Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) |
๑๖. เอกธมฺมปาฬิ
16. Ekadhammapāḷi
(๑๖) ๑. เอกธมฺมปาฬิ-ปฐมวคฺควณฺณนา
(16) 1. Ekadhammapāḷi-paṭhamavaggavaṇṇanā
๒๙๖. เอกธมฺมปาฬิยํ เอกธโมฺมติ เอกสภาโวฯ เอกนฺตนิพฺพิทายาติ เอกเนฺตน วเฎฺฎ นิพฺพินฺทนตฺถาย อุกฺกณฺฐนตฺถายฯ วิราคายาติ วเฎฺฎ วิรชฺชนตฺถาย, ราคาทีนํ วา กิเลสานํ วิรชฺชนาย วิคมายฯ นิโรธายาติ ราคาทีนํ นิโรธาย อปฺปวตฺติกรณตฺถาย, วฎฺฎเสฺสว วา นิรุชฺฌนตฺถายฯ อุปสมายาติ กิเลสวูปสมนตฺถาย, อภิญฺญายาติ อนิจฺจาทิวเสน ลกฺขณตฺตยํ อาโรเปตฺวา อภิชานนตฺถายฯ สโมฺพธายาติ จตุนฺนํ สจฺจานํ พุชฺฌนตฺถาย, ‘‘โพธิ วุจฺจติ จตูสุ มเคฺคสุ ญาณ’’นฺติ (มหานิ. ๑๙๑; จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทโส ๑๒๑) เอวํ วุตฺตสฺส วา จตุมคฺคญาณสฺส ปฎิวิชฺฌนตฺถายฯ นิพฺพานายาติ อปฺปจฺจยนิพฺพานสฺส สจฺฉิกรณตฺถายฯ
296. Ekadhammapāḷiyaṃ ekadhammoti ekasabhāvo. Ekantanibbidāyāti ekantena vaṭṭe nibbindanatthāya ukkaṇṭhanatthāya. Virāgāyāti vaṭṭe virajjanatthāya, rāgādīnaṃ vā kilesānaṃ virajjanāya vigamāya. Nirodhāyāti rāgādīnaṃ nirodhāya appavattikaraṇatthāya, vaṭṭasseva vā nirujjhanatthāya. Upasamāyāti kilesavūpasamanatthāya, abhiññāyāti aniccādivasena lakkhaṇattayaṃ āropetvā abhijānanatthāya. Sambodhāyāti catunnaṃ saccānaṃ bujjhanatthāya, ‘‘bodhi vuccati catūsu maggesu ñāṇa’’nti (mahāni. 191; cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddeso 121) evaṃ vuttassa vā catumaggañāṇassa paṭivijjhanatthāya. Nibbānāyāti appaccayanibbānassa sacchikaraṇatthāya.
อิติ ภควา อิเมหิ สตฺตหิ ปเทหิ พุทฺธานุสฺสติกมฺมฎฺฐานสฺส วณฺณํ กเถสิฯ กสฺมา? มหาชนสฺส อุสฺสาหชนนตฺถํ วิสกณฺฎกวาณิโช วิย อตฺตโน ปณิยสฺสฯ วิสกณฺฎกวาณิโช นาม คุฬวาณิโช วุจฺจติฯ โส กิร คุฬผาณิตขณฺฑสกฺกราทีนิ สกเฎนาทาย ปจฺจนฺตคามํ คนฺตฺวา ‘‘วิสกณฺฎกํ คณฺหถ, วิสกณฺฎกํ คณฺหถา’’ติ อุโคฺฆเสสิฯ ตํ สุตฺวา คามิกา ‘‘วิสํ นาม กกฺขฬํ โฆรํฯ โย นํ ขาทติ, โส มรติฯ กณฺฎกมฺปิ วิชฺฌิตฺวา มาเรติ, อุโภเปเต กกฺขฬาฯ โก เอตฺถ อานิสํโส’’ติ เคหทฺวารานิ ถเกสุํ, ทารเก จ ปลาเปสุํฯ ตํ ทิสฺวา วาณิโช ‘อโวหารกุสลา อิเม คามิกา, หนฺท เน อุปาเยน คาหาเปมี’’ติ ‘‘อติมธุรํ คณฺหถ, อติสาทุํ คณฺหถ, คุฬํ ผาณิตํ สกฺกรํ สมคฺฆํ ลพฺภติ, กูฎมาสกกูฎกหาปณาทีหิ วาปิ ลพฺภตี’’ติ อุโคฺฆเสสิฯ ตํ สุตฺวา คามิกา ตุฎฺฐปหฎฺฐา วคฺควคฺคา คนฺตฺวา พหุมฺปิ มูลํ ทตฺวา อคฺคเหสุํฯ
Iti bhagavā imehi sattahi padehi buddhānussatikammaṭṭhānassa vaṇṇaṃ kathesi. Kasmā? Mahājanassa ussāhajananatthaṃ visakaṇṭakavāṇijo viya attano paṇiyassa. Visakaṇṭakavāṇijo nāma guḷavāṇijo vuccati. So kira guḷaphāṇitakhaṇḍasakkarādīni sakaṭenādāya paccantagāmaṃ gantvā ‘‘visakaṇṭakaṃ gaṇhatha, visakaṇṭakaṃ gaṇhathā’’ti ugghosesi. Taṃ sutvā gāmikā ‘‘visaṃ nāma kakkhaḷaṃ ghoraṃ. Yo naṃ khādati, so marati. Kaṇṭakampi vijjhitvā māreti, ubhopete kakkhaḷā. Ko ettha ānisaṃso’’ti gehadvārāni thakesuṃ, dārake ca palāpesuṃ. Taṃ disvā vāṇijo ‘avohārakusalā ime gāmikā, handa ne upāyena gāhāpemī’’ti ‘‘atimadhuraṃ gaṇhatha, atisāduṃ gaṇhatha, guḷaṃ phāṇitaṃ sakkaraṃ samagghaṃ labbhati, kūṭamāsakakūṭakahāpaṇādīhi vāpi labbhatī’’ti ugghosesi. Taṃ sutvā gāmikā tuṭṭhapahaṭṭhā vaggavaggā gantvā bahumpi mūlaṃ datvā aggahesuṃ.
ตตฺถ วิสกณฺฎกวาณิชสฺส ‘‘วิสกณฺฎกํ คณฺหถา’’ติ อุโคฺฆสนํ วิย ภควโต พุทฺธานุสฺสติกมฺมฎฺฐานกถนํ, วิสกณฺฎเก วณฺณํ กเถตฺวา ตสฺส คหณตฺถาย มหาชนสฺส อุสฺสาหกรณํ วิย อิเมหิ สตฺตหิ ปเทหิ พุทฺธานุสฺสติกมฺมฎฺฐานสฺส วณฺณภณเนน ตสฺส มหาชนสฺส อุสฺสาหกรณํฯ
Tattha visakaṇṭakavāṇijassa ‘‘visakaṇṭakaṃ gaṇhathā’’ti ugghosanaṃ viya bhagavato buddhānussatikammaṭṭhānakathanaṃ, visakaṇṭake vaṇṇaṃ kathetvā tassa gahaṇatthāya mahājanassa ussāhakaraṇaṃ viya imehi sattahi padehi buddhānussatikammaṭṭhānassa vaṇṇabhaṇanena tassa mahājanassa ussāhakaraṇaṃ.
กตโม เอกธโมฺมติ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาฯ พุทฺธานุสฺสตีติ พุทฺธํ อารพฺภ อุปฺปนฺนา อนุสฺสติ, พุทฺธคุณารมฺมณาย สติยา เอตํ อธิวจนํฯ ตํ ปเนตํ พุทฺธานุสฺสติกมฺมฎฺฐานํ ทุวิธํ โหติ จิตฺตสมฺปหํสนตฺถเญฺจว วิปสฺสนตฺถญฺจฯ กถํ? ยทา หิ อสุภารมฺมเณสุ อญฺญตรํ ภาเวนฺตสฺส ภิกฺขุโน จิตฺตุปฺปาโท อุปหญฺญติ อุกฺกณฺฐติ นิรสฺสาโท โหติ, วีถิํ นปฺปฎิปชฺชติ, กูฎโคโณ วิย อิโต จิโต จ วิธาวติฯ ตสฺมิํ ขเณ เอส มูลกมฺมฎฺฐานํ ปหาย ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินา นเยน ตถาคตสฺส โลกิยโลกุตฺตรคุเณ อนุสฺสรติฯ ตเสฺสวํ พุทฺธํ อนุสฺสรนฺตสฺส จิตฺตุปฺปาโท ปสีทติ, วินีวรโณ โหติ ฯ โส ตํ จิตฺตํ เอวํ ทเมตฺวา ปุน มูลกมฺมฎฺฐานํเยว มนสิ กโรติฯ กถํ? ยถา นาม พลวา ปุริโส กูฎาคารกณฺณิกตฺถาย มหารุกฺขํ ฉินฺทโนฺต สาขาปลาสเจฺฉทนมเตฺตเนว ผรสุธาราย วิปนฺนาย มหารุกฺขํ ฉินฺทิตุํ อสโกฺกโนฺตปิ ธุรนิเกฺขปํ อกตฺวาว กมฺมารสาลํ คนฺตฺวา ติขิณํ ผรสุํ การาเปตฺวา ปุน ตํ ฉิเนฺทยฺยฯ เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ โส เอวํ พุทฺธานุสฺสติวเสน จิตฺตํ ปริทเมตฺวา ปุน มูลกมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺต อสุภารมฺมณํ ปฐมชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ฌานงฺคานิ สมฺมสิตฺวา อริยภูมิํ โอกฺกมติฯ เอวํ ตาว จิตฺตสมฺปหํสนตฺถํ โหติฯ
Katamo ekadhammoti kathetukamyatāpucchā. Buddhānussatīti buddhaṃ ārabbha uppannā anussati, buddhaguṇārammaṇāya satiyā etaṃ adhivacanaṃ. Taṃ panetaṃ buddhānussatikammaṭṭhānaṃ duvidhaṃ hoti cittasampahaṃsanatthañceva vipassanatthañca. Kathaṃ? Yadā hi asubhārammaṇesu aññataraṃ bhāventassa bhikkhuno cittuppādo upahaññati ukkaṇṭhati nirassādo hoti, vīthiṃ nappaṭipajjati, kūṭagoṇo viya ito cito ca vidhāvati. Tasmiṃ khaṇe esa mūlakammaṭṭhānaṃ pahāya ‘‘itipi so bhagavā’’tiādinā nayena tathāgatassa lokiyalokuttaraguṇe anussarati. Tassevaṃ buddhaṃ anussarantassa cittuppādo pasīdati, vinīvaraṇo hoti . So taṃ cittaṃ evaṃ dametvā puna mūlakammaṭṭhānaṃyeva manasi karoti. Kathaṃ? Yathā nāma balavā puriso kūṭāgārakaṇṇikatthāya mahārukkhaṃ chindanto sākhāpalāsacchedanamatteneva pharasudhārāya vipannāya mahārukkhaṃ chindituṃ asakkontopi dhuranikkhepaṃ akatvāva kammārasālaṃ gantvā tikhiṇaṃ pharasuṃ kārāpetvā puna taṃ chindeyya. Evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ. So evaṃ buddhānussativasena cittaṃ paridametvā puna mūlakammaṭṭhānaṃ manasikaronto asubhārammaṇaṃ paṭhamajjhānaṃ nibbattetvā jhānaṅgāni sammasitvā ariyabhūmiṃ okkamati. Evaṃ tāva cittasampahaṃsanatthaṃ hoti.
ยทา ปเนส พุทฺธานุสฺสติํ อนุสฺสริตฺวา ‘‘โก อยํ อิติปิ โส ภควาติอาทินา นเยน อนุสฺสริ, อิตฺถิ นุ โข ปุริโส นุ โข เทวมนุสฺสมารพฺรหฺมานํ อญฺญตโร นุ โข’’ติ ปริคฺคณฺหโนฺต ‘‘น อโญฺญ โกจิ, สติสมฺปยุตฺตํ ปน จิตฺตเมว อนุสฺสรี’’ติ ทิสฺวา ‘‘ตํ โข ปเนตํ จิตฺตํ ขนฺธโต วิญฺญาณกฺขโนฺธ โหติ, เตน สมฺปยุตฺตา เวทนา เวทนากฺขโนฺธ, เตน สมฺปยุตฺตา สญฺญา สญฺญากฺขโนฺธ, สหชาตา ผสฺสาทโย สงฺขารกฺขโนฺธติ อิเม จตฺตาโร อรูปกฺขนฺธา โหนฺตี’’ติ อรูปญฺจ ววตฺถเปตฺวา ตสฺส นิสฺสยํ ปริเยสโนฺต หทยวตฺถุํ ทิสฺวา ตสฺส นิสฺสยานิ จตฺตาริ มหาภูตานิ, ตานิ อุปาทาย ปวตฺตานิ เสสอุปาทารูปานิ จ ปริคฺคเหตฺวา ‘‘สพฺพเมฺปตํ รูปํ รูปกฺขโนฺธ’’ติ ววตฺถเปตฺวา ‘‘อิทญฺจ รูปํ ปุริมญฺจ อรูป’’นฺติ สเงฺขปโต รูปารูปํ, ปเภทโต ปญฺจกฺขเนฺธ ปุน ‘‘สเงฺขปโต ปญฺจเปเต ขนฺธา ทุกฺขสจฺจ’’นฺติ ทุกฺขสจฺจํ ววตฺถเปตฺวา ‘‘ตสฺส ปภาวิกา ตณฺหา สมุทยสจฺจํ, ตสฺสา นิโรโธ นิโรธสจฺจํ, นิโรธปชานนา ปฎิปทา มคฺคสจฺจ’’นฺติ เอวํ ปุพฺพภาเค จตฺตาริ จ สจฺจานิ ววตฺถเปตฺวา ปฎิปาฎิยา อริยภูมิํ โอกฺกมติฯ ตทาสฺส อิมํ กมฺมฎฺฐานํ วิปสฺสนตฺถํ นาม โหติฯ อยํ โขติอาทิ อปฺปนาวาโร วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
Yadā panesa buddhānussatiṃ anussaritvā ‘‘ko ayaṃ itipi so bhagavātiādinā nayena anussari, itthi nu kho puriso nu kho devamanussamārabrahmānaṃ aññataro nu kho’’ti pariggaṇhanto ‘‘na añño koci, satisampayuttaṃ pana cittameva anussarī’’ti disvā ‘‘taṃ kho panetaṃ cittaṃ khandhato viññāṇakkhandho hoti, tena sampayuttā vedanā vedanākkhandho, tena sampayuttā saññā saññākkhandho, sahajātā phassādayo saṅkhārakkhandhoti ime cattāro arūpakkhandhā hontī’’ti arūpañca vavatthapetvā tassa nissayaṃ pariyesanto hadayavatthuṃ disvā tassa nissayāni cattāri mahābhūtāni, tāni upādāya pavattāni sesaupādārūpāni ca pariggahetvā ‘‘sabbampetaṃ rūpaṃ rūpakkhandho’’ti vavatthapetvā ‘‘idañca rūpaṃ purimañca arūpa’’nti saṅkhepato rūpārūpaṃ, pabhedato pañcakkhandhe puna ‘‘saṅkhepato pañcapete khandhā dukkhasacca’’nti dukkhasaccaṃ vavatthapetvā ‘‘tassa pabhāvikā taṇhā samudayasaccaṃ, tassā nirodho nirodhasaccaṃ, nirodhapajānanā paṭipadā maggasacca’’nti evaṃ pubbabhāge cattāri ca saccāni vavatthapetvā paṭipāṭiyā ariyabhūmiṃ okkamati. Tadāssa imaṃ kammaṭṭhānaṃ vipassanatthaṃ nāma hoti. Ayaṃ khotiādi appanāvāro vuttanayeneva veditabbo.
๒๙๗. ธมฺมานุสฺสติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อยํ ปเนตฺถ วจนโตฺถ – ธมฺมํ อารพฺภ อุปฺปนฺนา อนุสฺสติ ธมฺมานุสฺสติ, สฺวากฺขาตตาทิธมฺมคุณารมฺมณาย สติยา เอตํ อธิวจนํฯ สงฺฆํ อารพฺภ อุปฺปนฺนา อนุสฺสติ สงฺฆานุสฺสติ, สุปฺปฎิปนฺนตาทิสงฺฆคุณารมฺมณาย สติยา เอตํ อธิวจนํฯ สีลํ อารพฺภ อุปฺปนฺนา อนุสฺสติ สีลานุสฺสติ, อขณฺฑตาทิสีลคุณารมฺมณาย สติยา เอตํ อธิวจนํฯ จาคํ อารพฺภ อุปฺปนฺนา อนุสฺสติ จาคานุสฺสติ, มุตฺตจาคตาทิจาคคุณารมฺมณาย สติยา เอตํ อธิวจนํฯ เทวตา อารพฺภ อุปฺปนฺนา อนุสฺสติ เทวตานุสฺสติ, เทวตา สกฺขิฎฺฐาเน ฐเปตฺวา อตฺตโน สทฺธาทิคุณารมฺมณาย สติยา เอตํ อธิวจนํฯ อานาปาเน อารพฺภ อุปฺปนฺนา สติ อานาปานสฺสติ, อสฺสาสปสฺสาสนิมิตฺตารมฺมณาย สติยา เอตํ อธิวจนํฯ มรณํ อารพฺภ อุปฺปนฺนา สติ มรณสฺสติ, ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทารมฺมณาย สติยา เอตํ อธิวจนํฯ เกสาทิเภทํ รูปกายํ คตา, กาเย วา คตาติ กายคตา, กายคตา จ สา สติ จาติ กายคตาสตีติ วตฺตเพฺพ รสฺสํ อกตฺวา กายคตาสตีติ วุตฺตาฯ เกสาทิกายโกฎฺฐาสนิมิตฺตารมฺมณาย สติยา เอตํ อธิวจนํฯ อุปสมํ อารพฺภ อุปฺปนฺนา อนุสฺสติ อุปสมานุสฺสติ, สพฺพทุกฺขูปสมารมฺมณาย สติยา เอตํ อธิวจนํฯ ทุวิโธ วา อุปสโม อจฺจนฺตูปสโม จ ขยูปสโม จฯ ตตฺถ อจฺจนฺตูปสโม นาม นิพฺพานํ, ขยูปสโม นาม มโคฺคฯ เอวเมตํ ทุวิธมฺปิ อุปสมํ อนุสฺสรนฺตสฺส อุปฺปนฺนา สติ อุปสมานุสฺสตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ อิติ อิเมสุ ทสสุ กมฺมฎฺฐาเนสุ อานาปานสฺสติ มรณสฺสติ กายคตาสตีติ อิมานิ ตีณิ วิปสฺสนตฺถาเนว โหนฺติ, เสสานิ สตฺต จิตฺตสมฺปหํสนตฺถานิปิ โหนฺตีติฯ
297.Dhammānussatiādīsupi eseva nayo. Ayaṃ panettha vacanattho – dhammaṃ ārabbha uppannā anussati dhammānussati, svākkhātatādidhammaguṇārammaṇāya satiyā etaṃ adhivacanaṃ. Saṅghaṃ ārabbha uppannā anussati saṅghānussati, suppaṭipannatādisaṅghaguṇārammaṇāya satiyā etaṃ adhivacanaṃ. Sīlaṃ ārabbha uppannā anussati sīlānussati, akhaṇḍatādisīlaguṇārammaṇāya satiyā etaṃ adhivacanaṃ. Cāgaṃ ārabbha uppannā anussati cāgānussati, muttacāgatādicāgaguṇārammaṇāya satiyā etaṃ adhivacanaṃ. Devatā ārabbha uppannā anussati devatānussati, devatā sakkhiṭṭhāne ṭhapetvā attano saddhādiguṇārammaṇāya satiyā etaṃ adhivacanaṃ. Ānāpāne ārabbha uppannā sati ānāpānassati, assāsapassāsanimittārammaṇāya satiyā etaṃ adhivacanaṃ. Maraṇaṃ ārabbha uppannā sati maraṇassati, jīvitindriyupacchedārammaṇāya satiyā etaṃ adhivacanaṃ. Kesādibhedaṃ rūpakāyaṃ gatā, kāye vā gatāti kāyagatā, kāyagatā ca sā sati cāti kāyagatāsatīti vattabbe rassaṃ akatvā kāyagatāsatīti vuttā. Kesādikāyakoṭṭhāsanimittārammaṇāya satiyā etaṃ adhivacanaṃ. Upasamaṃ ārabbha uppannā anussati upasamānussati, sabbadukkhūpasamārammaṇāya satiyā etaṃ adhivacanaṃ. Duvidho vā upasamo accantūpasamo ca khayūpasamo ca. Tattha accantūpasamo nāma nibbānaṃ, khayūpasamo nāma maggo. Evametaṃ duvidhampi upasamaṃ anussarantassa uppannā sati upasamānussatīti ayamettha attho. Iti imesu dasasu kammaṭṭhānesu ānāpānassati maraṇassati kāyagatāsatīti imāni tīṇi vipassanatthāneva honti, sesāni satta cittasampahaṃsanatthānipi hontīti.
ปฐมวคฺควณฺณนาฯ
Paṭhamavaggavaṇṇanā.
๑๖. เอกธมฺมปาฬิ
16. Ekadhammapāḷi
(๑๖) ๒. เอกธมฺมปาฬิ-ทุติยวคฺควณฺณนา
(16) 2. Ekadhammapāḷi-dutiyavaggavaṇṇanā
๒๙๘. ทุติเย มิจฺฉาทิฎฺฐีติ ทฺวาสฎฺฐิวิธายปิ มิจฺฉาทิฎฺฐิยา เอตํ อธิวจนํฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิกสฺสาติ ตาย ทิฎฺฐิยา สมนฺนาคตสฺสฯ
298. Dutiye micchādiṭṭhīti dvāsaṭṭhividhāyapi micchādiṭṭhiyā etaṃ adhivacanaṃ. Micchādiṭṭhikassāti tāya diṭṭhiyā samannāgatassa.
๒๙๙. สมฺมาทิฎฺฐีติ ปญฺจวิธายปิ สมฺมาทิฎฺฐิยา เอตํ อธิวจนํฯ สมฺมาทิฎฺฐิกสฺสาติ ตาย ทิฎฺฐิยา สมนฺนาคตสฺสฯ
299.Sammādiṭṭhīti pañcavidhāyapi sammādiṭṭhiyā etaṃ adhivacanaṃ. Sammādiṭṭhikassāti tāya diṭṭhiyā samannāgatassa.
๓๐๒. อโยนิโส มนสิกาโรติ อนุปายมนสิกาโรฯ
302.Ayoniso manasikāroti anupāyamanasikāro.
๓๐๓. โยนิโส มนสิกาโรติ อุปายมนสิกาโรฯ ตตฺถ อโยนิโส มนสิกโรโต ปุเพฺพ อนุปฺปนฺนา มิจฺฉาทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชติ, อุปฺปนฺนา ปน ยาว นิยาโมกฺกมนา ปวฑฺฒติฯ นิยาเม โอกฺกเนฺต วฑฺฒิตา นาม โหติฯ โยนิโส มนสิกโรโต ปุเพฺพ อนุปฺปนฺนา สมฺมาทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชติ, อุปฺปนฺนา ปน ยาว อรหตฺตมคฺคา ปวฑฺฒติฯ อรหตฺตผเล ปเตฺต วฑฺฒิตา นาม โหติฯ
303.Yonisomanasikāroti upāyamanasikāro. Tattha ayoniso manasikaroto pubbe anuppannā micchādiṭṭhi uppajjati, uppannā pana yāva niyāmokkamanā pavaḍḍhati. Niyāme okkante vaḍḍhitā nāma hoti. Yoniso manasikaroto pubbe anuppannā sammādiṭṭhi uppajjati, uppannā pana yāva arahattamaggā pavaḍḍhati. Arahattaphale patte vaḍḍhitā nāma hoti.
๓๐๔. มิจฺฉาทิฎฺฐิยา, ภิกฺขเว, สมนฺนาคตา สตฺตาติ เอตฺถ เอกจฺจา มิจฺฉาทิฎฺฐิ สคฺคาวรณา เจว โหติ มคฺคาวรณา จ, เอกจฺจา มคฺคาวรณาว, น สคฺคาวรณา, เอกจฺจา เนว สคฺคาวรณา น มคฺคาวรณาฯ ตตฺถ อเหตุกทิฎฺฐิ, อกิริยทิฎฺฐิ, นตฺถิกทิฎฺฐีติ อยํ ติวิธา สคฺคาวรณา เจว โหติ มคฺคาวรณา จฯ ทสวตฺถุกา อนฺตคฺคาหิกา มิจฺฉาทิฎฺฐิ มคฺคาวรณาว โหติ น สคฺคาวรณาฯ วีสติวตฺถุกา สกฺกายทิฎฺฐิ เนว สคฺคาวรณา น มคฺคาวรณาฯ อิทํ ปน วิธานํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อิมสฺมิํ สุเตฺต ‘‘มิจฺฉาทิฎฺฐิยา, ภิกฺขเว, สมนฺนาคตา’’ติ วจนโต อนฺตมโส วีสติวตฺถุกํ สกฺกายทิฎฺฐิํ อุปาทาย ทิฎฺฐิ นาม สคฺคํ อุปเนตุํ สมตฺถา นาม นตฺถิ, เอกนฺตํ นิรยสฺมิํเยว นิมุชฺชาเปตีติ วุตฺตํฯ ยถา หิ มุคฺคมาสปฺปมาณาปิ ปาสาณสกฺขรา อุทเก ปกฺขิตฺตา อุปฺปิลวมานา นาม นตฺถิ, เอกนฺตํ เหฎฺฐาว ปวิสติ, เอวเมวํ อนฺตมโส สกฺกายทิฎฺฐิปิ สคฺคํ อุปเนตุํ สมตฺถา นาม นตฺถิ, เอกนฺตํ อปาเยสุเยว นิมุชฺชาเปตีติฯ
304.Micchādiṭṭhiyā, bhikkhave, samannāgatā sattāti ettha ekaccā micchādiṭṭhi saggāvaraṇā ceva hoti maggāvaraṇā ca, ekaccā maggāvaraṇāva, na saggāvaraṇā, ekaccā neva saggāvaraṇā na maggāvaraṇā. Tattha ahetukadiṭṭhi, akiriyadiṭṭhi, natthikadiṭṭhīti ayaṃ tividhā saggāvaraṇā ceva hoti maggāvaraṇā ca. Dasavatthukā antaggāhikā micchādiṭṭhi maggāvaraṇāva hoti na saggāvaraṇā. Vīsativatthukā sakkāyadiṭṭhi neva saggāvaraṇā na maggāvaraṇā. Idaṃ pana vidhānaṃ paṭikkhipitvā imasmiṃ sutte ‘‘micchādiṭṭhiyā, bhikkhave, samannāgatā’’ti vacanato antamaso vīsativatthukaṃ sakkāyadiṭṭhiṃ upādāya diṭṭhi nāma saggaṃ upanetuṃ samatthā nāma natthi, ekantaṃ nirayasmiṃyeva nimujjāpetīti vuttaṃ. Yathā hi muggamāsappamāṇāpi pāsāṇasakkharā udake pakkhittā uppilavamānā nāma natthi, ekantaṃ heṭṭhāva pavisati, evamevaṃ antamaso sakkāyadiṭṭhipi saggaṃ upanetuṃ samatthā nāma natthi, ekantaṃ apāyesuyeva nimujjāpetīti.
๓๐๕. สมฺมาทิฎฺฐิยา สมนฺนาคตาติ เอตฺถ กมฺมสฺสกตสมฺมาทิฎฺฐิ, ฌานสมฺมาทิฎฺฐิ, วิปสฺสนาสมฺมาทิฎฺฐิ, มคฺคสมฺมาทิฎฺฐิ, ผลสมฺมาทิฎฺฐีติ ปญฺจวิธา สมฺมาทิฎฺฐิฯ ตตฺถ กมฺมสฺสกตสมฺมาทิฎฺฐิ สมฺปตฺติภวํ อากฑฺฒติ, ฌานสมฺมาทิฎฺฐิ รูปารูปภเว ปฎิสนฺธิํ เทติ, มคฺคสมฺมาทิฎฺฐิ วฎฺฎํ วิทฺธํเสติ, ผลสมฺมาทิฎฺฐิ ภวํ ปฎิพาหติฯ วิปสฺสนาสมฺมาทิฎฺฐิ กิํ กโรตีติ? สาปิ ปฎิสนฺธิํ นากฑฺฒติฯ ติปิฎกจูฬาภยเตฺถโร ปนาห ‘‘สเจ วิปสฺสนาสมฺมาทิฎฺฐิ ภาวิตา ทิเฎฺฐว ธเมฺม อรหตฺตํ ปาเปตุํ สโกฺกติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ สเจ น สโกฺกติ, สตฺต ภเว เทติ, อาวุโส’’ติฯ เอวมยํ โลกิยโลกุตฺตรา สมฺมาทิฎฺฐิ กถิตาฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ โลกิกา ภวนิปฺผาทิกาว เวทิตพฺพาฯ
305.Sammādiṭṭhiyā samannāgatāti ettha kammassakatasammādiṭṭhi, jhānasammādiṭṭhi, vipassanāsammādiṭṭhi, maggasammādiṭṭhi, phalasammādiṭṭhīti pañcavidhā sammādiṭṭhi. Tattha kammassakatasammādiṭṭhi sampattibhavaṃ ākaḍḍhati, jhānasammādiṭṭhi rūpārūpabhave paṭisandhiṃ deti, maggasammādiṭṭhi vaṭṭaṃ viddhaṃseti, phalasammādiṭṭhi bhavaṃ paṭibāhati. Vipassanāsammādiṭṭhi kiṃ karotīti? Sāpi paṭisandhiṃ nākaḍḍhati. Tipiṭakacūḷābhayatthero panāha ‘‘sace vipassanāsammādiṭṭhi bhāvitā diṭṭheva dhamme arahattaṃ pāpetuṃ sakkoti, iccetaṃ kusalaṃ. Sace na sakkoti, satta bhave deti, āvuso’’ti. Evamayaṃ lokiyalokuttarā sammādiṭṭhi kathitā. Imasmiṃ panatthe lokikā bhavanipphādikāva veditabbā.
๓๐๖. ยเญฺจว กายกมฺมํ ยถาทิฎฺฐิ สมตฺตํ สมาทินฺนนฺติ เอตฺถ ยถาทิฎฺฐีติ ยา ยา ทิฎฺฐิ, ตสฺสา ตสฺสา อนุรูปํฯ สมตฺตนฺติ ปริปุณฺณํฯ สมาทินฺนนฺติ คหิตํฯ ตเทตํ ยถาทิฎฺฐิยํ ฐิตกายกมฺมํ, ทิฎฺฐิสหชาตํ กายกมฺมํ, ทิฎฺฐานุโลมิกํ กายกมฺมนฺติ ติวิธํ โหติฯ ตตฺถ ‘‘ปาณํ หนโต อทินฺนํ อาทิยโต มิจฺฉาจารํ จรโต นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโม’’ติ ยํ เอวํลทฺธิกสฺส สโต ปาณาติปาต-อทินฺนาทาน-มิจฺฉาจารสงฺขาตํ กายกมฺมํ, อิทํ ยถาทิฎฺฐิยํ ฐิตกายกมฺมํ นามฯ ‘‘ปาณํ หนโต อทินฺนํ อาทิยโต มิจฺฉาจารํ จรโต นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาปํ, นตฺถิ ปาปสฺส อาคโม’’ติ อิมาย ปน ลทฺธิยา อิมินา ทสฺสเนน สหชาตํ กายกมฺมํ ทิฎฺฐิสหชาตํ กายกมฺมํ นามฯ ตเทว ปน สมตฺตํ สมาทินฺนํ คหิตํ ปรามฎฺฐํ ทิฎฺฐานุโลมิกํ กายกมฺมํ นามฯ วจีกมฺมาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ยถา ปเนตฺถ ‘‘ปาณํ หนโต อทินฺนํ อาทิยโต มิจฺฉาจารํ จรโต นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาป’’นฺติ โยชนา กตา, เอวํ วจีกมฺมมโนกเมฺมสุ ‘‘มุสา ภณโต, ปิสุณํ กเถนฺตสฺส, ผรุสํ กเถนฺตสฺส, สมฺผํ ปลปนฺตสฺส, อภิชฺฌาลุโน, พฺยาปนฺนจิตฺตสฺส, มิจฺฉาทิฎฺฐิกสฺส จ สโต นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาป’’นฺติ โยชนา กาตพฺพาฯ
306.Yañcevakāyakammaṃ yathādiṭṭhi samattaṃ samādinnanti ettha yathādiṭṭhīti yā yā diṭṭhi, tassā tassā anurūpaṃ. Samattanti paripuṇṇaṃ. Samādinnanti gahitaṃ. Tadetaṃ yathādiṭṭhiyaṃ ṭhitakāyakammaṃ, diṭṭhisahajātaṃ kāyakammaṃ, diṭṭhānulomikaṃ kāyakammanti tividhaṃ hoti. Tattha ‘‘pāṇaṃ hanato adinnaṃ ādiyato micchācāraṃ carato natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo’’ti yaṃ evaṃladdhikassa sato pāṇātipāta-adinnādāna-micchācārasaṅkhātaṃ kāyakammaṃ, idaṃ yathādiṭṭhiyaṃ ṭhitakāyakammaṃ nāma. ‘‘Pāṇaṃ hanato adinnaṃ ādiyato micchācāraṃ carato natthi tatonidānaṃ pāpaṃ, natthi pāpassa āgamo’’ti imāya pana laddhiyā iminā dassanena sahajātaṃ kāyakammaṃ diṭṭhisahajātaṃ kāyakammaṃ nāma. Tadeva pana samattaṃ samādinnaṃ gahitaṃ parāmaṭṭhaṃ diṭṭhānulomikaṃ kāyakammaṃ nāma. Vacīkammādīsupi eseva nayo. Yathā panettha ‘‘pāṇaṃ hanato adinnaṃ ādiyato micchācāraṃ carato natthi tatonidānaṃ pāpa’’nti yojanā katā, evaṃ vacīkammamanokammesu ‘‘musā bhaṇato, pisuṇaṃ kathentassa, pharusaṃ kathentassa, samphaṃ palapantassa, abhijjhāluno, byāpannacittassa, micchādiṭṭhikassa ca sato natthi tatonidānaṃ pāpa’’nti yojanā kātabbā.
ยา จ เจตนาติอาทีสุ ทิฎฺฐิสหชาตาว เจตนา เจตนา นาม, ทิฎฺฐิสหชาตาว ปตฺถนา ปตฺถนา นาม, เจตนาปตฺถนานํ วเสน จิตฺตฎฺฐปนา ปณิธิ นาม, เตหิ ปน เจตนาทีหิ สมฺปยุตฺตา ผสฺสาทโย สงฺขารา นามฯ ทิฎฺฐิ หิสฺส, ภิกฺขเว, ปาปิกาติ ยสฺมา ตสฺส ปุคฺคลสฺส ทิฎฺฐิ ปาปิกา ลามิกาฯ นิกฺขิตฺตนฺติ โรปิตํฯ อุปาทิยตีติ คณฺหาติฯ กฎุกตฺตายาติ อิทํ ปุริมเสฺสว เววจนํฯ
Yā ca cetanātiādīsu diṭṭhisahajātāva cetanā cetanā nāma, diṭṭhisahajātāva patthanā patthanā nāma, cetanāpatthanānaṃ vasena cittaṭṭhapanā paṇidhi nāma, tehi pana cetanādīhi sampayuttā phassādayo saṅkhārā nāma. Diṭṭhi hissa, bhikkhave, pāpikāti yasmā tassa puggalassa diṭṭhi pāpikā lāmikā. Nikkhittanti ropitaṃ. Upādiyatīti gaṇhāti. Kaṭukattāyāti idaṃ purimasseva vevacanaṃ.
‘‘วณฺณคนฺธรสูเปโต , อโมฺพยํ อหุวา ปุเร;
‘‘Vaṇṇagandharasūpeto , amboyaṃ ahuvā pure;
ตเมว ปูชํ ลภมาโน, เกนโมฺพ กฎุกปฺผโลฯ
Tameva pūjaṃ labhamāno, kenambo kaṭukapphalo.
‘‘ปุจิมนฺทปริวาโร, อโมฺพ เต ทธิวาหน;
‘‘Pucimandaparivāro, ambo te dadhivāhana;
มูลํ มูเลน สํสฎฺฐํ, สาขา สาขา นิเสวเร;
Mūlaṃ mūlena saṃsaṭṭhaṃ, sākhā sākhā nisevare;
อสาตสนฺนิวาเสน, เตนโมฺพ กฎุกปฺผโล’’ติฯ (ชา. ๑.๒.๗๑-๗๒) –
Asātasannivāsena, tenambo kaṭukapphalo’’ti. (jā. 1.2.71-72) –
อาคตฎฺฐาเน วิย หิ อิธาปิ กฎุกนฺติ ติตฺตกํ เวทิตพฺพํฯ อสาตตฺตายาติ อมธุรตฺตายฯ
Āgataṭṭhāne viya hi idhāpi kaṭukanti tittakaṃ veditabbaṃ. Asātattāyāti amadhurattāya.
อิมสฺมิ ปน พีชูปมสุเตฺต ‘‘ทิฎฺฐีติ นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิ คหิตา’’ติ โปราณกเตฺถรา อาหํสุฯ ตํ ปน ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘สพฺพานิปิ ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิคตานิ คหิตานี’’ติ วุตฺตํฯ อนนฺตรสุเตฺต ‘‘ปาณาติปาตา วิรมนฺตสฺส, อทินฺนาทานา วิรมนฺตสฺส, มิจฺฉาจารา วิรมนฺตสฺส นตฺถิ ตโตนิทานํ ปุญฺญ’’นฺติอาทินา นเยน ยถาทิฎฺฐิยํ ฐิตกายกมฺมาทีนิ โยเชตฺวา เวทิตพฺพานิฯ อิธ ปน สมฺมาทิฎฺฐิสหชาตา จิตฺตฎฺฐปนาว ปตฺถนาติ เวทิตพฺพาฯ สมฺมาทิฎฺฐิ ปเนตฺถ โลกิยโลกุตฺตรา กถิตาฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ
Imasmi pana bījūpamasutte ‘‘diṭṭhīti niyatamicchādiṭṭhi gahitā’’ti porāṇakattherā āhaṃsu. Taṃ pana paṭikkhipitvā ‘‘sabbānipi dvāsaṭṭhi diṭṭhigatāni gahitānī’’ti vuttaṃ. Anantarasutte ‘‘pāṇātipātā viramantassa, adinnādānā viramantassa, micchācārā viramantassa natthi tatonidānaṃ puñña’’ntiādinā nayena yathādiṭṭhiyaṃ ṭhitakāyakammādīni yojetvā veditabbāni. Idha pana sammādiṭṭhisahajātā cittaṭṭhapanāva patthanāti veditabbā. Sammādiṭṭhi panettha lokiyalokuttarā kathitā. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.
ทุติยวคฺควณฺณนาฯ
Dutiyavaggavaṇṇanā.
๑๖. เอกธมฺมปาฬิ
16. Ekadhammapāḷi
(๑๖) ๓. เอกธมฺมปาฬิ-ตติยวคฺควณฺณนา
(16) 3. Ekadhammapāḷi-tatiyavaggavaṇṇanā
๓๐๘. ตติยสฺส ปฐเม มิจฺฉาทิฎฺฐิโกติ อยาถาวทิฎฺฐิโกฯ วิปรีตทสฺสโนติ ตาเยว มิจฺฉาทิฎฺฐิยา วิปรีตทสฺสโนฯ สทฺธมฺมา วุฎฺฐาเปตฺวาติ ทสกุสลกมฺมปถธมฺมโต วุฎฺฐาเปตฺวาฯ อสทฺธเมฺม ปติฎฺฐาเปตีติ ทสอกุสลกมฺมปถสงฺขาเต อสทฺธเมฺม ปติฎฺฐาเปติฯ เอกปุคฺคโลติ เจตฺถ ฉหิ สตฺถาเรหิ สทฺธิํ เทวทโตฺต จ อเญฺญ จ เอวรูปา เวทิตพฺพาฯ
308. Tatiyassa paṭhame micchādiṭṭhikoti ayāthāvadiṭṭhiko. Viparītadassanoti tāyeva micchādiṭṭhiyā viparītadassano. Saddhammā vuṭṭhāpetvāti dasakusalakammapathadhammato vuṭṭhāpetvā. Asaddhammepatiṭṭhāpetīti dasaakusalakammapathasaṅkhāte asaddhamme patiṭṭhāpeti. Ekapuggaloti cettha chahi satthārehi saddhiṃ devadatto ca aññe ca evarūpā veditabbā.
๓๐๙. ทุติเย สมฺมาทิฎฺฐิโกติ ยาถาวทิฎฺฐิโกฯ อวิปรีตทสฺสโนติ ตาเยว สมฺมาทิฎฺฐิยา อวิปรีตทสฺสโนฯ อสทฺธมฺมาติ ทสอกุสลกมฺมปถโตฯ สทฺธเมฺมติ ทสกุสลกมฺมปถสงฺขาเต สทฺธเมฺมฯ เอกปุคฺคโลติ เจตฺถ อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ จกฺกวตฺตี ราชา สพฺพญฺญุโพธิสโตฺตติ เอวมาทโย ลพฺภนฺติ, อุปฺปเนฺน พุเทฺธ พุโทฺธ เจว พุทฺธสาวกา จฯ
309. Dutiye sammādiṭṭhikoti yāthāvadiṭṭhiko. Aviparītadassanoti tāyeva sammādiṭṭhiyā aviparītadassano. Asaddhammāti dasaakusalakammapathato. Saddhammeti dasakusalakammapathasaṅkhāte saddhamme. Ekapuggaloti cettha anuppanne buddhe cakkavattī rājā sabbaññubodhisattoti evamādayo labbhanti, uppanne buddhe buddho ceva buddhasāvakā ca.
๓๑๐. ตติเย มิจฺฉาทิฎฺฐิปรมานีติ มิจฺฉาทิฎฺฐิ ปรมา เอเตสนฺติ มิจฺฉาทิฎฺฐิปรมานิฯ ปญฺจ หิ อานนฺตริยกมฺมานิ มหาสาวชฺชานิ นาม, เตหิปิ มิจฺฉาทิฎฺฐิเยว มหาสาวชฺชตราติ อธิปฺปาโยฯ กสฺมา? เตสญฺหิ ปริเจฺฉโท อตฺถิฯ จตฺตาริ หิ อานนฺตริยกมฺมานิ นิรเย นิพฺพตฺตาเปนฺตีติ วุตฺตานิ ฯ สงฺฆเภทกมฺมมฺปิ นิรเย กปฺปฎฺฐิติกเมว โหติฯ เอวเมเตสํ ปริเจฺฉโท อตฺถิ, โกฎิ ปญฺญายติฯ นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิยา ปน ปริเจฺฉโท นตฺถิฯ สา หิ วฎฺฎสฺส มูลํ, ตาย สมนฺนาคตสฺส ภวโต วุฎฺฐานํ นตฺถิฯ เย ตสฺส โสตพฺพํ มญฺญนฺติ, เตปิ วิปฺปฎิปาเทติฯ ตาย จ สมนฺนาคตสฺส เนว สโคฺค อตฺถิ น มโคฺคฯ กปฺปวินาเส มหาชเน พฺรหฺมโลเก นิพฺพเตฺตปิ นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิโก ตตฺถ อนิพฺพตฺติตฺวา ปิฎฺฐิจกฺกวาเฬ นิพฺพตฺตติฯ กิํ ปน ปิฎฺฐิจกฺกวาฬํ น ฌายตีติ? ฌายติ, ตสฺมิํ ฌายมาเนปิ เอส อากาเส เอกสฺมิํ โอกาเส ปจฺจติเยวาติ วทนฺติฯ
310. Tatiye micchādiṭṭhiparamānīti micchādiṭṭhi paramā etesanti micchādiṭṭhiparamāni. Pañca hi ānantariyakammāni mahāsāvajjāni nāma, tehipi micchādiṭṭhiyeva mahāsāvajjatarāti adhippāyo. Kasmā? Tesañhi paricchedo atthi. Cattāri hi ānantariyakammāni niraye nibbattāpentīti vuttāni . Saṅghabhedakammampi niraye kappaṭṭhitikameva hoti. Evametesaṃ paricchedo atthi, koṭi paññāyati. Niyatamicchādiṭṭhiyā pana paricchedo natthi. Sā hi vaṭṭassa mūlaṃ, tāya samannāgatassa bhavato vuṭṭhānaṃ natthi. Ye tassa sotabbaṃ maññanti, tepi vippaṭipādeti. Tāya ca samannāgatassa neva saggo atthi na maggo. Kappavināse mahājane brahmaloke nibbattepi niyatamicchādiṭṭhiko tattha anibbattitvā piṭṭhicakkavāḷe nibbattati. Kiṃ pana piṭṭhicakkavāḷaṃ na jhāyatīti? Jhāyati, tasmiṃ jhāyamānepi esa ākāse ekasmiṃ okāse paccatiyevāti vadanti.
๓๑๑. จตุเตฺถ มกฺขลีติ ‘‘มา ขลี’’ติ วจนํ อุปาทาย เอวํลทฺธนาโม ติตฺถกโรฯ นทีมุเขติ ทฺวินฺนํ นทีนํ สมาคตฎฺฐาเนฯ เทสนามตฺตเมเวตํ, ทฺวินฺนํ กนฺทรานํ, ทฺวินฺนํ อุทกานํ, สมุทฺทสฺส จ, โลณิยา จ, สมุทฺทสฺส จ นทิยา จาติ เอเตสมฺปิ ยสฺส กสฺสจิ สมาคตฎฺฐานํ, อญฺญมฺปิ ตถารูปํ อุทกํฯ ขิปนฺติ กุมินํฯ อุเฑฺฑยฺยาติ โอเฑฺฑยฺยฯ มนุสฺสา หิ นเฬหิ วา อุจฺฉูหิ วา เวฬูหิ วา ปลาสนฺติสลากาย วา เอกํ เทฺว ตโย วา กุเมฺภ คณฺหนปฺปมาณกุมินํ กตฺวา มุขวฎฺฎิยา โยเตฺตน พนฺธิตฺวา นทีมุขํ เนตฺวา ทฺวีสุ ปเสฺสสุ ขาณุเก โกเฎฺฎตฺวา โยเตฺตหิ ตตฺถ พนฺธนฺติ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ตสฺมิญฺหิ ปวิฎฺฐสฺส ขุทฺทกสฺส มจฺฉสฺสาปิ โมโกฺข นตฺถิฯ อนยายาติ อวฑฺฒิยาฯ พฺยาสนายาติ วินาสายฯ มกฺขลิ โมฆปุริโสติ อยํ มกฺขลิ โคสาโล ตุจฺฉปุริโสฯ มนุสฺสขิปฺปํ มเญฺญ โลเก อุปฺปโนฺนติ มหาชนสฺส สคฺคโมกฺขคมนมเคฺค ตตฺถ คมนนิวารณตฺถํ มนุสฺสกุมินํ วิย โลเก อุปฺปโนฺนฯ
311. Catutthe makkhalīti ‘‘mā khalī’’ti vacanaṃ upādāya evaṃladdhanāmo titthakaro. Nadīmukheti dvinnaṃ nadīnaṃ samāgataṭṭhāne. Desanāmattamevetaṃ, dvinnaṃ kandarānaṃ, dvinnaṃ udakānaṃ, samuddassa ca, loṇiyā ca, samuddassa ca nadiyā cāti etesampi yassa kassaci samāgataṭṭhānaṃ, aññampi tathārūpaṃ udakaṃ. Khipanti kuminaṃ. Uḍḍeyyāti oḍḍeyya. Manussā hi naḷehi vā ucchūhi vā veḷūhi vā palāsantisalākāya vā ekaṃ dve tayo vā kumbhe gaṇhanappamāṇakuminaṃ katvā mukhavaṭṭiyā yottena bandhitvā nadīmukhaṃ netvā dvīsu passesu khāṇuke koṭṭetvā yottehi tattha bandhanti, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Tasmiñhi paviṭṭhassa khuddakassa macchassāpi mokkho natthi. Anayāyāti avaḍḍhiyā. Byāsanāyāti vināsāya. Makkhali moghapurisoti ayaṃ makkhali gosālo tucchapuriso. Manussakhippaṃ maññe loke uppannoti mahājanassa saggamokkhagamanamagge tattha gamananivāraṇatthaṃ manussakuminaṃ viya loke uppanno.
๓๑๒. ปญฺจมาทีสุ ทุรกฺขาเต, ภิกฺขเว, ธมฺมวินเยติ ทุรกฺขาตธมฺมวินโย นาม พาหิรกสาสนํฯ ตตฺถ หิ สตฺถาปิ อสพฺพญฺญู โหติ, ธโมฺมปิ ทุรกฺขาโต, คโณปิ ทุปฺปฎิปโนฺนฯ โย จ สมาทเปตีติ โย อาจริยปุคฺคโล สมาทเปติฯ ยญฺจ สมาทเปตีติ ยํ อเนฺตวาสิกํ สมาทเปติฯ โย จ สมาทปิโต ตถตฺตาย ปฎิปชฺชตีติ โย อเนฺตวาสิโก อาจริเยน สมาทปิโต ตสฺส วจนํ กโรโนฺต ตถาภาวาย ปฎิปชฺชติฯ พหุํ อปุญฺญํ ปสวนฺตีติ สมาทปโก หิ ปาณาติปาตาทีสุ ชงฺฆสตํ สมาทเปโนฺต เตสํ สเพฺพสมฺปิ อกุสเลน สมกเมว อกุสลํ ปาปุณาติฯ เตนาห – ‘‘สเพฺพ เต พหุํ อปุญฺญํ ปสวนฺตี’’ติฯ
312. Pañcamādīsu durakkhāte, bhikkhave, dhammavinayeti durakkhātadhammavinayo nāma bāhirakasāsanaṃ. Tattha hi satthāpi asabbaññū hoti, dhammopi durakkhāto, gaṇopi duppaṭipanno. Yo ca samādapetīti yo ācariyapuggalo samādapeti. Yañca samādapetīti yaṃ antevāsikaṃ samādapeti. Yo ca samādapito tathattāya paṭipajjatīti yo antevāsiko ācariyena samādapito tassa vacanaṃ karonto tathābhāvāya paṭipajjati. Bahuṃ apuññaṃ pasavantīti samādapako hi pāṇātipātādīsu jaṅghasataṃ samādapento tesaṃ sabbesampi akusalena samakameva akusalaṃ pāpuṇāti. Tenāha – ‘‘sabbe te bahuṃ apuññaṃ pasavantī’’ti.
๓๑๓. สฺวากฺขาเตติ สุฎฺฐุ อกฺขาเต สุเทสิเตฯ เอวรูเป หิ ธมฺมวินเย สตฺถา จ สพฺพญฺญู โหติ, ธโมฺม จ สฺวากฺขาโต, คโณ จ สุปฺปฎิปโนฺนฯ สเพฺพ เต พหุํ ปุญฺญํ ปสวนฺตีติ สมาทปโก หิ ภิกฺขู ปิณฺฑาย ปวิเฎฺฐ ทิสฺวา ยาคุภตฺตาทีนิ สมาทเปโนฺต สเพฺพสมฺปิ ทายกานํ กุสเลน สมกํ กุสลํ ปาปุณาติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘พหุํ ปุญฺญํ ปสวนฺตี’’ติฯ
313.Svākkhāteti suṭṭhu akkhāte sudesite. Evarūpe hi dhammavinaye satthā ca sabbaññū hoti, dhammo ca svākkhāto, gaṇo ca suppaṭipanno. Sabbe te bahuṃ puññaṃ pasavantīti samādapako hi bhikkhū piṇḍāya paviṭṭhe disvā yāgubhattādīni samādapento sabbesampi dāyakānaṃ kusalena samakaṃ kusalaṃ pāpuṇāti. Tena vuttaṃ – ‘‘bahuṃ puññaṃ pasavantī’’ti.
๓๑๔. ทายเกน มตฺตา ชานิตพฺพาติ ทายกปุคฺคเลน ปมาณํ ชานิตพฺพํ, ปมาเณน ทาตพฺพํ, ปูเรตฺวา อติเรกํ น ทาตพฺพํฯ น ทาตพฺพนฺติ หิ อวตฺวา ปมาณวเสน โถกํ ทาตพฺพนฺติ วุตฺตํฯ กสฺมา? ปูเรตฺวา อติเรเก ทิเนฺนปิ หิ อติเรกา มนุสฺสสมฺปตฺติ วา ทิพฺพสมฺปตฺติ วา นิพฺพานสมฺปตฺติ วา นตฺถิฯ โน ปฎิคฺคาหเกนาติ ปฎิคฺคาหกสฺส ปน มตฺตํ ชานิตฺวา ปฎิคฺคหณกิจฺจํ นาม นตฺถิฯ กสฺมา? ตสฺส หิ มตฺตํ ญตฺวา ปูเรตพฺพา มตฺตปฎิคฺคหณมูลิกา อปฺปิจฺฉปฎิปทา นาม นตฺถิฯ ยตฺตกํ ปน ลภติ, ตตฺตกํ คเหตพฺพํฯ อติเรกคฺคหณมูลํ หิสฺส ปุตฺตทารภรณํ ภวิสฺสติฯ
314.Dāyakena mattā jānitabbāti dāyakapuggalena pamāṇaṃ jānitabbaṃ, pamāṇena dātabbaṃ, pūretvā atirekaṃ na dātabbaṃ. Na dātabbanti hi avatvā pamāṇavasena thokaṃ dātabbanti vuttaṃ. Kasmā? Pūretvā atireke dinnepi hi atirekā manussasampatti vā dibbasampatti vā nibbānasampatti vā natthi. No paṭiggāhakenāti paṭiggāhakassa pana mattaṃ jānitvā paṭiggahaṇakiccaṃ nāma natthi. Kasmā? Tassa hi mattaṃ ñatvā pūretabbā mattapaṭiggahaṇamūlikā appicchapaṭipadā nāma natthi. Yattakaṃ pana labhati, tattakaṃ gahetabbaṃ. Atirekaggahaṇamūlaṃ hissa puttadārabharaṇaṃ bhavissati.
๓๑๕. ปฎิคฺคาหเกน มตฺตา ชานิตพฺพาติ ปฎิคฺคาหกปุคฺคเลน ปมาณํ ชานิตพฺพํฯ กถํ? เตน หิ ทายกสฺส วโส เวทิตโพฺพ, เทยฺยธมฺมสฺส วโส เวทิตโพฺพ, อตฺตโน ถาโม เวทิตโพฺพฯ ยทิ หิ เทยฺยธโมฺม พหุ โหติ, ทายโก อปฺปํ ทาตุกาโม, ทายกสฺส วเสน อปฺปํ คณฺหิตพฺพํฯ เทยฺยธโมฺม อโปฺป, ทายโก พหุํ ทาตุกาโม, เทยฺยธมฺมสฺส วเสน อปฺปํ คณฺหิตพฺพํฯ เทยฺยธโมฺมปิ พหุ, ทายโกปิ พหุํ ทาตุกาโม, อตฺตโน ถามํ ญตฺวา ปมาเณเนว คณฺหิตพฺพํฯ เอวํ มตฺตํ ญตฺวา ปฎิคฺคณฺหโนฺต หิ อปฺปิจฺฉปฎิปทํ ปูเรติฯ อนุปฺปนฺนสฺส ลาโภ อุปฺปชฺชติ, อุปฺปโนฺน ลาโภ ถาวโรว โหติฯ อปฺปสนฺนา ปสีทนฺติ, ปสนฺนาปิ ภิโยฺย ปสาทมาปชฺชนฺติ, มหาชนสฺส จกฺขุภูโต โหติ, สาสนํ จิรฎฺฐิติกํ กโรติฯ
315.Paṭiggāhakena mattā jānitabbāti paṭiggāhakapuggalena pamāṇaṃ jānitabbaṃ. Kathaṃ? Tena hi dāyakassa vaso veditabbo, deyyadhammassa vaso veditabbo, attano thāmo veditabbo. Yadi hi deyyadhammo bahu hoti, dāyako appaṃ dātukāmo, dāyakassa vasena appaṃ gaṇhitabbaṃ. Deyyadhammo appo, dāyako bahuṃ dātukāmo, deyyadhammassa vasena appaṃ gaṇhitabbaṃ. Deyyadhammopi bahu, dāyakopi bahuṃ dātukāmo, attano thāmaṃ ñatvā pamāṇeneva gaṇhitabbaṃ. Evaṃ mattaṃ ñatvā paṭiggaṇhanto hi appicchapaṭipadaṃ pūreti. Anuppannassa lābho uppajjati, uppanno lābho thāvarova hoti. Appasannā pasīdanti, pasannāpi bhiyyo pasādamāpajjanti, mahājanassa cakkhubhūto hoti, sāsanaṃ ciraṭṭhitikaṃ karoti.
ตตฺริมานิ วตฺถูนิ – โรหณชนปเท กิร กุฎิมฺพิยวิหาเร เอโก ทหโร ทุพฺภิกฺขสมเย ตสฺมิํ คาเม เอกสฺส กมฺมการสฺส เคเห ภุญฺชนตฺถาย กฎจฺฉุภตฺตํ คเหตฺวา คมนตฺถาย จ กฎจฺฉุภตฺตเมว ลภติฯ โส เอกทิวสํ ตสฺมิํ เคเห เอกํ อาคนฺตุกํ ทิสฺวา เอกเมว กฎจฺฉุภตฺตํ คณฺหิฯ อถสฺส ‘‘เกน การเณนา’’ติ วุเตฺต ตมตฺถํ วตฺวา โส กุลปุโตฺต ปสีทิตฺวา ‘‘อมฺหากํ กุลูปกภทโนฺต เอวรูโป นามา’’ติ ราชทฺวาเร มิตฺตามจฺจานํ กเถสิฯ เต สเพฺพปิ ตสฺส อปฺปิจฺฉคุเณ ปสนฺนา เอกทิวเสเนว สฎฺฐิ ธุรภตฺตานิ ฐเปสุํฯ เอวํ อปฺปิโจฺฉ อนุปฺปนฺนลาภํ อุปฺปาเทติฯ
Tatrimāni vatthūni – rohaṇajanapade kira kuṭimbiyavihāre eko daharo dubbhikkhasamaye tasmiṃ gāme ekassa kammakārassa gehe bhuñjanatthāya kaṭacchubhattaṃ gahetvā gamanatthāya ca kaṭacchubhattameva labhati. So ekadivasaṃ tasmiṃ gehe ekaṃ āgantukaṃ disvā ekameva kaṭacchubhattaṃ gaṇhi. Athassa ‘‘kena kāraṇenā’’ti vutte tamatthaṃ vatvā so kulaputto pasīditvā ‘‘amhākaṃ kulūpakabhadanto evarūpo nāmā’’ti rājadvāre mittāmaccānaṃ kathesi. Te sabbepi tassa appicchaguṇe pasannā ekadivaseneva saṭṭhi dhurabhattāni ṭhapesuṃ. Evaṃ appiccho anuppannalābhaṃ uppādeti.
สทฺธาติสฺสมหาราชาปิ จูฬุปฎฺฐากํ ติสฺสามจฺจํ วีมํสิตฺวา เตน เอกํ ติตฺติรํ ปจาเปตฺวา อาหราเปสิฯ อถ ปริโภคสมเย ‘‘อคฺคํ ทตฺวา ปริภุญฺชิสฺสามี’’ติ อฎฺฐกสาลปริเวเณ มหาเถรสฺส ภณฺฑคฺคาหสามเณรสฺส ติตฺติรมํสํ เทโนฺต ตสฺมิํ โถกํเยว ปฎิคฺคณฺหเนฺต ตสฺส อปฺปิจฺฉคุเณ ปสีทิตฺวา ‘‘ปสโนฺนสฺมิ, ตาต, อฎฺฐ เต ธุรภตฺตานิ เทมี’’ติ อาหฯ มหาราช, อุปชฺฌายสฺส เทมีติฯ อปรานิปิ อฎฺฐ เทมีติฯ ตานิ อมฺหากํ อาจริยสฺส เทมีติฯ อปรานิปิ อฎฺฐ ทมฺมีติฯ ตานิ สมานุปชฺฌายานํ ทมฺมีติฯ อปรานิปิ อฎฺฐ ทมฺมีติฯ ตานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทมฺมีติฯ อปรานิปิ อฎฺฐ ทมฺมีติฯ สามเณโร อธิวาเสสิฯ เอวมสฺส อุปฺปโนฺน ลาโภ ถาวโร โหติฯ
Saddhātissamahārājāpi cūḷupaṭṭhākaṃ tissāmaccaṃ vīmaṃsitvā tena ekaṃ tittiraṃ pacāpetvā āharāpesi. Atha paribhogasamaye ‘‘aggaṃ datvā paribhuñjissāmī’’ti aṭṭhakasālapariveṇe mahātherassa bhaṇḍaggāhasāmaṇerassa tittiramaṃsaṃ dento tasmiṃ thokaṃyeva paṭiggaṇhante tassa appicchaguṇe pasīditvā ‘‘pasannosmi, tāta, aṭṭha te dhurabhattāni demī’’ti āha. Mahārāja, upajjhāyassa demīti. Aparānipi aṭṭha demīti. Tāni amhākaṃ ācariyassa demīti. Aparānipi aṭṭha dammīti. Tāni samānupajjhāyānaṃ dammīti. Aparānipi aṭṭha dammīti. Tāni bhikkhusaṅghassa dammīti. Aparānipi aṭṭha dammīti. Sāmaṇero adhivāsesi. Evamassa uppanno lābho thāvaro hoti.
อปฺปสนฺนา ปสีทนฺตีติ เอตฺถปิ – ทีฆพฺราหฺมโณ กิร พฺราหฺมเณ โภเชโนฺต ปญฺจ ปญฺจ ภตฺตสรกานิ ทตฺวา สนฺตเปฺปตุํ นาสกฺขิฯ อเถกทิวสํ ‘‘สมณา กิร นาม อปฺปิจฺฉา’’ติ กถํ สุตฺวา วีมํสนตฺถาย ภตฺตํ คาหาเปตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส ภตฺตกิจฺจกรณเวลาย วิหารํ คนฺตฺวา ติํสมเตฺต ภิกฺขู โภชนสาลายํ ภุญฺชเนฺต ทิสฺวา เอกํ ภตฺตสรกํ คเหตฺวา สงฺฆเตฺถรสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ เถโร องฺคุลิํ จาเลตฺวา โถกเมว อคฺคเหสิฯ เอเตเนว นิยาเมน เอกํ ภตฺตสรกํ สเพฺพสํ สมฺปาปุณิฯ ตโต พฺราหฺมโณ ‘‘สโจฺจเยว เอเตสํ สมณานํ คุโณ’’ติ อปฺปิจฺฉตาย ปสโนฺน สหสฺสํ วิสฺสเชฺชตฺวา ตสฺมิํเยว วิหาเร เจติยํ กาเรสิฯ เอวํ อปฺปสนฺนา ปสีทนฺติฯ
Appasannā pasīdantīti etthapi – dīghabrāhmaṇo kira brāhmaṇe bhojento pañca pañca bhattasarakāni datvā santappetuṃ nāsakkhi. Athekadivasaṃ ‘‘samaṇā kira nāma appicchā’’ti kathaṃ sutvā vīmaṃsanatthāya bhattaṃ gāhāpetvā bhikkhusaṅghassa bhattakiccakaraṇavelāya vihāraṃ gantvā tiṃsamatte bhikkhū bhojanasālāyaṃ bhuñjante disvā ekaṃ bhattasarakaṃ gahetvā saṅghattherassa santikaṃ agamāsi. Thero aṅguliṃ cāletvā thokameva aggahesi. Eteneva niyāmena ekaṃ bhattasarakaṃ sabbesaṃ sampāpuṇi. Tato brāhmaṇo ‘‘saccoyeva etesaṃ samaṇānaṃ guṇo’’ti appicchatāya pasanno sahassaṃ vissajjetvā tasmiṃyeva vihāre cetiyaṃ kāresi. Evaṃ appasannā pasīdanti.
ปสนฺนา ภิโยฺย ปสีทนฺตีติ เอตฺถ วตฺถุนา กิจฺจํ นตฺถิฯ ปสนฺนานญฺหิ อปฺปิจฺฉํ ทิสฺวา ปสาโท ภิโยฺย วฑฺฒติเยวฯ
Pasannābhiyyo pasīdantīti ettha vatthunā kiccaṃ natthi. Pasannānañhi appicchaṃ disvā pasādo bhiyyo vaḍḍhatiyeva.
มชฺฌนฺติกติสฺสเตฺถรสทิเส ปน อปฺปิเจฺฉ ทิสฺวา มหาชโน อปฺปิโจฺฉ ภวิตุํ มญฺญตีติ อปฺปิโจฺฉ มหาชนสฺส จกฺขุภูโต นาม โหติฯ
Majjhantikatissattherasadise pana appicche disvā mahājano appiccho bhavituṃ maññatīti appiccho mahājanassa cakkhubhūto nāma hoti.
‘‘อปฺปิจฺฉตา, ภิกฺขเว, สทฺธมฺมสฺส ฐิติยา อสโมฺมสาย อนนฺตรธานาย สํวตฺตตี’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๑๖-๑๒๙) วจนโต ปน อปฺปิโจฺฉ สาสนํ จิรฎฺฐิติกํ กโรติ นามฯ
‘‘Appicchatā, bhikkhave, saddhammassa ṭhitiyā asammosāya anantaradhānāya saṃvattatī’’ti (a. ni. 1.116-129) vacanato pana appiccho sāsanaṃ ciraṭṭhitikaṃ karoti nāma.
โน ทายเกนาติ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ปน ทายกสฺส ปมาณํ ญตฺวา ทาตพฺพกิจฺจํ นาม นตฺถิฯ ยตฺตโก เทยฺยธโมฺม อตฺถิ, ตตฺตกํ อวตฺถริตฺวา ทาตุํ วฎฺฎติฯ อวตฺถริตฺวา ทินฺนการณา หิ เอส มนุสฺสสมฺปตฺติํ, ทิพฺพสมฺปตฺติํ, นิพฺพานสมฺปตฺติญฺจ อวตฺถริตฺวา อุตฺตรุตฺตริ ปณีตปณีตเมว ลภติฯ
No dāyakenāti svākkhāte dhammavinaye pana dāyakassa pamāṇaṃ ñatvā dātabbakiccaṃ nāma natthi. Yattako deyyadhammo atthi, tattakaṃ avattharitvā dātuṃ vaṭṭati. Avattharitvā dinnakāraṇā hi esa manussasampattiṃ, dibbasampattiṃ, nibbānasampattiñca avattharitvā uttaruttari paṇītapaṇītameva labhati.
๓๑๖. โย อารทฺธวีริโย, โส ทุกฺขํ วิหรตีติ ปญฺจาตปตปฺปนมรุปฺปปาตปตนาทิจฺจานุปริวตฺตน-อุกฺกุฎิกปฺปธานาทีนิ อนุยุญฺชโนฺต ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม ทุกฺขํ วิหรติ , ตเสฺสว พาหิรสมเย สมาทินฺนสฺส ตปจรณสฺส วิปาเกน นิรเย อุปฺปชฺชิตฺวา สมฺปราเยปิ ทุกฺขํ วิหรติฯ
316.Yo āraddhavīriyo, so dukkhaṃ viharatīti pañcātapatappanamaruppapātapatanādiccānuparivattana-ukkuṭikappadhānādīni anuyuñjanto diṭṭhe ceva dhamme dukkhaṃ viharati , tasseva bāhirasamaye samādinnassa tapacaraṇassa vipākena niraye uppajjitvā samparāyepi dukkhaṃ viharati.
๓๑๗. โย กุสีโต, โส ทุกฺขํ วิหรตีติ อยมฺปิ ทิเฎฺฐ ธเมฺม เจว สมฺปราเย จ ทุกฺขํ วิหรติฯ กถํ? ยสฺส หิ ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย โยนิโส มนสิกาโร นตฺถิ, พุทฺธวจนํ น อุคฺคณฺหาติ, อาจริยุปชฺฌายวตฺตํ น กโรติ, เจติยงฺคณโพธิยงฺคณวตฺตํ น กโรติฯ ชนสฺส ปน สทฺธาเทยฺยํ อปจฺจเวกฺขิตปริโภเคน ปริภุญฺชิตฺวา ทิวสํ เสยฺยสุขํ ปสฺสสุขํ อนุยุญฺชิตฺวา ปพุทฺธกาเล ตโย วิตเกฺก วิตเกฺกติฯ โส กติปาเหเนว ภิกฺขุภาวา จวติ? เอวํ ทิฎฺฐธเมฺม จ ทุกฺขํ วิหรติฯ ปพฺพชิตฺวา ปน สมณธมฺมสฺส สมฺมา อกตตฺตา จ –
317.Yo kusīto, so dukkhaṃ viharatīti ayampi diṭṭhe dhamme ceva samparāye ca dukkhaṃ viharati. Kathaṃ? Yassa hi pabbajitakālato paṭṭhāya yoniso manasikāro natthi, buddhavacanaṃ na uggaṇhāti, ācariyupajjhāyavattaṃ na karoti, cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇavattaṃ na karoti. Janassa pana saddhādeyyaṃ apaccavekkhitaparibhogena paribhuñjitvā divasaṃ seyyasukhaṃ passasukhaṃ anuyuñjitvā pabuddhakāle tayo vitakke vitakketi. So katipāheneva bhikkhubhāvā cavati? Evaṃ diṭṭhadhamme ca dukkhaṃ viharati. Pabbajitvā pana samaṇadhammassa sammā akatattā ca –
‘‘กุโส ยถา ทุคฺคหิโต, หตฺถเมวานุกนฺตติ;
‘‘Kuso yathā duggahito, hatthamevānukantati;
สามญฺญํ ทุปฺปรามฎฺฐํ, นิรยายุปกฑฺฒตี’’ติฯ (ธ. ป. ๓๑๑) –
Sāmaññaṃ dupparāmaṭṭhaṃ, nirayāyupakaḍḍhatī’’ti. (dha. pa. 311) –
อปายสฺมิํเยว ปฎิสนฺธิํ คณฺหติฯ เอวํ สมฺปราเยปิ ทุกฺขํ วิหรติฯ
Apāyasmiṃyeva paṭisandhiṃ gaṇhati. Evaṃ samparāyepi dukkhaṃ viharati.
๓๑๘. โย กุสีโต, โส สุขํ วิหรตีติ กาเลน กาลํ วุตฺตปฺปกาเร ตปจรเณ กิญฺจิ กิญฺจิ ตปจรณํ กตฺวา กาเลน กาลํ โอทาตวตฺถวสโน มาลาคนฺธวิเลปนธโร มธุรโภชนํ ภุญฺชโนฺต มุทุกาสุ เสยฺยาสุ สยโนฺต ทิเฎฺฐ ธเมฺม เจว สุขํ วิหรติ สมฺปราเย จฯ โส หิ ตสฺส ตปจรณสฺส คาฬฺหํ อคฺคหิตตฺตา นาติพหุํ นิรเย ทุกฺขํ อนุภวติฯ ตสฺมา สมฺปราเย สุขํ วิหรติ นามฯ
318.Yokusīto, so sukhaṃ viharatīti kālena kālaṃ vuttappakāre tapacaraṇe kiñci kiñci tapacaraṇaṃ katvā kālena kālaṃ odātavatthavasano mālāgandhavilepanadharo madhurabhojanaṃ bhuñjanto mudukāsu seyyāsu sayanto diṭṭhe dhamme ceva sukhaṃ viharati samparāye ca. So hi tassa tapacaraṇassa gāḷhaṃ aggahitattā nātibahuṃ niraye dukkhaṃ anubhavati. Tasmā samparāye sukhaṃ viharati nāma.
๓๑๙. โย อารทฺธวีริโย, โส สุขํ วิหรตีติ อารทฺธวีริโย หิ ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย วเตฺตสุ ปริปูรการี โหติ, พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหาติ, โยนิโส มนสิกาเร กมฺมํ กโรติฯ อถสฺส วตฺตปูรณเญฺจว อุคฺคหิตพุทฺธวจนญฺจ สมณธมฺมกิริยญฺจ อาวเชฺชนฺตสฺส จิตฺตํ ปสีทติฯ เอวํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สุขํ วิหรติฯ ทิฎฺฐธเมฺม ปน อรหตฺตํ ปาปุณิตุํ อสโกฺกโนฺต นิพฺพตฺตภเว ขิปฺปาภิโญฺญ โหตีติ สมฺปราเยปิ สุขํ วิหรติ นามฯ
319.Yo āraddhavīriyo, so sukhaṃ viharatīti āraddhavīriyo hi pabbajitakālato paṭṭhāya vattesu paripūrakārī hoti, buddhavacanaṃ uggaṇhāti, yoniso manasikāre kammaṃ karoti. Athassa vattapūraṇañceva uggahitabuddhavacanañca samaṇadhammakiriyañca āvajjentassa cittaṃ pasīdati. Evaṃ diṭṭheva dhamme sukhaṃ viharati. Diṭṭhadhamme pana arahattaṃ pāpuṇituṃ asakkonto nibbattabhave khippābhiñño hotīti samparāyepi sukhaṃ viharati nāma.
๓๒๐. เสยฺยถาปิ , ภิกฺขเว, อปฺปมตฺตโกปิ คูโถ ทุคฺคโนฺธ โหตีติ อิทํ สุตฺตํ อฎฺฐุปฺปตฺติยํ วุตฺตํฯ กตรอฎฺฐุปฺปตฺติยนฺติ? นวกนิปาเต (อ. นิ. ๙.๑๒) สตฺตุปฺปาทสุตฺต อฎฺฐุปฺปตฺติยํฯ ตถาคโต หิ ตํ อตฺถํ กเถโนฺต – ‘‘นว ปุคฺคลา นิรยโต มุตฺตา, ติรจฺฉานโยนิโต มุตฺตา, เปตฺติวิสยโต มุตฺตา’’ติ กเถสิฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘สเจ โข ปน เม ปุตฺตา อิมํ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ขีณนิรยมฺหา ขีณติรจฺฉานโยนิกา ขีณเปตฺติวิสยา ขีณาปายทุคฺคติวินิปาตาติ มญฺญมานา อุปริมคฺคผลตฺถาย วายมิตุํ น มเญฺญยฺยุํ, เตสํ สํเวคํ ชเนสฺสามี’’ติ สํเวคชนนตฺถํ ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว’’ติ อิมํ สุตฺตมารภิฯ ตตฺถ อปฺปมตฺตโกติ โถกมตฺตโก ปริตฺตปฺปมาโณ, อนฺตมโส กุสเคฺคนปิ คเหตฺวา อุปสิงฺฆิยมาโน ทุคฺคโนฺธว โหติฯ อปฺปมตฺตกมฺปิ ภวํ น วเณฺณมีติ อปฺปมตฺตกมฺปิ กาลํ ภเว ปฎิสนฺธิํ น วณฺณยามิฯ อิทานิสฺส อุปมํ ทเสฺสโนฺต อาห – อนฺตมโส อจฺฉราสงฺฆาตมตฺตมฺปีติฯ สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน เทฺว องฺคุลิโย เอกโต กตฺวา ปหรณมตฺตมฺปิ กาลนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ
320.Seyyathāpi, bhikkhave, appamattakopi gūtho duggandho hotīti idaṃ suttaṃ aṭṭhuppattiyaṃ vuttaṃ. Kataraaṭṭhuppattiyanti? Navakanipāte (a. ni. 9.12) sattuppādasutta aṭṭhuppattiyaṃ. Tathāgato hi taṃ atthaṃ kathento – ‘‘nava puggalā nirayato muttā, tiracchānayonito muttā, pettivisayato muttā’’ti kathesi. Athassa etadahosi – ‘‘sace kho pana me puttā imaṃ dhammadesanaṃ sutvā khīṇanirayamhā khīṇatiracchānayonikā khīṇapettivisayā khīṇāpāyaduggativinipātāti maññamānā uparimaggaphalatthāya vāyamituṃ na maññeyyuṃ, tesaṃ saṃvegaṃ janessāmī’’ti saṃvegajananatthaṃ ‘‘seyyathāpi, bhikkhave’’ti imaṃ suttamārabhi. Tattha appamattakoti thokamattako parittappamāṇo, antamaso kusaggenapi gahetvā upasiṅghiyamāno duggandhova hoti. Appamattakampi bhavaṃ na vaṇṇemīti appamattakampi kālaṃ bhave paṭisandhiṃ na vaṇṇayāmi. Idānissa upamaṃ dassento āha – antamaso accharāsaṅghātamattampīti. Sabbantimena paricchedena dve aṅguliyo ekato katvā paharaṇamattampi kālanti vuttaṃ hoti. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.
ตติยวคฺควณฺณนาฯ
Tatiyavaggavaṇṇanā.
๑๖. เอกธมฺมปาฬิ
16. Ekadhammapāḷi
(๑๖) ๔. เอกธมฺมปาฬิ-จตุตฺถวคฺควณฺณนา
(16) 4. Ekadhammapāḷi-catutthavaggavaṇṇanā
๓๒๒. จตุตฺถวคฺคสฺส ปฐเม ชมฺพุทีเปติ ชมฺพุยา ปญฺญาโต ปากโฎ ทีโปติ ชมฺพุทีโปฯ อิมสฺส กิร ทีปสฺส สญฺญาณภูตา โยชนสตุเพฺพธา ปณฺณาสโยชนสาขา ปญฺจทสโยชนาวฎฺฎกฺขนฺธา หิมวนฺตปพฺพเต ชาตา กปฺปฎฺฐายินี มหาชมฺพู นาม อตฺถิ, ตาย อยํ ทีโป ชมฺพุทีโปติ วุจฺจติฯ ยถา จ อิมสฺมิํ ทีเป ชมฺพุรุโกฺข กปฺปฎฺฐายี, ตถา อปรโคยาเน กทมฺพรุโกฺข, อุตฺตรกุรูสุ กปฺปรุโกฺข, ปุพฺพวิเทเห สิรีสรุโกฺข, อสุรานํ จิตฺตปาฎลิรุโกฺข, สุปณฺณานํ สิมฺพลิรุโกฺข , เทวานํ ปาริจฺฉตฺตโกติ อิเมปิ กปฺปฎฺฐายิโนวฯ
322. Catutthavaggassa paṭhame jambudīpeti jambuyā paññāto pākaṭo dīpoti jambudīpo. Imassa kira dīpassa saññāṇabhūtā yojanasatubbedhā paṇṇāsayojanasākhā pañcadasayojanāvaṭṭakkhandhā himavantapabbate jātā kappaṭṭhāyinī mahājambū nāma atthi, tāya ayaṃ dīpo jambudīpoti vuccati. Yathā ca imasmiṃ dīpe jamburukkho kappaṭṭhāyī, tathā aparagoyāne kadambarukkho, uttarakurūsu kapparukkho, pubbavidehe sirīsarukkho, asurānaṃ cittapāṭalirukkho, supaṇṇānaṃ simbalirukkho , devānaṃ pāricchattakoti imepi kappaṭṭhāyinova.
‘‘ปาฎลี สิมฺพลี ชมฺพู, เทวานํ ปาริจฺฉตฺตโก;
‘‘Pāṭalī simbalī jambū, devānaṃ pāricchattako;
กทโมฺพ กปฺปรุโกฺข จ, สิรีโส ภวติ สตฺตโม’’ติฯ
Kadambo kapparukkho ca, sirīso bhavati sattamo’’ti.
อารามรามเณยฺยกนฺติ ปุปฺผารามผลารามานํ รามเณยฺยกํ เวฬุวน-ชีวกมฺพวน-เชตวนปุพฺพารามสทิสํฯ ตํ อิมสฺมิํ ชมฺพุทีเป อปฺปมตฺตกํ ปริตฺตกํ, น พหุกนฺติ อโตฺถฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ เอตฺถ วนรามเณยฺยกนฺติ นาควนสาลวนจมฺปกวนาทิสทิสํ วงฺกปพฺพตหิมวนฺตปพฺพตปเทสาทีสุ อรญฺญวนํ เวทิตพฺพํฯ ภูมิรามเณยฺยกนฺติ เชตวนวิหารมคธเกฺขตฺตาทิสทิสํ สมํ ภูมิฎฺฐานํฯ โปกฺขรณิรามเณยฺยกนฺติ เชตวนโปกฺขรณิคคฺคราโปกฺขรณิสทิสานํ วฎฺฎจตุรสฺสทีฆวงฺกาทิสณฺฐานานํ โปกฺขรณีนํ สนฺนิเวสนฎฺฐานํฯ อุกฺกูลวิกูลนฺติ อุกฺกูลญฺจ วิกูลญฺจฯ ตตฺถ อุกฺกูลํ อุนฺนตฎฺฐานํ, วิกูลํ นินฺนฎฺฐานํฯ นทีวิทุคฺคนฺติ นทีนํ ภินฺนฎฺฐานํ ตํ ทุคฺคมตฺตา นทีวิทุคฺคนฺติ วุจฺจติฯ ขาณุกณฺฎกฎฺฐานนฺติ ตตฺถชาตกานเญฺจว อาหริยมานานญฺจ ขาณุกณฺฎกาทีนํ ปติฎฺฐานฎฺฐานํฯ ปพฺพตวิสมนฺติ คิริวิสมํฯ เย โอทกาติ เย จ อุทเก ชายนฺติ, เตเยว พหุตราฯ อิโต กิร สุวณฺณภูมิ สตฺตมตฺตานิ โยชนสตานิ โหติ, เอเกน วาเตน คจฺฉนฺตี นาวา สตฺตหิ อโหรเตฺตหิ คจฺฉติฯ อเถกสฺมิํ สมเย เอวํ คจฺฉนฺตี นาวา สตฺตาหมฺปิ นนฺทิยาวฎฺฎมจฺฉปิเฎฺฐเนว คตาฯ เอวํ โอทกานํ สตฺตานํ พหุภาโว เวทิตโพฺพฯ
Ārāmarāmaṇeyyakanti pupphārāmaphalārāmānaṃ rāmaṇeyyakaṃ veḷuvana-jīvakambavana-jetavanapubbārāmasadisaṃ. Taṃ imasmiṃ jambudīpe appamattakaṃ parittakaṃ, na bahukanti attho. Sesapadesupi eseva nayo. Ettha vanarāmaṇeyyakanti nāgavanasālavanacampakavanādisadisaṃ vaṅkapabbatahimavantapabbatapadesādīsu araññavanaṃ veditabbaṃ. Bhūmirāmaṇeyyakanti jetavanavihāramagadhakkhettādisadisaṃ samaṃ bhūmiṭṭhānaṃ. Pokkharaṇirāmaṇeyyakanti jetavanapokkharaṇigaggarāpokkharaṇisadisānaṃ vaṭṭacaturassadīghavaṅkādisaṇṭhānānaṃ pokkharaṇīnaṃ sannivesanaṭṭhānaṃ. Ukkūlavikūlanti ukkūlañca vikūlañca. Tattha ukkūlaṃ unnataṭṭhānaṃ, vikūlaṃ ninnaṭṭhānaṃ. Nadīvidugganti nadīnaṃ bhinnaṭṭhānaṃ taṃ duggamattā nadīvidugganti vuccati. Khāṇukaṇṭakaṭṭhānanti tatthajātakānañceva āhariyamānānañca khāṇukaṇṭakādīnaṃ patiṭṭhānaṭṭhānaṃ. Pabbatavisamanti girivisamaṃ. Ye odakāti ye ca udake jāyanti, teyeva bahutarā. Ito kira suvaṇṇabhūmi sattamattāni yojanasatāni hoti, ekena vātena gacchantī nāvā sattahi ahorattehi gacchati. Athekasmiṃ samaye evaṃ gacchantī nāvā sattāhampi nandiyāvaṭṭamacchapiṭṭheneva gatā. Evaṃ odakānaṃ sattānaṃ bahubhāvo veditabbo.
อปิจ ถลฎฺฐานสฺส ปริตฺตภาเวน อุทกสฺส จ พหุภาเวนาปิ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ยถา หิ มหาตฬาเก เอโกว อุปฺปลคโจฺฉ อสฺส, ตสฺส จตฺตาริ จ ปณฺณานิ, มเชฺฌ จ เอกํ อุปฺปลมกุลํ อสฺสฯ เอวเมวํ จตฺตาริ ปณฺณานิ วิย จตฺตาโร ทีปา, มเชฺฌ อุปฺปลมกุลํ วิย สิเนรุปพฺพโต, เสสํ อุทกํ วิย อุทกปริกฺขิโตฺต โอกาโสฯ ตสฺส มหนฺตภาโว อิทฺธิมนฺตานํ ปากโฎ โหติฯ เตสญฺหิ อากาเสน คจฺฉนฺตานํ จตฺตาโร มหาทีปา จตฺตาริ ปณฺณานิ วิย อุปฎฺฐหนฺติ, สิเนรุปพฺพโต มเชฺฌ อุปฺปลมกุลํ วิย, เสสํ อุทกํ วิย อุทกปริกฺขิโตฺต โอกาโสฯ เอวํ มหเนฺต อุทเก ชาตตฺตา โอทกาว พหุตรา เวทิตพฺพาฯ
Apica thalaṭṭhānassa parittabhāvena udakassa ca bahubhāvenāpi ayamattho veditabbo. Yathā hi mahātaḷāke ekova uppalagaccho assa, tassa cattāri ca paṇṇāni, majjhe ca ekaṃ uppalamakulaṃ assa. Evamevaṃ cattāri paṇṇāni viya cattāro dīpā, majjhe uppalamakulaṃ viya sinerupabbato, sesaṃ udakaṃ viya udakaparikkhitto okāso. Tassa mahantabhāvo iddhimantānaṃ pākaṭo hoti. Tesañhi ākāsena gacchantānaṃ cattāro mahādīpā cattāri paṇṇāni viya upaṭṭhahanti, sinerupabbato majjhe uppalamakulaṃ viya, sesaṃ udakaṃ viya udakaparikkhitto okāso. Evaṃ mahante udake jātattā odakāva bahutarā veditabbā.
๓๒๓. ทุติยาทีสุ อญฺญตฺร มนุเสฺสหีติ อิธ จตฺตาโร อปายา อญฺญตฺร มนุเสฺสหีติ อธิเปฺปตาฯ
323. Dutiyādīsu aññatra manussehīti idha cattāro apāyā aññatra manussehīti adhippetā.
มชฺฌิเมสุ ชนปเทสูติ ‘‘ปุรตฺถิมาย ทิสาย คชงฺคลํ นาม นิคโม, ตสฺส ปเรน มหาสาลา, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ปุรตฺถิมทกฺขิณาย ทิสาย สลฺลวตี นาม นที, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ทกฺขิณาย ทิสาย เสตกณฺณิกํ นาม นิคโม, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ปจฺฉิมาย ทิสาย ถูณํ นาม พฺราหฺมณคาโม, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ อุตฺตราย ทิสาย อุสีรทฺธโช นาม ปพฺพโต, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌ’’ติ (มหาว. ๒๕๙) เอวํ ปริจฺฉิเนฺน ชนปเทติ อโตฺถฯ อยญฺหิ ชนปโท มุทิงฺคสณฺฐาโน อุชุเกน กตฺถจิ อสีติโยชโน โหติ, กตฺถจิ โยชนสติโก, กตฺถจิ ทฺวิโยชนสติโก, มเชฺฌน ปน ติโยชนสติโก, ปริยนฺตปริเกฺขเปน นวมตฺตโยชนสติโก โหติฯ เอตฺตเก ฐาเน พุทฺธปเจฺจกพุทฺธา มหาสาวกา พุทฺธุปฎฺฐากา พุทฺธสาวกา พุทฺธมาตา พุทฺธปิตา จกฺกวตฺตี ราชาติ อิเม สตฺตา นิพฺพตฺตนฺติฯ อปิจ อุปาทายุปาทายาปิ มชฺฌิมปเทโส ลพฺภติฯ สกโลปิ หิ ชมฺพุทีโป มชฺฌิมปเทโส นาม, เสสทีปา ปจฺจนฺติมา ชนปทาฯ ตมฺพปณฺณิทีเป อนุราธปุรํ มชฺฌิมปเทโส นาม, เสโส ปจฺจโนฺตติ เอวํ นโย เวทิตโพฺพฯ
Majjhimesu janapadesūti ‘‘puratthimāya disāya gajaṅgalaṃ nāma nigamo, tassa parena mahāsālā, tato parā paccantimā janapadā, orato majjhe. Puratthimadakkhiṇāya disāya sallavatī nāma nadī, tato parā paccantimā janapadā, orato majjhe. Dakkhiṇāya disāya setakaṇṇikaṃ nāma nigamo, tato parā paccantimā janapadā, orato majjhe. Pacchimāya disāya thūṇaṃ nāma brāhmaṇagāmo, tato parā paccantimā janapadā, orato majjhe. Uttarāya disāya usīraddhajo nāma pabbato, tato parā paccantimā janapadā, orato majjhe’’ti (mahāva. 259) evaṃ paricchinne janapadeti attho. Ayañhi janapado mudiṅgasaṇṭhāno ujukena katthaci asītiyojano hoti, katthaci yojanasatiko, katthaci dviyojanasatiko, majjhena pana tiyojanasatiko, pariyantaparikkhepena navamattayojanasatiko hoti. Ettake ṭhāne buddhapaccekabuddhā mahāsāvakā buddhupaṭṭhākā buddhasāvakā buddhamātā buddhapitā cakkavattī rājāti ime sattā nibbattanti. Apica upādāyupādāyāpi majjhimapadeso labbhati. Sakalopi hi jambudīpo majjhimapadeso nāma, sesadīpā paccantimā janapadā. Tambapaṇṇidīpe anurādhapuraṃ majjhimapadeso nāma, seso paccantoti evaṃ nayo veditabbo.
๓๒๔. ปญฺญวโนฺต อชฬา อเนฬมูคาติ เอตฺถ กมฺมสฺสกตปญฺญา, ฌานปญฺญา วิปสฺสนาปญฺญา, มคฺคปญฺญา, ผลปญฺญาติ เอตาหิ สมนฺนาคตา ปญฺญวโนฺต นาม, อมูฬฺหา อชฬา นามฯ เยสํ เอฬา มุขโต น คลติ, เต อเนฬมูคา นาม, อเนฬมุขา นิโทฺทสมุขาติ อโตฺถฯ ปฎิพลาติ สมตฺถา, กายพเลน เจว ญาณพเลน จ สมนฺนาคตาฯ อตฺถมญฺญาตุนฺติ อตฺถานตฺถํ การณาการณํ ชานิตุํฯ ทุปฺปญฺญาติ อปฺปญฺญา นิปฺปญฺญาฯ ชฬาติ มนฺทา โมมูหาฯ
324.Paññavantoajaḷā aneḷamūgāti ettha kammassakatapaññā, jhānapaññā vipassanāpaññā, maggapaññā, phalapaññāti etāhi samannāgatā paññavanto nāma, amūḷhā ajaḷā nāma. Yesaṃ eḷā mukhato na galati, te aneḷamūgā nāma, aneḷamukhā niddosamukhāti attho. Paṭibalāti samatthā, kāyabalena ceva ñāṇabalena ca samannāgatā. Atthamaññātunti atthānatthaṃ kāraṇākāraṇaṃ jānituṃ. Duppaññāti appaññā nippaññā. Jaḷāti mandā momūhā.
๓๒๕. อริเยน ปญฺญาจกฺขุนาติ สหวิปสฺสเนน มเคฺคนฯ อวิชฺชาคตาติ อวิชฺชนฺธกาเรน สมนฺนาคตาฯ
325.Ariyena paññācakkhunāti sahavipassanena maggena. Avijjāgatāti avijjandhakārena samannāgatā.
๓๒๖. เย ลภนฺติ ตถาคตํ ทสฺสนายาติ เย ตถาคตสฺส คุเณ ชานิตฺวา ตถาคตํ จกฺขุวิญฺญาเณน ปสฺสิตุํ ลภนฺติฯ
326.Ye labhanti tathāgataṃ dassanāyāti ye tathāgatassa guṇe jānitvā tathāgataṃ cakkhuviññāṇena passituṃ labhanti.
๓๒๗. ตถาคตปฺปเวทิตนฺติ ตถาคเตน ปเวทิตํ ปกาเสตฺวา กถิตํฯ สวนายาติ โสตวิญฺญาเณน โสตุํฯ
327.Tathāgatappaveditanti tathāgatena paveditaṃ pakāsetvā kathitaṃ. Savanāyāti sotaviññāṇena sotuṃ.
๓๒๘. ธาเรนฺตีติ น ปมฺมุสฺสนฺติฯ
328.Dhārentīti na pammussanti.
๓๒๙. ธาตานํ ธมฺมานํ อตฺถํ อุปปริกฺขนฺตีติ ปคุณาย ปาฬิยา อตฺถานตฺถํ อุปปริกฺขนฺติฯ
329.Dhātānaṃ dhammānaṃ atthaṃ upaparikkhantīti paguṇāya pāḷiyā atthānatthaṃ upaparikkhanti.
๓๓๐. อตฺถมญฺญาย ธมฺมมญฺญายาติ อฎฺฐกถญฺจ ปาฬิญฺจ ชานิตฺวาฯ ธมฺมานุธมฺมํ ปฎิปชฺชนฺตีติ อนุโลมปฎิปทํ ปูเรนฺติฯ
330.Atthamaññāya dhammamaññāyāti aṭṭhakathañca pāḷiñca jānitvā. Dhammānudhammaṃ paṭipajjantīti anulomapaṭipadaṃ pūrenti.
๓๓๑. สํเวชนีเยสุ ฐาเนสูติ สํเวคชนเกสุ การเณสุฯ สํวิชฺชนฺตีติ สํเวคํ อาปชฺชนฺติฯ
331.Saṃvejanīyesu ṭhānesūti saṃvegajanakesu kāraṇesu. Saṃvijjantīti saṃvegaṃ āpajjanti.
๓๓๒. โยนิโส ปทหนฺตีติ อุปาเยน ปธานวีริยํ กโรนฺติฯ
332.Yoniso padahantīti upāyena padhānavīriyaṃ karonti.
๓๓๓. ววสฺสคฺคารมฺมณนฺติ ววสฺสโคฺค วุจฺจติ นิพฺพานํ, ตํ อารมฺมณํ กริตฺวาติ อโตฺถฯ ลภนฺติ สมาธินฺติ มคฺคสมาธิญฺจ ผลสมาธิญฺจ ปาปุณนฺติฯ
333.Vavassaggārammaṇanti vavassaggo vuccati nibbānaṃ, taṃ ārammaṇaṃ karitvāti attho. Labhanti samādhinti maggasamādhiñca phalasamādhiñca pāpuṇanti.
๓๓๔. อนฺนคฺครสคฺคานนฺติ อุตฺตมนฺนานญฺจ อุตฺตมรสานญฺจฯ อุเญฺฉน กปาลาภเตน ยาเปนฺตีติ อุญฺฉาจาเรน วนมูลผลาผเลน วา กปาเลน อาภตภเตฺตน วา ยาเปนฺติฯ เอตฺถ จ โย กสฺสจิเทว ขาทนียสฺส โภชนียสฺส อตฺถาย จิเตฺต อุปฺปเนฺน ตํขณํเยว น ตํ ลภติ, อยํ อนฺนคฺครสคฺคานํ น ลาภี นามฯ ยสฺสปิ ตํขณํเยว ลภิตฺวา โอโลเกนฺตสฺส วณฺณคนฺธรสา อมนาปา โหนฺติ, อยมฺปิ อนฺนคฺครสคฺคานํ น ลาภี นามฯ ยสฺส ปน วณฺณคนฺธรสา ปฎิลภนฺติ, มนาปา โหนฺติ, อยํ อนฺนคฺครสคฺคานํ ลาภี นามฯ โส อุตฺตมโกฎิยา จกฺกวตฺตี ราชา, เหฎฺฐิมโกฎิยา ธมฺมาโสโก เวทิตโพฺพฯ สเงฺขปโต หิ ยสฺส ภตฺตสฺส เอกปาติ สตสหสฺสํ อคฺฆติ, อิทํ อนฺนคฺครสคฺคํ นามฯ ยํ ปน ภิกฺขุสงฺฆํ ปิณฺฑาย จรนฺตํ ทิสฺวา มนุสฺสา อุตฺตมปณีตํ ภตฺตํ เทนฺติ, อิทํ กิํ นามาติ? อิทํ อุเญฺฉน กปาลาภเตน ยาเปเนฺต อุปาทาย อนฺนคฺครสคฺคํ นาม วุจฺจตีติฯ
334.Annaggarasaggānanti uttamannānañca uttamarasānañca. Uñchena kapālābhatena yāpentīti uñchācārena vanamūlaphalāphalena vā kapālena ābhatabhattena vā yāpenti. Ettha ca yo kassacideva khādanīyassa bhojanīyassa atthāya citte uppanne taṃkhaṇaṃyeva na taṃ labhati, ayaṃ annaggarasaggānaṃ na lābhī nāma. Yassapi taṃkhaṇaṃyeva labhitvā olokentassa vaṇṇagandharasā amanāpā honti, ayampi annaggarasaggānaṃ na lābhī nāma. Yassa pana vaṇṇagandharasā paṭilabhanti, manāpā honti, ayaṃ annaggarasaggānaṃ lābhī nāma. So uttamakoṭiyā cakkavattī rājā, heṭṭhimakoṭiyā dhammāsoko veditabbo. Saṅkhepato hi yassa bhattassa ekapāti satasahassaṃ agghati, idaṃ annaggarasaggaṃ nāma. Yaṃ pana bhikkhusaṅghaṃ piṇḍāya carantaṃ disvā manussā uttamapaṇītaṃ bhattaṃ denti, idaṃ kiṃ nāmāti? Idaṃ uñchena kapālābhatena yāpente upādāya annaggarasaggaṃ nāma vuccatīti.
๓๓๕. อตฺถรสสฺสาติอาทีสุ อตฺถรโส นาม จตฺตาริ สามญฺญผลานิ, ธมฺมรโส นาม จตฺตาโร มคฺคา, วิมุตฺติรโส นาม อมตนิพฺพานํฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ
335.Attharasassātiādīsu attharaso nāma cattāri sāmaññaphalāni, dhammaraso nāma cattāro maggā, vimuttiraso nāma amatanibbānaṃ. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.
จตุตฺถวคฺควณฺณนาฯ
Catutthavaggavaṇṇanā.
ชมฺพุทีปเปยฺยาโล นิฎฺฐิโตฯ
Jambudīpapeyyālo niṭṭhito.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑๖. เอกธมฺมปาฬิ • 16. Ekadhammapāḷi
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๖. เอกธมฺมปาฬิ • 16. Ekadhammapāḷi