Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā

    ๑๗. ขุทฺทกวตฺถุวิภโงฺค

    17. Khuddakavatthuvibhaṅgo

    ๑. เอกกมาติกาทิวณฺณนา

    1. Ekakamātikādivaṇṇanā

    ๘๓๒. อิทานิ ตทนนฺตเร ขุทฺทกวตฺถุวิภเงฺคปิ ปฐมํ มาติกํ ฐเปตฺวา นิกฺขิตฺตปทานุกฺกเมน นิเทฺทโส กโตฯ ตตฺรายํ นิเกฺขปปริเจฺฉโทฯ อาทิโต ตาว ชาติมโทติอาทโย เตสตฺตติ เอกกา นิกฺขิตฺตา, ตโต โกโธ จ อุปนาโห จาติอาทโย อฎฺฐารส ทุกา, อกุสลมูลาทโย ปญฺจติํส ติกา, อาสวจตุกฺกาทโย จุทฺทส จตุกฺกา, โอรมฺภาคิยสํโยชนาทโย ปนฺนรส ปญฺจกา, วิวาทมูลาทโย จุทฺทส ฉกฺกา, อนุสยาทโย สตฺต สตฺตกา, กิเลสวตฺถุอาทโย อฎฺฐ อฎฺฐกา, อาฆาตวตฺถุอาทโย นว นวกา, กิเลสวตฺถุอาทโย สตฺต ทสกา, อชฺฌตฺติกสฺส อุปาทาย อฎฺฐารส ตณฺหาวิจริตานีติอาทโย ฉ อฎฺฐารสกาติ สพฺพานิปิ เอตานิ อฎฺฐ กิเลสสตานิ นิกฺขิตฺตานีติ เวทิตพฺพานิฯ อยํ ตาว นิเกฺขปปริเจฺฉโทฯ

    832. Idāni tadanantare khuddakavatthuvibhaṅgepi paṭhamaṃ mātikaṃ ṭhapetvā nikkhittapadānukkamena niddeso kato. Tatrāyaṃ nikkhepaparicchedo. Ādito tāva jātimadotiādayo tesattati ekakā nikkhittā, tato kodho ca upanāho cātiādayo aṭṭhārasa dukā, akusalamūlādayo pañcatiṃsa tikā, āsavacatukkādayo cuddasa catukkā, orambhāgiyasaṃyojanādayo pannarasa pañcakā, vivādamūlādayo cuddasa chakkā, anusayādayo satta sattakā, kilesavatthuādayo aṭṭha aṭṭhakā, āghātavatthuādayo nava navakā, kilesavatthuādayo satta dasakā, ajjhattikassa upādāya aṭṭhārasa taṇhāvicaritānītiādayo cha aṭṭhārasakāti sabbānipi etāni aṭṭha kilesasatāni nikkhittānīti veditabbāni. Ayaṃ tāva nikkhepaparicchedo.

    (๑.) เอกกนิเทฺทสวณฺณนา

    (1.) Ekakaniddesavaṇṇanā

    ๘๔๓-๘๔๔. อิทานิ ยถานิกฺขิตฺตาย มาติกาย ตตฺถ กตโม ชาติมโทติอาทินา นเยน อารเทฺธ นิเทฺทสวาเร ชาติํ ปฎิจฺจาติ ชาติํ นิสฺสายฯ เอตฺถ จ อตฺถิปฎิจฺจํ นาม กถิตํ, ตสฺมา ชาติยา สตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ โคตฺตํ ปฎิจฺจาติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ มทนวเสน มโทฯ มชฺชนากาโร มชฺชนาฯ มชฺชิตภาโว มชฺชิตตฺตํมาโน มญฺญนาติอาทีนิ เหฎฺฐา ธมฺมสงฺคหฎฺฐกถายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๑๒๑) วุตฺตตฺถาเนวฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวํ ชาติยา สติ ตํ ชาติํ นิสฺสาย อุปฺปโนฺน มชฺชนาการปฺปวโตฺต มาโน ชาติมโทติ วุจฺจติฯ สฺวายํ ขตฺติยาทีนํ จตุนฺนมฺปิ วณฺณานํ อุปฺปชฺชติฯ ชาติสมฺปโนฺน หิ ขตฺติโย ‘มาทิโส อโญฺญ นตฺถิฯ อวเสสา อนฺตรา อุฎฺฐาย ขตฺติยา ชาตาฯ อหํ ปน วํสาคตขตฺติโย’ติ มานํ กโรติฯ พฺราหฺมณาทีสุปิ เอเสว นโยฯ โคตฺตมทนิเทฺทสาทีสุปิ อิมินาวุปาเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ขตฺติโยปิ หิ ‘อหํ โกณฺฑญฺญโคโตฺต, อหํ อาทิจฺจโคโตฺต’ติ มานํ กโรติฯ พฺราหฺมโณปิ ‘อหํ กสฺสปโคโตฺต , อหํ ภารทฺวาชโคโตฺต’ติ มานํ กโรติฯ เวโสฺสปิ สุโทฺทปิ อตฺตโน อตฺตโน กุลโคตฺตํ นิสฺสาย มานํ กโรติฯ อฎฺฐารสาปิ เสณิโย ‘เอกิสฺสา เสณิยา ชาตมฺหา’ติ มานํ กโรนฺติเยวฯ

    843-844. Idāni yathānikkhittāya mātikāya tattha katamo jātimadotiādinā nayena āraddhe niddesavāre jātiṃ paṭiccāti jātiṃ nissāya. Ettha ca atthipaṭiccaṃ nāma kathitaṃ, tasmā jātiyā satīti ayamettha attho. Gottaṃ paṭiccātiādīsupi eseva nayo. Madanavasena mado. Majjanākāro majjanā. Majjitabhāvo majjitattaṃ. Māno maññanātiādīni heṭṭhā dhammasaṅgahaṭṭhakathāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 1121) vuttatthāneva. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evaṃ jātiyā sati taṃ jātiṃ nissāya uppanno majjanākārappavatto māno jātimadoti vuccati. Svāyaṃ khattiyādīnaṃ catunnampi vaṇṇānaṃ uppajjati. Jātisampanno hi khattiyo ‘mādiso añño natthi. Avasesā antarā uṭṭhāya khattiyā jātā. Ahaṃ pana vaṃsāgatakhattiyo’ti mānaṃ karoti. Brāhmaṇādīsupi eseva nayo. Gottamadaniddesādīsupi imināvupāyena attho veditabbo. Khattiyopi hi ‘ahaṃ koṇḍaññagotto, ahaṃ ādiccagotto’ti mānaṃ karoti. Brāhmaṇopi ‘ahaṃ kassapagotto , ahaṃ bhāradvājagotto’ti mānaṃ karoti. Vessopi suddopi attano attano kulagottaṃ nissāya mānaṃ karoti. Aṭṭhārasāpi seṇiyo ‘ekissā seṇiyā jātamhā’ti mānaṃ karontiyeva.

    อาโรคฺยมทาทีสุ ‘อหํ อโรโค, อวเสสา โรคพหุลา, คทฺทุหนมตฺตมฺปิ มยฺหํ พฺยาธิ นาม นตฺถี’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน อาโรคฺยมโท นามฯ

    Ārogyamadādīsu ‘ahaṃ arogo, avasesā rogabahulā, gadduhanamattampi mayhaṃ byādhi nāma natthī’ti majjanavasena uppanno māno ārogyamado nāma.

    ‘อหํ ตรุโณ, อวเสสสตฺตานํ อตฺตภาโว ปปาเต ฐิตรุกฺขสทิโส, อหํ ปน ปฐมวเย ฐิโต’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน โยพฺพนมโท นามฯ

    ‘Ahaṃ taruṇo, avasesasattānaṃ attabhāvo papāte ṭhitarukkhasadiso, ahaṃ pana paṭhamavaye ṭhito’ti majjanavasena uppanno māno yobbanamado nāma.

    ‘อหํ จิรํ ชีวิํ, จิรํ ชีวามิ, จิรํ ชีวิสฺสามิ; สุขํ ชีวิํ, สุขํ ชีวามิ, สุขํ ชีวิสฺสามี’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ชีวิตมโท นามฯ

    ‘Ahaṃ ciraṃ jīviṃ, ciraṃ jīvāmi, ciraṃ jīvissāmi; sukhaṃ jīviṃ, sukhaṃ jīvāmi, sukhaṃ jīvissāmī’ti majjanavasena uppanno māno jīvitamado nāma.

    ‘อหํ ลาภี, อวเสสา สตฺตา อปฺปลาภา, มยฺหํ ปน ลาภสฺส ปมาณํ นาม นตฺถี’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ลาภมโท นามฯ

    ‘Ahaṃ lābhī, avasesā sattā appalābhā, mayhaṃ pana lābhassa pamāṇaṃ nāma natthī’ti majjanavasena uppanno māno lābhamado nāma.

    ‘อวเสสา สตฺตา ยํ วา ตํ วา ลภนฺติ, อหํ ปน สุกตํ ปณีตํ จีวราทิปจฺจยํ ลภามี’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน สกฺการมโท นามฯ

    ‘Avasesā sattā yaṃ vā taṃ vā labhanti, ahaṃ pana sukataṃ paṇītaṃ cīvarādipaccayaṃ labhāmī’ti majjanavasena uppanno māno sakkāramado nāma.

    ‘อวเสสภิกฺขูนํ ปาทปิฎฺฐิยํ อกฺกมิตฺวา คจฺฉนฺตา มนุสฺสา อยํ สมโณติปิ น วนฺทนฺติ, มํ ปน ทิสฺวาว วนฺทนฺติ, ปาสาณจฺฉตฺตํ วิย ครุํ กตฺวา อคฺคิกฺขนฺธํ วิย จ ทุราสทํ กตฺวา มญฺญนฺตี’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ครุการมโท นามฯ

    ‘Avasesabhikkhūnaṃ pādapiṭṭhiyaṃ akkamitvā gacchantā manussā ayaṃ samaṇotipi na vandanti, maṃ pana disvāva vandanti, pāsāṇacchattaṃ viya garuṃ katvā aggikkhandhaṃ viya ca durāsadaṃ katvā maññantī’ti majjanavasena uppanno māno garukāramado nāma.

    ‘อุปฺปโนฺน ปโญฺห มยฺหเมว มุเขน ฉิชฺชติ, ภิกฺขาจารํ คจฺฉนฺตาปิ มเมว ปุรโต กตฺวา ปริวาเรตฺวา คจฺฉนฺตี’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ปุเรกฺขารมโท นามฯ

    ‘Uppanno pañho mayhameva mukhena chijjati, bhikkhācāraṃ gacchantāpi mameva purato katvā parivāretvā gacchantī’ti majjanavasena uppanno māno purekkhāramado nāma.

    อคาริกสฺส ตาว มหาปริวารสฺส ‘ปุริสสตมฺปิ ปุริสสหสฺสมฺปิ มํ ปริวาเรติ,’ อนคาริยสฺส ปน ‘สมณสตมฺปิ สมณสหสฺสมฺปิ มํ ปริวาเรติ, เสสา อปฺปปริวารา, อหํ มหาปริวาโร เจว สุจิปริวาโร จา’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ปริวารมโท นามฯ

    Agārikassa tāva mahāparivārassa ‘purisasatampi purisasahassampi maṃ parivāreti,’ anagāriyassa pana ‘samaṇasatampi samaṇasahassampi maṃ parivāreti, sesā appaparivārā, ahaṃ mahāparivāro ceva suciparivāro cā’ti majjanavasena uppanno māno parivāramado nāma.

    โภโค ปน กิญฺจาปิ ลาภคฺคหเณเนว คหิโต โหติ, อิมสฺมิํ ปน ฐาเน นิเกฺขปราสิ นาม คหิโต; ตสฺมา ‘อวเสสา สตฺตา อตฺตโน ปริโภคมตฺตมฺปิ น ลภนฺติ, มยฺหํ ปน นิธานคตเสฺสว ธนสฺส ปมาณํ นตฺถี’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน โภคมโท นามฯ

    Bhogo pana kiñcāpi lābhaggahaṇeneva gahito hoti, imasmiṃ pana ṭhāne nikkheparāsi nāma gahito; tasmā ‘avasesā sattā attano paribhogamattampi na labhanti, mayhaṃ pana nidhānagatasseva dhanassa pamāṇaṃ natthī’ti majjanavasena uppanno māno bhogamado nāma.

    วณฺณํ ปฎิจฺจาติ สรีรวณฺณมฺปิ คุณวณฺณมฺปิ ปฎิจฺจฯ ‘อวเสสา สตฺตา ทุพฺพณฺณา ทุรูปา, อหํ ปน อภิรูโป ปาสาทิโก; อวเสสา สตฺตา นิคฺคุณา ปตฺถฎอกิตฺติโน, มยฺหํ ปน กิตฺติสโทฺท เทวมนุเสฺสสุ ปากโฎ – อิติปิ เถโร พหุสฺสุโต, อิติปิ สีลวา, อิติปิ ธุตคุณยุโตฺต’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน วณฺณมโท นามฯ

    Vaṇṇaṃpaṭiccāti sarīravaṇṇampi guṇavaṇṇampi paṭicca. ‘Avasesā sattā dubbaṇṇā durūpā, ahaṃ pana abhirūpo pāsādiko; avasesā sattā nigguṇā patthaṭaakittino, mayhaṃ pana kittisaddo devamanussesu pākaṭo – itipi thero bahussuto, itipi sīlavā, itipi dhutaguṇayutto’ti majjanavasena uppanno māno vaṇṇamado nāma.

    ‘อวเสสา สตฺตา อปฺปสฺสุตา, อหํ ปน พหุสฺสุโต’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน สุตมโท นามฯ

    ‘Avasesā sattā appassutā, ahaṃ pana bahussuto’ti majjanavasena uppanno māno sutamado nāma.

    ‘อวเสสา สตฺตา อปฺปฎิภานา, มยฺหํ ปน ปฎิภานสฺส ปมาณํ นตฺถี’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ปฎิภานมโท นามฯ

    ‘Avasesā sattā appaṭibhānā, mayhaṃ pana paṭibhānassa pamāṇaṃ natthī’ti majjanavasena uppanno māno paṭibhānamado nāma.

    ‘อหํ รตฺตญฺญู อสุกํ พุทฺธวํสํ, ราชวํสํ, ชนปทวํสํ, คามวํสํ, รตฺตินฺทิวปริเจฺฉทํ, นกฺขตฺตมุหุตฺตโยคํ ชานามี’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน รตฺตญฺญุมโท นามฯ

    ‘Ahaṃ rattaññū asukaṃ buddhavaṃsaṃ, rājavaṃsaṃ, janapadavaṃsaṃ, gāmavaṃsaṃ, rattindivaparicchedaṃ, nakkhattamuhuttayogaṃ jānāmī’ti majjanavasena uppanno māno rattaññumado nāma.

    ‘อวเสสา ภิกฺขู อนฺตรา ปิณฺฑปาติกา ชาตา, อหํ ปน ชาติปิณฺฑปาติโก’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ปิณฺฑปาติกมโท นามฯ

    ‘Avasesā bhikkhū antarā piṇḍapātikā jātā, ahaṃ pana jātipiṇḍapātiko’ti majjanavasena uppanno māno piṇḍapātikamado nāma.

    ‘อวเสสา สตฺตา อุญฺญาตา อวญฺญาตา, อหํ ปน อนุญฺญาโต อนวญฺญาโต’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน อนวญฺญาตมโท นามฯ

    ‘Avasesā sattā uññātā avaññātā, ahaṃ pana anuññāto anavaññāto’ti majjanavasena uppanno māno anavaññātamado nāma.

    ‘อวเสสานํ อิริยาปโถ อปาสาทิโก, มยฺหํ ปน ปาสาทิโก’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน อิริยาปถมโท นามฯ

    ‘Avasesānaṃ iriyāpatho apāsādiko, mayhaṃ pana pāsādiko’ti majjanavasena uppanno māno iriyāpathamado nāma.

    ‘อวเสสา สตฺตา ฉินฺนปกฺขกากสทิสา, อหํ ปน มหิทฺธิโก มหานุภาโว’ติ วา ‘อหํ ยํ ยํ กมฺมํ กโรมิ, ตํ ตํ อิชฺฌตี’ติ วา มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน อิทฺธิมโท นามฯ

    ‘Avasesā sattā chinnapakkhakākasadisā, ahaṃ pana mahiddhiko mahānubhāvo’ti vā ‘ahaṃ yaṃ yaṃ kammaṃ karomi, taṃ taṃ ijjhatī’ti vā majjanavasena uppanno māno iddhimado nāma.

    เหฎฺฐา ปริวารคฺคหเณน ยโส คหิโตว โหติฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน อุปฎฺฐากมโท นาม คหิโตฯ โส อคาริเกนปิ อนคาริเกนปิ ทีเปตโพฺพฯ อคาริโก หิ เอกโจฺจ อฎฺฐารสสุ เสณีสุ เอกิสฺสา เชฎฺฐโก โหติ, ตสฺส ‘อวเสเส ปุริเส อหํ ปฎฺฐเปมิ, อหํ วิจาเรมี’ติ ; อนคาริโกปิ เอกโจฺจ กตฺถจิ เชฎฺฐโก โหติ, ตสฺส ‘อวเสสา ภิกฺขู มยฺหํ โอวาเท วตฺตนฺติ, อหํ เชฎฺฐโก’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ยสมโท นามฯ

    Heṭṭhā parivāraggahaṇena yaso gahitova hoti. Imasmiṃ pana ṭhāne upaṭṭhākamado nāma gahito. So agārikenapi anagārikenapi dīpetabbo. Agāriko hi ekacco aṭṭhārasasu seṇīsu ekissā jeṭṭhako hoti, tassa ‘avasese purise ahaṃ paṭṭhapemi, ahaṃ vicāremī’ti ; anagārikopi ekacco katthaci jeṭṭhako hoti, tassa ‘avasesā bhikkhū mayhaṃ ovāde vattanti, ahaṃ jeṭṭhako’ti majjanavasena uppanno māno yasamado nāma.

    ‘อวเสสา สตฺตา ทุสฺสีลา, อหํ ปน สีลวา’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน สีลมโท นามฯ ‘อวเสสสตฺตานํ กุกฺกุฎสฺส อุทกปานมเตฺตปิ กาเล จิเตฺตกคฺคตา นตฺถิ, อหํ ปน อุปจารปฺปนานํ ลาภี’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ฌานมโท นามฯ

    ‘Avasesā sattā dussīlā, ahaṃ pana sīlavā’ti majjanavasena uppanno māno sīlamado nāma. ‘Avasesasattānaṃ kukkuṭassa udakapānamattepi kāle cittekaggatā natthi, ahaṃ pana upacārappanānaṃ lābhī’ti majjanavasena uppanno māno jhānamado nāma.

    ‘อวเสสา สตฺตา นิสฺสิปฺปา, อหํ ปน สิปฺปวา’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน สิปฺปมโท นามฯ ‘อวเสสา สตฺตา รสฺสา, อหํ ปน ทีโฆ’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน อาโรหมโท นามฯ ‘อวเสสา สตฺตา รสฺสา วา โหนฺติ ทีฆา วา, อหํ นิโคฺรธปริมณฺฑโล’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ปริณาหมโท นามฯ ‘อวเสสสตฺตานํ สรีรสณฺฐานํ วิรูปํ พีภจฺฉํ, มยฺหํ ปน มนาปํ ปาสาทิก’นฺติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน สณฺฐานมโท นามฯ ‘อวเสสานํ สตฺตานํ สรีเร พหู โทสา, มยฺหํ ปน สรีเร เกสคฺคมตฺตมฺปิ วชฺชํ นตฺถี’ติ มชฺชนวเสน อุปฺปโนฺน มาโน ปาริปูริมโท นามฯ

    ‘Avasesā sattā nissippā, ahaṃ pana sippavā’ti majjanavasena uppanno māno sippamado nāma. ‘Avasesā sattā rassā, ahaṃ pana dīgho’ti majjanavasena uppanno māno ārohamado nāma. ‘Avasesā sattā rassā vā honti dīghā vā, ahaṃ nigrodhaparimaṇḍalo’ti majjanavasena uppanno māno pariṇāhamado nāma. ‘Avasesasattānaṃ sarīrasaṇṭhānaṃ virūpaṃ bībhacchaṃ, mayhaṃ pana manāpaṃ pāsādika’nti majjanavasena uppanno māno saṇṭhānamado nāma. ‘Avasesānaṃ sattānaṃ sarīre bahū dosā, mayhaṃ pana sarīre kesaggamattampi vajjaṃ natthī’ti majjanavasena uppanno māno pāripūrimado nāma.

    ๘๔๕. อิมินา เอตฺตเกน ฐาเนน สวตฺถุกํ มานํ กเถตฺวา อิทานิ อวตฺถุกํ นิพฺพตฺติตมานเมว ทเสฺสโนฺต ตตฺถ กตโม มโทติอาทิมาหฯ ตํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    845. Iminā ettakena ṭhānena savatthukaṃ mānaṃ kathetvā idāni avatthukaṃ nibbattitamānameva dassento tattha katamo madotiādimāha. Taṃ uttānatthameva.

    ๘๔๖. ปมาทนิเทฺทเส จิตฺตสฺส โวสฺสโคฺคติ อิเมสุ เอตฺตเกสุ ฐาเนสุ สติยา อนิคฺคณฺหิตฺวา จิตฺตสฺส โวสฺสชฺชนํ; สติวิรโหติ อโตฺถฯ โวสฺสคฺคานุปฺปทานนฺติ โวสฺสคฺคสฺส อนุปฺปทานํ; ปุนปฺปุนํ วิสฺสชฺชนนฺติ อโตฺถฯ อสกฺกจฺจกิริยตาติ เอเตสํ ทานาทีนํ กุสลธมฺมานํ ภาวนาย ปุคฺคลสฺส วา เทยฺยธมฺมสฺส วา อสกฺกจฺจกรณวเสน อสกฺกจฺจกิริยาฯ สตตภาโว สาตจฺจํฯ น สตตภาโว อสาตจฺจํฯ น สาตจฺจกิริยตา อสาตจฺจกิริยตาฯ อนฎฺฐิตกรณํ อนฎฺฐิตกิริยตาฯ ยถา นาม กกณฺฎโก โถกํ คนฺตฺวา โถกํ ติฎฺฐติ, น นิรนฺตรํ คจฺฉติ, เอวเมว โย ปุคฺคโล เอกทิวสํ ทานํ วา ทตฺวา ปูชํ วา กตฺวา ธมฺมํ วา สุตฺวา สมณธมฺมํ วา กตฺวา ปุน จิรสฺสํ กโรติ, น นิรนฺตรํ ปวเตฺตติ, ตสฺส สา กิริยา อนฎฺฐิตกิริยตาติ วุจฺจติฯ โอลีนวุตฺติตาติ นิรนฺตรกรณสงฺขาตสฺส วิปฺผารเสฺสว อภาเวน ลีนวุตฺติตาฯ นิกฺขิตฺตฉนฺทตาติ กุสลกิริยาย วีริยฉนฺทสฺส นิกฺขิตฺตภาโวฯ นิกฺขิตฺตธุรตาติ วีริยธุรสฺส โอโรปนํ, โอสกฺกิตมานสตาติ อโตฺถฯ อนธิฎฺฐานนฺติ กุสลกรเณ ปติฎฺฐาภาโวฯ อนนุโยโคติ อนนุยุญฺชนํฯ ปมาโทติ ปมชฺชนํฯ โย เอวรูโป ปมาโทติ อิทํ อตฺถปริยายสฺส พฺยญฺชนปริยายสฺส จ ปริยนฺตาภาวโต อาการทสฺสนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยฺวายํ อาทิโต ปฎฺฐาย ทสฺสิโต ปมาโท, โย อโญฺญปิ เอวมากาโร เอวํชาติโก ปมาโท ปมชฺชนาการวเสน ปมชฺชนา, ปมชฺชิตภาววเสน ปมชฺชิตตฺตนฺติ สงฺขํ คโต – อยํ วุจฺจติ ปมาโทติฯ ลกฺขณโต ปเนส ปญฺจสุ กามคุเณสุ สติโวสฺสคฺคลกฺขโณ, ตเตฺถว สติยา วิสฺสฎฺฐากาโร เวทิตโพฺพฯ

    846. Pamādaniddese cittassa vossaggoti imesu ettakesu ṭhānesu satiyā aniggaṇhitvā cittassa vossajjanaṃ; sativirahoti attho. Vossaggānuppadānanti vossaggassa anuppadānaṃ; punappunaṃ vissajjananti attho. Asakkaccakiriyatāti etesaṃ dānādīnaṃ kusaladhammānaṃ bhāvanāya puggalassa vā deyyadhammassa vā asakkaccakaraṇavasena asakkaccakiriyā. Satatabhāvo sātaccaṃ. Na satatabhāvo asātaccaṃ. Na sātaccakiriyatā asātaccakiriyatā. Anaṭṭhitakaraṇaṃ anaṭṭhitakiriyatā. Yathā nāma kakaṇṭako thokaṃ gantvā thokaṃ tiṭṭhati, na nirantaraṃ gacchati, evameva yo puggalo ekadivasaṃ dānaṃ vā datvā pūjaṃ vā katvā dhammaṃ vā sutvā samaṇadhammaṃ vā katvā puna cirassaṃ karoti, na nirantaraṃ pavatteti, tassa sā kiriyā anaṭṭhitakiriyatāti vuccati. Olīnavuttitāti nirantarakaraṇasaṅkhātassa vipphārasseva abhāvena līnavuttitā. Nikkhittachandatāti kusalakiriyāya vīriyachandassa nikkhittabhāvo. Nikkhittadhuratāti vīriyadhurassa oropanaṃ, osakkitamānasatāti attho. Anadhiṭṭhānanti kusalakaraṇe patiṭṭhābhāvo. Ananuyogoti ananuyuñjanaṃ. Pamādoti pamajjanaṃ. Yo evarūpo pamādoti idaṃ atthapariyāyassa byañjanapariyāyassa ca pariyantābhāvato ākāradassanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yvāyaṃ ādito paṭṭhāya dassito pamādo, yo aññopi evamākāro evaṃjātiko pamādo pamajjanākāravasena pamajjanā, pamajjitabhāvavasena pamajjitattanti saṅkhaṃ gato – ayaṃ vuccati pamādoti. Lakkhaṇato panesa pañcasu kāmaguṇesu sativossaggalakkhaṇo, tattheva satiyā vissaṭṭhākāro veditabbo.

    ๘๔๗. ถมฺภนิเทฺทเส ถทฺธเฎฺฐน ถโมฺภ; ขลิยา ถทฺธสาฎกสฺส วิย จิตฺตสฺส ถทฺธตา เอตฺถ กถิตาฯ ถมฺภนากาโร ถมฺภนาฯ ถมฺภิตสฺส ภาโว ถมฺภิตตฺตํฯ กกฺขฬสฺส ปุคฺคลสฺส ภาโว กกฺขฬิยํฯ ผรุสสฺส ปุคฺคลสฺส ภาโว ผารุสิยํฯ อภิวาทนาทิสามีจิรหานํ ตสฺสา สามีจิยา อกรณวเสน อุชุเมว ฐปิตจิตฺตภาโว อุชุจิตฺตตาฯ ถทฺธสฺส อมุทุโน ภาโว อมุทุตาอยํ วุจฺจตีติ อยํ ถโมฺภ นาม วุจฺจติ, เยน สมนฺนาคโต ปุคฺคโล คิลิตนงฺคลสีโส วิย อชคโร, วาตภริตา วิย ภสฺตา เจติยํ วา วุฑฺฒตเร วา ทิสฺวา โอนมิตุํ น สโกฺกติ, ปริยเนฺตเนว จรติฯ สฺวายํ จิตฺตสฺส อุทฺธุมาตภาวลกฺขโณติ เวทิตโพฺพฯ

    847. Thambhaniddese thaddhaṭṭhena thambho; khaliyā thaddhasāṭakassa viya cittassa thaddhatā ettha kathitā. Thambhanākāro thambhanā. Thambhitassa bhāvo thambhitattaṃ. Kakkhaḷassa puggalassa bhāvo kakkhaḷiyaṃ. Pharusassa puggalassa bhāvo phārusiyaṃ. Abhivādanādisāmīcirahānaṃ tassā sāmīciyā akaraṇavasena ujumeva ṭhapitacittabhāvo ujucittatā. Thaddhassa amuduno bhāvo amudutā. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ thambho nāma vuccati, yena samannāgato puggalo gilitanaṅgalasīso viya ajagaro, vātabharitā viya bhastā cetiyaṃ vā vuḍḍhatare vā disvā onamituṃ na sakkoti, pariyanteneva carati. Svāyaṃ cittassa uddhumātabhāvalakkhaṇoti veditabbo.

    ๘๔๘. สารมฺภนิเทฺทเส สารมฺภนวเสน สารโมฺภฯ ปฎิปฺผริตฺวา สารโมฺภ ปฎิสารโมฺภฯ สารมฺภนากาโร สารมฺภนาฯ ปฎิปฺผริตฺวา สารมฺภนา ปฎิสารมฺภนาฯ ปฎิสารมฺภิตสฺส ภาโว ปฎิสารมฺภิตตฺตํฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ สารโมฺภ นาม วุจฺจติฯ สฺวายํ ลกฺขณโต กรณุตฺตริยลกฺขโณ นาม วุจฺจติ, เยน สมนฺนาคโต ปุคฺคโล ตทฺทิคุณํ ตทฺทิคุณํ กโรติฯ อคาริโก สมาโน เอเกเนกสฺมิํ ฆรวตฺถุสฺมิํ สชฺชิเต อปโร เทฺว วตฺถูนิ สเชฺชติ, อปโร จตฺตาริ, อปโร อฎฺฐ, อปโร โสฬสฯ อนคาริโก สมาโน เอเกเนกสฺมิํ นิกาเย คหิเต, ‘นาหํ เอตสฺส เหฎฺฐา ภวิสฺสามี’ติ อปโร เทฺว คณฺหาติ, อปโร ตโย, อปโร จตฺตาโร, อปโร ปญฺจฯ สารมฺภวเสน หิ คณฺหิตุํ น วฎฺฎติฯ อกุสลปโกฺข เอส นิรยคามิมโคฺคฯ กุสลปกฺขวเสน ปน เอกสฺมิํ เอกํ สลากภตฺตํ เทเนฺต เทฺว ทาตุํ, เทฺว เทเนฺต จตฺตาริ ทาตุํ วฎฺฎติฯ ภิกฺขุนาปิ ปเรน เอกสฺมิํ นิกาเย คหิเต, ‘เทฺว นิกาเย คเหตฺวา สชฺฌายนฺตสฺส เม ผาสุ โหตี’ติ วิวฎฺฎปเกฺข ฐตฺวา ตทุตฺตริ คณฺหิตุํ วฎฺฎติฯ

    848. Sārambhaniddese sārambhanavasena sārambho. Paṭippharitvā sārambho paṭisārambho. Sārambhanākāro sārambhanā. Paṭippharitvā sārambhanā paṭisārambhanā. Paṭisārambhitassa bhāvo paṭisārambhitattaṃ. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ sārambho nāma vuccati. Svāyaṃ lakkhaṇato karaṇuttariyalakkhaṇo nāma vuccati, yena samannāgato puggalo taddiguṇaṃ taddiguṇaṃ karoti. Agāriko samāno ekenekasmiṃ gharavatthusmiṃ sajjite aparo dve vatthūni sajjeti, aparo cattāri, aparo aṭṭha, aparo soḷasa. Anagāriko samāno ekenekasmiṃ nikāye gahite, ‘nāhaṃ etassa heṭṭhā bhavissāmī’ti aparo dve gaṇhāti, aparo tayo, aparo cattāro, aparo pañca. Sārambhavasena hi gaṇhituṃ na vaṭṭati. Akusalapakkho esa nirayagāmimaggo. Kusalapakkhavasena pana ekasmiṃ ekaṃ salākabhattaṃ dente dve dātuṃ, dve dente cattāri dātuṃ vaṭṭati. Bhikkhunāpi parena ekasmiṃ nikāye gahite, ‘dve nikāye gahetvā sajjhāyantassa me phāsu hotī’ti vivaṭṭapakkhe ṭhatvā taduttari gaṇhituṃ vaṭṭati.

    ๘๔๙. อตฺริจฺฉตานิเทฺทเส ยถา อริยวํสสุเตฺต (อ. นิ. ๔.๒๘) ‘ลามกลามกโฎฺฐ อิตรีตรโฎฺฐ’ เอวํ อคฺคเหตฺวา จีวราทีสุ ยํ ยํ ลทฺธํ โหติ, เตน เตน อสนฺตุฎฺฐสฺส; คิหิโน วา ปน รูปสทฺทคนฺธรสโผฎฺฐเพฺพสุ ยํ ยํ ลทฺธํ โหติ, เตน เตน อสนฺตุฎฺฐสฺสฯ ภิโยฺยกมฺยตาติ วิเสสกามตาฯ อิจฺฉนกวเสน อิจฺฉาฯ อิจฺฉาว อิจฺฉาคตา, อิจฺฉนากาโร วาฯ อตฺตโน ลาภํ อติจฺจ อิจฺฉนภาโว อติจฺฉตาฯ ราโคติอาทีนิ เหฎฺฐา วุตฺตตฺถาเนวฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ อติจฺฉตา นาม วุจฺจติฯ อตฺริจฺฉตาติปิ เอติสฺสา เอว นามํฯ ลกฺขณโต ปน สกลาเภ อสนฺตุฎฺฐิ ปรลาเภ จ ปตฺถนา – เอตํ อตฺริจฺฉตาลกฺขณํฯ อตฺริจฺฉปุคฺคลสฺส หิ อตฺตนา ลทฺธํ ปณีตมฺปิ ลามกํ วิย ขายติ, ปเรน ลทฺธํ ลามกมฺปิ ปณีตํ วิย ขายติ; เอกภาชเน ปกฺกยาคุ วา ภตฺตํ วา ปูโว วา อตฺตโน ปเตฺต ปกฺขิโตฺต ลามโก วิย, ปรสฺส ปเตฺต ปณีโต วิย ขายติฯ อยํ ปน อตฺริจฺฉตา ปพฺพชิตานมฺปิ โหติ คิหีนมฺปิ ติรจฺฉานคตานมฺปิฯ

    849. Atricchatāniddese yathā ariyavaṃsasutte (a. ni. 4.28) ‘lāmakalāmakaṭṭho itarītaraṭṭho’ evaṃ aggahetvā cīvarādīsu yaṃ yaṃ laddhaṃ hoti, tena tena asantuṭṭhassa; gihino vā pana rūpasaddagandharasaphoṭṭhabbesu yaṃ yaṃ laddhaṃ hoti, tena tena asantuṭṭhassa. Bhiyyokamyatāti visesakāmatā. Icchanakavasena icchā. Icchāva icchāgatā, icchanākāro vā. Attano lābhaṃ aticca icchanabhāvo aticchatā. Rāgotiādīni heṭṭhā vuttatthāneva. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ aticchatā nāma vuccati. Atricchatātipi etissā eva nāmaṃ. Lakkhaṇato pana sakalābhe asantuṭṭhi paralābhe ca patthanā – etaṃ atricchatālakkhaṇaṃ. Atricchapuggalassa hi attanā laddhaṃ paṇītampi lāmakaṃ viya khāyati, parena laddhaṃ lāmakampi paṇītaṃ viya khāyati; ekabhājane pakkayāgu vā bhattaṃ vā pūvo vā attano patte pakkhitto lāmako viya, parassa patte paṇīto viya khāyati. Ayaṃ pana atricchatā pabbajitānampi hoti gihīnampi tiracchānagatānampi.

    ตตฺริมานิ วตฺถูนิ – เอโก กิร กุฎุมฺพิโก ติํส ภิกฺขุนิโย นิมเนฺตตฺวา สปูวํ ภตฺตํ อทาสิ ฯ สงฺฆเตฺถรี สพฺพภิกฺขูนีนํ ปเตฺต ปูวํ ปริวตฺตาเปตฺวา ปจฺฉา อตฺตนา ลทฺธเมว ขาทิฯ พาราณสิราชาปิ ‘องฺคารปกฺกมํสํ ขาทิสฺสามี’ติ เทวิํ อาทาย อรญฺญํ ปวิโฎฺฐ เอกํ กินฺนริํ ทิสฺวา, เทวิํ ปหาย, ตสฺสานุปทํ คโตฯ เทวี นิวตฺติตฺวา อสฺสมปทํ คนฺตฺวา กสิณปริกมฺมํ กตฺวา อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปญฺจ จ อภิญฺญาโย ปตฺวา นิสินฺนา ราชานํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อากาเส อุปฺปติตฺวา อคมาสิฯ รุเกฺข อธิวตฺถา เทวตา อิมํ คาถมาห –

    Tatrimāni vatthūni – eko kira kuṭumbiko tiṃsa bhikkhuniyo nimantetvā sapūvaṃ bhattaṃ adāsi . Saṅghattherī sabbabhikkhūnīnaṃ patte pūvaṃ parivattāpetvā pacchā attanā laddhameva khādi. Bārāṇasirājāpi ‘aṅgārapakkamaṃsaṃ khādissāmī’ti deviṃ ādāya araññaṃ paviṭṭho ekaṃ kinnariṃ disvā, deviṃ pahāya, tassānupadaṃ gato. Devī nivattitvā assamapadaṃ gantvā kasiṇaparikammaṃ katvā aṭṭha samāpattiyo pañca ca abhiññāyo patvā nisinnā rājānaṃ āgacchantaṃ disvā ākāse uppatitvā agamāsi. Rukkhe adhivatthā devatā imaṃ gāthamāha –

    อตฺริจฺฉํ อติโลเภน, อติโลภมเทน จ;

    Atricchaṃ atilobhena, atilobhamadena ca;

    เอวํ หายติ อตฺถมฺหา, อหํว อสิตาภุยาติฯ (ชา. ๑.๒.๑๖๘);

    Evaṃ hāyati atthamhā, ahaṃva asitābhuyāti. (jā. 1.2.168);

    ยถา จนฺทกินฺนริํ ปตฺถยโนฺต อสิตาภุยา ราชธีตาย หีโน ปริหีโน, เอวํ อตฺริจฺฉํ อติโลเภน อตฺถมฺห หายติ ชียตีติ เทวตา รญฺญา สทฺธิํ เกฬิมกาสิฯ

    Yathā candakinnariṃ patthayanto asitābhuyā rājadhītāya hīno parihīno, evaṃ atricchaṃ atilobhena atthamha hāyati jīyatīti devatā raññā saddhiṃ keḷimakāsi.

    กสฺสปพุทฺธกาเลปิ มิตฺตวินฺทโก นาม เสฎฺฐิปุโตฺต อสฺสโทฺธ อปฺปสโนฺน มาตรา ‘ตาต, อชฺช อุโปสถิโก หุตฺวา วิหาเร สพฺพรตฺติํ ธมฺมสวนํ สุณ, สหสฺสํ เต ทสฺสามี’ติ วุเตฺต ธนโลเภน อุโปสถงฺคานิ สมาทาย วิหารํ คนฺตฺวา ‘อิทํ ฐานํ อกุโตภย’นฺติ สลฺลเกฺขตฺวา ธมฺมาสนสฺส เหฎฺฐา นิปโนฺน สพฺพรตฺติํ นิทฺทายิตฺวา ฆรํ อคมาสิฯ มาตา ปาโตว ยาคุํ ปจิตฺวา อุปนาเมสิฯ โส สหสฺสํ คเหตฺวาว ยาคุํ ปิวิฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘ธนํ สํหริสฺสามี’ติฯ โส นาวาย สมุทฺทํ ปกฺขนฺทิตุกาโม อโหสิฯ อถ นํ มาตา ‘‘ตาต, อิมสฺมิํ กุเล จตฺตาลีสโกฎิธนํ อตฺถิ; อลํ คมเนนา’’ติ วาเรสิฯ โส ตสฺสา วจนํ อนาทิยิตฺวา คจฺฉติ เอวฯ สา ปุรโต อฎฺฐาสิฯ อถ นํ กุชฺฌิตฺวา ‘อยํ มยฺหํ ปุรโต ติฎฺฐตี’ติ ปาเทน ปหริตฺวา ปติตํ มาตรํ อนฺตรํ กตฺวา อคมาสิฯ มาตา อุฎฺฐหิตฺวา ‘‘มาทิสาย มาตริ เอวรูปํ กมฺมํ กตฺวา คตสฺส เม คตฎฺฐาเน สุขํ ภวิสฺสตี’’ติ เอวํสญฺญี นาม ตฺวํ ปุตฺตาติ อาหฯ ตสฺส นาวํ อารุยฺห คจฺฉโต สตฺตเม ทิวเส นาวา อฎฺฐาสิฯ อถ เต มนุสฺสา ‘‘อทฺธา เอตฺถ ปาปปุริโส อตฺถิ; สลากํ เทถา’’ติ สลากา ทียมานา ตเสฺสว ติกฺขตฺตุํ ปาปุณิฯ เต ตสฺส อุฬุมฺปํ ทตฺวา ตํ สมุเทฺท ปกฺขิปิํสุฯ โส เอกํ ทีปํ คนฺตฺวา วิมานเปตีหิ สทฺธิํ สมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต ตาหิ ‘‘ปุรโต มา อคมาสี’’ติ วุจฺจมาโนปิ ตทฺทิคุณํ สมฺปตฺติํ ปสฺสโนฺต อนุปุเพฺพน ขุรจกฺกธรํ เอกํ ปุริสํ อทฺทสฯ ตสฺส ตํ จกฺกํ ปทุมปุปฺผํ วิย อุปฎฺฐาติฯ โส ตํ อาห – ‘‘อโมฺภ, อิทํ ตยา ปิฬนฺธปทุมํ มยฺหํ เทหี’’ติฯ ‘‘นยิทํ, สามิ , ปทุมํ; ขุรจกฺกํ เอต’’นฺติฯ โส ‘‘วเญฺจสิ มํ ตฺวํฯ กิํ เม ปทุมํ น ทิฎฺฐปุพฺพ’’นฺติ วตฺวา ‘‘ตฺวญฺหิ โลหิตจนฺทนํ ลิเมฺปตฺวา ปิฬนฺธนํ ปทุมปุปฺผํ มยฺหํ น ทาตุกาโมสี’’ติ อาหฯ โส จิเนฺตสิ – ‘อยมฺปิ มยา กตสทิสํ กมฺมํ กตฺวา ตสฺส ผลํ อนุภวิตุกาโม’ติฯ อถ นํ ‘‘หนฺท เร’’ติ วตฺวา ตสฺส มตฺถเก จกฺกํ ปกฺขิปิตฺวา ปลายิฯ เอตมตฺถํ วิทิตฺวา สตฺถา อิมํ คาถมาห –

    Kassapabuddhakālepi mittavindako nāma seṭṭhiputto assaddho appasanno mātarā ‘tāta, ajja uposathiko hutvā vihāre sabbarattiṃ dhammasavanaṃ suṇa, sahassaṃ te dassāmī’ti vutte dhanalobhena uposathaṅgāni samādāya vihāraṃ gantvā ‘idaṃ ṭhānaṃ akutobhaya’nti sallakkhetvā dhammāsanassa heṭṭhā nipanno sabbarattiṃ niddāyitvā gharaṃ agamāsi. Mātā pātova yāguṃ pacitvā upanāmesi. So sahassaṃ gahetvāva yāguṃ pivi. Athassa etadahosi – ‘dhanaṃ saṃharissāmī’ti. So nāvāya samuddaṃ pakkhanditukāmo ahosi. Atha naṃ mātā ‘‘tāta, imasmiṃ kule cattālīsakoṭidhanaṃ atthi; alaṃ gamanenā’’ti vāresi. So tassā vacanaṃ anādiyitvā gacchati eva. Sā purato aṭṭhāsi. Atha naṃ kujjhitvā ‘ayaṃ mayhaṃ purato tiṭṭhatī’ti pādena paharitvā patitaṃ mātaraṃ antaraṃ katvā agamāsi. Mātā uṭṭhahitvā ‘‘mādisāya mātari evarūpaṃ kammaṃ katvā gatassa me gataṭṭhāne sukhaṃ bhavissatī’’ti evaṃsaññī nāma tvaṃ puttāti āha. Tassa nāvaṃ āruyha gacchato sattame divase nāvā aṭṭhāsi. Atha te manussā ‘‘addhā ettha pāpapuriso atthi; salākaṃ dethā’’ti salākā dīyamānā tasseva tikkhattuṃ pāpuṇi. Te tassa uḷumpaṃ datvā taṃ samudde pakkhipiṃsu. So ekaṃ dīpaṃ gantvā vimānapetīhi saddhiṃ sampattiṃ anubhavanto tāhi ‘‘purato mā agamāsī’’ti vuccamānopi taddiguṇaṃ sampattiṃ passanto anupubbena khuracakkadharaṃ ekaṃ purisaṃ addasa. Tassa taṃ cakkaṃ padumapupphaṃ viya upaṭṭhāti. So taṃ āha – ‘‘ambho, idaṃ tayā piḷandhapadumaṃ mayhaṃ dehī’’ti. ‘‘Nayidaṃ, sāmi , padumaṃ; khuracakkaṃ eta’’nti. So ‘‘vañcesi maṃ tvaṃ. Kiṃ me padumaṃ na diṭṭhapubba’’nti vatvā ‘‘tvañhi lohitacandanaṃ limpetvā piḷandhanaṃ padumapupphaṃ mayhaṃ na dātukāmosī’’ti āha. So cintesi – ‘ayampi mayā katasadisaṃ kammaṃ katvā tassa phalaṃ anubhavitukāmo’ti. Atha naṃ ‘‘handa re’’ti vatvā tassa matthake cakkaṃ pakkhipitvā palāyi. Etamatthaṃ viditvā satthā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘จตุพฺภิ อฎฺฐชฺฌคมา, อฎฺฐหิ ปิจ โสฬส;

    ‘‘Catubbhi aṭṭhajjhagamā, aṭṭhahi pica soḷasa;

    โสฬสาหิ จ พาตฺติํส, อตฺริจฺฉํ จกฺกมาสโท;

    Soḷasāhi ca bāttiṃsa, atricchaṃ cakkamāsado;

    อิจฺฉาหตสฺส โปสสฺส, จกฺกํ ภมติ มตฺถเก’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๑๐๔);

    Icchāhatassa posassa, cakkaṃ bhamati matthake’’ti. (jā. 1.1.104);

    อญฺญตโรปิ อตฺริโจฺฉ อมโจฺจ สกวิสยํ อติกฺกมิตฺวา ปรวิสยํ ปาวิสิฯ ตตฺถ โปถิโต ปลายิตฺวา เอกสฺส ตาปสสฺส วสนฎฺฐานํ ปวิสิตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย นิปชฺชิฯ โส ตาปเสน ‘กิํ เต กต’นฺติ ปุจฺฉิโต อิมา คาถาโย อภาสิ –

    Aññataropi atriccho amacco sakavisayaṃ atikkamitvā paravisayaṃ pāvisi. Tattha pothito palāyitvā ekassa tāpasassa vasanaṭṭhānaṃ pavisitvā uposathaṅgāni adhiṭṭhāya nipajji. So tāpasena ‘kiṃ te kata’nti pucchito imā gāthāyo abhāsi –

    ‘‘สกํ นิเกตํ อติหีฬยาโน,

    ‘‘Sakaṃ niketaṃ atihīḷayāno,

    อตฺริจฺฉตา มลฺลคามํ อคจฺฉิํ;

    Atricchatā mallagāmaṃ agacchiṃ;

    ตโต ชนา นิกฺขมิตฺวาน คามา,

    Tato janā nikkhamitvāna gāmā,

    โกทณฺฑเกน ปริโปถยิํสุ มํฯ

    Kodaṇḍakena paripothayiṃsu maṃ.

    ‘‘โส ภินฺนสีโส รุหิรมกฺขิตโงฺค,

    ‘‘So bhinnasīso ruhiramakkhitaṅgo,

    ปจฺจาคมาสิํ สกํ นิเกตํ;

    Paccāgamāsiṃ sakaṃ niketaṃ;

    ตสฺมา อหํ โปสถํ ปาลยามิ,

    Tasmā ahaṃ posathaṃ pālayāmi,

    อตฺริจฺฉตา มา ปุนราคมาสี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๔.๑๓๘-๑๓๙);

    Atricchatā mā punarāgamāsī’’ti. (jā. 1.14.138-139);

    ๘๕๐. มหิจฺฉตานิเทฺทเส มหนฺตานิ วตฺถูนิ อิจฺฉติ, มหตี วาสฺส อิจฺฉาติ มหิโจฺฉ, ตสฺส ภาโว มหิจฺฉตาฯ ลกฺขณโต ปน อสนฺตคุณสมฺภาวนตา ปฎิคฺคหเณ จ ปริโภเค จ อมตฺตญฺญุตา – เอตํ มหิจฺฉตาลกฺขณํฯ มหิโจฺฉ หิ ปุคฺคโล ยถา นาม กจฺฉปุฎวาณิโช ปิฬนฺธนภณฺฑกํ หเตฺถน คเหตฺวา อุจฺฉเงฺคปิ ปกฺขิปิตพฺพยุตฺตกํ ปกฺขิปิตฺวา มหาชนสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว ‘‘อมฺมา, อสุกํ คณฺหถ, อสุกํ คณฺหถา’’ติ มุเขน สํวิทหติฯ เอวเมว โส อปฺปมตฺตกมฺปิ อตฺตโน สีลํ วา คนฺถํ วา ธุตคุณํ วา อนฺตมโส อรญฺญวาสมตฺตกมฺปิ มหาชนสฺส ชานนฺตเสฺสว สมฺภาเวตุกาโม โหติ, สมฺภาเวตฺวา จ ปน สกเฎหิปิ อุปนีเต ปจฺจเย ‘อล’นฺติ อวตฺวา คณฺหาติฯ ตโย หิ ปูเรตุํ น สกฺกา – อคฺคิ อุปาทาเนน, สมุโทฺท อุทเกน, มหิโจฺฉ ปจฺจเยหีติฯ

    850. Mahicchatāniddese mahantāni vatthūni icchati, mahatī vāssa icchāti mahiccho, tassa bhāvo mahicchatā. Lakkhaṇato pana asantaguṇasambhāvanatā paṭiggahaṇe ca paribhoge ca amattaññutā – etaṃ mahicchatālakkhaṇaṃ. Mahiccho hi puggalo yathā nāma kacchapuṭavāṇijo piḷandhanabhaṇḍakaṃ hatthena gahetvā ucchaṅgepi pakkhipitabbayuttakaṃ pakkhipitvā mahājanassa passantasseva ‘‘ammā, asukaṃ gaṇhatha, asukaṃ gaṇhathā’’ti mukhena saṃvidahati. Evameva so appamattakampi attano sīlaṃ vā ganthaṃ vā dhutaguṇaṃ vā antamaso araññavāsamattakampi mahājanassa jānantasseva sambhāvetukāmo hoti, sambhāvetvā ca pana sakaṭehipi upanīte paccaye ‘ala’nti avatvā gaṇhāti. Tayo hi pūretuṃ na sakkā – aggi upādānena, samuddo udakena, mahiccho paccayehīti.

    อคฺคิกฺขโนฺธ สมุโทฺท จ, มหิโจฺฉ จาปิ ปุคฺคโล;

    Aggikkhandho samuddo ca, mahiccho cāpi puggalo;

    พหุเก ปจฺจเย เทเนฺต, ตโย เปเต น ปูรเยฯ

    Bahuke paccaye dente, tayo pete na pūraye.

    มหิจฺฉปุคฺคโล หิ วิชาตมาตุยาปิ มนํ คณฺหิตุํ น สโกฺกติ, ปเคว อุปฎฺฐากานํฯ

    Mahicchapuggalo hi vijātamātuyāpi manaṃ gaṇhituṃ na sakkoti, pageva upaṭṭhākānaṃ.

    ตตฺริมานิ วตฺถูนิ – เอโก กิร ทหรภิกฺขุ ปิฎฺฐปูเว ปิยายติฯ อถสฺส มาตา ปฎิปตฺติํ วีมํสมานา ‘สเจ เม ปุโตฺต ปฎิคฺคหเณ มตฺตํ ชานาติ, สกลมฺปิ นํ เตมาสํ ปูเวเหว อุปฎฺฐหิสฺสามี’ติ วสฺสูปนายิกทิวเส ปริวีมํสมานา ปฐมํ เอกํ ปูวํ อทาสิ, ตสฺมิํ นิฎฺฐิเต ทุติยํ, ตสฺมิมฺปิ นิฎฺฐิเต ตติยํฯ ทหโร ‘อล’นฺติ อวตฺวา ขาทิเยวฯ มาตา ตสฺส อมตฺตญฺญุภาวํ ญตฺวา ‘อเชฺชว เม ปุเตฺตน สกลเตมาสสฺส ปูวา ขาทิตา’ติ ทุติยทิวสโต ปฎฺฐาย เอกปูวมฺปิ น อทาสิฯ

    Tatrimāni vatthūni – eko kira daharabhikkhu piṭṭhapūve piyāyati. Athassa mātā paṭipattiṃ vīmaṃsamānā ‘sace me putto paṭiggahaṇe mattaṃ jānāti, sakalampi naṃ temāsaṃ pūveheva upaṭṭhahissāmī’ti vassūpanāyikadivase parivīmaṃsamānā paṭhamaṃ ekaṃ pūvaṃ adāsi, tasmiṃ niṭṭhite dutiyaṃ, tasmimpi niṭṭhite tatiyaṃ. Daharo ‘ala’nti avatvā khādiyeva. Mātā tassa amattaññubhāvaṃ ñatvā ‘ajjeva me puttena sakalatemāsassa pūvā khāditā’ti dutiyadivasato paṭṭhāya ekapūvampi na adāsi.

    ติสฺสมหาราชาปิ เทวสิกํ เจติยปพฺพเต ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานํ ททมาโน ‘มหาราช, กิํ เอกเมว ฐานํ ภชสิ? กิํ อญฺญตฺถ ทาตุํ น วฎฺฎตี’ติ ชานปเทหิ วุโตฺต ทุติยทิวเส อนุราธปุเร มหาทานํ ทาเปสิฯ เอกภิกฺขุปิ ปฎิคฺคหเณ มตฺตํ น อญฺญาสิฯ เอกเมเกน ปฎิคฺคหิตํ ขาทนียโภชนียํ เทฺว ตโย ชนา อุกฺขิปิํสุฯ ราชา ทุติยทิวเส เจติยปพฺพเต ภิกฺขุสงฺฆํ นิมนฺตาเปตฺวา ราชเนฺตปุรํ อาคตกาเล ‘‘ปตฺตํ เทถา’’ติ อาหฯ ‘‘อลํ, มหาราช, อตฺตโน ปมาเณน ภิกฺขํ คณฺหิสฺสตี’’ติ เอกภิกฺขุปิ ปตฺตํ น อทาสิฯ สเพฺพ ปมาณยุตฺตกเมว ปฎิคฺคเหสุํฯ อถ ราชา อาห – ‘‘ปสฺสถ ตุมฺหากํ ภิกฺขูสุ เอโกปิ มตฺตํ น ชานาติฯ หิโยฺย กิญฺจิ อวเสสํ นาโหสิฯ อชฺช คหิตํ มนฺทํ, อวเสสเมว พหู’’ติ เตสํ มตฺตญฺญุตาย อตฺตมโน อิตเรสญฺจ อมตฺตญฺญุตาย อนตฺตมโน อโหสิฯ

    Tissamahārājāpi devasikaṃ cetiyapabbate bhikkhusaṅghassa dānaṃ dadamāno ‘mahārāja, kiṃ ekameva ṭhānaṃ bhajasi? Kiṃ aññattha dātuṃ na vaṭṭatī’ti jānapadehi vutto dutiyadivase anurādhapure mahādānaṃ dāpesi. Ekabhikkhupi paṭiggahaṇe mattaṃ na aññāsi. Ekamekena paṭiggahitaṃ khādanīyabhojanīyaṃ dve tayo janā ukkhipiṃsu. Rājā dutiyadivase cetiyapabbate bhikkhusaṅghaṃ nimantāpetvā rājantepuraṃ āgatakāle ‘‘pattaṃ dethā’’ti āha. ‘‘Alaṃ, mahārāja, attano pamāṇena bhikkhaṃ gaṇhissatī’’ti ekabhikkhupi pattaṃ na adāsi. Sabbe pamāṇayuttakameva paṭiggahesuṃ. Atha rājā āha – ‘‘passatha tumhākaṃ bhikkhūsu ekopi mattaṃ na jānāti. Hiyyo kiñci avasesaṃ nāhosi. Ajja gahitaṃ mandaṃ, avasesameva bahū’’ti tesaṃ mattaññutāya attamano itaresañca amattaññutāya anattamano ahosi.

    ๘๕๑. ปาปิจฺฉตานิเทฺทเส อสฺสโทฺธ สมาโน สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตูติอาทีสุ เอวํ อิจฺฉโนฺต กิํ กโรติ? อสฺสโทฺธ สทฺธาการํ ทเสฺสติ; ทุสฺสีลาทโย สีลวนฺตาทีนํ อาการํ ทเสฺสนฺติฯ กถํ? อสฺสโทฺธ ตาว มหามหทิวเส มนุสฺสานํ วิหารํ อาคมนเวลาย สมฺมชฺชนิํ อาทาย วิหารํ สมฺมชฺชติ, กจวรํ ฉเฑฺฑติ, มนุเสฺสหิ ทิฎฺฐภาวํ ญตฺวา เจติยงฺคณํ คจฺฉติ, ตตฺถาปิ สมฺมชฺชิตฺวา กจวรํ ฉเฑฺฑติ, วาลิกํ สมํ กโรติ, อาสนานิ โธวติ, โพธิมฺหิ อุทกํ สิญฺจติฯ มนุสฺสา ทิสฺวา ‘นตฺถิ มเญฺญ อโญฺญ ภิกฺขุ วิหารชคฺคนโก, อยเมว อิมํ วิหารํ ปฎิชคฺคติ, สโทฺธ เถโร’ติ คมนกาเล นิมเนฺตตฺวา คจฺฉนฺติฯ ทุสฺสีโลปิ อุปฎฺฐากานํ สมฺมุเข วินยธรํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉติ ‘‘ภเนฺต, มยิ คจฺฉเนฺต โคโณ อุพฺพิโคฺคฯ เตน ธาวตา ติณานิ ฉินฺนานิฯ สมฺมชฺชนฺตสฺส เม ติณานิ ฉิชฺชนฺติฯ จงฺกมนฺตสฺส เม ปาณกา มียนฺติฯ เขฬํ ปาเตนฺตสฺส อสติยา ติณมตฺถเก ปตติ; ตตฺถ ตตฺถ กิํ โหตี’’ติ? ‘‘อนาปตฺติ, อาวุโส, อสญฺจิจฺจ อสติยา อชานนฺตสฺสา’’ติ จ วุเตฺต ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ ครุกํ วิย อุปฎฺฐาติ; สุฎฺฐุ วีมํสถา’’ติ ภณติฯ ตํ สุตฺวา มนุสฺสา ‘อมฺหากํ อโยฺย เอตฺตเกปิ กุกฺกุจฺจายติ! อญฺญสฺมิํ โอฬาริเก กิํ นาม กริสฺสติ; นตฺถิ อิมินา สทิโส สีลวาติ ปสนฺนา สกฺการํ กโรนฺติฯ อปฺปสฺสุโตปิ อุปฎฺฐากมเชฺฌ นิสิโนฺน ‘‘อสุโก ติปิฎกธโร, อสุโก จตุนิกายิโก มยฺหํ อเนฺตวาสิโก, มม สนฺติเก เตหิ ธโมฺม อุคฺคหิโต’’ติ วทติฯ มนุสฺสา ‘อมฺหากํ อเยฺยน สทิโส พหุสฺสุโต นตฺถิ, เอตสฺส กิร สนฺติเก อสุเกน จ อสุเกน จ ธโมฺม อุคฺคหิโต’ติ ปสนฺนา สกฺการํ กโรนฺติฯ

    851. Pāpicchatāniddese assaddho samāno saddhoti maṃ jano jānātūtiādīsu evaṃ icchanto kiṃ karoti? Assaddho saddhākāraṃ dasseti; dussīlādayo sīlavantādīnaṃ ākāraṃ dassenti. Kathaṃ? Assaddho tāva mahāmahadivase manussānaṃ vihāraṃ āgamanavelāya sammajjaniṃ ādāya vihāraṃ sammajjati, kacavaraṃ chaḍḍeti, manussehi diṭṭhabhāvaṃ ñatvā cetiyaṅgaṇaṃ gacchati, tatthāpi sammajjitvā kacavaraṃ chaḍḍeti, vālikaṃ samaṃ karoti, āsanāni dhovati, bodhimhi udakaṃ siñcati. Manussā disvā ‘natthi maññe añño bhikkhu vihārajagganako, ayameva imaṃ vihāraṃ paṭijaggati, saddho thero’ti gamanakāle nimantetvā gacchanti. Dussīlopi upaṭṭhākānaṃ sammukhe vinayadharaṃ upasaṅkamitvā pucchati ‘‘bhante, mayi gacchante goṇo ubbiggo. Tena dhāvatā tiṇāni chinnāni. Sammajjantassa me tiṇāni chijjanti. Caṅkamantassa me pāṇakā mīyanti. Kheḷaṃ pātentassa asatiyā tiṇamatthake patati; tattha tattha kiṃ hotī’’ti? ‘‘Anāpatti, āvuso, asañcicca asatiyā ajānantassā’’ti ca vutte ‘‘bhante, mayhaṃ garukaṃ viya upaṭṭhāti; suṭṭhu vīmaṃsathā’’ti bhaṇati. Taṃ sutvā manussā ‘amhākaṃ ayyo ettakepi kukkuccāyati! Aññasmiṃ oḷārike kiṃ nāma karissati; natthi iminā sadiso sīlavāti pasannā sakkāraṃ karonti. Appassutopi upaṭṭhākamajjhe nisinno ‘‘asuko tipiṭakadharo, asuko catunikāyiko mayhaṃ antevāsiko, mama santike tehi dhammo uggahito’’ti vadati. Manussā ‘amhākaṃ ayyena sadiso bahussuto natthi, etassa kira santike asukena ca asukena ca dhammo uggahito’ti pasannā sakkāraṃ karonti.

    สงฺคณิการาโมปิ มหามหทิวเส ทีฆปีฐญฺจ อปสฺสยญฺจ คาหาเปตฺวา วิหารปจฺจเนฺต รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสีทติฯ มนุสฺสา อาคนฺตฺวา ‘‘เถโร กุหิ’’นฺติ ปุจฺฉนฺติฯ ‘‘คณฺฐิกปุตฺตา นาม คณฺฐิกา เอว โหนฺติฯ เตน เถโร เอวรูเป กาเล อิธ น นิสีทติ, วิหารปจฺจเนฺต ทิวาฎฺฐาเน ทีฆจงฺกเม วิหรตี’’ติ วทนฺติฯ โสปิ ทิวสภาคํ วีตินาเมตฺวา นลาเฎ มกฺกฎสุตฺตํ อลฺลิยาเปตฺวา ปีฐํ คาหาเปตฺวา อาคมฺม ปริเวณทฺวาเร นิสีทติฯ มนุสฺสา ‘‘กหํ, ภเนฺต, คตตฺถ? อาคนฺตฺวา น อทฺทสมฺหา’’ติ วทนฺติฯ ‘‘อุปาสกา, อโนฺตวิหาโร อากิโณฺณ; ทหรสามเณรานํ วิจรณฎฺฐานเมตํ สฎฺฐิหตฺถจงฺกเม ทิวาฎฺฐาเน นิสีทิมฺหา’’ติ อตฺตโน ปวิวิตฺตภาวํ ชานาเปติฯ

    Saṅgaṇikārāmopi mahāmahadivase dīghapīṭhañca apassayañca gāhāpetvā vihārapaccante rukkhamūle divāvihāraṃ nisīdati. Manussā āgantvā ‘‘thero kuhi’’nti pucchanti. ‘‘Gaṇṭhikaputtā nāma gaṇṭhikā eva honti. Tena thero evarūpe kāle idha na nisīdati, vihārapaccante divāṭṭhāne dīghacaṅkame viharatī’’ti vadanti. Sopi divasabhāgaṃ vītināmetvā nalāṭe makkaṭasuttaṃ alliyāpetvā pīṭhaṃ gāhāpetvā āgamma pariveṇadvāre nisīdati. Manussā ‘‘kahaṃ, bhante, gatattha? Āgantvā na addasamhā’’ti vadanti. ‘‘Upāsakā, antovihāro ākiṇṇo; daharasāmaṇerānaṃ vicaraṇaṭṭhānametaṃ saṭṭhihatthacaṅkame divāṭṭhāne nisīdimhā’’ti attano pavivittabhāvaṃ jānāpeti.

    กุสีโตปิ อุปฎฺฐากมเชฺฌ นิสิโนฺน ‘‘อุปาสกา, ตุเมฺหหิ อุกฺกาปาโต ทิโฎฺฐ’’ติ วทติฯ ‘‘น ปสฺสาม, ภเนฺต; กาย เวลาย อโหสี’’ติ จ ปุโฎฺฐ ‘‘อมฺหากํ จงฺกมนเวลายา’’ติ วตฺวา ‘‘ภูมิจาลสทฺทํ อสฺสุตฺถา’’ติ ปุจฺฉติฯ ‘‘น สุณาม, ภเนฺต; กาย เวลายา’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘มชฺฌิมยาเม อมฺหากํ อาลมฺพนผลกํ อปสฺสาย ฐิตกาเล’’ติ วตฺวา ‘‘มหาโอภาโส อโหสิ; โส โว ทิโฎฺฐ’’ติ ปุจฺฉติฯ ‘‘กาย เวลาย, ภเนฺต’’ติ จ วุเตฺต ‘‘มยฺหํ จงฺกมมฺหา โอตรณกาเล’’ติ วทติฯ มนุสฺสา ‘อมฺหากํ เถโร ตีสุปิ ยาเมสุ จงฺกเมเยว โหติ; นตฺถิ อเยฺยน สทิโส อารทฺธวีริโย’ติ ปสนฺนา สกฺการํ กโรนฺติฯ

    Kusītopi upaṭṭhākamajjhe nisinno ‘‘upāsakā, tumhehi ukkāpāto diṭṭho’’ti vadati. ‘‘Na passāma, bhante; kāya velāya ahosī’’ti ca puṭṭho ‘‘amhākaṃ caṅkamanavelāyā’’ti vatvā ‘‘bhūmicālasaddaṃ assutthā’’ti pucchati. ‘‘Na suṇāma, bhante; kāya velāyā’’ti puṭṭho ‘‘majjhimayāme amhākaṃ ālambanaphalakaṃ apassāya ṭhitakāle’’ti vatvā ‘‘mahāobhāso ahosi; so vo diṭṭho’’ti pucchati. ‘‘Kāya velāya, bhante’’ti ca vutte ‘‘mayhaṃ caṅkamamhā otaraṇakāle’’ti vadati. Manussā ‘amhākaṃ thero tīsupi yāmesu caṅkameyeva hoti; natthi ayyena sadiso āraddhavīriyo’ti pasannā sakkāraṃ karonti.

    มุฎฺฐสฺสตีปิ อุปฎฺฐากมเชฺฌ นิสิโนฺน ‘‘มยา อสุกกาเล นาม ทีฆนิกาโย อุคฺคหิโต, อสุกกาเล มชฺฌิโม, สํยุตฺตโก, องฺคุตฺตริโก; อนฺตรา โอโลกนํ นาม นตฺถิ, อิจฺฉิติจฺฉตฎฺฐาเน มุขารุโฬฺหว ตนฺติ อาคจฺฉติ; อิเม ปนเญฺญ ภิกฺขู เอฬกา วิย มุขํ ผนฺทาเปนฺตา วิหรนฺตี’’ติ วทติฯ มนุสฺสา ‘นตฺถิ อเยฺยน สทิโส อุปฎฺฐิตสตี’ติ ปสนฺนา สกฺการํ กโรนฺติฯ

    Muṭṭhassatīpi upaṭṭhākamajjhe nisinno ‘‘mayā asukakāle nāma dīghanikāyo uggahito, asukakāle majjhimo, saṃyuttako, aṅguttariko; antarā olokanaṃ nāma natthi, icchiticchataṭṭhāne mukhāruḷhova tanti āgacchati; ime panaññe bhikkhū eḷakā viya mukhaṃ phandāpentā viharantī’’ti vadati. Manussā ‘natthi ayyena sadiso upaṭṭhitasatī’ti pasannā sakkāraṃ karonti.

    อสมาหิโตปิ อุปฎฺฐากานํ สมฺมุเข อฎฺฐกถาจริเย ปญฺหํ ปุจฺฉติ – ‘กสิณํ นาม กถํ ภาเวติ? กิตฺตเกน นิมิตฺตํ อุปฺปนฺนํ นาม โหติ? กิตฺตเกน อุปจาโร? กิตฺตเกน อปฺปนา? ปฐมสฺส ฌานสฺส กติ องฺคานิ? ทุติยสฺส ตติยสฺส จตุตฺถสฺส ฌานสฺส กติ องฺคานิ’’ติ ปุจฺฉติฯ เตหิ อตฺตโน อุคฺคหิตานุรูเปน กถิตกาเล สิตํ กตฺวา ‘กิํ, อาวุโส, เอวํ น โหสี’ติ วุเตฺต ‘วฎฺฎติ, ภเนฺต’ติ อตฺตโน สมาปตฺติลาภิตํ สูเจติฯ มนุสฺสา ‘สมาปตฺติลาภี อโยฺย’ติ ปสนฺนา สกฺการํ กโรนฺติฯ

    Asamāhitopi upaṭṭhākānaṃ sammukhe aṭṭhakathācariye pañhaṃ pucchati – ‘kasiṇaṃ nāma kathaṃ bhāveti? Kittakena nimittaṃ uppannaṃ nāma hoti? Kittakena upacāro? Kittakena appanā? Paṭhamassa jhānassa kati aṅgāni? Dutiyassa tatiyassa catutthassa jhānassa kati aṅgāni’’ti pucchati. Tehi attano uggahitānurūpena kathitakāle sitaṃ katvā ‘kiṃ, āvuso, evaṃ na hosī’ti vutte ‘vaṭṭati, bhante’ti attano samāpattilābhitaṃ sūceti. Manussā ‘samāpattilābhī ayyo’ti pasannā sakkāraṃ karonti.

    ทุปฺปโญฺญปิ อุปฎฺฐากานํ มเชฺฌ นิสิโนฺน ‘มชฺฌิมนิกาเย เม ปญฺจตฺตยํ โอโลเกนฺตสฺส สหิทฺธิยาว มโคฺค อาคโตฯ ปริยตฺติ นาม อมฺหากํ น ทุกฺกราฯ ปริยตฺติวาวโฎ ปน ทุกฺขโต น มุจฺจตีติ ปริยตฺติํ วิสฺสชฺชยิมฺหา’ติอาทีนิ วทโนฺต อตฺตโน มหาปญฺญตํ ทีเปติฯ เอวํ วทโนฺต ปนสฺส สาสเน ปหารํ เทติฯ อิมินา สทิโส มหาโจโร นาม นตฺถิฯ น หิ ปริยตฺติธโร ทุกฺขโต น มุจฺจตีติฯ อขีณาสโวปิ คามทารเก ทิสฺวา ‘ตุมฺหากํ มาตาปิตโร อเมฺห กิํ วทนฺตี’’ติ? ‘‘อรหาติ วทนฺติ, ภเนฺต’’ติฯ ‘ยาว เฉกา คหปติกา, น สกฺกา วเญฺจตุ’นฺติ อตฺตโน ขีณาสวภาวํ ทีเปติฯ

    Duppaññopi upaṭṭhākānaṃ majjhe nisinno ‘majjhimanikāye me pañcattayaṃ olokentassa sahiddhiyāva maggo āgato. Pariyatti nāma amhākaṃ na dukkarā. Pariyattivāvaṭo pana dukkhato na muccatīti pariyattiṃ vissajjayimhā’tiādīni vadanto attano mahāpaññataṃ dīpeti. Evaṃ vadanto panassa sāsane pahāraṃ deti. Iminā sadiso mahācoro nāma natthi. Na hi pariyattidharo dukkhato na muccatīti. Akhīṇāsavopi gāmadārake disvā ‘tumhākaṃ mātāpitaro amhe kiṃ vadantī’’ti? ‘‘Arahāti vadanti, bhante’’ti. ‘Yāva chekā gahapatikā, na sakkā vañcetu’nti attano khīṇāsavabhāvaṃ dīpeti.

    อเญฺญปิ เจตฺถ จาฎิอรหนฺตปาโรหอรหนฺตาทโย เวทิตพฺพา – เอโก กิร กุหโก อโนฺตคเพฺภ จาฎิํ นิขณิตฺวา มนุสฺสานํ อาคมนกาเล ปวิสติฯ มนุสฺสา ‘กหํ เถโร’ติ ปุจฺฉนฺติฯ ‘อโนฺตคเพฺภ’ติ จ วุเตฺต ปวิสิตฺวา วิจินนฺตาปิ อทิสฺวา นิกฺขมิตฺวา ‘นตฺถิ เถโร’ติ วทนฺติฯ ‘อโนฺตคเพฺภเยว เถโร’ติ จ วุเตฺต ปุน ปวิสนฺติฯ เถโร จาฎิโต นิกฺขมิตฺวา ปีเฐ นิสิโนฺน โหติฯ ตโต เตหิ ‘มยํ, ภเนฺต, ปุเพฺพ อทิสฺวา นิกฺขนฺตา, กหํ ตุเมฺห คตตฺถา’’ติ วุเตฺต ‘สมณา นาม อตฺตโน อิจฺฉิติจฺฉิตฎฺฐานํ คจฺฉนฺตี’ติ วจเนน อตฺตโน ขีณาสวภาวํ ทีเปติฯ

    Aññepi cettha cāṭiarahantapārohaarahantādayo veditabbā – eko kira kuhako antogabbhe cāṭiṃ nikhaṇitvā manussānaṃ āgamanakāle pavisati. Manussā ‘kahaṃ thero’ti pucchanti. ‘Antogabbhe’ti ca vutte pavisitvā vicinantāpi adisvā nikkhamitvā ‘natthi thero’ti vadanti. ‘Antogabbheyeva thero’ti ca vutte puna pavisanti. Thero cāṭito nikkhamitvā pīṭhe nisinno hoti. Tato tehi ‘mayaṃ, bhante, pubbe adisvā nikkhantā, kahaṃ tumhe gatatthā’’ti vutte ‘samaṇā nāma attano icchiticchitaṭṭhānaṃ gacchantī’ti vacanena attano khīṇāsavabhāvaṃ dīpeti.

    อปโรปิ กุหโก เอกสฺมิํ ปพฺพเต ปณฺณสาลายํ วสติฯ ปณฺณสาลาย จ ปจฺฉโต ปปาตฎฺฐาเน เอโก กจฺฉกรุโกฺข อตฺถิฯ ตสฺส ปาโรโห คนฺตฺวา ปรภาเค ภูมิยํ ปติฎฺฐิโตฯ มนุสฺสา มเคฺคนาคนฺตฺวา นิมเนฺตนฺติฯ โส ปตฺตจีวรมาทาย ปาโรเหน โอตริตฺวา คามทฺวาเร อตฺตานํ ทเสฺสติฯ ตโต มนุเสฺสหิ ปจฺฉา อาคนฺตฺวา ‘กตเรน มเคฺคน อาคตตฺถ, ภเนฺต’ติ ปุโฎฺฐ ‘สมณานํ อาคตมโคฺค นาม ปุจฺฉิตุํ น วฎฺฎติ, อตฺตโน อิจฺฉิติจฺฉิตฎฺฐาเนเนว อาคจฺฉนฺตี’ติ วจเนน ขีณาสวภาวํ ทีเปติฯ ตํ ปน กุหกํ เอโก วิทฺธกโณฺณ ญตฺวา ‘ปริคฺคเหสฺสามิ น’นฺติ เอกทิวสํ ปาโรเหน โอตรนฺตํ ทิสฺวา ปจฺฉโต ฉินฺทิตฺวา อปฺปมตฺตเกน ฐเปสิฯ โส ‘ปาโรหโต โอตริสฺสามี’ติ ‘ฐ’นฺติ ปติโต, มตฺติกา ปโตฺต ภิชฺชิฯ โส ‘ญาโตมฺหี’ติ นิกฺขมิตฺวา ปลายิฯ ปาปิจฺฉสฺส ภาโว ปาปิจฺฉตาฯ ลกฺขณโต ปน อสนฺตคุณสมฺภาวนตา, ปฎิคฺคหเณ จ อมตฺตญฺญุตา; เอตํ ปาปิจฺฉตาลกฺขณนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Aparopi kuhako ekasmiṃ pabbate paṇṇasālāyaṃ vasati. Paṇṇasālāya ca pacchato papātaṭṭhāne eko kacchakarukkho atthi. Tassa pāroho gantvā parabhāge bhūmiyaṃ patiṭṭhito. Manussā maggenāgantvā nimantenti. So pattacīvaramādāya pārohena otaritvā gāmadvāre attānaṃ dasseti. Tato manussehi pacchā āgantvā ‘katarena maggena āgatattha, bhante’ti puṭṭho ‘samaṇānaṃ āgatamaggo nāma pucchituṃ na vaṭṭati, attano icchiticchitaṭṭhāneneva āgacchantī’ti vacanena khīṇāsavabhāvaṃ dīpeti. Taṃ pana kuhakaṃ eko viddhakaṇṇo ñatvā ‘pariggahessāmi na’nti ekadivasaṃ pārohena otarantaṃ disvā pacchato chinditvā appamattakena ṭhapesi. So ‘pārohato otarissāmī’ti ‘ṭha’nti patito, mattikā patto bhijji. So ‘ñātomhī’ti nikkhamitvā palāyi. Pāpicchassa bhāvo pāpicchatā. Lakkhaṇato pana asantaguṇasambhāvanatā, paṭiggahaṇe ca amattaññutā; etaṃ pāpicchatālakkhaṇanti veditabbaṃ.

    ๘๕๒. สิงฺคนิเทฺทเส วิชฺฌนเฎฺฐน สิงฺคํ; นาคริกภาวสงฺขาตสฺส กิเลสสิงฺคเสฺสตํ นามํฯ สิงฺคารภาโว สิงฺคารตา, สิงฺคารกรณากาโร วาฯ จตุรภาโว จตุรตาฯ ตถา จาตุริยํฯ ปริกฺขตภาโว ปริกฺขตตา; ปริขณิตฺวา ฐปิตเสฺสว ทฬฺหสิงฺคารภาวเสฺสตํ นามํ ฯ อิตรํ ตเสฺสว เววจนํฯ เอวํ สเพฺพหิปิ ปเทหิ กิเลสสิงฺคารตาว กถิตาฯ

    852. Siṅganiddese vijjhanaṭṭhena siṅgaṃ; nāgarikabhāvasaṅkhātassa kilesasiṅgassetaṃ nāmaṃ. Siṅgārabhāvo siṅgāratā, siṅgārakaraṇākāro vā. Caturabhāvo caturatā. Tathā cāturiyaṃ. Parikkhatabhāvo parikkhatatā; parikhaṇitvā ṭhapitasseva daḷhasiṅgārabhāvassetaṃ nāmaṃ . Itaraṃ tasseva vevacanaṃ. Evaṃ sabbehipi padehi kilesasiṅgāratāva kathitā.

    ๘๕๓. ตินฺติณนิเทฺทเส ตินฺติณนฺติ ขียนํฯ ตินฺติณายนากาโร ตินฺติณายนาฯ ตินฺติเณน อยิตสฺส ตินฺติณสมงฺคิโน ภาโว ตินฺติณายิตตฺตํฯ โลลุปภาโว โลลุปฺปํฯ อิตเร เทฺว อาการภาวนิเทฺทสาฯ ปุจฺฉญฺชิกตาติ ลาภลภนกฎฺฐาเน เวธนากมฺปนา นีจวุตฺติตาฯ สาธุกมฺยตาติ ปณีตปณีตานํ ปตฺถนาฯ เอวํ สเพฺพหิปิ ปเทหิ สุวานโทณิยํ กญฺชิยํ ปิวนกสุนขสฺส อญฺญํ สุนขํ ทิสฺวา ภุภุกฺกรณํ วิย ‘ตว สนฺตกํ, มม สนฺตก’นฺติ กิเลสวเสน ขียนากาโร กถิโตฯ

    853. Tintiṇaniddese tintiṇanti khīyanaṃ. Tintiṇāyanākāro tintiṇāyanā. Tintiṇena ayitassa tintiṇasamaṅgino bhāvo tintiṇāyitattaṃ. Lolupabhāvo loluppaṃ. Itare dve ākārabhāvaniddesā. Pucchañjikatāti lābhalabhanakaṭṭhāne vedhanākampanā nīcavuttitā. Sādhukamyatāti paṇītapaṇītānaṃ patthanā. Evaṃ sabbehipi padehi suvānadoṇiyaṃ kañjiyaṃ pivanakasunakhassa aññaṃ sunakhaṃ disvā bhubhukkaraṇaṃ viya ‘tava santakaṃ, mama santaka’nti kilesavasena khīyanākāro kathito.

    ๘๕๔. จาปลฺยนิเทฺทเส อาโกฎิตปจฺจาโกฎิตภาวาทีหิ จีวรสฺส มณฺฑนา จีวรมณฺฑนาฯ มณิวณฺณจฺฉวิกรณาทีหิ ปตฺตสฺส มณฺฑนา ปตฺตมณฺฑนาฯ จิตฺตกมฺมาทีหิ ปุคฺคลิกเสนาสนสฺส มณฺฑนา เสนาสนมณฺฑนาอิมสฺส วา ปูติกายสฺสาติ อิมสฺส มนุสฺสสรีรสฺสฯ ยถา หิ ตทหุชาโตปิ สิงฺคาโล ชรสิงฺคาโลเตฺวว อูรุปฺปมาณาปิ จ คโฬจิลตา ปูติลตาเตฺวว สงฺขํ คจฺฉติ, เอวํ สุวณฺณวโณฺณปิ มนุสฺสกาโย ปูติกาโยเตฺวว วุจฺจติฯ ตสฺส อนฺตรนฺตรา รตฺตวณฺณปณฺฑุวณฺณาทีหิ นิวาสนปารุปนาทีหิ สชฺชนา มณฺฑนา นามฯ พาหิรานํ วา ปริกฺขารานนฺติ ฐเปตฺวา ปตฺตจีวรํ เสสปริกฺขารานํ; อถวา ยา เอสา จีวรมณฺฑนา ปตฺตมณฺฑนาติ วุตฺตา, สา เตหิ วา ปริกฺขาเรหิ กายสฺส มณฺฑนา เตสํ วา พาหิรปริกฺขารานํ มเณฺฑตฺวา ฐปนวเสน มณฺฑนาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ มณฺฑนา วิภูสนาติ เอตฺถ อูนฎฺฐานสฺส ปูรณวเสน มณฺฑนา, ฉวิราคาทิวเสน วิภูสนาติ เวทิตพฺพาฯ เกฬนาติ กีฬนาฯ ปริเกฬนาติ ปริกีฬนาฯ คิทฺธิกตาติ เคธยุตฺตตาฯ คิทฺธิกตฺตนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ จปลภาโว จปลตาฯ ตถา จาปลฺยํฯ อิทํ วุจฺจตีติ อิทํ จาปลฺยํ นาม วุจฺจติ, เยน สมนฺนาคโต ปุคฺคโล วสฺสสติโกปิ สมาโน ตทหุชาตทารโก วิย โหติฯ

    854. Cāpalyaniddese ākoṭitapaccākoṭitabhāvādīhi cīvarassa maṇḍanā cīvaramaṇḍanā. Maṇivaṇṇacchavikaraṇādīhi pattassa maṇḍanā pattamaṇḍanā. Cittakammādīhi puggalikasenāsanassa maṇḍanā senāsanamaṇḍanā. Imassa vā pūtikāyassāti imassa manussasarīrassa. Yathā hi tadahujātopi siṅgālo jarasiṅgālotveva ūruppamāṇāpi ca gaḷocilatā pūtilatātveva saṅkhaṃ gacchati, evaṃ suvaṇṇavaṇṇopi manussakāyo pūtikāyotveva vuccati. Tassa antarantarā rattavaṇṇapaṇḍuvaṇṇādīhi nivāsanapārupanādīhi sajjanā maṇḍanā nāma. Bāhirānaṃ vā parikkhārānanti ṭhapetvā pattacīvaraṃ sesaparikkhārānaṃ; athavā yā esā cīvaramaṇḍanā pattamaṇḍanāti vuttā, sā tehi vā parikkhārehi kāyassa maṇḍanā tesaṃ vā bāhiraparikkhārānaṃ maṇḍetvā ṭhapanavasena maṇḍanāti evamettha attho veditabbo. Maṇḍanā vibhūsanāti ettha ūnaṭṭhānassa pūraṇavasena maṇḍanā, chavirāgādivasena vibhūsanāti veditabbā. Keḷanāti kīḷanā. Parikeḷanāti parikīḷanā. Giddhikatāti gedhayuttatā. Giddhikattanti tasseva vevacanaṃ. Capalabhāvo capalatā. Tathā cāpalyaṃ. Idaṃ vuccatīti idaṃ cāpalyaṃ nāma vuccati, yena samannāgato puggalo vassasatikopi samāno tadahujātadārako viya hoti.

    ๘๕๕. อสภาควุตฺตินิเทฺทเส วิปฺปฎิกูลคฺคาหิตาติ อนนุโลมคฺคาหิตาฯ วิปจฺจนีกสาตตาติ วิปจฺจนีเกน ปฎิวิรุทฺธกรเณน สุขายนาฯ อนาทรภาโว อนาทริยํฯ ตถา อนาทริยตาฯ อคารวสฺส ภาโว อคารวตาฯ เชฎฺฐกภาวสฺส อกรณํ อปฺปติสฺสวตาอยํ วุจฺจตีติ อยํ อสภาควุตฺติ นาม วุจฺจติ; วิสภาคชีวิกตาติ อโตฺถ; ยาย สมนฺนาคโต ปุคฺคโล มาตรํ ปิตรํ วา คิลานํ ปฎิวตฺติตฺวาปิ น โอโลเกติ; ปิตุสนฺตกสฺส การณา มาตรา สทฺธิํ, มาตุสนฺตกสฺส การณา ปิตรา สทฺธิํ กลหํ กโรติ; วิสภาคชีวิตํ ชีวติ, มาตาปิตูนํ สนฺตกสฺส การณา เชเฎฺฐน วา กนิเฎฺฐน วา ภาตรา สทฺธิํ กลหํ กโรติ, นิลฺลชฺชวจนํ วทติ, อาจริยสฺส วา อุปชฺฌายสฺส วา วตฺตปฎิวตฺตํ น กโรติ, คิลานํ น อุปฎฺฐาติ, พุทฺธสฺส ภควโต เจติยทสฺสนฎฺฐาเน อุจฺจารํ วา ปสฺสาวํ วา กโรติ, เขฬมฺปิ สิงฺฆาณิกมฺปิ ฉเฑฺฑติ, ฉตฺตํ ธาเรติ, อุปาหนา อารุยฺห คจฺฉติ, พุทฺธสาวเกสุ น ลชฺชติ, สเงฺฆ จิตฺตีการํ น กโรติ, มาติมตฺตปิติมตฺตาทีสุ ครุฎฺฐานีเยสุ หิโรตฺตปฺปํ น ปจฺจุปฎฺฐาเปติฯ ตเสฺสวํ ปวตฺตมานสฺส สพฺพา เปสา กิริยา มาตรีติอาทีสุปิ วตฺถูสุ อสภาควุตฺติตา นาม โหติฯ

    855. Asabhāgavuttiniddese vippaṭikūlaggāhitāti ananulomaggāhitā. Vipaccanīkasātatāti vipaccanīkena paṭiviruddhakaraṇena sukhāyanā. Anādarabhāvo anādariyaṃ. Tathā anādariyatā. Agāravassa bhāvo agāravatā. Jeṭṭhakabhāvassa akaraṇaṃ appatissavatā. Ayaṃvuccatīti ayaṃ asabhāgavutti nāma vuccati; visabhāgajīvikatāti attho; yāya samannāgato puggalo mātaraṃ pitaraṃ vā gilānaṃ paṭivattitvāpi na oloketi; pitusantakassa kāraṇā mātarā saddhiṃ, mātusantakassa kāraṇā pitarā saddhiṃ kalahaṃ karoti; visabhāgajīvitaṃ jīvati, mātāpitūnaṃ santakassa kāraṇā jeṭṭhena vā kaniṭṭhena vā bhātarā saddhiṃ kalahaṃ karoti, nillajjavacanaṃ vadati, ācariyassa vā upajjhāyassa vā vattapaṭivattaṃ na karoti, gilānaṃ na upaṭṭhāti, buddhassa bhagavato cetiyadassanaṭṭhāne uccāraṃ vā passāvaṃ vā karoti, kheḷampi siṅghāṇikampi chaḍḍeti, chattaṃ dhāreti, upāhanā āruyha gacchati, buddhasāvakesu na lajjati, saṅghe cittīkāraṃ na karoti, mātimattapitimattādīsu garuṭṭhānīyesu hirottappaṃ na paccupaṭṭhāpeti. Tassevaṃ pavattamānassa sabbā pesā kiriyā mātarītiādīsupi vatthūsu asabhāgavuttitā nāma hoti.

    ๘๕๖. อรตินิเทฺทเส ปเนฺตสูติ ทูเรสุ วิวิเตฺตสุ วาฯ อธิกุสเลสูติ สมถวิปสฺสนาธเมฺมสุฯ อรตีติ รติปฎิเกฺขโปฯ อรติตาติ อรมณากาโรฯ อนภิรตีติ อนภิรตภาโวฯ อนภิรมณาติ อนภิรมณากาโรฯ อุกฺกณฺฐิตาติ อุกฺกณฺฐนากาโรฯ ปริตสฺสิตาติ อุกฺกณฺฐนวเสเนว ปริตสฺสนาฯ

    856. Aratiniddese pantesūti dūresu vivittesu vā. Adhikusalesūti samathavipassanādhammesu. Aratīti ratipaṭikkhepo. Aratitāti aramaṇākāro. Anabhiratīti anabhiratabhāvo. Anabhiramaṇāti anabhiramaṇākāro. Ukkaṇṭhitāti ukkaṇṭhanākāro. Paritassitāti ukkaṇṭhanavaseneva paritassanā.

    ๘๕๗. ตนฺทีนิเทฺทเส ตนฺทีติ ชาติอาลสิยํฯ ตนฺทิยนาติ ตนฺทิยนากาโรฯ ตนฺทิมนกตาติ ตนฺทิยา อภิภูตจิตฺตตาฯ อลสสฺส ภาโว อาลสฺยํฯ อาลสฺยายนากาโร อาลสฺยายนาฯ อลสฺยายิตสฺส ภาโว อาลสฺยายิตตฺตํฯ อิติ สเพฺพหิปิ อิเมหิ ปเทหิ กิเลสวเสน กายาลสิยํ กถิตํฯ

    857. Tandīniddese tandīti jātiālasiyaṃ. Tandiyanāti tandiyanākāro. Tandimanakatāti tandiyā abhibhūtacittatā. Alasassa bhāvo ālasyaṃ. Ālasyāyanākāro ālasyāyanā. Alasyāyitassa bhāvo ālasyāyitattaṃ. Iti sabbehipi imehi padehi kilesavasena kāyālasiyaṃ kathitaṃ.

    ๘๕๘. วิชมฺภิตานิเทฺทเส ชมฺภนาติ ผนฺทนาฯ ปุนปฺปุนํ ชมฺภนา วิชมฺภนาฯ อานมนาติ ปุรโต นมนาฯ วินมนาติ ปจฺฉโต นมนาฯ สนฺนมนาติ สมนฺตโต นมนาฯ ปณมนาติ ยถา หิ ตนฺตโต อุฎฺฐิตเปสกาโร กิสฺมิญฺจิเทว คเหตฺวา อุชุกํ กายํ อุสฺสาเปติ, เอวํ กายสฺส อุทฺธํ ฐปนาฯ พฺยาธิยกนฺติ อุปฺปนฺนพฺยาธิตาฯ อิติ สเพฺพหิปิ อิเมหิ ปเทหิ กิเลสวเสน กายผนฺทนเมว กถิตํฯ

    858. Vijambhitāniddese jambhanāti phandanā. Punappunaṃ jambhanā vijambhanā. Ānamanāti purato namanā. Vinamanāti pacchato namanā. Sannamanāti samantato namanā. Paṇamanāti yathā hi tantato uṭṭhitapesakāro kismiñcideva gahetvā ujukaṃ kāyaṃ ussāpeti, evaṃ kāyassa uddhaṃ ṭhapanā. Byādhiyakanti uppannabyādhitā. Iti sabbehipi imehi padehi kilesavasena kāyaphandanameva kathitaṃ.

    ๘๕๙. ภตฺตสมฺมทนิเทฺทเส ภุตฺตาวิสฺสาติ ภุตฺตวโตฯ ภตฺตมุจฺฉาติ ภตฺตเคลญฺญํ; พลวภเตฺตน หิ มุจฺฉาปโตฺต วิย โหติฯ ภตฺตกิลมโถติ ภเตฺตน กิลนฺตภาโวฯ ภตฺตปริฬาโหติ ภตฺตทรโถฯ ตสฺมิญฺหิ สมเย ปริฬาหุปฺปตฺติยา อุปหตินฺทฺริโย โหติ, กาโย ชีรติฯ กายทุฎฺฐุลฺลนฺติ ภตฺตํ นิสฺสาย กายสฺส อกมฺมญฺญตาฯ

    859. Bhattasammadaniddese bhuttāvissāti bhuttavato. Bhattamucchāti bhattagelaññaṃ; balavabhattena hi mucchāpatto viya hoti. Bhattakilamathoti bhattena kilantabhāvo. Bhattapariḷāhoti bhattadaratho. Tasmiñhi samaye pariḷāhuppattiyā upahatindriyo hoti, kāyo jīrati. Kāyaduṭṭhullanti bhattaṃ nissāya kāyassa akammaññatā.

    ๘๖๐. เจตโส ลีนตฺตนิเทฺทโส เหฎฺฐา ธมฺมสงฺคหฎฺฐกถายํ วุตฺตโตฺถเยวฯ อิเมหิ ปน สเพฺพหิปิ ปเทหิ กิเลสวเสน จิตฺตสฺส คิลานากาโร กถิโตติ เวทิตโพฺพฯ

    860. Cetaso līnattaniddeso heṭṭhā dhammasaṅgahaṭṭhakathāyaṃ vuttatthoyeva. Imehi pana sabbehipi padehi kilesavasena cittassa gilānākāro kathitoti veditabbo.

    ๘๖๑. กุหนานิเทฺทเส ลาภสกฺการสิโลกสนฺนิสฺสิตสฺสาติ ลาภญฺจ สกฺการญฺจ กิตฺติสทฺทญฺจ นิสฺสิตสฺส, ปตฺถยนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ ปาปิจฺฉสฺสาติ อสนฺตคุณทีปนกามสฺสฯ อิจฺฉาปกตสฺสาติ อิจฺฉาย อปกตสฺส, อุปทฺทุตสฺสาติ อโตฺถฯ

    861. Kuhanāniddese lābhasakkārasilokasannissitassāti lābhañca sakkārañca kittisaddañca nissitassa, patthayantassāti attho. Pāpicchassāti asantaguṇadīpanakāmassa. Icchāpakatassāti icchāya apakatassa, upaddutassāti attho.

    อิโต ปรํ ยสฺมา ปจฺจยปฎิเสวน สามนฺตชปฺปนอิริยาปถสนฺนิสฺสิตวเสน มหานิเทฺทเส ติวิธํ กุหนวตฺถุ อาคตํ, ตสฺมา ติวิธมฺปิ ตํ ทเสฺสตุํ ปจฺจยปฎิเสวนสงฺขาเตน วาติ เอวมาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ จีวราทีหิ นิมนฺติตสฺส ตทตฺถิกเสฺสว สโต ปาปิจฺฉตํ นิสฺสาย ปฎิกฺขิปเนน, เต จ คหปติเก อตฺตนิ สุปฺปติฎฺฐิตสเทฺธ ญตฺวา ปุน เตสํ ‘อโห อโยฺย อปฺปิโจฺฉ, น กิญฺจิ ปฎิคฺคณฺหิตุํ อิจฺฉติ, สุลทฺธํ วต โน อสฺส สเจ อปฺปมตฺตกํ กิญฺจิ ปฎิคฺคเณฺหยฺยา’ติ นานาวิเธหิ อุปาเยหิ ปณีตานิ จีวราทีนิ อุปเนนฺตานํ ตทนุคฺคหกามตํเยว อาวิกตฺวา ปฎิคฺคหเณน จ ตโต ปภุติ อสีติสกฎภาเรหิ อุปนามนเหตุภูตํ วิมฺหาปนํ ปจฺจยปฎิเสวนสงฺขาตํ กุหนวตฺถูติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ มหานิเทฺทเส (มหานิ. ๘๗) –

    Ito paraṃ yasmā paccayapaṭisevana sāmantajappanairiyāpathasannissitavasena mahāniddese tividhaṃ kuhanavatthu āgataṃ, tasmā tividhampi taṃ dassetuṃ paccayapaṭisevanasaṅkhātena vāti evamādi āraddhaṃ. Tattha cīvarādīhi nimantitassa tadatthikasseva sato pāpicchataṃ nissāya paṭikkhipanena, te ca gahapatike attani suppatiṭṭhitasaddhe ñatvā puna tesaṃ ‘aho ayyo appiccho, na kiñci paṭiggaṇhituṃ icchati, suladdhaṃ vata no assa sace appamattakaṃ kiñci paṭiggaṇheyyā’ti nānāvidhehi upāyehi paṇītāni cīvarādīni upanentānaṃ tadanuggahakāmataṃyeva āvikatvā paṭiggahaṇena ca tato pabhuti asītisakaṭabhārehi upanāmanahetubhūtaṃ vimhāpanaṃ paccayapaṭisevanasaṅkhātaṃ kuhanavatthūti veditabbaṃ. Vuttampi cetaṃ mahāniddese (mahāni. 87) –

    ‘‘กตมํ ปจฺจยปฎิเสวนสงฺขาตํ กุหนวตฺถุ? อิธ คหปติกา ภิกฺขุํ นิมเนฺตนฺติ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรหิฯ โส ปาปิโจฺฉ อิจฺฉาปกโต อตฺถิโก จีวร …เป.… ปริกฺขารานํ ภิโยฺยกมฺยตํ อุปาทาย จีวรํ ปจฺจกฺขาติ, ปิณฺฑปาตํ ปจฺจกฺขาติ, เสนาสนํ ปจฺจกฺขาติ, คิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารํ ปจฺจกฺขาติฯ โส เอวมาห – ‘‘กิํ สมณสฺส มหเคฺฆน จีวเรน? เอตํ สารุปฺปํ ยํ สมโณ สุสานา วา สงฺการกูฎา วา ปาปณิกา วา นนฺตกานิ อุจฺจินิตฺวา สงฺฆาฎิํ กตฺวา ธาเรยฺยฯ กิํ สมณสฺส มหเคฺฆน ปิณฺฑปาเตน? เอตํ สารุปฺปํ ยํ สมโณ อุญฺฉาจริยาย ปิณฺฑิยาโลเปน ชีวิกํ กเปฺปยฺยฯ กิํ สมณสฺส มหเคฺฆน เสนาสเนน? เอตํ สารุปฺปํ ยํ สมโณ รุกฺขมูลิโก วา อสฺส โสสานิโก วา อโพฺภกาสิโก วาฯ กิํ สมณสฺส มหเคฺฆน คิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรน? เอตํ สารุปฺปํ ยํ สมโณ ปูติมุเตฺตน วา หรีตกีขเณฺฑน วา โอสธํ กเรยฺยาติฯ ตทุปาทาย ลูขํ จีวรํ ธาเรติ, ลูขํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชติ, ลูขํ เสนาสนํ ปฎิเสวติ, ลูขํ คิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารํ ปฎิเสวติฯ ตเมนํ คหปติกา เอวํ ชานนฺติ – ‘อยํ สมโณ อปฺปิโจฺฉ สนฺตุโฎฺฐ ปวิวิโตฺต อสํสโฎฺฐ อารทฺธวีริโย ธุตวาโท’ติ ภิโยฺย ภิโยฺย นิมเนฺตนฺติ จีวร…เป.… ปริกฺขาเรหิฯ โส เอวมาห – ‘ติณฺณํ สมฺมุขีภาวา สโทฺธ กุลปุโตฺต พหุํ ปุญฺญํ ปสวติ – สทฺธาย สมฺมุขีภาวา สโทฺธ กุลปุโตฺต พหุํ ปุญฺญํ ปสวติ, เทยฺยธมฺมสฺส…เป.… ทกฺขิเณยฺยานํ สมฺมุขีภาวา สโทฺธ กุลปุโตฺต พหุํ ปุญฺญํ ปสวติฯ ตุมฺหากเญฺจวายํ สทฺธา อตฺถิ, เทยฺยธโมฺม จ สํวิชฺชติ, อหญฺจ ปฎิคฺคาหโกฯ สจาหํ น ปฎิคฺคเหสฺสามิ, เอวํ ตุเมฺห ปุเญฺญน ปริพาหิรา ภวิสฺสถ; น มยฺหํ อิมินา อโตฺถ, อปิจ ตุมฺหากํ เอว อนุกมฺปาย ปฎิคฺคณฺหามี’ติฯ ตทุปาทาย พหุมฺปิ จีวรํ ปฎิคฺคณฺหาติ, พหุมฺปิ ปิณฺฑปาตํ…เป.… เภสชฺชปริกฺขารํ ปฎิคฺคณฺหาติฯ ยา เอวรูปา ภากุฎิกา ภากุฎิยํ กุหนา กุหายนา กุหิตตฺตํ – อิทํ วุจฺจติ ปจฺจยปฎิเสวนสงฺขาตํ กุหนวตฺถู’’ติฯ

    ‘‘Katamaṃ paccayapaṭisevanasaṅkhātaṃ kuhanavatthu? Idha gahapatikā bhikkhuṃ nimantenti cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārehi. So pāpiccho icchāpakato atthiko cīvara …pe… parikkhārānaṃ bhiyyokamyataṃ upādāya cīvaraṃ paccakkhāti, piṇḍapātaṃ paccakkhāti, senāsanaṃ paccakkhāti, gilānapaccayabhesajjaparikkhāraṃ paccakkhāti. So evamāha – ‘‘kiṃ samaṇassa mahagghena cīvarena? Etaṃ sāruppaṃ yaṃ samaṇo susānā vā saṅkārakūṭā vā pāpaṇikā vā nantakāni uccinitvā saṅghāṭiṃ katvā dhāreyya. Kiṃ samaṇassa mahagghena piṇḍapātena? Etaṃ sāruppaṃ yaṃ samaṇo uñchācariyāya piṇḍiyālopena jīvikaṃ kappeyya. Kiṃ samaṇassa mahagghena senāsanena? Etaṃ sāruppaṃ yaṃ samaṇo rukkhamūliko vā assa sosāniko vā abbhokāsiko vā. Kiṃ samaṇassa mahagghena gilānapaccayabhesajjaparikkhārena? Etaṃ sāruppaṃ yaṃ samaṇo pūtimuttena vā harītakīkhaṇḍena vā osadhaṃ kareyyāti. Tadupādāya lūkhaṃ cīvaraṃ dhāreti, lūkhaṃ piṇḍapātaṃ paribhuñjati, lūkhaṃ senāsanaṃ paṭisevati, lūkhaṃ gilānapaccayabhesajjaparikkhāraṃ paṭisevati. Tamenaṃ gahapatikā evaṃ jānanti – ‘ayaṃ samaṇo appiccho santuṭṭho pavivitto asaṃsaṭṭho āraddhavīriyo dhutavādo’ti bhiyyo bhiyyo nimantenti cīvara…pe… parikkhārehi. So evamāha – ‘tiṇṇaṃ sammukhībhāvā saddho kulaputto bahuṃ puññaṃ pasavati – saddhāya sammukhībhāvā saddho kulaputto bahuṃ puññaṃ pasavati, deyyadhammassa…pe… dakkhiṇeyyānaṃ sammukhībhāvā saddho kulaputto bahuṃ puññaṃ pasavati. Tumhākañcevāyaṃ saddhā atthi, deyyadhammo ca saṃvijjati, ahañca paṭiggāhako. Sacāhaṃ na paṭiggahessāmi, evaṃ tumhe puññena paribāhirā bhavissatha; na mayhaṃ iminā attho, apica tumhākaṃ eva anukampāya paṭiggaṇhāmī’ti. Tadupādāya bahumpi cīvaraṃ paṭiggaṇhāti, bahumpi piṇḍapātaṃ…pe… bhesajjaparikkhāraṃ paṭiggaṇhāti. Yā evarūpā bhākuṭikā bhākuṭiyaṃ kuhanā kuhāyanā kuhitattaṃ – idaṃ vuccati paccayapaṭisevanasaṅkhātaṃ kuhanavatthū’’ti.

    ปาปิจฺฉเสฺสว ปน สโต อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาธิคมปริทีปนวาจาย ตถา ตถา วิมฺหาปนํ สามนฺตชปฺปนสงฺขาตํ กุหนวตฺถูติ เวทิตพฺพํฯ ยถาห – ‘‘กตมํ สามนฺตชปฺปนสงฺขาตํ กุหนวตฺถุ ? อิเธกโจฺจ ปาปิโจฺฉ อิจฺฉาปกโต สมฺภาวนาธิปฺปาโย ‘เอวํ มํ ชโน สมฺภาเวสฺสตี’ติ อริยธมฺมสนฺนิสฺสิตํ วาจํ ภาสติ – ‘โย เอวรูปํ จีวรํ ธาเรติ, โส สมโณ มเหสโกฺข’ติ ภณติ; ‘โย เอวรูปํ ปตฺตํ, โลหถาลกํ, ธมกรณํ, ปริสาวนํ, กุญฺจิกํ, อุปาหนํ, กายพนฺธนํ, อาโยคํ ธาเรติ, โส สมโณ มเหสโกฺข’ติ ภณติ; ‘ยสฺส เอวรูโป อุปชฺฌาโย, อาจริโย, สมานุปชฺฌาโย, สมานาจริยโก, มิโตฺต สนฺทิโฎฺฐ, สมฺภโตฺต, สหาโย; โย เอวรูเป วิหาเร วสติ – อฑฺฒโยเค, ปาสาเท, หมฺมิเย, คุหายํ, เลเณ, กุฎิยา, กูฎาคาเร, อเฎฺฎ, มาเฬ, อุโทสิเต, อุทฺทเณฺฑ, อุปฎฺฐานสาลายํ, มณฺฑเป, รุกฺขมูเล วสติ, โส สมโณ มเหสโกฺข’ติ ภณติฯ

    Pāpicchasseva pana sato uttarimanussadhammādhigamaparidīpanavācāya tathā tathā vimhāpanaṃ sāmantajappanasaṅkhātaṃ kuhanavatthūti veditabbaṃ. Yathāha – ‘‘katamaṃ sāmantajappanasaṅkhātaṃ kuhanavatthu ? Idhekacco pāpiccho icchāpakato sambhāvanādhippāyo ‘evaṃ maṃ jano sambhāvessatī’ti ariyadhammasannissitaṃ vācaṃ bhāsati – ‘yo evarūpaṃ cīvaraṃ dhāreti, so samaṇo mahesakkho’ti bhaṇati; ‘yo evarūpaṃ pattaṃ, lohathālakaṃ, dhamakaraṇaṃ, parisāvanaṃ, kuñcikaṃ, upāhanaṃ, kāyabandhanaṃ, āyogaṃ dhāreti, so samaṇo mahesakkho’ti bhaṇati; ‘yassa evarūpo upajjhāyo, ācariyo, samānupajjhāyo, samānācariyako, mitto sandiṭṭho, sambhatto, sahāyo; yo evarūpe vihāre vasati – aḍḍhayoge, pāsāde, hammiye, guhāyaṃ, leṇe, kuṭiyā, kūṭāgāre, aṭṭe, māḷe, udosite, uddaṇḍe, upaṭṭhānasālāyaṃ, maṇḍape, rukkhamūle vasati, so samaṇo mahesakkho’ti bhaṇati.

    ‘‘อถ วา โกรชิกโกรชิโก ภากุฎิกภากุฎิโก กุหกกุหโก ลปกลปโก มุขสมฺภาวิโต ‘อยํ สมโณ อิมาสํ เอวรูปานํ สนฺตานํ วิหารสมาปตฺตีนํ ลาภี’ติ ตาทิสํ คมฺภีรํ คูฬฺหํ นิปุณํ ปฎิจฺฉนฺนํ โลกุตฺตรํ สุญฺญตาปฎิสํยุตฺตํ กถํ กเถติฯ ยา เอวรูปา ภากุฎิกา ภากุฎิยํ กุหนา กุหายนา กุหิตตฺตํ – อิทํ วุจฺจติ สามนฺตชปฺปนสงฺขาตํ กุหนวตฺถู’’ติฯ

    ‘‘Atha vā korajikakorajiko bhākuṭikabhākuṭiko kuhakakuhako lapakalapako mukhasambhāvito ‘ayaṃ samaṇo imāsaṃ evarūpānaṃ santānaṃ vihārasamāpattīnaṃ lābhī’ti tādisaṃ gambhīraṃ gūḷhaṃ nipuṇaṃ paṭicchannaṃ lokuttaraṃ suññatāpaṭisaṃyuttaṃ kathaṃ katheti. Yā evarūpā bhākuṭikā bhākuṭiyaṃ kuhanā kuhāyanā kuhitattaṃ – idaṃ vuccati sāmantajappanasaṅkhātaṃ kuhanavatthū’’ti.

    ปาปิจฺฉเสฺสว ปน สโต สมฺภาวนาธิปฺปายกเตน อิริยาปเถน วิมฺหาปนํ อิริยาปถสนฺนิสฺสิตํ กุหนวตฺถูติ เวทิตพฺพํฯ ยถาห – ‘‘กตมํ อิริยาปถสงฺขาตํ กุหนวตฺถุ? อิเธกโจฺจ ปาปิโจฺฉ อิจฺฉาปกโต สมฺภาวนาธิปฺปาโย ‘เอวํ มํ ชโน สมฺภาเวสฺสตี’ติ คมนํ สณฺฐเปติ, สยนํ สณฺฐเปติ, ปณิธาย คจฺฉติ, ปณิธาย ติฎฺฐติ, ปณิธาย นิสีทติ, ปณิธาย เสยฺยํ กเปฺปติ, สมาหิโต วิย คจฺฉติ, สมาหิโต วิย ติฎฺฐติ, นิสีทติ, เสยฺยํ กเปฺปติ, อาปาถกชฺฌายีว โหติฯ ยา เอวรูปา อิริยาปถสฺส อาฐปนา ฐปนา สณฺฐปนา ภากุฎิกา ภากุฎิยํ กุหนา กุหายนา กุหิตตฺตํ – อิทํ วุจฺจติ อิริยาปถสงฺขาตํ กุหนวตฺถู’’ติฯ

    Pāpicchasseva pana sato sambhāvanādhippāyakatena iriyāpathena vimhāpanaṃ iriyāpathasannissitaṃ kuhanavatthūti veditabbaṃ. Yathāha – ‘‘katamaṃ iriyāpathasaṅkhātaṃ kuhanavatthu? Idhekacco pāpiccho icchāpakato sambhāvanādhippāyo ‘evaṃ maṃ jano sambhāvessatī’ti gamanaṃ saṇṭhapeti, sayanaṃ saṇṭhapeti, paṇidhāya gacchati, paṇidhāya tiṭṭhati, paṇidhāya nisīdati, paṇidhāya seyyaṃ kappeti, samāhito viya gacchati, samāhito viya tiṭṭhati, nisīdati, seyyaṃ kappeti, āpāthakajjhāyīva hoti. Yā evarūpā iriyāpathassa āṭhapanā ṭhapanā saṇṭhapanā bhākuṭikā bhākuṭiyaṃ kuhanā kuhāyanā kuhitattaṃ – idaṃ vuccati iriyāpathasaṅkhātaṃ kuhanavatthū’’ti.

    ตตฺถ ปจฺจยปฎิเสวนสงฺขาเตนาติ ปจฺจยปฎิเสวนนฺติ เอวํ สงฺขาเตน ปจฺจยปฎิเสวเนนฯ สามนฺตชปฺปิเตนาติ สมีเป ภณิเตนฯ อิริยาปถสฺสาติ จตุอิริยาปถสฺสฯ อาฐปนาติ อาทิฐปนา, อาทเรน วา ฐปนาฯ ฐปนาติ ฐปนากาโรฯ สณฺฐปนาติ อภิสงฺขรณา, ปาสาทิกภาวกรณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ภากุฎิกาติ ปธานปุริมฎฺฐิตภาวทสฺสเนน ภากุฎิกรณํ, มุขสโงฺกโจติ วุตฺตํ โหติฯ ภากุฎิกรณํ สีลมสฺสาติ ภากุฎิโก; ภากุฎิกสฺส ภาโว ภากุฎิยํฯ กุหนาติ วิมฺหาปนํ, กุหสฺส อายนา กุหายนาฯ กุหิตสฺส ภาโว กุหิตตฺตนฺติฯ

    Tattha paccayapaṭisevanasaṅkhātenāti paccayapaṭisevananti evaṃ saṅkhātena paccayapaṭisevanena. Sāmantajappitenāti samīpe bhaṇitena. Iriyāpathassāti catuiriyāpathassa. Āṭhapanāti ādiṭhapanā, ādarena vā ṭhapanā. Ṭhapanāti ṭhapanākāro. Saṇṭhapanāti abhisaṅkharaṇā, pāsādikabhāvakaraṇanti vuttaṃ hoti. Bhākuṭikāti padhānapurimaṭṭhitabhāvadassanena bhākuṭikaraṇaṃ, mukhasaṅkocoti vuttaṃ hoti. Bhākuṭikaraṇaṃ sīlamassāti bhākuṭiko; bhākuṭikassa bhāvo bhākuṭiyaṃ. Kuhanāti vimhāpanaṃ, kuhassa āyanā kuhāyanā. Kuhitassa bhāvo kuhitattanti.

    ๘๖๒. ลปนานิเทฺทเส อาลปนาติ วิหารํ อาคตมนุเสฺส ทิสฺวา กิมตฺถาย โภโนฺต อาคตา? กิํ ภิกฺขู นิมเนฺตตุํ? ยทิ เอวํ คจฺฉถ; อหํ ปจฺฉโต ภิกฺขู คเหตฺวา อาคจฺฉามี’ติ เอวํ อาทิโตว ลปนาฯ อถ วา อตฺตานํ อุปเนตฺวา ‘อหํ ติโสฺส, มยิ ราชา ปสโนฺน, มยิ อสุโก จ อสุโก จ ราชมหามโตฺต ปสโนฺน’ติ เอวํ อตฺตุปนายิกา ลปนา อาลปนาฯ ลปนาติ ปุฎฺฐสฺส สโต วุตฺตปฺปการเมว ลปนํฯ สลฺลปนาติ คหปติกานํ อุกฺกณฺฐเน ภีตสฺส โอกาสํ ทตฺวา สุฎฺฐุ ลปนาฯ อุลฺลปนาติ ‘มหากุฎุมฺพิโก, มหานาวิโก, มหาทานปตี’ติ เอวํ อุทฺธํ กตฺวา ลปนาฯ สมุลฺลปนาติ สพฺพโตภาเคน อุทฺธํ กตฺวา ลปนาฯ อุนฺนหนาติ ‘อุปาสกา, ปุเพฺพ อีทิเส กาเล ทานํ เทถ; อิทานิ กิํ น เทถา’ติ เอวํ ยาว ‘ทสฺสาม, ภเนฺต, โอกาสํ น ลภามา’ติอาทีนิ วทนฺติ ตาว อุทฺธํ นหนา, เวฐนาติ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา อุจฺฉุหตฺถํ ทิสฺวา ‘กุโต อาคตา, อุปาสกา’ติ ปุจฺฉติฯ ‘อุจฺฉุเขตฺตโต, ภเนฺต’ติฯ ‘กิํ ตตฺถ อุจฺฉุ มธุร’นฺติ? ‘ขาทิตฺวา, ภเนฺต, ชานิตพฺพ’นฺติฯ ‘น, อุปาสกา, ภิกฺขุสฺส ‘อุจฺฉุํ เทถา’ติ วตฺตุํ วฎฺฎตี’ติ ยา เอวรูปา นิเพฺพเฐนฺตสฺสาปิ เวฐนกกถา, สา อุนฺนหนา ฯ สพฺพโตภาเคน ปุนปฺปุนํ อุนฺนหนา สมุนฺนหนาฯ อุกฺกาจนาติ ‘เอตํ กุลํ มํเยว ชานาติ, สเจ เอตฺถ เทยฺยธโมฺม อุปฺปชฺชติ, มยฺหเมว เทตี’ติ เอวํ อุกฺขิปิตฺวา กาจนา อุกฺกาจนา; อุทฺทีปนาติ วุตฺตํ โหติฯ

    862. Lapanāniddese ālapanāti vihāraṃ āgatamanusse disvā kimatthāya bhonto āgatā? Kiṃ bhikkhū nimantetuṃ? Yadi evaṃ gacchatha; ahaṃ pacchato bhikkhū gahetvā āgacchāmī’ti evaṃ āditova lapanā. Atha vā attānaṃ upanetvā ‘ahaṃ tisso, mayi rājā pasanno, mayi asuko ca asuko ca rājamahāmatto pasanno’ti evaṃ attupanāyikā lapanā ālapanā. Lapanāti puṭṭhassa sato vuttappakārameva lapanaṃ. Sallapanāti gahapatikānaṃ ukkaṇṭhane bhītassa okāsaṃ datvā suṭṭhu lapanā. Ullapanāti ‘mahākuṭumbiko, mahānāviko, mahādānapatī’ti evaṃ uddhaṃ katvā lapanā. Samullapanāti sabbatobhāgena uddhaṃ katvā lapanā. Unnahanāti ‘upāsakā, pubbe īdise kāle dānaṃ detha; idāni kiṃ na dethā’ti evaṃ yāva ‘dassāma, bhante, okāsaṃ na labhāmā’tiādīni vadanti tāva uddhaṃ nahanā, veṭhanāti vuttaṃ hoti. Atha vā ucchuhatthaṃ disvā ‘kuto āgatā, upāsakā’ti pucchati. ‘Ucchukhettato, bhante’ti. ‘Kiṃ tattha ucchu madhura’nti? ‘Khāditvā, bhante, jānitabba’nti. ‘Na, upāsakā, bhikkhussa ‘ucchuṃ dethā’ti vattuṃ vaṭṭatī’ti yā evarūpā nibbeṭhentassāpi veṭhanakakathā, sā unnahanā . Sabbatobhāgena punappunaṃ unnahanā samunnahanā. Ukkācanāti ‘etaṃ kulaṃ maṃyeva jānāti, sace ettha deyyadhammo uppajjati, mayhameva detī’ti evaṃ ukkhipitvā kācanā ukkācanā; uddīpanāti vuttaṃ hoti.

    เตลกนฺทริกวตฺถุ เจตฺถ วตฺตพฺพํฯ เทฺว กิร ภิกฺขู เอกํ คามํ ปวิสิตฺวา อาสนสาลาย นิสีทิตฺวา เอกํ กุมาริกํ ทิสฺวา ปโกฺกสิํสุฯ ตาย อาคตาย ตเตฺรโก เอกํ ปุจฺฉิ – ‘อยํ, ภเนฺต, กสฺส กุมาริกา’ติ? ‘อมฺหากํ อุปฎฺฐายิกาย เตลกนฺทริกาย ธีตา, อาวุโสฯ อิมิสฺสา มาตา มยิ เคหํ คเต สปฺปิํ ททมานา ฆเฎเนว เทติ, อยมฺปิ มาตา วิย ฆเฎเนว เทตี’ติ อุกฺกาเจติฯ

    Telakandarikavatthu cettha vattabbaṃ. Dve kira bhikkhū ekaṃ gāmaṃ pavisitvā āsanasālāya nisīditvā ekaṃ kumārikaṃ disvā pakkosiṃsu. Tāya āgatāya tatreko ekaṃ pucchi – ‘ayaṃ, bhante, kassa kumārikā’ti? ‘Amhākaṃ upaṭṭhāyikāya telakandarikāya dhītā, āvuso. Imissā mātā mayi gehaṃ gate sappiṃ dadamānā ghaṭeneva deti, ayampi mātā viya ghaṭeneva detī’ti ukkāceti.

    สพฺพโตภาเคน ปุนปฺปุนํ อุกฺกาจนา สมุกฺกาจนาฯ อนุปฺปิยภาณิตาติ สจฺจานุรูปํ วา ธมฺมานุรูปํ วา อนปโลเกตฺวา ปุนปฺปุนํ ปิยภณนเมวฯ จาฎุกมฺยตาติ นีจวุตฺติตา; อตฺตานํ เหฎฺฐโต ฐเปตฺวา วตฺตนํฯ มุคฺคสูปฺยตาติ มุคฺคสูปสทิสตาฯ ยถา มุเคฺคสุ ปจฺจมาเนสุ โกจิเทว น ปจฺจติ, อวเสสา ปจฺจนฺติ; เอวํ ยสฺส ปุคฺคลสฺส วจเน กิญฺจิเทว สจฺจํ โหติ, เสสํ อลิกํ – อยํ ปุคฺคโล มุคฺคสูโปฺยติ วุจฺจติฯ ตสฺส ภาโว มุคฺคสูปฺยตาฯ ปาริภฎยตาติ ปาริภฎยภาโวฯ โย หิ กุลทารเก ธาตี วิย อเงฺกน วา ขเนฺธน วา ปริภฎติ, ธาเรตีติ อโตฺถ; ตสฺส ปริภฎสฺส กมฺมํ ปาริภฎยํ; ปาริภฎยสฺส ภาโว ปาริภฎยตาติฯ

    Sabbatobhāgena punappunaṃ ukkācanā samukkācanā. Anuppiyabhāṇitāti saccānurūpaṃ vā dhammānurūpaṃ vā anapaloketvā punappunaṃ piyabhaṇanameva. Cāṭukamyatāti nīcavuttitā; attānaṃ heṭṭhato ṭhapetvā vattanaṃ. Muggasūpyatāti muggasūpasadisatā. Yathā muggesu paccamānesu kocideva na paccati, avasesā paccanti; evaṃ yassa puggalassa vacane kiñcideva saccaṃ hoti, sesaṃ alikaṃ – ayaṃ puggalo muggasūpyoti vuccati. Tassa bhāvo muggasūpyatā. Pāribhaṭayatāti pāribhaṭayabhāvo. Yo hi kuladārake dhātī viya aṅkena vā khandhena vā paribhaṭati, dhāretīti attho; tassa paribhaṭassa kammaṃ pāribhaṭayaṃ; pāribhaṭayassa bhāvo pāribhaṭayatāti.

    ๘๖๓. เนมิตฺติกตานิเทฺทเส นิมิตฺตนฺติ ยํกิญฺจิ ปเรสํ ปจฺจยทานสํโยชนกํ กายวจีกมฺมํฯ นิมิตฺตกมฺมนฺติ นิมิตฺตสฺส กรณโกสลฺลํฯ

    863. Nemittikatāniddese nimittanti yaṃkiñci paresaṃ paccayadānasaṃyojanakaṃ kāyavacīkammaṃ. Nimittakammanti nimittassa karaṇakosallaṃ.

    ตตฺริทํ วตฺถุ – เอโก กิร ปิณฺฑปาติโก อุปฎฺฐากกมฺมารสฺส เคหทฺวารํ คนฺตฺวา ‘กิํ ภเนฺต’ติ ปุจฺฉิโต จีวรนฺตเรน หตฺถํ นีหริตฺวา วาสิปหรณาการํ อกาสิฯ กมฺมาโร ‘สลฺลกฺขิตํ เม, ภเนฺต’ติ วาสิํ กตฺวา อทาสิฯ โอภาโสติ ปจฺจยปฎิสํยุตฺตกถาฯ โอภาสกมฺมนฺติ วจฺฉกปาลเก ทิสฺวา ‘กิํ อิเม วจฺฉา ขีรโควจฺฉา, ตกฺกโควจฺฉา’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘ขีรโควจฺฉา, ภเนฺต’ติ วุเตฺต ‘น ขีรโควจฺฉา, ยทิ ขีรโควจฺฉา สิยุํ ภิกฺขูปิ ขีรํ ลเภยฺยุ’นฺติ เอวมาทินา นเยน เตสํ ทารกานํ มาตาปิตูนํ นิเวเทตฺวา ขีรทาปนาทิกํ โอภาสกรณํฯ สามนฺตชปฺปาติ สมีปํ กตฺวา ชปฺปนํฯ

    Tatridaṃ vatthu – eko kira piṇḍapātiko upaṭṭhākakammārassa gehadvāraṃ gantvā ‘kiṃ bhante’ti pucchito cīvarantarena hatthaṃ nīharitvā vāsipaharaṇākāraṃ akāsi. Kammāro ‘sallakkhitaṃ me, bhante’ti vāsiṃ katvā adāsi. Obhāsoti paccayapaṭisaṃyuttakathā. Obhāsakammanti vacchakapālake disvā ‘kiṃ ime vacchā khīragovacchā, takkagovacchā’ti pucchitvā ‘khīragovacchā, bhante’ti vutte ‘na khīragovacchā, yadi khīragovacchā siyuṃ bhikkhūpi khīraṃ labheyyu’nti evamādinā nayena tesaṃ dārakānaṃ mātāpitūnaṃ nivedetvā khīradāpanādikaṃ obhāsakaraṇaṃ. Sāmantajappāti samīpaṃ katvā jappanaṃ.

    ชาตกภาณกวตฺถุ เจตฺถ กเถตพฺพํฯ เอโก กิร ชาตกภาณกเตฺถโร ภุญฺชิตุกาโม อุปฎฺฐายิกาย เคหํ ปวิสิตฺวา นิสีทิฯ สา อทาตุกามา ‘ตณฺฑุลา นตฺถี’ติ ภณนฺตี ตณฺฑุเล อาหริตุกามา วิย ปฎิวิสฺสกฆรํ คตาฯ ภิกฺขุ อโนฺตคพฺภํ ปวิสิตฺวา โอโลเกโนฺต กวาฎโกเณ อุจฺฉุํ, ภาชเน คุฬํ, ปิฎเก โลณมจฺฉผาลํ, กุมฺภิยํ ตณฺฑุเล, ฆเฎ ฆตํ ทิสฺวา นิกฺขมิตฺวา นิสีทิฯ ฆรณี ‘ตณฺฑุลํ นาลตฺถ’นฺติ อาคตาฯ เถโร ‘อุปาสิเก, อชฺช ภิกฺขา น สมฺปชฺชิสฺสตี’ติ ปฎิกเจฺจว นิมิตฺตํ อทฺทส’นฺติ อาหฯ ‘กิํ, ภเนฺต’ติ? ‘กวาฎโกเณ นิกฺขิตฺตํ อุจฺฉุํ วิย สปฺปํ อทฺทสํ; ‘ตํ ปหริสฺสามี’ติ โอโลเกโนฺต ภาชเน ฐปิตํ คุฬปิณฺฑํ วิย ปาสาณํ เลฑฺฑุเกน; ปหเฎน สเปฺปน กตํ, ปิฎเก นิกฺขิตฺตโลณมจฺฉผาลสทิสํ, ผณํ; ตสฺส ตํ เลฑฺฑุํ ฑํสิตุกามสฺส, กุมฺภิยา ตณฺฑุลสทิเส ทเนฺต; อถสฺส กุปิตสฺส, ฆเฎ ปกฺขิตฺตฆตสทิสํ, มุขโต นิกฺขมนฺตํ วิสมิสฺสกํ เขฬ’นฺติฯ สา ‘น สกฺกา มุณฺฑกํ วเญฺจตุ’นฺติ อุจฺฉุํ ทตฺวา โอทนํ ปจิตฺวา ฆตคุฬมเจฺฉหิ สทฺธิํ อทาสีติฯ เอวํ สมีปํ กตฺวา ชปฺปนํ สามนฺตชปฺปาติ เวทิตพฺพํฯ ปริกถาติ ยถา ตํ ลภติ ตถา ปริวเตฺตตฺวา ปริวเตฺตตฺวา กถนํฯ

    Jātakabhāṇakavatthu cettha kathetabbaṃ. Eko kira jātakabhāṇakatthero bhuñjitukāmo upaṭṭhāyikāya gehaṃ pavisitvā nisīdi. Sā adātukāmā ‘taṇḍulā natthī’ti bhaṇantī taṇḍule āharitukāmā viya paṭivissakagharaṃ gatā. Bhikkhu antogabbhaṃ pavisitvā olokento kavāṭakoṇe ucchuṃ, bhājane guḷaṃ, piṭake loṇamacchaphālaṃ, kumbhiyaṃ taṇḍule, ghaṭe ghataṃ disvā nikkhamitvā nisīdi. Gharaṇī ‘taṇḍulaṃ nālattha’nti āgatā. Thero ‘upāsike, ajja bhikkhā na sampajjissatī’ti paṭikacceva nimittaṃ addasa’nti āha. ‘Kiṃ, bhante’ti? ‘Kavāṭakoṇe nikkhittaṃ ucchuṃ viya sappaṃ addasaṃ; ‘taṃ paharissāmī’ti olokento bhājane ṭhapitaṃ guḷapiṇḍaṃ viya pāsāṇaṃ leḍḍukena; pahaṭena sappena kataṃ, piṭake nikkhittaloṇamacchaphālasadisaṃ, phaṇaṃ; tassa taṃ leḍḍuṃ ḍaṃsitukāmassa, kumbhiyā taṇḍulasadise dante; athassa kupitassa, ghaṭe pakkhittaghatasadisaṃ, mukhato nikkhamantaṃ visamissakaṃ kheḷa’nti. Sā ‘na sakkā muṇḍakaṃ vañcetu’nti ucchuṃ datvā odanaṃ pacitvā ghataguḷamacchehi saddhiṃ adāsīti. Evaṃ samīpaṃ katvā jappanaṃ sāmantajappāti veditabbaṃ. Parikathāti yathā taṃ labhati tathā parivattetvā parivattetvā kathanaṃ.

    ๘๖๔. นิเปฺปสิกตานิเทฺทเส อโกฺกสนาติ ทสหิ อโกฺกสวตฺถูหิ อโกฺกสนาฯ วมฺภนาติ ปริภวิตฺวา กถนํฯ ครหนาติ ‘อสฺสโทฺธ อปฺปสโนฺน’ติอาทินา นเยน โทสาโรปนาฯ อุเกฺขปนาติ ‘มา เอตํ เอตฺถ กเถถา’ติ วาจาย อุกฺขิปนํฯ สพฺพโตภาเคน สวตฺถุกํ สเหตุกํ กตฺวา อุเกฺขปนา สมุเกฺขปนาฯ อถวา อเทนฺตํ ‘อโห ทานปตี’ติ เอวํ อุกฺขิปนํ อุเกฺขปนาฯ ‘มหาทานปตี’ติ เอวํ สุฎฺฐุ อุเกฺขปนา สมุเกฺขปนาฯ ขิปนาติ ‘กิํ อิมสฺส ชีวิตํ พีชโภชิโน’ติ เอวํ อุปฺปณฺฑนาฯ สงฺขิปนาติ ‘กิํ อิมํ อทายโกติ ภณถ โย นิจฺจกาลํ สเพฺพสมฺปิ นตฺถีติ วจนํ เทตี’ติ เอวํ สุฎฺฐุตรํ อุปฺปณฺฑนาฯ ปาปนาติ อทายกตฺตสฺส อวณฺณสฺส วา ปาปนํฯ สพฺพโตภาเคน ปาปนา สมฺปาปนาอวณฺณหาริกาติ ‘เอวํ เม อวณฺณภยาปิ ทสฺสตี’ติ เคหโต เคหํ, คามโต คามํ, ชนปทโต ชนปทํ อวณฺณหรณํฯ ปรปิฎฺฐิมํสิกตาติ ปุรโต มธุรํ ภณิตฺวา ปรมฺมุเข อวณฺณภาสิตาฯ เอสา หิ อภิมุขํ โอโลเกตุํ อสโกฺกนฺตสฺส ปรมฺมุขานํ ปิฎฺฐิมํสขาทนํ วิย โหติฯ ตสฺมา ปรปิฎฺฐิมํสิกตาติ วุตฺตาฯ อยํ วุจฺจติ นิเปฺปสิกตาติ อยํ ยสฺมา เวฬุเปสิกา วิย อพฺภงฺคํ ปรสฺส คุณํ นิเปฺปเสติ นิปุญฺฉติ, ยสฺมา วา คนฺธชาตํ นิปิสิตฺวา คนฺธมคฺคนา วิย ปรคุเณ นิปิสิตฺวา วิจุเณฺณตฺวา เอสา ลาภมคฺคนา โหติ, ตสฺมา นิเปฺปสิกตาติ วุจฺจตีติฯ

    864. Nippesikatāniddese akkosanāti dasahi akkosavatthūhi akkosanā. Vambhanāti paribhavitvā kathanaṃ. Garahanāti ‘assaddho appasanno’tiādinā nayena dosāropanā. Ukkhepanāti ‘mā etaṃ ettha kathethā’ti vācāya ukkhipanaṃ. Sabbatobhāgena savatthukaṃ sahetukaṃ katvā ukkhepanā samukkhepanā. Athavā adentaṃ ‘aho dānapatī’ti evaṃ ukkhipanaṃ ukkhepanā. ‘Mahādānapatī’ti evaṃ suṭṭhu ukkhepanā samukkhepanā. Khipanāti ‘kiṃ imassa jīvitaṃ bījabhojino’ti evaṃ uppaṇḍanā. Saṅkhipanāti ‘kiṃ imaṃ adāyakoti bhaṇatha yo niccakālaṃ sabbesampi natthīti vacanaṃ detī’ti evaṃ suṭṭhutaraṃ uppaṇḍanā. Pāpanāti adāyakattassa avaṇṇassa vā pāpanaṃ. Sabbatobhāgena pāpanā sampāpanā. Avaṇṇahārikāti ‘evaṃ me avaṇṇabhayāpi dassatī’ti gehato gehaṃ, gāmato gāmaṃ, janapadato janapadaṃ avaṇṇaharaṇaṃ. Parapiṭṭhimaṃsikatāti purato madhuraṃ bhaṇitvā parammukhe avaṇṇabhāsitā. Esā hi abhimukhaṃ oloketuṃ asakkontassa parammukhānaṃ piṭṭhimaṃsakhādanaṃ viya hoti. Tasmā parapiṭṭhimaṃsikatāti vuttā. Ayaṃ vuccati nippesikatāti ayaṃ yasmā veḷupesikā viya abbhaṅgaṃ parassa guṇaṃ nippeseti nipuñchati, yasmā vā gandhajātaṃ nipisitvā gandhamagganā viya paraguṇe nipisitvā vicuṇṇetvā esā lābhamagganā hoti, tasmā nippesikatāti vuccatīti.

    ๘๖๕. ลาเภน ลาภํ นิชิคีสนตานิเทฺทเส นิชิคีสนตาติ มคฺคนาฯ อิโต ลทฺธนฺติ อิมมฺหา เคหา ลทฺธํฯ อมุตฺราติ อมุกมฺหิ เคเหฯ เอฎฺฐีติ อิจฺฉนาฯ คเวฎฺฐีติ มคฺคนาฯ ปริเยฎฺฐีติ ปุนปฺปุนํ มคฺคนาฯ อาทิโต ปฎฺฐาย ลทฺธํ ลทฺธํ ภิกฺขํ ตตฺร ตตฺร กุลทารกานํ ทตฺวา อเนฺต ขีรยาคุํ ลภิตฺวา คตภิกฺขุวตฺถุ เจตฺถ กเถตพฺพํฯ เอสนาติอาทีนิ เอฎฺฐีติอาทีนํ เววจนานิ, ตสฺมา เอฎฺฐีติ เอสนา, คเวฎฺฐีติ คเวสนา, ปริเยฎฺฐีติ ปริเยสนาฯ อิเจฺจวเมตฺถ โยชนา เวทิตพฺพาฯ

    865. Lābhena lābhaṃ nijigīsanatāniddese nijigīsanatāti magganā. Ito laddhanti imamhā gehā laddhaṃ. Amutrāti amukamhi gehe. Eṭṭhīti icchanā. Gaveṭṭhīti magganā. Pariyeṭṭhīti punappunaṃ magganā. Ādito paṭṭhāya laddhaṃ laddhaṃ bhikkhaṃ tatra tatra kuladārakānaṃ datvā ante khīrayāguṃ labhitvā gatabhikkhuvatthu cettha kathetabbaṃ. Esanātiādīni eṭṭhītiādīnaṃ vevacanāni, tasmā eṭṭhīti esanā, gaveṭṭhīti gavesanā, pariyeṭṭhīti pariyesanā. Iccevamettha yojanā veditabbā.

    ๘๖๖. เสยฺยมานนิเทฺทเส ชาติยาติ ขตฺติยภาวาทิชาติสมฺปตฺติยาฯ โคเตฺตนาติ โคตมโคตฺตาทินา อุกฺกฎฺฐโคเตฺตนฯ โกลปุตฺติเยนาติ มหากุลภาเวนฯ วณฺณโปกฺขรตายาติ วณฺณสมฺปนฺนสรีรตายฯ สรีรญฺหิ โปกฺขรนฺติ วุจฺจติ, ตสฺส วณฺณสมฺปตฺติยา อภิรูปภาเวนาติ อโตฺถฯ ธเนนาติอาทีนิ อุตฺตานตฺถาเนวฯ มานํ ชเปฺปตีติ เอเตสุ เยน เกนจิ วตฺถุนา ‘เสโยฺยหมสฺมี’ติ มานํ ปวเตฺตติ กโรติฯ

    866. Seyyamānaniddese jātiyāti khattiyabhāvādijātisampattiyā. Gottenāti gotamagottādinā ukkaṭṭhagottena. Kolaputtiyenāti mahākulabhāvena. Vaṇṇapokkharatāyāti vaṇṇasampannasarīratāya. Sarīrañhi pokkharanti vuccati, tassa vaṇṇasampattiyā abhirūpabhāvenāti attho. Dhanenātiādīni uttānatthāneva. Mānaṃ jappetīti etesu yena kenaci vatthunā ‘seyyohamasmī’ti mānaṃ pavatteti karoti.

    ๘๖๗. สทิสมานนิเทฺทเส มานํ ชเปฺปตีติ เอเตสุ เยน เกนจิ วตฺถุนา ‘สทิโสหมสฺมี’ติ มานํ ปวเตฺตติฯ อยเมตฺถ อตฺถโต วิเสโสฯ ปาฬิยํ ปน นานากรณํ นตฺถิฯ

    867. Sadisamānaniddese mānaṃ jappetīti etesu yena kenaci vatthunā ‘sadisohamasmī’ti mānaṃ pavatteti. Ayamettha atthato viseso. Pāḷiyaṃ pana nānākaraṇaṃ natthi.

    ๘๖๘. หีนมานนิเทฺทเส โอมานํ ชเปฺปตีติ เหฎฺฐามานํ ปวเตฺตติฯ โอมาโนติ ลามโก เหฎฺฐามาโนฯ โอมญฺญนา โอมญฺญิตตฺตนฺติ อาการภาวนิเทฺทโสฯ หีฬนาติ ชาติอาทีหิ อตฺตชิคุจฺฉนาฯ โอหีฬนาติ อติเรกโต หีฬนาฯ โอหีฬิตตฺตนฺติ ตเสฺสว ภาวนิเทฺทโสฯ อตฺตุญฺญาติ อตฺตานํ หีนํ กตฺวา ชานนาฯ อตฺตาวญฺญาติ อตฺตานํ อวชานนาฯ อตฺตปริภโวติ ชาติอาทิสมฺปตฺตินามเมว ชาตาติ อตฺตานํ ปริภวิตฺวา มญฺญนาฯ เอวมิเม ตโย มานา ปุคฺคลํ อนิสฺสาย ชาติอาทิวตฺถุวเสเนว กถิตาฯ เตสุ เอเกโก ติณฺณมฺปิ เสยฺยสทิสหีนานํ อุปฺปชฺชติฯ ตตฺถ ‘เสโยฺยหมสฺมี’ติ มาโน เสยฺยเสฺสว ยาถาวมาโน, เสสานํ อยาถาวมาโนฯ ‘สทิโสหมสฺมี’ติ มาโน สทิสเสฺสว ยาถาวมาโน, เสสานํ อยาถาวมาโนฯ ‘หีโนหมสฺมี’ติ มาโน หีนเสฺสว ยาถาวมาโน, เสสานํ อยาถาวมาโนฯ

    868. Hīnamānaniddese omānaṃ jappetīti heṭṭhāmānaṃ pavatteti. Omānoti lāmako heṭṭhāmāno. Omaññanā omaññitattanti ākārabhāvaniddeso. Hīḷanāti jātiādīhi attajigucchanā. Ohīḷanāti atirekato hīḷanā. Ohīḷitattanti tasseva bhāvaniddeso. Attuññāti attānaṃ hīnaṃ katvā jānanā. Attāvaññāti attānaṃ avajānanā. Attaparibhavoti jātiādisampattināmameva jātāti attānaṃ paribhavitvā maññanā. Evamime tayo mānā puggalaṃ anissāya jātiādivatthuvaseneva kathitā. Tesu ekeko tiṇṇampi seyyasadisahīnānaṃ uppajjati. Tattha ‘seyyohamasmī’ti māno seyyasseva yāthāvamāno, sesānaṃ ayāthāvamāno. ‘Sadisohamasmī’ti māno sadisasseva yāthāvamāno, sesānaṃ ayāthāvamāno. ‘Hīnohamasmī’ti māno hīnasseva yāthāvamāno, sesānaṃ ayāthāvamāno.

    ๘๖๙. ตตฺถ กตโม เสยฺยสฺส เสโยฺยหมสฺมีติอาทโย ปน นว มานา ปุคฺคลํ นิสฺสาย กถิตาฯ เตสุ ตโย ตโย เอเกกสฺส อุปฺปชฺชนฺติฯ ตตฺถ ทหตีติ ฐเปติฯ ตํ นิสฺสายาติ ตํ เสยฺยโต ทหนํ นิสฺสายฯ เอตฺถ ปน เสยฺยสฺส เสโยฺยหมสฺมีติ มาโน ราชูนเญฺจว ปพฺพชิตานญฺจ อุปฺปชฺชติฯ ราชา หิ ‘รเฎฺฐน วา ธเนน วา วาหเนหิ วา โก มยา สทิโส อตฺถี’ติ เอตํ มานํ กโรติฯ ปพฺพชิโตปิ ‘สีลธุตงฺคาทีหิ โก มยา สทิโส อตฺถี’ติ เอตํ มานํ กโรติฯ

    869. Tattha katamo seyyassa seyyohamasmītiādayo pana nava mānā puggalaṃ nissāya kathitā. Tesu tayo tayo ekekassa uppajjanti. Tattha dahatīti ṭhapeti. Taṃ nissāyāti taṃ seyyato dahanaṃ nissāya. Ettha pana seyyassa seyyohamasmīti māno rājūnañceva pabbajitānañca uppajjati. Rājā hi ‘raṭṭhena vā dhanena vā vāhanehi vā ko mayā sadiso atthī’ti etaṃ mānaṃ karoti. Pabbajitopi ‘sīladhutaṅgādīhi ko mayā sadiso atthī’ti etaṃ mānaṃ karoti.

    ๘๗๐. เสยฺยสฺส สทิโสหมสฺมีติ มาโนปิ เอเตสํเยว อุปฺปชฺชติฯ ราชา หิ ‘รเฎฺฐน วา ธเนน วา วาหเนหิ วา อญฺญราชูหิ สทฺธิํ มยฺหํ กิํ นานากรณ’นฺติ เอตํ มานํ กโรติฯ ปพฺพชิโตปิ ‘สีลธุตงฺคาทีหิ อเญฺญน ภิกฺขุนา สทฺธิํ มยฺหํ กิํ นานากรณ’นฺติ เอตํ มานํ กโรติฯ

    870. Seyyassa sadisohamasmīti mānopi etesaṃyeva uppajjati. Rājā hi ‘raṭṭhena vā dhanena vā vāhanehi vā aññarājūhi saddhiṃ mayhaṃ kiṃ nānākaraṇa’nti etaṃ mānaṃ karoti. Pabbajitopi ‘sīladhutaṅgādīhi aññena bhikkhunā saddhiṃ mayhaṃ kiṃ nānākaraṇa’nti etaṃ mānaṃ karoti.

    ๘๗๑. เสยฺยสฺส หีโนหมสฺมีติ มาโนปิ เอเตสํเยว อุปฺปชฺชติฯ ยสฺส หิ รโญฺญ รฎฺฐํ วา ธนํ วา วาหนานิ วา สมฺปนฺนานิ น โหนฺติ, โส ‘มยฺหํ ราชาติ โวหารสุขมตฺตเมว; กิํ ราชา นาม อห’นฺติ เอตํ มานํ กโรติฯ ปพฺพชิโตปิ ‘อปฺปลาภสกฺกาโร อหํฯ ธมฺมกถิโก พหุสฺสุโต มหาเถโรติ กถามตฺตเมวฯ กิํ ธมฺมกถิโก นามาหํ, กิํ พหุสฺสุโต นามาหํ, กิํ มหาเถโร นามาหํ ยสฺส เม ลาภสกฺกาโร นตฺถี’ติ เอตํ มานํ กโรติฯ

    871. Seyyassa hīnohamasmīti mānopi etesaṃyeva uppajjati. Yassa hi rañño raṭṭhaṃ vā dhanaṃ vā vāhanāni vā sampannāni na honti, so ‘mayhaṃ rājāti vohārasukhamattameva; kiṃ rājā nāma aha’nti etaṃ mānaṃ karoti. Pabbajitopi ‘appalābhasakkāro ahaṃ. Dhammakathiko bahussuto mahātheroti kathāmattameva. Kiṃ dhammakathiko nāmāhaṃ, kiṃ bahussuto nāmāhaṃ, kiṃ mahāthero nāmāhaṃ yassa me lābhasakkāro natthī’ti etaṃ mānaṃ karoti.

    ๘๗๒. สทิสสฺส เสโยฺยหมสฺมีติ มานาทโย อมจฺจาทีนํ อุปฺปชฺชนฺติฯ อมโจฺจ หิ รฎฺฐิโย วา ‘โภคยานวาหนาทีหิ โก มยา สทิโส อโญฺญ ราชปุริโส อตฺถี’ติ วา ‘มยฺหํ อเญฺญหิ สทฺธิํ กิํ นานากรณ’นฺติ วา ‘อมโจฺจติ นามมตฺตเมว มยฺหํ; ฆาสจฺฉาทนมตฺตมฺปิ เม นตฺถิฯ กิํ อมโจฺจ นามาห’นฺติ เอเต มาเน กโรติฯ

    872. Sadisassa seyyohamasmīti mānādayo amaccādīnaṃ uppajjanti. Amacco hi raṭṭhiyo vā ‘bhogayānavāhanādīhi ko mayā sadiso añño rājapuriso atthī’ti vā ‘mayhaṃ aññehi saddhiṃ kiṃ nānākaraṇa’nti vā ‘amaccoti nāmamattameva mayhaṃ; ghāsacchādanamattampi me natthi. Kiṃ amacco nāmāha’nti ete māne karoti.

    ๘๗๕. หีนสฺส เสโยฺยหมสฺมีติ มานาทโย ทาสาทีนํ อุปฺปชฺชนฺติฯ ทาโส หิ ‘มาติโต วา ปิติโต วา โก มยา สทิโส อโญฺญ ทาโส นาม อตฺถิ’ อเญฺญ ชีวิตุํ อสโกฺกนฺตา กุจฺฉิเหตุ ทาสา นาม ชาตาฯ อหํ ปน ปเวณีอาคตตฺตา เสโยฺย’ติ วา ‘ปเวณีอาคตภาเวน อุภโตสุทฺธิกทาสเตฺตน อสุกทาเสน นาม สทฺธิํ กิํ มยฺหํ นานากรณ’นฺติ วา ‘กุจฺฉิวเสนาหํ ทาสพฺยํ อุปคโตฯ มาตาปิตุโกฎิยา ปน เม ทาสฎฺฐานํ นตฺถิฯ กิํ ทาโส นาม อห’นฺติ วา เอเต มาเน กโรติฯ ยถา จ ทาโส เอวํ ปุกฺกุสจณฺฑาลาทโยปิ เอเต มาเน กโรนฺติเยวฯ

    875. Hīnassa seyyohamasmīti mānādayo dāsādīnaṃ uppajjanti. Dāso hi ‘mātito vā pitito vā ko mayā sadiso añño dāso nāma atthi’ aññe jīvituṃ asakkontā kucchihetu dāsā nāma jātā. Ahaṃ pana paveṇīāgatattā seyyo’ti vā ‘paveṇīāgatabhāvena ubhatosuddhikadāsattena asukadāsena nāma saddhiṃ kiṃ mayhaṃ nānākaraṇa’nti vā ‘kucchivasenāhaṃ dāsabyaṃ upagato. Mātāpitukoṭiyā pana me dāsaṭṭhānaṃ natthi. Kiṃ dāso nāma aha’nti vā ete māne karoti. Yathā ca dāso evaṃ pukkusacaṇḍālādayopi ete māne karontiyeva.

    เอตฺถ จ ‘เสยฺยสฺส เสโยฺยหมสฺมี’ติ อุปฺปนฺนมาโนว ยาถาวมาโน, อิตเร เทฺว อยาถาวมานาฯ ตถา ‘สทิสสฺส สทิโสหมสฺมี’ติ ‘หีนสฺส หีโนหมสฺมี’ติ อุปฺปนฺนมาโนว ยาถาวมาโน, อิตเร เทฺว อยาถาวมานาฯ ตตฺถ ยาถาวมานา อรหตฺตมคฺควชฺฌา, อยาถาวมานา โสตาปตฺติมคฺควชฺฌาฯ

    Ettha ca ‘seyyassa seyyohamasmī’ti uppannamānova yāthāvamāno, itare dve ayāthāvamānā. Tathā ‘sadisassa sadisohamasmī’ti ‘hīnassa hīnohamasmī’ti uppannamānova yāthāvamāno, itare dve ayāthāvamānā. Tattha yāthāvamānā arahattamaggavajjhā, ayāthāvamānā sotāpattimaggavajjhā.

    ๘๗๘. เอวํ สวตฺถุเก มาเน กเถตฺวา อิทานิ อวตฺถุกํ นิพฺพตฺติตมานเมว ทเสฺสตุํ ตตฺถ กตโม มาโนติอาทิ วุตฺตํฯ

    878. Evaṃ savatthuke māne kathetvā idāni avatthukaṃ nibbattitamānameva dassetuṃ tattha katamo mānotiādi vuttaṃ.

    ๘๗๙. อติมานนิเทฺทเส เสยฺยาทิวเสน ปุคฺคลํ อนามสิตฺวา ชาติอาทีนํ วตฺถุวเสเนว นิทฺทิโฎฺฐฯ ตตฺถ อติมญฺญตีติ ‘ชาติอาทีหิ มยา สทิโส นตฺถี’ติ อติกฺกมิตฺวา มญฺญติฯ

    879. Atimānaniddese seyyādivasena puggalaṃ anāmasitvā jātiādīnaṃ vatthuvaseneva niddiṭṭho. Tattha atimaññatīti ‘jātiādīhi mayā sadiso natthī’ti atikkamitvā maññati.

    ๘๘๐. มานาติมานนิเทฺทเส โย เอวรูโปติ โย เอโส ‘อยํ ปุเพฺพ มยา สทิโส, อิทานิ อหํ เสโฎฺฐ, อหํ หีนตโร’ติ อุปฺปโนฺน มาโนฯ อยํ ภาราติภาโร วิย ปุริมํ สทิสมานํ อุปาทาย มานาติมาโนติ ทเสฺสตุํ เอวมาหฯ

    880. Mānātimānaniddese yo evarūpoti yo eso ‘ayaṃ pubbe mayā sadiso, idāni ahaṃ seṭṭho, ahaṃ hīnataro’ti uppanno māno. Ayaṃ bhārātibhāro viya purimaṃ sadisamānaṃ upādāya mānātimānoti dassetuṃ evamāha.

    ๘๘๑. โอมานนิเทฺทโส หีนมานนิเทฺทสสทิโสเยวฯ เวเนยฺยวเสน ปน โส ‘หีโนหมสฺมี’ติ มาโน นาม วุโตฺต – อยํ โอมาโน นามฯ อปิเจตฺถ ‘ตฺวํ ชาติมา, กากชาติ วิย เต ชาติ; ตฺวํ โคตฺตวา, จณฺฑาลโคตฺตํ วิย เต โคตฺตํ; ตุยฺหํ สโร อตฺถิ, กากสฺสโร วิย เต สโร’ติ เอวํ อตฺตานํ เหฎฺฐา กตฺวา ปวตฺตนวเสน อยํ โอมาโนติ เวทิตโพฺพฯ

    881. Omānaniddeso hīnamānaniddesasadisoyeva. Veneyyavasena pana so ‘hīnohamasmī’ti māno nāma vutto – ayaṃ omāno nāma. Apicettha ‘tvaṃ jātimā, kākajāti viya te jāti; tvaṃ gottavā, caṇḍālagottaṃ viya te gottaṃ; tuyhaṃ saro atthi, kākassaro viya te saro’ti evaṃ attānaṃ heṭṭhā katvā pavattanavasena ayaṃ omānoti veditabbo.

    ๘๘๒. อธิมานนิเทฺทเส อปฺปเตฺต ปตฺตสญฺญิตาติ จตฺตาริ สจฺจานิ อปฺปตฺวา ปตฺตสญฺญิตาย ฯ อกเตติ จตูหิ มเคฺคหิ กตฺตพฺพกิเจฺจ อกเตเยวฯ อนธิคเตติ จตุสจฺจธเมฺม อนธิคเตฯ อสจฺฉิกเตติ อรหเตฺตน อปจฺจกฺขกเตฯ อยํ วุจฺจติ อธิมาโนติ อยํ อธิคตมาโน นาม วุจฺจติฯ

    882. Adhimānaniddese appatte pattasaññitāti cattāri saccāni appatvā pattasaññitāya . Akateti catūhi maggehi kattabbakicce akateyeva. Anadhigateti catusaccadhamme anadhigate. Asacchikateti arahattena apaccakkhakate. Ayaṃ vuccati adhimānoti ayaṃ adhigatamāno nāma vuccati.

    อยํ ปน กสฺส อุปฺปชฺชติ, กสฺส นุปฺปชฺชตีติ? อริยสาวกสฺส ตาว นุปฺปชฺชติฯ โส หิ มคฺคผลนิพฺพานปหีนกิเลสาวสิฎฺฐกิเลสปจฺจเวกฺขเณน สญฺชาตโสมนโสฺส อริยคุณปฎิเวเธ นิกฺกโงฺขฯ ตสฺมา โสตาปนฺนาทีนํ ‘อหํ สกทาคามี’ติอาทิวเสน มาโน นุปฺปชฺชติ; ทุสฺสีลสฺสาปิ นุปฺปชฺชติ; โส หิ อริยคุณาธิคเม นิราโสวฯ สีลวโตปิ ปริจฺจตฺตกมฺมฎฺฐานสฺส นิทฺทารามตาทิมนุยุตฺตสฺส นุปฺปชฺชติฯ

    Ayaṃ pana kassa uppajjati, kassa nuppajjatīti? Ariyasāvakassa tāva nuppajjati. So hi maggaphalanibbānapahīnakilesāvasiṭṭhakilesapaccavekkhaṇena sañjātasomanasso ariyaguṇapaṭivedhe nikkaṅkho. Tasmā sotāpannādīnaṃ ‘ahaṃ sakadāgāmī’tiādivasena māno nuppajjati; dussīlassāpi nuppajjati; so hi ariyaguṇādhigame nirāsova. Sīlavatopi pariccattakammaṭṭhānassa niddārāmatādimanuyuttassa nuppajjati.

    ปริสุทฺธสีลสฺส ปน กมฺมฎฺฐาเน อปฺปมตฺตสฺส นามรูปํ ววตฺถเปตฺวา ปจฺจยปริคฺคเหน วิติณฺณกงฺขสฺส ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา สงฺขาเร สมฺมสนฺตสฺส อารทฺธวิปสฺสกสฺส อุปฺปชฺชติ; อุปฺปเนฺน จ สุทฺธสมถลาภี วา สุทฺธวิปสฺสนาลาภี วา อนฺตรา ฐเปติฯ โส หิ ทสปิ วีสมฺปิ ติํสมฺปิ วสฺสานิ กิเลสสมุทาจารํ อปสฺสโนฺต ‘อหํ โสตาปโนฺน’ติ วา ‘สกทาคามี’ติ วา ‘อนาคามี’ติ วา มญฺญติฯ สมถวิปสฺสนาลาภี ปน อรหเตฺตเยว ฐเปติฯ ตสฺส หิ สมาธิพเลน กิเลสา วิกฺขมฺภิตา, วิปสฺสนาพเลน สงฺขารา สุปริคฺคหิตาฯ ตสฺมา สฎฺฐิปิ วสฺสานิ อสีติปิ วสฺสานิ วสฺสสตมฺปิ กิเลสา น สมุทาจรนฺติ; ขีณาสวเสฺสว จิตฺตจาโร โหติฯ โส เอวํ ทีฆรตฺตํ กิเลสสมุทาจารํ อปสฺสโนฺต อนฺตรา อฎฺฐตฺวาว ‘อรหา อห’นฺติ มญฺญติ, อุจฺจมาลงฺกวาสี มหานาคเตฺถโร วิย, หงฺกนกวาสี มหาทตฺตเตฺถโร วิย, จิตฺตลปพฺพเต นิงฺกโปณฺณปธานฆรวาสี จูฬสุมเตฺถโร วิย จฯ

    Parisuddhasīlassa pana kammaṭṭhāne appamattassa nāmarūpaṃ vavatthapetvā paccayapariggahena vitiṇṇakaṅkhassa tilakkhaṇaṃ āropetvā saṅkhāre sammasantassa āraddhavipassakassa uppajjati; uppanne ca suddhasamathalābhī vā suddhavipassanālābhī vā antarā ṭhapeti. So hi dasapi vīsampi tiṃsampi vassāni kilesasamudācāraṃ apassanto ‘ahaṃ sotāpanno’ti vā ‘sakadāgāmī’ti vā ‘anāgāmī’ti vā maññati. Samathavipassanālābhī pana arahatteyeva ṭhapeti. Tassa hi samādhibalena kilesā vikkhambhitā, vipassanābalena saṅkhārā supariggahitā. Tasmā saṭṭhipi vassāni asītipi vassāni vassasatampi kilesā na samudācaranti; khīṇāsavasseva cittacāro hoti. So evaṃ dīgharattaṃ kilesasamudācāraṃ apassanto antarā aṭṭhatvāva ‘arahā aha’nti maññati, uccamālaṅkavāsī mahānāgatthero viya, haṅkanakavāsī mahādattatthero viya, cittalapabbate niṅkapoṇṇapadhānagharavāsī cūḷasumatthero viya ca.

    ตตฺริทํ เอกวตฺถุปริทีปนํ – ตลงฺครวาสี ธมฺมทินฺนเตฺถโร กิร นาม เอโก ปภินฺนปฎิสมฺภิโท มหาขีณาสโว มหโต ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอวาททายโก อโหสิฯ โส เอกทิวสํ อตฺตโน ทิวาฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา ‘กินฺนุ โข อมฺหากํ อาจริยสฺส อุจฺจตลิงฺกวาสีมหานาคเตฺถรสฺส สมณกิจฺจํ มตฺถกํ ปโตฺต, โน’ติ อาวชฺชโนฺต ปุถุชฺชนภาวเมวสฺส ทิสฺวา ‘มยิ อคจฺฉเนฺต ปุถุชฺชนกาลกิริยเมว กริสฺสตี’ติ จ ญตฺวา อิทฺธิยา เวหาสํ อุปฺปติตฺวา ทิวาฎฺฐาเน นิสินฺนสฺส เถรสฺส สมีเป โอโรหิตฺวา วนฺทิตฺวา วตฺตํ ทเสฺสตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ‘กิํ, อาวุโส ธมฺมทินฺน, อกาเล อาคโตสี’ติ จ วุโตฺต ‘ปญฺหํ, ภเนฺต, ปุจฺฉิตุํ อาคโตมฺหี’ติ อาหฯ

    Tatridaṃ ekavatthuparidīpanaṃ – talaṅgaravāsī dhammadinnatthero kira nāma eko pabhinnapaṭisambhido mahākhīṇāsavo mahato bhikkhusaṅghassa ovādadāyako ahosi. So ekadivasaṃ attano divāṭṭhāne nisīditvā ‘kinnu kho amhākaṃ ācariyassa uccataliṅkavāsīmahānāgattherassa samaṇakiccaṃ matthakaṃ patto, no’ti āvajjanto puthujjanabhāvamevassa disvā ‘mayi agacchante puthujjanakālakiriyameva karissatī’ti ca ñatvā iddhiyā vehāsaṃ uppatitvā divāṭṭhāne nisinnassa therassa samīpe orohitvā vanditvā vattaṃ dassetvā ekamantaṃ nisīdi. ‘Kiṃ, āvuso dhammadinna, akāle āgatosī’ti ca vutto ‘pañhaṃ, bhante, pucchituṃ āgatomhī’ti āha.

    ตโต ‘ปุจฺฉาวุโส, ชานมาโน กถยิสฺสามี’ติ วุโตฺต ปญฺหาสหสฺสํ ปุจฺฉิฯ เถโร ปุจฺฉิตปุจฺฉิตํ ปญฺหํ อสชฺชมาโนว กเถสิฯ ตโต ‘อติติกฺขํ เต, ภเนฺต, ญาณํฯ กทา ตุเมฺหหิ อยํ ธโมฺม อธิคโต’ติ วุโตฺต ‘อิโต สฎฺฐิวสฺสกาเล, อาวุโส’ติ อาหฯ ‘สมาธิมฺปิ, ภเนฺต, วฬเญฺชถา’ติ? ‘น อิทํ, อาวุโส, ภาริย’นฺติฯ ‘เตน หิ, ภเนฺต, เอกํ หตฺถิํ มาเปถา’ติฯ เถโร สพฺพเสตํ หตฺถิํ มาเปสิฯ ‘อิทานิ, ภเนฺต, ยถา อยํ หตฺถี อญฺจิตกโณฺณ ปสาริตนงฺคุโฎฺฐ โสณฺฑํ มุเข ปกฺขิปิตฺวา เภรวํ โกญฺจนาทํ กโรโนฺต ตุมฺหากํ อภิมุโข อาคจฺฉติ ตถา ตํ กโรถา’ติฯ เถโร ตถา กตฺวา เวเคน อาคจฺฉโต หตฺถิสฺส เภรวํ อาการํ ทิสฺวา อุฎฺฐาย ปลายิตุํ อารโทฺธฯ ตเมนํ ขีณาสวเตฺถโร หตฺถํ ปสาเรตฺวา จีวรกเณฺณ คเหตฺวา ‘ภเนฺต, ขีณาสวสฺส สารชฺชํ นาม โหตี’ติ อาหฯ โส ตสฺมิํ กาเล อตฺตโน ปุถุชฺชนภาวํ ญตฺวา ‘อวสฺสโย เม, อาวุโส ธมฺมทินฺน, โหหี’ติ วตฺวา ปาทมูเล อุกฺกุฎิกํ นิสีทิฯ ‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ อวสฺสโย ภวิสฺสามิเจฺจวาหํ อาคโต, มา จินฺตยิตฺถา’ติ กมฺมฎฺฐานํ กเถสิฯ เถโร กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา จงฺกมํ อารุยฺห ตติเย ปทวาเร อคฺคผลํ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เถโร กิร โทสจริโต อโหสิฯ

    Tato ‘pucchāvuso, jānamāno kathayissāmī’ti vutto pañhāsahassaṃ pucchi. Thero pucchitapucchitaṃ pañhaṃ asajjamānova kathesi. Tato ‘atitikkhaṃ te, bhante, ñāṇaṃ. Kadā tumhehi ayaṃ dhammo adhigato’ti vutto ‘ito saṭṭhivassakāle, āvuso’ti āha. ‘Samādhimpi, bhante, vaḷañjethā’ti? ‘Na idaṃ, āvuso, bhāriya’nti. ‘Tena hi, bhante, ekaṃ hatthiṃ māpethā’ti. Thero sabbasetaṃ hatthiṃ māpesi. ‘Idāni, bhante, yathā ayaṃ hatthī añcitakaṇṇo pasāritanaṅguṭṭho soṇḍaṃ mukhe pakkhipitvā bheravaṃ koñcanādaṃ karonto tumhākaṃ abhimukho āgacchati tathā taṃ karothā’ti. Thero tathā katvā vegena āgacchato hatthissa bheravaṃ ākāraṃ disvā uṭṭhāya palāyituṃ āraddho. Tamenaṃ khīṇāsavatthero hatthaṃ pasāretvā cīvarakaṇṇe gahetvā ‘bhante, khīṇāsavassa sārajjaṃ nāma hotī’ti āha. So tasmiṃ kāle attano puthujjanabhāvaṃ ñatvā ‘avassayo me, āvuso dhammadinna, hohī’ti vatvā pādamūle ukkuṭikaṃ nisīdi. ‘Bhante, tumhākaṃ avassayo bhavissāmiccevāhaṃ āgato, mā cintayitthā’ti kammaṭṭhānaṃ kathesi. Thero kammaṭṭhānaṃ gahetvā caṅkamaṃ āruyha tatiye padavāre aggaphalaṃ arahattaṃ pāpuṇi. Thero kira dosacarito ahosi.

    ๘๘๓. อสฺมิมานนิเทฺทเส รูปํ อสฺมีติ มาโนติ ‘อหํ รูป’นฺติ อุปฺปนฺนมาโนฯ ฉโนฺทติ มานํ อนุคตจฺฉโนฺทวฯ ตถา อนุสโยฯ เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    883. Asmimānaniddese rūpaṃ asmīti mānoti ‘ahaṃ rūpa’nti uppannamāno. Chandoti mānaṃ anugatacchandova. Tathā anusayo. Vedanādīsupi eseva nayo.

    ๘๘๔. มิจฺฉามานนิเทฺทเส ปาปเกน วา กมฺมายตเนนาติ อาทีสุ ปาปกํ กมฺมายตนํ นาม เกวฎฺฎมจฺฉพนฺธเนสาทาทีนํ กมฺมํฯ ปาปกํ สิปฺปายตนํ นาม มจฺฉชาลขิปนกุมินกรเณสุ เจว ปาสโอฑฺฑนสูลาโรปนาทีสุ จ เฉกตาฯ ปาปกํ วิชฺชาฎฺฐานํ นาม ยา กาจิ ปรูปฆาตวิชฺชาฯ ปาปกํ สุตํ นาม ภารตยุทฺธสีตาหรณาทิปฎิสํยุตฺตํฯ ปาปกํ ปฎิภานํ นาม ทุพฺภาสิตยุตฺตํ กปฺปนาฎกวิลปฺปนาทิปฎิภานํฯ ปาปกํ สีลํ นาม อชสีลํ โคสีลํฯ วตมฺปิ อชวตโควตเมวฯ ปาปิกา ทิฎฺฐิ ปน ทฺวาสฎฺฐิยา ทิฎฺฐิคเตสุ ยา กาจิ ทิฎฺฐิฯ

    884. Micchāmānaniddese pāpakena vā kammāyatanenāti ādīsu pāpakaṃ kammāyatanaṃ nāma kevaṭṭamacchabandhanesādādīnaṃ kammaṃ. Pāpakaṃ sippāyatanaṃ nāma macchajālakhipanakuminakaraṇesu ceva pāsaoḍḍanasūlāropanādīsu ca chekatā. Pāpakaṃ vijjāṭṭhānaṃ nāma yā kāci parūpaghātavijjā. Pāpakaṃ sutaṃ nāma bhāratayuddhasītāharaṇādipaṭisaṃyuttaṃ. Pāpakaṃ paṭibhānaṃ nāma dubbhāsitayuttaṃ kappanāṭakavilappanādipaṭibhānaṃ. Pāpakaṃ sīlaṃ nāma ajasīlaṃ gosīlaṃ. Vatampi ajavatagovatameva. Pāpikā diṭṭhi pana dvāsaṭṭhiyā diṭṭhigatesu yā kāci diṭṭhi.

    ๘๘๕. ญาติวิตกฺกนิเทฺทสาทีสุ ‘มยฺหํ ญาตโย สุขชีวิโน สมฺปตฺติยุตฺตา’ติ เอวํ ปญฺจกามคุณสนฺนิสฺสิเตน เคหสิตเปเมน ญาตเก อารพฺภ อุปฺปนฺนวิตโกฺกว ญาติวิตโกฺก นามฯ ‘ขยํ คตา วยํ คตา สทฺธา ปสนฺนา’ติ เอวํ ปวโตฺต ปน ญาติวิตโกฺก นาม น โหติฯ

    885. Ñātivitakkaniddesādīsu ‘mayhaṃ ñātayo sukhajīvino sampattiyuttā’ti evaṃ pañcakāmaguṇasannissitena gehasitapemena ñātake ārabbha uppannavitakkova ñātivitakko nāma. ‘Khayaṃ gatā vayaṃ gatā saddhā pasannā’ti evaṃ pavatto pana ñātivitakko nāma na hoti.

    ๘๘๖. ‘อมฺหากํ ชนปโท สุภิโกฺข สมฺปนฺนสโสฺส’ติ ตุฎฺฐมานสฺส เคหสิตเปมวเสเนว อุปฺปนฺนวิตโกฺก ชนปทวิตโกฺก นามฯ ‘อมฺหากํ ชนปเท มนุสฺสา สทฺธา ปสนฺนา ขยํ คตา วยํ คตา’ติ เอวํ ปวโตฺต ปน ชนปทวิตโกฺก นาม น โหติฯ

    886. ‘Amhākaṃ janapado subhikkho sampannasasso’ti tuṭṭhamānassa gehasitapemavaseneva uppannavitakko janapadavitakko nāma. ‘Amhākaṃ janapade manussā saddhā pasannā khayaṃ gatā vayaṃ gatā’ti evaṃ pavatto pana janapadavitakko nāma na hoti.

    ๘๘๗. อมรตฺถาย วิตโกฺก, อมโร วา วิตโกฺกติ อมรวิตโกฺกฯ ตตฺถ ‘อุกฺกุฎิกปฺปธานาทีหิ ทุเกฺข นิชฺชิเณฺณ สมฺปราเย อตฺตา สุขี โหติ อมโร’ติ ทุกฺกรการิกํ กโรนฺตสฺส ตาย ทุกฺกรการิกาย ปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก อมรตฺถาย วิตโกฺก นามฯ ทิฎฺฐิคติโก ปน ‘สสฺสตํ วเทสี’ติอาทีนิ ปุโฎฺฐ ‘เอวนฺติปิ เม โน, ตถาติปิ เม โน’ อญฺญถาติปิ เม โน, โนติปิ เม โน, โน โนติปิ เม โน’ติ (ที. นิ. ๑.๖๒) วิเกฺขปํ อาปชฺชติ, ตสฺส โส ทิฎฺฐิคตปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺกฯ ยถา อมโร นาม มโจฺฉ อุทเก คเหตฺวา มาเรตุํ น สกฺกา, อิโต จิโต จ ธาวติ, คาหํ น คจฺฉติ; เอวเมว เอกสฺมิํ ปเกฺข อสณฺฐหนโต น มรตีติ อมโร นาม โหติฯ ตํ ทุวิธมฺปิ เอกโต กตฺวา อยํ วุจฺจติ อมรวิตโกฺกติ วุตฺตํฯ

    887. Amaratthāya vitakko, amaro vā vitakkoti amaravitakko. Tattha ‘ukkuṭikappadhānādīhi dukkhe nijjiṇṇe samparāye attā sukhī hoti amaro’ti dukkarakārikaṃ karontassa tāya dukkarakārikāya paṭisaṃyutto vitakko amaratthāya vitakko nāma. Diṭṭhigatiko pana ‘sassataṃ vadesī’tiādīni puṭṭho ‘evantipi me no, tathātipi me no’ aññathātipi me no, notipi me no, no notipi me no’ti (dī. ni. 1.62) vikkhepaṃ āpajjati, tassa so diṭṭhigatapaṭisaṃyutto vitakko. Yathā amaro nāma maccho udake gahetvā māretuṃ na sakkā, ito cito ca dhāvati, gāhaṃ na gacchati; evameva ekasmiṃ pakkhe asaṇṭhahanato na maratīti amaro nāma hoti. Taṃ duvidhampi ekato katvā ayaṃ vuccati amaravitakkoti vuttaṃ.

    ๘๘๘. ปรานุทฺทยตาปฎิสํยุโตฺตติ อนุทฺทยตาปติรูปเกน เคหสิตเปเมน ปฎิสํยุโตฺตฯ สหนนฺทีติอาทีสุ อุปฎฺฐาเกสุ นนฺทเนฺตสุ โสจเนฺตสุ จ เตหิ สทฺธิํ ทิคุณํ นนฺทติ, ทิคุณํ โสจติ; เตสุ สุขิเตสุ ทิคุณํ สุขิโต โหติ, ทุกฺขิเตสุ ทิคุณํ ทุกฺขิโต โหติฯ อุปฺปเนฺนสุ กิจฺจกรณีเยสูติ เตสุ มหเนฺตสุ วา ขุทฺทเกสุ วา กเมฺมสุ อุปฺปเนฺนสุฯ อตฺตนา วา โยคํ อาปชฺชตีติ ตานิ ตานิ กิจฺจานิ สาเธโนฺต ปญฺญตฺติํ วีติกฺกมติ, สเลฺลขํ โกเปติฯ โย ตตฺถาติ โย ตสฺมิํ สํสฎฺฐวิหาเร, ตสฺมิํ วา โยคาปชฺชเน เคหสิโต วิตโกฺก – อยํ ปรานุทฺทยตาปฎิสํยุโตฺต วิตโกฺก นามฯ

    888. Parānuddayatāpaṭisaṃyuttoti anuddayatāpatirūpakena gehasitapemena paṭisaṃyutto. Sahanandītiādīsu upaṭṭhākesu nandantesu socantesu ca tehi saddhiṃ diguṇaṃ nandati, diguṇaṃ socati; tesu sukhitesu diguṇaṃ sukhito hoti, dukkhitesu diguṇaṃ dukkhito hoti. Uppannesu kiccakaraṇīyesūti tesu mahantesu vā khuddakesu vā kammesu uppannesu. Attanā vā yogaṃ āpajjatīti tāni tāni kiccāni sādhento paññattiṃ vītikkamati, sallekhaṃ kopeti. Yo tatthāti yo tasmiṃ saṃsaṭṭhavihāre, tasmiṃ vā yogāpajjane gehasito vitakko – ayaṃ parānuddayatāpaṭisaṃyutto vitakko nāma.

    ๘๘๙. ลาภสกฺการสิโลกปฎิสํยุโตฺตติ จีวราทิลาเภน เจว สกฺกาเรน จ กิตฺติสเทฺทน จ สทฺธิํ อารมฺมณกรณวเสน ปฎิสํยุโตฺตฯ

    889. Lābhasakkārasilokapaṭisaṃyuttoti cīvarādilābhena ceva sakkārena ca kittisaddena ca saddhiṃ ārammaṇakaraṇavasena paṭisaṃyutto.

    ๘๙๐. อนวญฺญตฺติปฎิสํยุโตฺตติ ‘อโห วต มํ ปเร น อวชาเนยฺยุํ, น โปเถตฺวา วิเหเฐตฺวา กเถยฺยุ’นฺติ เอวํ อนวญฺญาตภาวปตฺถนาย สทฺธิํ อุปฺปชฺชนวิตโกฺกฯ โย ตตฺถ เคหสิโตติ โย ตสฺมิํ ‘มา มํ ปเร อวชานิํสู’ติ อุปฺปเนฺน จิเตฺต ปญฺจกามคุณสงฺขาตเคหนิสฺสิโต หุตฺวา อุปฺปนฺนวิตโกฺกฯ เสสํ สพฺพตฺถ ปากฎเมวาติฯ

    890. Anavaññattipaṭisaṃyuttoti ‘aho vata maṃ pare na avajāneyyuṃ, na pothetvā viheṭhetvā katheyyu’nti evaṃ anavaññātabhāvapatthanāya saddhiṃ uppajjanavitakko. Yo tattha gehasitoti yo tasmiṃ ‘mā maṃ pare avajāniṃsū’ti uppanne citte pañcakāmaguṇasaṅkhātagehanissito hutvā uppannavitakko. Sesaṃ sabbattha pākaṭamevāti.

    เอกกนิเทฺทสวณฺณนาฯ

    Ekakaniddesavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๑๗. ขุทฺทกวตฺถุวิภโงฺค • 17. Khuddakavatthuvibhaṅgo

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā / ๑๗. ขุทฺทกวตฺถุวิภโงฺค • 17. Khuddakavatthuvibhaṅgo

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๑๗. ขุทฺทกวตฺถุวิภโงฺค • 17. Khuddakavatthuvibhaṅgo


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact