Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
๗-๑๐. ทุติยสิกฺขาสุตฺตาทิวณฺณนา
7-10. Dutiyasikkhāsuttādivaṇṇanā
๘๘-๙๑. สตฺตเม กุลา กุลํ คมนโกติ กุลโต กุลํ คจฺฉโนฺตฯ เทฺว วา ตโย วา ภเวติ เทวมนุสฺสวเสน เทฺว วา ตโย วา ภเวฯ มิสฺสกภววเสน เหตํ วุตฺตํฯ เทสนามตฺตเมว เจตํ ‘‘เทฺว วา ตีณิ วา’’ติฯ ยาว ฉฎฺฐภวา สํสรโนฺตปิ โกลํโกโลว โหติฯ เตเนวาห ‘‘อยญฺหิ เทฺว วา ภเว…เป.… เอวเมตฺถ วิกโปฺป ทฎฺฐโพฺพ’’ติฯ อุฬารกุลวจโน วา เอตฺถ กุลสโทฺท, กุลโต กุลํ คจฺฉตีติ โกลํโกโลฯ โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยโต ปฎฺฐาย หิ นีจกุเล อุปฺปตฺติ นาม นตฺถิ, มหาโภคกุเลสุ เอว นิพฺพตฺตตีติ อโตฺถฯ เกวโล หิ กุลสโทฺท มหากุลเมว วทติ ‘‘กุลปุโตฺต’’ติอาทีสุ วิยฯ เอกพีชีติ เอตฺถ ขนฺธพีชํ นาม กถิตํ, ขนฺธพีชนฺติ จ ปฎิสนฺธิวิญฺญาณํ วุจฺจติฯ ยสฺส หิ โสตาปนฺนสฺส เอกํ ขนฺธพีชํ อตฺถิ, เอกํ ภวคฺคหณํ, โส เอกพีชี นามฯ เตนาห ‘‘เอกเสฺสว ภวสฺส พีชํ เอตสฺส อตฺถีติ เอกพีชี’’ติฯ ‘‘มานุสกํ ภว’’นฺติ อิทํ ปเนตฺถ เทสนามตฺตเมว, ‘‘เทวภวํ นิพฺพเตฺตตี’’ติปิ ปน วตฺตุํ วฎฺฎติเยวฯ
88-91. Sattame kulā kulaṃ gamanakoti kulato kulaṃ gacchanto. Dve vā tayo vā bhaveti devamanussavasena dve vā tayo vā bhave. Missakabhavavasena hetaṃ vuttaṃ. Desanāmattameva cetaṃ ‘‘dve vā tīṇi vā’’ti. Yāva chaṭṭhabhavā saṃsarantopi kolaṃkolova hoti. Tenevāha ‘‘ayañhi dve vā bhave…pe… evamettha vikappo daṭṭhabbo’’ti. Uḷārakulavacano vā ettha kulasaddo, kulato kulaṃ gacchatīti kolaṃkolo. Sotāpattiphalasacchikiriyato paṭṭhāya hi nīcakule uppatti nāma natthi, mahābhogakulesu eva nibbattatīti attho. Kevalo hi kulasaddo mahākulameva vadati ‘‘kulaputto’’tiādīsu viya. Ekabījīti ettha khandhabījaṃ nāma kathitaṃ, khandhabījanti ca paṭisandhiviññāṇaṃ vuccati. Yassa hi sotāpannassa ekaṃ khandhabījaṃ atthi, ekaṃ bhavaggahaṇaṃ, so ekabījī nāma. Tenāha ‘‘ekasseva bhavassa bījaṃ etassa atthīti ekabījī’’ti. ‘‘Mānusakaṃ bhava’’nti idaṃ panettha desanāmattameva, ‘‘devabhavaṃ nibbattetī’’tipi pana vattuṃ vaṭṭatiyeva.
อุทฺธํวาหิภาเวน อุทฺธมสฺส ตณฺหาโสตํ วฎฺฎโสตํ วาติ อุทฺธํโสโต, อุทฺธํ วา คนฺตฺวา ปฎิลภิตพฺพโต อุทฺธมสฺส มคฺคโสตนฺติ อุทฺธํโสโตฯ ปฎิสนฺธิวเสน อกนิฎฺฐภวํ คจฺฉตีติ อกนิฎฺฐคามีฯ ยตฺถ กตฺถจีติ อวิหาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิฯ สปฺปโยเคนาติ วิปสฺสนาญาณาภิสงฺขารสงฺขาเตน ปโยเคน สห, มหตา วิปสฺสนาปโยเคนาติ อโตฺถฯ อุปหจฺจาติ เอตสฺส อุปคนฺตฺวาติ อโตฺถฯ เตน เวมชฺฌาติกฺกโม กาลกิริยาปคมนญฺจ สงฺคหิตํ โหติ, ตสฺมา อายุเวมชฺฌํ อติกฺกมิตฺวา ปรินิพฺพายโนฺต อุปหจฺจปรินิพฺพายี นาม โหตีติ อาห ‘‘โย ปน กปฺปสหสฺสายุเกสุ อวิเหสู’’ติอาทิฯ โส ติวิโธ โหตีติ ญาณสฺส ติกฺขมชฺฌมุทุภาเวน ติวิโธ โหติฯ เตนาห ‘‘กปฺปสหสฺสายุเกสู’’ติอาทิฯ
Uddhaṃvāhibhāvena uddhamassa taṇhāsotaṃ vaṭṭasotaṃ vāti uddhaṃsoto, uddhaṃ vā gantvā paṭilabhitabbato uddhamassa maggasotanti uddhaṃsoto. Paṭisandhivasena akaniṭṭhabhavaṃ gacchatīti akaniṭṭhagāmī. Yattha katthacīti avihādīsu yattha katthaci. Sappayogenāti vipassanāñāṇābhisaṅkhārasaṅkhātena payogena saha, mahatā vipassanāpayogenāti attho. Upahaccāti etassa upagantvāti attho. Tena vemajjhātikkamo kālakiriyāpagamanañca saṅgahitaṃ hoti, tasmā āyuvemajjhaṃ atikkamitvā parinibbāyanto upahaccaparinibbāyī nāma hotīti āha ‘‘yo pana kappasahassāyukesu avihesū’’tiādi. So tividho hotīti ñāṇassa tikkhamajjhamudubhāvena tividho hoti. Tenāha ‘‘kappasahassāyukesū’’tiādi.
สทฺธาธุเรน อภินิวิสิตฺวาติ ‘‘สเจ สทฺธาย สกฺกา นิพฺพเตฺตตุํ, นิพฺพเตฺตสฺสามิ โลกุตฺตรมคฺค’’นฺติ เอวํ สทฺธาธุรวเสน อภินิวิสิตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวาฯ ปญฺญาธุเรน อภินิวิโฎฺฐติ ‘‘สเจ ปญฺญาย สกฺกา, นิพฺพเตฺตสฺสามิ โลกุตฺตรมคฺค’’นฺติ เอวํ ปญฺญาธุรํ กตฺวา อภินิวิโฎฺฐฯ ยถาวุตฺตเมว อฎฺฐวิธตฺตํ โกลํโกลสตฺตกฺขตฺตุปรเมสุ อติทิสโนฺต ‘‘ตถา โกลํโกลา สตฺตกฺขตฺตุปรมา จา’’ติ อาหฯ วุตฺตนเยเนว อฎฺฐ โกลํโกลา, อฎฺฐ สตฺตกฺขตฺตุปรมาติ วุตฺตํ โหติฯ
Saddhādhurenaabhinivisitvāti ‘‘sace saddhāya sakkā nibbattetuṃ, nibbattessāmi lokuttaramagga’’nti evaṃ saddhādhuravasena abhinivisitvā vipassanaṃ paṭṭhapetvā. Paññādhurena abhiniviṭṭhoti ‘‘sace paññāya sakkā, nibbattessāmi lokuttaramagga’’nti evaṃ paññādhuraṃ katvā abhiniviṭṭho. Yathāvuttameva aṭṭhavidhattaṃ kolaṃkolasattakkhattuparamesu atidisanto ‘‘tathā kolaṃkolā sattakkhattuparamā cā’’ti āha. Vuttanayeneva aṭṭha kolaṃkolā, aṭṭha sattakkhattuparamāti vuttaṃ hoti.
ตตฺถ สตฺตกฺขตฺตุํ ปรมา ภวูปปตฺติ อตฺตภาวคฺคหณํ อสฺส, ตโต ปรํ อฎฺฐมํ ภวํ นาทิยตีติ สตฺตกฺขตฺตุปรโมฯ ภควตา คหิตนามวเสเนว เจตานิ อริยาย ชาติยา ชาตานํ เตสํ นามานิ ชาตานิ กุมารานํ มาตาปิตูหิ คหิตนามานิ วิยฯ เอตฺตกญฺหิ ฐานํ คโต เอกพีชี นาม โหติ, เอตฺตกํ โกลํโกโล, เอตฺตกํ สตฺตกฺขตฺตุปรโมติ ภควตา เอเตสํ นามํ คหิตํฯ นิยมโต ปน อยํ เอกพีชี, อยํ โกลํโกโล, อยํ สตฺตกฺขตฺตุปรโมติ นตฺถิฯ โก ปน เนสํ เอตํ ปเภทํ นิยเมตีติ? เกจิ ตาว เถรา ‘‘ปุพฺพเหตุ นิยเมตี’’ติ วทนฺติ, เกจิ ปฐมมโคฺค, เกจิ อุปริ ตโย มคฺคา, เกจิ ติณฺณํ มคฺคานํ วิปสฺสนาติฯ
Tattha sattakkhattuṃ paramā bhavūpapatti attabhāvaggahaṇaṃ assa, tato paraṃ aṭṭhamaṃ bhavaṃ nādiyatīti sattakkhattuparamo. Bhagavatā gahitanāmavaseneva cetāni ariyāya jātiyā jātānaṃ tesaṃ nāmāni jātāni kumārānaṃ mātāpitūhi gahitanāmāni viya. Ettakañhi ṭhānaṃ gato ekabījī nāma hoti, ettakaṃ kolaṃkolo, ettakaṃ sattakkhattuparamoti bhagavatā etesaṃ nāmaṃ gahitaṃ. Niyamato pana ayaṃ ekabījī, ayaṃ kolaṃkolo, ayaṃ sattakkhattuparamoti natthi. Ko pana nesaṃ etaṃ pabhedaṃ niyametīti? Keci tāva therā ‘‘pubbahetu niyametī’’ti vadanti, keci paṭhamamaggo, keci upari tayo maggā, keci tiṇṇaṃ maggānaṃ vipassanāti.
ตตฺถ ‘‘ปุพฺพเหตุ นิยเมตี’’ติ วาเท ปฐมมคฺคสฺส อุปนิสฺสโย กโต นาม โหติ, ‘‘อุปริ ตโย มคฺคา นิรุปนิสฺสยา อุปฺปนฺนา’’ติ วจนํ อาปชฺชติฯ ‘‘ปฐมมโคฺค นิยเมหี’’ติ วาเท อุปริ ติณฺณํ มคฺคานํ นิรตฺถกตา อาปชฺชติฯ ‘‘อุปริ ตโย มคฺคา นิยเมนฺตี’’ติ วาเท ปฐมมเคฺค อนุปฺปเนฺนเยว อุปริ ตโย มคฺคา อุปฺปนฺนาติ อาปชฺชตีติฯ ‘‘ติณฺณํ มคฺคานํ วิปสฺสนา นิยเมตี’’ติ วาโท ปน ยุชฺชติฯ สเจ หิ อุปริ ติณฺณํ มคฺคานํ วิปสฺสนา พลวตี โหติ, เอกพีชี นาม โหติ, ตโต มนฺทตราย โกลํโกโล, ตโต มนฺทตราย สตฺตกฺขตฺตุปรโมติฯ
Tattha ‘‘pubbahetu niyametī’’ti vāde paṭhamamaggassa upanissayo kato nāma hoti, ‘‘upari tayo maggā nirupanissayā uppannā’’ti vacanaṃ āpajjati. ‘‘Paṭhamamaggo niyamehī’’ti vāde upari tiṇṇaṃ maggānaṃ niratthakatā āpajjati. ‘‘Upari tayo maggā niyamentī’’ti vāde paṭhamamagge anuppanneyeva upari tayo maggā uppannāti āpajjatīti. ‘‘Tiṇṇaṃ maggānaṃ vipassanā niyametī’’ti vādo pana yujjati. Sace hi upari tiṇṇaṃ maggānaṃ vipassanā balavatī hoti, ekabījī nāma hoti, tato mandatarāya kolaṃkolo, tato mandatarāya sattakkhattuparamoti.
เอกโจฺจ หิ โสตาปโนฺน วฎฺฎชฺฌาสโย โหติ วฎฺฎาภิรโต, ปุนปฺปุนํ วฎฺฎสฺมิํเยว จรติ สนฺทิสฺสติฯ อนาถปิณฺฑิโก เสฎฺฐิ, วิสาขา อุปาสิกา, จูฬรถมหารถา เทวปุตฺตา, อเนกวโณฺณ เทวปุโตฺต, สโกฺก เทวราชา, นาคทโตฺต เทวปุโตฺตติ อิเม หิ เอตฺตกา ชนา วฎฺฎชฺฌาสยา วฎฺฎาภิรตา อาทิโต ปฎฺฐาย ฉ เทวโลเก โสเธตฺวา อกนิเฎฺฐ ฐตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสนฺติ, อิเม อิธ น คหิตาฯ น เกวลญฺจิเมว, โยปิ มนุเสฺสสุเยว สตฺตกฺขตฺตุํ สํสริตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, โยปิ เทวโลเก นิพฺพโตฺต เทเวสุเยว สตฺตกฺขตฺตุํ อปราปรํ สํสริตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ อิเมปิ อิธ น คหิตา, กาเลน เทเว, กาเลน มนุเสฺส สํสริตฺวา ปน อรหตฺตํ ปาปุณโนฺตว อิธ คหิโต, ตสฺมา ‘‘สตฺตกฺขตฺตุปรโม’’ติ อิทํ อิธฎฺฐกโวกิณฺณภวูปปตฺติกสุกฺขวิปสฺสกสฺส นามํ กถิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Ekacco hi sotāpanno vaṭṭajjhāsayo hoti vaṭṭābhirato, punappunaṃ vaṭṭasmiṃyeva carati sandissati. Anāthapiṇḍiko seṭṭhi, visākhā upāsikā, cūḷarathamahārathā devaputtā, anekavaṇṇo devaputto, sakko devarājā, nāgadatto devaputtoti ime hi ettakā janā vaṭṭajjhāsayā vaṭṭābhiratā ādito paṭṭhāya cha devaloke sodhetvā akaniṭṭhe ṭhatvā parinibbāyissanti, ime idha na gahitā. Na kevalañcimeva, yopi manussesuyeva sattakkhattuṃ saṃsaritvā arahattaṃ pāpuṇāti, yopi devaloke nibbatto devesuyeva sattakkhattuṃ aparāparaṃ saṃsaritvā arahattaṃ pāpuṇāti. Imepi idha na gahitā, kālena deve, kālena manusse saṃsaritvā pana arahattaṃ pāpuṇantova idha gahito, tasmā ‘‘sattakkhattuparamo’’ti idaṃ idhaṭṭhakavokiṇṇabhavūpapattikasukkhavipassakassa nāmaṃ kathitanti veditabbaṃ.
‘‘สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา’’ติ (ปุ. ป. ๓๔) วจนโต ปญฺจสุ สกทาคามีสุ จตฺตาโร วเชฺชตฺวา เอโกว คหิโตฯ เอกโจฺจ หิ อิธ สกทาคามิผลํ ปตฺวา อิเธว ปรินิพฺพายติ, เอกโจฺจ อิธ ปตฺวา เทวโลเก ปรินิพฺพายติ , เอกโจฺจ เทวโลเก ปตฺวา ตเตฺถว ปรินิพฺพายติ, เอกโจฺจ เทวโลเก ปตฺวา อิธูปปชฺชิตฺวา ปรินิพฺพายติฯ อิเม จตฺตาโรปิ อิธ น คหิตาฯ โย ปน อิธ ปตฺวา เทวโลเก ยาวตายุกํ วสิตฺวา ปุน อิธูปปชฺชิตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสติ, อยํ เอโกว อิธ คหิโตติ เวทิตโพฺพฯ
‘‘Sakideva imaṃ lokaṃ āgantvā’’ti (pu. pa. 34) vacanato pañcasu sakadāgāmīsu cattāro vajjetvā ekova gahito. Ekacco hi idha sakadāgāmiphalaṃ patvā idheva parinibbāyati, ekacco idha patvā devaloke parinibbāyati , ekacco devaloke patvā tattheva parinibbāyati, ekacco devaloke patvā idhūpapajjitvā parinibbāyati. Ime cattāropi idha na gahitā. Yo pana idha patvā devaloke yāvatāyukaṃ vasitvā puna idhūpapajjitvā parinibbāyissati, ayaṃ ekova idha gahitoti veditabbo.
อิทานิ ตสฺส ปเภทํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตีสุ ปน วิโมเกฺขสู’’ติอาทิมาหฯ อิมสฺส ปน สกทาคามิโน เอกพีชินา สทฺธิํ กิํ นานากรณนฺติ? เอกพีชิสฺส เอกาว ปฎิสนฺธิ, สกทาคามิสฺส เทฺว ปฎิสนฺธิโย, อิทํ เตสํ นานากรณํฯ สุญฺญตวิโมเกฺขน วิมุตฺตขีณาสโว ปฎิปทาวเสน จตุพฺพิโธ โหติ, ตถา อนิมิตฺตอปฺปณิหิตวิโมเกฺขหีติ เอวํ ทฺวาทส อรหนฺตา โหนฺตีติ อาห ‘‘ยถา ปน สกทาคามิโน, ตเถว อรหโนฺต ทฺวาทส เวทิตพฺพา’’ติฯ อฎฺฐมนวมทสมานิ อุตฺตานตฺถาเนวฯ
Idāni tassa pabhedaṃ dassento ‘‘tīsu pana vimokkhesū’’tiādimāha. Imassa pana sakadāgāmino ekabījinā saddhiṃ kiṃ nānākaraṇanti? Ekabījissa ekāva paṭisandhi, sakadāgāmissa dve paṭisandhiyo, idaṃ tesaṃ nānākaraṇaṃ. Suññatavimokkhena vimuttakhīṇāsavo paṭipadāvasena catubbidho hoti, tathā animittaappaṇihitavimokkhehīti evaṃ dvādasa arahantā hontīti āha ‘‘yathā pana sakadāgāmino, tatheva arahanto dvādasa veditabbā’’ti. Aṭṭhamanavamadasamāni uttānatthāneva.
ทุติยสิกฺขาสุตฺตาทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dutiyasikkhāsuttādivaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya
๗. ทุติยสิกฺขาสุตฺตํ • 7. Dutiyasikkhāsuttaṃ
๘. ตติยสิกฺขาสุตฺตํ • 8. Tatiyasikkhāsuttaṃ
๙. ปฐมสิกฺขตฺตยสุตฺตํ • 9. Paṭhamasikkhattayasuttaṃ
๑๐. ทุติยสิกฺขตฺตยสุตฺตํ • 10. Dutiyasikkhattayasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)
๗. ทุติยสิกฺขาสุตฺตวณฺณนา • 7. Dutiyasikkhāsuttavaṇṇanā
๘. ตติยสิกฺขาสุตฺตวณฺณนา • 8. Tatiyasikkhāsuttavaṇṇanā
๑๐. ทุติยสิกฺขตฺตยสุตฺตวณฺณนา • 10. Dutiyasikkhattayasuttavaṇṇanā