, kālantarena gahaṇatthaṃ niyogo atthasādhakoti (sārattha. ṭī. 2.92; vi. vi. ṭī. 1.92) ayametesaṃ visesoti. Tenevāha ‘‘asukassa bhaṇḍaṃ yadā sakkosi, tadā taṃ avaharāti āṇāpetī’’ti.

    สุงฺกฆาตปริกปฺปิโตกาสานนฺติ สุงฺกฆาตญฺจ ปริกปฺปิโตกาโส จ สุงฺกฆาตปริกปฺปิโตกาสา, เตสํฯ ตตฺถ สุงฺกฆาตนฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๑๓) รุกฺขปพฺพตาทิสญฺญาเณน นิยมิตสฺส สุงฺกฎฺฐานเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตญฺหิ ยสฺมา ตโต ราชเทยฺยภาคํ สุงฺกํ อทตฺวา นีหรนฺตา รโญฺญ สุงฺกํ หนนฺติ วินาเสนฺติ, ตสฺมา ‘‘สุงฺกฆาต’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Suṅkaghātaparikappitokāsānanti suṅkaghātañca parikappitokāso ca suṅkaghātaparikappitokāsā, tesaṃ. Tattha suṅkaghātanti (pārā. aṭṭha. 1.113) rukkhapabbatādisaññāṇena niyamitassa suṅkaṭṭhānassetaṃ adhivacanaṃ. Tañhi yasmā tato rājadeyyabhāgaṃ suṅkaṃ adatvā nīharantā rañño suṅkaṃ hananti vināsenti, tasmā ‘‘suṅkaghāta’’nti vuttaṃ.

    โกจิ ปรปริเวณาทีนิ ปวิโฎฺฐ กิญฺจิ โลภเนยฺยภณฺฑํ ทิสฺวา ทฺวารปฺปมุขาทิวเสน ยํ ฐานํ ‘‘สเจ มํ เอตฺถนฺตเร ปสฺสิสฺสนฺติ, ทฎฺฐุกามตาย คเหตฺวา วิจรโนฺต วิย ทสฺสามิ, โน เจ ปสฺสิสฺสนฺติ, หริสฺสามี’’ติ ปริกเปฺปติ, อยํ ปริกปฺปิโตกาโสฯ อาณตฺติกฺขเณเยว ปาราชิกนฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๒๑) อตฺถสาธกเจตนากฺขเณเยว ปาราชิกํฯ สเจปิ อวหารโก สฎฺฐิวสฺสาติกฺกเมนปิ ตํ ภณฺฑํ อวหรติ, อาณาปโก จ อนฺตราเยว กาลํ กโรติ, หีนาย วา อาวตฺตติ, อสฺสมโณว หุตฺวา กาลํ วา กริสฺสติ, หีนาย วา อาวตฺติสฺสติ, อวหารกสฺส ปน อวหารกฺขเณเยว ปาราชิกํฯ ปาทคฺฆนกเตลนฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๙๔) เอตฺถ ปาโท นาม กหาปณสฺส จตุโตฺถ ภาโค, ตํ อคฺฆตีติ ปาทคฺฆนกํ, ปาทคฺฆนกญฺจ ตํ เตลญฺจาติ ปาทคฺฆนกเตลํฯ อุปาหนา อาทิ เยสํ วตฺถูนํ ตานิ อุปาหนาทีนิฯ อาทิสเทฺทน ทุกูลสาฎกจมฺมกฺขณฺฑาทีนํ คหณํฯ ปกฺขิปตีติ เถยฺยจิเตฺตน ปกฺขิปติฯ เตนาห ‘‘หตฺถโต มุตฺตมเตฺตเยว ปาราชิก’’นฺติ สเจ ปน อตฺตโนปิ กุมฺภิยํ อโญฺญ สปฺปิํ วา เตลํ วา อากิรติ, ตตฺร จายํ เถยฺยจิเตฺตน เตลปิวนกํ ภณฺฑํ ปกฺขิปติ, วุตฺตนเยเนว ปาราชิกํฯ

    Koci parapariveṇādīni paviṭṭho kiñci lobhaneyyabhaṇḍaṃ disvā dvārappamukhādivasena yaṃ ṭhānaṃ ‘‘sace maṃ etthantare passissanti, daṭṭhukāmatāya gahetvā vicaranto viya dassāmi, no ce passissanti, harissāmī’’ti parikappeti, ayaṃ parikappitokāso. Āṇattikkhaṇeyeva pārājikanti (pārā. aṭṭha. 1.121) atthasādhakacetanākkhaṇeyeva pārājikaṃ. Sacepi avahārako saṭṭhivassātikkamenapi taṃ bhaṇḍaṃ avaharati, āṇāpako ca antarāyeva kālaṃ karoti, hīnāya vā āvattati, assamaṇova hutvā kālaṃ vā karissati, hīnāya vā āvattissati, avahārakassa pana avahārakkhaṇeyeva pārājikaṃ. Pādagghanakatelanti (pārā. aṭṭha. 1.94) ettha pādo nāma kahāpaṇassa catuttho bhāgo, taṃ agghatīti pādagghanakaṃ, pādagghanakañca taṃ telañcāti pādagghanakatelaṃ. Upāhanā ādi yesaṃ vatthūnaṃ tāni upāhanādīni. Ādisaddena dukūlasāṭakacammakkhaṇḍādīnaṃ gahaṇaṃ. Pakkhipatīti theyyacittena pakkhipati. Tenāha ‘‘hatthato muttamatteyeva pārājika’’nti sace pana attanopi kumbhiyaṃ añño sappiṃ vā telaṃ vā ākirati, tatra cāyaṃ theyyacittena telapivanakaṃ bhaṇḍaṃ pakkhipati, vuttanayeneva pārājikaṃ.

    กาเยน วา วาจาย วา ปยุญฺชนํ อาณาปนํ ปโยโค, อาณตฺตสฺส ภณฺฑคฺคหณโต ปุพฺพตฺตา ปุโพฺพ, อิติ ปุโพฺพ จ โส ปโยโค จาติ ปุพฺพปโยโคฯ ปโยเคน สห วตฺตมาโน อวหาโร สหปโยโคฯ สมํ เอกี หุตฺวา วิทหิตฺวา มเนฺตตฺวา อวหรณํ สํวิธาวหาโร, อญฺญมญฺญํ สญฺญุปฺปตฺติยา กตาวหาโรติ วุตฺตํ โหติฯ ปุพฺพณฺหาทิกาลปริเจฺฉเทน สญฺชานนํ สเงฺกโต, ตสฺส กมฺมํ สเงฺกตกมฺมํฯ นิมิตฺตสฺส กมฺมํ นิมิตฺตกมฺมํ, สญฺญุปฺปาทนตฺถํ กสฺสจิ นิมิตฺตสฺส กรณนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถาติ ยถาวุเตฺตสุ ปุพฺพปโยคาทีสุ ปญฺจสุฯ ขิลาทีนิ สงฺกาเมตฺวา เขตฺตาทิคฺคหณวเสนาติ ขิลํ, รชฺชุํ, วติํ, มริยาทํ วา ปาการํ วา สงฺกาเมตฺวา เขตฺตคฺคหณวเสน, ขิลํ, รชฺชุํ, วติํ, มริยาทํ วา ปาการํ วา สงฺกาเมตฺวา วตฺถุคฺคหณวเสนฯ สเจ ปน ทฺวีหิ ขิเลหิ คเหตพฺพํ โหติ, ปฐเม ขิเล ถุลฺลจฺจยํ, ทุติเย ปาราชิกํ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๐๔)ฯ สเจ ตีหิ คเหตพฺพํ โหติ, ปฐเม ทุกฺกฎํ, ทุติเย ถุลฺลจฺจยํ, ตติเย ปาราชิกํฯ เอวํ พหุเกสุปิ อวสาเน เทฺว ฐเปตฺวา ปุริเมหิ ทุกฺกฎํ, อวสาเน ทฺวินฺนํ เอเกน ถุลฺลจฺจยํ , อิตเรน ปาราชิกํฯ รชฺชุปสารณาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ยํ ปน สมนฺตปาสาทิกายํ ‘‘ตญฺจ โข สามิกานํ ธุรนิเกฺขเปนา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๐๔) วุตฺตํ, ตํ ‘‘เขตฺตํ อภิยุญฺชติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติอาทิ (ปารา. ๑๐๔) -อธิกาเร วุตฺตตฺตา อภิโยควเสน คหณํ สนฺธายาติ ทฎฺฐพฺพํฯ สํวิทหิตฺวาติ เอตเสฺสว เววจนํฯ สํมนฺตยิตฺวาติ เอกจฺฉนฺทตาย เอกชฺฌาสยตาย ภณิตฺวาติ อโตฺถฯ อิมสฺมิํ อวหาเร อสโมฺมหตฺถํ ‘‘เอวํ สํวิทหิตฺวา คเตสุ หี’’ติอาทิมาหฯ สญฺชานนกมฺมนฺติ ปุพฺพณฺหาทิกาลปริเจฺฉทวเสน สญฺญาณกรณํฯ เตนาห ‘‘สเจ หี’’ติอาทิฯ

    Kāyena vā vācāya vā payuñjanaṃ āṇāpanaṃ payogo, āṇattassa bhaṇḍaggahaṇato pubbattā pubbo, iti pubbo ca so payogo cāti pubbapayogo. Payogena saha vattamāno avahāro sahapayogo. Samaṃ ekī hutvā vidahitvā mantetvā avaharaṇaṃ saṃvidhāvahāro, aññamaññaṃ saññuppattiyā katāvahāroti vuttaṃ hoti. Pubbaṇhādikālaparicchedena sañjānanaṃ saṅketo, tassa kammaṃ saṅketakammaṃ. Nimittassa kammaṃ nimittakammaṃ, saññuppādanatthaṃ kassaci nimittassa karaṇanti attho. Tatthāti yathāvuttesu pubbapayogādīsu pañcasu. Khilādīni saṅkāmetvā khettādiggahaṇavasenāti khilaṃ, rajjuṃ, vatiṃ, mariyādaṃ vā pākāraṃ vā saṅkāmetvā khettaggahaṇavasena, khilaṃ, rajjuṃ, vatiṃ, mariyādaṃ vā pākāraṃ vā saṅkāmetvā vatthuggahaṇavasena. Sace pana dvīhi khilehi gahetabbaṃ hoti, paṭhame khile thullaccayaṃ, dutiye pārājikaṃ (pārā. aṭṭha. 1.104). Sace tīhi gahetabbaṃ hoti, paṭhame dukkaṭaṃ, dutiye thullaccayaṃ, tatiye pārājikaṃ. Evaṃ bahukesupi avasāne dve ṭhapetvā purimehi dukkaṭaṃ, avasāne dvinnaṃ ekena thullaccayaṃ , itarena pārājikaṃ. Rajjupasāraṇādīsupi eseva nayo. Yaṃ pana samantapāsādikāyaṃ ‘‘tañca kho sāmikānaṃ dhuranikkhepenā’’ti (pārā. aṭṭha. 1.104) vuttaṃ, taṃ ‘‘khettaṃ abhiyuñjati, āpatti dukkaṭassā’’tiādi (pārā. 104) -adhikāre vuttattā abhiyogavasena gahaṇaṃ sandhāyāti daṭṭhabbaṃ. Saṃvidahitvāti etasseva vevacanaṃ. Saṃmantayitvāti ekacchandatāya ekajjhāsayatāya bhaṇitvāti attho. Imasmiṃ avahāre asammohatthaṃ ‘‘evaṃ saṃvidahitvā gatesu hī’’tiādimāha. Sañjānanakammanti pubbaṇhādikālaparicchedavasena saññāṇakaraṇaṃ. Tenāha ‘‘sace hī’’tiādi.

    เอตฺถ จ ‘‘ปุเรภตฺตํ อวหรา’’ติ วุเตฺต (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๑๙) อชฺช วา ปุเรภตฺตํ อวหรตุ, เสฺว วา, อนาคเต วา สํวจฺฉเร, นตฺถิ วิสเงฺกโต, อุภินฺนมฺปิ ปาราชิกํฯ สเจ ปน ‘‘อชฺช ปุเรภตฺตํ อวหรา’’ติ วุเตฺต เสฺว อวหรติฯ ‘‘อชฺชา’’ติ นิยมิตํ สเงฺกตํ อติกฺกมฺม ปจฺฉา อวหฎํ โหติฯ สเจ ‘‘เสฺว ปุเรภตฺตํ อวหรา’’ติ วุเตฺต อชฺช ปุเรภตฺตํ อวหรติ, ‘‘เสฺว’’ติ นิยมิตํ ตํ สเงฺกตํ อปตฺวา ปุเร อวหฎํ โหติ, เอวํ อวหรนฺตสฺส อวหารกเสฺสว ปาราชิกํ, มูลฎฺฐสฺส อนาปตฺติฯ ‘‘เสฺวว ปุเรภตฺต’’นฺติ วุเตฺต ตทเหว วา, เสฺว ปจฺฉาภตฺตํ วา อวหรโนฺตปิ ตํสเงฺกตโต ปุเร จ ปจฺฉา จ อวหรติฯ โย ปน เอวํอกตฺวา ยถาปริจฺฉินฺนกาลเมว อวหรติ, อยํ สเงฺกตโต อปุเร อปจฺฉา ตํ อวหรตีติ เวทิตโพฺพฯ เอส นโย ปจฺฉาภตฺตรตฺตินฺทิเวสุปิ, ปุริมยามมชฺฌิมยามปจฺฉิมยามกาฬชุณฺหมาสอุตุสํวจฺฉราทิวเสนาปิ เอตฺถ สเงฺกตวิสเงฺกตตา เวทิตพฺพาฯ ปรภณฺฑาวหารสญฺญุปฺปาทสฺส เหตุตฺตา อกฺขินิขณาทีเนว นิมิตฺตนฺติ อกฺขินิขณาทินิมิตฺตํ, ตสฺส กรณํ อกฺขินิขณาทินิมิตฺตกรณํอาทิสเทฺทน ภมุกุเกฺขปสีสกมฺปนหตฺถลงฺฆนปาณิปฺปหารองฺคุลิโผฎนคีวุนฺนามนอุกฺกาสนาทิอเนกปฺปการํ สงฺคณฺหาติฯ เสสเมตฺถ สเงฺกตกเมฺม วุตฺตนยเมวฯ

    Ettha ca ‘‘purebhattaṃ avaharā’’ti vutte (pārā. aṭṭha. 1.119) ajja vā purebhattaṃ avaharatu, sve vā, anāgate vā saṃvacchare, natthi visaṅketo, ubhinnampi pārājikaṃ. Sace pana ‘‘ajja purebhattaṃ avaharā’’ti vutte sve avaharati. ‘‘Ajjā’’ti niyamitaṃ saṅketaṃ atikkamma pacchā avahaṭaṃ hoti. Sace ‘‘sve purebhattaṃ avaharā’’ti vutte ajja purebhattaṃ avaharati, ‘‘sve’’ti niyamitaṃ taṃ saṅketaṃ apatvā pure avahaṭaṃ hoti, evaṃ avaharantassa avahārakasseva pārājikaṃ, mūlaṭṭhassa anāpatti. ‘‘Sveva purebhatta’’nti vutte tadaheva vā, sve pacchābhattaṃ vā avaharantopi taṃsaṅketato pure ca pacchā ca avaharati. Yo pana evaṃakatvā yathāparicchinnakālameva avaharati, ayaṃ saṅketato apure apacchā taṃ avaharatīti veditabbo. Esa nayo pacchābhattarattindivesupi, purimayāmamajjhimayāmapacchimayāmakāḷajuṇhamāsautusaṃvaccharādivasenāpi ettha saṅketavisaṅketatā veditabbā. Parabhaṇḍāvahārasaññuppādassa hetuttā akkhinikhaṇādīneva nimittanti akkhinikhaṇādinimittaṃ, tassa karaṇaṃ akkhinikhaṇādinimittakaraṇaṃ. Ādisaddena bhamukukkhepasīsakampanahatthalaṅghanapāṇippahāraaṅguliphoṭanagīvunnāmanaukkāsanādianekappakāraṃ saṅgaṇhāti. Sesamettha saṅketakamme vuttanayameva.

    เถโน วุจฺจติ โจโร, ตสฺส ภาโว เถยฺยํ, เตน อวหรณํ เถยฺยาวหาโรฯ ปสยฺห อภิภวิตฺวา อวหรณํ ปสยฺหาวหาโรฯ วตฺถสุตฺตาทิกํ ปริจฺฉิชฺช กปฺปนํ ปริกโปฺป, เตน อวหรณํ ปริกปฺปาวหาโรฯ ติณปณฺณาทีหิ ปฎิจฺฉนฺนสฺส อวหาโร ปฎิจฺฉนฺนาวหาโรฯ กุเสน อวหาโร กุสาวหาโรกูฎมานกูฎกหาปณาทีหีติ เอตฺถ กูฎมานํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๐; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๙๓; ปุ. ป. อฎฺฐ. ๑๗๙) นาม หทยเภทสิขาเภทรชฺชุเภทวเสน ติวิธํ มานกูฎํฯ ตตฺถ หทยนฺติ นาฬิอาทิมานภาชนานํ อพฺภนฺตรํ, ตสฺส เภโท ฉิทฺทกรณํ หทยเภโท, โส สปฺปิเตลาทิมินนกาเล ลพฺภติฯ ตานิ หิ คณฺหโนฺต เหฎฺฐาฉิเทฺทน มาเนน ‘‘สณิกํ อาสิญฺจา’’ติ วตฺวา อโนฺตภาชเน พหุํ ปคฺฆราเปตฺวา คณฺหาติ, ททโนฺต จ ฉิทฺทํ ปิธาย สีฆํ ปูเรตฺวา เทติฯ

    Theno vuccati coro, tassa bhāvo theyyaṃ, tena avaharaṇaṃ theyyāvahāro. Pasayha abhibhavitvā avaharaṇaṃ pasayhāvahāro. Vatthasuttādikaṃ paricchijja kappanaṃ parikappo, tena avaharaṇaṃ parikappāvahāro. Tiṇapaṇṇādīhi paṭicchannassa avahāro paṭicchannāvahāro. Kusena avahāro kusāvahāro. Kūṭamānakūṭakahāpaṇādīhīti ettha kūṭamānaṃ (dī. ni. aṭṭha. 1.10; ma. ni. aṭṭha. 1.293; pu. pa. aṭṭha. 179) nāma hadayabhedasikhābhedarajjubhedavasena tividhaṃ mānakūṭaṃ. Tattha hadayanti nāḷiādimānabhājanānaṃ abbhantaraṃ, tassa bhedo chiddakaraṇaṃ hadayabhedo, so sappitelādiminanakāle labbhati. Tāni hi gaṇhanto heṭṭhāchiddena mānena ‘‘saṇikaṃ āsiñcā’’ti vatvā antobhājane bahuṃ paggharāpetvā gaṇhāti, dadanto ca chiddaṃ pidhāya sīghaṃ pūretvā deti.

    สิขาเภโท ปน ติลตณฺฑุลาทิมินนกาเล ลพฺภติฯ ตานิ หิ คณฺหโนฺต สณิกํ สิขํ อุสฺสาเปตฺวา คณฺหาติ, ททโนฺต เวเคน ปูเรตฺวา สิขํ ฉินฺทโนฺต เทติฯ

    Sikhābhedo pana tilataṇḍulādiminanakāle labbhati. Tāni hi gaṇhanto saṇikaṃ sikhaṃ ussāpetvā gaṇhāti, dadanto vegena pūretvā sikhaṃ chindanto deti.

    รชฺชุเภโท เขตฺตวตฺถุมินนกาเล ลพฺภติฯ เขตฺตาทิํ มินนฺตา หิ อมหนฺตมฺปิ มหนฺตํ กตฺวา มินนฺติ, มหนฺตมฺปิ อมหนฺตํฯ

    Rajjubhedo khettavatthuminanakāle labbhati. Khettādiṃ minantā hi amahantampi mahantaṃ katvā minanti, mahantampi amahantaṃ.

    ตมฺพกํสาทิมโย กูโฎ กหาปโณ กูฎกหาปโณฯ อาทิสเทฺทน ตุลากูฎกํสกูฎวญฺจนาทิํ สงฺคณฺหาติฯ ตตฺถ ตุลากูฎํ รูปกูฎํ, องฺคกูฎํ, คหณกูฎํ, ปฎิจฺฉนฺนกูฎนฺติ จตุพฺพิธํ โหติฯ ตตฺถ รูปกูฎํ นาม เทฺว ตุลา สมรูปา กตฺวา คณฺหโนฺต มหติยา คณฺหาติ, ททโนฺต ขุทฺทิกาย เทติฯ องฺคกูฎํ นาม คณฺหโนฺต ปจฺฉาภาเค หเตฺถน ตุลํ อกฺกมติ, ททโนฺต ปุพฺพภาเค อกฺกมติฯ คหณกูฎํ นาม คณฺหโนฺต มูเล รชฺชุํ คณฺหาติ, ททโนฺต อเคฺคฯ ปฎิจฺฉนฺนกูฎํ นาม ตุลํ สุสิรํ กตฺวา อโนฺต อยจุณฺณํ ปกฺขิปิตฺวา คณฺหโนฺต ตํ ปจฺฉาภาเค กโรติ, ททโนฺต อคฺคภาเคฯ

    Tambakaṃsādimayo kūṭo kahāpaṇo kūṭakahāpaṇo. Ādisaddena tulākūṭakaṃsakūṭavañcanādiṃ saṅgaṇhāti. Tattha tulākūṭaṃ rūpakūṭaṃ, aṅgakūṭaṃ, gahaṇakūṭaṃ, paṭicchannakūṭanti catubbidhaṃ hoti. Tattha rūpakūṭaṃ nāma dve tulā samarūpā katvā gaṇhanto mahatiyā gaṇhāti, dadanto khuddikāya deti. Aṅgakūṭaṃ nāma gaṇhanto pacchābhāge hatthena tulaṃ akkamati, dadanto pubbabhāge akkamati. Gahaṇakūṭaṃ nāma gaṇhanto mūle rajjuṃ gaṇhāti, dadanto agge. Paṭicchannakūṭaṃ nāma tulaṃ susiraṃ katvā anto ayacuṇṇaṃ pakkhipitvā gaṇhanto taṃ pacchābhāge karoti, dadanto aggabhāge.

    กํโส วุจฺจติ สุวณฺณปาติ, ตาย วญฺจนํ กํสกูฎํฯ กถํ? เอกํ สุวณฺณปาติํ กตฺวา อญฺญา เทฺว ติโสฺส โลหปาติโย สุวณฺณวณฺณา กโรนฺติฯ ตโต ชนปทํ คนฺตฺวา กิญฺจิเทว อฑฺฒํ กุลํ ปวิสิตฺวา ‘‘สุวณฺณภาชนานิ กิณาถา’’ติ วตฺวา อเคฺฆ ปุจฺฉิเต สมคฺฆตรํ ทาตุกามา โหนฺติ ฯ ตโต เตหิ ‘‘กถํ อิเมสํ สุวณฺณภาโว ชานิตโพฺพ’’ติ วุเตฺต ‘‘วีมํสิตฺวา คณฺหถา’’ติ สุวณฺณปาติํ ปาสาเณ ฆํสิตฺวา สพฺพา ปาติโย ทตฺวา คจฺฉติฯ

    Kaṃso vuccati suvaṇṇapāti, tāya vañcanaṃ kaṃsakūṭaṃ. Kathaṃ? Ekaṃ suvaṇṇapātiṃ katvā aññā dve tisso lohapātiyo suvaṇṇavaṇṇā karonti. Tato janapadaṃ gantvā kiñcideva aḍḍhaṃ kulaṃ pavisitvā ‘‘suvaṇṇabhājanāni kiṇāthā’’ti vatvā agghe pucchite samagghataraṃ dātukāmā honti . Tato tehi ‘‘kathaṃ imesaṃ suvaṇṇabhāvo jānitabbo’’ti vutte ‘‘vīmaṃsitvā gaṇhathā’’ti suvaṇṇapātiṃ pāsāṇe ghaṃsitvā sabbā pātiyo datvā gacchati.

    วญฺจนํ นาม เตหิ เตหิ อุปาเยหิ ปเรสํ วญฺจนํฯ ตตฺริทเมกํ วตฺถุ – เอโก กิร ลุทฺทโก มิคญฺจ มิคโปตกญฺจ คเหตฺวา อาคจฺฉติ, ตเมโก ธุโตฺต ‘‘กิํ โภ มิโค อคฺฆติ, กิํ มิคโปตโก’’ติ อาหฯ ‘‘มิโค เทฺว กหาปเณ, มิคโปตโก เอก’’นฺติ วุเตฺต เอกํ กหาปณํ ทตฺวา มิคโปตกํ คเหตฺวา โถกํ คนฺตฺวา นิวเตฺตโนฺต ‘‘น เม โภ มิคโปตเกน อโตฺถ, มิคํ เม เทหี’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ เทฺว กหาปเณ เทหี’’ติ อาหฯ โส อาห ‘‘นนุ โภ มยา ปฐมํ เอโก กหาปโณ ทิโนฺน’’ติฯ อาม ทิโนฺน, อิมํ มิคโปตกํ คณฺห, เอวํ โส จ กหาปโณ , อยญฺจ กหาปณคฺฆนโก มิคโปตโกติ เทฺว กหาปณา ภวิสฺสนฺตีติฯ โส ‘‘การณํ วทตี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา มิคโปตกํ คเหตฺวา มิคํ อทาสีติฯ

    Vañcanaṃ nāma tehi tehi upāyehi paresaṃ vañcanaṃ. Tatridamekaṃ vatthu – eko kira luddako migañca migapotakañca gahetvā āgacchati, tameko dhutto ‘‘kiṃ bho migo agghati, kiṃ migapotako’’ti āha. ‘‘Migo dve kahāpaṇe, migapotako eka’’nti vutte ekaṃ kahāpaṇaṃ datvā migapotakaṃ gahetvā thokaṃ gantvā nivattento ‘‘na me bho migapotakena attho, migaṃ me dehī’’ti āha. ‘‘Tena hi dve kahāpaṇe dehī’’ti āha. So āha ‘‘nanu bho mayā paṭhamaṃ eko kahāpaṇo dinno’’ti. Āma dinno, imaṃ migapotakaṃ gaṇha, evaṃ so ca kahāpaṇo , ayañca kahāpaṇagghanako migapotakoti dve kahāpaṇā bhavissantīti. So ‘‘kāraṇaṃ vadatī’’ti sallakkhetvā migapotakaṃ gahetvā migaṃ adāsīti.

    ปสยฺหาติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๓๘) ปเร อภิภุยฺยฯ คามํ ฆาเตนฺตีติ คามฆาตกา, คามํ ปหรนฺตา โจรา, เต อาทิ เยสํ เต คามฆาตกาทโยอาทิสเทฺทน เจตฺถ ปนฺถฆาตกาทีนํ คหณํฯ อุทฺธาเรเยว ปาราชิกนฺติ ‘‘สเจ สาฎโก ภวิสฺสติ, คณฺหิสฺสามี’’ติ ปริกปฺปสฺส ปวตฺตตฺตา, สาฎกสฺส จ ตตฺถ สพฺภาวโตฯ ปทวาเรน กาเรตโพฺพติ ภูมิยํ อนิกฺขิปิตฺวาว วีมํสิตตฺตา วุตฺตํฯ ภณฺฑเทยฺยนฺติ ยํ ปรสฺส นฎฺฐํ, ตสฺส มูลํ วา ตเทว วา ภณฺฑํ ทาตพฺพนฺติ อโตฺถฯ

    Pasayhāti (pārā. aṭṭha. 1.138) pare abhibhuyya. Gāmaṃ ghātentīti gāmaghātakā, gāmaṃ paharantā corā, te ādi yesaṃ te gāmaghātakādayo. Ādisaddena cettha panthaghātakādīnaṃ gahaṇaṃ. Uddhāreyeva pārājikanti ‘‘sace sāṭako bhavissati, gaṇhissāmī’’ti parikappassa pavattattā, sāṭakassa ca tattha sabbhāvato. Padavārena kāretabboti bhūmiyaṃ anikkhipitvāva vīmaṃsitattā vuttaṃ. Bhaṇḍadeyyanti yaṃ parassa naṭṭhaṃ, tassa mūlaṃ vā tadeva vā bhaṇḍaṃ dātabbanti attho.

    ตสฺสาติ โย เอวํ ปริกเปฺปติ, ตสฺสฯ อิมสฺส ‘‘อวหาโร โหตี’’ติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ

    Tassāti yo evaṃ parikappeti, tassa. Imassa ‘‘avahāro hotī’’ti iminā sambandho.

    ปเรสนฺติ กีฬนฺตานํ, ปวิสนฺตานํ วา ปเรสํ มนุสฺสานํฯ ‘‘ปจฺฉา คณฺหิสฺสามี’’ติ ปํสุนา วา ปเณฺณน วา ปฎิจฺฉาเทตีติ ‘‘สเจ อิทาเนว โอนมิตฺวา คณฺหิสฺสามิ, ‘กิํ สมโณ คณฺหาตี’ติ มํ ชานิตฺวา วิเหเฐยฺยุํ ปจฺฉา คณฺหิสฺสามี’’ติ ปํสุนา วา ปเณฺณน วา ปฎิจฺฉาเทติฯ อุทฺธาโร นตฺถีติ ฐานาจาวนํ นตฺถีติ อโตฺถฯ สามิกาติ อนฺตาคามํ ปวิสิตุกามา ภณฺฑสามิกา มนุสฺสาฯ อุทฺธาเรติ อุทฺธรเณ, ฐานาจาวเนติ อโตฺถ ฯ ฐานาจาวนเญฺจตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตนยานุสาเรน เวทิตพฺพํฯ ปเวเสตีติ ฐานาจาวนวเสน ปเวเสติ, เหฎฺฐิมเนฺตน ผุโฎฺฐกาสํ เกสคฺคมตฺตมฺปิ อุปริมเนฺตน อติกฺกาเมโนฺต ปเวเสตีติ อโตฺถฯ

    Paresanti kīḷantānaṃ, pavisantānaṃ vā paresaṃ manussānaṃ. ‘‘Pacchā gaṇhissāmī’’ti paṃsunā vā paṇṇena vā paṭicchādetīti ‘‘sace idāneva onamitvā gaṇhissāmi, ‘kiṃ samaṇo gaṇhātī’ti maṃ jānitvā viheṭheyyuṃ pacchā gaṇhissāmī’’ti paṃsunā vā paṇṇena vā paṭicchādeti. Uddhāro natthīti ṭhānācāvanaṃ natthīti attho. Sāmikāti antāgāmaṃ pavisitukāmā bhaṇḍasāmikā manussā. Uddhāreti uddharaṇe, ṭhānācāvaneti attho . Ṭhānācāvanañcettha heṭṭhā vuttanayānusārena veditabbaṃ. Pavesetīti ṭhānācāvanavasena paveseti, heṭṭhimantena phuṭṭhokāsaṃ kesaggamattampi uparimantena atikkāmento pavesetīti attho.

    สมคฺฆตรนฺติ อปฺปคฺฆตรํฯ อุทฺธฎมเตฺต อวหาโรติ สกภาวปฺปโยคสฺส นิฎฺฐาปิตตฺตา, น อตฺถสาธกวเสนฯ อุทฺธาเร รกฺขติ อตฺตโน โกฎฺฐาเส ปาเตตุกามตาย อุทฺธฎตฺตาฯ เอเสว นโย ปาตเนปิ รกฺขตีติ เอตฺถาปิฯ ‘‘อุทฺธาเรเยว รกฺขตี’’ติ อิมินาว ปาตเน น รกฺขตีติ อเตฺถ สิเทฺธปิ อตฺถสาธกวเสน อตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตํ อุทฺธริตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สเจ ปน ทฺวีสุปิ โกฎฺฐาเสสุ ปติตทณฺฑเก อทสฺสนํ คเมติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๓๘), ตโต อวเสสภิกฺขูสุ คเตสุ อิตโร ‘‘มยฺหํ, ภเนฺต, ทณฺฑโก น ปญฺญายตี’’ติ, ‘‘มยฺหมฺปิ, อาวุโส, น ปญฺญายตี’’ติ, ‘‘กตโม ปน, ภเนฺต, มยฺหํ ภาโค’’ติฯ ‘‘อยํ ตุยฺหํ ภาโค’’ติ อตฺตโน ภาคํ ทเสฺสติฯ ตสฺมิํ วิวทิตฺวา วา อวิวทิตฺวา วา ตํ คณฺหิตฺวา คเต อิตโร ตสฺส ภาคํ อุทฺธรติ, อุทฺธาเร ปาราชิกํฯ สเจปิ เตน ‘‘อหํ มม ภาคํ ตุยฺหํ น เทมิ, ตฺวํ ปน อตฺตโน ภาคํ ญตฺวา คณฺหา’’ติ วุเตฺตปิ ‘‘นายํ มมา’’ติ ชานโนฺตปิ ตเสฺสว ภาคํ คณฺหาติ, อุทฺธาเร ปาราชิกํฯ สเจ ปน อิตโร ‘‘อยํ ตุยฺหํ ภาโค, อยํ มยฺหํ ภาโคติ กิํ อิมินา วิวาเทนา’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘มยฺหํ วา ปโตฺต โหตุ, ตุมฺหากํ วา, โย วรภาโค, ตํ ตุเมฺห คณฺหถา’’ติ วทติ, ทินฺนกํ นาม คหิตํ โหติ, นเตฺถตฺถ อวหาโรฯ สเจ โส วิวาทภีรุโก ภิกฺขุ ‘‘ยํ ตุยฺหํ รุจฺจติ, ตํ คณฺหา’’ติ วุโตฺต อตฺตโน ปตฺตํ วรภาคํ ฐเปตฺวา ลามกํเยว คเหตฺวา คจฺฉติ, ตโต อิตรสฺส วิจินิตาวเสสํ คณฺหนฺตสฺสาปิ อวหาโร นเตฺถวฯ เอวมิมานิ ปญฺจ ปญฺจกานิ สโมธาเนตฺวา อิเม ปญฺจวีสติ อวหารา เวทิตพฺพาฯ นิฎฺฐิโต ‘‘อาทิเยยฺยา’’ติ อิมสฺส ปทสฺส วินิจฺฉโยฯ เตนาห ‘‘อิติ ยํ วุตฺตํ…เป.… ยสฺสโตฺถ ปกาสิโต โหตี’’ติฯ

    Samagghataranti appagghataraṃ. Uddhaṭamatte avahāroti sakabhāvappayogassa niṭṭhāpitattā, na atthasādhakavasena. Uddhāre rakkhati attano koṭṭhāse pātetukāmatāya uddhaṭattā. Eseva nayo pātanepi rakkhatīti etthāpi. ‘‘Uddhāreyeva rakkhatī’’ti imināva pātane na rakkhatīti atthe siddhepi atthasādhakavasena atthaṃ dassetuṃ ‘‘taṃ uddharitvā’’tiādi vuttaṃ. Sace pana dvīsupi koṭṭhāsesu patitadaṇḍake adassanaṃ gameti (pārā. aṭṭha. 1.138), tato avasesabhikkhūsu gatesu itaro ‘‘mayhaṃ, bhante, daṇḍako na paññāyatī’’ti, ‘‘mayhampi, āvuso, na paññāyatī’’ti, ‘‘katamo pana, bhante, mayhaṃ bhāgo’’ti. ‘‘Ayaṃ tuyhaṃ bhāgo’’ti attano bhāgaṃ dasseti. Tasmiṃ vivaditvā vā avivaditvā vā taṃ gaṇhitvā gate itaro tassa bhāgaṃ uddharati, uddhāre pārājikaṃ. Sacepi tena ‘‘ahaṃ mama bhāgaṃ tuyhaṃ na demi, tvaṃ pana attano bhāgaṃ ñatvā gaṇhā’’ti vuttepi ‘‘nāyaṃ mamā’’ti jānantopi tasseva bhāgaṃ gaṇhāti, uddhāre pārājikaṃ. Sace pana itaro ‘‘ayaṃ tuyhaṃ bhāgo, ayaṃ mayhaṃ bhāgoti kiṃ iminā vivādenā’’ti cintetvā ‘‘mayhaṃ vā patto hotu, tumhākaṃ vā, yo varabhāgo, taṃ tumhe gaṇhathā’’ti vadati, dinnakaṃ nāma gahitaṃ hoti, natthettha avahāro. Sace so vivādabhīruko bhikkhu ‘‘yaṃ tuyhaṃ ruccati, taṃ gaṇhā’’ti vutto attano pattaṃ varabhāgaṃ ṭhapetvā lāmakaṃyeva gahetvā gacchati, tato itarassa vicinitāvasesaṃ gaṇhantassāpi avahāro nattheva. Evamimāni pañca pañcakāni samodhānetvā ime pañcavīsati avahārā veditabbā. Niṭṭhito ‘‘ādiyeyyā’’ti imassa padassa vinicchayo. Tenāha ‘‘iti yaṃ vuttaṃ…pe… yassattho pakāsito hotī’’ti.

    ราชาโนติ กิญฺจาปิ อวิเสเสน วุตฺตํ, อปราธานุรูปํ ปน เฉชฺชเภชฺชานุสาสโก ปมาณภูโตว อิธาธิเปฺปโตติ อาห ‘‘ราชาโนติ อิทํ พิมฺพิสารํเยว สนฺธาย วุตฺต’’นฺติฯ โส หิ ธมฺมิกราชตฺตา ยถาปเวณิยาว กโรติฯ อเญฺญ ปน กากณิกมตฺตสฺสปิ สีสํ ฉิเนฺทยฺยุํ , พหุกสฺสาปิ น วา กิญฺจิ กเรยฺยุํฯ เตนาห ‘‘อเญฺญ ปนา’’ติอาทิฯ หนนํ นาม โปถนเญฺจว เฉทนญฺจาติ อาห ‘‘หตฺถาทีหิ วา’’ติอาทิฯ อาทิสเทฺทน ปาทกสาเวตฺตอฑฺฒทณฺฑกานํ คหณํฯ รชฺชุพนฺธนาทีหีติ อาทิสเทฺทน อนฺทุพนฺธนสงฺขลิกาพนฺธนฆรพนฺธนนครพนฺธนปุริสคุตฺตีนํ คหณํฯ นีหเรยฺยุนฺติ รฎฺฐโต นิกฺขาเมยฺยุํฯ โจโรสิ…เป.… เถโนสีติ เอตฺถ ‘‘ปริภาเสยฺยุ’’นฺติ ปทํ อชฺฌาหริตพฺพํ อูนตฺตา ปทปฺปโยคสฺสฯ เตนาห ‘‘อิเมหิ วจเนหิ ปริภาเสยฺยุ’’นฺติฯ ยถารูปํ ปน ยสฺมา ปาทโต ปฎฺฐาย โหติ, ตสฺมา ‘‘ปาทสฺส วา ปาทารหสฺส วา’’ติ อาหฯ โปราณกสฺส กหาปณสฺส จตุโตฺถ ภาโค ปาโท, ปาทํ อรหตีติ ปาทารโห, ตสฺส ปาทสฺส วา ปาทารหสฺส วาฯ เอตฺถ จ ปาเทน กหาปณสฺส จตุตฺถภาคํ อกปฺปิยภณฺฑเมว ทเสฺสติ, ปาทารเหน ปาทคฺฆนกํ กปฺปิยภณฺฑํฯ เอตฺตาวตา เหฎฺฐิมนฺตทสฺสเนน สพฺพากาเรน ทุติยปาราชิกปฺปโหนกวตฺถุ ทสฺสิตํ โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ โปราณกสฺสาติ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๘๘; วิ. วิ. ฎี. ๑.๘๘) โปราณสตฺถานุรูปํ อุปฺปาทิตสฺส ลกฺขณสมฺปนฺนสฺส นีลกหาปณสทิสสฺส กหาปณสฺสฯ เอเตน รุทฺรทามกาทีนิ ปฎิกฺขิปติฯ

    Rājānoti kiñcāpi avisesena vuttaṃ, aparādhānurūpaṃ pana chejjabhejjānusāsako pamāṇabhūtova idhādhippetoti āha ‘‘rājānoti idaṃ bimbisāraṃyeva sandhāya vutta’’nti. So hi dhammikarājattā yathāpaveṇiyāva karoti. Aññe pana kākaṇikamattassapi sīsaṃ chindeyyuṃ , bahukassāpi na vā kiñci kareyyuṃ. Tenāha ‘‘aññe panā’’tiādi. Hananaṃ nāma pothanañceva chedanañcāti āha ‘‘hatthādīhi vā’’tiādi. Ādisaddena pādakasāvettaaḍḍhadaṇḍakānaṃ gahaṇaṃ. Rajjubandhanādīhīti ādisaddena andubandhanasaṅkhalikābandhanagharabandhananagarabandhanapurisaguttīnaṃ gahaṇaṃ. Nīhareyyunti raṭṭhato nikkhāmeyyuṃ. Corosi…pe… thenosīti ettha ‘‘paribhāseyyu’’nti padaṃ ajjhāharitabbaṃ ūnattā padappayogassa. Tenāha ‘‘imehi vacanehi paribhāseyyu’’nti. Yathārūpaṃ pana yasmā pādato paṭṭhāya hoti, tasmā ‘‘pādassa vā pādārahassa vā’’ti āha. Porāṇakassa kahāpaṇassa catuttho bhāgo pādo, pādaṃ arahatīti pādāraho, tassa pādassa vā pādārahassa vā. Ettha ca pādena kahāpaṇassa catutthabhāgaṃ akappiyabhaṇḍameva dasseti, pādārahena pādagghanakaṃ kappiyabhaṇḍaṃ. Ettāvatā heṭṭhimantadassanena sabbākārena dutiyapārājikappahonakavatthu dassitaṃ hotīti daṭṭhabbaṃ. Porāṇakassāti (sārattha. ṭī. 2.88; vi. vi. ṭī. 1.88) porāṇasatthānurūpaṃ uppāditassa lakkhaṇasampannassa nīlakahāpaṇasadisassa kahāpaṇassa. Etena rudradāmakādīni paṭikkhipati.

    เอวํ อสาธารณวินิจฺฉยํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สาธารณวินิจฺฉยํ ทเสฺสตุํ ‘‘ราชคเห’’ติอาทิมาหฯ รโญฺญติ พิมฺพิสารรโญฺญฯ มาสโก นาม โปราณกสฺส กหาปณสฺส วีสติโม ภาโคฯ โย โลเก ‘‘มเญฺชฎฺฐี’’ติปิ วุจฺจติฯ อิทานิ อิมสฺมิํ อทินฺนาทาเน วินิจฺฉยํ ทเสฺสตุํ ‘‘สพฺพตฺถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สพฺพตฺถาติ อูนมาสกาติเรกมาสกปญฺจมาสเกสุฯ ปริหีนาปริหีนวเสนาติ อคฺฆสฺส ปริหีนาปริหีนวเสนฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป , วิตฺถาโร ปน เอวํ เวทิตโพฺพ – อิทญฺหิ อทินฺนาทานํ วินิจฺฉินเนฺตน โอติเณฺณ วตฺถุสฺมิํ สหสา อวินิจฺฉินิตฺวา ปญฺจ ฐานานิ โอโลเกตพฺพานิฯ ยานิ สนฺธาย โปราณา อาหุ –

    Evaṃ asādhāraṇavinicchayaṃ dassetvā idāni sādhāraṇavinicchayaṃ dassetuṃ ‘‘rājagahe’’tiādimāha. Raññoti bimbisārarañño. Māsako nāma porāṇakassa kahāpaṇassa vīsatimo bhāgo. Yo loke ‘‘mañjeṭṭhī’’tipi vuccati. Idāni imasmiṃ adinnādāne vinicchayaṃ dassetuṃ ‘‘sabbatthā’’tiādi vuttaṃ. Sabbatthāti ūnamāsakātirekamāsakapañcamāsakesu. Parihīnāparihīnavasenāti agghassa parihīnāparihīnavasena. Ayamettha saṅkhepo , vitthāro pana evaṃ veditabbo – idañhi adinnādānaṃ vinicchinantena otiṇṇe vatthusmiṃ sahasā avinicchinitvā pañca ṭhānāni oloketabbāni. Yāni sandhāya porāṇā āhu –

    ‘‘วตฺถุํ กาลญฺจ เทสญฺจ, อคฺฆํ ปริโภคปญฺจมํ;

    ‘‘Vatthuṃ kālañca desañca, agghaṃ paribhogapañcamaṃ;

    ตุลยิตฺวา ปญฺจฐานานิ, ธาเรยฺยตฺถํ วิจกฺขโณ’’ติฯ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๙๒);

    Tulayitvā pañcaṭhānāni, dhāreyyatthaṃ vicakkhaṇo’’ti. (pārā. aṭṭha. 1.92);

    ตตฺถ จ วตฺถูติ ภณฺฑํฯ อวหารเกน หิ ‘‘มยา อิทํ นาม อวหฎ’’นฺติ วุเตฺตปิ อาปตฺติํ อนาโรเปตฺวาว ตํ ภณฺฑํ สสามิกํ วา อสามิกํ วาติ อุปปริกฺขิตพฺพํฯ สสามิเกปิ สามิกานํ สาลยภาโว วา นิราลยภาโว วา อุปปริกฺขิตโพฺพฯ สเจ เตสํ สาลยกาเล อวหฎํ, ภณฺฑํ อคฺฆาเปตฺวา อาปตฺติ กาเรตพฺพาฯ สเจ นิราลยกาเล, น ปาราชิเกน กาเรตโพฺพฯ ภณฺฑสามิเกสุ ปน ภณฺฑํ อาหราเปเนฺตสุ ภณฺฑํ ทาตพฺพํฯ อยเมตฺถ สามีจิฯ เอวํ วตฺถุ โอโลเกตพฺพํฯ

    Tattha ca vatthūti bhaṇḍaṃ. Avahārakena hi ‘‘mayā idaṃ nāma avahaṭa’’nti vuttepi āpattiṃ anāropetvāva taṃ bhaṇḍaṃ sasāmikaṃ vā asāmikaṃ vāti upaparikkhitabbaṃ. Sasāmikepi sāmikānaṃ sālayabhāvo vā nirālayabhāvo vā upaparikkhitabbo. Sace tesaṃ sālayakāle avahaṭaṃ, bhaṇḍaṃ agghāpetvā āpatti kāretabbā. Sace nirālayakāle, na pārājikena kāretabbo. Bhaṇḍasāmikesu pana bhaṇḍaṃ āharāpentesu bhaṇḍaṃ dātabbaṃ. Ayamettha sāmīci. Evaṃ vatthu oloketabbaṃ.

    กาโลติ อวหารกาโลฯ ตเทว หิ ภณฺฑํ กทาจิ สมคฺฆํ โหติ, กทาจิ มหคฺฆํฯ ตสฺมา ตํ ภณฺฑํ ยสฺมิํ กาเล อวหฎํ, ตสฺมิํเยว กาเล โย ตสฺส อโคฺฆ, เตน อเคฺฆน อาปตฺติ กาเรตพฺพาฯ เอวํ กาโล โอโลเกตโพฺพฯ

    Kāloti avahārakālo. Tadeva hi bhaṇḍaṃ kadāci samagghaṃ hoti, kadāci mahagghaṃ. Tasmā taṃ bhaṇḍaṃ yasmiṃ kāle avahaṭaṃ, tasmiṃyeva kāle yo tassa aggho, tena agghena āpatti kāretabbā. Evaṃ kālo oloketabbo.

    เทโสติ อวหารเทโสฯ ตญฺหิ ภณฺฑํ ยสฺมิํ เทเส อวหฎํ, ตสฺมิํเยว เทเส โย ตสฺส อโคฺฆ, เตน อเคฺฆน อาปตฺติ กาเรตพฺพาฯ ภณฺฑุฎฺฐานเทเส หิ ภณฺฑํ สมคฺฆํ โหติ, อญฺญตฺถ มหคฺฆํฯ เอวํ เทโส โอโลเกตโพฺพฯ

    Desoti avahāradeso. Tañhi bhaṇḍaṃ yasmiṃ dese avahaṭaṃ, tasmiṃyeva dese yo tassa aggho, tena agghena āpatti kāretabbā. Bhaṇḍuṭṭhānadese hi bhaṇḍaṃ samagghaṃ hoti, aññattha mahagghaṃ. Evaṃ deso oloketabbo.

    อโคฺฆติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๙๒) ภณฺฑโคฺฆฯ นวภณฺฑสฺส หิ โย อโคฺฆ, โส ปจฺฉา ปริหายติฯ ยถา นวโธโต ปโตฺต อฎฺฐ วา ทส วา อคฺฆติ, โส ปจฺฉา ภิโนฺน วา ฉิโทฺท วา อาณิคณฺฐิกาหโต วา อปฺปโคฺฆ โหติ, ตสฺมา น สพฺพทา ภณฺฑํ ปกติอเคฺฆเนว กาตพฺพนฺติฯ เอวํ อโคฺฆ โอโลเกตโพฺพฯ

    Agghoti (pārā. aṭṭha. 1.92) bhaṇḍaggho. Navabhaṇḍassa hi yo aggho, so pacchā parihāyati. Yathā navadhoto patto aṭṭha vā dasa vā agghati, so pacchā bhinno vā chiddo vā āṇigaṇṭhikāhato vā appaggho hoti, tasmā na sabbadā bhaṇḍaṃ pakatiaggheneva kātabbanti. Evaṃ aggho oloketabbo.

    ปริโภโคติ ภณฺฑสฺส ปริโภโคฯ ปริโภเคนาปิ หิ วาสิอาทิภณฺฑสฺส อโคฺฆ ปริหายติ, ตสฺมา เอวํ อุปปริกฺขิตพฺพํ – สเจ โกจิ กสฺสจิ ปาทคฺฆนกํ วาสิํ หรติ, ตตฺร วาสิสามิโก ปุจฺฉิตโพฺพ ‘‘ตยา อยํ วาสิ กิตฺตเกน กีตา’’ติฯ ‘‘ปาเทน, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กิํ ปน เต กิณิตฺวาว ฐปิตา, อุทาหุ ตํ วลเญฺชสี’’ติ? สเจ วทติ ‘‘เอกทิวสํ เม ทนฺตกฎฺฐํ วา รชนฉลฺลิ วา ปตฺตปจนทารุ วา ฉินฺนํ, ฆํสิตฺวา วา นิสิตา’’ติฯ อถสฺส โปราโณ อโคฺฆ ภโฎฺฐติ เวทิตโพฺพฯ ยถา จ วาสิยา, เอวํ อญฺชนิยา วา อญฺชนิสลากาย วา กุญฺจิกาย วา ปลาเลน วา ถุเสหิ วา อิฎฺฐกจุเณฺณน วา เอกวารํ ฆํสิตฺวา โธวนมเตฺตนาปิ อโคฺฆ ภสฺสติฯ ติปุมณฺฑลสฺส มกรทนฺตเจฺฉทเนนาปิ ปริมทฺทนมเตฺตนาปิ, อุทกสาฎิกาย สกิํ นิวาสนปารุปเนนาปิ, ปริโภคสีเสน อํเส วา สีเส วา ฐปนมเตฺตนาปิ, ตณฺฑุลาทีนํ ปโปฺผฎเนนาปิ ตโต เอกํ วา เทฺว วา อปนยเนนปิ, อนฺตมโส เอกํ ปาสาณสกฺขรํ อุทฺธริตฺวา ฉฑฺฑิตมเตฺตนาปิ, สปฺปิเตลาทีนํ ภาชนนฺตรปริวตฺตเนนปิ, อนฺตมโส ตโต มกฺขิกํ วา กิปิลฺลิกํ วา อุทฺธริตฺวา ฉฑฺฑิตมเตฺตนปิ, คุฬปิณฺฑกสฺส มธุรภาวชานนตฺถํ นเขน วิชฺฌิตฺวา อณุมตฺตํ คหิตมเตฺตนปิ อโคฺฆ ภสฺสติฯ ตสฺมา ยํ กิญฺจิ ปาทคฺฆนกํ วุตฺตนเยเนว สามิเกน ปริโภเคน อูนํ กตํ โหติ, น ตํ อวหารโก ภิกฺขุ ปาราชิเกน กาเรตโพฺพติฯ เอวํ ปริโภโค โอโลเกตโพฺพฯ

    Paribhogoti bhaṇḍassa paribhogo. Paribhogenāpi hi vāsiādibhaṇḍassa aggho parihāyati, tasmā evaṃ upaparikkhitabbaṃ – sace koci kassaci pādagghanakaṃ vāsiṃ harati, tatra vāsisāmiko pucchitabbo ‘‘tayā ayaṃ vāsi kittakena kītā’’ti. ‘‘Pādena, bhante’’ti. ‘‘Kiṃ pana te kiṇitvāva ṭhapitā, udāhu taṃ valañjesī’’ti? Sace vadati ‘‘ekadivasaṃ me dantakaṭṭhaṃ vā rajanachalli vā pattapacanadāru vā chinnaṃ, ghaṃsitvā vā nisitā’’ti. Athassa porāṇo aggho bhaṭṭhoti veditabbo. Yathā ca vāsiyā, evaṃ añjaniyā vā añjanisalākāya vā kuñcikāya vā palālena vā thusehi vā iṭṭhakacuṇṇena vā ekavāraṃ ghaṃsitvā dhovanamattenāpi aggho bhassati. Tipumaṇḍalassa makaradantacchedanenāpi parimaddanamattenāpi, udakasāṭikāya sakiṃ nivāsanapārupanenāpi, paribhogasīsena aṃse vā sīse vā ṭhapanamattenāpi, taṇḍulādīnaṃ papphoṭanenāpi tato ekaṃ vā dve vā apanayanenapi, antamaso ekaṃ pāsāṇasakkharaṃ uddharitvā chaḍḍitamattenāpi, sappitelādīnaṃ bhājanantaraparivattanenapi, antamaso tato makkhikaṃ vā kipillikaṃ vā uddharitvā chaḍḍitamattenapi, guḷapiṇḍakassa madhurabhāvajānanatthaṃ nakhena vijjhitvā aṇumattaṃ gahitamattenapi aggho bhassati. Tasmā yaṃ kiñci pādagghanakaṃ vuttanayeneva sāmikena paribhogena ūnaṃ kataṃ hoti, na taṃ avahārako bhikkhu pārājikena kāretabboti. Evaṃ paribhogo oloketabbo.

    เอวํ อิมานิ ตุลยิตฺวา ปญฺจ ฐานานิ ธาเรยฺย อตฺถํ วิจกฺขโณ อาปตฺติํ วา อนาปตฺติํ วา ครุกํ วา ลหุกํ วา อาปตฺติํ ยถาฐาเน ฐเปยฺยาติฯ

    Evaṃ imāni tulayitvā pañca ṭhānāni dhāreyya atthaṃ vicakkhaṇo āpattiṃ vā anāpattiṃ vā garukaṃ vā lahukaṃ vā āpattiṃ yathāṭhāne ṭhapeyyāti.

    เอวํ ตตฺถ วินิจฺฉยํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อนาปตฺติํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สกสญฺญิสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สกสญฺญิสฺสาติ ‘‘มยฺหํ สนฺตกํ อิทํ ภณฺฑ’’นฺติ เอวํ สกสญฺญิสฺส ปรภณฺฑมฺปิ คณฺหโต คหเณ อนาปตฺติ, คหิตํ ปน ปุน ทาตพฺพํฯ สเจ สามิเกหิ ‘‘เทหี’’ติ วุโตฺต น เทติ, เตสํ ธุรนิเกฺขเป ปาราชิกํฯ วิสฺสาสคฺคาเหติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๓๑) วิสฺสาสคฺคหเณปิ อนาปตฺติฯ วิสฺสาสคฺคาหลกฺขณํ ปน อิมินา สุเตฺตน ชานิตพฺพํ –

    Evaṃ tattha vinicchayaṃ dassetvā idāni anāpattiṃ dassento ‘‘sakasaññissā’’tiādimāha. Tattha sakasaññissāti ‘‘mayhaṃ santakaṃ idaṃ bhaṇḍa’’nti evaṃ sakasaññissa parabhaṇḍampi gaṇhato gahaṇe anāpatti, gahitaṃ pana puna dātabbaṃ. Sace sāmikehi ‘‘dehī’’ti vutto na deti, tesaṃ dhuranikkhepe pārājikaṃ. Vissāsaggāheti (pārā. aṭṭha. 1.131) vissāsaggahaṇepi anāpatti. Vissāsaggāhalakkhaṇaṃ pana iminā suttena jānitabbaṃ –

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคตสฺส วิสฺสาสํ คเหตุํ, สนฺทิโฎฺฐ จ โหติ, สมฺภโตฺต จ อาลปิโต จ ชีวติ จ ชานาติ จ ‘คหิเต เม อตฺตมโน’’’ติ (มหาว. ๓๕๖)ฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pañcahaṅgehi samannāgatassa vissāsaṃ gahetuṃ, sandiṭṭho ca hoti, sambhatto ca ālapito ca jīvati ca jānāti ca ‘gahite me attamano’’’ti (mahāva. 356).

    ตตฺถ สนฺทิโฎฺฐติ ทิฎฺฐมตฺตกมิโตฺตฯ สมฺภโตฺตติ ทฬฺหมิโตฺตฯ อาลปิโตติ ‘‘มม สนฺตกํ ยํ อิจฺฉสิ, ตํ คเณฺหยฺยาสิ, อาปุจฺฉิตฺวา คหเณ การณํ นตฺถี’’ติ วุโตฺตฯ ชีวตีติ อนุฎฺฐานเสยฺยาย สยิโตปิ ยาว ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทํ น ปาปุณาติฯ คหิเต จ อตฺตมโนติ คหิเต ตุฎฺฐจิโตฺตฯ เอวรูปสฺส สนฺตกํ ‘‘คหิเต เม อตฺตมโน ภวิสฺสตี’’ติ ชานเนฺตน คเหตุํ วฎฺฎติฯ อนวเสสปริยาทานวเสน เจตานิ ปญฺจงฺคานิ วุตฺตานิฯ วิสฺสาสคฺคาโห ปน ตีหิ อเงฺคหิ รุหติฯ กถํ? สนฺทิโฎฺฐ, ชีวติ, คหิเต อตฺตมโน, สมฺภโตฺต, ชีวติ, คหิเต อตฺตมโน, อาลปิโต, ชีวติ, คหิเต อตฺตมโนติ เอวํฯ

    Tattha sandiṭṭhoti diṭṭhamattakamitto. Sambhattoti daḷhamitto. Ālapitoti ‘‘mama santakaṃ yaṃ icchasi, taṃ gaṇheyyāsi, āpucchitvā gahaṇe kāraṇaṃ natthī’’ti vutto. Jīvatīti anuṭṭhānaseyyāya sayitopi yāva jīvitindriyupacchedaṃ na pāpuṇāti. Gahite ca attamanoti gahite tuṭṭhacitto. Evarūpassa santakaṃ ‘‘gahite me attamano bhavissatī’’ti jānantena gahetuṃ vaṭṭati. Anavasesapariyādānavasena cetāni pañcaṅgāni vuttāni. Vissāsaggāho pana tīhi aṅgehi ruhati. Kathaṃ? Sandiṭṭho, jīvati, gahite attamano, sambhatto, jīvati, gahite attamano, ālapito, jīvati, gahite attamanoti evaṃ.

    โย ปน ชีวติ, น จ คหิเต อตฺตมโน โหติ, ตสฺส สนฺตกํ วิสฺสาสภาเวน คหิตมฺปิ ปุน ทาตพฺพํฯ ททเนฺตน จ มตกธนํ ตาว เย ตสฺส ธเน อิสฺสรา คหฎฺฐา วา ปพฺพชิตา วา, เตสํ ทาตพฺพํฯ อนตฺตมนสฺส สนฺตกํ ตเสฺสว ทาตพฺพํฯ โย ปน ปฐมํเยว ‘‘สุฎฺฐุ กตํ ตยา มม สนฺตกํ คณฺหเนฺตนา’’ติ วจีเภเทน วา จิตฺตุปฺปาทมเตฺตน วา อนุโมทิตฺวา ปจฺฉา เกนจิ การเณน กุปิโต, โส ปจฺจาหราเปตุํ น ลภติฯ โย จ อทาตุกาโม, จิเตฺตน ปน อธิวาเสติ, น กิญฺจิ วทติ, โสปิ ปุน ปจฺจาหราเปตุํ น ลภติฯ โย ปน ‘‘มยา ตุมฺหากํ สนฺตกํ คหิต’’นฺติ วา ‘‘ปริภุตฺต’’นฺติ วา วุโตฺต คหิตํ วา โหตุ, ปริภุตฺตํ วา, ‘‘มยา ปน ตํ เกนจิเทว กรณีเยน ฐปิตํ, ปากติกํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วทติ, อยํ ปจฺจาหราเปตุํ ลภติฯ

    Yo pana jīvati, na ca gahite attamano hoti, tassa santakaṃ vissāsabhāvena gahitampi puna dātabbaṃ. Dadantena ca matakadhanaṃ tāva ye tassa dhane issarā gahaṭṭhā vā pabbajitā vā, tesaṃ dātabbaṃ. Anattamanassa santakaṃ tasseva dātabbaṃ. Yo pana paṭhamaṃyeva ‘‘suṭṭhu kataṃ tayā mama santakaṃ gaṇhantenā’’ti vacībhedena vā cittuppādamattena vā anumoditvā pacchā kenaci kāraṇena kupito, so paccāharāpetuṃ na labhati. Yo ca adātukāmo, cittena pana adhivāseti, na kiñci vadati, sopi puna paccāharāpetuṃ na labhati. Yo pana ‘‘mayā tumhākaṃ santakaṃ gahita’’nti vā ‘‘paribhutta’’nti vā vutto gahitaṃ vā hotu, paribhuttaṃ vā, ‘‘mayā pana taṃ kenacideva karaṇīyena ṭhapitaṃ, pākatikaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti vadati, ayaṃ paccāharāpetuṃ labhati.

    ตาวกาลิเกติ ‘‘ปฎิทสฺสามิ ปฎิกริสฺสามี’’ติ เอวํ คณฺหนฺตสฺส ตาวกาลิเกปิ คหเณ อนาปตฺติฯ คหิตํ ปน สเจ ภณฺฑสามิโก ปุคฺคโล วา คโณ วา ‘‘ตุเยฺหเวตํ โหตู’’ติ อนุชานาติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ อนุชานาติ, อาหราเปเนฺต ทาตพฺพํฯ สงฺฆสนฺตกํ ปน ปฎิทาตุเมว วฎฺฎติฯ

    Tāvakāliketi ‘‘paṭidassāmi paṭikarissāmī’’ti evaṃ gaṇhantassa tāvakālikepi gahaṇe anāpatti. Gahitaṃ pana sace bhaṇḍasāmiko puggalo vā gaṇo vā ‘‘tuyhevetaṃ hotū’’ti anujānāti, iccetaṃ kusalaṃ. No ce anujānāti, āharāpente dātabbaṃ. Saṅghasantakaṃ pana paṭidātumeva vaṭṭati.

    เปตปริคฺคเหติ เอตฺถ ปน เปตฺติวิสเย อุปปนฺนาปิ, กาลํ กตฺวา ตสฺมิํเยว อตฺตภาเว นิพฺพตฺตาปิ, จาตุมหาราชิกาทโย เทวาปิ สเพฺพ ‘‘เปตา’’เตฺวว สงฺขฺยํ คตา, เตสํ ปริคฺคเห อนาปตฺติฯ เทวตาย ปน อุทฺทิสฺส พลิกมฺมํ กโรเนฺตหิ รุกฺขาทีสุ ลคฺคิตสาฎเก วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ ตญฺจ โข อารกฺขเกหิ อปริคฺคหิเต, ปริคฺคหิตํ ปน คเหตุํ น วฎฺฎติ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๑๓๑)ฯ

    Petapariggaheti ettha pana pettivisaye upapannāpi, kālaṃ katvā tasmiṃyeva attabhāve nibbattāpi, cātumahārājikādayo devāpi sabbe ‘‘petā’’tveva saṅkhyaṃ gatā, tesaṃ pariggahe anāpatti. Devatāya pana uddissa balikammaṃ karontehi rukkhādīsu laggitasāṭake vattabbameva natthi. Tañca kho ārakkhakehi apariggahite, pariggahitaṃ pana gahetuṃ na vaṭṭati (sārattha. ṭī. 2.131).

    ติรจฺฉานคตปริคฺคเหติ นาคสุปณฺณาทีนํ ติรจฺฉานคตานํ ปริคฺคเหฯ สเจปิ หิ เทโว วา นาคสุปโณฺณ วา มนุสฺสรูเปน อาปณํ ปสาเรติ, ตโต จสฺส สนฺตกํ โกจิ ทิพฺพจกฺขุโก ภิกฺขุ ตํ ญตฺวา คเหตฺวา คจฺฉติ, วฎฺฎติฯ

    Tiracchānagatapariggaheti nāgasupaṇṇādīnaṃ tiracchānagatānaṃ pariggahe. Sacepi hi devo vā nāgasupaṇṇo vā manussarūpena āpaṇaṃ pasāreti, tato cassa santakaṃ koci dibbacakkhuko bhikkhu taṃ ñatvā gahetvā gacchati, vaṭṭati.

    ปํสุกูลสญฺญิสฺสาติ ‘‘อสามิกํ อิทํ ปํสุกูล’’นฺติ เอวสญฺญิสฺสาปิ คหเณ อนาปตฺติฯ สเจ ปน ตํ สสามิกํ โหติ, อาหราเปเนฺต ทาตพฺพํฯ อุมฺมตฺตกาทีนิ ปุเพฺพ วุตฺตปฺปการาเนวฯ อาทิกมฺมิโก ปเนตฺถ ธนิโย ฯ อวเสสานํ ปน รชกภณฺฑิกาทิโจรานํ ฉพฺพคฺคิยาทีนํ อาปตฺติเยวฯ

    Paṃsukūlasaññissāti ‘‘asāmikaṃ idaṃ paṃsukūla’’nti evasaññissāpi gahaṇe anāpatti. Sace pana taṃ sasāmikaṃ hoti, āharāpente dātabbaṃ. Ummattakādīni pubbe vuttappakārāneva. Ādikammiko panettha dhaniyo . Avasesānaṃ pana rajakabhaṇḍikādicorānaṃ chabbaggiyādīnaṃ āpattiyeva.

    สจิตฺตเกหิ ตีหิ สมุฎฺฐาเนหิ อิทํ สมุฎฺฐาตีติ อาห ‘‘อทินฺนาทานสมุฎฺฐาน’’นฺติฯ ตถา หิ สาหตฺถิกํ กายจิตฺตโต สมุฎฺฐาติฯ อาณตฺติกํ วาจาจิตฺตโต สมุฎฺฐาติฯ สาหตฺติกาณตฺติกํ กายวาจาจิตฺตโต สมุฎฺฐาติ, ตญฺจ โข ‘‘ภาริยมิทํ, ตฺวํ เอกปสฺสํ คณฺห, อหํ เอกปสฺส’’นฺติ สํวิธาย อุภเยสํ ปโยเคน เอกสฺส วตฺถุโน ฐานาจาวเน ลพฺภติฯ ‘‘กายวจีกมฺม’’นฺติ อวจนํ ปน กายวาจานํ อีทิเส ฐาเน องฺคมตฺตตฺตาฯ ยาย ปน เจตนาย สมุฎฺฐาปิโต ปโยโค สาหตฺถิโก วา อาณตฺติโก วา ปธานภาเวน ฐานาจาวนํ สาเธติ, ตสฺสา วเสน อาปตฺติ กาเรตพฺพาฯ อญฺญถา สาหตฺถิกํ วา อาณตฺติกสฺส องฺคํ น โหติ, อาณตฺติกํ วา สาหตฺถิกสฺสาติ อิทํ วิรุชฺฌติฯ ‘‘อทินฺนํ อาทิยามี’’ติ สญฺญาย อภาเวน มุจฺจนโต สญฺญาวิโมกฺขํฯ กาเยน กตํ กมฺมํ กายกมฺมํ, กายทฺวาเรน กตนฺติ อโตฺถฯ วจีกมฺมนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ตุโฎฺฐ วา ภีโต วา มชฺฌโตฺต วา นํ อาปชฺชตีติ ติเวทนํฯ เสสํ ปฐมสิกฺขาปเท วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Sacittakehi tīhi samuṭṭhānehi idaṃ samuṭṭhātīti āha ‘‘adinnādānasamuṭṭhāna’’nti. Tathā hi sāhatthikaṃ kāyacittato samuṭṭhāti. Āṇattikaṃ vācācittato samuṭṭhāti. Sāhattikāṇattikaṃ kāyavācācittato samuṭṭhāti, tañca kho ‘‘bhāriyamidaṃ, tvaṃ ekapassaṃ gaṇha, ahaṃ ekapassa’’nti saṃvidhāya ubhayesaṃ payogena ekassa vatthuno ṭhānācāvane labbhati. ‘‘Kāyavacīkamma’’nti avacanaṃ pana kāyavācānaṃ īdise ṭhāne aṅgamattattā. Yāya pana cetanāya samuṭṭhāpito payogo sāhatthiko vā āṇattiko vā padhānabhāvena ṭhānācāvanaṃ sādheti, tassā vasena āpatti kāretabbā. Aññathā sāhatthikaṃ vā āṇattikassa aṅgaṃ na hoti, āṇattikaṃ vā sāhatthikassāti idaṃ virujjhati. ‘‘Adinnaṃ ādiyāmī’’ti saññāya abhāvena muccanato saññāvimokkhaṃ. Kāyena kataṃ kammaṃ kāyakammaṃ, kāyadvārena katanti attho. Vacīkammanti etthāpi eseva nayo. Tuṭṭho vā bhīto vā majjhatto vā naṃ āpajjatīti tivedanaṃ. Sesaṃ paṭhamasikkhāpade vuttanayeneva veditabbaṃ.

    ทุติยปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dutiyapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact