Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จูฬวคฺคปาฬิ • Cūḷavaggapāḷi

    เทฺว มาสา ปริวสิตพฺพวิธิ

    Dve māsā parivasitabbavidhi

    ๑๔๐. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ เอกิสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติ ฯ โส สงฺฆํ เอกิสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ เอกิสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ ตสฺส ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ตสฺส เม เอตทโหสิ – อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ เอกิสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โสหํ สงฺฆํ เอกิสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ เอกิสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตสฺส เม ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาเจยฺยนฺติฯ โส สงฺฆํ อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ เตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา ตทุปาทาย เทฺว มาสา ปริวสิตพฺพาฯ

    140. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo. Tassa evaṃ hoti – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ ekissā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yāceyya’nti . So saṅghaṃ ekissā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho ekissā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ deti. Tassa parivasantassa lajjīdhammo okkami – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Tassa me etadahosi – ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ ekissā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. Sohaṃ saṅghaṃ ekissā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho ekissā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ adāsi. Tassa me parivasantassa lajjīdhammo okkami. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ itarissāpi āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yāceyyanti. So saṅghaṃ itarissāpi āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho itarissāpi āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ deti. Tena, bhikkhave, bhikkhunā tadupādāya dve māsā parivasitabbā.

    ๑๔๑. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย ; เอกํ อาปตฺติํ ชานาติ, เอกํ อาปตฺติํ น ชานาติฯ โส สงฺฆํ ยํ อาปตฺติํ ชานาติ ตสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ตสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ โส ปริวสโนฺต อิตรมฺปิ อาปตฺติํ ชานาติฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกํ อาปตฺติํ ชานิํ, เอกํ อาปตฺติํ น ชานิํฯ โสหํ สงฺฆํ ยํ อาปตฺติํ ชานิํ ตสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ตสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ อทาสิฯ โสหํ ปริวสโนฺต อิตรมฺปิ อาปตฺติํ ชานามิฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โส สงฺฆํ อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ เตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา ตทุปาทาย เทฺว มาสา ปริวสิตพฺพาฯ

    141. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo ; ekaṃ āpattiṃ jānāti, ekaṃ āpattiṃ na jānāti. So saṅghaṃ yaṃ āpattiṃ jānāti tassā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho tassā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ deti. So parivasanto itarampi āpattiṃ jānāti. Tassa evaṃ hoti – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo; ekaṃ āpattiṃ jāniṃ, ekaṃ āpattiṃ na jāniṃ. Sohaṃ saṅghaṃ yaṃ āpattiṃ jāniṃ tassā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho tassā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ adāsi. Sohaṃ parivasanto itarampi āpattiṃ jānāmi. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ itarissāpi āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. So saṅghaṃ itarissāpi āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho itarissāpi āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ deti. Tena, bhikkhave, bhikkhunā tadupādāya dve māsā parivasitabbā.

    ๑๔๒. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกํ อาปตฺติํ สรติ, เอกํ อาปตฺติํ นสฺสรติฯ โส สงฺฆํ ยํ อาปตฺติํ สรติ ตสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ตสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ โส ปริวสโนฺต อิตรมฺปิ อาปตฺติํ สรติฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกํ อาปตฺติํ สริํ, เอกํ อาปตฺติํ นสฺสริํฯ โสหํ สงฺฆํ ยํ อาปตฺติํ สริํ, ตสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ตสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ อทาสิฯ โสหํ ปริวสโนฺต อิตรมฺปิ อาปตฺติํ สรามิฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โส สงฺฆํ อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ เตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา ตทุปาทาย เทฺว มาสา ปริวสิตพฺพาฯ

    142. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo; ekaṃ āpattiṃ sarati, ekaṃ āpattiṃ nassarati. So saṅghaṃ yaṃ āpattiṃ sarati tassā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho tassā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ deti. So parivasanto itarampi āpattiṃ sarati. Tassa evaṃ hoti – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo; ekaṃ āpattiṃ sariṃ, ekaṃ āpattiṃ nassariṃ. Sohaṃ saṅghaṃ yaṃ āpattiṃ sariṃ, tassā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho tassā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ adāsi. Sohaṃ parivasanto itarampi āpattiṃ sarāmi. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ itarissāpi āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. So saṅghaṃ itarissāpi āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho itarissāpi āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ deti. Tena, bhikkhave, bhikkhunā tadupādāya dve māsā parivasitabbā.

    ๑๔๓. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกาย อาปตฺติยา นิเพฺพมติโก, เอกาย อาปตฺติยา เวมติโกฯ โส สงฺฆํ ยาย อาปตฺติยา นิเพฺพมติโก ตสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ตสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ โส ปริวสโนฺต อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา นิเพฺพมติโก โหติฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกาย อาปตฺติยา นิเพฺพมติโก, เอกาย อาปตฺติยา เวมติโกฯ โสหํ สงฺฆํ ยาย อาปตฺติยา นิเพฺพมติโก ตสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ตสฺสา อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ อทาสิฯ โสหํ ปริวสโนฺต อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา นิเพฺพมติโกฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โส สงฺฆํ อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ อิตริสฺสาปิ อาปตฺติยา เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาย เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ เตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา ตทุปาทาย เทฺว มาสา ปริวสิตพฺพาฯ

    143. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo; ekāya āpattiyā nibbematiko, ekāya āpattiyā vematiko. So saṅghaṃ yāya āpattiyā nibbematiko tassā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho tassā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ deti. So parivasanto itarissāpi āpattiyā nibbematiko hoti. Tassa evaṃ hoti – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo; ekāya āpattiyā nibbematiko, ekāya āpattiyā vematiko. Sohaṃ saṅghaṃ yāya āpattiyā nibbematiko tassā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho tassā āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ adāsi. Sohaṃ parivasanto itarissāpi āpattiyā nibbematiko. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ itarissāpi āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. So saṅghaṃ itarissāpi āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho itarissāpi āpattiyā dvemāsappaṭicchannāya dvemāsaparivāsaṃ deti. Tena, bhikkhave, bhikkhunā tadupādāya dve māsā parivasitabbā.

    ๑๔๔. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกา อาปตฺติ ชานปฺปฎิจฺฉนฺนา, เอกา อาปตฺติ อชานปฺปฎิจฺฉนฺนาฯ โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ ตสฺส ปริวสนฺตสฺส อโญฺญ ภิกฺขุ อาคจฺฉติ พหุสฺสุโต อาคตาคโม ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร ปณฺฑิโต วิยโตฺต เมธาวี ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโมฯ โส เอวํ วเทติ – ‘กิํ อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ อาปโนฺน? กิสฺสายํ ภิกฺขุ ปริวสตี’ติ? เต เอวํ วเทนฺติ – ‘อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกา อาปตฺติ ชานปฺปฎิจฺฉนฺนา, เอกา อาปตฺติ อชานปฺปฎิจฺฉนฺนาฯ โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตาโย อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ อาปโนฺน, ตาสายํ ภิกฺขุ ปริวสตี’ติฯ โส เอวํ วเทติ – ‘ยายํ, อาวุโส , อาปตฺติ ชานปฺปฎิจฺฉนฺนา, ธมฺมิกํ ตสฺสา อาปตฺติยา ปริวาสทานํ; ธมฺมตฺตา รุหติฯ ยา จ ขฺวายํ, อาวุโส, อาปตฺติ อชานปฺปฎิจฺฉนฺนา, อธมฺมิกํ ตสฺสา อาปตฺติยา ปริวาสทานํ; อธมฺมตฺตา น รุหติฯ เอกิสฺสา, อาวุโส, อาปตฺติยา ภิกฺขุ มานตฺตารโห’’’ติฯ

    144. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo; ekā āpatti jānappaṭicchannā, ekā āpatti ajānappaṭicchannā. So saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ deti. Tassa parivasantassa añño bhikkhu āgacchati bahussuto āgatāgamo dhammadharo vinayadharo mātikādharo paṇḍito viyatto medhāvī lajjī kukkuccako sikkhākāmo. So evaṃ vadeti – ‘kiṃ ayaṃ, āvuso, bhikkhu āpanno? Kissāyaṃ bhikkhu parivasatī’ti? Te evaṃ vadenti – ‘ayaṃ, āvuso, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajji dvemāsappaṭicchannāyo; ekā āpatti jānappaṭicchannā, ekā āpatti ajānappaṭicchannā. So saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ adāsi. Tāyo ayaṃ, āvuso, bhikkhu āpanno, tāsāyaṃ bhikkhu parivasatī’ti. So evaṃ vadeti – ‘yāyaṃ, āvuso , āpatti jānappaṭicchannā, dhammikaṃ tassā āpattiyā parivāsadānaṃ; dhammattā ruhati. Yā ca khvāyaṃ, āvuso, āpatti ajānappaṭicchannā, adhammikaṃ tassā āpattiyā parivāsadānaṃ; adhammattā na ruhati. Ekissā, āvuso, āpattiyā bhikkhu mānattāraho’’’ti.

    ๑๔๕. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกา อาปตฺติ สรมานปฺปฎิจฺฉนฺนา, เอกา อาปตฺติ อสฺสรมานปฺปฎิจฺฉนฺนาฯ โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ ตสฺส ปริวสนฺตสฺส อโญฺญ ภิกฺขุ อาคจฺฉติ พหุสฺสุโต อาคตาคโม ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร ปณฺฑิโต วิยโตฺต เมธาวี ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโมฯ โส เอวํ วเทติ – ‘กิ อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ อาปโนฺน? กิสฺสายํ ภิกฺขุ ปริวสตี’ติ? เต เอวํ วเทนฺติ – ‘อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกา อาปตฺติ สรมานปฺปฎิจฺฉนฺนา, เอกา อาปตฺติ อสฺสรมานปฺปฎิจฺฉนฺนาฯ โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ ยาจิฯ ตสฺส สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตาโย อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ อาปโนฺน; ตาสายํ ภิกฺขุ ปริวสตี’ติฯ โส เอวํ วเทติ – ‘ยายํ, อาวุโส , อาปตฺติ สรมานปฺปฎิจฺฉนฺนา ธมฺมิกํ ตสฺสา อาปตฺติยา ปริวาสทานํ; ธมฺมตฺตา รุหติฯ ยา จ ขฺวายํ, อาวุโส, อาปตฺติ อสฺสรมานปฺปฎิจฺฉนฺนา, อธมฺมิกํ ตสฺสา อาปตฺติยา ปริวาสทานํ; อธมฺมตฺตา น รุหติฯ เอกิสฺสา, อาวุโส, อาปตฺติยา ภิกฺขุ มานตฺตารโห’’’ติฯ

    145. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo; ekā āpatti saramānappaṭicchannā, ekā āpatti assaramānappaṭicchannā. So saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ deti. Tassa parivasantassa añño bhikkhu āgacchati bahussuto āgatāgamo dhammadharo vinayadharo mātikādharo paṇḍito viyatto medhāvī lajjī kukkuccako sikkhākāmo. So evaṃ vadeti – ‘ki ayaṃ, āvuso, bhikkhu āpanno? Kissāyaṃ bhikkhu parivasatī’ti? Te evaṃ vadenti – ‘ayaṃ, āvuso, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajji dvemāsappaṭicchannāyo; ekā āpatti saramānappaṭicchannā, ekā āpatti assaramānappaṭicchannā. So saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ yāci. Tassa saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ adāsi. Tāyo ayaṃ, āvuso, bhikkhu āpanno; tāsāyaṃ bhikkhu parivasatī’ti. So evaṃ vadeti – ‘yāyaṃ, āvuso , āpatti saramānappaṭicchannā dhammikaṃ tassā āpattiyā parivāsadānaṃ; dhammattā ruhati. Yā ca khvāyaṃ, āvuso, āpatti assaramānappaṭicchannā, adhammikaṃ tassā āpattiyā parivāsadānaṃ; adhammattā na ruhati. Ekissā, āvuso, āpattiyā bhikkhu mānattāraho’’’ti.

    ๑๔๖. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกา อาปตฺติ นิเพฺพมติกปฺปฎิจฺฉนฺนา, เอกา อาปตฺติ เวมติกปฺปฎิจฺฉนฺนาฯ โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ ตสฺส ปริวสนฺตสฺส อโญฺญ ภิกฺขุ อาคจฺฉติ พหุสฺสุโต อาคตาคโม ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร ปณฺฑิโต วิยโตฺต เมธาวี ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโมฯ โส เอวํ วเทติ – ‘กิํ อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ อาปโนฺน? กิสฺสายํ ภิกฺขุ ปริวสตี’ติ? เต เอวํ วเทนฺติ – ‘อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกา อาปตฺติ นิเพฺพมติกปฺปฎิจฺฉนฺนา, เอกา อาปตฺติ เวมติกปฺปฎิจฺฉนฺนาฯ โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ ยาจิฯ ตสฺส สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตาโย อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ อาปโนฺน; ตาสายํ ภิกฺขุ ปริวสตี’ติฯ โส เอวํ วเทติ – ‘ยายํ , อาวุโส, อาปตฺติ นิเพฺพมติกปฺปฎิจฺฉนฺนา, ธมฺมิกํ ตสฺสา อาปตฺติยา ปริวาสทานํ; ธมฺมตฺตา รุหติฯ ยา จ ขฺวายํ, อาวุโส, อาปตฺติ เวมติกปฺปฎิจฺฉนฺนา อธมฺมิกํ ตสฺสา อาปตฺติยา ปริวาสทานํ; อธมฺมตฺตา น รุหติฯ เอกิสฺสา, อาวุโส, อาปตฺติยา ภิกฺขุ มานตฺตารโห’’ติฯ

    146. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo; ekā āpatti nibbematikappaṭicchannā, ekā āpatti vematikappaṭicchannā. So saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ deti. Tassa parivasantassa añño bhikkhu āgacchati bahussuto āgatāgamo dhammadharo vinayadharo mātikādharo paṇḍito viyatto medhāvī lajjī kukkuccako sikkhākāmo. So evaṃ vadeti – ‘kiṃ ayaṃ, āvuso, bhikkhu āpanno? Kissāyaṃ bhikkhu parivasatī’ti? Te evaṃ vadenti – ‘ayaṃ, āvuso, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajji dvemāsappaṭicchannāyo; ekā āpatti nibbematikappaṭicchannā, ekā āpatti vematikappaṭicchannā. So saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ yāci. Tassa saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ adāsi. Tāyo ayaṃ, āvuso, bhikkhu āpanno; tāsāyaṃ bhikkhu parivasatī’ti. So evaṃ vadeti – ‘yāyaṃ , āvuso, āpatti nibbematikappaṭicchannā, dhammikaṃ tassā āpattiyā parivāsadānaṃ; dhammattā ruhati. Yā ca khvāyaṃ, āvuso, āpatti vematikappaṭicchannā adhammikaṃ tassā āpattiyā parivāsadānaṃ; adhammattā na ruhati. Ekissā, āvuso, āpattiyā bhikkhu mānattāraho’’ti.

    ๑๔๗. เตน โข ปน สมเยน อญฺญตฺตโร ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปโนฺน โหติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’’นฺติฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาจิฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตสฺส ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิ – ‘‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ตสฺส เม เอตทโหสิ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โสหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตสฺส เม ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ 1 ยาเจยฺย’’นฺติฯ

    147. Tena kho pana samayena aññattaro bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpanno hoti dvemāsappaṭicchannāyo. Tassa etadahosi – ‘‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāceyya’’nti. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāci. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ adāsi. Tassa parivasantassa lajjīdhammo okkami – ‘‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Tassa me etadahosi – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. Sohaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ adāsi. Tassa me parivasantassa lajjīdhammo okkami. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ 2 yāceyya’’nti.

    โส ภิกฺขูนํ อาโรเจสิ – ‘‘อหํ โข, อาวุโส, เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ตสฺส เม เอตทโหสิ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โสหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตสฺส เม ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิ – อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ตสฺส เม เอตทโหสิ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โสหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตสฺส เม ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ กถํ นุ โข มยา ปฎิปชฺชิตพฺพ’’นฺติ? ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ ‘‘เตน หิ, ภิกฺขเว, สโงฺฆ ตสฺส ภิกฺขุโน ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ เทตุฯ เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, ทาตโพฺพ –

    So bhikkhūnaṃ ārocesi – ‘‘ahaṃ kho, āvuso, dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Tassa me etadahosi – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. Sohaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ adāsi. Tassa me parivasantassa lajjīdhammo okkami – ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Tassa me etadahosi – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. Sohaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ adāsi. Tassa me parivasantassa lajjīdhammo okkami. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yāceyya’nti. Kathaṃ nu kho mayā paṭipajjitabba’’nti? Bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ. ‘‘Tena hi, bhikkhave, saṅgho tassa bhikkhuno dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ detu. Evañca pana, bhikkhave, dātabbo –

    ‘‘เตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา…เป.… เอวมสฺส วจนีโย – อหํ, ภเนฺต, เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย ฯ ตสฺส เม เอตทโหสิ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โสหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตสฺส เม ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิ – อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ตสฺส เม เอตทโหสิ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โสหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตสฺส เม ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาเจยฺยนฺติฯ โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาจามีติฯ ทุติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ ตติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –

    ‘‘Tena, bhikkhave, bhikkhunā saṅghaṃ upasaṅkamitvā…pe… evamassa vacanīyo – ahaṃ, bhante, dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo . Tassa me etadahosi – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. Sohaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ adāsi. Tassa me parivasantassa lajjīdhammo okkami – ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Tassa me etadahosi – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. Sohaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ adāsi. Tassa me parivasantassa lajjīdhammo okkami. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yāceyyanti. Sohaṃ, bhante, saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yācāmīti. Dutiyampi yācitabbo. Tatiyampi yācitabbo. Byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –

    ๑๔๘. ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ตสฺส เอตทโหสิ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาจิฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตสฺส ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิ – อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ตสฺส เม เอตทโหสิ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โสหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตสฺส เม ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาเจยฺยนฺติฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาจติฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ทเทยฺยฯ เอสา ญตฺติฯ

    148. ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Ayaṃ itthannāmo bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajji dvemāsappaṭicchannāyo. Tassa etadahosi – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāci. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ adāsi. Tassa parivasantassa lajjīdhammo okkami – ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Tassa me etadahosi – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. Sohaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ adāsi. Tassa me parivasantassa lajjīdhammo okkami. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yāceyyanti. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yācati. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ dadeyya. Esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆฯ อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ตสฺส เอตทโหสิ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาจิฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตสฺส ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิ – อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ตสฺส เม เอตทโหสิ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โสหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตสฺส เม ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาจติฯ สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ เทติฯ ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสสฺส 3 ทานํ, โส ตุณฺหสฺส; ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho. Ayaṃ itthannāmo bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajji dvemāsappaṭicchannāyo. Tassa etadahosi – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāci. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ adāsi. Tassa parivasantassa lajjīdhammo okkami – ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Tassa me etadahosi – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. Sohaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ adāsi. Tassa me parivasantassa lajjīdhammo okkami. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yāceyya’nti. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yācati. Saṅgho itthannāmassa bhikkhuno dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ deti. Yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsassa 4 dānaṃ, so tuṇhassa; yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ทิโนฺน สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาโส 5ฯ ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติฯ

    ‘‘Dinno saṅghena itthannāmassa bhikkhuno dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāso 6. Khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti.

    ‘‘เตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา ปุริมํ อุปาทาย เทฺว มาสา ปริวสิตพฺพาฯ

    ‘‘Tena, bhikkhave, bhikkhunā purimaṃ upādāya dve māsā parivasitabbā.

    ๑๔๙. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ เทติฯ ตสฺส ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิ – อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ตสฺส เม เอตทโหสิ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โสหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตสฺส เม ปริวสนฺตสฺส ลชฺชีธโมฺม โอกฺกมิฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ เทติฯ เตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา ปุริมํ อุปาทาย เทฺว มาสา ปริวสิตพฺพาฯ

    149. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo. Tassa evaṃ hoti – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ deti. Tassa parivasantassa lajjīdhammo okkami – ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Tassa me etadahosi – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāceyya’nti. Sohaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ ekamāsaparivāsaṃ adāsi. Tassa me parivasantassa lajjīdhammo okkami. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yāceyya’nti. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ deti. Tena, bhikkhave, bhikkhunā purimaṃ upādāya dve māsā parivasitabbā.

    ๑๕๐. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกํ มาสํ ชานาติ, เอกํ มาสํ น ชานาติฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ยํ มาสํ ชานาติ ตํ มาสํ ปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ยํ มาสํ ชานาติ ตํ มาสํ ปริวาสํ เทติฯ โส ปริวสโนฺต อิตรมฺปิ มาสํ ชานาติฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกํ มาสํ ชานิํ, เอกํ มาสํ น ชานิํฯ โสหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ยํ มาสํ ชานิํ ตํ มาสํ ปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ยํ มาสํ ชานิํ ตํ มาสํ ปริวาสํ อทาสิฯ โสหํ ปริวสโนฺต อิตรมฺปิ มาสํ ชานามิฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาจติ ฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ เทติฯ เตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา ปุริมํ อุปาทาย เทฺว มาสา ปริวสิตพฺพาฯ

    150. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo; ekaṃ māsaṃ jānāti, ekaṃ māsaṃ na jānāti. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ yaṃ māsaṃ jānāti taṃ māsaṃ parivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ yaṃ māsaṃ jānāti taṃ māsaṃ parivāsaṃ deti. So parivasanto itarampi māsaṃ jānāti. Tassa evaṃ hoti – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo; ekaṃ māsaṃ jāniṃ, ekaṃ māsaṃ na jāniṃ. Sohaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ yaṃ māsaṃ jāniṃ taṃ māsaṃ parivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ yaṃ māsaṃ jāniṃ taṃ māsaṃ parivāsaṃ adāsi. Sohaṃ parivasanto itarampi māsaṃ jānāmi. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yāceyya’nti. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yācati . Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ deti. Tena, bhikkhave, bhikkhunā purimaṃ upādāya dve māsā parivasitabbā.

    ๑๕๑. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกํ มาสํ สรติ, เอกํ มาสํ นสฺสรติฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ยํ มาสํ สรติ ตํ มาสํ ปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ยํ มาสํ สรติ ตํ มาสํ ปริวาสํ เทติฯ โส ปริวสโนฺต อิตรมฺปิ มาสํ สรติฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกํ มาสํ สริํ, เอกํ มาสํ นสฺสริํฯ โสหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ยํ มาสํ สริํ ตํ มาสํ ปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ยํ มาสํ สริํ ตํ มาสํ ปริวาสํ อทาสิฯ โสหํ ปริวสโนฺต อิตรมฺปิ มาสํ สรามิฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ เทติฯ เตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา ปุริมํ อุปาทาย เทฺว มาสา ปริวสิตพฺพาฯ

    151. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo; ekaṃ māsaṃ sarati, ekaṃ māsaṃ nassarati. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ yaṃ māsaṃ sarati taṃ māsaṃ parivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ yaṃ māsaṃ sarati taṃ māsaṃ parivāsaṃ deti. So parivasanto itarampi māsaṃ sarati. Tassa evaṃ hoti – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo; ekaṃ māsaṃ sariṃ, ekaṃ māsaṃ nassariṃ. Sohaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ yaṃ māsaṃ sariṃ taṃ māsaṃ parivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ yaṃ māsaṃ sariṃ taṃ māsaṃ parivāsaṃ adāsi. Sohaṃ parivasanto itarampi māsaṃ sarāmi. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yāceyya’nti. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ deti. Tena, bhikkhave, bhikkhunā purimaṃ upādāya dve māsā parivasitabbā.

    ๑๕๒. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกํ มาสํ นิเพฺพมติโก, เอกํ มาสํ เวมติโกฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ยํ มาสํ นิเพฺพมติโก ตํ มาสํ ปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ยํ มาสํ นิเพฺพมติโก ตํ มาสํ ปริวาสํ เทติฯ โส ปริวสโนฺต อิตรมฺปิ มาสํ นิเพฺพมติโก โหติฯ ตสฺส เอวํ โหติ – ‘อหํ โข เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอกํ มาสํ นิเพฺพมติโก, เอกํ มาสํ เวมติโก ฯ โสหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ยํ มาสํ นิเพฺพมติโก ตํ มาสํ ปริวาสํ ยาจิํฯ ตสฺส เม สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉานฺนานํ ยํ มาสํ นิเพฺพมติโก ตํ มาสํ ปริวาสํ อทาสิฯ โสหํ ปริวสโนฺต อิตรมฺปิ มาสํ นิเพฺพมติโกฯ ยํนูนาหํ สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาเจยฺย’นฺติฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ อิตรมฺปิ มาสํ ปริวาสํ เทติฯ เตน, ภิกฺขเว , ภิกฺขุนา ปุริมํ อุปาทาย เทฺว มาสา ปริวสิตพฺพาฯ

    152. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo; ekaṃ māsaṃ nibbematiko, ekaṃ māsaṃ vematiko. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ yaṃ māsaṃ nibbematiko taṃ māsaṃ parivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ yaṃ māsaṃ nibbematiko taṃ māsaṃ parivāsaṃ deti. So parivasanto itarampi māsaṃ nibbematiko hoti. Tassa evaṃ hoti – ‘ahaṃ kho dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ dvemāsappaṭicchannāyo; ekaṃ māsaṃ nibbematiko, ekaṃ māsaṃ vematiko . Sohaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ yaṃ māsaṃ nibbematiko taṃ māsaṃ parivāsaṃ yāciṃ. Tassa me saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchānnānaṃ yaṃ māsaṃ nibbematiko taṃ māsaṃ parivāsaṃ adāsi. Sohaṃ parivasanto itarampi māsaṃ nibbematiko. Yaṃnūnāhaṃ saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yāceyya’nti. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ itarampi māsaṃ parivāsaṃ deti. Tena, bhikkhave , bhikkhunā purimaṃ upādāya dve māsā parivasitabbā.

    ๑๕๓. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอโก มาโส ชานปฺปฎิจฺฉโนฺน, เอโก มาโส อชานปฺปฎิจฺฉโนฺนฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ ตสฺส ปริวสนฺตสฺส อโญฺญ ภิกฺขุ อาคจฺฉติ พหุสฺสุโต อาคตาคโม ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร ปณฺฑิโต วิยโตฺต เมธาวี ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโมฯ โส เอวํ วเทติ – ‘กิํ อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ อาปโนฺน? กิสฺสายํ ภิกฺขุ ปริวสตี’ติ? เต เอวํ วเทนฺติ – ‘อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโยฯ เอโก มาโส ชานปฺปฎิจฺฉโนฺน, เอโก มาโส อชานปฺปฎิจฺฉโนฺนฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ ยาจิฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตาโย อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ อาปโนฺน ตาสายํ ภิกฺขุ ปริวสตี’ติฯ โส เอวํ วเทติ – ‘ยฺวายํ, อาวุโส, มาโส ชานปฺปฎิจฺฉโนฺน ธมฺมิกํ ตสฺส มาสสฺส ปริวาสทานํ; ธมฺมตฺตา รุหติฯ โย จ ขฺวายํ, อาวุโส, มาโส อชานปฺปฎิจฺฉโนฺน อธมฺมิกํ ตสฺส มาสสฺส ปริวาสทานํ; อธมฺมตฺตา น รุหติฯ เอกสฺส, อาวุโส , มาสสฺส ภิกฺขุ มานตฺตารโห’ติฯ

    153. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo; eko māso jānappaṭicchanno, eko māso ajānappaṭicchanno. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ deti. Tassa parivasantassa añño bhikkhu āgacchati bahussuto āgatāgamo dhammadharo vinayadharo mātikādharo paṇḍito viyatto medhāvī lajjī kukkuccako sikkhākāmo. So evaṃ vadeti – ‘kiṃ ayaṃ, āvuso, bhikkhu āpanno? Kissāyaṃ bhikkhu parivasatī’ti? Te evaṃ vadenti – ‘ayaṃ, āvuso, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajji dvemāsappaṭicchannāyo. Eko māso jānappaṭicchanno, eko māso ajānappaṭicchanno. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ yāci. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ adāsi. Tāyo ayaṃ, āvuso, bhikkhu āpanno tāsāyaṃ bhikkhu parivasatī’ti. So evaṃ vadeti – ‘yvāyaṃ, āvuso, māso jānappaṭicchanno dhammikaṃ tassa māsassa parivāsadānaṃ; dhammattā ruhati. Yo ca khvāyaṃ, āvuso, māso ajānappaṭicchanno adhammikaṃ tassa māsassa parivāsadānaṃ; adhammattā na ruhati. Ekassa, āvuso , māsassa bhikkhu mānattāraho’ti.

    ๑๕๔. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอโก มาโส สรมานปฺปฎิจฺฉโนฺน, เอโก มาโส อสฺสรมานปฺปฎิจฺฉโนฺนฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ ตสฺส ปริวสนฺตสฺส อโญฺญ ภิกฺขุ อาคจฺฉติ พหุสฺสุโต อาคตาคโม ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร ปณฺฑิโต วิยโตฺต เมธาวี ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโม ฯ โส เอวํ วเทติ – ‘กิํ อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ อาปโนฺน? กิสฺสายํ ภิกฺขุ ปริวสตี’ติ? เต เอวํ วเทนฺติ – ‘อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอโก มาโส สรมานปฺปฎิจฺฉโนฺน, เอโก มาโส อสฺสรมานปฺปฎิจฺฉโนฺนฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ ยาจิฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตาโย อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ อาปโนฺน ตาสายํ ภิกฺขุ ปริวสตี’ติฯ โส เอวํ วเทติ – ‘ยฺวายํ, อาวุโส, มาโส สรมานปฺปฎิจฺฉโนฺน ธมฺมิกํ ตสฺส มาสสฺส ปริวาสทานํ; ธมฺมตฺตา รุหติฯ โย จ ขฺวายํ, อาวุโส, มาโส อสฺสรมานปฺปฎิจฺฉโนฺน อธมฺมิกํ ตสฺส มาสสฺส ปริวาสทานํ; อธมฺมตฺตา น รุหติฯ เอกสฺส, อาวุโส, มาสสฺส ภิกฺขุ มานตฺตารโห’ติฯ

    154. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo; eko māso saramānappaṭicchanno, eko māso assaramānappaṭicchanno. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ deti. Tassa parivasantassa añño bhikkhu āgacchati bahussuto āgatāgamo dhammadharo vinayadharo mātikādharo paṇḍito viyatto medhāvī lajjī kukkuccako sikkhākāmo . So evaṃ vadeti – ‘kiṃ ayaṃ, āvuso, bhikkhu āpanno? Kissāyaṃ bhikkhu parivasatī’ti? Te evaṃ vadenti – ‘ayaṃ, āvuso, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajji dvemāsappaṭicchannāyo; eko māso saramānappaṭicchanno, eko māso assaramānappaṭicchanno. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ yāci. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ adāsi. Tāyo ayaṃ, āvuso, bhikkhu āpanno tāsāyaṃ bhikkhu parivasatī’ti. So evaṃ vadeti – ‘yvāyaṃ, āvuso, māso saramānappaṭicchanno dhammikaṃ tassa māsassa parivāsadānaṃ; dhammattā ruhati. Yo ca khvāyaṃ, āvuso, māso assaramānappaṭicchanno adhammikaṃ tassa māsassa parivāsadānaṃ; adhammattā na ruhati. Ekassa, āvuso, māsassa bhikkhu mānattāraho’ti.

    ๑๕๕. ‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชติ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอโก มาโส นิเพฺพมติกปฺปฎิจฺฉโนฺน, เอโก มาโส เวมติกปฺปฎิจฺฉโนฺนฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ ยาจติฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ เทติฯ ตสฺส ปริวสนฺตสฺส อโญฺญ ภิกฺขุ อาคจฺฉติ พหุสฺสุโต อาคตาคโม ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโร ปณฺฑิโต วิยโตฺต เมธาวี ลชฺชี กุกฺกุจฺจโก สิกฺขากาโมฯ โส เอวํ วเทติ – ‘กิํ อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ อาปโนฺน? กิสฺสายํ ภิกฺขุ ปริวสตี’ติ? เต เอวํ วเทนฺติ – ‘อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ เทฺว สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนาโย; เอโก มาโส นิเพฺพมติกปฺปฎิจฺฉโนฺน, เอโก มาโส เวมติกปฺปฎิจฺฉโนฺนฯ โส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ ยาจิฯ ตสฺส สโงฺฆ ทฺวินฺนํ อาปตฺตีนํ เทฺวมาสปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เทฺวมาสปริวาสํ อทาสิฯ ตาโย อยํ, อาวุโส, ภิกฺขุ อาปโนฺน ตาสายํ ภิกฺขุ ปริวสตี’ติ ฯ โส เอวํ วเทติ – ‘ยฺวายํ, อาวุโส, มาโส นิเพฺพมติกปฺปฎิจฺฉโนฺน ธมฺมิกํ ตสฺส มาสสฺส ปริวาสทานํ; ธมฺมตฺตา รุหติฯ โย จ ขฺวายํ, อาวุโส, มาโส เวมติกปฺปฎิจฺฉโนฺน อธมฺมิกํ ตสฺส มาสสฺส ปริวาสทานํ; อธมฺมตฺตา น รุหติฯ เอกสฺส, อาวุโส, มาสสฺส ภิกฺขุ มานตฺตารโห’’ติฯ

    155. ‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajjati dvemāsappaṭicchannāyo; eko māso nibbematikappaṭicchanno, eko māso vematikappaṭicchanno. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ yācati. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ deti. Tassa parivasantassa añño bhikkhu āgacchati bahussuto āgatāgamo dhammadharo vinayadharo mātikādharo paṇḍito viyatto medhāvī lajjī kukkuccako sikkhākāmo. So evaṃ vadeti – ‘kiṃ ayaṃ, āvuso, bhikkhu āpanno? Kissāyaṃ bhikkhu parivasatī’ti? Te evaṃ vadenti – ‘ayaṃ, āvuso, bhikkhu dve saṅghādisesā āpattiyo āpajji dvemāsappaṭicchannāyo; eko māso nibbematikappaṭicchanno, eko māso vematikappaṭicchanno. So saṅghaṃ dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ yāci. Tassa saṅgho dvinnaṃ āpattīnaṃ dvemāsappaṭicchannānaṃ dvemāsaparivāsaṃ adāsi. Tāyo ayaṃ, āvuso, bhikkhu āpanno tāsāyaṃ bhikkhu parivasatī’ti . So evaṃ vadeti – ‘yvāyaṃ, āvuso, māso nibbematikappaṭicchanno dhammikaṃ tassa māsassa parivāsadānaṃ; dhammattā ruhati. Yo ca khvāyaṃ, āvuso, māso vematikappaṭicchanno adhammikaṃ tassa māsassa parivāsadānaṃ; adhammattā na ruhati. Ekassa, āvuso, māsassa bhikkhu mānattāraho’’ti.







    Footnotes:
    1. อิตรมฺปิ มาสปริวาสํ (สฺยา. ก. เอวมุปริปิ)
    2. itarampi māsaparivāsaṃ (syā. ka. evamuparipi)
    3. อิตรมฺปิ มาสปริวาสสฺส (ก.), อิตรสฺสปิ มาสปริวาสสฺส (สฺยา.)
    4. itarampi māsaparivāsassa (ka.), itarassapi māsaparivāsassa (syā.)
    5. อิตรมฺปิ มาสปริวาโส (ก.), อิตโรปิ มาสปริวาโส (สฺยา.)
    6. itarampi māsaparivāso (ka.), itaropi māsaparivāso (syā.)



    Related texts:



    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ปฎิจฺฉนฺนปริวาสาทิกถาวณฺณนา • Paṭicchannaparivāsādikathāvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact