Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปญฺจปกรณ-อฎฺฐกถา • Pañcapakaraṇa-aṭṭhakathā |
๒. นิเทฺทสวณฺณนา
2. Niddesavaṇṇanā
๑. เอกกนิเทฺทสวณฺณนา
1. Ekakaniddesavaṇṇanā
๑. อิทานิ ยถาฐปิตํ มาติกํ อาทิโต ปฎฺฐาย วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ – กตโม จ ปุคฺคโล สมยวิมุโตฺตติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิธาติ อิมสฺมิํ สตฺตโลเกฯ เอกโจฺจ ปุคฺคโลติ เอโก ปุคฺคโลฯ กาเลน กาลนฺติ เอตฺถ ภุมฺมวเสน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอเกกสฺมิํ กาเลติ วุตฺตํ โหติฯ สมเยน สมยนฺติ อิทํ ปุริมเสฺสว เววจนํฯ อฎฺฐ วิโมเกฺขติ รูปาวจรารูปาวจรอฎฺฐสมาปตฺติโยฯ ตาสญฺหิ ปจฺจนีกธเมฺมหิ วิมุจฺจนโต วิโมโกฺขติ นามํฯ กาเยนาติ วิโมกฺขสหชาเตน นามกาเยนฯ ผุสิตฺวา วิหรตีติ ปฎิลภิตฺวา อิริยติฯ กตมสฺมิํ ปเนส กาเล วิโมเกฺข ผุสิตฺวา วิหรตีติ? สมาปตฺติํ สมาปชฺชิตุกามสฺส หิ กาโล นาม อตฺถิ, อกาโล นาม อตฺถิฯ ตตฺถ ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนกาโล, วตฺตกรณกาโล จ สมาปชฺชนสฺส อกาโล นามฯ สรีรํ ปน ปฎิชคฺคิตฺวา วตฺตํ กตฺวา วสนฎฺฐานํ ปวิสิตฺวา นิสินฺนสฺส ยาว ปิณฺฑาย คมนกาโล นาคจฺฉติ, เอตสฺมิํ อนฺตเร สมาปชฺชนสฺส กาโล นามฯ
1. Idāni yathāṭhapitaṃ mātikaṃ ādito paṭṭhāya vibhajitvā dassetuṃ – katamo ca puggalo samayavimuttotiādimāha. Tattha idhāti imasmiṃ sattaloke. Ekacco puggaloti eko puggalo. Kālena kālanti ettha bhummavasena attho veditabbo. Ekekasmiṃ kāleti vuttaṃ hoti. Samayena samayanti idaṃ purimasseva vevacanaṃ. Aṭṭha vimokkheti rūpāvacarārūpāvacaraaṭṭhasamāpattiyo. Tāsañhi paccanīkadhammehi vimuccanato vimokkhoti nāmaṃ. Kāyenāti vimokkhasahajātena nāmakāyena. Phusitvā viharatīti paṭilabhitvā iriyati. Katamasmiṃ panesa kāle vimokkhe phusitvā viharatīti? Samāpattiṃ samāpajjitukāmassa hi kālo nāma atthi, akālo nāma atthi. Tattha pātova sarīrapaṭijagganakālo, vattakaraṇakālo ca samāpajjanassa akālo nāma. Sarīraṃ pana paṭijaggitvā vattaṃ katvā vasanaṭṭhānaṃ pavisitvā nisinnassa yāva piṇḍāya gamanakālo nāgacchati, etasmiṃ antare samāpajjanassa kālo nāma.
ปิณฺฑาย คมนกาลํ ปน สลฺลเกฺขตฺวา นิกฺขนฺตสฺส เจติยวนฺทนกาโล, ภิกฺขุสงฺฆปริวุตสฺส วิตกฺกมาฬเก ฐานกาโล ปิณฺฑาย คมนกาโล คาเม จรณกาโล; อาสนสาลาย ยาคุปานกาโล วตฺตกรณกาโลติ อยมฺปิ สมาปชฺชนสฺส อกาโล นามฯ อาสนสาลาย ปน วิวิเตฺต โอกาเส สติ ยาว ภตฺตกาโล นาคจฺฉติ, เอตสฺมิมฺปิ อนฺตเร สมาปชฺชนสฺส กาโล นามฯ ภตฺตํ ปน ภุญฺชนกาโล, วิหารคมนกาโล, ปตฺตจีวรปฎิสามนกาโล, ทิวาวตฺตกรณกาโล, ปริปุจฺฉาทานกาโลติ อยมฺปิ สมาปชฺชนสฺส อกาโล นามฯ โย อกาโล, เสฺวว อสมโยฯ ตํ สพฺพมฺปิ ฐเปตฺวา อวเสเส กาเล กาเล, สมเย สมเย วุตฺตปฺปกาเร อฎฺฐ วิโมเกฺข สหชาตนามกาเยน ปฎิลภิตฺวา วิหรโนฺต, ‘‘อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล…เป.… วิหรตี’’ติ วุจฺจติฯ
Piṇḍāya gamanakālaṃ pana sallakkhetvā nikkhantassa cetiyavandanakālo, bhikkhusaṅghaparivutassa vitakkamāḷake ṭhānakālo piṇḍāya gamanakālo gāme caraṇakālo; āsanasālāya yāgupānakālo vattakaraṇakāloti ayampi samāpajjanassa akālo nāma. Āsanasālāya pana vivitte okāse sati yāva bhattakālo nāgacchati, etasmimpi antare samāpajjanassa kālo nāma. Bhattaṃ pana bhuñjanakālo, vihāragamanakālo, pattacīvarapaṭisāmanakālo, divāvattakaraṇakālo, paripucchādānakāloti ayampi samāpajjanassa akālo nāma. Yo akālo, sveva asamayo. Taṃ sabbampi ṭhapetvā avasese kāle kāle, samaye samaye vuttappakāre aṭṭha vimokkhe sahajātanāmakāyena paṭilabhitvā viharanto, ‘‘idhekacco puggalo…pe… viharatī’’ti vuccati.
อปิเจส สผสฺสเกหิ สหชาตนามธเมฺมหิ สหชาตธเมฺม ผุสติเยว นาม, อุปจาเรน อปฺปนํ ผุสติเยว นามฯ ปุริมาย อปฺปนาย อปรํ อปฺปนํ ผุสติเยวฯ เยน หิ สทฺธิํ เย ธมฺมา สหชาตา, เตน เต ปฎิลทฺธา นาม โหนฺติฯ ผเสฺสนาปิ ผุฎฺฐาเยว นาม โหนฺติฯ อุปจารมฺปิ อปฺปนาย ปฎิลาภการณเมว, ตถา ปุริมา อปฺปนา อปรอปฺปนายฯ ตตฺราสฺส เอวํ สหชาเตหิ สหชาตานํ ผุสนา เวทิตพฺพา – ปฐมชฺฌานญฺหิ วิตกฺกาทีหิ ปญฺจงฺคิกํฯ ตสฺมิํ ฐเปตฺวา ตานิ องฺคานิ เสสา อติเรกปณฺณาสธมฺมา จตฺตาโร ขนฺธา นาม โหนฺติฯ เตน นามกาเยน ปฐมชฺฌานสมาปตฺติวิโมกฺขํ ผุสิตฺวา ปฎิลภิตฺวา วิหรติฯ ทุติยํ ฌานํ ปีติสุขจิเตฺตกคฺคตาหิ ติวงฺคิกํ, ตติยํ สุขจิเตฺตกคฺคตาหิ ทุวงฺคิกํ, จตุตฺถํ อุเปกฺขาจิเตฺตกคฺคตาหิ ทุวงฺคิกํ, ตถา อากาสานญฺจายตนํ…เป.… เนวสญฺญานาสญฺญายตนญฺจฯ ตตฺถ ฐเปตฺวา ตานิ องฺคานิ เสสา อติเรกปณฺณาสธมฺมา จตฺตาโร ขนฺธา นาม โหนฺติฯ เตน นามกาเยน เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติวิโมกฺขํ ผุสิตฺวา ปฎิลภิตฺวา วิหรติฯ
Apicesa saphassakehi sahajātanāmadhammehi sahajātadhamme phusatiyeva nāma, upacārena appanaṃ phusatiyeva nāma. Purimāya appanāya aparaṃ appanaṃ phusatiyeva. Yena hi saddhiṃ ye dhammā sahajātā, tena te paṭiladdhā nāma honti. Phassenāpi phuṭṭhāyeva nāma honti. Upacārampi appanāya paṭilābhakāraṇameva, tathā purimā appanā aparaappanāya. Tatrāssa evaṃ sahajātehi sahajātānaṃ phusanā veditabbā – paṭhamajjhānañhi vitakkādīhi pañcaṅgikaṃ. Tasmiṃ ṭhapetvā tāni aṅgāni sesā atirekapaṇṇāsadhammā cattāro khandhā nāma honti. Tena nāmakāyena paṭhamajjhānasamāpattivimokkhaṃ phusitvā paṭilabhitvā viharati. Dutiyaṃ jhānaṃ pītisukhacittekaggatāhi tivaṅgikaṃ, tatiyaṃ sukhacittekaggatāhi duvaṅgikaṃ, catutthaṃ upekkhācittekaggatāhi duvaṅgikaṃ, tathā ākāsānañcāyatanaṃ…pe… nevasaññānāsaññāyatanañca. Tattha ṭhapetvā tāni aṅgāni sesā atirekapaṇṇāsadhammā cattāro khandhā nāma honti. Tena nāmakāyena nevasaññānāsaññāyatanasamāpattivimokkhaṃ phusitvā paṭilabhitvā viharati.
ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวาติ วิปสฺสนาปญฺญาย สงฺขารคตํ, มคฺคปญฺญาย จตุสจฺจธเมฺม ปสฺสิตฺวาฯ เอกเจฺจ อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺตีติ อุปฑฺฒุปฑฺฒา ปฐมมคฺคาทิวชฺฌา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติฯ อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล สมยวิมุโตฺตติ เอตฺถ อฎฺฐสมาปตฺติลาภี ปุถุชฺชโน เตน นามกาเยน ผุสิตฺวา วิหรตีติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ ปาฬิยํ ปน ‘‘เอกเจฺจ อาสวา ปริกฺขีณา’’ติ วุตฺตํฯ ปุถุชฺชนสฺส จ ขีณา อาสวา นาม นตฺถิ, ตสฺมา โส น คหิโตฯ อฎฺฐสมาปตฺติลาภี ขีณาสโวปิ เตน นามกาเยน ผุสิตฺวา วิหรตีติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ ตสฺส ปน อปริกฺขีณาสวา นาม นตฺถิ, ตสฺมา โสปิ น คหิโตฯ สมยวิมุโตฺตติ ปน ติณฺณํ โสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามีนํเยเวตํ นามนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Paññāya cassa disvāti vipassanāpaññāya saṅkhāragataṃ, maggapaññāya catusaccadhamme passitvā. Ekacce āsavā parikkhīṇā hontīti upaḍḍhupaḍḍhā paṭhamamaggādivajjhā āsavā parikkhīṇā honti. Ayaṃ vuccati puggalo samayavimuttoti ettha aṭṭhasamāpattilābhī puthujjano tena nāmakāyena phusitvā viharatīti vattuṃ vaṭṭati. Pāḷiyaṃ pana ‘‘ekacce āsavā parikkhīṇā’’ti vuttaṃ. Puthujjanassa ca khīṇā āsavā nāma natthi, tasmā so na gahito. Aṭṭhasamāpattilābhī khīṇāsavopi tena nāmakāyena phusitvā viharatīti vattuṃ vaṭṭati. Tassa pana aparikkhīṇāsavā nāma natthi, tasmā sopi na gahito. Samayavimuttoti pana tiṇṇaṃ sotāpannasakadāgāmianāgāmīnaṃyevetaṃ nāmanti veditabbaṃ.
๒. อสมยวิมุตฺตนิเทฺทเส – ปุริมสทิสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อสมยวิมุโตฺตติ ปเนตฺถ สุกฺขวิปสฺสกขีณาสวเสฺสตํ นามํฯ สุกฺขวิปสฺสกา ปน โสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามิโน อฎฺฐสมาปตฺติลาภิโน จ ขีณาสวา ปุถุชฺชนา จ อิมสฺมิํ ทุเก น ลพฺภนฺติ, ทุกมุตฺตกปุคฺคลา นาม โหนฺติฯ ตสฺมา สตฺถา อตฺตโน พุทฺธสุพุทฺธตาย เหฎฺฐา คหิเต จ อคฺคหิเต จ สงฺกฑฺฒิตฺวา สทฺธิํ ปิฎฺฐิวฎฺฎเกหิ ตนฺติํ อาโรเปโนฺต สเพฺพปิ อริยปุคฺคลาติอาทิมาหฯ ตตฺถ อริเย วิโมเกฺขติ กิเลเสหิ อารกตฺตา อริเยติ สงฺขํ คเต โลกุตฺตรวิโมเกฺขฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – พาหิรานญฺหิ อฎฺฐนฺนํ สมาปตฺตีนํ สมาปชฺชนฺตสฺส สมโยปิ อตฺถิ อสมโยปิฯ มคฺควิโมเกฺขน วิมุจฺจนสฺส สมโย วา อสมโย วา นตฺถิฯ ยสฺส สทฺธา พลวตี, วิปสฺสนา จ อารทฺธา, ตสฺส คจฺฉนฺตสฺส ติฎฺฐนฺตสฺส นิสีทนฺตสฺส นิปชฺชนฺตสฺส ขาทนฺตสฺส ภุญฺชนฺตสฺส มคฺคผลปฎิเวโธ นาม น โหตีติ นตฺถิฯ อิติ มคฺควิโมเกฺขน วิมุจฺจนสฺส สมโย วา อสมโย วา นตฺถีติ เหฎฺฐา คหิเต จ อคฺคหิเต จ สงฺกฑฺฒิตฺวา อิมํ ปิฎฺฐิวฎฺฎกํ ตนฺติํ อาโรเปสิ ธมฺมราชาฯ สมาปตฺติลาภี ปุถุชฺชโน อิมายปิ ตนฺติยา อคฺคหิโตวฯ ภชาปิยมาโน ปน สมาปตฺติวิกฺขมฺภิตานํ กิเลสานํ วเสน สมยวิมุตฺตภาวํ ภเชยฺยฯ
2. Asamayavimuttaniddese – purimasadisaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Asamayavimuttoti panettha sukkhavipassakakhīṇāsavassetaṃ nāmaṃ. Sukkhavipassakā pana sotāpannasakadāgāmianāgāmino aṭṭhasamāpattilābhino ca khīṇāsavā puthujjanā ca imasmiṃ duke na labbhanti, dukamuttakapuggalā nāma honti. Tasmā satthā attano buddhasubuddhatāya heṭṭhā gahite ca aggahite ca saṅkaḍḍhitvā saddhiṃ piṭṭhivaṭṭakehi tantiṃ āropento sabbepi ariyapuggalātiādimāha. Tattha ariye vimokkheti kilesehi ārakattā ariyeti saṅkhaṃ gate lokuttaravimokkhe. Idaṃ vuttaṃ hoti – bāhirānañhi aṭṭhannaṃ samāpattīnaṃ samāpajjantassa samayopi atthi asamayopi. Maggavimokkhena vimuccanassa samayo vā asamayo vā natthi. Yassa saddhā balavatī, vipassanā ca āraddhā, tassa gacchantassa tiṭṭhantassa nisīdantassa nipajjantassa khādantassa bhuñjantassa maggaphalapaṭivedho nāma na hotīti natthi. Iti maggavimokkhena vimuccanassa samayo vā asamayo vā natthīti heṭṭhā gahite ca aggahite ca saṅkaḍḍhitvā imaṃ piṭṭhivaṭṭakaṃ tantiṃ āropesi dhammarājā. Samāpattilābhī puthujjano imāyapi tantiyā aggahitova. Bhajāpiyamāno pana samāpattivikkhambhitānaṃ kilesānaṃ vasena samayavimuttabhāvaṃ bhajeyya.
๓. กุปฺปธมฺมากุปฺปธมฺมนิเทฺทเสสุ – ยสฺส อธิคโต สมาปตฺติธโมฺม กุปฺปติ นสฺสติ, โส กุปฺปธโมฺมฯ รูปสหคตานนฺติ รูปนิมิตฺตสงฺขาเตน รูเปน สหคตานํฯ เตน สทฺธิํ ปวตฺตานํ น วินา รูปารมฺมณานํ จตุนฺนํ รูปาวจรชฺฌานานนฺติ อโตฺถฯ อรูปสหคตานนฺติ รูปโต อญฺญํ, น รูปนฺติ อรูปํฯ อรูเปน สหคตานํ เตน สทฺธิํ ปวตฺตานํ น วินา อรูปารมฺมณานํ จตุนฺนํ อรูปาวจรชฺฌานานนฺติ อโตฺถฯ น นิกามลาภีติ ปญฺจหากาเรหิ อจิณฺณวสิตาย อิจฺฉิตากาเรน อลทฺธตฺตา น นิกามลาภีฯ อปฺปคุณสมาปตฺติโกติ อโตฺถฯ น อกิจฺฉลาภีติ กิจฺฉลาภี ทุกฺขลาภีฯ โย อาคมนมฺหิ กิเลเส วิกฺขเมฺภโนฺต อุปจารํ ปาเปโนฺต อปฺปนํ ปาเปโนฺต จิตฺตมญฺชูสํ ลภโนฺต ทุเกฺขน กิเจฺฉน สสงฺขาเรน สปฺปโยเคน กิลมโนฺต ตํ สมฺปทํ ปาปุณิตุํ สโกฺกติ, โส น อกิจฺฉลาภี นามฯ น อกสิรลาภีติ อวิปุลลาภีฯ สมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา อทฺธานํ ผริตุํ น สโกฺกติฯ เอกํ เทฺว จิตฺตวาเร วเตฺตตฺวา สหสาว วุฎฺฐาตีติ อโตฺถฯ
3. Kuppadhammākuppadhammaniddesesu – yassa adhigato samāpattidhammo kuppati nassati, so kuppadhammo. Rūpasahagatānanti rūpanimittasaṅkhātena rūpena sahagatānaṃ. Tena saddhiṃ pavattānaṃ na vinā rūpārammaṇānaṃ catunnaṃ rūpāvacarajjhānānanti attho. Arūpasahagatānanti rūpato aññaṃ, na rūpanti arūpaṃ. Arūpena sahagatānaṃ tena saddhiṃ pavattānaṃ na vinā arūpārammaṇānaṃ catunnaṃ arūpāvacarajjhānānanti attho. Na nikāmalābhīti pañcahākārehi aciṇṇavasitāya icchitākārena aladdhattā na nikāmalābhī. Appaguṇasamāpattikoti attho. Na akicchalābhīti kicchalābhī dukkhalābhī. Yo āgamanamhi kilese vikkhambhento upacāraṃ pāpento appanaṃ pāpento cittamañjūsaṃ labhanto dukkhena kicchena sasaṅkhārena sappayogena kilamanto taṃ sampadaṃ pāpuṇituṃ sakkoti, so na akicchalābhī nāma. Na akasiralābhīti avipulalābhī. Samāpattiṃ appetvā addhānaṃ pharituṃ na sakkoti. Ekaṃ dve cittavāre vattetvā sahasāva vuṭṭhātīti attho.
ยตฺถิจฺฉกนฺติ ยสฺมิํ โอกาเส สมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิสีทิตุํ อิจฺฉติฯ ยทิจฺฉกนฺติ กสิณชฺฌานํ วา อานาปานชฺฌานํ วา พฺรหฺมวิหารชฺฌานํ วา อสุภชฺฌานํ วาติ ยํ ยํ สมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิสีทิตุํ อิจฺฉติฯ ยาวติจฺฉกนฺติ อทฺธานปริเจฺฉเทน ยตฺตกํ กาลํ อิจฺฉติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยตฺถ ยตฺถ ยํ ยํ สมาปตฺติํ ยตฺตกํ อทฺธานํ สมาปชฺชิตุมฺปิ วุฎฺฐาตุมฺปิ อิจฺฉติ, ตตฺถ ตตฺถ ตํ ตํ สมาปตฺติํ ตตฺตกํ อทฺธานํ สมาปชฺชิตุมฺปิ วุฎฺฐาตุมฺปิ น สโกฺกติฯ จนฺทํ วา สูริยํ วา อุโลฺลเกตฺวา ‘อิมสฺมิํ จเนฺท วา สูริเย วา เอตฺตกํ ฐานํ คเต วุฎฺฐหิสฺสามี’ติ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ฌานํ สมาปโนฺน ยถาปริเจฺฉเทน วุฎฺฐาตุํ น สโกฺกติ, อนฺตราว วุฎฺฐาติ; สมาปตฺติยา อปฺปคุณตายาติฯ
Yatthicchakanti yasmiṃ okāse samāpattiṃ appetvā nisīdituṃ icchati. Yadicchakanti kasiṇajjhānaṃ vā ānāpānajjhānaṃ vā brahmavihārajjhānaṃ vā asubhajjhānaṃ vāti yaṃ yaṃ samāpattiṃ appetvā nisīdituṃ icchati. Yāvaticchakanti addhānaparicchedena yattakaṃ kālaṃ icchati. Idaṃ vuttaṃ hoti – yattha yattha yaṃ yaṃ samāpattiṃ yattakaṃ addhānaṃ samāpajjitumpi vuṭṭhātumpi icchati, tattha tattha taṃ taṃ samāpattiṃ tattakaṃ addhānaṃ samāpajjitumpi vuṭṭhātumpi na sakkoti. Candaṃ vā sūriyaṃ vā ulloketvā ‘imasmiṃ cande vā sūriye vā ettakaṃ ṭhānaṃ gate vuṭṭhahissāmī’ti paricchinditvā jhānaṃ samāpanno yathāparicchedena vuṭṭhātuṃ na sakkoti, antarāva vuṭṭhāti; samāpattiyā appaguṇatāyāti.
ปมาทมาคมฺมาติ ปมาทํ ปฎิจฺจฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวํวิโธ ปุคฺคโล กุปฺปธโมฺมติ วุจฺจติฯ อิทํ ปน อฎฺฐสมาปตฺติลาภิโน ปุถุชฺชนสฺส โสตาปนฺนสฺส สกทาคามิโนติ ติณฺณํ ปุคฺคลานํ นามํฯ เอเตสญฺหิ สมาธิปาริพนฺธกา วิปสฺสนาปาริพนฺธกา จ ธมฺมา น สุวิกฺขมฺภิตา, น สุวิกฺขาลิตา, เตน เตสํ สมาปตฺติ นสฺสติ ปริหายติฯ สา จ โข เนว สีลเภเทน, นาปตฺติวีติกฺกเมนฯ น ครุกโมกฺขธโมฺม ปเนส อปฺปมตฺตเกนปิ กิจฺจกรณีเยน วา วตฺตเภทมตฺตเกน วา นสฺสติฯ
Pamādamāgammāti pamādaṃ paṭicca. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evaṃvidho puggalo kuppadhammoti vuccati. Idaṃ pana aṭṭhasamāpattilābhino puthujjanassa sotāpannassa sakadāgāminoti tiṇṇaṃ puggalānaṃ nāmaṃ. Etesañhi samādhipāribandhakā vipassanāpāribandhakā ca dhammā na suvikkhambhitā, na suvikkhālitā, tena tesaṃ samāpatti nassati parihāyati. Sā ca kho neva sīlabhedena, nāpattivītikkamena. Na garukamokkhadhammo panesa appamattakenapi kiccakaraṇīyena vā vattabhedamattakena vā nassati.
ตตฺริทํ วตฺถุ – เอโก กิร เถโร สมาปตฺติํ วฬเญฺชติฯ ตสฺมิํ ปิณฺฑาย คามํ ปวิเฎฺฐ ทารกา ปริเวเณ กีฬิตฺวา ปกฺกมิํสุฯ เถโร อาคนฺตฺวา ‘ปริเวณํ สมฺมชฺชิตพฺพ’นฺติ จิเนฺตตฺวา อสมฺมชฺชิตฺวา วิหารํ ปวิสิตฺวา ‘สมาปตฺติํ อเปฺปสฺสามี’ติ นิสีทิฯ โส อเปฺปตุํ อสโกฺกโนฺต, ‘กิํ นุ โข อาวรณ’นฺติ สีลํ อาวชฺชโนฺต อปฺปมตฺตกมฺปิ วีติกฺกมํ อทิสฺวา ‘วตฺตเภโท นุ โข อตฺถี’ติ โอโลเกโนฺต ปริเวณสฺส อสมฺมฎฺฐภาวํ ญตฺวา สมฺมชฺชิตฺวา ปวิสิตฺวา นิสีทโนฺต สมาปตฺติํ อเปฺปโนฺตว นิสีทิฯ
Tatridaṃ vatthu – eko kira thero samāpattiṃ vaḷañjeti. Tasmiṃ piṇḍāya gāmaṃ paviṭṭhe dārakā pariveṇe kīḷitvā pakkamiṃsu. Thero āgantvā ‘pariveṇaṃ sammajjitabba’nti cintetvā asammajjitvā vihāraṃ pavisitvā ‘samāpattiṃ appessāmī’ti nisīdi. So appetuṃ asakkonto, ‘kiṃ nu kho āvaraṇa’nti sīlaṃ āvajjanto appamattakampi vītikkamaṃ adisvā ‘vattabhedo nu kho atthī’ti olokento pariveṇassa asammaṭṭhabhāvaṃ ñatvā sammajjitvā pavisitvā nisīdanto samāpattiṃ appentova nisīdi.
๔. อกุปฺปธมฺมนิเทฺทโส วุตฺตปฎิปกฺขวเสเนว เวทิตโพฺพฯ อกุปฺปธโมฺมติ อิทํ ปน อฎฺฐสมาปตฺติลาภิโน อนาคามิสฺส เจว ขีณาสวสฺส จาติ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ นามํฯ เตสญฺหิ สมาธิปาริพนฺธกา วิปสฺสนาปาริพนฺธกา จ ธมฺมา สุวิกฺขมฺภิตา สุวิกฺขาลิตา; เตน เตสํ ภสฺสสงฺคณิการามาทิกิเจฺจน วา อเญฺญน วา เยน เกนจิ อตฺตโน อนุรูเปน ปมาเทน วีตินาเมนฺตานมฺปิ สมาปตฺติ น กุปฺปติ, น นสฺสติฯ สุกฺขวิปสฺสกา ปน โสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามิขีณาสวา อิมสฺมิํ ทุเก น ลพฺภนฺติ; ทุกมุตฺตกปุคฺคลา นาม โหนฺติฯ ตสฺมา สตฺถา อตฺตโน พุทฺธสุพุทฺธตาย เหฎฺฐา คหิเต จ อคฺคหิเต จ สงฺกฑฺฒิตฺวา อิมสฺมิมฺปิ ทุเก สทฺธิํ ปิฎฺฐิวฎฺฎเกหิ ตนฺติํ อาโรเปโนฺต สเพฺพปิ อริยปุคฺคลาติอาทิมาหฯ อฎฺฐนฺนญฺหิ สมาปตฺตีนํ กุปฺปนํ นสฺสนํ ภเวยฺย, โลกุตฺตรธมฺมสฺส ปน สกิํ ปฎิวิทฺธสฺส กุปฺปนํ นสฺสนํ นาม นตฺถิ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ
4. Akuppadhammaniddeso vuttapaṭipakkhavaseneva veditabbo. Akuppadhammoti idaṃ pana aṭṭhasamāpattilābhino anāgāmissa ceva khīṇāsavassa cāti dvinnaṃ puggalānaṃ nāmaṃ. Tesañhi samādhipāribandhakā vipassanāpāribandhakā ca dhammā suvikkhambhitā suvikkhālitā; tena tesaṃ bhassasaṅgaṇikārāmādikiccena vā aññena vā yena kenaci attano anurūpena pamādena vītināmentānampi samāpatti na kuppati, na nassati. Sukkhavipassakā pana sotāpannasakadāgāmianāgāmikhīṇāsavā imasmiṃ duke na labbhanti; dukamuttakapuggalā nāma honti. Tasmā satthā attano buddhasubuddhatāya heṭṭhā gahite ca aggahite ca saṅkaḍḍhitvā imasmimpi duke saddhiṃ piṭṭhivaṭṭakehi tantiṃ āropento sabbepi ariyapuggalātiādimāha. Aṭṭhannañhi samāpattīnaṃ kuppanaṃ nassanaṃ bhaveyya, lokuttaradhammassa pana sakiṃ paṭividdhassa kuppanaṃ nassanaṃ nāma natthi, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.
๕. ปริหานธมฺมาปริหานธมฺมนิเทฺทสาปิ กุปฺปธมฺมากุปฺปธมฺมนิเทฺทสวเสเนว เวทิตพฺพาฯ เกวลญฺหิ อิธ ปุคฺคลสฺส ปมาทํ ปฎิจฺจ ธมฺมานํ ปริหานมฺปิ อปริหานมฺปิ คหิตนฺติ อิทํ ปริยายเทสนามตฺตเมว นานํฯ เสสํ สพฺพตฺถ ตาทิสเมวฯ
5. Parihānadhammāparihānadhammaniddesāpi kuppadhammākuppadhammaniddesavaseneva veditabbā. Kevalañhi idha puggalassa pamādaṃ paṭicca dhammānaṃ parihānampi aparihānampi gahitanti idaṃ pariyāyadesanāmattameva nānaṃ. Sesaṃ sabbattha tādisameva.
๗. เจตนาภพฺพนิเทฺทเส – เจตนาภโพฺพติ เจตนาย อปริหานิํ อาปชฺชิตุํ ภโพฺพฯ สเจ อนุสเญฺจเตตีติ, สเจ สมาปชฺชติฯ สมาปตฺติญฺหิ สมาปชฺชโนฺต อนุสเญฺจเตติ นามฯ โส น ปริหายติ, อิตโร ปริหายติฯ
7. Cetanābhabbaniddese – cetanābhabboti cetanāya aparihāniṃ āpajjituṃ bhabbo. Sace anusañcetetīti, sace samāpajjati. Samāpattiñhi samāpajjanto anusañceteti nāma. So na parihāyati, itaro parihāyati.
๘. อนุรกฺขณาภพฺพนิเทฺทเส – อนุรกฺขณาภโพฺพติ อนุรกฺขณาย อปริหานิํ อาปชฺชิตุํ ภโพฺพฯ สเจ อนุรกฺขตีติ สเจ อนุปการธเมฺม ปหาย อุปการธเมฺม เสวโนฺต สมาปชฺชติฯ เอวญฺหิ ปฎิปชฺชโนฺต อนุรกฺขติ นามฯ โส น ปริหายติ, อิตโร ปริหายติฯ
8. Anurakkhaṇābhabbaniddese – anurakkhaṇābhabboti anurakkhaṇāya aparihāniṃ āpajjituṃ bhabbo. Sace anurakkhatīti sace anupakāradhamme pahāya upakāradhamme sevanto samāpajjati. Evañhi paṭipajjanto anurakkhati nāma. So na parihāyati, itaro parihāyati.
อิเม เทฺวปิ สมาปตฺติํ ฐเปตุํ ถาวรํ กาตุํ ปฎิพลาฯ เจตนาภพฺพโต ปน อนุรกฺขณาภโพฺพว พลวตโรฯ เจตนาภโพฺพ หิ อุปการานุปกาเร ธเมฺม น ชานาติฯ อชานโนฺต อุปการธเมฺม นุทติ นีหรติ, อนุปการธเมฺม เสวติฯ โส เต เสวโนฺต สมาปตฺติโต ปริหายติ ฯ อนุรกฺขณาภโพฺพ อุปการานุปกาเร ธเมฺม ชานาติฯ ชานโนฺต อนุปการธเมฺม นุทติ นีหรติ, อุปการธเมฺม เสวติฯ โส เต เสวโนฺต สมาปตฺติโต น ปริหายติฯ
Ime dvepi samāpattiṃ ṭhapetuṃ thāvaraṃ kātuṃ paṭibalā. Cetanābhabbato pana anurakkhaṇābhabbova balavataro. Cetanābhabbo hi upakārānupakāre dhamme na jānāti. Ajānanto upakāradhamme nudati nīharati, anupakāradhamme sevati. So te sevanto samāpattito parihāyati . Anurakkhaṇābhabbo upakārānupakāre dhamme jānāti. Jānanto anupakāradhamme nudati nīharati, upakāradhamme sevati. So te sevanto samāpattito na parihāyati.
