Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๖. ทุติยโยธาชีวสุตฺตํ
6. Dutiyayodhājīvasuttaṃ
๗๖. ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, โยธาชีวา สโนฺต สํวิชฺชมานา โลกสฺมิํฯ กตเม ปญฺจ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ โยธาชีโว อสิจมฺมํ คเหตฺวา ธนุกลาปํ สนฺนยฺหิตฺวา วิยูฬฺหํ สงฺคามํ โอตรติฯ โส ตสฺมิํ สงฺคาเม อุสฺสหติ วายมติฯ ตเมนํ อุสฺสหนฺตํ วายมนฺตํ ปเร หนนฺติ ปริยาปาเทนฺติฯ เอวรูโปปิ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ โยธาชีโว โหติฯ อยํ, ภิกฺขเว, ปฐโม โยธาชีโว สโนฺต สํวิชฺชมาโน โลกสฺมิํฯ
76. ‘‘Pañcime, bhikkhave, yodhājīvā santo saṃvijjamānā lokasmiṃ. Katame pañca? Idha, bhikkhave, ekacco yodhājīvo asicammaṃ gahetvā dhanukalāpaṃ sannayhitvā viyūḷhaṃ saṅgāmaṃ otarati. So tasmiṃ saṅgāme ussahati vāyamati. Tamenaṃ ussahantaṃ vāyamantaṃ pare hananti pariyāpādenti. Evarūpopi, bhikkhave, idhekacco yodhājīvo hoti. Ayaṃ, bhikkhave, paṭhamo yodhājīvo santo saṃvijjamāno lokasmiṃ.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ โยธาชีโว อสิจมฺมํ คเหตฺวา ธนุกลาปํ สนฺนยฺหิตฺวา วิยูฬฺหํ สงฺคามํ โอตรติฯ โส ตสฺมิํ สงฺคาเม อุสฺสหติ วายมติฯ ตเมนํ อุสฺสหนฺตํ วายมนฺตํ ปเร อุปลิกฺขนฺติ 1, ตเมนํ อปเนนฺติ; อปเนตฺวา ญาตกานํ เนนฺติฯ โส ญาตเกหิ นียมาโน อปฺปตฺวาว ญาตเก อนฺตรามเคฺค กาลํ กโรติฯ เอวรูโปปิ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ โยธาชีโว โหติฯ อยํ, ภิกฺขเว, ทุติโย โยธาชีโว สโนฺต สํวิชฺชมาโน โลกสฺมิํฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, idhekacco yodhājīvo asicammaṃ gahetvā dhanukalāpaṃ sannayhitvā viyūḷhaṃ saṅgāmaṃ otarati. So tasmiṃ saṅgāme ussahati vāyamati. Tamenaṃ ussahantaṃ vāyamantaṃ pare upalikkhanti 2, tamenaṃ apanenti; apanetvā ñātakānaṃ nenti. So ñātakehi nīyamāno appatvāva ñātake antarāmagge kālaṃ karoti. Evarūpopi, bhikkhave, idhekacco yodhājīvo hoti. Ayaṃ, bhikkhave, dutiyo yodhājīvo santo saṃvijjamāno lokasmiṃ.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ โยธาชีโว อสิจมฺมํ คเหตฺวา ธนุกลาปํ สนฺนยฺหิตฺวา วิยูฬฺหํ สงฺคามํ โอตรติฯ โส ตสฺมิํ สงฺคาเม อุสฺสหติ วายมติฯ ตเมนํ อุสฺสหนฺตํ วายมนฺตํ ปเร อุปลิกฺขนฺติ, ตเมนํ อปเนนฺติ; อปเนตฺวา ญาตกานํ เนนฺติฯ ตเมนํ ญาตกา อุปฎฺฐหนฺติ ปริจรนฺติฯ โส ญาตเกหิ อุปฎฺฐหิยมาโน ปริจริยมาโน เตเนว อาพาเธน กาลํ กโรติ ฯ เอวรูโปปิ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ โยธาชีโว โหติฯ อยํ, ภิกฺขเว, ตติโย โยธาชีโว สโนฺต สํวิชฺชมาโน โลกสฺมิํฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, idhekacco yodhājīvo asicammaṃ gahetvā dhanukalāpaṃ sannayhitvā viyūḷhaṃ saṅgāmaṃ otarati. So tasmiṃ saṅgāme ussahati vāyamati. Tamenaṃ ussahantaṃ vāyamantaṃ pare upalikkhanti, tamenaṃ apanenti; apanetvā ñātakānaṃ nenti. Tamenaṃ ñātakā upaṭṭhahanti paricaranti. So ñātakehi upaṭṭhahiyamāno paricariyamāno teneva ābādhena kālaṃ karoti . Evarūpopi, bhikkhave, idhekacco yodhājīvo hoti. Ayaṃ, bhikkhave, tatiyo yodhājīvo santo saṃvijjamāno lokasmiṃ.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ โยธาชีโว อสิจมฺมํ คเหตฺวา ธนุกลาปํ สนฺนยฺหิตฺวา วิยูฬฺหํ สงฺคามํ โอตรติฯ โส ตสฺมิํ สงฺคาเม อุสฺสหติ วายมติฯ ตเมนํ อุสฺสหนฺตํ วายมนฺตํ ปเร อุปลิกฺขนฺติ, ตเมนํ อปเนนฺติ; อปเนตฺวา ญาตกานํ เนนฺติฯ ตเมนํ ญาตกา อุปฎฺฐหนฺติ ปริจรนฺติฯ โส ญาตเกหิ อุปฎฺฐหิยมาโน ปริจริยมาโน วุฎฺฐาติ ตมฺหา อาพาธาฯ เอวรูโปปิ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ โยธาชีโว โหติฯ อยํ, ภิกฺขเว, จตุโตฺถ โยธาชีโว สโนฺต สํวิชฺชมาโน โลกสฺมิํฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, idhekacco yodhājīvo asicammaṃ gahetvā dhanukalāpaṃ sannayhitvā viyūḷhaṃ saṅgāmaṃ otarati. So tasmiṃ saṅgāme ussahati vāyamati. Tamenaṃ ussahantaṃ vāyamantaṃ pare upalikkhanti, tamenaṃ apanenti; apanetvā ñātakānaṃ nenti. Tamenaṃ ñātakā upaṭṭhahanti paricaranti. So ñātakehi upaṭṭhahiyamāno paricariyamāno vuṭṭhāti tamhā ābādhā. Evarūpopi, bhikkhave, idhekacco yodhājīvo hoti. Ayaṃ, bhikkhave, catuttho yodhājīvo santo saṃvijjamāno lokasmiṃ.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ โยธาชีโว อสิจมฺมํ คเหตฺวา ธนุกลาปํ สนฺนยฺหิตฺวา วิยูฬฺหํ สงฺคามํ โอตรติฯ โส ตํ สงฺคามํ อภิวิชินิตฺวา วิชิตสงฺคาโม ตเมว สงฺคามสีสํ อชฺฌาวสติฯ เอวรูโปปิ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ โยธาชีโว โหติฯ อยํ, ภิกฺขเว, ปญฺจโม โยธาชีโว สโนฺต สํวิชฺชมาโน โลกสฺมิํฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, ปญฺจ โยธาชีวา สโนฺต สํวิชฺชมานา โลกสฺมิํฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, idhekacco yodhājīvo asicammaṃ gahetvā dhanukalāpaṃ sannayhitvā viyūḷhaṃ saṅgāmaṃ otarati. So taṃ saṅgāmaṃ abhivijinitvā vijitasaṅgāmo tameva saṅgāmasīsaṃ ajjhāvasati. Evarūpopi, bhikkhave, idhekacco yodhājīvo hoti. Ayaṃ, bhikkhave, pañcamo yodhājīvo santo saṃvijjamāno lokasmiṃ. Ime kho, bhikkhave, pañca yodhājīvā santo saṃvijjamānā lokasmiṃ.
‘‘เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจิเม โยธาชีวูปมา ปุคฺคลา สโนฺต สํวิชฺชมานา ภิกฺขูสุฯ กตเม ปญฺจ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อญฺญตรํ คามํ วา นิคมํ วา อุปนิสฺสาย วิหรติฯ โส ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ตเมว คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย ปวิสติ อรกฺขิเตเนว กาเยน อรกฺขิตาย วาจาย อรกฺขิเตน จิเตฺตน อนุปฎฺฐิตาย สติยา อสํวุเตหิ อินฺทฺริเยหิฯ โส ตตฺถ ปสฺสติ มาตุคามํ ทุนฺนิวตฺถํ วา ทุปฺปารุตํ วาฯ ตสฺส ตํ มาตุคามํ ทิสฺวา ทุนฺนิวตฺถํ วา ทุปฺปารุตํ วา ราโค จิตฺตํ อนุทฺธํเสติฯ โส ราคานุทฺธํสิเตน จิเตฺตน สิกฺขํ อปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวติฯ
‘‘Evamevaṃ kho, bhikkhave, pañcime yodhājīvūpamā puggalā santo saṃvijjamānā bhikkhūsu. Katame pañca? Idha, bhikkhave, bhikkhu aññataraṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā upanissāya viharati. So pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya tameva gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya pavisati arakkhiteneva kāyena arakkhitāya vācāya arakkhitena cittena anupaṭṭhitāya satiyā asaṃvutehi indriyehi. So tattha passati mātugāmaṃ dunnivatthaṃ vā duppārutaṃ vā. Tassa taṃ mātugāmaṃ disvā dunnivatthaṃ vā duppārutaṃ vā rāgo cittaṃ anuddhaṃseti. So rāgānuddhaṃsitena cittena sikkhaṃ apaccakkhāya dubbalyaṃ anāvikatvā methunaṃ dhammaṃ paṭisevati.
‘‘เสยฺยถาปิ โส, ภิกฺขเว, โยธาชีโว อสิจมฺมํ คเหตฺวา ธนุกลาปํ สนฺนยฺหิตฺวา วิยูฬฺหํ สงฺคามํ โอตรติ, โส ตสฺมิํ สงฺคาเม อุสฺสหติ วายมติ, ตเมนํ อุสฺสหนฺตํ วายมนฺตํ ปเร หนนฺติ ปริยาปาเทนฺติ; ตถูปมาหํ, ภิกฺขเว, อิมํ ปุคฺคลํ วทามิฯ เอวรูโปปิ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล โหติฯ อยํ, ภิกฺขเว, ปฐโม โยธาชีวูปโม ปุคฺคโล สโนฺต สํวิชฺชมาโน ภิกฺขูสุฯ
‘‘Seyyathāpi so, bhikkhave, yodhājīvo asicammaṃ gahetvā dhanukalāpaṃ sannayhitvā viyūḷhaṃ saṅgāmaṃ otarati, so tasmiṃ saṅgāme ussahati vāyamati, tamenaṃ ussahantaṃ vāyamantaṃ pare hananti pariyāpādenti; tathūpamāhaṃ, bhikkhave, imaṃ puggalaṃ vadāmi. Evarūpopi, bhikkhave, idhekacco puggalo hoti. Ayaṃ, bhikkhave, paṭhamo yodhājīvūpamo puggalo santo saṃvijjamāno bhikkhūsu.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อญฺญตรํ คามํ วา นิคมํ วา อุปนิสฺสาย วิหรติฯ โส ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ตเมว คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย ปวิสติ อรกฺขิเตเนว กาเยน อรกฺขิตาย วาจาย อรกฺขิเตน จิเตฺตน อนุปฎฺฐิตาย สติยา อสํวุเตหิ อินฺทฺริเยหิฯ โส ตตฺถ ปสฺสติ มาตุคามํ ทุนฺนิวตฺถํ วา ทุปฺปารุตํ วาฯ ตสฺส ตํ มาตุคามํ ทิสฺวา ทุนฺนิวตฺถํ วา ทุปฺปารุตํ วา ราโค จิตฺตํ อนุทฺธํเสติฯ โส ราคานุทฺธํสิเตน จิเตฺตน ปริฑยฺหเตว กาเยน ปริฑยฺหติ เจตสาฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘ยํนูนาหํ อารามํ คนฺตฺวา ภิกฺขูนํ อาโรเจยฺยํ – ราคปริยุฎฺฐิโตมฺหิ 3, อาวุโส, ราคปเรโต, น สโกฺกมิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ; สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อาวิกตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติสฺสามี’ติฯ โส อารามํ คจฺฉโนฺต อปฺปตฺวาว อารามํ อนฺตรามเคฺค สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อาวิกตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตติฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu aññataraṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā upanissāya viharati. So pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya tameva gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya pavisati arakkhiteneva kāyena arakkhitāya vācāya arakkhitena cittena anupaṭṭhitāya satiyā asaṃvutehi indriyehi. So tattha passati mātugāmaṃ dunnivatthaṃ vā duppārutaṃ vā. Tassa taṃ mātugāmaṃ disvā dunnivatthaṃ vā duppārutaṃ vā rāgo cittaṃ anuddhaṃseti. So rāgānuddhaṃsitena cittena pariḍayhateva kāyena pariḍayhati cetasā. Tassa evaṃ hoti – ‘yaṃnūnāhaṃ ārāmaṃ gantvā bhikkhūnaṃ āroceyyaṃ – rāgapariyuṭṭhitomhi 4, āvuso, rāgapareto, na sakkomi brahmacariyaṃ sandhāretuṃ; sikkhādubbalyaṃ āvikatvā sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattissāmī’ti. So ārāmaṃ gacchanto appatvāva ārāmaṃ antarāmagge sikkhādubbalyaṃ āvikatvā sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattati.
‘‘เสยฺยถาปิ โส, ภิกฺขเว, โยธาชีโว อสิจมฺมํ คเหตฺวา ธนุกลาปํ สนฺนยฺหิตฺวา วิยูฬฺหํ สงฺคามํ โอตรติ, โส ตสฺมิํ สงฺคาเม อุสฺสหติ วายมติ, ตเมนํ อุสฺสหนฺตํ วายมนฺตํ ปเร อุปลิกฺขนฺติ, ตเมนํ อปเนนฺติ; อปเนตฺวา ญาตกานํ เนนฺติฯ โส ญาตเกหิ นียมาโน อปฺปตฺวาว ญาตเก อนฺตรามเคฺค กาลํ กโรติ; ตถูปมาหํ, ภิกฺขเว, อิมํ ปุคฺคลํ วทามิฯ เอวรูโปปิ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล โหติฯ อยํ, ภิกฺขเว, ทุติโย โยธาชีวูปโม ปุคฺคโล สโนฺต สํวิชฺชมาโน ภิกฺขูสุฯ
‘‘Seyyathāpi so, bhikkhave, yodhājīvo asicammaṃ gahetvā dhanukalāpaṃ sannayhitvā viyūḷhaṃ saṅgāmaṃ otarati, so tasmiṃ saṅgāme ussahati vāyamati, tamenaṃ ussahantaṃ vāyamantaṃ pare upalikkhanti, tamenaṃ apanenti; apanetvā ñātakānaṃ nenti. So ñātakehi nīyamāno appatvāva ñātake antarāmagge kālaṃ karoti; tathūpamāhaṃ, bhikkhave, imaṃ puggalaṃ vadāmi. Evarūpopi, bhikkhave, idhekacco puggalo hoti. Ayaṃ, bhikkhave, dutiyo yodhājīvūpamo puggalo santo saṃvijjamāno bhikkhūsu.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อญฺญตรํ คามํ วา นิคมํ วา อุปนิสฺสาย วิหรติฯ โส ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ตเมว คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย ปวิสติ อรกฺขิเตเนว กาเยน อรกฺขิตาย วาจาย อรกฺขิเตน จิเตฺตน อนุปฎฺฐิตาย สติยา อสํวุเตหิ อินฺทฺริเยหิฯ โส ตตฺถ ปสฺสติ มาตุคามํ ทุนฺนิวตฺถํ วา ทุปฺปารุตํ วาฯ ตสฺส ตํ มาตุคามํ ทิสฺวา ทุนฺนิวตฺถํ วา ทุปฺปารุตํ วา ราโค จิตฺตํ อนุทฺธํเสติฯ โส ราคานุทฺธํสิเตน จิเตฺตน ปริฑยฺหเตว กาเยน ปริฑยฺหติ เจตสาฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘ยํนูนาหํ อารามํ คนฺตฺวา ภิกฺขูนํ อาโรเจยฺยํ – ราคปริยุฎฺฐิโตมฺหิ, อาวุโส, ราคปเรโต, น สโกฺกมิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ; สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อาวิกตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติสฺสามี’ติฯ โส อารามํ คนฺตฺวา ภิกฺขูนํ อาโรเจติ – ‘ราคปริยุฎฺฐิโตมฺหิ, อาวุโส, ราคปเรโต, น สโกฺกมิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ; สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อาวิกตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติสฺสามี’’’ติฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu aññataraṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā upanissāya viharati. So pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya tameva gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya pavisati arakkhiteneva kāyena arakkhitāya vācāya arakkhitena cittena anupaṭṭhitāya satiyā asaṃvutehi indriyehi. So tattha passati mātugāmaṃ dunnivatthaṃ vā duppārutaṃ vā. Tassa taṃ mātugāmaṃ disvā dunnivatthaṃ vā duppārutaṃ vā rāgo cittaṃ anuddhaṃseti. So rāgānuddhaṃsitena cittena pariḍayhateva kāyena pariḍayhati cetasā. Tassa evaṃ hoti – ‘yaṃnūnāhaṃ ārāmaṃ gantvā bhikkhūnaṃ āroceyyaṃ – rāgapariyuṭṭhitomhi, āvuso, rāgapareto, na sakkomi brahmacariyaṃ sandhāretuṃ; sikkhādubbalyaṃ āvikatvā sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattissāmī’ti. So ārāmaṃ gantvā bhikkhūnaṃ āroceti – ‘rāgapariyuṭṭhitomhi, āvuso, rāgapareto, na sakkomi brahmacariyaṃ sandhāretuṃ; sikkhādubbalyaṃ āvikatvā sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattissāmī’’’ti.
‘‘ตเมนํ สพฺรหฺมจารี โอวทนฺติ อนุสาสนฺติ – ‘อปฺปสฺสาทา , อาวุโส, กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา 5, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ อฎฺฐิกงฺกลูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ มํสเปสูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ ติณุกฺกูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ องฺคารกาสูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ สุปินกูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ ยาจิตกูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ รุกฺขผลูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ อสิสูนูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ สตฺติสูลูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ สปฺปสิรูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ อภิรมตายสฺมา พฺรหฺมจริเย; มายสฺมา สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อาวิกตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตี’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ sabrahmacārī ovadanti anusāsanti – ‘appassādā , āvuso, kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā 6, ādīnavo ettha bhiyyo. Aṭṭhikaṅkalūpamā kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo. Maṃsapesūpamā kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo. Tiṇukkūpamā kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo. Aṅgārakāsūpamā kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo. Supinakūpamā kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo. Yācitakūpamā kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo. Rukkhaphalūpamā kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo. Asisūnūpamā kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo. Sattisūlūpamā kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo. Sappasirūpamā kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo. Abhiramatāyasmā brahmacariye; māyasmā sikkhādubbalyaṃ āvikatvā sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattī’’’ti.
‘‘โส สพฺรหฺมจารีหิ เอวํ โอวทิยมาโน เอวํ อนุสาสิยมาโน เอวมาห – ‘กิญฺจาปิ, อาวุโส, อปฺปสฺสาทา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺย; อถ โข เนวาหํ สโกฺกมิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อาวิกตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติสฺสามี’’’ติฯ โส สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อาวิกตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตติฯ
‘‘So sabrahmacārīhi evaṃ ovadiyamāno evaṃ anusāsiyamāno evamāha – ‘kiñcāpi, āvuso, appassādā kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo; atha kho nevāhaṃ sakkomi brahmacariyaṃ sandhāretuṃ, sikkhādubbalyaṃ āvikatvā sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattissāmī’’’ti. So sikkhādubbalyaṃ āvikatvā sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattati.
‘‘เสยฺยถาปิ โส, ภิกฺขเว, โยธาชีโว อสิจมฺมํ คเหตฺวา ธนุกลาปํ สนฺนยฺหิตฺวา วิยูฬฺหํ สงฺคามํ โอตรติ, โส ตสฺมิํ สงฺคาเม อุสฺสหติ วายมติ, ตเมนํ อุสฺสหนฺตํ วายมนฺตํ ปเร อุปลิกฺขนฺติ, ตเมนํ อปเนนฺติ; อปเนตฺวา ญาตกานํ เนนฺติ, ตเมนํ ญาตกา อุปฎฺฐหนฺติ ปริจรนฺติ ฯ โส ญาตเกหิ อุปฎฺฐหิยมาโน ปริจริยมาโน เตเนว อาพาเธน กาลํ กโรติ; ตถูปมาหํ, ภิกฺขเว, อิมํ ปุคฺคลํ วทามิฯ เอวรูโปปิ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล โหติฯ อยํ, ภิกฺขเว, ตติโย โยธาชีวูปโม ปุคฺคโล สโนฺต สํวิชฺชมาโน ภิกฺขูสุฯ
‘‘Seyyathāpi so, bhikkhave, yodhājīvo asicammaṃ gahetvā dhanukalāpaṃ sannayhitvā viyūḷhaṃ saṅgāmaṃ otarati, so tasmiṃ saṅgāme ussahati vāyamati, tamenaṃ ussahantaṃ vāyamantaṃ pare upalikkhanti, tamenaṃ apanenti; apanetvā ñātakānaṃ nenti, tamenaṃ ñātakā upaṭṭhahanti paricaranti . So ñātakehi upaṭṭhahiyamāno paricariyamāno teneva ābādhena kālaṃ karoti; tathūpamāhaṃ, bhikkhave, imaṃ puggalaṃ vadāmi. Evarūpopi, bhikkhave, idhekacco puggalo hoti. Ayaṃ, bhikkhave, tatiyo yodhājīvūpamo puggalo santo saṃvijjamāno bhikkhūsu.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อญฺญตรํ คามํ วา นิคมํ วา อุปนิสฺสาย วิหรติฯ โส ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ตเมว คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย ปวิสติ อรกฺขิเตเนว กาเยน อรกฺขิตาย วาจาย อรกฺขิเตน จิเตฺตน อนุปฎฺฐิตาย สติยา อสํวุเตหิ อินฺทฺริเยหิฯ โส ตตฺถ ปสฺสติ มาตุคามํ ทุนฺนิวตฺถํ วา ทุปฺปารุตํ วาฯ ตสฺส ตํ มาตุคามํ ทิสฺวา ทุนฺนิวตฺถํ วา ทุปฺปารุตํ วา ราโค จิตฺตํ อนุทฺธํเสติฯ โส ราคานุทฺธํสิเตน จิเตฺตน ปริฑยฺหเตว กาเยน ปริฑยฺหติ เจตสาฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘ยํนูนาหํ อารามํ คนฺตฺวา ภิกฺขูนํ อาโรเจยฺยํ – ราคปริยุฎฺฐิโตมฺหิ, อาวุโส, ราคปเรโต, น สโกฺกมิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ; สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อาวิกตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติสฺสามี’ติฯ โส อารามํ คนฺตฺวา ภิกฺขูนํ อาโรเจติ – ‘ราคปริยุฎฺฐิโตมฺหิ, อาวุโส, ราคปเรโต, น สโกฺกมิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ; สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อาวิกตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติสฺสามี’’’ติฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu aññataraṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā upanissāya viharati. So pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya tameva gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya pavisati arakkhiteneva kāyena arakkhitāya vācāya arakkhitena cittena anupaṭṭhitāya satiyā asaṃvutehi indriyehi. So tattha passati mātugāmaṃ dunnivatthaṃ vā duppārutaṃ vā. Tassa taṃ mātugāmaṃ disvā dunnivatthaṃ vā duppārutaṃ vā rāgo cittaṃ anuddhaṃseti. So rāgānuddhaṃsitena cittena pariḍayhateva kāyena pariḍayhati cetasā. Tassa evaṃ hoti – ‘yaṃnūnāhaṃ ārāmaṃ gantvā bhikkhūnaṃ āroceyyaṃ – rāgapariyuṭṭhitomhi, āvuso, rāgapareto, na sakkomi brahmacariyaṃ sandhāretuṃ; sikkhādubbalyaṃ āvikatvā sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattissāmī’ti. So ārāmaṃ gantvā bhikkhūnaṃ āroceti – ‘rāgapariyuṭṭhitomhi, āvuso, rāgapareto, na sakkomi brahmacariyaṃ sandhāretuṃ; sikkhādubbalyaṃ āvikatvā sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattissāmī’’’ti.
‘‘ตเมนํ สพฺรหฺมจารี โอวทนฺติ อนุสาสนฺติ – ‘อปฺปสฺสาทา, อาวุโส, กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ อฎฺฐิกงฺกลูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ มํสเปสูปมา กามา วุตฺตา ภควตา…เป.… ติณุกฺกูปมา กามา วุตฺตา ภควตา… องฺคารกาสูปมา กามา วุตฺตา ภควตา… สุปินกูปมา กามา วุตฺตา ภควตา… ยาจิตกูปมา กามา วุตฺตา ภควตา… รุกฺขผลูปมา กามา วุตฺตา ภควตา… อสิสูนูปมา กามา วุตฺตา ภควตา… สตฺติสูลูปมา กามา วุตฺตา ภควตา… สปฺปสิรูปมา กามา วุตฺตา ภควตา พหุทุกฺขา พหุปายาสา, อาทีนโว เอตฺถ ภิโยฺยฯ อภิรมตายสฺมา พฺรหฺมจริเย; มายสฺมา สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อาวิกตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตี’’’ติฯ
‘‘Tamenaṃ sabrahmacārī ovadanti anusāsanti – ‘appassādā, āvuso, kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo. Aṭṭhikaṅkalūpamā kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo. Maṃsapesūpamā kāmā vuttā bhagavatā…pe… tiṇukkūpamā kāmā vuttā bhagavatā… aṅgārakāsūpamā kāmā vuttā bhagavatā… supinakūpamā kāmā vuttā bhagavatā… yācitakūpamā kāmā vuttā bhagavatā… rukkhaphalūpamā kāmā vuttā bhagavatā… asisūnūpamā kāmā vuttā bhagavatā… sattisūlūpamā kāmā vuttā bhagavatā… sappasirūpamā kāmā vuttā bhagavatā bahudukkhā bahupāyāsā, ādīnavo ettha bhiyyo. Abhiramatāyasmā brahmacariye; māyasmā sikkhādubbalyaṃ āvikatvā sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattī’’’ti.
‘‘โส สพฺรหฺมจารีหิ เอวํ โอวทิยมาโน เอวํ อนุสาสิยมาโน เอวมาห – ‘อุสฺสหิสฺสามิ , อาวุโส, วายมิสฺสามิ, อาวุโส, อภิรมิสฺสามิ, อาวุโส! น ทานาหํ, อาวุโส, สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อาวิกตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติสฺสามี’’’ติฯ
‘‘So sabrahmacārīhi evaṃ ovadiyamāno evaṃ anusāsiyamāno evamāha – ‘ussahissāmi , āvuso, vāyamissāmi, āvuso, abhiramissāmi, āvuso! Na dānāhaṃ, āvuso, sikkhādubbalyaṃ āvikatvā sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattissāmī’’’ti.
‘‘เสยฺยถาปิ โส, ภิกฺขเว, โยธาชีโว อสิจมฺมํ คเหตฺวา ธนุกลาปํ สนฺนยฺหิตฺวา วิยูฬฺหํ สงฺคามํ โอตรติ, โส ตสฺมิํ สงฺคาเม อุสฺสหติ วายมติ, ตเมนํ อุสฺสหนฺตํ วายมนฺตํ ปเร อุปลิกฺขนฺติ, ตเมนํ อปเนนฺติ; อปเนตฺวา ญาตกานํ เนนฺติ, ตเมนํ ญาตกา อุปฎฺฐหนฺติ ปริจรนฺติฯ โส ญาตเกหิ อุปฎฺฐหิยมาโน ปริจริยมาโน วุฎฺฐาติ ตมฺหา อาพาธา; ตถูปมาหํ, ภิกฺขเว, อิมํ ปุคฺคลํ วทามิฯ เอวรูโปปิ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล โหติฯ อยํ, ภิกฺขเว, จตุโตฺถ โยธาชีวูปโม ปุคฺคโล สโนฺต สํวิชฺชมาโน ภิกฺขูสุฯ
‘‘Seyyathāpi so, bhikkhave, yodhājīvo asicammaṃ gahetvā dhanukalāpaṃ sannayhitvā viyūḷhaṃ saṅgāmaṃ otarati, so tasmiṃ saṅgāme ussahati vāyamati, tamenaṃ ussahantaṃ vāyamantaṃ pare upalikkhanti, tamenaṃ apanenti; apanetvā ñātakānaṃ nenti, tamenaṃ ñātakā upaṭṭhahanti paricaranti. So ñātakehi upaṭṭhahiyamāno paricariyamāno vuṭṭhāti tamhā ābādhā; tathūpamāhaṃ, bhikkhave, imaṃ puggalaṃ vadāmi. Evarūpopi, bhikkhave, idhekacco puggalo hoti. Ayaṃ, bhikkhave, catuttho yodhājīvūpamo puggalo santo saṃvijjamāno bhikkhūsu.
‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อญฺญตรํ คามํ วา นิคมํ วา อุปนิสฺสาย วิหรติฯ โส ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ตเมว คามํ วา นิคมํ วา ปิณฺฑาย ปวิสติ รกฺขิเตเนว กาเยน รกฺขิตาย วาจาย รกฺขิเตน จิเตฺตน อุปฎฺฐิตาย สติยา สํวุเตหิ อินฺทฺริเยหิฯ โส จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหีฯ ยตฺวาธิกรณเมนํ จกฺขุนฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ, ตสฺส สํวราย ปฎิปชฺชติ; รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ; จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชติฯ โสเตน สทฺทํ สุตฺวา… ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา … ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา… กาเยน โผฎฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา… มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหีฯ ยตฺวาธิกรณเมนํ มนินฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ, ตสฺส สํวราย ปฎิปชฺชติ; รกฺขติ มนินฺทฺริยํ; มนินฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชติฯ โส ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อโพฺภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ โส อรญฺญคโต วา รุกฺขมูลคโต วา สุญฺญาคารคโต วา นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุชุํ กายํ ปณิธาย ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาฯ โส อภิชฺฌํ โลเก ปหาย…เป.… โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ
‘‘Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu aññataraṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā upanissāya viharati. So pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya tameva gāmaṃ vā nigamaṃ vā piṇḍāya pavisati rakkhiteneva kāyena rakkhitāya vācāya rakkhitena cittena upaṭṭhitāya satiyā saṃvutehi indriyehi. So cakkhunā rūpaṃ disvā na nimittaggāhī hoti nānubyañjanaggāhī. Yatvādhikaraṇamenaṃ cakkhundriyaṃ asaṃvutaṃ viharantaṃ abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyuṃ, tassa saṃvarāya paṭipajjati; rakkhati cakkhundriyaṃ; cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjati. Sotena saddaṃ sutvā… ghānena gandhaṃ ghāyitvā … jivhāya rasaṃ sāyitvā… kāyena phoṭṭhabbaṃ phusitvā… manasā dhammaṃ viññāya na nimittaggāhī hoti nānubyañjanaggāhī. Yatvādhikaraṇamenaṃ manindriyaṃ asaṃvutaṃ viharantaṃ abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyuṃ, tassa saṃvarāya paṭipajjati; rakkhati manindriyaṃ; manindriye saṃvaraṃ āpajjati. So pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto vivittaṃ senāsanaṃ bhajati araññaṃ rukkhamūlaṃ pabbataṃ kandaraṃ giriguhaṃ susānaṃ vanapatthaṃ abbhokāsaṃ palālapuñjaṃ. So araññagato vā rukkhamūlagato vā suññāgāragato vā nisīdati pallaṅkaṃ ābhujitvā ujuṃ kāyaṃ paṇidhāya parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvā. So abhijjhaṃ loke pahāya…pe… so ime pañca nīvaraṇe pahāya cetaso upakkilese paññāya dubbalīkaraṇe vivicceva kāmehi…pe… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati.
‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อนงฺคเณ วิคตูปกฺกิเลเส มุทุภูเต กมฺมนิเย ฐิเต อาเนญฺชปฺปเตฺต อาสวานํ ขยญาณาย จิตฺตํ อภินินฺนาเมติฯ โส ‘อิทํ ทุกฺข’นฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ…เป.… นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ’’ฯ
‘‘So evaṃ samāhite citte parisuddhe pariyodāte anaṅgaṇe vigatūpakkilese mudubhūte kammaniye ṭhite āneñjappatte āsavānaṃ khayañāṇāya cittaṃ abhininnāmeti. So ‘idaṃ dukkha’nti yathābhūtaṃ pajānāti…pe… nāparaṃ itthattāyāti pajānāti’’.
‘‘เสยฺยถาปิ โส, ภิกฺขเว, โยธาชีโว อสิจมฺมํ คเหตฺวา ธนุกลาปํ สนฺนยฺหิตฺวา วิยูฬฺหํ สงฺคามํ โอตรติ, โส ตํ สงฺคามํ อภิวิชินิตฺวา วิชิตสงฺคาโม ตเมว สงฺคามสีสํ อชฺฌาวสติ; ตถูปมาหํ, ภิกฺขเว, อิมํ ปุคฺคลํ วทามิฯ เอวรูโปปิ, ภิกฺขเว, อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล โหติฯ อยํ, ภิกฺขเว, ปญฺจโม โยธาชีวูปโม ปุคฺคโล สโนฺต สํวิชฺชมาโน ภิกฺขูสุฯ อิเม โข, ภิกฺขเว , ปญฺจ โยธาชีวูปมา ปุคฺคลา สโนฺต สํวิชฺชมานา ภิกฺขูสู’’ติฯ ฉฎฺฐํฯ
‘‘Seyyathāpi so, bhikkhave, yodhājīvo asicammaṃ gahetvā dhanukalāpaṃ sannayhitvā viyūḷhaṃ saṅgāmaṃ otarati, so taṃ saṅgāmaṃ abhivijinitvā vijitasaṅgāmo tameva saṅgāmasīsaṃ ajjhāvasati; tathūpamāhaṃ, bhikkhave, imaṃ puggalaṃ vadāmi. Evarūpopi, bhikkhave, idhekacco puggalo hoti. Ayaṃ, bhikkhave, pañcamo yodhājīvūpamo puggalo santo saṃvijjamāno bhikkhūsu. Ime kho, bhikkhave , pañca yodhājīvūpamā puggalā santo saṃvijjamānā bhikkhūsū’’ti. Chaṭṭhaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๖. ทุติยโยธาชีวสุตฺตวณฺณนา • 6. Dutiyayodhājīvasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๖. ทุติยโยธาชีวสุตฺตวณฺณนา • 6. Dutiyayodhājīvasuttavaṇṇanā