Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā

    ๑๒. ทฺวยตานุปสฺสนาสุตฺตวณฺณนา

    12. Dvayatānupassanāsuttavaṇṇanā

    เอวํ เม สุตนฺติ ทฺวยตานุปสฺสนาสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? อิมสฺส สุตฺตสฺส อตฺตชฺฌาสยโต อุปฺปตฺติฯ อตฺตชฺฌาสเยน หิ ภควา อิมํ สุตฺตํ เทเสสิฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปนสฺส อตฺถวณฺณนายเมว อาวิ ภวิสฺสติฯ ตตฺถ เอวํ เม สุตนฺติอาทีนิ วุตฺตนยาเนวฯ ปุพฺพาราเมติ สาวตฺถินครสฺส ปุรตฺถิมทิสายํ อาราเมฯ มิคารมาตุ ปาสาเทติ เอตฺถ วิสาขา อุปาสิกา อตฺตโน สสุเรน มิคาเรน เสฎฺฐินา มาตุฎฺฐาเน ฐปิตตฺตา ‘‘มิคารมาตา’’ติ วุจฺจติฯ ตาย มิคารมาตุยา นวโกฎิอคฺฆนกํ มหาลตาปิฬนฺธนํ วิสฺสเชฺชตฺวา การาปิโต ปาสาโท เหฎฺฐา จ อุปริ จ ปญฺจ ปญฺจ คพฺภสตานิ กตฺวา สหสฺสกูฎาคารคโพฺภ, โส ‘‘มิคารมาตุปาสาโท’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺมิํ มิคารมาตุ ปาสาเทฯ

    Evaṃme sutanti dvayatānupassanāsuttaṃ. Kā uppatti? Imassa suttassa attajjhāsayato uppatti. Attajjhāsayena hi bhagavā imaṃ suttaṃ desesi. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro panassa atthavaṇṇanāyameva āvi bhavissati. Tattha evaṃ me sutantiādīni vuttanayāneva. Pubbārāmeti sāvatthinagarassa puratthimadisāyaṃ ārāme. Migāramātu pāsādeti ettha visākhā upāsikā attano sasurena migārena seṭṭhinā mātuṭṭhāne ṭhapitattā ‘‘migāramātā’’ti vuccati. Tāya migāramātuyā navakoṭiagghanakaṃ mahālatāpiḷandhanaṃ vissajjetvā kārāpito pāsādo heṭṭhā ca upari ca pañca pañca gabbhasatāni katvā sahassakūṭāgāragabbho, so ‘‘migāramātupāsādo’’ti vuccati. Tasmiṃ migāramātu pāsāde.

    เตน โข ปน สมเยน ภควาติ ยํ สมยํ ภควา สาวตฺถิํ นิสฺสาย ปุพฺพาราเม มิคารมาตุ ปาสาเท วิหรติ, เตน สมเยนฯ ตทหุโปสเถติ ตสฺมิํ อหุ อุโปสเถ, อุโปสถทิวเสติ วุตฺตํ โหติฯ ปนฺนรเสติ อิทํ อุโปสถคฺคหเณน สมฺปตฺตาวเสสุโปสถปฎิเกฺขปวจนํฯ ปุณฺณาย ปุณฺณมาย รตฺติยาติ ปนฺนรสทิวสตฺตา ทิวสคณนาย อพฺภาทิอุปกฺกิเลสวิรหตฺตา รตฺติคุณสมฺปตฺติยา จ ปุณฺณตฺตา ปุณฺณาย, ปริปุณฺณจนฺทตฺตา ปุณฺณมาย จ รตฺติยาฯ ภิกฺขุสงฺฆปริวุโตติ ภิกฺขุสเงฺฆน ปริวุโตฯ อโพฺภกาเส นิสิโนฺน โหตีติ มิคารมาตุ รตนปาสาทปริเวเณ อโพฺภกาเส อุปริ อปฺปฎิจฺฉเนฺน โอกาเส ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสิโนฺน โหติฯ ตุณฺหีภูตํ ตุณฺหีภูตนฺติ อตีว ตุณฺหีภูตํ, ยโต ยโต วา อนุวิโลเกติ , ตโต ตโต ตุณฺหีภูตํ, ตุณฺหีภูตํ วาจาย, ปุน ตุณฺหีภูตํ กาเยนฯ ภิกฺขุสงฺฆํ อนุวิโลเกตฺวาติ ตํ ปริวาเรตฺวา นิสินฺนํ อเนกสหสฺสภิกฺขุปริมาณํ ตุณฺหีภูตํ ตุณฺหีภูตํ ภิกฺขุสงฺฆํ ‘‘เอตฺตกา เอตฺถ โสตาปนฺนา, เอตฺตกา สกทาคามิโน, เอตฺตกา อนาคามิโน เอตฺตกา อารทฺธวิปสฺสกา กลฺยาณปุถุชฺชนา, อิมสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส กีทิสี ธมฺมเทสนา สปฺปายา’’ติ สปฺปายธมฺมเทสนาปริเจฺฉทนตฺถํ อิโต จิโต จ วิโลเกตฺวาฯ

    Tena kho pana samayena bhagavāti yaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiṃ nissāya pubbārāme migāramātu pāsāde viharati, tena samayena. Tadahuposatheti tasmiṃ ahu uposathe, uposathadivaseti vuttaṃ hoti. Pannaraseti idaṃ uposathaggahaṇena sampattāvasesuposathapaṭikkhepavacanaṃ. Puṇṇāya puṇṇamāya rattiyāti pannarasadivasattā divasagaṇanāya abbhādiupakkilesavirahattā rattiguṇasampattiyā ca puṇṇattā puṇṇāya, paripuṇṇacandattā puṇṇamāya ca rattiyā. Bhikkhusaṅghaparivutoti bhikkhusaṅghena parivuto. Abbhokāse nisinno hotīti migāramātu ratanapāsādapariveṇe abbhokāse upari appaṭicchanne okāse paññattavarabuddhāsane nisinno hoti. Tuṇhībhūtaṃ tuṇhībhūtanti atīva tuṇhībhūtaṃ, yato yato vā anuviloketi , tato tato tuṇhībhūtaṃ, tuṇhībhūtaṃ vācāya, puna tuṇhībhūtaṃ kāyena. Bhikkhusaṅghaṃ anuviloketvāti taṃ parivāretvā nisinnaṃ anekasahassabhikkhuparimāṇaṃ tuṇhībhūtaṃ tuṇhībhūtaṃ bhikkhusaṅghaṃ ‘‘ettakā ettha sotāpannā, ettakā sakadāgāmino, ettakā anāgāmino ettakā āraddhavipassakā kalyāṇaputhujjanā, imassa bhikkhusaṅghassa kīdisī dhammadesanā sappāyā’’ti sappāyadhammadesanāparicchedanatthaṃ ito cito ca viloketvā.

    เย เต, ภิกฺขเว, กุสลา ธมฺมาติ เย เต อาโรคฺยเฎฺฐน อนวชฺชเฎฺฐน อิฎฺฐผลเฎฺฐน โกสลฺลสมฺภูตเฎฺฐน จ กุสลา สตฺตติํสโพธิปกฺขิยธมฺมา, ตโชฺชตกา วา ปริยตฺติธมฺมาฯ อริยา นิยฺยานิกา สโมฺพธคามิโนติ อุปคนฺตพฺพเฎฺฐน อริยา, โลกโต นิยฺยานเฎฺฐน นิยฺยานิกา, สโมฺพธสงฺขาตํ อรหตฺตํ คมนเฎฺฐน สโมฺพธคามิโนฯ เตสํ โว ภิกฺขเว…เป.… สวนาย, เตสํ ภิกฺขเว กุสลานํ…เป.… สโมฺพธคามีนํ กา อุปนิสา, กิํ การณํ, กิํ ปโยชนํ ตุมฺหากํ สวนาย, กิมตฺถํ ตุเมฺห เต ธเมฺม สุณาถาติ วุตฺตํ โหติฯ ยาวเทว ทฺวยตานํ ธมฺมานํ ยถาภูตํ ญาณายาติ เอตฺถ ยาวเทวาติ ปริเจฺฉทาวธารณวจนํฯ เทฺว อวยวา เอเตสนฺติ ทฺวยา, ทฺวยา เอว ทฺวยตา, เตสํ ทฺวยตานํฯ ‘‘ทฺวยาน’’นฺติปิ ปาโฐฯ ยถาภูตํ ญาณายาติ อวิปรีตญาณายฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยเทตํ โลกิยโลกุตฺตราทิเภเทน ทฺวิธา ววตฺถิตานํ ธมฺมานํ วิปสฺสนาสงฺขาตํ ยถาภูตญาณํ, เอตทตฺถาย น อิโต ภิโยฺยติ, สวเนน หิ เอตฺตกํ โหติ, ตทุตฺตริ วิเสสาธิคโม ภาวนายาติฯ กิญฺจ ทฺวยตํ วเทถาติ เอตฺถ ปน สเจ, โว ภิกฺขเว, สิยา, กิญฺจ ตุเมฺห, ภเนฺต, ทฺวยตํ วเทถาติ อยมธิปฺปาโยฯ ปทโตฺถ ปน ‘‘กิญฺจ ทฺวยตาภาวํ วเทถา’’ติฯ

    Yete, bhikkhave, kusalā dhammāti ye te ārogyaṭṭhena anavajjaṭṭhena iṭṭhaphalaṭṭhena kosallasambhūtaṭṭhena ca kusalā sattatiṃsabodhipakkhiyadhammā, tajjotakā vā pariyattidhammā. Ariyāniyyānikā sambodhagāminoti upagantabbaṭṭhena ariyā, lokato niyyānaṭṭhena niyyānikā, sambodhasaṅkhātaṃ arahattaṃ gamanaṭṭhena sambodhagāmino. Tesaṃ vo bhikkhave…pe… savanāya, tesaṃ bhikkhave kusalānaṃ…pe… sambodhagāmīnaṃ kā upanisā, kiṃ kāraṇaṃ, kiṃ payojanaṃ tumhākaṃ savanāya, kimatthaṃ tumhe te dhamme suṇāthāti vuttaṃ hoti. Yāvadeva dvayatānaṃ dhammānaṃ yathābhūtaṃ ñāṇāyāti ettha yāvadevāti paricchedāvadhāraṇavacanaṃ. Dve avayavā etesanti dvayā, dvayā eva dvayatā, tesaṃ dvayatānaṃ. ‘‘Dvayāna’’ntipi pāṭho. Yathābhūtaṃ ñāṇāyāti aviparītañāṇāya. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yadetaṃ lokiyalokuttarādibhedena dvidhā vavatthitānaṃ dhammānaṃ vipassanāsaṅkhātaṃ yathābhūtañāṇaṃ, etadatthāya na ito bhiyyoti, savanena hi ettakaṃ hoti, taduttari visesādhigamo bhāvanāyāti. Kiñca dvayataṃ vadethāti ettha pana sace, vo bhikkhave, siyā, kiñca tumhe, bhante, dvayataṃ vadethāti ayamadhippāyo. Padattho pana ‘‘kiñca dvayatābhāvaṃ vadethā’’ti.

    (๑) ตโต ภควา ทฺวยตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิทํ ทุกฺข’’นฺติ เอวมาทิมาหฯ ตตฺถ ทฺวยตานํ จตุสจฺจธมฺมานํ ‘‘อิทํ ทุกฺขํ, อยํ ทุกฺขสมุทโย’’ติ เอวํ โลกิยสฺส เอกสฺส อวยวสฺส สเหตุกสฺส วา ทุกฺขสฺส ทสฺสเนน อยํ เอกานุปสฺสนา, อิตรา โลกุตฺตรสฺส ทุติยสฺส อวยวสฺส สอุปายสฺส วา นิโรธสฺส ทสฺสเนน ทุติยานุปสฺสนาฯ ปฐมา เจตฺถ ตติยจตุตฺถวิสุทฺธีหิ โหติ, ทุติยา ปญฺจมวิสุทฺธิยาฯ เอวํ สมฺมา ทฺวยตานุปสฺสิโนติ อิมินา วุตฺตนเยน สมฺมา ทฺวยธเมฺม อนุปสฺสนฺตสฺส สติยา อวิปฺปวาเสน อปฺปมตฺตสฺส, กายิกเจตสิกวีริยาตาเปน อาตาปิโน กาเย จ ชีวิเต จ นิรเปกฺขตฺตา , ปหิตตฺตสฺสปาฎิกงฺขนฺติ อิจฺฉิตพฺพํฯ ทิเฎฺฐว ธเมฺม อญฺญาติ อสฺมิํเยว อตฺตภาเว อรหตฺตํฯ สติ วา อุปาทิเสเส อนาคามิตาติ ‘‘อุปาทิเสส’’นฺติ ปุนพฺภววเสน อุปาทาตพฺพกฺขนฺธเสสํ วุจฺจติ, ตสฺมิํ วา สติ อนาคามิภาโว ปฎิกโงฺขติ ทเสฺสติฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ เหฎฺฐิมผลานิปิ เอวํ ทฺวยตานุปสฺสิโนว โหนฺติ, อุปริมผเลสุ ปน อุสฺสาหํ ชเนโนฺต เอวมาหฯ

    (1) Tato bhagavā dvayataṃ dassento ‘‘idaṃ dukkha’’nti evamādimāha. Tattha dvayatānaṃ catusaccadhammānaṃ ‘‘idaṃ dukkhaṃ, ayaṃ dukkhasamudayo’’ti evaṃ lokiyassa ekassa avayavassa sahetukassa vā dukkhassa dassanena ayaṃ ekānupassanā, itarā lokuttarassa dutiyassa avayavassa saupāyassa vā nirodhassa dassanena dutiyānupassanā. Paṭhamā cettha tatiyacatutthavisuddhīhi hoti, dutiyā pañcamavisuddhiyā. Evaṃ sammā dvayatānupassinoti iminā vuttanayena sammā dvayadhamme anupassantassa satiyā avippavāsena appamattassa, kāyikacetasikavīriyātāpena ātāpino kāye ca jīvite ca nirapekkhattā , pahitattassa. Pāṭikaṅkhanti icchitabbaṃ. Diṭṭheva dhamme aññāti asmiṃyeva attabhāve arahattaṃ. Sati vā upādisese anāgāmitāti ‘‘upādisesa’’nti punabbhavavasena upādātabbakkhandhasesaṃ vuccati, tasmiṃ vā sati anāgāmibhāvo paṭikaṅkhoti dasseti. Tattha kiñcāpi heṭṭhimaphalānipi evaṃ dvayatānupassinova honti, uparimaphalesu pana ussāhaṃ janento evamāha.

    อิทมโวจาติอาทิ สงฺคีติการานํ วจนํฯ ตตฺถ อิทนฺติ ‘‘เย เต, ภิกฺขเว’’ติอาทิวุตฺตนิทสฺสนํฯ เอตนฺติ อิทานิ ‘‘เย ทุกฺข’’นฺติ เอวมาทิวตฺตพฺพคาถาพนฺธนิทสฺสนํฯ อิมา จ คาถา จตุสจฺจทีปกตฺตา วุตฺตตฺถทีปิกา เอว, เอวํ สเนฺตปิ คาถารุจิกานํ ปจฺฉา อาคตานํ ปุเพฺพ วุตฺตํ อสมตฺถตาย อนุคฺคเหตฺวา ‘‘อิทานิ ยทิ วเทยฺย สุนฺทร’’นฺติ อากงฺขนฺตานํ วิกฺขิตฺตจิตฺตานญฺจ อตฺถาย วุตฺตาฯ วิเสสตฺถทีปิกา วาติ อวิปสฺสเก วิปสฺสเก จ ทเสฺสตฺวา เตสํ วฎฺฎวิวฎฺฎทสฺสนโต, ตสฺมา วิเสสตฺถทสฺสนตฺถเมว วุตฺตาฯ เอส นโย อิโต ปรมฺปิ คาถาวจเนสุฯ

    Idamavocātiādi saṅgītikārānaṃ vacanaṃ. Tattha idanti ‘‘ye te, bhikkhave’’tiādivuttanidassanaṃ. Etanti idāni ‘‘ye dukkha’’nti evamādivattabbagāthābandhanidassanaṃ. Imā ca gāthā catusaccadīpakattā vuttatthadīpikā eva, evaṃ santepi gāthārucikānaṃ pacchā āgatānaṃ pubbe vuttaṃ asamatthatāya anuggahetvā ‘‘idāni yadi vadeyya sundara’’nti ākaṅkhantānaṃ vikkhittacittānañca atthāya vuttā. Visesatthadīpikā vāti avipassake vipassake ca dassetvā tesaṃ vaṭṭavivaṭṭadassanato, tasmā visesatthadassanatthameva vuttā. Esa nayo ito parampi gāthāvacanesu.

    ๗๓๐. ตตฺถ ยตฺถ จาติ นิพฺพานํ ทเสฺสติฯ นิพฺพาเน หิ ทุกฺขํ สพฺพโส อุปรุชฺฌติ, สพฺพปฺปการํ อุปรุชฺฌติ, สเหตุกํ อุปรุชฺฌติ, อเสสญฺจ อุปรุชฺฌติฯ ตญฺจ มคฺคนฺติ ตญฺจ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํฯ

    730. Tattha yattha cāti nibbānaṃ dasseti. Nibbāne hi dukkhaṃ sabbaso uparujjhati, sabbappakāraṃ uparujjhati, sahetukaṃ uparujjhati, asesañca uparujjhati. Tañca magganti tañca aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ.

    ๗๓๑-๓. เจโตวิมุตฺติหีนา เต, อโถ ปญฺญาวิมุตฺติยาติ เอตฺถ อรหตฺตผลสมาธิ ราควิราคา เจโตวิมุตฺติ, อรหตฺตผลปญฺญา อวิชฺชาวิราคา ปญฺญาวิมุตฺตีติ เวทิตพฺพาฯ ตณฺหาจริเตน วา อปฺปนาฌานพเลน กิเลเส วิกฺขเมฺภตฺวา อธิคตํ อรหตฺตผลํ ราควิราคา เจโตวิมุตฺติ, ทิฎฺฐิจริเตน อุปจารชฺฌานมตฺตํ นิพฺพเตฺตตฺวา วิปสฺสิตฺวา อธิคตํ อรหตฺตผลํ อวิชฺชาวิราคา ปญฺญาวิมุตฺติฯ อนาคามิผลํ วา กามราคํ สนฺธาย ราควิราคา เจโตวิมุตฺติ, อรหตฺตผลํ สพฺพปฺปการโต อวิชฺชาวิราคา ปญฺญาวิมุตฺตีติฯ อนฺตกิริยายาติ วฎฺฎทุกฺขสฺส อนฺตกรณตฺถาย ฯ ชาติชรูปคาติ ชาติชรํ อุปคตา, ชาติชราย วา อุปคตา, น ปริมุจฺจนฺติ ชาติชรายาติ เอวํ เวทิตพฺพาฯ เสสเมตฺถ อาทิโต ปภุติ ปากฎเมวฯ คาถาปริโยสาเน จ สฎฺฐิมตฺตา ภิกฺขู ตํ เทสนํ อุคฺคเหตฺวา วิปสฺสิตฺวา ตสฺมิํเยว อาสเน อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ สพฺพวาเรสุฯ

    731-3.Cetovimuttihīnā te, atho paññāvimuttiyāti ettha arahattaphalasamādhi rāgavirāgā cetovimutti, arahattaphalapaññā avijjāvirāgā paññāvimuttīti veditabbā. Taṇhācaritena vā appanājhānabalena kilese vikkhambhetvā adhigataṃ arahattaphalaṃ rāgavirāgā cetovimutti, diṭṭhicaritena upacārajjhānamattaṃ nibbattetvā vipassitvā adhigataṃ arahattaphalaṃ avijjāvirāgā paññāvimutti. Anāgāmiphalaṃ vā kāmarāgaṃ sandhāya rāgavirāgā cetovimutti, arahattaphalaṃ sabbappakārato avijjāvirāgā paññāvimuttīti. Antakiriyāyāti vaṭṭadukkhassa antakaraṇatthāya . Jātijarūpagāti jātijaraṃ upagatā, jātijarāya vā upagatā, na parimuccanti jātijarāyāti evaṃ veditabbā. Sesamettha ādito pabhuti pākaṭameva. Gāthāpariyosāne ca saṭṭhimattā bhikkhū taṃ desanaṃ uggahetvā vipassitvā tasmiṃyeva āsane arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Yathā cettha, evaṃ sabbavāresu.

    (๒) อโต เอว ภควา ‘‘สิยา อเญฺญนปิ ปริยาเยนา’’ติอาทินา นเยน นานปฺปการโต ทฺวยตานุปสฺสนํ อาหฯ ตตฺถ ทุติยวาเร อุปธิปจฺจยาติ สาสวกมฺมปจฺจยาฯ สาสวกมฺมญฺหิ อิธ ‘‘อุปธี’’ติ อธิเปฺปตํฯ อเสสวิราคนิโรธาติ อเสสํ วิราเคน นิโรธา, อเสสวิราคสงฺขาตา วา นิโรธาฯ

    (2) Ato eva bhagavā ‘‘siyā aññenapi pariyāyenā’’tiādinā nayena nānappakārato dvayatānupassanaṃ āha. Tattha dutiyavāre upadhipaccayāti sāsavakammapaccayā. Sāsavakammañhi idha ‘‘upadhī’’ti adhippetaṃ. Asesavirāganirodhāti asesaṃ virāgena nirodhā, asesavirāgasaṅkhātā vā nirodhā.

    ๗๓๔. อุปธินิทานาติ กมฺมปจฺจยาฯ ทุกฺขสฺส ชาติปฺปภวานุปสฺสีติ วฎฺฎทุกฺขสฺส ชาติการณํ ‘‘อุปธี’’ติ อนุปสฺสโนฺตฯ เสสเมตฺถ ปากฎเมวฯ เอวํ อยมฺปิ วาโร จตฺตาริ สจฺจานิ ทีเปตฺวา อรหตฺตนิกูเฎเนว วุโตฺตฯ ยถา จายํ, เอวํ สพฺพวาราฯ

    734.Upadhinidānāti kammapaccayā. Dukkhassa jātippabhavānupassīti vaṭṭadukkhassa jātikāraṇaṃ ‘‘upadhī’’ti anupassanto. Sesamettha pākaṭameva. Evaṃ ayampi vāro cattāri saccāni dīpetvā arahattanikūṭeneva vutto. Yathā cāyaṃ, evaṃ sabbavārā.

    (๓) ตตฺถ ตติยวาเร อวิชฺชาปจฺจยาติ ภวคามิกมฺมสมฺภารอวิชฺชาปจฺจยาฯ ทุกฺขํ ปน สพฺพตฺถ วฎฺฎทุกฺขเมวฯ

    (3) Tattha tatiyavāre avijjāpaccayāti bhavagāmikammasambhāraavijjāpaccayā. Dukkhaṃ pana sabbattha vaṭṭadukkhameva.

    ๗๓๕. ชาติมรณสํสารนฺติ ขนฺธนิพฺพตฺติํ ชาติํ ขนฺธเภทํ มรณํ ขนฺธปฎิปาฎิํ สํสารญฺจฯ วชนฺตีติ คจฺฉนฺติ อุเปนฺติฯ อิตฺถภาวญฺญถาภาวนฺติ อิมํ มนุสฺสภาวํ อิโต อวเสสอญฺญนิกายภาวญฺจฯ คตีติ ปจฺจยภาโวฯ

    735.Jātimaraṇasaṃsāranti khandhanibbattiṃ jātiṃ khandhabhedaṃ maraṇaṃ khandhapaṭipāṭiṃ saṃsārañca. Vajantīti gacchanti upenti. Itthabhāvaññathābhāvanti imaṃ manussabhāvaṃ ito avasesaaññanikāyabhāvañca. Gatīti paccayabhāvo.

    ๗๓๖. อวิชฺชา หายนฺติ อวิชฺชา หิ อยํฯ วิชฺชาคตา จ เย สตฺตาติ เย จ อรหตฺตมคฺควิชฺชาย กิเลเส วิชฺฌิตฺวา คตา ขีณาสวสตฺตาฯ เสสมุตฺตานตฺถเมวฯ

    736.Avijjā hāyanti avijjā hi ayaṃ. Vijjāgatā ca ye sattāti ye ca arahattamaggavijjāya kilese vijjhitvā gatā khīṇāsavasattā. Sesamuttānatthameva.

    (๔) จตุตฺถวาเร สงฺขารปจฺจยาติ ปุญฺญาปุญฺญาเนญฺชาภิสงฺขารปจฺจยาฯ

    (4) Catutthavāre saṅkhārapaccayāti puññāpuññāneñjābhisaṅkhārapaccayā.

    ๗๓๘-๙. เอตมาทีนวํ ญตฺวาติ ยทิทํ ทุกฺขํ สงฺขารปจฺจยา, เอตํ อาทีนวนฺติ ญตฺวาฯ สพฺพสงฺขารสมถาติ สเพฺพสํ วุตฺตปฺปการานํ สงฺขารานํ มคฺคญาเณน สมถา, อุปหตตาย ผลสมตฺถตายาติ วุตฺตํ โหติฯ สญฺญานนฺติ กามสญฺญาทีนํ มเคฺคเนว อุปโรธนาฯ เอตํ ญตฺวา ยถาตถนฺติ เอตํ ทุกฺขกฺขยํ อวิปรีตํ ญตฺวาฯ สมฺมทฺทสาติ สมฺมาทสฺสนาฯ สมฺมทญฺญายาติ สงฺขตํ อนิจฺจาทิโต, อสงฺขตญฺจ นิจฺจาทิโต ญตฺวาฯ มารสํโยคนฺติ เตภูมกวฎฺฎํฯ เสสมุตฺตานตฺถเมวฯ

    738-9.Etamādīnavaṃ ñatvāti yadidaṃ dukkhaṃ saṅkhārapaccayā, etaṃ ādīnavanti ñatvā. Sabbasaṅkhārasamathāti sabbesaṃ vuttappakārānaṃ saṅkhārānaṃ maggañāṇena samathā, upahatatāya phalasamatthatāyāti vuttaṃ hoti. Saññānanti kāmasaññādīnaṃ maggeneva uparodhanā. Etaṃ ñatvā yathātathanti etaṃ dukkhakkhayaṃ aviparītaṃ ñatvā. Sammaddasāti sammādassanā. Sammadaññāyāti saṅkhataṃ aniccādito, asaṅkhatañca niccādito ñatvā. Mārasaṃyoganti tebhūmakavaṭṭaṃ. Sesamuttānatthameva.

    (๕) ปญฺจมวาเร วิญฺญาณปจฺจยาติ กมฺมสหชาตอภิสงฺขารวิญฺญาณปจฺจยาฯ

    (5) Pañcamavāre viññāṇapaccayāti kammasahajātaabhisaṅkhāraviññāṇapaccayā.

    ๗๔๑. นิจฺฉาโตติ นิตฺตโณฺหฯ ปรินิพฺพุโตติ กิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพุโต โหติฯ เสสํ ปากฎเมวฯ

    741.Nicchātoti nittaṇho. Parinibbutoti kilesaparinibbānena parinibbuto hoti. Sesaṃ pākaṭameva.

    (๖) ฉฎฺฐวาเร ผสฺสปจฺจยาติ อภิสงฺขารวิญฺญาณสมฺปยุตฺตผสฺสปจฺจยาติ อโตฺถฯ เอวํ เอตฺถ ปทปฎิปาฎิยา วตฺตพฺพานิ นามรูปสฬายตนานิ อวตฺวา ผโสฺส วุโตฺตฯ ตานิ หิ รูปมิสฺสกตฺตา กมฺมสมฺปยุตฺตาเนว น โหนฺติ, อิทญฺจ วฎฺฎทุกฺขํ กมฺมโต วา สมฺภเวยฺย กมฺมสมฺปยุตฺตธมฺมโต วาติฯ

    (6) Chaṭṭhavāre phassapaccayāti abhisaṅkhāraviññāṇasampayuttaphassapaccayāti attho. Evaṃ ettha padapaṭipāṭiyā vattabbāni nāmarūpasaḷāyatanāni avatvā phasso vutto. Tāni hi rūpamissakattā kammasampayuttāneva na honti, idañca vaṭṭadukkhaṃ kammato vā sambhaveyya kammasampayuttadhammato vāti.

    ๗๔๒-๓. ภวโสตานุสารินนฺติ ตณฺหานุสารินํฯ ปริญฺญายาติ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริชานิตฺวาฯ อญฺญายาติ อรหตฺตมคฺคปญฺญาย ญตฺวาฯ อุปสเม รตาติ ผลสมาปตฺติวเสน นิพฺพาเน รตาฯ ผสฺสาภิสมยาติ ผสฺสนิโรธาฯ เสสํ ปากฎเมวฯ

    742-3.Bhavasotānusārinanti taṇhānusārinaṃ. Pariññāyāti tīhi pariññāhi parijānitvā. Aññāyāti arahattamaggapaññāya ñatvā. Upasame ratāti phalasamāpattivasena nibbāne ratā. Phassābhisamayāti phassanirodhā. Sesaṃ pākaṭameva.

    (๗) สตฺตมวาเร เวทนาปจฺจยาติ กมฺมสมฺปยุตฺตเวทนาปจฺจยาฯ

    (7) Sattamavāre vedanāpaccayāti kammasampayuttavedanāpaccayā.

    ๗๔๔-๕. อทุกฺขมสุขํ สหาติ อทุกฺขมสุเขน สหฯ เอตํ ทุกฺขนฺติ ญตฺวานาติ เอตํ สพฺพํ เวทยิตํ ‘‘ทุกฺขการณ’’นฺติ ญตฺวา, วิปริณามฎฺฐิติอญฺญาณทุกฺขตาหิ วา ทุกฺขํ ญตฺวาฯ โมสธมฺมนฺติ นสฺสนธมฺมํฯ ปโลกินนฺติ ชรามรเณหิ ปลุชฺชนธมฺมํฯ ผุสฺส ผุสฺสาติ อุทยพฺพยญาเณน ผุสิตฺวา ผุสิตฺวาฯ วยํ ปสฺสนฺติ อเนฺต ภงฺคเมว ปสฺสโนฺตฯ เอวํ ตตฺถ วิชานตีติ เอวํ ตา เวทนา วิชานาติ, ตตฺถ วา ทุกฺขภาวํ วิชานาติฯ เวทนานํ ขยาติ ตโต ปรํ มคฺคญาเณน กมฺมสมฺปยุตฺตานํ เวทนานํ ขยาฯ เสสมุตฺตานเมวฯ

    744-5.Adukkhamasukhaṃ sahāti adukkhamasukhena saha. Etaṃ dukkhanti ñatvānāti etaṃ sabbaṃ vedayitaṃ ‘‘dukkhakāraṇa’’nti ñatvā, vipariṇāmaṭṭhitiaññāṇadukkhatāhi vā dukkhaṃ ñatvā. Mosadhammanti nassanadhammaṃ. Palokinanti jarāmaraṇehi palujjanadhammaṃ. Phussa phussāti udayabbayañāṇena phusitvā phusitvā. Vayaṃ passanti ante bhaṅgameva passanto. Evaṃ tattha vijānatīti evaṃ tā vedanā vijānāti, tattha vā dukkhabhāvaṃ vijānāti. Vedanānaṃ khayāti tato paraṃ maggañāṇena kammasampayuttānaṃ vedanānaṃ khayā. Sesamuttānameva.

    (๘) อฎฺฐมวาเร ตณฺหาปจฺจยาติ กมฺมสมฺภารตณฺหาปจฺจยา ฯ

    (8) Aṭṭhamavāre taṇhāpaccayāti kammasambhārataṇhāpaccayā .

    ๗๔๗. เอตมาทีนวํ ญตฺวา, ตณฺหํ ทุกฺขสฺส สมฺภวนฺติ เอตํ ทุกฺขสฺส สมฺภวํ ตณฺหาย อาทีนวํ ญตฺวาฯ เสสมุตฺตานเมวฯ

    747.Etamādīnavaṃ ñatvā, taṇhaṃ dukkhassa sambhavanti etaṃ dukkhassa sambhavaṃ taṇhāya ādīnavaṃ ñatvā. Sesamuttānameva.

    (๙) นวมวาเร อุปาทานปจฺจยาติ กมฺมสมฺภารอุปาทานปจฺจยาฯ

    (9) Navamavāre upādānapaccayāti kammasambhāraupādānapaccayā.

    ๗๔๘-๙. ภโวติ วิปากภโว ขนฺธปาตุภาโวฯ ภูโต ทุกฺขนฺติ ภูโต สมฺภูโต วฎฺฎทุกฺขํ นิคจฺฉติฯ ชาตสฺส มรณนฺติ ยตฺราปิ ‘‘ภูโต สุขํ นิคจฺฉตี’’ติ พาลา มญฺญนฺติ, ตตฺราปิ ทุกฺขเมว ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘ชาตสฺส มรณํ โหตี’’ติฯ ทุติยคาถาย โยชนา – อนิจฺจาทีหิ สมฺมทญฺญาย ปณฺฑิตา อุปาทานกฺขยา ชาติกฺขยํ นิพฺพานํ อภิญฺญาย น คจฺฉนฺติ ปุนพฺภวนฺติฯ

    748-9.Bhavoti vipākabhavo khandhapātubhāvo. Bhūto dukkhanti bhūto sambhūto vaṭṭadukkhaṃ nigacchati. Jātassa maraṇanti yatrāpi ‘‘bhūto sukhaṃ nigacchatī’’ti bālā maññanti, tatrāpi dukkhameva dassento āha – ‘‘jātassa maraṇaṃ hotī’’ti. Dutiyagāthāya yojanā – aniccādīhi sammadaññāya paṇḍitā upādānakkhayā jātikkhayaṃ nibbānaṃ abhiññāya na gacchanti punabbhavanti.

    (๑๐) ทสมวาเร อารมฺภปจฺจยาติ กมฺมสมฺปยุตฺตวีริยปจฺจยาฯ

    (10) Dasamavāre ārambhapaccayāti kammasampayuttavīriyapaccayā.

    ๗๕๑. อนารเมฺภ วิมุตฺติโนติ อนารเมฺภ นิพฺพาเน วิมุตฺตสฺสฯ เสสมุตฺตานเมวฯ

    751.Anārambhe vimuttinoti anārambhe nibbāne vimuttassa. Sesamuttānameva.

    (๑๑) เอกาทสมวาเร อาหารปจฺจยาติ กมฺมสมฺปยุตฺตาหารปจฺจยาฯ อปโร นโย – จตุพฺพิธา สตฺตา รูปูปคา, เวทนูปคา, สญฺญูปคา, สงฺขารูปคาติฯ ตตฺถ เอกาทสวิธาย กามธาตุยา สตฺตา รูปูปคา กพฬีการาหารเสวนโตฯ รูปธาตุยา สตฺตา อญฺญตฺร อสเญฺญหิ เวทนูปคา ผสฺสาหารเสวนโตฯ เหฎฺฐา ติวิธาย อรูปธาตุยา สตฺตา สญฺญูปคา สญฺญาภินิพฺพตฺตมโนสเญฺจตนาหารเสวนโต ฯ ภวเคฺค สตฺตา สงฺขารูปคา สงฺขาราภินิพฺพตฺตวิญฺญาณาหารเสวนโตติฯ เอวมฺปิ ยํ กิญฺจิ ทุกฺขํ สโมฺภติ, สพฺพํ อาหารปจฺจยาติ เวทิตพฺพํฯ

    (11) Ekādasamavāre āhārapaccayāti kammasampayuttāhārapaccayā. Aparo nayo – catubbidhā sattā rūpūpagā, vedanūpagā, saññūpagā, saṅkhārūpagāti. Tattha ekādasavidhāya kāmadhātuyā sattā rūpūpagā kabaḷīkārāhārasevanato. Rūpadhātuyā sattā aññatra asaññehi vedanūpagā phassāhārasevanato. Heṭṭhā tividhāya arūpadhātuyā sattā saññūpagā saññābhinibbattamanosañcetanāhārasevanato . Bhavagge sattā saṅkhārūpagā saṅkhārābhinibbattaviññāṇāhārasevanatoti. Evampi yaṃ kiñci dukkhaṃ sambhoti, sabbaṃ āhārapaccayāti veditabbaṃ.

    ๗๕๕. อาโรคฺยนฺติ นิพฺพานํฯ สงฺขาย เสวีติ จตฺตาโร ปจฺจเย ปจฺจเวกฺขิตฺวา เสวมาโน, ‘‘ปญฺจกฺขนฺธา ทฺวาทสายตนานิ อฎฺฐารสธาตุโย’’ติ เอวํ วา โลกํ สงฺขาย ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา’’ติ ญาเณน เสวมาโนฯ ธมฺมโฎฺฐติ จตุสจฺจธเมฺม ฐิโตฯ สงฺขฺยํ โนเปตีติ ‘‘เทโว’’ติ วา ‘‘มนุโสฺส’’ติ วา อาทิกํ สงฺขฺยํ น คจฺฉติฯ เสสมุตฺตานเมวฯ

    755.Ārogyanti nibbānaṃ. Saṅkhāya sevīti cattāro paccaye paccavekkhitvā sevamāno, ‘‘pañcakkhandhā dvādasāyatanāni aṭṭhārasadhātuyo’’ti evaṃ vā lokaṃ saṅkhāya ‘‘aniccaṃ dukkhaṃ anattā’’ti ñāṇena sevamāno. Dhammaṭṭhoti catusaccadhamme ṭhito. Saṅkhyaṃ nopetīti ‘‘devo’’ti vā ‘‘manusso’’ti vā ādikaṃ saṅkhyaṃ na gacchati. Sesamuttānameva.

    (๑๒) ทฺวาทสมวาเร อิญฺชิตปจฺจยาติ ตณฺหามานทิฎฺฐิกมฺมกิเลสอิญฺชิเตสุ ยโต กุโตจิ กมฺมสมฺภาริญฺชิตปจฺจยาฯ

    (12) Dvādasamavāre iñjitapaccayāti taṇhāmānadiṭṭhikammakilesaiñjitesu yato kutoci kammasambhāriñjitapaccayā.

    ๗๕๗. เอชํ โวสฺสชฺชาติ ตณฺหํ จชิตฺวาฯ สงฺขาเร อุปรุนฺธิยาติ กมฺมํ กมฺมสมฺปยุเตฺต จ สงฺขาเร นิโรเธตฺวาฯ เสสมุตฺตานเมวฯ

    757.Ejaṃ vossajjāti taṇhaṃ cajitvā. Saṅkhāre uparundhiyāti kammaṃ kammasampayutte ca saṅkhāre nirodhetvā. Sesamuttānameva.

    (๑๓) เตรสมวาเร นิสฺสิตสฺส จลิตนฺติ ตณฺหาย ตณฺหาทิฎฺฐิมาเนหิ วา ขเนฺธ นิสฺสิตสฺส สีหสุเตฺต (สํ. นิ. ๓.๗๘) เทวานํ วิย ภยจลนํ โหติฯ เสสมุตฺตานเมวฯ

    (13) Terasamavāre nissitassa calitanti taṇhāya taṇhādiṭṭhimānehi vā khandhe nissitassa sīhasutte (saṃ. ni. 3.78) devānaṃ viya bhayacalanaṃ hoti. Sesamuttānameva.

    (๑๔) จุทฺทสมวาเร รูเปหีติ รูปภเวหิ รูปสมาปตฺตีหิ วาฯ อรูปาติ อรูปภวา อรูปสมาปตฺติโย วาฯ นิโรโธติ นิพฺพานํฯ

    (14) Cuddasamavāre rūpehīti rūpabhavehi rūpasamāpattīhi vā. Arūpāti arūpabhavā arūpasamāpattiyo vā. Nirodhoti nibbānaṃ.

    ๗๖๑. มจฺจุหายิโนติ มรณมจฺจุ กิเลสมจฺจุ เทวปุตฺตมจฺจุหายิโน, ติวิธมฺปิ ตํ มจฺจุํ หิตฺวา คามิโนติ วุตฺตํ โหติฯ เสสมุตฺตานเมวฯ

    761.Maccuhāyinoti maraṇamaccu kilesamaccu devaputtamaccuhāyino, tividhampi taṃ maccuṃ hitvā gāminoti vuttaṃ hoti. Sesamuttānameva.

    (๑๕) ปนฺนรสมวาเร นฺติ นามรูปํ สนฺธายาหฯ ตญฺหิ โลเกน ธุวสุภสุขตฺตวเสน ‘‘อิทํ สจฺจ’’นฺติ อุปนิชฺฌายิตํ ทิฎฺฐมาโลกิตํฯ ตทมริยานนฺติ อิทํ อริยานํ, อนุนาสิกอิการโลปํ กตฺวา วุตฺตํฯ เอตํ มุสาติ เอตํ ธุวาทิวเสน คหิตมฺปิ มุสา, น ตาทิสํ โหตีติฯ ปุน นฺติ นิพฺพานํ สนฺธายาหฯ ตญฺหิ โลเกน รูปเวทนาทีนมภาวโต ‘‘อิทํ มุสา นตฺถิ กิญฺจี’’ติ อุปนิชฺฌายิตํฯ ตทมริยานํ เอตํ สจฺจนฺติ ตํ อิทํ อริยานํ เอตํ นิกฺกิเลสสงฺขาตา สุภภาวา, ปวตฺติทุกฺขปฎิปกฺขสงฺขาตา สุขภาวา, อจฺจนฺตสนฺติสงฺขาตา นิจฺจภาวา จ อนปคมเนน ปรมตฺถโต ‘‘สจฺจ’’นฺติ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย สุทิฎฺฐํฯ

    (15) Pannarasamavāre yanti nāmarūpaṃ sandhāyāha. Tañhi lokena dhuvasubhasukhattavasena ‘‘idaṃ sacca’’nti upanijjhāyitaṃ diṭṭhamālokitaṃ. Tadamariyānanti idaṃ ariyānaṃ, anunāsikaikāralopaṃ katvā vuttaṃ. Etaṃ musāti etaṃ dhuvādivasena gahitampi musā, na tādisaṃ hotīti. Puna yanti nibbānaṃ sandhāyāha. Tañhi lokena rūpavedanādīnamabhāvato ‘‘idaṃ musā natthi kiñcī’’ti upanijjhāyitaṃ. Tadamariyānaṃ etaṃ saccanti taṃ idaṃ ariyānaṃ etaṃ nikkilesasaṅkhātā subhabhāvā, pavattidukkhapaṭipakkhasaṅkhātā sukhabhāvā, accantasantisaṅkhātā niccabhāvā ca anapagamanena paramatthato ‘‘sacca’’nti yathābhūtaṃ sammappaññāya sudiṭṭhaṃ.

    ๗๖๒-๓. อนตฺตนิ อตฺตมานินฺติ อนตฺตนิ นามรูเป อตฺตมานิํฯ อิทํ สจฺจนฺติ มญฺญตีติ อิทํ นามรูปํ ธุวาทิวเสน ‘‘สจฺจ’’นฺติ มญฺญติฯ เยน เยน หีติ เยน เยน รูเป วา เวทนาย วา ‘‘มม รูปํ, มม เวทนา’’ติอาทินา นเยน มญฺญนฺติฯ ตโต ตนฺติ ตโต มญฺญิตาการา ตํ นามรูปํ โหติ อญฺญถาฯ กิํ การณํ? ตญฺหิ ตสฺส มุสา โหติ, ยสฺมา ตํ ยถามญฺญิตาการา มุสา โหติ, ตสฺมา อญฺญถา โหตีติ อโตฺถฯ กสฺมา ปน มุสา โหตีติ? โมสธมฺมญฺหิ อิตฺตรํ, ยสฺมา ยํ อิตฺตรํ ปริตฺตปจฺจุปฎฺฐานํ, ตํ โมสธมฺมํ นสฺสนธมฺมํ โหติ, ตถารูปญฺจ นามรูปนฺติฯ สจฺจาภิสมยาติ สจฺจาวโพธาฯ เสสมุตฺตานเมวฯ

    762-3.Anattani attamāninti anattani nāmarūpe attamāniṃ. Idaṃ saccanti maññatīti idaṃ nāmarūpaṃ dhuvādivasena ‘‘sacca’’nti maññati. Yena yena hīti yena yena rūpe vā vedanāya vā ‘‘mama rūpaṃ, mama vedanā’’tiādinā nayena maññanti. Tato tanti tato maññitākārā taṃ nāmarūpaṃ hoti aññathā. Kiṃ kāraṇaṃ? Tañhi tassa musā hoti, yasmā taṃ yathāmaññitākārā musā hoti, tasmā aññathā hotīti attho. Kasmā pana musā hotīti? Mosadhammañhi ittaraṃ, yasmā yaṃ ittaraṃ parittapaccupaṭṭhānaṃ, taṃ mosadhammaṃ nassanadhammaṃ hoti, tathārūpañca nāmarūpanti. Saccābhisamayāti saccāvabodhā. Sesamuttānameva.

    (๑๖) โสฬสมวาเร นฺติ ฉพฺพิธมิฎฺฐารมฺมณํ สนฺธายาหฯ ตญฺหิ โลเกน สลภมจฺฉมกฺกฎาทีหิ ปทีปพฬิสเลปาทโย วิย ‘‘อิทํ สุข’’นฺติ อุปนิชฺฌายิตํฯ ตทมริยานํ เอตํ ทุกฺขนฺติ ตํ อิทํ อริยานํ ‘‘กามา หิ จิตฺรา มธุรา มโนรมา, วิรูปรูเปน มเถนฺติ จิตฺต’’นฺติอาทินา (สุ. นิ. ๕๐; จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๓๖) นเยน ‘‘เอตํ ทุกฺข’’นฺติ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย สุทิฎฺฐํฯ ปุน นฺติ นิพฺพานเมว สนฺธายาหฯ ตญฺหิ โลเกน กามคุณาภาวา ‘‘ทุกฺข’’นฺติ อุปนิชฺฌายิตํฯ ตทมริยานนฺติ ตํ อิทํ อริยานํ ปรมตฺถสุขโต ‘‘เอตํ สุข’’นฺติ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย สุทิฎฺฐํฯ

    (16) Soḷasamavāre yanti chabbidhamiṭṭhārammaṇaṃ sandhāyāha. Tañhi lokena salabhamacchamakkaṭādīhi padīpabaḷisalepādayo viya ‘‘idaṃ sukha’’nti upanijjhāyitaṃ. Tadamariyānaṃ etaṃ dukkhanti taṃ idaṃ ariyānaṃ ‘‘kāmā hi citrā madhurā manoramā, virūparūpena mathenti citta’’ntiādinā (su. ni. 50; cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 136) nayena ‘‘etaṃ dukkha’’nti yathābhūtaṃ sammappaññāya sudiṭṭhaṃ. Puna yanti nibbānameva sandhāyāha. Tañhi lokena kāmaguṇābhāvā ‘‘dukkha’’nti upanijjhāyitaṃ. Tadamariyānanti taṃ idaṃ ariyānaṃ paramatthasukhato ‘‘etaṃ sukha’’nti yathābhūtaṃ sammappaññāya sudiṭṭhaṃ.

    ๗๖๕-๖. เกวลาติ อนวเสสาฯ อิฎฺฐาติ อิจฺฉิตา ปตฺถิตาฯ กนฺตาติ ปิยาฯ มนาปาติ มนวุฑฺฒิกราฯ ยาวตตฺถีติ วุจฺจตีติ ยาวตา เอเต ฉ อารมฺมณา อตฺถีติ วุจฺจนฺติฯ วจนพฺยตฺตโย เวทิตโพฺพฯ เอเต โวติ เอตฺถ โวติ นิปาตมตฺตํฯ

    765-6.Kevalāti anavasesā. Iṭṭhāti icchitā patthitā. Kantāti piyā. Manāpāti manavuḍḍhikarā. Yāvatatthīti vuccatīti yāvatā ete cha ārammaṇā atthīti vuccanti. Vacanabyattayo veditabbo. Ete voti ettha voti nipātamattaṃ.

    ๗๖๗-๘. สุขนฺติ ทิฎฺฐมริเยหิ, สกฺกายสฺสุปโรธนนฺติ ‘‘สุข’’มิติ อริเยหิ ปญฺจกฺขนฺธนิโรโธ ทิโฎฺฐ, นิพฺพานนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ปจฺจนีกมิทํ โหตีติ ปฎิโลมมิทํ ทสฺสนํ โหติฯ ปสฺสตนฺติ ปสฺสนฺตานํ, ปณฺฑิตานนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ยํ ปเรติ เอตฺถ นฺติ วตฺถุกาเม สนฺธายาหฯ ปุน ยํ ปเรติ เอตฺถ นิพฺพานํฯ

    767-8.Sukhanti diṭṭhamariyehi, sakkāyassuparodhananti ‘‘sukha’’miti ariyehi pañcakkhandhanirodho diṭṭho, nibbānanti vuttaṃ hoti. Paccanīkamidaṃ hotīti paṭilomamidaṃ dassanaṃ hoti. Passatanti passantānaṃ, paṇḍitānanti vuttaṃ hoti. Yaṃ pareti ettha yanti vatthukāme sandhāyāha. Puna yaṃ pareti ettha nibbānaṃ.

    ๗๖๙-๗๑. ปสฺสาติ โสตารํ อาลปติฯ ธมฺมนฺติ นิพฺพานธมฺมํฯ สมฺปมูเฬฺหตฺถวิทฺทสูติ สมฺปมูฬฺหา เอตฺถ อวิทฺทสู พาลาฯ กิํการณํ สมฺปมูฬฺหา? นิวุตานํ ตโม โหติ , อนฺธกาโร อปสฺสตํ , พาลานํ อวิชฺชาย นิวุตานํ โอตฺถฎานํ อนฺธภาวกรโณ ตโม โหติ, เยน นิพฺพานธมฺมํ ทฎฺฐุํ น สโกฺกนฺติฯ สตญฺจ วิวฎํ โหติ, อาโลโก ปสฺสตามิวาติ สตญฺจ สปฺปุริสานํ ปญฺญาทสฺสเนน ปสฺสตํ อาโลโกว วิวฎํ โหติ นิพฺพานํฯ สนฺติเก น วิชานนฺติ, มคา ธมฺมสฺสโกวิทาติ ยํ อตฺตโน สรีเร ตจปญฺจกมตฺตํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา อนนฺตรเมว อธิคนฺตพฺพโต, อตฺตโน ขนฺธานํ วา นิโรธมตฺตโต สนฺติเก นิพฺพานํ, ตํ เอวํ สนฺติเก สนฺตมฺปิ น วิชานนฺติ มคภูตา ชนา มคฺคามคฺคธมฺมสฺส สจฺจธมฺมสฺส วา อโกวิทา, สพฺพถา ภวราค…เป.… สุสมฺพุโธฯ ตตฺถ มารเธยฺยานุปเนฺนหีติ เตภูมกวฎฺฎํ อนุปเนฺนหิฯ

    769-71.Passāti sotāraṃ ālapati. Dhammanti nibbānadhammaṃ. Sampamūḷhetthaviddasūti sampamūḷhā ettha aviddasū bālā. Kiṃkāraṇaṃ sampamūḷhā? Nivutānaṃ tamo hoti, andhakāro apassataṃ, bālānaṃ avijjāya nivutānaṃ otthaṭānaṃ andhabhāvakaraṇo tamo hoti, yena nibbānadhammaṃ daṭṭhuṃ na sakkonti. Satañca vivaṭaṃ hoti, āloko passatāmivāti satañca sappurisānaṃ paññādassanena passataṃ ālokova vivaṭaṃ hoti nibbānaṃ. Santike na vijānanti, magā dhammassakovidāti yaṃ attano sarīre tacapañcakamattaṃ paricchinditvā anantarameva adhigantabbato, attano khandhānaṃ vā nirodhamattato santike nibbānaṃ, taṃ evaṃ santike santampi na vijānanti magabhūtā janā maggāmaggadhammassa saccadhammassa vā akovidā, sabbathā bhavarāga…pe… susambudho. Tattha māradheyyānupannehīti tebhūmakavaṭṭaṃ anupannehi.

    ๗๗๒. ปจฺฉิมคาถาย สมฺพโนฺธ ‘‘เอวํ อสุสมฺพุธํ โก นุ อญฺญตฺร มริเยหี’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – ฐเปตฺวา อริเย โก นุ อโญฺญ นิพฺพานปทํ ชานิตุํ อรหติ, ยํ ปทํ จตุเตฺถน อริยมเคฺคน สมฺมทญฺญาย อนนฺตรเมว อนาสวา หุตฺวา กิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพนฺติ, สมฺมทญฺญาย วา อนาสวา หุตฺวา อเนฺต อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพนฺตีติ อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ

    772. Pacchimagāthāya sambandho ‘‘evaṃ asusambudhaṃ ko nu aññatra mariyehī’’ti. Tassattho – ṭhapetvā ariye ko nu añño nibbānapadaṃ jānituṃ arahati, yaṃ padaṃ catutthena ariyamaggena sammadaññāya anantarameva anāsavā hutvā kilesaparinibbānena parinibbanti, sammadaññāya vā anāsavā hutvā ante anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbantīti arahattanikūṭena desanaṃ niṭṭhāpesi.

    อตฺตมนาติ ตุฎฺฐมนาฯ อภินนฺทุนฺติ อภินนฺทิํสุฯ อิมสฺมิญฺจ ปน เวยฺยากรณสฺมินฺติ อิมสฺมิํ โสฬสเม เวยฺยากรเณฯ ภญฺญมาเนติ ภณิยมาเนฯ เสสํ ปากฎเมวฯ

    Attamanāti tuṭṭhamanā. Abhinandunti abhinandiṃsu. Imasmiñca pana veyyākaraṇasminti imasmiṃ soḷasame veyyākaraṇe. Bhaññamāneti bhaṇiyamāne. Sesaṃ pākaṭameva.

    เอวํ สเพฺพสุปิ โสฬสสุ เวยฺยากรเณสุ สฎฺฐิมเตฺต สฎฺฐิมเตฺต กตฺวา สฎฺฐิอธิกานํ นวนฺนํ ภิกฺขุสตานํ อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิํสุ, โสฬสกฺขตฺตุํ จตฺตาริ จตฺตาริ กตฺวา จตุสฎฺฐิ สจฺจาเนตฺถ เวเนยฺยวเสน นานปฺปการโต เทสิตานีติฯ

    Evaṃ sabbesupi soḷasasu veyyākaraṇesu saṭṭhimatte saṭṭhimatte katvā saṭṭhiadhikānaṃ navannaṃ bhikkhusatānaṃ anupādāya āsavehi cittāni vimucciṃsu, soḷasakkhattuṃ cattāri cattāri katvā catusaṭṭhi saccānettha veneyyavasena nānappakārato desitānīti.

    ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย

    Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya

    สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย ทฺวยตานุปสฺสนาสุตฺตวณฺณนา

    Suttanipāta-aṭṭhakathāya dvayatānupassanāsuttavaṇṇanā

    นิฎฺฐิตฺตาฯ

    Niṭṭhittā.

    นิฎฺฐิโต จ ตติโย วโคฺค อตฺถวณฺณนานยโต, นาเมน

    Niṭṭhito ca tatiyo vaggo atthavaṇṇanānayato, nāmena

    มหาวโคฺคติฯ

    Mahāvaggoti.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๑๒. ทฺวยตานุปสฺสนาสุตฺตํ • 12. Dvayatānupassanāsuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact