Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมานวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Vimānavatthu-aṭṭhakathā |
๕. ทฺวารปาลกวิมานวณฺณนา
5. Dvārapālakavimānavaṇṇanā
อุจฺจมิทํ มณิถูณนฺติ ทฺวารปาลกวิมานํฯ ตสฺส กา อุปฺปตฺติ? ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเนฯ เตน จ สมเยน ราชคเห อญฺญตโร อุปาสโก จตฺตาริ นิจฺจภตฺตานิ สงฺฆสฺส เทติฯ ตสฺส ปน เคหํ ปริยเนฺต ฐิตํ โจรภเยน เยภุเยฺยน ปิหิตทฺวารเมว โหติฯ ภิกฺขู คนฺตฺวา กทาจิ ทฺวารสฺส ปิหิตตฺตา ภตฺตํ อลทฺธาว ปฎิคจฺฉนฺติฯ อุปาสโก ภริยํ อาห ‘‘กิํ, ภเทฺท, อยฺยานํ สกฺกจฺจํ ภิกฺขา ทียตี’’ติ? สา อาห ‘‘เอเกสุ ทิวเสสุ อยฺยา นาคมิํสู’’ติฯ ‘‘กิํ การณ’’นฺติ? ‘‘ทฺวารสฺส ปิหิตตฺตา มเญฺญ’’ติฯ ตํ สุตฺวา อุปาสโก สํเวคปฺปโตฺต หุตฺวา เอกํ ปุริสํ ทฺวารปาลํ กตฺวา ฐเปสิ ‘‘ตฺวํ อชฺชโต ปฎฺฐาย ทฺวารํ รกฺขโนฺต นิสีท, ยทา จ อยฺยา อาคมิสฺสนฺติ, ตทา เต ปเวเสตฺวา ปวิฎฺฐานํ เนสํ ปตฺตปฎิคฺคหณอาสนปญฺญาปนาทิ สพฺพํ ยุตฺตปยุตฺตํ ชานาหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ตถา กโรโนฺต ภิกฺขูนํ สนฺติเก ธมฺมํ สุตฺวา อุปฺปนฺนสโทฺธ กมฺมผลํ สทฺทหิตฺวา สรเณสุ จ สีเลสุ จ ปติฎฺฐหิ, สกฺกจฺจํ ภิกฺขู อุปฎฺฐหิฯ
Uccamidaṃmaṇithūṇanti dvārapālakavimānaṃ. Tassa kā uppatti? Bhagavā rājagahe viharati veḷuvane. Tena ca samayena rājagahe aññataro upāsako cattāri niccabhattāni saṅghassa deti. Tassa pana gehaṃ pariyante ṭhitaṃ corabhayena yebhuyyena pihitadvārameva hoti. Bhikkhū gantvā kadāci dvārassa pihitattā bhattaṃ aladdhāva paṭigacchanti. Upāsako bhariyaṃ āha ‘‘kiṃ, bhadde, ayyānaṃ sakkaccaṃ bhikkhā dīyatī’’ti? Sā āha ‘‘ekesu divasesu ayyā nāgamiṃsū’’ti. ‘‘Kiṃ kāraṇa’’nti? ‘‘Dvārassa pihitattā maññe’’ti. Taṃ sutvā upāsako saṃvegappatto hutvā ekaṃ purisaṃ dvārapālaṃ katvā ṭhapesi ‘‘tvaṃ ajjato paṭṭhāya dvāraṃ rakkhanto nisīda, yadā ca ayyā āgamissanti, tadā te pavesetvā paviṭṭhānaṃ nesaṃ pattapaṭiggahaṇaāsanapaññāpanādi sabbaṃ yuttapayuttaṃ jānāhī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti tathā karonto bhikkhūnaṃ santike dhammaṃ sutvā uppannasaddho kammaphalaṃ saddahitvā saraṇesu ca sīlesu ca patiṭṭhahi, sakkaccaṃ bhikkhū upaṭṭhahi.
อปรภาเค นิจฺจภตฺตทายโก อุปาสโก กาลํ กตฺวา ยาเมสุ นิพฺพตฺติฯ ทฺวารปาโล ปน สกฺกจฺจํ ภิกฺขูนํ อุปฎฺฐหิตฺวา ปรสฺส ปริจฺจาเค เวยฺยาวจฺจกรเณน อนุโมทเนน จ ตาวติํเสสุ อุปฺปชฺชิฯ ตสฺส ทฺวาทสโยชนิกํ กนกวิมานนฺติอาทิ สพฺพํ กกฺกฎกวิมาเน วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนคาถา เอวมาคตา –
Aparabhāge niccabhattadāyako upāsako kālaṃ katvā yāmesu nibbatti. Dvārapālo pana sakkaccaṃ bhikkhūnaṃ upaṭṭhahitvā parassa pariccāge veyyāvaccakaraṇena anumodanena ca tāvatiṃsesu uppajji. Tassa dvādasayojanikaṃ kanakavimānantiādi sabbaṃ kakkaṭakavimāne vuttanayeneva veditabbaṃ. Pucchāvissajjanagāthā evamāgatā –
๙๑๘.
918.
‘‘อุจฺจมิทํ มณิถูณํ วิมานํ, สมนฺตโต ทฺวาทส โยชนานิ;
‘‘Uccamidaṃ maṇithūṇaṃ vimānaṃ, samantato dvādasa yojanāni;
กูฎาคารา สตฺตสตา อุฬารา, เวฬุริยถมฺภา รุจกตฺถตา สุภาฯ
Kūṭāgārā sattasatā uḷārā, veḷuriyathambhā rucakatthatā subhā.
๙๑๙.
919.
‘‘ตตฺถจฺฉสิ ปิวสิ ขาทสิ จ, ทิพฺพา จ วีณา ปวทนฺติ วคฺคุํ;
‘‘Tatthacchasi pivasi khādasi ca, dibbā ca vīṇā pavadanti vagguṃ;
ทิพฺพา รสา กามคุเณตฺถ ปญฺจ, นาริโย จ นจฺจนฺติ สุวณฺณฉนฺนาฯ
Dibbā rasā kāmaguṇettha pañca, nāriyo ca naccanti suvaṇṇachannā.
๙๒๐. ‘‘เกน เตตาทิโส วโณฺณ…เป.… วโณฺณ จ เต สพฺพทิสา ปภาสตี’’ติฯ
920. ‘‘Kena tetādiso vaṇṇo…pe… vaṇṇo ca te sabbadisā pabhāsatī’’ti.
๙๒๒. ‘‘โส เทวปุโตฺต อตฺตมโน…เป.… ยสฺส กมฺมสฺสิทํ ผลํ’’ฯ
922. ‘‘So devaputto attamano…pe… yassa kammassidaṃ phalaṃ’’.
๙๒๓.
923.
‘‘ทิพฺพํ มมํ วสฺสสหสฺสมายุ, วาจาภิคีตํ มนสา ปวตฺติตํ;
‘‘Dibbaṃ mamaṃ vassasahassamāyu, vācābhigītaṃ manasā pavattitaṃ;
เอตฺตาวตา ฐสฺสติ ปุญฺญกโมฺม, ทิเพฺพหิ กาเมหิ สมงฺคิภูโตฯ
Ettāvatā ṭhassati puññakammo, dibbehi kāmehi samaṅgibhūto.
๙๒๔.
924.
‘‘เตน เมตาทิโส วโณฺณ…เป.…
‘‘Tena metādiso vaṇṇo…pe…
วโณฺณ จ เม สพฺพทิสา ปภาสตี’’ติฯ
Vaṇṇo ca me sabbadisā pabhāsatī’’ti.
๙๒๓. ตตฺถ ทิพฺพํ มมํ วสฺสสหสฺสมายูติ ยสฺมิํ เทวนิกาเย สยํ อุปฺปโนฺน, เตสํ ตาวติํสเทวานํ อายุปฺปมาณเมว วทติฯ เตสญฺหิ มนุสฺสานํ คณนาย วสฺสสตํ เอโก รตฺติทิโว, ตาย รตฺติยา ติํสรตฺติโก มาโส, เตน มาเสน ทฺวาทสมาสิโก สํวจฺฉโร, เตน สํวจฺฉเรน สหสฺสสํวจฺฉรานิ อายุ, ตํ มนุสฺสานํ คณนาย ติโสฺส วสฺสโกฎิโย สฎฺฐิ จ วสฺสสตสหสฺสานิ โหนฺติฯ วาจาภิคีตนฺติ วาจาย อภิคีตํ, ‘‘อาคจฺฉนฺตุ อยฺยา, อิทํ อาสนํ ปญฺญตฺตํ, อิธ นิสีทถา’’ติอาทินา, ‘‘กิํ อยฺยานํ สรีรสฺส อาโรคฺยํ, กิํ วสนฎฺฐานํ ผาสุก’’นฺติอาทินา ปฎิสนฺถารวเสน จ วาจาย กถิตมตฺตํ ฯ มนสา ปวตฺติตนฺติ ‘‘อิเม อยฺยา เปสลา พฺรหฺมจาริโน ธมฺมจาริโน’’ติอาทินา จิเตฺตน ปวตฺติตํ ปสาทมตฺตํ, น ปน มม สนฺตกํ กิญฺจิ ปริจฺจตฺตํ อตฺถีติ ทเสฺสติฯ เอตฺตาวตาติ เอตฺตเกน เอวํ กถนมเตฺตน ปสาทมเตฺตนปิฯ ฐสฺสติ ปุญฺญกโมฺมติ กตปุโญฺญ นาม หุตฺวา เทวโลเก ฐสฺสติ จิรํ ปวตฺติสฺสติ, ติฎฺฐโนฺต จ ทิเพฺพหิ กาเมหิ สมงฺคีภูโต ตสฺมิํ เทวนิกาเย เทวานํ วลญฺชนิยาเมเนว ทิเพฺพหิ ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมงฺคีภูโต สมนฺนาคโต หุตฺวา อินฺทฺริยานิ ปริจาเรโนฺต วิหรตีติ อโตฺถฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
923. Tattha dibbaṃ mamaṃ vassasahassamāyūti yasmiṃ devanikāye sayaṃ uppanno, tesaṃ tāvatiṃsadevānaṃ āyuppamāṇameva vadati. Tesañhi manussānaṃ gaṇanāya vassasataṃ eko rattidivo, tāya rattiyā tiṃsarattiko māso, tena māsena dvādasamāsiko saṃvaccharo, tena saṃvaccharena sahassasaṃvaccharāni āyu, taṃ manussānaṃ gaṇanāya tisso vassakoṭiyo saṭṭhi ca vassasatasahassāni honti. Vācābhigītanti vācāya abhigītaṃ, ‘‘āgacchantu ayyā, idaṃ āsanaṃ paññattaṃ, idha nisīdathā’’tiādinā, ‘‘kiṃ ayyānaṃ sarīrassa ārogyaṃ, kiṃ vasanaṭṭhānaṃ phāsuka’’ntiādinā paṭisanthāravasena ca vācāya kathitamattaṃ . Manasā pavattitanti ‘‘ime ayyā pesalā brahmacārino dhammacārino’’tiādinā cittena pavattitaṃ pasādamattaṃ, na pana mama santakaṃ kiñci pariccattaṃ atthīti dasseti. Ettāvatāti ettakena evaṃ kathanamattena pasādamattenapi. Ṭhassati puññakammoti katapuñño nāma hutvā devaloke ṭhassati ciraṃ pavattissati, tiṭṭhanto ca dibbehi kāmehi samaṅgībhūto tasmiṃ devanikāye devānaṃ valañjaniyāmeneva dibbehi pañcahi kāmaguṇehi samaṅgībhūto samannāgato hutvā indriyāni paricārento viharatīti attho. Sesaṃ vuttanayameva.
ทฺวารปาลกวิมานวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dvārapālakavimānavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / วิมานวตฺถุปาฬิ • Vimānavatthupāḷi / ๕. ทฺวารปาลวิมานวตฺถุ • 5. Dvārapālavimānavatthu