Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๙. เทฺวธาวิตกฺกสุตฺตวณฺณนา
9. Dvedhāvitakkasuttavaṇṇanā
๒๐๖. เม สุตนฺติ เทฺวธาวิตกฺกสุตฺตํฯ ตตฺถ ทฺวิธา กตฺวา ทฺวิธา กตฺวาติ เทฺว เทฺว ภาเค กตฺวาฯ กามวิตโกฺกติ กามปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺกฯ พฺยาปาทวิตโกฺกติ พฺยาปาทปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺกฯ วิหิํสาวิตโกฺกติ วิหิํสาปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺกฯ เอกํ ภาคนฺติ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริโก วา สุขุโม วา สโพฺพ ปายํ วิตโกฺก อกุสลปกฺขิโกเยวาติ ตโยปิ กามพฺยาปาทวิหิํสาวิตเกฺก เอกํ โกฎฺฐาสมกาสิํฯ กาเมหิ นิสฺสโฎ เนกฺขมฺมปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก เนกฺขมฺมวิตโกฺก นาม, โส ยาว ปฐมชฺฌานา วฎฺฎติฯ อพฺยาปาทปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก อพฺยาปาทวิตโกฺก, โส เมตฺตาปุพฺพภาคโต ปฎฺฐาย ยาว ปฐมชฺฌานา วฎฺฎติฯ อวิหิํสาปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก อวิหิํสาวิตโกฺก, โส กรุณาปุพฺพภาคโต ปฎฺฐาย ยาว ปฐมชฺฌานา วฎฺฎติฯ ทุติยํ ภาคนฺติ สโพฺพปายํ กุสลปกฺขิโกเยวาติ ทุติยํ โกฎฺฐาสมกาสิํฯ อิมินา โพธิสตฺตสฺส วิตกฺกนิคฺคหณกาโล กถิโตฯ
206.Me sutanti dvedhāvitakkasuttaṃ. Tattha dvidhā katvā dvidhā katvāti dve dve bhāge katvā. Kāmavitakkoti kāmapaṭisaṃyutto vitakko. Byāpādavitakkoti byāpādapaṭisaṃyutto vitakko. Vihiṃsāvitakkoti vihiṃsāpaṭisaṃyutto vitakko. Ekaṃ bhāganti ajjhattaṃ vā bahiddhā vā oḷāriko vā sukhumo vā sabbo pāyaṃ vitakko akusalapakkhikoyevāti tayopi kāmabyāpādavihiṃsāvitakke ekaṃ koṭṭhāsamakāsiṃ. Kāmehi nissaṭo nekkhammapaṭisaṃyutto vitakko nekkhammavitakko nāma, so yāva paṭhamajjhānā vaṭṭati. Abyāpādapaṭisaṃyutto vitakko abyāpādavitakko, so mettāpubbabhāgato paṭṭhāya yāva paṭhamajjhānā vaṭṭati. Avihiṃsāpaṭisaṃyutto vitakko avihiṃsāvitakko, so karuṇāpubbabhāgato paṭṭhāya yāva paṭhamajjhānā vaṭṭati. Dutiyaṃ bhāganti sabbopāyaṃ kusalapakkhikoyevāti dutiyaṃ koṭṭhāsamakāsiṃ. Iminā bodhisattassa vitakkaniggahaṇakālo kathito.
โพธิสตฺตสฺส หิ ฉพฺพสฺสานิ ปธานํ ปทหนฺตสฺส เนกฺขมฺมวิตกฺกาทโย ปุญฺชปุญฺชา มหานทิยํ โอฆา วิย ปวตฺติํสุฯ สติสโมฺมเสน ปน สหสา กามวิตกฺกาทโย อุปฺปชฺชิตฺวา กุสลวารํ ปจฺฉินฺทิตฺวา สยํ อกุสลชวนวารา หุตฺวา ติฎฺฐนฺติฯ ตโต โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ อิเม กามวิตกฺกาทโย กุสลวารํ ปจฺฉินฺทิตฺวา ติฎฺฐนฺติ, หนฺทาหํ อิเม วิตเกฺก เทฺว ภาเค กตฺวา วิหรามี’’ติ กามวิตกฺกาทโย อกุสลปกฺขิกาติ เอกํ ภาคํ กโรติ เนกฺขมฺมวิตกฺกาทโย กุสลปกฺขิกาติ เอกํฯ อถ ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘อกุสลปกฺขโต อาคตํ วิตกฺกํ มเนฺตน กณฺหสปฺปํ อุปฺปีเฬตฺวา คณฺหโนฺต วิย อมิตฺตํ คีวาย อกฺกมโนฺต วิย จ นิคฺคเหสฺสามิ, นาสฺส วฑฺฒิตุํ ทสฺสามิฯ กุสลปกฺขโต อาคตํ วิตกฺกํ เมฆสมเย เมฆํ วิย สุเขเตฺต สาลกลฺยาณิโปตกํ วิย จ สีฆํ วเฑฺฒสฺสามี’’ติฯ โส ตถา กตฺวา อกุสลวิตเกฺก นิคฺคณฺหิ, กุสลวิตเกฺก วเฑฺฒสิฯ เอวํ อิมินา โพธิสตฺตสฺส วิตกฺกนิคฺคหณนกาโล กถิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Bodhisattassa hi chabbassāni padhānaṃ padahantassa nekkhammavitakkādayo puñjapuñjā mahānadiyaṃ oghā viya pavattiṃsu. Satisammosena pana sahasā kāmavitakkādayo uppajjitvā kusalavāraṃ pacchinditvā sayaṃ akusalajavanavārā hutvā tiṭṭhanti. Tato bodhisatto cintesi – ‘‘mayhaṃ ime kāmavitakkādayo kusalavāraṃ pacchinditvā tiṭṭhanti, handāhaṃ ime vitakke dve bhāge katvā viharāmī’’ti kāmavitakkādayo akusalapakkhikāti ekaṃ bhāgaṃ karoti nekkhammavitakkādayo kusalapakkhikāti ekaṃ. Atha puna cintesi – ‘‘akusalapakkhato āgataṃ vitakkaṃ mantena kaṇhasappaṃ uppīḷetvā gaṇhanto viya amittaṃ gīvāya akkamanto viya ca niggahessāmi, nāssa vaḍḍhituṃ dassāmi. Kusalapakkhato āgataṃ vitakkaṃ meghasamaye meghaṃ viya sukhette sālakalyāṇipotakaṃ viya ca sīghaṃ vaḍḍhessāmī’’ti. So tathā katvā akusalavitakke niggaṇhi, kusalavitakke vaḍḍhesi. Evaṃ iminā bodhisattassa vitakkaniggahaṇanakālo kathitoti veditabbo.
