Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๓. ทุฎฺฐฎฺฐกสุตฺตวณฺณนา
3. Duṭṭhaṭṭhakasuttavaṇṇanā
๗๘๗. วทนฺติ เว ทุฎฺฐมนาปีติ ทุฎฺฐฎฺฐกสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? อาทิคาถาย ตาว อุปฺปตฺติ – มุนิสุตฺตนเยน ภควโต ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ อุปฺปนฺนลาภสกฺการํ อสหมานา ติตฺถิยา สุนฺทริํ ปริพฺพาชิกํ อุโยฺยเชสุํฯ สา กิร ชนปทกลฺยาณี เสตวตฺถปริพฺพาชิกาว อโหสิฯ สา สุนฺหาตา สุนิวตฺถา มาลาคนฺธวิเลปนวิภูสิตา ภควโต ธมฺมํ สุตฺวา สาวตฺถิวาสีนํ เชตวนโต นิกฺขมนเวลาย สาวตฺถิโต นิกฺขมิตฺวา เชตวนาภิมุขี คจฺฉติฯ มนุเสฺสหิ จ ‘‘กุหิํ คจฺฉสี’’ติ ปุจฺฉิตา ‘‘สมณํ โคตมํ สาวเก จสฺส รมยิตุํ คจฺฉามี’’ติ วตฺวา เชตวนทฺวารโกฎฺฐเก วิจริตฺวา เชตวนทฺวารโกฎฺฐเก ปิทหิเต นครํ ปวิสิตฺวา ปภาเต ปุน เชตวนํ คนฺตฺวา คนฺธกุฎิสมีเป ปุปฺผานิ วิจินนฺตี วิย จรติ ฯ พุทฺธุปฎฺฐานํ อาคเตหิ จ มนุเสฺสหิ ‘‘กิมตฺถํ อาคตาสี’’ติ ปุจฺฉิตา ยํกิญฺจิเทว ภณติฯ เอวํ อฑฺฒมาสมเตฺต วีติกฺกเนฺต ติตฺถิยา ตํ ชีวิตา โวโรเปตฺวา ปริขาตเฎ นิกฺขิปิตฺวา ปภาเต ‘‘สุนฺทริํ น ปสฺสามา’’ติ โกลาหลํ กตฺวา รโญฺญ จ อาโรเจตฺวา เตน อนุญฺญาตา เชตวนํ ปวิสิตฺวา วิจินนฺตา วิย ตํ นิกฺขิตฺตฎฺฐานา อุทฺธริตฺวา มญฺจกํ อาโรเปตฺวา นครํ อภิหริตฺวา อุปโกฺกสํ อกํสุฯ สพฺพํ ปาฬิยํ (อุทา. ๓๘) อาคตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
787.Vadantive duṭṭhamanāpīti duṭṭhaṭṭhakasuttaṃ. Kā uppatti? Ādigāthāya tāva uppatti – munisuttanayena bhagavato bhikkhusaṅghassa ca uppannalābhasakkāraṃ asahamānā titthiyā sundariṃ paribbājikaṃ uyyojesuṃ. Sā kira janapadakalyāṇī setavatthaparibbājikāva ahosi. Sā sunhātā sunivatthā mālāgandhavilepanavibhūsitā bhagavato dhammaṃ sutvā sāvatthivāsīnaṃ jetavanato nikkhamanavelāya sāvatthito nikkhamitvā jetavanābhimukhī gacchati. Manussehi ca ‘‘kuhiṃ gacchasī’’ti pucchitā ‘‘samaṇaṃ gotamaṃ sāvake cassa ramayituṃ gacchāmī’’ti vatvā jetavanadvārakoṭṭhake vicaritvā jetavanadvārakoṭṭhake pidahite nagaraṃ pavisitvā pabhāte puna jetavanaṃ gantvā gandhakuṭisamīpe pupphāni vicinantī viya carati . Buddhupaṭṭhānaṃ āgatehi ca manussehi ‘‘kimatthaṃ āgatāsī’’ti pucchitā yaṃkiñcideva bhaṇati. Evaṃ aḍḍhamāsamatte vītikkante titthiyā taṃ jīvitā voropetvā parikhātaṭe nikkhipitvā pabhāte ‘‘sundariṃ na passāmā’’ti kolāhalaṃ katvā rañño ca ārocetvā tena anuññātā jetavanaṃ pavisitvā vicinantā viya taṃ nikkhittaṭṭhānā uddharitvā mañcakaṃ āropetvā nagaraṃ abhiharitvā upakkosaṃ akaṃsu. Sabbaṃ pāḷiyaṃ (udā. 38) āgatanayeneva veditabbaṃ.
ภควา ตํ ทิวสํ ปจฺจูสสมเย พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต ‘‘ติตฺถิยา อชฺช อยสํ อุปฺปาเทสฺสนฺตี’’ติ ญตฺวา ‘‘เตสํ สทฺทหิตฺวา มาทิเส จิตฺตํ ปโกเปตฺวา มหาชโน อปายาภิมุโข มา อโหสี’’ติ คนฺธกุฎิทฺวารํ ปิทหิตฺวา อโนฺตคนฺธกุฎิยํเยว อจฺฉิ, น นครํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ ภิกฺขู ปน ทฺวารํ ปิทหิตํ ทิสฺวา ปุพฺพสทิสเมว ปวิสิํสุฯ มนุสฺสา ภิกฺขู ทิสฺวา นานปฺปกาเรหิ อโกฺกสิํสุฯ อถ อายสฺมา อานโนฺท ภควโต ตํ ปวตฺติํ อาโรเจตฺวา ‘‘ติตฺถิเยหิ, ภเนฺต, มหาอยโส อุปฺปาทิโต, น สกฺกา อิธ วสิตุํ, วิปุโล ชมฺพุทีโป, อญฺญตฺถ คจฺฉามา’’ติ อาหฯ ตตฺถปิ อยเส อุฎฺฐิเต กุหิํ คมิสฺสสิ อานนฺทาติ? ‘‘อญฺญํ นครํ ภควา’’ติฯ อถ ภควา ‘‘อาคเมหิ, อานนฺท, สตฺตาหเมวายํ สโทฺท ภวิสฺสติ, สตฺตาหจฺจเยน เยหิ อยโส กโต, เตสํเยว อุปริ ปติสฺสตี’’ติ วตฺวา อานนฺทเตฺถรสฺส ธมฺมเทสนตฺถํ ‘‘วทนฺติ เว’’ติ อิมํ คาถมภาสิฯ
Bhagavā taṃ divasaṃ paccūsasamaye buddhacakkhunā lokaṃ volokento ‘‘titthiyā ajja ayasaṃ uppādessantī’’ti ñatvā ‘‘tesaṃ saddahitvā mādise cittaṃ pakopetvā mahājano apāyābhimukho mā ahosī’’ti gandhakuṭidvāraṃ pidahitvā antogandhakuṭiyaṃyeva acchi, na nagaraṃ piṇḍāya pāvisi. Bhikkhū pana dvāraṃ pidahitaṃ disvā pubbasadisameva pavisiṃsu. Manussā bhikkhū disvā nānappakārehi akkosiṃsu. Atha āyasmā ānando bhagavato taṃ pavattiṃ ārocetvā ‘‘titthiyehi, bhante, mahāayaso uppādito, na sakkā idha vasituṃ, vipulo jambudīpo, aññattha gacchāmā’’ti āha. Tatthapi ayase uṭṭhite kuhiṃ gamissasi ānandāti? ‘‘Aññaṃ nagaraṃ bhagavā’’ti. Atha bhagavā ‘‘āgamehi, ānanda, sattāhamevāyaṃ saddo bhavissati, sattāhaccayena yehi ayaso kato, tesaṃyeva upari patissatī’’ti vatvā ānandattherassa dhammadesanatthaṃ ‘‘vadanti ve’’ti imaṃ gāthamabhāsi.
ตตฺถ วทนฺตีติ ภควนฺตํ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ อุปวทนฺติฯ ทุฎฺฐมนาปิ เอเก อโถปิ เว สจฺจมนาติ เอกเจฺจ ทุฎฺฐจิตฺตา, เอกเจฺจ ตถสญฺญิโนปิ หุตฺวา, ติตฺถิยา ทุฎฺฐจิตฺตา, เย เตสํ วจนํ สุตฺวา สทฺทหิํสุ, เต สจฺจมนาติ อธิปฺปาโยฯ วาทญฺจ ชาตนฺติ เอตํ อโกฺกสวาทํ อุปฺปนฺนํฯ มุนิ โน อุเปตีติ อการกตาย จ อกุปฺปนตาย จ พุทฺธมุนิ น อุเปติฯ ตสฺมา มุนี นตฺถิ ขิโล กุหิญฺจีติ เตน การเณน อยํ มุนิ ราคาทิขิเลหิ นตฺถิ ขิโล กุหิญฺจีติ เวทิตโพฺพฯ
Tattha vadantīti bhagavantaṃ bhikkhusaṅghañca upavadanti. Duṭṭhamanāpi eke athopi ve saccamanāti ekacce duṭṭhacittā, ekacce tathasaññinopi hutvā, titthiyā duṭṭhacittā, ye tesaṃ vacanaṃ sutvā saddahiṃsu, te saccamanāti adhippāyo. Vādañca jātanti etaṃ akkosavādaṃ uppannaṃ. Muni no upetīti akārakatāya ca akuppanatāya ca buddhamuni na upeti. Tasmā munī natthi khilo kuhiñcīti tena kāraṇena ayaṃ muni rāgādikhilehi natthi khilo kuhiñcīti veditabbo.
๗๘๘. อิมญฺจ คาถํ วตฺวา ภควา อานนฺทเตฺถรํ ปุจฺฉิ, ‘‘เอวํ ขุํเสตฺวา วเมฺภตฺวา วุจฺจมานา ภิกฺขู, อานนฺท, กิํ วทนฺตี’’ติฯ น กิญฺจิ ภควาติฯ ‘‘น, อานนฺท, ‘อหํ สีลวา’ติ สพฺพตฺถ ตุณฺหี ภวิตพฺพํ, โลเก หิ นาภาสมานํ ชานนฺติ มิสฺสํ พาเลหิ ปณฺฑิต’’นฺติ วตฺวา, ‘‘ภิกฺขู, อานนฺท, เต มนุเสฺส เอวํ ปฎิโจเทนฺตู’’ติ ธมฺมเทสนตฺถาย ‘‘อภูตวาที นิรยํ อุเปตี’’ติ อิมํ คาถมภาสิฯ เถโร ตํ อุคฺคเหตฺวา ภิกฺขู อาห – ‘‘มนุสฺสา ตุเมฺหหิ อิมาย คาถาย ปฎิโจเทตพฺพา’’ติฯ ภิกฺขู ตถา อกํสุฯ ปณฺฑิตมนุสฺสา ตุณฺหี อเหสุํฯ ราชาปิ ราชปุริเส สพฺพโต เปเสตฺวา เยสํ ธุตฺตานํ ลญฺชํ ทตฺวา ติตฺถิยา ตํ มาราเปสุํ, เต คเหตฺวา นิคฺคยฺห ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ติตฺถิเย ปริภาสิฯ มนุสฺสาปิ ติตฺถิเย ทิสฺวา เลฑฺฑุนา ปหรนฺติ, ปํสุนา โอกิรนฺติ ‘‘ภควโต อยสํ อุปฺปาเทสุ’’นฺติฯ อานนฺทเตฺถโร ตํ ทิสฺวา ภควโต อาโรเจสิ, ภควา เถรสฺส อิมํ คาถมภาสิ ‘‘สกญฺหิ ทิฎฺฐิํ…เป.… วเทยฺยา’’ติฯ
788. Imañca gāthaṃ vatvā bhagavā ānandattheraṃ pucchi, ‘‘evaṃ khuṃsetvā vambhetvā vuccamānā bhikkhū, ānanda, kiṃ vadantī’’ti. Na kiñci bhagavāti. ‘‘Na, ānanda, ‘ahaṃ sīlavā’ti sabbattha tuṇhī bhavitabbaṃ, loke hi nābhāsamānaṃ jānanti missaṃ bālehi paṇḍita’’nti vatvā, ‘‘bhikkhū, ānanda, te manusse evaṃ paṭicodentū’’ti dhammadesanatthāya ‘‘abhūtavādī nirayaṃ upetī’’ti imaṃ gāthamabhāsi. Thero taṃ uggahetvā bhikkhū āha – ‘‘manussā tumhehi imāya gāthāya paṭicodetabbā’’ti. Bhikkhū tathā akaṃsu. Paṇḍitamanussā tuṇhī ahesuṃ. Rājāpi rājapurise sabbato pesetvā yesaṃ dhuttānaṃ lañjaṃ datvā titthiyā taṃ mārāpesuṃ, te gahetvā niggayha taṃ pavattiṃ ñatvā titthiye paribhāsi. Manussāpi titthiye disvā leḍḍunā paharanti, paṃsunā okiranti ‘‘bhagavato ayasaṃ uppādesu’’nti. Ānandatthero taṃ disvā bhagavato ārocesi, bhagavā therassa imaṃ gāthamabhāsi ‘‘sakañhi diṭṭhiṃ…pe… vadeyyā’’ti.
ตสฺสโตฺถ – ยายํ ทิฎฺฐิ ติตฺถิยชนสฺส ‘‘สุนฺทริํ มาเรตฺวา สมณานํ สกฺยปุตฺติยานํ อวณฺณํ ปกาเสตฺวา เอเตนุปาเยน ลทฺธํ สกฺการํ สาทิยิสฺสามา’’ติ, โส ตํ ทิฎฺฐิํ กถํ อติกฺกเมยฺย, อถ โข โส อยโส ตเมว ติตฺถิยชนํ ปจฺจาคโต ตํ ทิฎฺฐิํ อเจฺจตุํ อสโกฺกนฺตํฯ โย วา สสฺสตาทิวาที, โสปิ สกํ ทิฎฺฐิํ กถํ อจฺจเยยฺย เตน ทิฎฺฐิจฺฉเนฺทน อนุนีโต ตาย จ ทิฎฺฐิรุจิยา นิวิโฎฺฐ, อปิจ โข ปน สยํ สมตฺตานิ ปกุพฺพมาโน อตฺตนาว ปริปุณฺณานิ ตานิ ทิฎฺฐิคตานิ กโรโนฺต ยถา ชาเนยฺย, ตเถว วเทยฺยาติฯ
Tassattho – yāyaṃ diṭṭhi titthiyajanassa ‘‘sundariṃ māretvā samaṇānaṃ sakyaputtiyānaṃ avaṇṇaṃ pakāsetvā etenupāyena laddhaṃ sakkāraṃ sādiyissāmā’’ti, so taṃ diṭṭhiṃ kathaṃ atikkameyya, atha kho so ayaso tameva titthiyajanaṃ paccāgato taṃ diṭṭhiṃ accetuṃ asakkontaṃ. Yo vā sassatādivādī, sopi sakaṃ diṭṭhiṃ kathaṃ accayeyya tena diṭṭhicchandena anunīto tāya ca diṭṭhiruciyā niviṭṭho, apica kho pana sayaṃ samattānipakubbamāno attanāva paripuṇṇāni tāni diṭṭhigatāni karonto yathā jāneyya, tatheva vadeyyāti.
๗๘๙. อถ ราชา สตฺตาหจฺจเยน ตํ กุณปํ ฉฑฺฑาเปตฺวา สายนฺหสมยํ วิหารํ คนฺตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา อาห – ‘‘นนุ, ภเนฺต, อีทิเส อยเส อุปฺปเนฺน มยฺหมฺปิ อาโรเจตพฺพํ สิยา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต ภควา, ‘‘น, มหาราช, ‘อหํ สีลวา คุณสมฺปโนฺน’ติ ปเรสํ อาโรเจตุํ อริยานํ ปติรูป’’นฺติ วตฺวา ตสฺสา อฎฺฐุปฺปตฺติยํ ‘‘โย อตฺตโน สีลวตานี’’ติ อวเสสคาถาโย อภาสิฯ
789. Atha rājā sattāhaccayena taṃ kuṇapaṃ chaḍḍāpetvā sāyanhasamayaṃ vihāraṃ gantvā bhagavantaṃ abhivādetvā āha – ‘‘nanu, bhante, īdise ayase uppanne mayhampi ārocetabbaṃ siyā’’ti. Evaṃ vutte bhagavā, ‘‘na, mahārāja, ‘ahaṃ sīlavā guṇasampanno’ti paresaṃ ārocetuṃ ariyānaṃ patirūpa’’nti vatvā tassā aṭṭhuppattiyaṃ ‘‘yo attano sīlavatānī’’ti avasesagāthāyo abhāsi.
ตตฺถ สีลวตานีติ ปาติโมกฺขาทีนิ สีลานิ อารญฺญิกาทีนิ ธุตงฺควตานิ จฯ อนานุปุโฎฺฐติ อปุจฺฉิโตฯ ปาวาติ วทติฯ อนริยธมฺมํ กุสลา ตมาหุ, โย อาตุมานํ สยเมว ปาวาติ โย เอวํ อตฺตานํ สยเมว วทติ, ตสฺส ตํ วาทํ ‘‘อนริยธโมฺม เอโส’’ติ กุสลา เอวํ กเถนฺติฯ
Tattha sīlavatānīti pātimokkhādīni sīlāni āraññikādīni dhutaṅgavatāni ca. Anānupuṭṭhoti apucchito. Pāvāti vadati. Anariyadhammaṃ kusalā tamāhu, yo ātumānaṃ sayameva pāvāti yo evaṃ attānaṃ sayameva vadati, tassa taṃ vādaṃ ‘‘anariyadhammo eso’’ti kusalā evaṃ kathenti.
๗๙๐. สโนฺตติ ราคาทิกิเลสวูปสเมน สโนฺต, ตถา อภินิพฺพุตโตฺตฯ อิติหนฺติ สีเลสุ อกตฺถมาโนติ ‘‘อหมสฺมิ สีลสมฺปโนฺน’’ติอาทินา นเยน อิติ สีเลสุ อกตฺถมาโน, สีลนิมิตฺตํ อตฺตูปนายิกํ วาจํ อภาสมาโนติ วุตฺตํ โหติฯ ตมริยธมฺมํ กุสลา วทนฺตีติ ตสฺส ตํ อกตฺถนํ ‘‘อริยธโมฺม เอโส’’ติ พุทฺธาทโย ขนฺธาทิกุสลา วทนฺติฯ ยสฺสุสฺสทา นตฺถิ กุหิญฺจิ โลเกติ ยสฺส ขีณาสวสฺส ราคาทโย สตฺต อุสฺสทา กุหิญฺจิ โลเก นตฺถิ, ตสฺส ตํ อกตฺถนํ ‘‘อริยธโมฺม เอโส’’ติ เอวํ กุสลา วทนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ
790.Santoti rāgādikilesavūpasamena santo, tathā abhinibbutatto. Itihanti sīlesu akatthamānoti ‘‘ahamasmi sīlasampanno’’tiādinā nayena iti sīlesu akatthamāno, sīlanimittaṃ attūpanāyikaṃ vācaṃ abhāsamānoti vuttaṃ hoti. Tamariyadhammaṃ kusalā vadantīti tassa taṃ akatthanaṃ ‘‘ariyadhammo eso’’ti buddhādayo khandhādikusalā vadanti. Yassussadā natthi kuhiñci loketi yassa khīṇāsavassa rāgādayo satta ussadā kuhiñci loke natthi, tassa taṃ akatthanaṃ ‘‘ariyadhammo eso’’ti evaṃ kusalā vadantīti sambandho.
๗๙๑. เอวํ ขีณาสวปฎิปตฺติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ทิฎฺฐิคติกานํ ติตฺถิยานํ ปฎิปตฺติํ รโญฺญ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘ปกปฺปิตา สงฺขตา’’ติฯ ตตฺถ ปกปฺปิตาติ ปริกปฺปิตาฯ สงฺขตาติ ปจฺจยาภิสงฺขตาฯ ยสฺสาติ ยสฺส กสฺสจิ ทิฎฺฐิคติกสฺสฯ ธมฺมาติ ทิฎฺฐิโยฯ ปุรกฺขตาติ ปุรโต กตาฯ สนฺตีติ สํวิชฺชนฺติฯ อวีวทาตาติ อโวทาตาฯ ยทตฺตนิ ปสฺสติ อานิสํสํ, ตํ นิสฺสิโต กุปฺปปฎิจฺจสนฺตินฺติ ยเสฺสเต ทิฎฺฐิธมฺมา ปุรกฺขตา อโวทาตา สนฺติ, โส เอวํวิโธ ยสฺมา อตฺตนิ ตสฺสา ทิฎฺฐิยา ทิฎฺฐิธมฺมิกญฺจ สกฺการาทิํ, สมฺปรายิกญฺจ คติวิเสสาทิํ อานิสํสํ ปสฺสติ, ตสฺมา ตญฺจ อานิสํสํ, ตญฺจ กุปฺปตาย จ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนตาย จ สมฺมุติสนฺติตาย จ กุปฺปปฎิจฺจสนฺติสงฺขาตํ ทิฎฺฐิํ นิสฺสิโตว โหติ, โส ตนฺนิสฺสิตตฺตา อตฺตานํ วา อุกฺกํเสยฺย ปเร วา วเมฺภยฺย อภูเตหิปิ คุณโทเสหิฯ
791. Evaṃ khīṇāsavapaṭipattiṃ dassetvā idāni diṭṭhigatikānaṃ titthiyānaṃ paṭipattiṃ rañño dassento āha – ‘‘pakappitā saṅkhatā’’ti. Tattha pakappitāti parikappitā. Saṅkhatāti paccayābhisaṅkhatā. Yassāti yassa kassaci diṭṭhigatikassa. Dhammāti diṭṭhiyo. Purakkhatāti purato katā. Santīti saṃvijjanti. Avīvadātāti avodātā. Yadattani passati ānisaṃsaṃ, taṃ nissito kuppapaṭiccasantinti yassete diṭṭhidhammā purakkhatā avodātā santi, so evaṃvidho yasmā attani tassā diṭṭhiyā diṭṭhidhammikañca sakkārādiṃ, samparāyikañca gativisesādiṃ ānisaṃsaṃ passati, tasmā tañca ānisaṃsaṃ, tañca kuppatāya ca paṭiccasamuppannatāya ca sammutisantitāya ca kuppapaṭiccasantisaṅkhātaṃ diṭṭhiṃ nissitova hoti, so tannissitattā attānaṃ vā ukkaṃseyya pare vā vambheyya abhūtehipi guṇadosehi.
๗๙๒. เอวํ นิสฺสิเตน จ ทิฎฺฐีนิเวสา…เป.… อาทิยตี จ ธมฺมนฺติฯ ตตฺถ ทิฎฺฐีนิเวสาติ อิทํสจฺจาภินิเวสสงฺขาตานิ ทิฎฺฐินิเวสนานิฯ น หิ สฺวาติวตฺตาติ สุเขน อติวตฺติตพฺพา น โหนฺติฯ ธเมฺมสุ นิเจฺฉยฺย สมุคฺคหีตนฺติ ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิธเมฺมสุ ตํ ตํ สมุคฺคหิตํ อภินิวิฎฺฐํ ธมฺมํ นิจฺฉินิตฺวา ปวตฺตตฺตา ทิฎฺฐินิเวสา น หิ สฺวาติวตฺตาติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺมา นโร เตสุ นิเวสเนสุ, นิรสฺสตี อาทิยตี จ ธมฺมนฺติ ยสฺมา น หิ สฺวาติวตฺตา , ตสฺมา นโร เตสุเยว ทิฎฺฐินิเวสเนสุ อชสีลโคสีลกุกฺกุรสีลปญฺจาตปมรุปฺปปาตอุกฺกุฎิกปฺปธานกณฺฎกาปสฺสยาทิเภทํ สตฺถารธมฺมกฺขานคณาทิเภทญฺจ ตํ ตํ ธมฺมํ นิรสฺสติ จ อาทิยติ จ ชหติ จ คณฺหาติ จ วนมกฺกโฎ วิย ตํ ตํ สาขนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ นิรสฺสโนฺต จ อาทิยโนฺต จ อนวฎฺฐิตจิตฺตตฺตา อสเนฺตหิปิ คุณโทเสหิ อตฺตโน วา ปรสฺส วา ยสายสํ อุปฺปาเทยฺยฯ
792. Evaṃ nissitena ca diṭṭhīnivesā…pe… ādiyatī ca dhammanti. Tattha diṭṭhīnivesāti idaṃsaccābhinivesasaṅkhātāni diṭṭhinivesanāni. Na hi svātivattāti sukhena ativattitabbā na honti. Dhammesu niccheyya samuggahītanti dvāsaṭṭhidiṭṭhidhammesu taṃ taṃ samuggahitaṃ abhiniviṭṭhaṃ dhammaṃ nicchinitvā pavattattā diṭṭhinivesā na hi svātivattāti vuttaṃ hoti. Tasmā naro tesu nivesanesu, nirassatī ādiyatī ca dhammanti yasmā na hi svātivattā , tasmā naro tesuyeva diṭṭhinivesanesu ajasīlagosīlakukkurasīlapañcātapamaruppapātaukkuṭikappadhānakaṇṭakāpassayādibhedaṃ satthāradhammakkhānagaṇādibhedañca taṃ taṃ dhammaṃ nirassati ca ādiyati ca jahati ca gaṇhāti ca vanamakkaṭo viya taṃ taṃ sākhanti vuttaṃ hoti. Evaṃ nirassanto ca ādiyanto ca anavaṭṭhitacittattā asantehipi guṇadosehi attano vā parassa vā yasāyasaṃ uppādeyya.
๗๙๓. โย ปนายํ สพฺพทิฎฺฐิคตาทิโทสธุนนาย ปญฺญาย สมนฺนาคตตฺตา โธโน, ตสฺส โธนสฺส หิ…เป.… อนูปโย โสฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? โธนธมฺมสมนฺนาคมา โธนสฺส ธุตสพฺพปาปสฺส อรหโต กตฺถจิ โลเก เตสุ เตสุ ภเวสุ ปกปฺปิตา ทิฎฺฐิ นตฺถิ, โส ตสฺสา ทิฎฺฐิยา อภาเวน, ยาย จ อตฺตนา กตํ ปาปกมฺมํ ปฎิจฺฉาเทนฺตา ติตฺถิยา มายาย มาเนน วา เอตํ อคติํ คจฺฉนฺติ, ตมฺปิ มายญฺจ มานญฺจ ปหาย โธโน ราคาทีนํ โทสานํ เกน คเจฺฉยฺย, ทิฎฺฐธเมฺม สมฺปราเย วา นิรยาทีสุ คติวิเสเสสุ เกน สงฺขํ คเจฺฉยฺย, อนูปโย โส, โส หิ ตณฺหาทิฎฺฐิอุปยานํ ทฺวินฺนํ อภาเวน อนูปโยติฯ
793. Yo panāyaṃ sabbadiṭṭhigatādidosadhunanāya paññāya samannāgatattā dhono, tassa dhonassa hi…pe… anūpayo so. Kiṃ vuttaṃ hoti? Dhonadhammasamannāgamā dhonassa dhutasabbapāpassa arahato katthaci loke tesu tesu bhavesu pakappitā diṭṭhi natthi, so tassā diṭṭhiyā abhāvena, yāya ca attanā kataṃ pāpakammaṃ paṭicchādentā titthiyā māyāya mānena vā etaṃ agatiṃ gacchanti, tampi māyañca mānañca pahāya dhono rāgādīnaṃ dosānaṃ kena gaccheyya, diṭṭhadhamme samparāye vā nirayādīsu gativisesesu kena saṅkhaṃ gaccheyya, anūpayo so, so hi taṇhādiṭṭhiupayānaṃ dvinnaṃ abhāvena anūpayoti.
๗๙๔. โย ปน เตสํ ทฺวินฺนํ ภาเวน อุปโย โหติ, โส อุปโย หิ…เป.… ทิฎฺฐิมิเธว สพฺพนฺติฯ ตตฺถ อุปโยติ ตณฺหาทิฎฺฐินิสฺสิโตฯ ธเมฺมสุ อุเปติ วาทนฺติ ‘‘รโตฺต’’ติ วา ‘‘ทุโฎฺฐ’’ติ วา เอวํ เตสุ เตสุ ธเมฺมสุ อุเปติ วาทํฯ อนูปยํ เกน กถํ วเทยฺยาติ ตณฺหาทิฎฺฐิปหาเนน อนูปยํ ขีณาสวํ เกน ราเคน วา โทเสน วา กถํ ‘‘รโตฺต’’ติ วา ‘‘ทุโฎฺฐ’’ติ วา วเทยฺย, เอวํ อนุปวโชฺช จ โส กิํ ติตฺถิยา วิย กตปฎิจฺฉาทโก ภวิสฺสตีติ อธิปฺปาโยฯ อตฺตา นิรตฺตา น หิ ตสฺส อตฺถีติ ตสฺส หิ อตฺตทิฎฺฐิ วา อุเจฺฉททิฎฺฐิ วา นตฺถิ, คหณํ มุญฺจนํ วาปิ อตฺตนิรตฺตสญฺญิตํ นตฺถิฯ กิํการณา นตฺถีติ เจ? อโธสิ โส ทิฎฺฐิมิเธว สพฺพํ, ยสฺมา โส อิเธว อตฺตภาเว ญาณวาเตน สพฺพํ ทิฎฺฐิคตํ อโธสิ, ปชหิ, วิโนเทสีติ อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ ตํ สุตฺวา ราชา อตฺตมโน ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปกฺกามีติฯ
794. Yo pana tesaṃ dvinnaṃ bhāvena upayo hoti, so upayo hi…pe… diṭṭhimidheva sabbanti. Tattha upayoti taṇhādiṭṭhinissito. Dhammesu upeti vādanti ‘‘ratto’’ti vā ‘‘duṭṭho’’ti vā evaṃ tesu tesu dhammesu upeti vādaṃ. Anūpayaṃ kena kathaṃ vadeyyāti taṇhādiṭṭhipahānena anūpayaṃ khīṇāsavaṃ kena rāgena vā dosena vā kathaṃ ‘‘ratto’’ti vā ‘‘duṭṭho’’ti vā vadeyya, evaṃ anupavajjo ca so kiṃ titthiyā viya katapaṭicchādako bhavissatīti adhippāyo. Attā nirattā na hi tassa atthīti tassa hi attadiṭṭhi vā ucchedadiṭṭhi vā natthi, gahaṇaṃ muñcanaṃ vāpi attanirattasaññitaṃ natthi. Kiṃkāraṇā natthīti ce? Adhosi so diṭṭhimidheva sabbaṃ, yasmā so idheva attabhāve ñāṇavātena sabbaṃ diṭṭhigataṃ adhosi, pajahi, vinodesīti arahattanikūṭena desanaṃ niṭṭhāpesi. Taṃ sutvā rājā attamano bhagavantaṃ abhivādetvā pakkāmīti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย ทุฎฺฐฎฺฐกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya duṭṭhaṭṭhakasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๓. ทุฎฺฐฎฺฐกสุตฺตํ • 3. Duṭṭhaṭṭhakasuttaṃ