๒๐๗. อิทานิ ยถาสฺส เต วิตกฺกา อุปฺปชฺชิํสุ, ยถา จ เน นิคฺคเหสิ, ตํ ทเสฺสโนฺต ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ อปฺปมตฺตสฺสาติ สติยา อวิปฺปวาเส ฐิตสฺสฯ อาตาปิโนติ อาตาปวีริยวนฺตสฺสฯ ปหิตตฺตสฺสาติ เปสิตจิตฺตสฺสฯ อุปฺปชฺชติ กามวิตโกฺกติ โพธิสตฺตสฺส ฉพฺพสฺสานิ ปธานํ ปทหโต รชฺชสุขํ วา อารพฺภ, ปาสาเท วา นาฎกานิ วา โอโรเธ วา กิญฺจิเทว วา สมฺปตฺติํ อารพฺภ กามวิตโกฺก นาม น อุปฺปนฺนปุโพฺพฯ ทุกฺกรการิกาย ปนสฺส อาหารูปเจฺฉเทน อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘น สกฺกา อาหารูปเจฺฉเทน วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ, ยํนูนาหํ โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรยฺย’’นฺติฯ โส อุรุเวลํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ มนุสฺสา – ‘‘มหาปุริโส ปุเพฺพ อาหริตฺวา ทินฺนมฺปิ น คณฺหิ, อทฺธาสฺส อิทานิ มโนรโถ มตฺถกํ ปโตฺต, ตสฺมา สยเมว อาคโต’’ติ ปณีตปณีตํ อาหารํ อุปหริํสุฯ โพธิสตฺตสฺส อตฺตภาโว นจิรเสฺสว ปากติโก อโหสิฯ ชราชิณฺณตฺตภาโว หิ สปฺปายโภชนํ ลภิตฺวาปิ ปากติโก น โหติฯ โพธิสโตฺต ปน ทหโรฯ เตนสฺส สปฺปายโภชนํ ภุญฺชโต อตฺตภาโว น จิรเสฺสว ปากติโก ชาโต, วิปฺปสนฺนานิ อินฺทฺริยานิ, ปริสุโทฺธ ฉวิวโณฺณ, สมุคฺคตตาราคณํ วิย นภํ ปริปุณฺณทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณปฺปฎิมณฺฑิตสรีรํ อโหสิฯ โส ตํ โอโลเกตฺวา ‘‘ตาว กิลโนฺต นาม อตฺตภาโว เอวํ ปฎิปากติโก ชาโต’’ติ จิเนฺตตฺวา อตฺตโน ปญฺญามหนฺตตาย เอวํ ปริตฺตกมฺปิ วิตกฺกํ คเหตฺวา กามวิตโกฺกติ อกาสิฯ
207. Idāni yathāssa te vitakkā uppajjiṃsu, yathā ca ne niggahesi, taṃ dassento tassa mayhaṃ, bhikkhavetiādimāha. Tattha appamattassāti satiyā avippavāse ṭhitassa. Ātāpinoti ātāpavīriyavantassa. Pahitattassāti pesitacittassa. Uppajjati kāmavitakkoti bodhisattassa chabbassāni padhānaṃ padahato rajjasukhaṃ vā ārabbha, pāsāde vā nāṭakāni vā orodhe vā kiñcideva vā sampattiṃ ārabbha kāmavitakko nāma na uppannapubbo. Dukkarakārikāya panassa āhārūpacchedena adhimattakasimānaṃ pattassa etadahosi – ‘‘na sakkā āhārūpacchedena visesaṃ nibbattetuṃ, yaṃnūnāhaṃ oḷārikaṃ āhāraṃ āhāreyya’’nti. So uruvelaṃ piṇḍāya pāvisi. Manussā – ‘‘mahāpuriso pubbe āharitvā dinnampi na gaṇhi, addhāssa idāni manoratho matthakaṃ patto, tasmā sayameva āgato’’ti paṇītapaṇītaṃ āhāraṃ upahariṃsu. Bodhisattassa attabhāvo nacirasseva pākatiko ahosi. Jarājiṇṇattabhāvo hi sappāyabhojanaṃ labhitvāpi pākatiko na hoti. Bodhisatto pana daharo. Tenassa sappāyabhojanaṃ bhuñjato attabhāvo na cirasseva pākatiko jāto, vippasannāni indriyāni, parisuddho chavivaṇṇo, samuggatatārāgaṇaṃ viya nabhaṃ paripuṇṇadvattiṃsamahāpurisalakkhaṇappaṭimaṇḍitasarīraṃ ahosi. So taṃ oloketvā ‘‘tāva kilanto nāma attabhāvo evaṃ paṭipākatiko jāto’’ti cintetvā attano paññāmahantatāya evaṃ parittakampi vitakkaṃ gahetvā kāmavitakkoti akāsi.
ปณฺณสาลาย ปุรโต นิสิโนฺน จมรปสทควยโรหิตมิคาทิเก มคคเณ มนุญฺญสทฺทรวเน โมรวนกุกฺกุฎาทิเก ปกฺขิคเณ นีลุปฺปลกุมุทกมลาทิสญฺฉนฺนานิ ปลฺลลานิ นานากุสุมสญฺฉนฺนวิฎปา วนราชิโย มณิกฺขนฺธนิมฺมลชลปวาหญฺจ นทิํ เนรญฺชรํ ปสฺสติฯ ตสฺส เอวํ โหติ ‘‘โสภนา วติเม มิคชาตา ปกฺขิคณา ปลฺลลานิ วนราชิโย นที เนรญฺชรา’’ติฯ โส ตมฺปิ เอวํ ปริตฺตกํ วิตกฺกํ คเหตฺวา กามวิตกฺกมกาสิ, เตนาห ‘‘อุปฺปชฺชติ กามวิตโกฺก’’ติฯ
Paṇṇasālāya purato nisinno camarapasadagavayarohitamigādike magagaṇe manuññasaddaravane moravanakukkuṭādike pakkhigaṇe nīluppalakumudakamalādisañchannāni pallalāni nānākusumasañchannaviṭapā vanarājiyo maṇikkhandhanimmalajalapavāhañca nadiṃ nerañjaraṃ passati. Tassa evaṃ hoti ‘‘sobhanā vatime migajātā pakkhigaṇā pallalāni vanarājiyo nadī nerañjarā’’ti. So tampi evaṃ parittakaṃ vitakkaṃ gahetvā kāmavitakkamakāsi, tenāha ‘‘uppajjati kāmavitakko’’ti.
อตฺตพฺยาพาธายปีติ อตฺตทุกฺขายปิฯ เอเสวนโย สพฺพตฺถฯ กิํ ปน มหาสตฺตสฺส อุภยทุกฺขาย สํวตฺตนกวิตโกฺก นาม อตฺถีติ? นตฺถิฯ อปริญฺญายํ ฐิตสฺส ปน วิตโกฺก ยาว อุภยพฺยาพาธาย สํวตฺตตีติ เอตานิ ตีณิ นามานิ ลภติ, ตสฺมา เอวมาหฯ ปญฺญานิโรธิโกติ อนุปฺปนฺนาย โลกิยโลกุตฺตราย ปญฺญาย อุปฺปชฺชิตุํ น เทติ, โลกิยปญฺญํ ปน อฎฺฐสมาปตฺติปญฺจาภิญฺญาวเสน อุปฺปนฺนมฺปิ สมุจฺฉินฺทิตฺวา ขิปตีติ ปญฺญานิโรธิโกฯ วิฆาตปกฺขิโกติ ทุกฺขโกฎฺฐาสิโกฯ อสงฺขตํ นิพฺพานํ นาม, ตํ ปจฺจกฺขํ กาตุํ น เทตีติ อนิพฺพานสํวตฺตนิโกฯ อพฺภตฺถํ คจฺฉตีติ ขยํ นตฺถิภาวํ คจฺฉติฯ อุทกปุปฺผุฬโก วิย นิรุชฺฌติฯ ปชหเมวาติ ปชหิเมวฯ วิโนทเมวาติ นีหริเมวฯ พฺยนฺตเมว นํ อกาสินฺติ วิคตนฺตํ นิเสฺสสํ ปริวฎุมํ ปริจฺฉินฺนเมว นํ อกาสิํฯ
Attabyābādhāyapīti attadukkhāyapi. Esevanayo sabbattha. Kiṃ pana mahāsattassa ubhayadukkhāya saṃvattanakavitakko nāma atthīti? Natthi. Apariññāyaṃ ṭhitassa pana vitakko yāva ubhayabyābādhāya saṃvattatīti etāni tīṇi nāmāni labhati, tasmā evamāha. Paññānirodhikoti anuppannāya lokiyalokuttarāya paññāya uppajjituṃ na deti, lokiyapaññaṃ pana aṭṭhasamāpattipañcābhiññāvasena uppannampi samucchinditvā khipatīti paññānirodhiko. Vighātapakkhikoti dukkhakoṭṭhāsiko. Asaṅkhataṃ nibbānaṃ nāma, taṃ paccakkhaṃ kātuṃ na detīti anibbānasaṃvattaniko. Abbhatthaṃ gacchatīti khayaṃ natthibhāvaṃ gacchati. Udakapupphuḷako viya nirujjhati. Pajahamevāti pajahimeva. Vinodamevāti nīharimeva. Byantameva naṃ akāsinti vigatantaṃ nissesaṃ parivaṭumaṃ paricchinnameva naṃ akāsiṃ.
๒๐๘. พฺยาปาทวิตโกฺกติ น โพธิสตฺตสฺส ปรูปฆาตปฺปฎิสํยุโตฺต นาม วิตโกฺก จิเตฺต อุปฺปชฺชติ, อถสฺส อติวสฺสอจฺจุณฺหอติสีตาทีนิ ปน ปฎิจฺจ จิตฺตวิปริณามภาโว โหติ, ตํ สนฺธาย ‘‘พฺยาปาทวิตโกฺก’’ติ อาหฯ วิหิํสาวิตโกฺกติ น มหาสตฺตสฺส ปเรสํ ทุกฺขุปฺปาทนปฺปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก อุปฺปชฺชติ, จิเตฺต ปน อุทฺธตากาโร อเนกคฺคตากาโร โหติ, ตํ คเหตฺวา วิหิํสาวิตกฺกมกาสิฯ ปณฺณสาลาทฺวาเร นิสิโนฺน หิ สีหพฺยคฺฆาทิเก วาฬมิเค สูกราทโย ขุทฺทมิเค วิหิํสเนฺต ปสฺสติฯ อถ โพธิสโตฺต อิมสฺมิมฺปิ นาม อกุโตภเย อรเญฺญ อิเมสํ ติรจฺฉานคตานํ ปจฺจตฺถิกา อุปฺปชฺชนฺติ, พลวโนฺต ทุพฺพเล ขาทนฺติ, พลวนฺตขาทิตา วตฺตนฺตีติ การุญฺญํ อุปฺปาเทติฯ อเญฺญปิ พิฬาราทโย กุกฺกุฎมูสิกาทีนิ ขาทเนฺต ปสฺสติ, คามํ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ มนุเสฺส ราชกมฺมิเกหิ อุปทฺทุเต วธพนฺธาทีนิ อนุภวเนฺต อตฺตโน กสิวณิชฺชาทีนิ กมฺมานิ กตฺวา ชีวิตุํ น ลภนฺตีติ การุญฺญํ อุปฺปาเทติ, ตํ สนฺธาย ‘‘อุปฺปชฺชติ วิหิํสาวิตโกฺก’’ติ อาหฯ ตถา ตถาติ เตน เตน อากาเรนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – กามวิตกฺกาทีสุ ยํ ยํ วิตเกฺกติ, ยํ ยํ วิตกฺกํ ปวเตฺตติ, เตน เตเน จสฺสากาเรน กามวิตกฺกาทิภาโว เจตโส น หิ โหตีติฯ ปหาสิ เนกฺขมฺมวิตกฺกนฺติ เนกฺขมฺมวิตกฺกํ ปชหติฯ พหุลมกาสีติ พหุลํ กโรติฯ ตสฺส ตํ กามวิตกฺกาย จิตฺตนฺติ ตสฺส ตํ จิตฺตํ กามวิตกฺกตฺถายฯ ยถา กามวิตกฺกสมฺปยุตฺตํ โหติ, เอวเมวํ นมตีติ อโตฺถฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ
208.Byāpādavitakkoti na bodhisattassa parūpaghātappaṭisaṃyutto nāma vitakko citte uppajjati, athassa ativassaaccuṇhaatisītādīni pana paṭicca cittavipariṇāmabhāvo hoti, taṃ sandhāya ‘‘byāpādavitakko’’ti āha. Vihiṃsāvitakkoti na mahāsattassa paresaṃ dukkhuppādanappaṭisaṃyutto vitakko uppajjati, citte pana uddhatākāro anekaggatākāro hoti, taṃ gahetvā vihiṃsāvitakkamakāsi. Paṇṇasālādvāre nisinno hi sīhabyagghādike vāḷamige sūkarādayo khuddamige vihiṃsante passati. Atha bodhisatto imasmimpi nāma akutobhaye araññe imesaṃ tiracchānagatānaṃ paccatthikā uppajjanti, balavanto dubbale khādanti, balavantakhāditā vattantīti kāruññaṃ uppādeti. Aññepi biḷārādayo kukkuṭamūsikādīni khādante passati, gāmaṃ piṇḍāya paviṭṭho manusse rājakammikehi upaddute vadhabandhādīni anubhavante attano kasivaṇijjādīni kammāni katvā jīvituṃ na labhantīti kāruññaṃ uppādeti, taṃ sandhāya ‘‘uppajjati vihiṃsāvitakko’’ti āha. Tathā tathāti tena tena ākārena. Idaṃ vuttaṃ hoti – kāmavitakkādīsu yaṃ yaṃ vitakketi, yaṃ yaṃ vitakkaṃ pavatteti, tena tene cassākārena kāmavitakkādibhāvo cetaso na hi hotīti. Pahāsi nekkhammavitakkanti nekkhammavitakkaṃ pajahati. Bahulamakāsīti bahulaṃ karoti. Tassa taṃ kāmavitakkāya cittanti tassa taṃ cittaṃ kāmavitakkatthāya. Yathā kāmavitakkasampayuttaṃ hoti, evamevaṃ namatīti attho. Sesapadesupi eseva nayo.
อิทานิ อตฺถทีปิกํ อุปมํ ทเสฺสโนฺต เสยฺยถาปี ติอาทิมาหฯ ตตฺถ กิฎฺฐสมฺพาเธติ สสฺสสมฺพาเธฯ อาโกเฎยฺยาติ อุชุกํ ปิฎฺฐิยํ ปหเรยฺยฯ ปฎิโกเฎยฺยาติ ติริยํ ผาสุกาสุ ปหเรยฺยฯ สนฺนิรุเนฺธยฺยาติ อาวริตฺวา ติเฎฺฐยฺยฯ สนฺนิวาเรยฺยาติ อิโต จิโต จ คนฺตุํ น ทเทยฺย ฯ ตโตนิทานนฺติ เตน การเณน, เอวํ อรกฺขิตานํ คุนฺนํ ปเรสํ สสฺสขาทนการเณนาติ อโตฺถฯ พาโล หิ โคปาโลโก เอวํ คาโว อรกฺขมาโน ‘‘อยํ อมฺหากํ ภตฺตเวตนํ ขาทติ, อุชุํ คาโว รกฺขิตุมฺปิ น สโกฺกติ, กุเลหิ สทฺธิํ เวรํ คณฺหาเปตี’’ติ โคสามิกานมฺปิ สนฺติกา วธาทีนิ ปาปุณาติ, กิฎฺฐสามิกานมฺปิฯ ปณฺฑิโต ปน อิมานิ จตฺตาริ ภยานิ สมฺปสฺสโนฺต คาโว สาธุกํ รกฺขติ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ อาทีนวนฺติ อุปทฺทวํฯ โอการนฺติ ลามกํ, ขเนฺธสุ วา โอตารํฯ สํกิเลสนฺติ กิลิฎฺฐภาวํฯ เนกฺขเมฺมติ เนกฺขมฺมมฺหิฯ อานิสํสนฺติ วิสุทฺธิปกฺขํฯ โวทานปกฺขนฺติ อิทํ ตเสฺสว เววจนํ, กุสลานํ ธมฺมานํ เนกฺขมฺมมฺหิ วิสุทฺธิปกฺขํ อทฺทสนฺติ อโตฺถฯ
Idāni atthadīpikaṃ upamaṃ dassento seyyathāpī tiādimāha. Tattha kiṭṭhasambādheti sassasambādhe. Ākoṭeyyāti ujukaṃ piṭṭhiyaṃ pahareyya. Paṭikoṭeyyāti tiriyaṃ phāsukāsu pahareyya. Sannirundheyyāti āvaritvā tiṭṭheyya. Sannivāreyyāti ito cito ca gantuṃ na dadeyya . Tatonidānanti tena kāraṇena, evaṃ arakkhitānaṃ gunnaṃ paresaṃ sassakhādanakāraṇenāti attho. Bālo hi gopāloko evaṃ gāvo arakkhamāno ‘‘ayaṃ amhākaṃ bhattavetanaṃ khādati, ujuṃ gāvo rakkhitumpi na sakkoti, kulehi saddhiṃ veraṃ gaṇhāpetī’’ti gosāmikānampi santikā vadhādīni pāpuṇāti, kiṭṭhasāmikānampi. Paṇḍito pana imāni cattāri bhayāni sampassanto gāvo sādhukaṃ rakkhati, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Ādīnavanti upaddavaṃ. Okāranti lāmakaṃ, khandhesu vā otāraṃ. Saṃkilesanti kiliṭṭhabhāvaṃ. Nekkhammeti nekkhammamhi. Ānisaṃsanti visuddhipakkhaṃ. Vodānapakkhanti idaṃ tasseva vevacanaṃ, kusalānaṃ dhammānaṃ nekkhammamhi visuddhipakkhaṃ addasanti attho.
๒๐๙. เนกฺขมฺมนฺติ จ กาเมหิ นิสฺสฎํ สพฺพกุสลํ, เอกธเมฺม สงฺคยฺหมาเน นิพฺพานเมวฯ ตตฺริทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ – กิฎฺฐสมฺพาธํ วิย หิ รูปาทิอารมฺมณํ, กูฎคาโว วิย กูฎจิตฺตํ, ปณฺฑิตโคปาลโก วิย โพธิสโตฺต, จตุพฺพิธภยํ วิย อตฺตปรูภยพฺยาพาธาย สํวตฺตนวิตโกฺก, ปณฺฑิตโคปาลกสฺส จตุพฺพิธํ ภยํ ทิสฺวา กิฎฺฐสมฺพาเธ อปฺปมาเทน โครกฺขณํ วิย โพธิสตฺตสฺส ฉพฺพสฺสานิ ปธานํ ปทหโต อตฺตพฺยาพาธาทิภยํ ทิสฺวา รูปาทีสุ อารมฺมเณสุ ยถา กามวิตกฺกาทโย น อุปฺปชฺชนฺติ, เอวํ จิตฺตรกฺขณํฯ ปญฺญาวุทฺธิโกติอาทีสุ อนุปฺปนฺนาย โลกิยโลกุตฺตรปญฺญาย อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนาย จ วุทฺธิยา สํวตฺตตีติ ปญฺญาวุทฺธิโกฯ น ทุกฺขโกฎฺฐาสาย สํวตฺตตีติ อวิฆาตปกฺขิโกฯ นิพฺพานธาตุสจฺฉิกิริยาย สํวตฺตตีติ นิพฺพานสํวตฺตนิโกฯ รตฺติํ เจปิ นํ, ภิกฺขเว, อนุวิตเกฺกยฺยนฺติ สกลรตฺติํ เจปิ ตํ วิตกฺกํ ปวเตฺตยฺยํฯ ตโตนิทานนฺติ ตํมูลกํฯ โอหเญฺญยฺยาติ อุคฺฆาตีเยยฺย, อุทฺธจฺจาย สํวเตฺตยฺยาติ อโตฺถฯ อาราติ ทูเรฯ สมาธิมฺหาติ อุปจารสมาธิโตปิ อปฺปนาสมาธิโตปิฯ โส โข อหํ, ภิกฺขเว, อชฺฌตฺตเมว จิตฺตนฺติ โส อหํ, ภิกฺขเว, มา เม จิตฺตํ สมาธิมฺหา ทูเร โหตูติ อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ สณฺฐเปมิ, โคจรชฺฌเตฺต ฐเปมีติ อโตฺถฯ สนฺนิสาเทมีติ ตเตฺถว จ นํ สนฺนิสีทาเปมิฯ เอโกทิํ กโรมีติ เอกคฺคํ กโรมิฯ สมาทหามีติ สมฺมา อาทหามิ, สุฎฺฐุ อาโรเปมีติ อโตฺถฯ มา เม จิตฺตํ อูหญฺญีติ มา มยฺหํ จิตฺตํ อุคฺฆาตียิตฺถ, มา อุทฺธจฺจาย สํวตฺตตูติ อโตฺถฯ
209.Nekkhammanti ca kāmehi nissaṭaṃ sabbakusalaṃ, ekadhamme saṅgayhamāne nibbānameva. Tatridaṃ opammasaṃsandanaṃ – kiṭṭhasambādhaṃ viya hi rūpādiārammaṇaṃ, kūṭagāvo viya kūṭacittaṃ, paṇḍitagopālako viya bodhisatto, catubbidhabhayaṃ viya attaparūbhayabyābādhāya saṃvattanavitakko, paṇḍitagopālakassa catubbidhaṃ bhayaṃ disvā kiṭṭhasambādhe appamādena gorakkhaṇaṃ viya bodhisattassa chabbassāni padhānaṃ padahato attabyābādhādibhayaṃ disvā rūpādīsu ārammaṇesu yathā kāmavitakkādayo na uppajjanti, evaṃ cittarakkhaṇaṃ. Paññāvuddhikotiādīsu anuppannāya lokiyalokuttarapaññāya uppādāya, uppannāya ca vuddhiyā saṃvattatīti paññāvuddhiko. Na dukkhakoṭṭhāsāya saṃvattatīti avighātapakkhiko. Nibbānadhātusacchikiriyāya saṃvattatīti nibbānasaṃvattaniko. Rattiṃ cepi naṃ, bhikkhave, anuvitakkeyyanti sakalarattiṃ cepi taṃ vitakkaṃ pavatteyyaṃ. Tatonidānanti taṃmūlakaṃ. Ohaññeyyāti ugghātīyeyya, uddhaccāya saṃvatteyyāti attho. Ārāti dūre. Samādhimhāti upacārasamādhitopi appanāsamādhitopi. So kho ahaṃ, bhikkhave, ajjhattameva cittanti so ahaṃ, bhikkhave, mā me cittaṃ samādhimhā dūre hotūti ajjhattameva cittaṃ saṇṭhapemi, gocarajjhatte ṭhapemīti attho. Sannisādemīti tattheva ca naṃ sannisīdāpemi. Ekodiṃ karomīti ekaggaṃ karomi. Samādahāmīti sammā ādahāmi, suṭṭhu āropemīti attho. Mā me cittaṃ ūhaññīti mā mayhaṃ cittaṃ ugghātīyittha, mā uddhaccāya saṃvattatūti attho.
๒๑๐. อุปฺปชฺชติ อพฺยาปาทวิตโกฺก…เป.… อวิหิํสาวิตโกฺกติ เอตฺถ โย โส อิมาย เหฎฺฐา วุตฺตตรุณวิปสฺสนาย สทฺธิํ อุปฺปนฺนวิตโกฺก กามปจฺจนีกเฎฺฐน เนกฺขมฺมวิตโกฺกติ วุโตฺตฯ โสเยว พฺยาปาทปจฺจนีกเฎฺฐน อพฺยาปาทวิตโกฺกติ จ วิหิํสาปจฺจนีกเฎฺฐน อวิหิํสาวิตโกฺกติ จ วุโตฺตฯ
210.Uppajjati abyāpādavitakko…pe… avihiṃsāvitakkoti ettha yo so imāya heṭṭhā vuttataruṇavipassanāya saddhiṃ uppannavitakko kāmapaccanīkaṭṭhena nekkhammavitakkoti vutto. Soyeva byāpādapaccanīkaṭṭhena abyāpādavitakkoti ca vihiṃsāpaccanīkaṭṭhena avihiṃsāvitakkoti ca vutto.
เอตฺตาวตา โพธิสตฺตสฺส สมาปตฺติํ นิสฺสาย วิปสฺสนาปฎฺฐปนกาโล กถิโตฯ ยสฺส หิ สมาธิปิ ตรุโณ, วิปสฺสนาปิฯ ตสฺส วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อติจิรํ นิสินฺนสฺส กาโย กิลมติ, อโนฺต อคฺคิ วิย อุฎฺฐหติ, กเจฺฉหิ เสทา มุจฺจนฺติ, มตฺถกโต อุสุมวฎฺฎิ วิย อุฎฺฐหติ, จิตฺตํ หญฺญติ วิหญฺญติ วิปฺผนฺทติฯ โส ปุน สมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา ตํ ปริทเมตฺวา มุทุกํ กตฺวา สมสฺสาเสตฺวา ปุน วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปติฯ ตสฺส ปุน อติจิรํ นิสินฺนสฺส ตเถว โหติฯ โส ปุน สมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา ตเถว กโรติฯ วิปสฺสนาย หิ พหูปการา สมาปตฺติฯ
Ettāvatā bodhisattassa samāpattiṃ nissāya vipassanāpaṭṭhapanakālo kathito. Yassa hi samādhipi taruṇo, vipassanāpi. Tassa vipassanaṃ paṭṭhapetvā aticiraṃ nisinnassa kāyo kilamati, anto aggi viya uṭṭhahati, kacchehi sedā muccanti, matthakato usumavaṭṭi viya uṭṭhahati, cittaṃ haññati vihaññati vipphandati. So puna samāpattiṃ samāpajjitvā taṃ paridametvā mudukaṃ katvā samassāsetvā puna vipassanaṃ paṭṭhapeti. Tassa puna aticiraṃ nisinnassa tatheva hoti. So puna samāpattiṃ samāpajjitvā tatheva karoti. Vipassanāya hi bahūpakārā samāpatti.
ยถา โยธสฺส ผลกโกฎฺฐโก นาม พหูปกาโร โหติ, โส ตํ นิสฺสาย สงฺคามํ ปวิสติ, ตตฺถ หตฺถีหิปิ อเสฺสหิปิ โยเธหิปิ สทฺธิํ กมฺมํ กตฺวา อาวุเธสุ วา ขีเณสุ ภุญฺชิตุกามตาทิภาเว วา สติ นิวตฺติตฺวา ผลกโกฎฺฐกํ ปวิสิตฺวา อาวุธานิปิ คณฺหาติ, วิสฺสมติปิ, ภุญฺชติปิ, ปานียมฺปิ ปิวติ, สนฺนาหมฺปิ ปฎิสนฺนยฺหติ, ตํ ตํ กตฺวา ปุน สงฺคามํ ปวิสติ, ตตฺถ กมฺมํ กตฺวา ปุน อุจฺจาราทิปีฬิโต วา เกนจิเทว วา กรณีเยน ผลกโกฎฺฐกํ ปวิสติฯ ตตฺถ สนฺถมฺภิตฺวา ปุน สงฺคามํ ปวิสติ, เอวํ โยธสฺส ผลกโกฎฺฐโก วิย วิปสฺสนาย พหูปการา สมาปตฺติฯ
Yathā yodhassa phalakakoṭṭhako nāma bahūpakāro hoti, so taṃ nissāya saṅgāmaṃ pavisati, tattha hatthīhipi assehipi yodhehipi saddhiṃ kammaṃ katvā āvudhesu vā khīṇesu bhuñjitukāmatādibhāve vā sati nivattitvā phalakakoṭṭhakaṃ pavisitvā āvudhānipi gaṇhāti, vissamatipi, bhuñjatipi, pānīyampi pivati, sannāhampi paṭisannayhati, taṃ taṃ katvā puna saṅgāmaṃ pavisati, tattha kammaṃ katvā puna uccārādipīḷito vā kenacideva vā karaṇīyena phalakakoṭṭhakaṃ pavisati. Tattha santhambhitvā puna saṅgāmaṃ pavisati, evaṃ yodhassa phalakakoṭṭhako viya vipassanāya bahūpakārā samāpatti.
สมาปตฺติยา ปน สงฺคามนิตฺถรณกโยธสฺส ผลกโกฎฺฐกโตปิ วิปสฺสนา พหูปการตราฯ กิญฺจาปิ หิ สมาปตฺติํ นิสฺสาย วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปติ, วิปสฺสนา ปน ถามชาตา สมาปตฺติมฺปิ รกฺขติฯ ถามชาตํ กโรติฯ
Samāpattiyā pana saṅgāmanittharaṇakayodhassa phalakakoṭṭhakatopi vipassanā bahūpakāratarā. Kiñcāpi hi samāpattiṃ nissāya vipassanaṃ paṭṭhapeti, vipassanā pana thāmajātā samāpattimpi rakkhati. Thāmajātaṃ karoti.
ยถา หิ ถเล นาวมฺปิ นาวาย ภณฺฑมฺปิ สกฎภารํ กโรนฺติฯ อุทกํ ปตฺวา ปน สกฎมฺปิ สกฎภณฺฑมฺปิ ยุตฺตโคเณปิ นาวาภารํ กโรนฺติฯ นาวา ติริยํ โสตํ ฉินฺทิตฺวา โสตฺถินา สุปฎฺฎนํ คจฺฉติ, เอวเมวํ กิญฺจาปิ สมาปตฺติํ นิสฺสาย วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปติ, วิปสฺสนา ปน ถามชาตา สมาปตฺติมฺปิ รกฺขติ, ถามชาตํ กโรติฯ ถลํ ปตฺวา สกฎํ วิย หิ สมาปตฺติฯ อุทกํ ปตฺวา นาวา วิย วิปสฺสนาฯ อิติ โพธิสตฺตสฺส เอตฺตาวตา สมาปตฺติํ นิสฺสาย วิปสฺสนาปฎฺฐปนกาโล กถิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Yathā hi thale nāvampi nāvāya bhaṇḍampi sakaṭabhāraṃ karonti. Udakaṃ patvā pana sakaṭampi sakaṭabhaṇḍampi yuttagoṇepi nāvābhāraṃ karonti. Nāvā tiriyaṃ sotaṃ chinditvā sotthinā supaṭṭanaṃ gacchati, evamevaṃ kiñcāpi samāpattiṃ nissāya vipassanaṃ paṭṭhapeti, vipassanā pana thāmajātā samāpattimpi rakkhati, thāmajātaṃ karoti. Thalaṃ patvā sakaṭaṃ viya hi samāpatti. Udakaṃ patvā nāvā viya vipassanā. Iti bodhisattassa ettāvatā samāpattiṃ nissāya vipassanāpaṭṭhapanakālo kathitoti veditabbo.
ยญฺญเทวาติอาทิ กณฺหปเกฺข วุตฺตานุสาเรเนว เวทิตพฺพํ, อิธาปิ อตฺถทีปิกํ อุปมํ ทเสฺสตุํ เสยฺยถาปีติอาทิมาหฯ ตตฺถ คามนฺตสมฺภเตสูติ คามนฺตํ อาหเฎสุฯ สติกรณียเมว โหตีติ เอตา คาโวติ สติอุปฺปาทนมตฺตเมว กาตพฺพํ โหติฯ อิโต จิโต จ คนฺตฺวา อาโกฎนาทิกิจฺจํ นตฺถิฯ เอเต ธมฺมาติ เอเต สมถวิปสฺสนา ธมฺมาติ สตุปฺปาทนมตฺตเมว กาตพฺพํ โหติฯ อิมินา โพธิสตฺตสฺส สมถวิปสฺสนานํ ถามชาตกาโล กถิโตฯ ตทา กิรสฺส สมาปตฺติํ อปฺปนตฺถาย นิสินฺนสฺส อฎฺฐ สมาปตฺติโย เอกาวชฺชเนน อาปาถํ อาคจฺฉนฺติ, วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา นิสิโนฺน สตฺต อนุปสฺสนา เอกปฺปหาเรเนว อารุโฬฺห โหติฯ
Yaññadevātiādi kaṇhapakkhe vuttānusāreneva veditabbaṃ, idhāpi atthadīpikaṃ upamaṃ dassetuṃ seyyathāpītiādimāha. Tattha gāmantasambhatesūti gāmantaṃ āhaṭesu. Satikaraṇīyameva hotīti etā gāvoti satiuppādanamattameva kātabbaṃ hoti. Ito cito ca gantvā ākoṭanādikiccaṃ natthi. Ete dhammāti ete samathavipassanā dhammāti satuppādanamattameva kātabbaṃ hoti. Iminā bodhisattassa samathavipassanānaṃ thāmajātakālo kathito. Tadā kirassa samāpattiṃ appanatthāya nisinnassa aṭṭha samāpattiyo ekāvajjanena āpāthaṃ āgacchanti, vipassanaṃ paṭṭhapetvā nisinno satta anupassanā ekappahāreneva āruḷho hoti.
๒๑๕. เสยฺยถาปีติ อิธ กิํ ทเสฺสติ? อยํ ปาฎิเยโกฺก อนุสนฺธิ, สตฺตานญฺหิ หิตูปจารํ อตฺตโน สตฺถุภาวสมฺปทญฺจ ทเสฺสโนฺต ภควา อิมํ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ อรเญฺญติ อฎวิยํฯ ปวเนติ วนสเณฺฑฯ อตฺถโต หิ อิทํ ทฺวยํ เอกเมว, ปฐมสฺส ปน ทุติยํ เววจนํฯ อโยคเกฺขมกาโมติ จตูหิ โยเคหิ เขมํ นิพฺภยฎฺฐานํ อนิจฺฉโนฺต ภยเมว อิจฺฉโนฺต ฯ โสวตฺถิโกติ สุวตฺถิภาวาวโหฯ ปีติคมนีโยติ ตุฎฺฐิํ คมนีโยฯ ‘‘ปีตคมนีโย’’ติ วา ปาโฐฯ ปิทเหยฺยาติ สาขาทีหิ ถเกยฺยฯ วิวเรยฺยาติ วิสทมุขํ กตฺวา วิวฎํ กเรยฺยฯ กุมฺมคฺคนฺติ อุทกวนปพฺพตาทีหิ สนฺนิรุทฺธํ อมคฺคํฯ โอทเหยฺย โอกจรนฺติ เตสํ โอเก จรมานํ วิย เอกํ ทีปกมิคํ เอกสฺมิํ ฐาเน ฐเปยฺยฯ โอกจาริกนฺติ ทีฆรชฺชุยา พนฺธิตํเยว มิคิํฯ
215.Seyyathāpīti idha kiṃ dasseti? Ayaṃ pāṭiyekko anusandhi, sattānañhi hitūpacāraṃ attano satthubhāvasampadañca dassento bhagavā imaṃ desanaṃ ārabhi. Tattha araññeti aṭaviyaṃ. Pavaneti vanasaṇḍe. Atthato hi idaṃ dvayaṃ ekameva, paṭhamassa pana dutiyaṃ vevacanaṃ. Ayogakkhemakāmoti catūhi yogehi khemaṃ nibbhayaṭṭhānaṃ anicchanto bhayameva icchanto . Sovatthikoti suvatthibhāvāvaho. Pītigamanīyoti tuṭṭhiṃ gamanīyo. ‘‘Pītagamanīyo’’ti vā pāṭho. Pidaheyyāti sākhādīhi thakeyya. Vivareyyāti visadamukhaṃ katvā vivaṭaṃ kareyya. Kummagganti udakavanapabbatādīhi sanniruddhaṃ amaggaṃ. Odaheyya okacaranti tesaṃ oke caramānaṃ viya ekaṃ dīpakamigaṃ ekasmiṃ ṭhāne ṭhapeyya. Okacārikanti dīgharajjuyā bandhitaṃyeva migiṃ.
มิคลุทฺทโก หิ อรญฺญํ มิคานํ วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ‘‘อิธ วสนฺติ, อิมินา มเคฺคน นิกฺขมนฺติ, เอตฺถ จรนฺติ, เอตฺถ ปิวนฺติ, อิมินา มเคฺคน ปวิสนฺตี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา มคฺคํ ปิธาย กุมฺมคฺคํ วิวริตฺวา โอกจรญฺจ โอกจาริกญฺจ ฐเปตฺวา สยํ ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน สตฺติํ คเหตฺวา ติฎฺฐติฯ อถ สายนฺหสมเย มิคา อกุโตภเย อรเญฺญ จริตฺวา ปานียํ ปิวิตฺวา มิคโปตเกหิ สทฺธิํ กีฬมานา วสนฎฺฐานสนฺติกํ อาคนฺตฺวา โอกจรญฺจ โอกจาริกญฺจ ทิสฺวา ‘‘สหายกา โน อาคตา ภวิสฺสนฺตี’’ติ นิราสงฺกา ปวิสนฺติ, เต มคฺคํ ปิหิตํ ทิสฺวา ‘‘นายํ มโคฺค, อยํ มโคฺค ภวิสฺสตี’’ติ กุมฺมคฺคํ ปฎิปชฺชนฺติฯ มิคลุทฺทโก น ตาว กิญฺจิ กโรติ, ปวิเฎฺฐสุ ปน สพฺพปจฺฉิมํ สณิกํ ปหรติฯ โส อุตฺตสติ, ตโต สเพฺพ อุตฺตสิตฺวา ‘‘ภยํ อุปฺปนฺน’’นฺติ ปุรโต โอโลเกนฺตา อุทเกน วา วเนน วา ปพฺพเตน วา สนฺนิรุทฺธํ มคฺคํ ทิสฺวา อุโภหิ ปเสฺสหิ องฺคุลิสงฺขลิกํ วิย คหนวนํ ปวิสิตุํ อสโกฺกนฺตา ปวิฎฺฐมเคฺคเนว นิกฺขมิตุํ อารภนฺติฯ ลุทฺทโก เตสํ นิวตฺตนภาวํ ญตฺวา อาทิโต ปฎฺฐาย ติํสมฺปิ จตฺตาลีสมฺปิ มิเค ฆาเตติฯ อิทํ สนฺธาย เอวญฺหิ โส, ภิกฺขเว, มหามิคสโงฺฆ อปเรน สมเยน อนยพฺยสนํ อาปเชฺชยฺยาติ วุตฺตํฯ
Migaluddako hi araññaṃ migānaṃ vasanaṭṭhānaṃ gantvā ‘‘idha vasanti, iminā maggena nikkhamanti, ettha caranti, ettha pivanti, iminā maggena pavisantī’’ti sallakkhetvā maggaṃ pidhāya kummaggaṃ vivaritvā okacarañca okacārikañca ṭhapetvā sayaṃ paṭicchannaṭṭhāne sattiṃ gahetvā tiṭṭhati. Atha sāyanhasamaye migā akutobhaye araññe caritvā pānīyaṃ pivitvā migapotakehi saddhiṃ kīḷamānā vasanaṭṭhānasantikaṃ āgantvā okacarañca okacārikañca disvā ‘‘sahāyakā no āgatā bhavissantī’’ti nirāsaṅkā pavisanti, te maggaṃ pihitaṃ disvā ‘‘nāyaṃ maggo, ayaṃ maggo bhavissatī’’ti kummaggaṃ paṭipajjanti. Migaluddako na tāva kiñci karoti, paviṭṭhesu pana sabbapacchimaṃ saṇikaṃ paharati. So uttasati, tato sabbe uttasitvā ‘‘bhayaṃ uppanna’’nti purato olokentā udakena vā vanena vā pabbatena vā sanniruddhaṃ maggaṃ disvā ubhohi passehi aṅgulisaṅkhalikaṃ viya gahanavanaṃ pavisituṃ asakkontā paviṭṭhamaggeneva nikkhamituṃ ārabhanti. Luddako tesaṃ nivattanabhāvaṃ ñatvā ādito paṭṭhāya tiṃsampi cattālīsampi mige ghāteti. Idaṃ sandhāya evañhi so, bhikkhave, mahāmigasaṅgho aparena samayena anayabyasanaṃ āpajjeyyāti vuttaṃ.
‘‘นนฺทีราคเสฺสตํ อธิวจนํ, อวิชฺชาเยตํ อธิวจน’’นฺติ เอตฺถ ยสฺมา อิเม สตฺตา อวิชฺชาย อญฺญาณา หุตฺวา นนฺทีราเคน อาพนฺธิตฺวา รูปารมฺมณาทีนิ อุปนีตา วฎฺฎทุกฺขสตฺติยา ฆาตํ ลภนฺติฯ ตสฺมา ภควา โอกจรํ นนฺทีราโคติ, โอกจาริกํ อวิชฺชาติ กตฺวา ทเสฺสสิฯ
‘‘Nandīrāgassetaṃ adhivacanaṃ, avijjāyetaṃ adhivacana’’nti ettha yasmā ime sattā avijjāya aññāṇā hutvā nandīrāgena ābandhitvā rūpārammaṇādīni upanītā vaṭṭadukkhasattiyā ghātaṃ labhanti. Tasmā bhagavā okacaraṃ nandīrāgoti, okacārikaṃ avijjāti katvā dassesi.
มิคลุทฺทโก หิ เอกทาปิ เตสํ สาขาภเงฺคน สรีรํ ปุญฺฉิตฺวา มนุสฺสคนฺธํ อปเนตฺวา โอกจรํ เอกสฺมิํ ฐาเน ฐเปตฺวา โอกจาริกํ สห รชฺชุยา วิสฺสเชฺชตฺวา อตฺตานํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา สตฺติํ อาทาย โอกจรสฺส สนฺติเก ติฎฺฐติ, โอกจาริกา มิคคณสฺส จรณฎฺฐานาภิมุขี คจฺฉติ ฯ ตํ ทิสฺวา มิคา สีสานิ อุกฺขิปิตฺวา ติฎฺฐนฺติ, สาปิ สีสํ อุกฺขิปิตฺวา ติฎฺฐติ, เต ‘‘อมฺหากํ สมชาติกา อย’’นฺติ โคจรํ คณฺหนฺติฯ สาปิ ติณานิ ขาทนฺตี วิย สณิกํ อุปคจฺฉติฯ อารญฺญิโก ยูถปติมิโค ตสฺสา วาตํ ลภิตฺวา สกภริยํ วิสฺสเชฺชตฺวา ตทภิมุโข โหติฯ
Migaluddako hi ekadāpi tesaṃ sākhābhaṅgena sarīraṃ puñchitvā manussagandhaṃ apanetvā okacaraṃ ekasmiṃ ṭhāne ṭhapetvā okacārikaṃ saha rajjuyā vissajjetvā attānaṃ paṭicchādetvā sattiṃ ādāya okacarassa santike tiṭṭhati, okacārikā migagaṇassa caraṇaṭṭhānābhimukhī gacchati . Taṃ disvā migā sīsāni ukkhipitvā tiṭṭhanti, sāpi sīsaṃ ukkhipitvā tiṭṭhati, te ‘‘amhākaṃ samajātikā aya’’nti gocaraṃ gaṇhanti. Sāpi tiṇāni khādantī viya saṇikaṃ upagacchati. Āraññiko yūthapatimigo tassā vātaṃ labhitvā sakabhariyaṃ vissajjetvā tadabhimukho hoti.
สตฺตานญฺหิ นวนวเมว ปิยํ โหติฯ โอกจาริกา อารญฺญิกสฺส มิคสฺส อจฺจาสนฺนภาวํ อทตฺวา ตทภิมุขีว ปจฺฉโต ปฎิกฺกมิตฺวา โอกจรสฺส สนฺติกํ คจฺฉติ, ยตฺถ ยตฺถสฺสา รชฺชุ ลคฺคติ, ตตฺถ ตตฺถ ขุเรน ปหริตฺวา โมเจติ, อารญฺญิโก มิโค โอกจรํ ทิสฺวา โอกจาริกาย สมฺมโตฺต หุตฺวา โอกจเร อุสูยํ กตฺวา ปิฎฺฐิํ นาเมตฺวา สีสํ กเมฺปโนฺต ติฎฺฐติ, ตสฺมิํ ขเณ สตฺติํ ชิวฺหาย เลหโนฺตปิ ‘‘กิํ เอต’’นฺติ น ชานาติ, โอกจโรปิ สจสฺส อุปริภาเคน ตํ มิคํ ปหริตุํ สุขํ โหติ, ปิฎฺฐิํ นาเมติฯ สจสฺส เหฎฺฐาภาเคน ปหริตุํ สุขํ โหติ, หทยํ อุนฺนาเมติฯ อถ ลุทฺทโก อารญฺญิกํ มิคํ สตฺติยา ปหริตฺวา ตเตฺถว ฆาเตตฺวา มํสํ อาทาย คจฺฉติฯ เอวเมว ยถา โส มิโค โอกจาริกาย สมฺมโตฺต โอกจเร อุสูยํ กตฺวา สตฺติํ ชิวฺหาย เลหโนฺตปิ กิญฺจิ น ชานาติ, ตถา อิเม สตฺตา อวิชฺชาย สมฺมตฺตา อนฺธภูตา กิญฺจิ อชานนฺตา รูปาทีสุ นนฺทีราคํ อุปคมฺม วฎฺฎทุกฺขสตฺติยา วธํ ลภนฺตีติ ภควา โอกจรํ นนฺทีราโคติ, โอกจาริกํ อวิชฺชาติ กตฺวา ทเสฺสสิฯ
Sattānañhi navanavameva piyaṃ hoti. Okacārikā āraññikassa migassa accāsannabhāvaṃ adatvā tadabhimukhīva pacchato paṭikkamitvā okacarassa santikaṃ gacchati, yattha yatthassā rajju laggati, tattha tattha khurena paharitvā moceti, āraññiko migo okacaraṃ disvā okacārikāya sammatto hutvā okacare usūyaṃ katvā piṭṭhiṃ nāmetvā sīsaṃ kampento tiṭṭhati, tasmiṃ khaṇe sattiṃ jivhāya lehantopi ‘‘kiṃ eta’’nti na jānāti, okacaropi sacassa uparibhāgena taṃ migaṃ paharituṃ sukhaṃ hoti, piṭṭhiṃ nāmeti. Sacassa heṭṭhābhāgena paharituṃ sukhaṃ hoti, hadayaṃ unnāmeti. Atha luddako āraññikaṃ migaṃ sattiyā paharitvā tattheva ghātetvā maṃsaṃ ādāya gacchati. Evameva yathā so migo okacārikāya sammatto okacare usūyaṃ katvā sattiṃ jivhāya lehantopi kiñci na jānāti, tathā ime sattā avijjāya sammattā andhabhūtā kiñci ajānantā rūpādīsu nandīrāgaṃ upagamma vaṭṭadukkhasattiyā vadhaṃ labhantīti bhagavā okacaraṃ nandīrāgoti, okacārikaṃ avijjāti katvā dassesi.
อิติ โข, ภิกฺขเว, วิวโฎ มยา เขโม มโคฺคติ อิติ โข, ภิกฺขเว, มยา อิเมสํ สตฺตานํ หิตจรเณน สมฺมาสโมฺพธิํ ปตฺวา อหํ พุโทฺธสฺมีติ ตุณฺหีภูเตน อนิสีทิตฺวา ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนโต ปฎฺฐาย ธมฺมํ เทเสเนฺตน วิวโฎ เขโม อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค, ปิหิโต กุมฺมโคฺค , อญฺญาตโกณฺฑญฺญาทีนํ ภพฺพปุคฺคลานํ อูหโต โอกจโร นนฺทีราโค เทฺวธา เฉตฺวา ปาติโต, นาสิตา โอกจาริกา อวิชฺชา สเพฺพน สพฺพํ สมุคฺฆาติตาติ อตฺตโน หิตูปจารํ ทเสฺสสิฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ
Iti kho, bhikkhave, vivaṭo mayā khemo maggoti iti kho, bhikkhave, mayā imesaṃ sattānaṃ hitacaraṇena sammāsambodhiṃ patvā ahaṃ buddhosmīti tuṇhībhūtena anisīditvā dhammacakkappavattanato paṭṭhāya dhammaṃ desentena vivaṭo khemo ariyo aṭṭhaṅgiko maggo, pihito kummaggo , aññātakoṇḍaññādīnaṃ bhabbapuggalānaṃ ūhato okacaro nandīrāgo dvedhā chetvā pātito, nāsitā okacārikā avijjā sabbena sabbaṃ samugghātitāti attano hitūpacāraṃ dassesi. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
เทฺวธาวิตกฺกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dvedhāvitakkasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๙. เทฺวธาวิตกฺกสุตฺตํ • 9. Dvedhāvitakkasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๙. เทฺวธาวิตกฺกสุตฺตวณฺณนา • 9. Dvedhāvitakkasuttavaṇṇanā