ยถา หิ เทฺว เขตฺตปาลา เอโก ปณฺฑุโรเคน สโรโค อกฺขโม สีตาทีนํ, เอโก อโรโค สีตาทีนํ สโหฯ สโรโค เหฎฺฐากุฎิํ น โอตรติ, รตฺตารกฺขํ ทิวารกฺขํ วิชหติฯ ตสฺส ทิวา สุกโมราทโย เขตฺตํ โอตริตฺวา สาลิสีสํ ขาทนฺติ, รตฺติํ มิคสูกราทโย ปวิสิตฺวา ขลํ ตจฺฉิ ตํ วิย เฉตฺวา คจฺฉนฺติฯ โส อตฺตโน ปมตฺตการณา ปุน พีชมตฺตมฺปิ น ลภติฯ อิตโร รตฺตารกฺขํ ทิวารกฺขํ น วิชหติฯ โส อตฺตโน อปฺปมตฺตการณา เอกกรีสโต จตฺตาริปิ อฎฺฐปิ สกฎานิ ลภติฯ
Yathā hi dve khettapālā eko paṇḍurogena sarogo akkhamo sītādīnaṃ, eko arogo sītādīnaṃ saho. Sarogo heṭṭhākuṭiṃ na otarati, rattārakkhaṃ divārakkhaṃ vijahati. Tassa divā sukamorādayo khettaṃ otaritvā sālisīsaṃ khādanti, rattiṃ migasūkarādayo pavisitvā khalaṃ tacchi taṃ viya chetvā gacchanti. So attano pamattakāraṇā puna bījamattampi na labhati. Itaro rattārakkhaṃ divārakkhaṃ na vijahati. So attano appamattakāraṇā ekakarīsato cattāripi aṭṭhapi sakaṭāni labhati.
ตตฺถ สโรคเขตฺตปาโล วิย เจตนาภโพฺพ, อโรโค วิย อนุรกฺขณาภโพฺพ ทฎฺฐโพฺพฯ สโรคสฺส อตฺตโน ปมาเทน ปุน พีชมตฺตสฺสปิ อลภนํ วิย เจตนาภพฺพสฺส อุปการานุปกาเร ธเมฺม อชานิตฺวา อุปกาเร ปหาย อนุปกาเร เสวนฺตสฺส สมาปตฺติยา ปริหานํฯ อิตรสฺส อตฺตโน อปฺปมาเทน เอกกรีสมตฺตโต จตุอฎฺฐสกฎอุทฺธรณํ วิย อนุรกฺขณาภพฺพสฺส อุปการานุปกาเร ธเมฺม ชานิตฺวา อนุปกาเร ปหาย อุปกาเร เสวนฺตสฺส สมาปตฺติยา อปริหานํ เวทิตพฺพํฯ เอวํ เจตนาภพฺพโต อนุรกฺขณาภโพฺพว สมาปตฺติํ ถาวรํ กาตุํ พลวตโรติ เวทิตโพฺพฯ
Tattha sarogakhettapālo viya cetanābhabbo, arogo viya anurakkhaṇābhabbo daṭṭhabbo. Sarogassa attano pamādena puna bījamattassapi alabhanaṃ viya cetanābhabbassa upakārānupakāre dhamme ajānitvā upakāre pahāya anupakāre sevantassa samāpattiyā parihānaṃ. Itarassa attano appamādena ekakarīsamattato catuaṭṭhasakaṭauddharaṇaṃ viya anurakkhaṇābhabbassa upakārānupakāre dhamme jānitvā anupakāre pahāya upakāre sevantassa samāpattiyā aparihānaṃ veditabbaṃ. Evaṃ cetanābhabbato anurakkhaṇābhabbova samāpattiṃ thāvaraṃ kātuṃ balavataroti veditabbo.
๙. ปุถุชฺชนนิเทฺทเส – ตีณิ สํโยชนานีติ ทิฎฺฐิสํโยชนสีลพฺพตปรามาสสํโยชนวิจิกิจฺฉาสํโยชนานิฯ เอตานิ หิ ผลกฺขเณ ปหีนานิ นาม โหนฺติฯ อยํ ปน ผลกฺขเณปิ น โหตีติ ทเสฺสติฯ เตสํ ธมฺมานนฺติ เตสํ สํโยชนธมฺมานํฯ มคฺคกฺขณสฺมิญฺหิ เตสํ ปหานาย ปฎิปโนฺน นาม โหติฯ อยํ ปน มคฺคกฺขเณปิ น โหติฯ เอตฺตาวตา วิสฺสฎฺฐกมฺมฎฺฐาโน ถูลพาลปุถุชฺชโนว อิธ กถิโตติ เวทิตโพฺพฯ
9. Puthujjananiddese – tīṇi saṃyojanānīti diṭṭhisaṃyojanasīlabbataparāmāsasaṃyojanavicikicchāsaṃyojanāni. Etāni hi phalakkhaṇe pahīnāni nāma honti. Ayaṃ pana phalakkhaṇepi na hotīti dasseti. Tesaṃ dhammānanti tesaṃ saṃyojanadhammānaṃ. Maggakkhaṇasmiñhi tesaṃ pahānāya paṭipanno nāma hoti. Ayaṃ pana maggakkhaṇepi na hoti. Ettāvatā vissaṭṭhakammaṭṭhāno thūlabālaputhujjanova idha kathitoti veditabbo.
๑๐. โคตฺรภุนิเทฺทเส – เยสํ ธมฺมานนฺติ เยสํ โคตฺรภุญาเณน สทฺธิํ อุปฺปนฺนานํ ปโรปณฺณาสกุสลธมฺมานํฯ อริยธมฺมสฺสาติ โลกุตฺตรมคฺคสฺสฯ อวกฺกนฺติ โหตีติ โอกฺกนฺติ นิพฺพตฺติ ปาตุภาโว โหติฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ นิพฺพานารมฺมเณน ญาเณน สพฺพํ ปุถุชฺชนสงฺขํ ปุถุชฺชนโคตฺตํ ปุถุชฺชนมณฺฑลํ ปุถุชฺชนปญฺญตฺติํ อติกฺกมิตฺวา อริยสงฺขํ อริยโคตฺตํ อริยมณฺฑลํ อริยปญฺญตฺติํ โอกฺกมนโต โคตฺรภูปุคฺคโล นาม วุจฺจติฯ
10. Gotrabhuniddese – yesaṃ dhammānanti yesaṃ gotrabhuñāṇena saddhiṃ uppannānaṃ paropaṇṇāsakusaladhammānaṃ. Ariyadhammassāti lokuttaramaggassa. Avakkanti hotīti okkanti nibbatti pātubhāvo hoti. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ nibbānārammaṇena ñāṇena sabbaṃ puthujjanasaṅkhaṃ puthujjanagottaṃ puthujjanamaṇḍalaṃ puthujjanapaññattiṃ atikkamitvā ariyasaṅkhaṃ ariyagottaṃ ariyamaṇḍalaṃ ariyapaññattiṃ okkamanato gotrabhūpuggalo nāma vuccati.
๑๑. ภยูปรตนิเทฺทเส – ภเยน อุปรโตติ ภยูปรโตฯ สตฺตปิ เสกฺขา ปุถุชฺชนา จ ภายิตฺวา ปาปโต โอรมนฺติ ปาปํ น กโรนฺติ ฯ ตตฺถ ปุถุชฺชนา ทุคฺคติภยํ, วฎฺฎภยํ, กิเลสภยํ, อุปวาทภยนฺติ จตฺตาริ ภยานิ ภายนฺติฯ เตสุ ภายิตพฺพเฎฺฐน ทุคฺคติเยว ภยํ ทุคฺคติภยํฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ ปุถุชฺชโน ‘สเจ ตฺวํ ปาปํ กริสฺสสิ, จตฺตาโร อปายา มุขํ วิวริตฺวา ฐิตจฺฉาตอชครสทิสา, เตสุ ทุกฺขํ อนุภวโนฺต กถํ ภวิสฺสสี’ติ ทุคฺคติภยํ ภายิตฺวา ปาปํ น กโรติฯ อนมตคฺคสํสารวฎฺฎํเยว ปน วฎฺฎภยํ นามฯ สพฺพมฺปิ อกุสลํ กิเลสภยํ นามฯ ครหา ปน อุปวาทภยํ นามฯ ตานิปิ ภายิตฺวา ปุถุชฺชโน ปาปํ น กโรติฯ โสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามิโน ปน ตโย เสกฺขา ทุคฺคติํ อตีตตฺตา เสสานิ ตีณิ ภยานิ ภายิตฺวา ปาปํ น กโรนฺติฯ มคฺคฎฺฐกเสกฺขา อาคมนวเสน วา อสมุจฺฉินฺนภยตฺตา วา ภยูปรตา นาม โหนฺติฯ ขีณาสโว อิเมสุ จตูสุ ภเยสุ เอกมฺปิ น ภายติฯ โส หิ สพฺพโส สมุจฺฉินฺนภโย; ตสฺมา อภยูปรโตติ วุจฺจติฯ กิํ ปน โส อุปวาทมฺปิ น ภายตีติ? น ภายติฯ อุปวาทํ ปน รกฺขตีติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ โทณุปฺปลวาปิคาเม ขีณาสวเตฺถโร วิยฯ
11. Bhayūparataniddese – bhayena uparatoti bhayūparato. Sattapi sekkhā puthujjanā ca bhāyitvā pāpato oramanti pāpaṃ na karonti . Tattha puthujjanā duggatibhayaṃ, vaṭṭabhayaṃ, kilesabhayaṃ, upavādabhayanti cattāri bhayāni bhāyanti. Tesu bhāyitabbaṭṭhena duggatiyeva bhayaṃ duggatibhayaṃ. Sesesupi eseva nayo. Tattha puthujjano ‘sace tvaṃ pāpaṃ karissasi, cattāro apāyā mukhaṃ vivaritvā ṭhitacchātaajagarasadisā, tesu dukkhaṃ anubhavanto kathaṃ bhavissasī’ti duggatibhayaṃ bhāyitvā pāpaṃ na karoti. Anamataggasaṃsāravaṭṭaṃyeva pana vaṭṭabhayaṃ nāma. Sabbampi akusalaṃ kilesabhayaṃ nāma. Garahā pana upavādabhayaṃ nāma. Tānipi bhāyitvā puthujjano pāpaṃ na karoti. Sotāpannasakadāgāmianāgāmino pana tayo sekkhā duggatiṃ atītattā sesāni tīṇi bhayāni bhāyitvā pāpaṃ na karonti. Maggaṭṭhakasekkhā āgamanavasena vā asamucchinnabhayattā vā bhayūparatā nāma honti. Khīṇāsavo imesu catūsu bhayesu ekampi na bhāyati. So hi sabbaso samucchinnabhayo; tasmā abhayūparatoti vuccati. Kiṃ pana so upavādampi na bhāyatīti? Na bhāyati. Upavādaṃ pana rakkhatīti vattuṃ vaṭṭati. Doṇuppalavāpigāme khīṇāsavatthero viya.
๑๒. อภพฺพาคมนนิเทฺทเส – สมฺมตฺตนิยามาคมนสฺส อภโพฺพติ อภพฺพาคมโนฯ กมฺมาวรเณนาติ ปญฺจวิเธน อานนฺตริยกเมฺมนฯ กิเลสาวรเณนาติ นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิยาฯ วิปากาวรเณนาติ อเหตุกทุเหตุกปฎิสนฺธิยาฯ อสฺสทฺธาติ พุทฺธธมฺมสเงฺฆสุ สทฺธารหิตาฯ อจฺฉนฺทิกาติ กตฺตุกมฺยตากุสลจฺฉนฺทรหิตาฯ เต ฐเปตฺวา ชมฺพุทีปํ อิตรทีปตฺตยวาสิโน เวทิตพฺพาฯ เตสุ หิ มนุสฺสา อจฺฉนฺทิกภาวํ ปวิฎฺฐา นามฯ ทุปฺปญฺญาติ ภวงฺคปญฺญารหิตาฯ อภพฺพาติ อปฺปฎิลทฺธมคฺคผลูปนิสฺสยาฯ นิยามนฺติ มคฺคนิยามํ, สมฺมตฺตนิยามํฯ โอกฺกมิตุนฺติ เอตํ กุสเลสุ ธเมฺมสุ สมฺมตฺตสงฺขาตํ นิยามํ โอกฺกมิตุํ ปวิสิตุํ ตตฺถ ปติฎฺฐาตุํ อภพฺพาฯ
12. Abhabbāgamananiddese – sammattaniyāmāgamanassa abhabboti abhabbāgamano. Kammāvaraṇenāti pañcavidhena ānantariyakammena. Kilesāvaraṇenāti niyatamicchādiṭṭhiyā. Vipākāvaraṇenāti ahetukaduhetukapaṭisandhiyā. Assaddhāti buddhadhammasaṅghesu saddhārahitā. Acchandikāti kattukamyatākusalacchandarahitā. Te ṭhapetvā jambudīpaṃ itaradīpattayavāsino veditabbā. Tesu hi manussā acchandikabhāvaṃ paviṭṭhā nāma. Duppaññāti bhavaṅgapaññārahitā. Abhabbāti appaṭiladdhamaggaphalūpanissayā. Niyāmanti magganiyāmaṃ, sammattaniyāmaṃ. Okkamitunti etaṃ kusalesu dhammesu sammattasaṅkhātaṃ niyāmaṃ okkamituṃ pavisituṃ tattha patiṭṭhātuṃ abhabbā.
๑๓. ภพฺพาคมนนิเทฺทโส วุตฺตปฎิปกฺขนเยน เวทิตโพฺพฯ เอวมิมสฺมิํ ทุเก เย จ ปุคฺคลา ปญฺจานนฺตริยกา, เย จ นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิกา, เยหิ จ อเหตุกทุเหตุกปฎิสนฺธิ คหิตา , เย จ พุทฺธาทีนํ น สทฺทหนฺติ, เยสญฺจ กตฺตุกมฺยตาฉโนฺท นตฺถิ, เย จ อปริปุณฺณภวงฺคปญฺญา, เยสญฺจ มคฺคผลานํ อุปนิสฺสโย นตฺถิ, เต สเพฺพปิ สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมิตุํ อภพฺพา, วิปรีตา ภพฺพาติ วุตฺตาฯ
13. Bhabbāgamananiddeso vuttapaṭipakkhanayena veditabbo. Evamimasmiṃ duke ye ca puggalā pañcānantariyakā, ye ca niyatamicchādiṭṭhikā, yehi ca ahetukaduhetukapaṭisandhi gahitā , ye ca buddhādīnaṃ na saddahanti, yesañca kattukamyatāchando natthi, ye ca aparipuṇṇabhavaṅgapaññā, yesañca maggaphalānaṃ upanissayo natthi, te sabbepi sammattaniyāmaṃ okkamituṃ abhabbā, viparītā bhabbāti vuttā.
๑๔. นิยตานิยตนิเทฺทเส – อานนฺตริกาติ อานฺตริกกมฺมสมงฺคิโนฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิกาติ นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิสมงฺคิโนฯ สเพฺพปิ เหเต นิรยสฺส อตฺถาย นิยตตฺตา นิยตา นามฯ อฎฺฐ ปน อริยปุคฺคลา สมฺมาภาวาย อุปรูปริมคฺคผลตฺถาย เจว อนุปาทาปรินิพฺพานตฺถาย จ นิยตตฺตา นิยตา นามฯ อวเสสปุคฺคลา ปน อนิพทฺธคติกาฯ ยถา อากาเส ขิตฺตทโณฺฑ ปถวิยํ ปตโนฺต ‘อเคฺคน วา มเชฺฌน วา มูเลน วา ปติสฺสตี’ติ น ญายติ; เอวเมว ‘อสุกคติยา นาม นิพฺพตฺติสฺสนฺตี’ติ นิยมาภาวา อนิยตา นามาติ เวทิตพฺพาฯ ยา ปน อุตฺตรกุรุกานํ นิยตคติกตา วุตฺตา, น สา นิยตธมฺมวเสนฯ มิจฺฉตฺตสมฺมตฺตนิยตธมฺมาเยว หิ นิยตา นามฯ เตสญฺจ วเสนายํ ปุคฺคลนิยโม กถิโตติฯ
14. Niyatāniyataniddese – ānantarikāti āntarikakammasamaṅgino. Micchādiṭṭhikāti niyatamicchādiṭṭhisamaṅgino. Sabbepi hete nirayassa atthāya niyatattā niyatā nāma. Aṭṭha pana ariyapuggalā sammābhāvāya uparūparimaggaphalatthāya ceva anupādāparinibbānatthāya ca niyatattā niyatā nāma. Avasesapuggalā pana anibaddhagatikā. Yathā ākāse khittadaṇḍo pathaviyaṃ patanto ‘aggena vā majjhena vā mūlena vā patissatī’ti na ñāyati; evameva ‘asukagatiyā nāma nibbattissantī’ti niyamābhāvā aniyatā nāmāti veditabbā. Yā pana uttarakurukānaṃ niyatagatikatā vuttā, na sā niyatadhammavasena. Micchattasammattaniyatadhammāyeva hi niyatā nāma. Tesañca vasenāyaṃ puggalaniyamo kathitoti.
๑๕. ปฎิปนฺนกนิเทฺทเส – มคฺคสมงฺคิโนติ มคฺคฎฺฐกปุคฺคลาฯ เต หิ ผลตฺถาย ปฎิปนฺนตฺตา ปฎิปนฺนกา นามฯ ผลสมงฺคิโนติ ผลปฎิลาภสมงฺคิตาย ผลสมงฺคิโนฯ ผลปฎิลาภโต ปฎฺฐาย หิ เต ผลสมาปตฺติํ อสมาปนฺนาปิ ผเล ฐิตาเยว นามฯ
15. Paṭipannakaniddese – maggasamaṅginoti maggaṭṭhakapuggalā. Te hi phalatthāya paṭipannattā paṭipannakā nāma. Phalasamaṅginoti phalapaṭilābhasamaṅgitāya phalasamaṅgino. Phalapaṭilābhato paṭṭhāya hi te phalasamāpattiṃ asamāpannāpi phale ṭhitāyeva nāma.
๑๖. สมสีสีนิเทฺทเส – อปุพฺพํ อจริมนฺติ อปุเร อปจฺฉา, เอกปฺปหาเรเนวาติ อโตฺถฯ ปริยาทานนฺติ ปริกฺขโยฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ ปุคฺคโล สมสีสี นาม วุจฺจติฯ โส ปเนส ติวิโธ โหติ – อิริยาปถสมสีสี, โรคสมสีสี, ชีวิตสมสีสีติฯ ตตฺถ โย จงฺกมโนฺตว วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา จงฺกมโนฺตว ปรินิพฺพาติ ปทุมเตฺถโร วิย; ฐิตโกว วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา ฐิตโกว ปรินิพฺพาติ โกฎปพฺพตวิหารวาสีติสฺสเตฺถโร วิย; นิสิโนฺนว วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา นิสิโนฺนว ปรินิพฺพาติ, นิปโนฺนว วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา นิปโนฺนว ปรินิพฺพาติ – อยํ อิริยาปถสมสีสี นามฯ
16. Samasīsīniddese – apubbaṃ acarimanti apure apacchā, ekappahārenevāti attho. Pariyādānanti parikkhayo. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ puggalo samasīsī nāma vuccati. So panesa tividho hoti – iriyāpathasamasīsī, rogasamasīsī, jīvitasamasīsīti. Tattha yo caṅkamantova vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ patvā caṅkamantova parinibbāti padumatthero viya; ṭhitakova vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ patvā ṭhitakova parinibbāti koṭapabbatavihāravāsītissatthero viya; nisinnova vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ patvā nisinnova parinibbāti, nipannova vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ patvā nipannova parinibbāti – ayaṃ iriyāpathasamasīsī nāma.
โย ปน เอกํ โรคํ ปตฺวา อโนฺตโรเคเยว วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา เตเนว โรเคน ปรินิพฺพาติ – อยํ โรคสมสีสี นามฯ
Yo pana ekaṃ rogaṃ patvā antorogeyeva vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ patvā teneva rogena parinibbāti – ayaṃ rogasamasīsī nāma.
กตโร ชีวิตสมสีสี นาม? ‘‘สีสนฺติ เตรส สีสานิ – ปลิโพธสีสญฺจ ตณฺหา, วินิพนฺธนสีสญฺจ มาโน, ปรามาสสีสญฺจ ทิฎฺฐิ, วิเกฺขปสีสญฺจ อุทฺธจฺจํ, สํกิเลสสีสญฺจ อวิชฺชา, อธิโมกฺขสีสญฺจ สทฺธา, ปคฺคหสีสญฺจ วีริยํ, อุปฎฺฐานสีสญฺจ สติ, อวิเกฺขปสีสญฺจ สมาธิ, ทสฺสนสีสญฺจ ปญฺญา, ปวตฺตสีสญฺจ ชีวิตินฺทฺริยํ, โคจรสีสญฺจ วิโมโกฺข, สงฺขารสีสญฺจ นิโรโธ’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๘๗)ฯ ตตฺถ กิเลสสีสํ อวิชฺชํ อรหตฺตมโคฺค ปริยาทิยติฯ ปวตฺตสีสํ ชีวิตินฺทฺริยํ จุติจิตฺตํ ปริยาทิยติฯ อวิชฺชาปริยาทายกํ จิตฺตํ ชีวิตินฺทฺริยํ ปริยาทาตุํ น สโกฺกติฯ ชีวิตินฺทฺริยปริยาทายกํ จิตฺตํ อวิชฺชํ ปริยาทาตุํ น สโกฺกติฯ อวิชฺชาปริยาทายกํ จิตฺตํ อญฺญํ, ชีวิตินฺทฺริยปริยาทายกํ จิตฺตํ อญฺญํฯ ยสฺส เจตํ สีสทฺวยํ สมํ ปริยาทานํ คจฺฉติ, โส ชีวิตสมสีสี นามฯ
Kataro jīvitasamasīsī nāma? ‘‘Sīsanti terasa sīsāni – palibodhasīsañca taṇhā, vinibandhanasīsañca māno, parāmāsasīsañca diṭṭhi, vikkhepasīsañca uddhaccaṃ, saṃkilesasīsañca avijjā, adhimokkhasīsañca saddhā, paggahasīsañca vīriyaṃ, upaṭṭhānasīsañca sati, avikkhepasīsañca samādhi, dassanasīsañca paññā, pavattasīsañca jīvitindriyaṃ, gocarasīsañca vimokkho, saṅkhārasīsañca nirodho’’ti (paṭi. ma. 1.87). Tattha kilesasīsaṃ avijjaṃ arahattamaggo pariyādiyati. Pavattasīsaṃ jīvitindriyaṃ cuticittaṃ pariyādiyati. Avijjāpariyādāyakaṃ cittaṃ jīvitindriyaṃ pariyādātuṃ na sakkoti. Jīvitindriyapariyādāyakaṃ cittaṃ avijjaṃ pariyādātuṃ na sakkoti. Avijjāpariyādāyakaṃ cittaṃ aññaṃ, jīvitindriyapariyādāyakaṃ cittaṃ aññaṃ. Yassa cetaṃ sīsadvayaṃ samaṃ pariyādānaṃ gacchati, so jīvitasamasīsī nāma.
กถมิทํ สมํ โหตีติ? วารสมตายฯ ยสฺมิญฺหิ วาเร มคฺควุฎฺฐานํ โหติ – โสตาปตฺติมเคฺค ปญฺจ ปจฺจเวกฺขณานิ, สกทาคามิมเคฺค ปญฺจ, อนาคามิมเคฺค ปญฺจ, อรหตฺตมเคฺค จตฺตารีติ เอกูนวีสติยา ปจฺจเวกฺขณญาเณ ปติฎฺฐาย ภวงฺคํ โอตริตฺวา ปรินิพฺพายติฯ อิมาย วารสมตาย อิทํ อุภยสีสปริยาทานํ สมํ โหติ นามฯ เตนายํ ปุคฺคโล ชีวิตสมสีสีติ วุจฺจติฯ อยเมว จ อิธ อธิเปฺปโตฯ
Kathamidaṃ samaṃ hotīti? Vārasamatāya. Yasmiñhi vāre maggavuṭṭhānaṃ hoti – sotāpattimagge pañca paccavekkhaṇāni, sakadāgāmimagge pañca, anāgāmimagge pañca, arahattamagge cattārīti ekūnavīsatiyā paccavekkhaṇañāṇe patiṭṭhāya bhavaṅgaṃ otaritvā parinibbāyati. Imāya vārasamatāya idaṃ ubhayasīsapariyādānaṃ samaṃ hoti nāma. Tenāyaṃ puggalo jīvitasamasīsīti vuccati. Ayameva ca idha adhippeto.
๑๗. ฐิตกปฺปีนิเทฺทเส – ฐิโต กโปฺปติ ฐิตกโปฺป, ฐิตกโปฺป อสฺส อตฺถีติ ฐิตกปฺปีฯ กปฺปํ ฐเปตุํ สมโตฺถติ อโตฺถฯ อุฑฺฑยฺหนเวลา อสฺสาติ ฌายนกาโล ภเวยฺยฯ เนว ตาวาติ ยาว เอส มคฺคสมงฺคี ปุคฺคโล โสตาปตฺติผลํ น สจฺฉิกโรติ, เนว ตาว กโปฺป ฌาเยยฺยฯ ฌายมาโนปิ อชฺฌายิตฺวาว ติเฎฺฐยฺยฯ กปฺปวินาโส หิ นาม มหาวิกาโร มหาปโยโค โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬสฺส ฌายนวเสน มหาโลกวินาโสฯ อยมฺปิ เอวํ มหาวินาโส ติเฎฺฐยฺย วาติ วทติฯ สาสเน ปน ธรมาเน อยํ กปฺปวินาโส นาม นตฺถิฯ กปฺปวินาเส สาสนํ นตฺถิฯ คตโกฎิเก หิ กาเล กปฺปวินาโส นาม โหติฯ เอวํ สเนฺตปิ สตฺถา อนฺตรายาภาวํ ทีเปตุํ อิทํ การณํ อาหริ – ‘‘อิทมฺปิ ภเวยฺย, มคฺคสมงฺคิโน ปน ผลสฺส อนฺตราโย น สกฺกา กาตุ’’นฺติฯ อยํ ปน ปุคฺคโล กปฺปํ ฐเปโนฺต กิตฺตกํ กาลํ ฐเปยฺยาติ? ยสฺมิํ วาเร มคฺควุฎฺฐานํ โหติ, อถ ภวงฺคํ อาวเฎฺฎนฺตํ มโนทฺวาราวชฺชนํ อุปฺปชฺชติฯ ตโต ตีณิ อนุโลมานิ, เอกํ โคตฺรภุจิตฺตํ, เอกํ มคฺคจิตฺตํ, เทฺว ผลจิตฺตานิ, ปญฺจ ปจฺจเวกฺขณญาณานีติ เอตฺตกํ กาลํ ฐเปยฺยฯ อิมํ ปนตฺถํ พาหิราย อาคนฺตุกูปมายปิ เอวํ ทีปยิํสุฯ สเจ หิ โสตาปตฺติมคฺคสมงฺคิสฺส มตฺถกูปริ โยชนิกํ เอกคฺฆนเสลํ ติวฎฺฎาย รชฺชุยา พนฺธิตฺวา โอลเมฺพยฺย, เอกสฺมิํ วเฎฺฎ ฉิเนฺน ทฺวีหิ โอลเมฺพยฺย, ทฺวีสุ ฉิเนฺนสุ เอเกน โอลเมฺพเยฺยว, ตสฺมิมฺปิ ฉิเนฺน อพฺภกูฎํ วิย อากาเส ติเฎฺฐยฺย, น เตฺวว ตสฺส ปุคฺคลสฺส มคฺคานนฺตรผลสฺส อนฺตรายํ กเรยฺยาติฯ อยํ ปน ทีปนา ปริตฺตา, ปุริมาว มหนฺตาฯ น เกวลํ ปน โสตาปตฺติมคฺคโฎฺฐว กปฺปํ ฐเปติ, อิตเร มคฺคสมงฺคิโนปิ ฐเปนฺติเยวฯ เตน ภควา เหฎฺฐา คหิตญฺจ อคฺคหิตญฺจ สพฺพํ สงฺกฑฺฒิตฺวา สทฺธิํ ปิฎฺฐิวฎฺฎกปุคฺคเลหิ อิมํ ตนฺติํ อาโรเปสิ – ‘‘สเพฺพปิ มคฺคสมงฺคิโน ปุคฺคลา ฐิตกปฺปิโน’’ติฯ
17. Ṭhitakappīniddese – ṭhito kappoti ṭhitakappo, ṭhitakappo assa atthīti ṭhitakappī. Kappaṃ ṭhapetuṃ samatthoti attho. Uḍḍayhanavelā assāti jhāyanakālo bhaveyya. Neva tāvāti yāva esa maggasamaṅgī puggalo sotāpattiphalaṃ na sacchikaroti, neva tāva kappo jhāyeyya. Jhāyamānopi ajjhāyitvāva tiṭṭheyya. Kappavināso hi nāma mahāvikāro mahāpayogo koṭisatasahassacakkavāḷassa jhāyanavasena mahālokavināso. Ayampi evaṃ mahāvināso tiṭṭheyya vāti vadati. Sāsane pana dharamāne ayaṃ kappavināso nāma natthi. Kappavināse sāsanaṃ natthi. Gatakoṭike hi kāle kappavināso nāma hoti. Evaṃ santepi satthā antarāyābhāvaṃ dīpetuṃ idaṃ kāraṇaṃ āhari – ‘‘idampi bhaveyya, maggasamaṅgino pana phalassa antarāyo na sakkā kātu’’nti. Ayaṃ pana puggalo kappaṃ ṭhapento kittakaṃ kālaṃ ṭhapeyyāti? Yasmiṃ vāre maggavuṭṭhānaṃ hoti, atha bhavaṅgaṃ āvaṭṭentaṃ manodvārāvajjanaṃ uppajjati. Tato tīṇi anulomāni, ekaṃ gotrabhucittaṃ, ekaṃ maggacittaṃ, dve phalacittāni, pañca paccavekkhaṇañāṇānīti ettakaṃ kālaṃ ṭhapeyya. Imaṃ panatthaṃ bāhirāya āgantukūpamāyapi evaṃ dīpayiṃsu. Sace hi sotāpattimaggasamaṅgissa matthakūpari yojanikaṃ ekagghanaselaṃ tivaṭṭāya rajjuyā bandhitvā olambeyya, ekasmiṃ vaṭṭe chinne dvīhi olambeyya, dvīsu chinnesu ekena olambeyyeva, tasmimpi chinne abbhakūṭaṃ viya ākāse tiṭṭheyya, na tveva tassa puggalassa maggānantaraphalassa antarāyaṃ kareyyāti. Ayaṃ pana dīpanā parittā, purimāva mahantā. Na kevalaṃ pana sotāpattimaggaṭṭhova kappaṃ ṭhapeti, itare maggasamaṅginopi ṭhapentiyeva. Tena bhagavā heṭṭhā gahitañca aggahitañca sabbaṃ saṅkaḍḍhitvā saddhiṃ piṭṭhivaṭṭakapuggalehi imaṃ tantiṃ āropesi – ‘‘sabbepi maggasamaṅgino puggalā ṭhitakappino’’ti.
๑๘. อริยนิเทฺทเส – กิเลเสหิ อารกตฺตา อริยาฯ สเทวเกน โลเกน อรณียตฺตา อริยาฯ อริยโฎฺฐ นาม ปริสุทฺธโฎฺฐติ ปริสุทฺธตฺตาปิ อริยาฯ เสสา อปริสุทฺธตาย อนริยาฯ
18. Ariyaniddese – kilesehi ārakattā ariyā. Sadevakena lokena araṇīyattā ariyā. Ariyaṭṭho nāma parisuddhaṭṭhoti parisuddhattāpi ariyā. Sesā aparisuddhatāya anariyā.
๑๙. เสกฺขนิเทฺทเส – มคฺคสมงฺคิโน มคฺคกฺขเณ, ผลสมงฺคิโน จ ผลกฺขเณ, อธิสีลสิกฺขาทิกา ติโสฺสปิ สิกฺขา สิกฺขนฺติเยวาติ เสกฺขาฯ อรหตา ปน อรหตฺตผลกฺขเณ ติโสฺส สิกฺขา สิกฺขิตาฯ ปุน ตสฺส สิกฺขนกิจฺจํ นตฺถีติ อเสกฺขาฯ อิติ สตฺต อริยา สิกฺขนฺตีติ เสกฺขาฯ ขีณาสวา อญฺญสฺส สนฺติเก สีลาทีนํ สิกฺขิตตฺตา สิกฺขิตอเสกฺขา นามฯ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธา สยมฺภูตตาย อสิกฺขิตอเสกฺขา นามฯ เสสปุคฺคลา เนว สิกฺขนฺติ น สิกฺขิตาติ เนวเสกฺขานาเสกฺขาฯ
19. Sekkhaniddese – maggasamaṅgino maggakkhaṇe, phalasamaṅgino ca phalakkhaṇe, adhisīlasikkhādikā tissopi sikkhā sikkhantiyevāti sekkhā. Arahatā pana arahattaphalakkhaṇe tisso sikkhā sikkhitā. Puna tassa sikkhanakiccaṃ natthīti asekkhā. Iti satta ariyā sikkhantīti sekkhā. Khīṇāsavā aññassa santike sīlādīnaṃ sikkhitattā sikkhitaasekkhā nāma. Buddhapaccekabuddhā sayambhūtatāya asikkhitaasekkhā nāma. Sesapuggalā neva sikkhanti na sikkhitāti nevasekkhānāsekkhā.
๒๐. เตวิชฺชนิเทฺทเส – ปฐมํ ปุเพฺพนิวาสทิพฺพจกฺขุญาณานิ นิพฺพเตฺตตฺวา ปจฺฉา อรหตฺตํ ปโตฺตปิ, ปฐมํ อรหตฺตํ ปตฺวา ปจฺฉา ปุเพฺพนิวาสทิพฺพจกฺขุญาณนิพฺพตฺตโกปิ เตวิโชฺชเยว นามฯ สุตฺตนฺตกถา ปน ปริยายเทสนา อภิธมฺมกถา นิปฺปริยายเทสนาติ อิมสฺมิํ ฐาเน อาคมนียเมว ธุรํฯ ตสฺมา ปฐมํ เทฺว วิชฺชา นิพฺพเตฺตตฺวา ปจฺฉา อรหตฺตํ ปโตฺตว อิธ อธิเปฺปโตฯ ฉฬภิเญฺญปิ เอเสว นโยฯ
20. Tevijjaniddese – paṭhamaṃ pubbenivāsadibbacakkhuñāṇāni nibbattetvā pacchā arahattaṃ pattopi, paṭhamaṃ arahattaṃ patvā pacchā pubbenivāsadibbacakkhuñāṇanibbattakopi tevijjoyeva nāma. Suttantakathā pana pariyāyadesanā abhidhammakathā nippariyāyadesanāti imasmiṃ ṭhāne āgamanīyameva dhuraṃ. Tasmā paṭhamaṃ dve vijjā nibbattetvā pacchā arahattaṃ pattova idha adhippeto. Chaḷabhiññepi eseva nayo.
๒๒. สมฺมาสมฺพุทฺธนิเทฺทเส – ปุเพฺพ อนนุสฺสุเตสูติ ปจฺฉิมภเว สจฺจปฺปฎิเวธโต ปุเพฺพ อญฺญสฺส กสฺสจิ สนฺติเก อสฺสุตปุเพฺพสุฯ ตโต ปุริมปุริเมสุ ปน ภเวสุ สพฺพญฺญุโพธิสตฺตา พุทฺธสาสเน ปพฺพชิตฺวา ตีณิ ปิฎกานิ อุคฺคเหตฺวา คตปจฺจาคตวตฺตํ อารุยฺห กมฺมฎฺฐานํ อนุโลมํ โคตฺรภุํ อาหจฺจ ฐเปนฺติฯ ตสฺมา ปจฺฉิมภวสฺมิํเยว อนาจริยกภาวํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ตทา หิ ตถาคโต ปูริตปารมิตฺตา อญฺญสฺส สนฺติเก สามํ อนนุสฺสุเตสุ สงฺขตาสงฺขตธเมฺมสุ ‘‘อิทํ ทุกฺขํ…เป.… อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา’’ติ อตฺตปจฺจเกฺขน ญาเณน จตฺตาริ สจฺจานิ อภิสมฺพุชฺฌติฯ
22. Sammāsambuddhaniddese – pubbe ananussutesūti pacchimabhave saccappaṭivedhato pubbe aññassa kassaci santike assutapubbesu. Tato purimapurimesu pana bhavesu sabbaññubodhisattā buddhasāsane pabbajitvā tīṇi piṭakāni uggahetvā gatapaccāgatavattaṃ āruyha kammaṭṭhānaṃ anulomaṃ gotrabhuṃ āhacca ṭhapenti. Tasmā pacchimabhavasmiṃyeva anācariyakabhāvaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Tadā hi tathāgato pūritapāramittā aññassa santike sāmaṃ ananussutesu saṅkhatāsaṅkhatadhammesu ‘‘idaṃ dukkhaṃ…pe… ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā’’ti attapaccakkhena ñāṇena cattāri saccāni abhisambujjhati.
ตตฺถ จาติ ตสฺมิญฺจ จตุสจฺจสโมฺพธิสงฺขาเต อรหตฺตมเคฺคฯ สพฺพญฺญุตํ ปาปุณาติ พเลสุ จ วสีภาวนฺติ สพฺพญฺญุตญฺญาณเญฺจว พเลสุ จ จิณฺณวสีภาวํ ปาปุณาติฯ พุทฺธานญฺหิ สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส เจว ทสพลญาณสฺส จ อธิคมนโต ปฎฺฐาย อญฺญํ กาตพฺพํ นาม นตฺถิฯ ยถา ปน อุภโตสุชาตสฺส ขตฺติยกุมารสฺส อภิเสกปฺปตฺติโต ปฎฺฐาย ‘อิทํ นาม อิสฺสริยํ อนาคต’นฺติ น วตฺตพฺพํ, สพฺพํ อาคตเมว โหติฯ เอวเมว พุทฺธานํ อรหตฺตมคฺคสฺส อาคมนโต ปฎฺฐาย ‘อยํ นาม คุโณ น อาคโต, น ปฎิวิโทฺธ, น ปจฺจโกฺข’ติ น วตฺตโพฺพ, สเพฺพปิ สพฺพญฺญุคุณา อาคตา ปฎิวิทฺธา ปจฺจกฺขกตาว โหนฺติฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวํ ปารมีปูรณสิทฺธานุภาเวน อริยมเคฺคน ปฎิวิทฺธสพฺพญฺญุคุโณ ปุคฺคโล สมฺมาสมฺพุโทฺธติ วุจฺจติฯ
Tattha cāti tasmiñca catusaccasambodhisaṅkhāte arahattamagge. Sabbaññutaṃ pāpuṇāti balesu ca vasībhāvanti sabbaññutaññāṇañceva balesu ca ciṇṇavasībhāvaṃ pāpuṇāti. Buddhānañhi sabbaññutaññāṇassa ceva dasabalañāṇassa ca adhigamanato paṭṭhāya aññaṃ kātabbaṃ nāma natthi. Yathā pana ubhatosujātassa khattiyakumārassa abhisekappattito paṭṭhāya ‘idaṃ nāma issariyaṃ anāgata’nti na vattabbaṃ, sabbaṃ āgatameva hoti. Evameva buddhānaṃ arahattamaggassa āgamanato paṭṭhāya ‘ayaṃ nāma guṇo na āgato, na paṭividdho, na paccakkho’ti na vattabbo, sabbepi sabbaññuguṇā āgatā paṭividdhā paccakkhakatāva honti. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evaṃ pāramīpūraṇasiddhānubhāvena ariyamaggena paṭividdhasabbaññuguṇo puggalo sammāsambuddhoti vuccati.
๒๓. ปเจฺจกพุทฺธนิเทฺทเสปิ – ปุเพฺพ อนนุสฺสุเตสูติ ปเท ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปเจฺจกพุโทฺธปิ หิ ปจฺฉิมภเว อนาจริยโก อตฺตุกฺกํสิกญาเณเนว ปฎิวิทฺธสโจฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณเญฺจว พเลสุ จ จิณฺณวสีภาวํ น ปาปุณาติฯ
23. Paccekabuddhaniddesepi – pubbe ananussutesūti pade pubbe vuttanayeneva attho veditabbo. Paccekabuddhopi hi pacchimabhave anācariyako attukkaṃsikañāṇeneva paṭividdhasacco sabbaññutaññāṇañceva balesu ca ciṇṇavasībhāvaṃ na pāpuṇāti.
๒๔. อุภโตภาควิมุตฺตนิเทฺทเส – อฎฺฐ วิโมเกฺข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรตีติ อฎฺฐ สมาปตฺติโย สหชาตนามกาเยน ปฎิลภิตฺวา วิหรติฯ ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวาติ วิปสฺสนาปญฺญาย สงฺขารคตํ, มคฺคปญฺญาย จตฺตาริ สจฺจานิ ปสฺสิตฺวา จตฺตาโรปิ อาสวา ขีณา โหนฺติฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวรูโป ปุคฺคโล อุภโตภาควิมุโตฺต นามาติ วุจฺจติฯ อยญฺหิ ทฺวีหิ ภาเคหิ เทฺว วาเร วิมุโตฺตติ อุภโตภาควิมุโตฺตฯ ตตฺรายํ เถรวาโท – ติปิฎกจูฬนาคเตฺถโร ตาว อาห – ‘‘สมาปตฺติยา วิกฺขมฺภนวิโมเกฺขน, มเคฺคน สมุเจฺฉทวิโมเกฺขน วิมุโตฺตติ อุภโตภาเคหิ เทฺว วาเร วิมุโตฺต’’ติฯ ติปิฎกมหาธมฺมรกฺขิตเตฺถโร ‘‘นามนิสฺสิตโก เอโส’’ติ วตฺวา –
24. Ubhatobhāgavimuttaniddese – aṭṭha vimokkhe kāyena phusitvā viharatīti aṭṭha samāpattiyo sahajātanāmakāyena paṭilabhitvā viharati. Paññāya cassa disvāti vipassanāpaññāya saṅkhāragataṃ, maggapaññāya cattāri saccāni passitvā cattāropi āsavā khīṇā honti. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evarūpo puggalo ubhatobhāgavimutto nāmāti vuccati. Ayañhi dvīhi bhāgehi dve vāre vimuttoti ubhatobhāgavimutto. Tatrāyaṃ theravādo – tipiṭakacūḷanāgatthero tāva āha – ‘‘samāpattiyā vikkhambhanavimokkhena, maggena samucchedavimokkhena vimuttoti ubhatobhāgehi dve vāre vimutto’’ti. Tipiṭakamahādhammarakkhitatthero ‘‘nāmanissitako eso’’ti vatvā –
‘‘อจฺจี ยถา วาตเวเคน ขิตฺตา, (อุปสีวาติ ภควา;)
‘‘Accī yathā vātavegena khittā, (upasīvāti bhagavā;)
อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ;
Atthaṃ paleti na upeti saṅkhaṃ;
เอวํ มุนี นามกายา วิมุโตฺต,
Evaṃ munī nāmakāyā vimutto,
อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺข’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๑๐๘๐);
Atthaṃ paleti na upeti saṅkha’’nti. (su. ni. 1080);
วตฺวา สุตฺตํ อาหริตฺวา ‘‘นามกายโต จ รูปกายโต จ สุวิมุตฺตตฺตา อุภโตภาควิมุโตฺต’’ติ อาหฯ ติปิฎกจูฬาภยเตฺถโร ปนาห – ‘‘สมาปตฺติยา วิกฺขมฺภนวิโมเกฺขน เอกวารํ วิมุโตฺต มเคฺคน สมุเจฺฉทวิโมเกฺขน เอกวารํ วิมุโตฺตติ อุภโตภาควิมุโตฺต’’ติฯ อิเม ปน ตโยปิ เถรา ปณฺฑิตา, ‘ติณฺณมฺปิ วาเท การณํ ทิสฺสตี’ติ ติณฺณมฺปิ วาทํ ตนฺติํ กตฺวา ฐปยิํสุฯ
Vatvā suttaṃ āharitvā ‘‘nāmakāyato ca rūpakāyato ca suvimuttattā ubhatobhāgavimutto’’ti āha. Tipiṭakacūḷābhayatthero panāha – ‘‘samāpattiyā vikkhambhanavimokkhena ekavāraṃ vimutto maggena samucchedavimokkhena ekavāraṃ vimuttoti ubhatobhāgavimutto’’ti. Ime pana tayopi therā paṇḍitā, ‘tiṇṇampi vāde kāraṇaṃ dissatī’ti tiṇṇampi vādaṃ tantiṃ katvā ṭhapayiṃsu.
สเงฺขปโต ปน อรูปสมาปตฺติยา รูปกายโต วิมุโตฺต, มเคฺคน นามกายโต วิมุโตฺตติ อุโภหิ ภาเคหิ วิมุตฺตตฺตา อุภโตภาควิมุโตฺตฯ โส จตุนฺนํ อรูปสมาปตฺตีนํ เอเกกโต วุฎฺฐาย สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺตานํ จตุนฺนํ, นิโรธา วุฎฺฐาย อรหตฺตํ ปตฺตสฺส อนาคามิโน จ วเสน ปญฺจวิโธ โหติฯ ตตฺถ ปุริมา จตฺตาโร สมาปตฺติสีสํ นิโรธํ น สมาปชฺชนฺตีติ ปริยาเยน อุภโตภาควิมุตฺตา นามฯ อฎฺฐสมาปตฺติลาภี อนาคามี ตํ สมาปชฺชิตฺวา ตโต วุฎฺฐาย วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺตติ นิปฺปริยาเยน อุภโตภาควิมุตฺตเสโฎฺฐ นามฯ นนุ จ อรูปาวจรชฺฌานมฺปิ อุเปกฺขาจิเตฺตกคฺคตาหิ ทุวงฺคิกํ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานมฺปิ, ตสฺมา ตมฺปิ ปทฎฺฐานํ กตฺวา อรหตฺตํ ปเตฺตน อุภโตภาควิมุเตฺตน ภวิตพฺพนฺติ? น ภวิตพฺพํฯ กสฺมา? รูปกายโต อวิมุตฺตตฺตาฯ ตญฺหิ กิเลสกายโตว วิมุตฺตํ, น รูปกายโต; ตสฺมา ตโต วุฎฺฐาย อรหตฺตํ ปโตฺต อุภโตภาควิมุโตฺต นาม น โหติ ฯ อรูปาวจรํ ปน นามกายโต จ วิมุตฺตํ รูปกายโต จาติ ตเทว ปาทกํ กตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺต อุภโตภาควิมุโตฺต โหตีติ เวทิตโพฺพฯ
Saṅkhepato pana arūpasamāpattiyā rūpakāyato vimutto, maggena nāmakāyato vimuttoti ubhohi bhāgehi vimuttattā ubhatobhāgavimutto. So catunnaṃ arūpasamāpattīnaṃ ekekato vuṭṭhāya saṅkhāre sammasitvā arahattaṃ pattānaṃ catunnaṃ, nirodhā vuṭṭhāya arahattaṃ pattassa anāgāmino ca vasena pañcavidho hoti. Tattha purimā cattāro samāpattisīsaṃ nirodhaṃ na samāpajjantīti pariyāyena ubhatobhāgavimuttā nāma. Aṭṭhasamāpattilābhī anāgāmī taṃ samāpajjitvā tato vuṭṭhāya vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pattoti nippariyāyena ubhatobhāgavimuttaseṭṭho nāma. Nanu ca arūpāvacarajjhānampi upekkhācittekaggatāhi duvaṅgikaṃ rūpāvacaracatutthajjhānampi, tasmā tampi padaṭṭhānaṃ katvā arahattaṃ pattena ubhatobhāgavimuttena bhavitabbanti? Na bhavitabbaṃ. Kasmā? Rūpakāyato avimuttattā. Tañhi kilesakāyatova vimuttaṃ, na rūpakāyato; tasmā tato vuṭṭhāya arahattaṃ patto ubhatobhāgavimutto nāma na hoti . Arūpāvacaraṃ pana nāmakāyato ca vimuttaṃ rūpakāyato cāti tadeva pādakaṃ katvā arahattaṃ patto ubhatobhāgavimutto hotīti veditabbo.
๒๕. ปญฺญาวิมุตฺตนิเทฺทเส – ปญฺญาย วิมุโตฺตติ ปญฺญาวิมุโตฺตฯ โส สุกฺขวิปสฺสโก จตูหิ ฌาเนหิ วุฎฺฐาย อรหตฺตํ ปตฺตา จตฺตาโร จาติ ปญฺจวิโธ โหติฯ เอเตสุ หิ เอโกปิ อฎฺฐวิโมกฺขลาภี น โหติฯ เตเนว น เหว โข อฎฺฐ วิโมเกฺขติอาทิมาหฯ อรูปาวจรชฺฌาเนสุ ปน เอกสฺมิํ สติ อุภโตภาควิมุโตฺตเยว นาม โหตีติฯ
25. Paññāvimuttaniddese – paññāya vimuttoti paññāvimutto. So sukkhavipassako catūhi jhānehi vuṭṭhāya arahattaṃ pattā cattāro cāti pañcavidho hoti. Etesu hi ekopi aṭṭhavimokkhalābhī na hoti. Teneva na heva kho aṭṭha vimokkhetiādimāha. Arūpāvacarajjhānesu pana ekasmiṃ sati ubhatobhāgavimuttoyeva nāma hotīti.
๒๖. กายสกฺขินิเทฺทเส – เอกเจฺจ อาสวาติ เหฎฺฐิมมคฺคตฺตยวชฺฌาฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวรูโป ปุคฺคโล กายสกฺขีติ วุจฺจติฯ โส หิ ผุฎฺฐนฺตํ สจฺฉิกโรตีติ กายสกฺขีฯ ฌานผสฺสํ ปฐมํ ผุสติ, ปจฺฉา นิโรธํ นิพฺพานํ สจฺฉิกโรตีติปิ กายสกฺขีฯ โส โสตาปตฺติผลฎฺฐํ อาทิํ กตฺวา ยาว อรหตฺตมคฺคฎฺฐา ฉพฺพิโธ โหติฯ
26. Kāyasakkhiniddese – ekacce āsavāti heṭṭhimamaggattayavajjhā. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evarūpo puggalo kāyasakkhīti vuccati. So hi phuṭṭhantaṃ sacchikarotīti kāyasakkhī. Jhānaphassaṃ paṭhamaṃ phusati, pacchā nirodhaṃ nibbānaṃ sacchikarotītipi kāyasakkhī. So sotāpattiphalaṭṭhaṃ ādiṃ katvā yāva arahattamaggaṭṭhā chabbidho hoti.
๒๗. ทิฎฺฐิปฺปตฺตนิเทฺทเส – อิทํ ทุกฺขนฺติ อิทํ ทุกฺขํ, เอตฺตกํ ทุกฺขํ, น อิโต อุทฺธํ ทุกฺขํฯ ทุกฺขสมุทยาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ยถาภูตํ ปชานาตีติ ฐเปตฺวา ตณฺหํ ปญฺจุปาทานกฺขเนฺธ ‘ทุกฺขสจฺจ’นฺติ ยาถาวสรสโต ปชานาติฯ ตณฺหา ปน ทุกฺขํ ชเนติ นิพฺพเตฺตติ, ปภาเวติ, ตโต ตํ ทุกฺขํ สมุเทติ; ตสฺมา นํ อยํ ‘ทุกฺขสมุทโย’ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยสฺมา ปน อิทํ ทุกฺขญฺจ สมุทโย จ นิพฺพานํ ปตฺวา นิรุชฺฌนฺติ วูปสมฺมนฺติ อปฺปวตฺติํ คจฺฉนฺติ; ตสฺมา นํ ‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ’ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ อริโย ปน อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค, ตํ ทุกฺขนิโรธํ คจฺฉติ; เตน ตํ ‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ ปชานาติฯ เอตฺตาวตา นานากฺขเณ สจฺจววตฺถานํ ทสฺสิตํฯ อิทานิ เอกกฺขเณ ทเสฺสตุํ ตถาคตปฺปเวทิตาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตถาคตปฺปเวทิตาติ มหาโพธิมเณฺฑ นิสีทตฺวา ตถาคเตน ปฎิวิทฺธา วิทิตา ปากฎีกตาฯ ธมฺมาติ จตุสจฺจธมฺมาฯ โวทิฎฺฐา โหนฺตีติ สุทิฎฺฐา โหนฺติฯ โวจริตาติ สุจริตาฯ เตสุ อเนน ปญฺญา สุฎฺฐุ จราปิตา โหตีติ อโตฺถฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวรูโป ปุคฺคโล ทิฎฺฐิปฺปโตฺตติ วุจฺจติฯ อยญฺหิ ทิฎฺฐนฺตํ ปโตฺตฯ ‘‘ทุกฺขา สงฺขารา, สุโข นิโรโธ’’ติ ญาณํ โหติ ฯ ทิฎฺฐํ วิทิตํ สจฺฉิกตํ ปสฺสิตํ ปญฺญายาติ ทิฎฺฐปฺปโตฺตฯ อยมฺปิ กายสกฺขี วิย ฉพฺพิโธว โหติฯ
27. Diṭṭhippattaniddese – idaṃ dukkhanti idaṃ dukkhaṃ, ettakaṃ dukkhaṃ, na ito uddhaṃ dukkhaṃ. Dukkhasamudayādīsupi eseva nayo. Yathābhūtaṃ pajānātīti ṭhapetvā taṇhaṃ pañcupādānakkhandhe ‘dukkhasacca’nti yāthāvasarasato pajānāti. Taṇhā pana dukkhaṃ janeti nibbatteti, pabhāveti, tato taṃ dukkhaṃ samudeti; tasmā naṃ ayaṃ ‘dukkhasamudayo’ti yathābhūtaṃ pajānāti. Yasmā pana idaṃ dukkhañca samudayo ca nibbānaṃ patvā nirujjhanti vūpasammanti appavattiṃ gacchanti; tasmā naṃ ‘ayaṃ dukkhanirodho’ti yathābhūtaṃ pajānāti. Ariyo pana aṭṭhaṅgiko maggo, taṃ dukkhanirodhaṃ gacchati; tena taṃ ‘ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā’ti yathābhūtaṃ pajānāti. Ettāvatā nānākkhaṇe saccavavatthānaṃ dassitaṃ. Idāni ekakkhaṇe dassetuṃ tathāgatappaveditātiādimāha. Tattha tathāgatappaveditāti mahābodhimaṇḍe nisīdatvā tathāgatena paṭividdhā viditā pākaṭīkatā. Dhammāti catusaccadhammā. Vodiṭṭhā hontīti sudiṭṭhā honti. Vocaritāti sucaritā. Tesu anena paññā suṭṭhu carāpitā hotīti attho. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evarūpo puggalo diṭṭhippattoti vuccati. Ayañhi diṭṭhantaṃ patto. ‘‘Dukkhā saṅkhārā, sukho nirodho’’ti ñāṇaṃ hoti . Diṭṭhaṃ viditaṃ sacchikataṃ passitaṃ paññāyāti diṭṭhappatto. Ayampi kāyasakkhī viya chabbidhova hoti.
๒๘. สทฺธาวิมุตฺตนิเทฺทเส – โน จ โข ยถา ทิฎฺฐิปฺปตฺตสฺสาติ ยถา ทิฎฺฐิปฺปตฺตสฺส อาสวา ปริกฺขีณา, น เอวํ สทฺธาวิมุตฺตสฺสาติ อโตฺถฯ กิํ ปน เนสํ กิเลสปฺปหาเน นานตฺตํ อตฺถีติ? นตฺถิฯ อถ กสฺมา สทฺธาวิมุโตฺต ทิฎฺฐิปฺปตฺตํ น ปาปุณาตีติ? อาคมนียนานเตฺตนฯ ทิฎฺฐิปฺปโต หิ อาคมนมฺหิ กิเลเส วิกฺขเมฺภโนฺต อปฺปทุเกฺขน อปฺปกสิเรน อกิลมโนฺตว วิกฺขเมฺภตุํ สโกฺกติฯ สทฺธาวิมุโตฺต ปน ทุเกฺขน กสิเรน กิลมโนฺต หุตฺวา วิกฺขเมฺภตุํ สโกฺกติ, ตสฺมา ทิฎฺฐิปฺปตฺตํ น ปาปุณาติฯ อปิจ เนสํ ปญฺญายปิ นานตฺตํ อตฺถิเยวฯ ทิฎฺฐิปฺปตฺตสฺส หิ อุปริ ติณฺณํ มคฺคานํ วิปสฺสนาญาณํ ติกฺขํ สูรํ ปสนฺนํ หุตฺวา วหติฯ สทฺธาวิมุตฺตสฺส วิปสฺสนาญาณํ โน ติกฺขํ สูรํ ปสนฺนํ หุตฺวา วหติ, ตสฺมาปิ โส ทิฎฺฐิปฺปตฺตํ น ปาปุณาติฯ
28. Saddhāvimuttaniddese – no ca kho yathā diṭṭhippattassāti yathā diṭṭhippattassa āsavā parikkhīṇā, na evaṃ saddhāvimuttassāti attho. Kiṃ pana nesaṃ kilesappahāne nānattaṃ atthīti? Natthi. Atha kasmā saddhāvimutto diṭṭhippattaṃ na pāpuṇātīti? Āgamanīyanānattena. Diṭṭhippato hi āgamanamhi kilese vikkhambhento appadukkhena appakasirena akilamantova vikkhambhetuṃ sakkoti. Saddhāvimutto pana dukkhena kasirena kilamanto hutvā vikkhambhetuṃ sakkoti, tasmā diṭṭhippattaṃ na pāpuṇāti. Apica nesaṃ paññāyapi nānattaṃ atthiyeva. Diṭṭhippattassa hi upari tiṇṇaṃ maggānaṃ vipassanāñāṇaṃ tikkhaṃ sūraṃ pasannaṃ hutvā vahati. Saddhāvimuttassa vipassanāñāṇaṃ no tikkhaṃ sūraṃ pasannaṃ hutvā vahati, tasmāpi so diṭṭhippattaṃ na pāpuṇāti.
ยถา หิ ทฺวีสุ ตรุเณสุ สิปฺปํ ทเสฺสเนฺตสุ เอกสฺส หเตฺถ ติขิโณ อสิ, เอกสฺส กุโณฺฐฯ ติขิเณน อสินา กทลี ฉิชฺชมานา สทฺทํ น กโรติฯ กุเณฺฐน อสินา ฉิชฺชมานา ‘กฎกฎา’ติ สทฺทํ กโรติฯ ตตฺถ ติขิเณน อสินา สทฺทํ อกโรนฺติยา เอว กทลิยา เฉทนํ วิย ทิฎฺฐิปฺปตฺตสฺส ติณฺณํ มคฺคานํ วิปสฺสนาญาณสฺส ติขิณสูรวิปฺปสนฺนภาโวฯ กุเณฺฐน อสินา สทฺทํ กโรนฺติยาปิ กทลิยา เฉทนํ วิย สทฺธาวิมุตฺตสฺส ติณฺณํ มคฺคานํ วิปสฺสนาญาณสฺส อติขิณอสูรอปฺปสนฺนภาโว เวทิตโพฺพฯ อิมํ ปน นยํ ‘โน’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวา, อาคมนียนานเตฺตเนว สทฺธาวิมุโตฺต ทิฎฺฐิปฺปตฺตํ น ปาปุณาตีติ สนฺนิฎฺฐานํ กตํฯ
Yathā hi dvīsu taruṇesu sippaṃ dassentesu ekassa hatthe tikhiṇo asi, ekassa kuṇṭho. Tikhiṇena asinā kadalī chijjamānā saddaṃ na karoti. Kuṇṭhena asinā chijjamānā ‘kaṭakaṭā’ti saddaṃ karoti. Tattha tikhiṇena asinā saddaṃ akarontiyā eva kadaliyā chedanaṃ viya diṭṭhippattassa tiṇṇaṃ maggānaṃ vipassanāñāṇassa tikhiṇasūravippasannabhāvo. Kuṇṭhena asinā saddaṃ karontiyāpi kadaliyā chedanaṃ viya saddhāvimuttassa tiṇṇaṃ maggānaṃ vipassanāñāṇassa atikhiṇaasūraappasannabhāvo veditabbo. Imaṃ pana nayaṃ ‘no’ti paṭikkhipitvā, āgamanīyanānatteneva saddhāvimutto diṭṭhippattaṃ na pāpuṇātīti sanniṭṭhānaṃ kataṃ.
อาคมฎฺฐกถาสุ ปน วุตฺตํ – ‘‘เอเตสุ หิ สทฺธาวิมุตฺตสฺส ปุพฺพภาคมคฺคกฺขเณ สทฺทหนฺตสฺส วิย โอกเปฺปนฺตสฺส วิย อธิมุจฺจนฺตสฺส วิย จ กิเลสกฺขโย โหติฯ ทิฎฺฐิปฺปตฺตสฺส ปุพฺพภาคมคฺคกฺขเณ กิเลสเจฺฉทกญาณํ อทนฺธํ ติขิณํ สูรํ หุตฺวา วหติฯ ตสฺมา ยถา นาม อติขิเณน อสินา กทลิํ ฉินฺทนฺตสฺส ฉินฺนฎฺฐานํ น มฎฺฐํ โหติ, อสิ น สีฆํ วหติ, สโทฺท สุยฺยติ, พลวตโร วายาโม กาตโพฺพ โหติ ; เอวรูปา สทฺธาวิมุตฺตสฺส ปุพฺพภาคมคฺคภาวนาฯ ยถา ปน สุนิสิเตเนว อสินา กทลิํ ฉินฺทนฺตสฺส ฉินฺนฎฺฐานํ มฎฺฐํ โหติ, อสิ สีฆํ วหติ, สโทฺท น สุยฺยติ, พลววายามกิจฺจํ น โหติ; เอวรูปา ทิฎฺฐิปฺปตฺตสฺส ปุพฺพภาคมคฺคภาวนา เวทิตพฺพา’’ติฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวรูโป ปุคฺคโล สทฺธาวิมุโตฺตติ วุจฺจติฯ อยญฺหิ สทฺทหโนฺต วิมุโตฺตติ สทฺธาวิมุโตฺตฯ อยมฺปิ กายสกฺขี วิย ฉพฺพิโธว โหติฯ
Āgamaṭṭhakathāsu pana vuttaṃ – ‘‘etesu hi saddhāvimuttassa pubbabhāgamaggakkhaṇe saddahantassa viya okappentassa viya adhimuccantassa viya ca kilesakkhayo hoti. Diṭṭhippattassa pubbabhāgamaggakkhaṇe kilesacchedakañāṇaṃ adandhaṃ tikhiṇaṃ sūraṃ hutvā vahati. Tasmā yathā nāma atikhiṇena asinā kadaliṃ chindantassa chinnaṭṭhānaṃ na maṭṭhaṃ hoti, asi na sīghaṃ vahati, saddo suyyati, balavataro vāyāmo kātabbo hoti ; evarūpā saddhāvimuttassa pubbabhāgamaggabhāvanā. Yathā pana sunisiteneva asinā kadaliṃ chindantassa chinnaṭṭhānaṃ maṭṭhaṃ hoti, asi sīghaṃ vahati, saddo na suyyati, balavavāyāmakiccaṃ na hoti; evarūpā diṭṭhippattassa pubbabhāgamaggabhāvanā veditabbā’’ti. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evarūpo puggalo saddhāvimuttoti vuccati. Ayañhi saddahanto vimuttoti saddhāvimutto. Ayampi kāyasakkhī viya chabbidhova hoti.
๒๙. ธมฺมานุสารีนิเทฺทเส – ปฎิปนฺนสฺสาติ อิมินา โสตาปตฺติมคฺคโฎฺฐ ทสฺสิโตฯ อธิมตฺตนฺติ พลวํฯ ปญฺญํ วาเหตีติ ปญฺญาวาหีฯ ปญฺญา อิมํ ปุคฺคลํ วหตีติ ปญฺญาวาหีติปิ วุตฺตํ โหติฯ ปญฺญาปุพฺพงฺคมนฺติ ปญฺญํ ปุเรจาริกํ กตฺวาฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวรูโป ปุคฺคโล ธมฺมานุสารีติ วุจฺจติฯ โส หิ ปญฺญาสงฺขาเตน ธเมฺมน สรติ อนุสฺสรตีติ ธมฺมานุสารีฯ โสตาปตฺติมคฺคฎฺฐเสฺสเวตํ นามํฯ ผเล ปน ปเตฺต ทิฎฺฐิปฺปโตฺต นาม โหติฯ
29. Dhammānusārīniddese – paṭipannassāti iminā sotāpattimaggaṭṭho dassito. Adhimattanti balavaṃ. Paññaṃ vāhetīti paññāvāhī. Paññā imaṃ puggalaṃ vahatīti paññāvāhītipi vuttaṃ hoti. Paññāpubbaṅgamanti paññaṃ purecārikaṃ katvā. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evarūpo puggalo dhammānusārīti vuccati. So hi paññāsaṅkhātena dhammena sarati anussaratīti dhammānusārī. Sotāpattimaggaṭṭhassevetaṃ nāmaṃ. Phale pana patte diṭṭhippatto nāma hoti.
๓๐. สทฺธานุสารีนิเทฺทเสปิ – สทฺธํ วาเหตีติ สทฺธาวาหีฯ สทฺธา อิมํ ปุคฺคลํ วหตีติ สทฺธาวาหีติปิ วุตฺตเมวฯ สทฺธาปุพฺพงฺคมนฺติ สทฺธํ ปุเรจาริกํ กตฺวาฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวรูโป ปุคฺคโล สทฺธานุสารีติ วุจฺจติฯ โส หิ สทฺธาย สรติฯ อนุสฺสรตีติ สทฺธานุสารีฯ โสตาปตฺติมคฺคฎฺฐเสฺสเวตํ นามํฯ ผเล ปน ปเตฺต สทฺธาวิมุโตฺต นาม โหติฯ โลกุตฺตรธมฺมญฺหิ นิพฺพเตฺตนฺตานํ เทฺว ธุรานิ นาม, เทฺว อภินิเวสา นาม, เทฺว สีสานิ นามฯ ตตฺถ สทฺธาธุรํ ปญฺญาธุรนฺติ – เทฺว ธุรานิ นามฯ เอโก ปน ภิกฺขุ สมถาภินิเวเสน อภินิวิสติ, เอโก วิปสฺสนาภินิเวเสนาติ – อิเม เทฺว อภินิเวสา นามฯ เอโก จ มตฺถกํ ปาปุณโนฺต อุภโตภาควิมุโตฺต โหติ, เอโก ปญฺญาวิมุโตฺตติ – อิมานิ เทฺว สีสานิ นามฯ เย เกจิ หิ โลกุตฺตรธมฺมํ นิพฺพเตฺตนฺติ, สเพฺพ เต อิเม เทฺว ธเมฺม ธุรํ กตฺวา อิเมสุ ทฺวีสุ ฐาเนสุ อภินิวิสิตฺวา อิเมหิ ทฺวีหิ ฐาเนหิ วิมุจฺจนฺติฯ เตสุ โย ภิกฺขุ อฎฺฐสมาปตฺติลาภี ปญฺญํ ธุรํ กตฺวา สมถวเสน อภินิวิโฎฺฐ อญฺญตรํ อรูปสมาปตฺติํ ปทฎฺฐานํ กตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, โส โสตาปตฺติมคฺคกฺขเณ ธมฺมานุสารี นามฯ ปรโต ปน ฉสุ ฐาเนสุ กายสกฺขี นามฯ อรหตฺตผเล ปเตฺต อุภโตภาควิมุโตฺต นามฯ
30. Saddhānusārīniddesepi – saddhaṃ vāhetīti saddhāvāhī. Saddhā imaṃ puggalaṃ vahatīti saddhāvāhītipi vuttameva. Saddhāpubbaṅgamanti saddhaṃ purecārikaṃ katvā. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evarūpo puggalo saddhānusārīti vuccati. So hi saddhāya sarati. Anussaratīti saddhānusārī. Sotāpattimaggaṭṭhassevetaṃ nāmaṃ. Phale pana patte saddhāvimutto nāma hoti. Lokuttaradhammañhi nibbattentānaṃ dve dhurāni nāma, dve abhinivesā nāma, dve sīsāni nāma. Tattha saddhādhuraṃ paññādhuranti – dve dhurāni nāma. Eko pana bhikkhu samathābhinivesena abhinivisati, eko vipassanābhinivesenāti – ime dve abhinivesā nāma. Eko ca matthakaṃ pāpuṇanto ubhatobhāgavimutto hoti, eko paññāvimuttoti – imāni dve sīsāni nāma. Ye keci hi lokuttaradhammaṃ nibbattenti, sabbe te ime dve dhamme dhuraṃ katvā imesu dvīsu ṭhānesu abhinivisitvā imehi dvīhi ṭhānehi vimuccanti. Tesu yo bhikkhu aṭṭhasamāpattilābhī paññaṃ dhuraṃ katvā samathavasena abhiniviṭṭho aññataraṃ arūpasamāpattiṃ padaṭṭhānaṃ katvā vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ pāpuṇāti, so sotāpattimaggakkhaṇe dhammānusārī nāma. Parato pana chasu ṭhānesu kāyasakkhī nāma. Arahattaphale patte ubhatobhāgavimutto nāma.
อปโร ปญฺญเมว ธุรํ กตฺวา วิปสฺสนาวเสน อภินิวิโฎฺฐ สุทฺธสงฺขาเร วา รูปาวจรชฺฌาเนสุ วา อญฺญตรํ สมฺมสิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, อยมฺปิ โสตาปตฺติมคฺคกฺขเณเยว ธมฺมานุสารี นามฯ ปรโต ปน ฉสุ ฐาเนสุ ทิฎฺฐิปฺปโตฺต นามฯ อรหเตฺต ปเตฺต ปญฺญาวิมุโตฺต นามฯ อิธ เทฺว นามานิ อปุพฺพานิ, ตานิ ปุริเมหิ สทฺธิํ ปญฺจ โหนฺติฯ อปโร อฎฺฐสมาปตฺติลาภี สทฺธํ ธุรํ กตฺวา สมาธิวเสน อภินิวิโฎฺฐ อญฺญตรํ อรูปสมาปตฺติํ ปทฎฺฐานํ กตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ – อยํ โสตาปตฺติมคฺคกฺขเณ สทฺธานุสารี นามฯ ปรโต ฉสุ ฐาเนสุ กายสกฺขีเยว นามฯ อรหเตฺต ปเตฺต อุภโตภาควิมุโตฺตเยว นามฯ อิธ เอกเมว นามํ อปุพฺพํฯ เตน สทฺธิํ ปุริมานิ ปญฺจ ฉ โหนฺติฯ อปโร สทฺธเมว ธุรํ กตฺวา วิปสฺสนาวเสน อภินิวิโฎฺฐ สุทฺธสงฺขาเร วา รูปาวจรชฺฌาเนสุ วา อญฺญตรํ สมฺมสิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ อยมฺปิ โสตาปตฺติมคฺคกฺขเณ สทฺธานุสารี นามฯ ปรโต ฉสุ ฐาเนสุ สทฺธาวิมุโตฺต นามฯ อรหเตฺต ปเตฺต ปญฺญาวิมุโตฺต นามฯ อิธาปิ เอกเมว นามํ อปุพฺพํฯ เตน สทฺธิํ ปุริมานิ ฉ สตฺต โหนฺติฯ อิเม สตฺต ปุคฺคลา โลเก อคฺคทกฺขิเณยฺยา นามาติฯ
Aparo paññameva dhuraṃ katvā vipassanāvasena abhiniviṭṭho suddhasaṅkhāre vā rūpāvacarajjhānesu vā aññataraṃ sammasitvā arahattaṃ pāpuṇāti, ayampi sotāpattimaggakkhaṇeyeva dhammānusārī nāma. Parato pana chasu ṭhānesu diṭṭhippatto nāma. Arahatte patte paññāvimutto nāma. Idha dve nāmāni apubbāni, tāni purimehi saddhiṃ pañca honti. Aparo aṭṭhasamāpattilābhī saddhaṃ dhuraṃ katvā samādhivasena abhiniviṭṭho aññataraṃ arūpasamāpattiṃ padaṭṭhānaṃ katvā vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ pāpuṇāti – ayaṃ sotāpattimaggakkhaṇe saddhānusārī nāma. Parato chasu ṭhānesu kāyasakkhīyeva nāma. Arahatte patte ubhatobhāgavimuttoyeva nāma. Idha ekameva nāmaṃ apubbaṃ. Tena saddhiṃ purimāni pañca cha honti. Aparo saddhameva dhuraṃ katvā vipassanāvasena abhiniviṭṭho suddhasaṅkhāre vā rūpāvacarajjhānesu vā aññataraṃ sammasitvā arahattaṃ pāpuṇāti. Ayampi sotāpattimaggakkhaṇe saddhānusārī nāma. Parato chasu ṭhānesu saddhāvimutto nāma. Arahatte patte paññāvimutto nāma. Idhāpi ekameva nāmaṃ apubbaṃ. Tena saddhiṃ purimāni cha satta honti. Ime satta puggalā loke aggadakkhiṇeyyā nāmāti.
๓๑. สตฺตกฺขตฺตุปรมนิเทฺทเส – สตฺตกฺขตฺตุนฺติ สตฺตวาเรฯ สตฺตกฺขตฺตุปรมา ภวูปปตฺติ อตฺตภาวคฺคหณํ อสฺส, ตโต ปรํ อฎฺฐมํ ภวํ นาทิยตีติ สตฺตกฺขตฺตุปรโมฯ โสตาปโนฺน โหตีติ เอตฺถ โสโตติ อริยมโคฺค, เตน สมนฺนาคโต โสตาปโนฺน นามฯ ยถาห –
31. Sattakkhattuparamaniddese – sattakkhattunti sattavāre. Sattakkhattuparamā bhavūpapatti attabhāvaggahaṇaṃ assa, tato paraṃ aṭṭhamaṃ bhavaṃ nādiyatīti sattakkhattuparamo. Sotāpanno hotīti ettha sototi ariyamaggo, tena samannāgato sotāpanno nāma. Yathāha –
‘‘โสโต โสโตติ หิทํ, สาริปุตฺต, วุจฺจติฯ กตโม นุ โข, สาริปุตฺต, โสโตติ? อยเมว หิ, ภเนฺต, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค โสโต, เสยฺยถิทํ – สมฺมาทิฎฺฐิ…เป.… สมฺมาสมาธีติฯ โสตาปโนฺน โสตาปโนฺนติ, หิทํ, สาริปุตฺต, วุจฺจติฯ กตโม นุ โข, สาริปุตฺต, โสตาปโนฺนติ? โย หิ, ภเนฺต, อิมินา อริเยน อฎฺฐงฺคิเกน มเคฺคน สมนฺนาคโต อยํ วุจฺจติ โสตาปโนฺน, สฺวายํ อายสฺมา เอวํนาโม เอวํโคโตฺต อิติ วา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๐๑)ฯ
‘‘Soto sototi hidaṃ, sāriputta, vuccati. Katamo nu kho, sāriputta, sototi? Ayameva hi, bhante, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo soto, seyyathidaṃ – sammādiṭṭhi…pe… sammāsamādhīti. Sotāpanno sotāpannoti, hidaṃ, sāriputta, vuccati. Katamo nu kho, sāriputta, sotāpannoti? Yo hi, bhante, iminā ariyena aṭṭhaṅgikena maggena samannāgato ayaṃ vuccati sotāpanno, svāyaṃ āyasmā evaṃnāmo evaṃgotto iti vā’’ti (saṃ. ni. 5.1001).
เอวํ มคฺคกฺขเณปิ โสตาปโนฺน นาม โหติฯ อิธ ปน มเคฺคน ผลสฺส นามํ ทินฺนนฺติ ผลกฺขเณ โสตาปโนฺน อธิเปฺปโตฯ
Evaṃ maggakkhaṇepi sotāpanno nāma hoti. Idha pana maggena phalassa nāmaṃ dinnanti phalakkhaṇe sotāpanno adhippeto.
อวินิปาตธโมฺมติ วินิปาตสงฺขาตํ อปายํ อุปปตฺติวเสน อนาคมนสภาโวฯ นิยโตติ มคฺคนิยาเมน นิยโตฯ สโมฺพธิปรายโณติ พุชฺฌนกภาวปรายโณฯ โส หิ ปฎิลทฺธมเคฺคน พุชฺฌตีติ สโมฺพธิปรายโณฯ อุปริ ตีหิ มเคฺคหิ อวสฺสํ พุชฺฌิสฺสตีติ สโมฺพธิปรายโณฯ เทเว จ มนุเสฺส จาติ เทวโลกญฺจ มนุสฺสโลกญฺจฯ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวาติ ปฎิสนฺธิวเสน อปราปรํ คนฺตฺวาฯ ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรตีติ วฎฺฎทุกฺขสฺส ปริยนฺตํ ปริวฎุมํ กโรติฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวรูโป ปุคฺคโล สตฺตกฺขตฺตุปรโม นาม วุจฺจติฯ อยํ ปน กาเลน เทวโลกสฺส กาเลน มนุสฺสโลกสฺส วเสน มิสฺสกภเวน กถิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Avinipātadhammoti vinipātasaṅkhātaṃ apāyaṃ upapattivasena anāgamanasabhāvo. Niyatoti magganiyāmena niyato. Sambodhiparāyaṇoti bujjhanakabhāvaparāyaṇo. So hi paṭiladdhamaggena bujjhatīti sambodhiparāyaṇo. Upari tīhi maggehi avassaṃ bujjhissatīti sambodhiparāyaṇo. Deve ca manusse cāti devalokañca manussalokañca. Sandhāvitvā saṃsaritvāti paṭisandhivasena aparāparaṃ gantvā. Dukkhassantaṃ karotīti vaṭṭadukkhassa pariyantaṃ parivaṭumaṃ karoti. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evarūpo puggalo sattakkhattuparamo nāma vuccati. Ayaṃ pana kālena devalokassa kālena manussalokassa vasena missakabhavena kathitoti veditabbo.
๓๒. โกลํโกลนิเทฺทเส – กุลโต กุลํ คจฺฉตีติ โกลํโกโลฯ โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยโต หิ ปฎฺฐาย นีเจ กุเล อุปปตฺติ นาม นตฺถิ, มหาโภคกุเลสุเยว นิพฺพตฺตตีติ อโตฺถฯ เทฺว วา ตีณิ วา กุลานีติ เทวมนุสฺสวเสน เทฺว วา ตโย วา ภเวฯ อิติ อยมฺปิ มิสฺสกภเวเนว กถิโตฯ เทสนามตฺตเมว เจตํ – ‘เทฺว วา ตีณิ วา’ติฯ ยาว ฉฎฺฐภวา สํสรโนฺตปิ ปน โกลํโกโลว โหติฯ
32. Kolaṃkolaniddese – kulato kulaṃ gacchatīti kolaṃkolo. Sotāpattiphalasacchikiriyato hi paṭṭhāya nīce kule upapatti nāma natthi, mahābhogakulesuyeva nibbattatīti attho. Dve vā tīṇi vā kulānīti devamanussavasena dve vā tayo vā bhave. Iti ayampi missakabhaveneva kathito. Desanāmattameva cetaṃ – ‘dve vā tīṇi vā’ti. Yāva chaṭṭhabhavā saṃsarantopi pana kolaṃkolova hoti.
๓๓. เอกพีชินิเทฺทเส – ขนฺธพีชํ นาม กถิตํฯ ยสฺส หิ โสตาปนฺนสฺส เอกํเยว ขนฺธพีชํ อตฺถิ, เอกํ อตฺตภาวคฺคหณํ, โส เอกพีชี นามฯ มานุสกํ ภวนฺติ อิทํ ปเนตฺถ เทสนามตฺตเมวฯ เทวภวํ นิพฺพเตฺตตีติปิ ปน วตฺตุํ วฎฺฎติเยวฯ ภควตา คหิตนามวเสเนว เจตานิ เอเตสํ นามานิฯ เอตฺตกํ ฐานํ คโต สตฺตกฺขตฺตุปรโม นาม โหติ, เอตฺตกํ โกลํโกโล, เอตฺตกํ เอกพีชีติ ภควตา เอเตสํ นามํ คหิตํฯ นิยมโต ปน อยํ สตฺตกฺขตฺตุปรโม, อยํ โกลํโกโล, อยํ เอกพีชีติ นตฺถิฯ
33. Ekabījiniddese – khandhabījaṃ nāma kathitaṃ. Yassa hi sotāpannassa ekaṃyeva khandhabījaṃ atthi, ekaṃ attabhāvaggahaṇaṃ, so ekabījī nāma. Mānusakaṃ bhavanti idaṃ panettha desanāmattameva. Devabhavaṃ nibbattetītipi pana vattuṃ vaṭṭatiyeva. Bhagavatā gahitanāmavaseneva cetāni etesaṃ nāmāni. Ettakaṃ ṭhānaṃ gato sattakkhattuparamo nāma hoti, ettakaṃ kolaṃkolo, ettakaṃ ekabījīti bhagavatā etesaṃ nāmaṃ gahitaṃ. Niyamato pana ayaṃ sattakkhattuparamo, ayaṃ kolaṃkolo, ayaṃ ekabījīti natthi.
โก ปน เตสํ เอตํ ปเภทํ นิยเมตีติ? เกจิ ตาว เถรา ‘ปุพฺพเหตุ นิยเมตี’ติ วทนฺติ, เกจิ ‘ปฐมมโคฺค’, เกจิ ‘อุปริ ตโย มคฺคา’, เกจิ ‘ติณฺณํ มคฺคานํ วิปสฺสนา’ติฯ ตตฺถ ‘ปุพฺพเหตุ นิยเมตี’ติ วาเท ‘ปฐมมคฺคสฺส อุปนิสฺสโย กโต นาม โหติ, อุปริ ตโย มคฺคา นิรุปนิสฺสยา อุปฺปนฺนา’ติ วจนํ อาปชฺชติฯ ‘ปฐมมโคฺค นิยเมตี’ติ วาเท อุปริ ติณฺณํ มคฺคานํ นิรตฺถกตา อาปชฺชติฯ ‘อุปริ ตโย มคฺคา นิยเมนฺตี’ติ วาเท ‘อฎฺฐมมเคฺค อนุปฺปเนฺนเยว อุปริ ตโย มคฺคา อุปฺปนฺนา’ติ อาปชฺชติฯ ‘ติณฺณํ มคฺคานํ วิปสฺสนา นิยเมตี’ติ วาโท ปน ยุชฺชติฯ สเจ หิ อุปริ ติณฺณํ มคฺคานํ วิปสฺสนา พลวตี โหติ, เอกพีชี นาม โหติ; ตโต มนฺทตราย โกลํโกโล; ตโต มนฺทตราย สตฺตกฺขตฺตุปรโมติฯ
Ko pana tesaṃ etaṃ pabhedaṃ niyametīti? Keci tāva therā ‘pubbahetu niyametī’ti vadanti, keci ‘paṭhamamaggo’, keci ‘upari tayo maggā’, keci ‘tiṇṇaṃ maggānaṃ vipassanā’ti. Tattha ‘pubbahetu niyametī’ti vāde ‘paṭhamamaggassa upanissayo kato nāma hoti, upari tayo maggā nirupanissayā uppannā’ti vacanaṃ āpajjati. ‘Paṭhamamaggo niyametī’ti vāde upari tiṇṇaṃ maggānaṃ niratthakatā āpajjati. ‘Upari tayo maggā niyamentī’ti vāde ‘aṭṭhamamagge anuppanneyeva upari tayo maggā uppannā’ti āpajjati. ‘Tiṇṇaṃ maggānaṃ vipassanā niyametī’ti vādo pana yujjati. Sace hi upari tiṇṇaṃ maggānaṃ vipassanā balavatī hoti, ekabījī nāma hoti; tato mandatarāya kolaṃkolo; tato mandatarāya sattakkhattuparamoti.
เอกโจฺจ หิ โสตาปโนฺน วฎฺฎชฺฌาสโย โหติ, วฎฺฎาภิรโต, ปุนปฺปุนํ วฎฺฎสฺมิํเยว วิจรติ สนฺทิสฺสติฯ อนาถปิณฺฑิโก เสฎฺฐิ, วิสาขา อุปาสิกา, จูฬรถมหารถา เทวปุตฺตา, อเนกวโณฺณ เทวปุโตฺต, สโกฺก เทวราชา, นาคทโตฺต เทวปุโตฺตติ อิเม หิ เอตฺตกา ชนา วฎฺฎชฺฌาสยา วฎฺฎาภิรตา อาทิโต ปฎฺฐาย ฉ เทวโลเก โสเธตฺวา อกนิเฎฺฐ ฐตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสนฺติ, อิเม อิธ น คหิตาฯ น เกวลญฺจิเม; โยปิ มนุเสฺสสุเยว สตฺตกฺขตฺตุํ สํสริตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, โยปิ เทวโลเก นิพฺพโตฺต เทเวสุเยว สตฺตกฺขตฺตุํ อปราปรํ สํสริตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, อิเมปิ อิธ น คหิตาฯ มิสฺสกภววเสเนว ปเนตฺถ สตฺตกฺขตฺตุปรมโกลํโกลา มานุสกภวนิพฺพตฺตโกเยว จ เอกพีชี คหิโตติ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ เอเกโก ทุกฺขาปฎิปทาทิวเสน จตุพฺพิธภาวํ อาปชฺชติฯ สทฺธาธุเรเนว จตฺตาโร สตฺตกฺขตฺตุปรมา, จตฺตาโร โกลํโกลา, จตฺตาโร เอกพีชิโนติ ทฺวาทส โหนฺติฯ สเจ ปญฺญาย สกฺกา นิพฺพเตฺตตุํ, ‘อหํ โลกุตฺตรํ ธมฺมํ นิพฺพเตฺตสฺสามี’ติ เอวํ ปญฺญํ ธุรํ กตฺวา สตฺตกฺขตฺตุปรมาทิภาวํ ปตฺตาปิ ปฎิปทาวเสน ทฺวาทเสวาติ อิเม จตุวีสติ โสตาปนฺนา อิหฎฺฐกนิชฺฌานิกวเสเนว อิมสฺมิํ ฐาเน กถิตาติ เวทิตพฺพาฯ
Ekacco hi sotāpanno vaṭṭajjhāsayo hoti, vaṭṭābhirato, punappunaṃ vaṭṭasmiṃyeva vicarati sandissati. Anāthapiṇḍiko seṭṭhi, visākhā upāsikā, cūḷarathamahārathā devaputtā, anekavaṇṇo devaputto, sakko devarājā, nāgadatto devaputtoti ime hi ettakā janā vaṭṭajjhāsayā vaṭṭābhiratā ādito paṭṭhāya cha devaloke sodhetvā akaniṭṭhe ṭhatvā parinibbāyissanti, ime idha na gahitā. Na kevalañcime; yopi manussesuyeva sattakkhattuṃ saṃsaritvā arahattaṃ pāpuṇāti, yopi devaloke nibbatto devesuyeva sattakkhattuṃ aparāparaṃ saṃsaritvā arahattaṃ pāpuṇāti, imepi idha na gahitā. Missakabhavavaseneva panettha sattakkhattuparamakolaṃkolā mānusakabhavanibbattakoyeva ca ekabījī gahitoti veditabbo. Tattha ekeko dukkhāpaṭipadādivasena catubbidhabhāvaṃ āpajjati. Saddhādhureneva cattāro sattakkhattuparamā, cattāro kolaṃkolā, cattāro ekabījinoti dvādasa honti. Sace paññāya sakkā nibbattetuṃ, ‘ahaṃ lokuttaraṃ dhammaṃ nibbattessāmī’ti evaṃ paññaṃ dhuraṃ katvā sattakkhattuparamādibhāvaṃ pattāpi paṭipadāvasena dvādasevāti ime catuvīsati sotāpannā ihaṭṭhakanijjhānikavaseneva imasmiṃ ṭhāne kathitāti veditabbā.
๓๔. สกทาคามินิเทฺทเส – ปฎิสนฺธิวเสน สกิํ อาคจฺฉตีติ สกทาคามีฯ สกิเทวาติ เอกวารํเยวฯ อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวาติ อิมินา ปญฺจสุ สกทาคามีสุ จตฺตาโร วเชฺชตฺวา เอโกว คหิโตฯ เอกโจฺจ หิ อิธ สกทาคามิผลํ ปตฺวา อิเธว ปรินิพฺพายติ, เอกโจฺจ อิธ ปตฺวา เทวโลเก ปรินิพฺพายติ, เอกโจฺจ เทวโลเก ปตฺวา ตเตฺถว ปรินิพฺพายติ, เอกโจฺจ เทวโลเก ปตฺวา อิธูปปชฺชิตฺวา ปรินิพฺพายติ – อิเม จตฺตาโรปิ อิธ น คหิตาฯ โย ปน อิธ ปตฺวา เทวโลเก ยาวตายุกํ วสิตฺวา ปุน อิธูปปชฺชิตฺวา ปรินิพฺพายติ – อยํ เอโกว อิธ คหิโตติ เวทิตโพฺพฯ เสสเมตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ สิยา ตํ สพฺพํ เหฎฺฐา ธมฺมสงฺคหฎฺฐกถายํ โลกุตฺตรกุสลนิเทฺทเส วุตฺตเมวฯ อิมสฺส ปน สกทาคามิโน เอกพีชินา สทฺธิํ กิํ นานากรณนฺติ? เอกพีชิสฺส เอกาว ปฎิสนฺธิ, สกทาคามิสฺส เทฺว ปฎิสนฺธิโย – อิทํ เนสํ นานากรณนฺติฯ
34. Sakadāgāminiddese – paṭisandhivasena sakiṃ āgacchatīti sakadāgāmī. Sakidevāti ekavāraṃyeva. Imaṃ lokaṃ āgantvāti iminā pañcasu sakadāgāmīsu cattāro vajjetvā ekova gahito. Ekacco hi idha sakadāgāmiphalaṃ patvā idheva parinibbāyati, ekacco idha patvā devaloke parinibbāyati, ekacco devaloke patvā tattheva parinibbāyati, ekacco devaloke patvā idhūpapajjitvā parinibbāyati – ime cattāropi idha na gahitā. Yo pana idha patvā devaloke yāvatāyukaṃ vasitvā puna idhūpapajjitvā parinibbāyati – ayaṃ ekova idha gahitoti veditabbo. Sesamettha yaṃ vattabbaṃ siyā taṃ sabbaṃ heṭṭhā dhammasaṅgahaṭṭhakathāyaṃ lokuttarakusalaniddese vuttameva. Imassa pana sakadāgāmino ekabījinā saddhiṃ kiṃ nānākaraṇanti? Ekabījissa ekāva paṭisandhi, sakadāgāmissa dve paṭisandhiyo – idaṃ nesaṃ nānākaraṇanti.
๓๕. อนาคามินิเทฺทเส – โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานนฺติ โอรํ วุจฺจติ กามธาตุฯ ยสฺส อิมานิ ปญฺจ พนฺธนานิ อปฺปหีนานิ โหนฺติ, โส ภวเคฺค นิพฺพโตฺตปิ คิลิตพฬิโส มโจฺฉ วิย ทีฆสุตฺตเกน ปาเท พทฺธกาโก วิย เตหิ พนฺธเนหิ อากฑฺฒิยมาโน กามธาตุยํเยว ปวตฺตตีติ ปญฺจ พนฺธนานิ โอรมฺภาคิยานีติ วุจฺจนฺติฯ เหฎฺฐาภาคิยานิ เหฎฺฐาโกฎฺฐาสิกานีติ อโตฺถฯ ปริกฺขยาติ เตสํ พนฺธนานํ ปริกฺขเยนฯ โอปปาติโกติ อุปปาตโยนิโกฯ อิมินาสฺส คพฺภเสยฺยา ปฎิกฺขิตฺตาฯ ตตฺถ ปรินิพฺพายีติ ตตฺถ สุทฺธาวาสโลเก ปรินิพฺพายิตาฯ อนาวตฺติธโมฺม ตสฺมา โลกาติ ปฎิสนฺธิคฺคหณวเสน ตสฺมา โลกา อิธ อนาวตฺตนสภาโวฯ พุทฺธทสฺสนเถรทสฺสนธมฺมสฺสวนานํ ปนตฺถายสฺส อาคมนํ อนิวาริตํฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวํวิโธ ปุคฺคโล ปฎิสนฺธิวเสน ปุน อนาคมนโต อนาคามี นาม วุจฺจติฯ
35. Anāgāminiddese – orambhāgiyānaṃ saṃyojanānanti oraṃ vuccati kāmadhātu. Yassa imāni pañca bandhanāni appahīnāni honti, so bhavagge nibbattopi gilitabaḷiso maccho viya dīghasuttakena pāde baddhakāko viya tehi bandhanehi ākaḍḍhiyamāno kāmadhātuyaṃyeva pavattatīti pañca bandhanāni orambhāgiyānīti vuccanti. Heṭṭhābhāgiyāni heṭṭhākoṭṭhāsikānīti attho. Parikkhayāti tesaṃ bandhanānaṃ parikkhayena. Opapātikoti upapātayoniko. Imināssa gabbhaseyyā paṭikkhittā. Tattha parinibbāyīti tattha suddhāvāsaloke parinibbāyitā. Anāvattidhammo tasmā lokāti paṭisandhiggahaṇavasena tasmā lokā idha anāvattanasabhāvo. Buddhadassanatheradassanadhammassavanānaṃ panatthāyassa āgamanaṃ anivāritaṃ. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evaṃvidho puggalo paṭisandhivasena puna anāgamanato anāgāmī nāma vuccati.
๓๖. อนฺตราปรินิพฺพายินิเทฺทเส – อุปปนฺนํ วา สมนนฺตราติ อุปปนฺนสมนนฺตรา วา หุตฺวาฯ อปฺปตฺตํ วา เวมชฺฌํ อายุปฺปมาณนฺติ อายุปฺปมาณํ เวมชฺฌํ อปฺปตฺตํ วา หุตฺวา อริยมคฺคํ สญฺชเนตีติ อโตฺถฯ วาสทฺทวิกปฺปโต ปน เวมชฺฌํ ปตฺตนฺติปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอวํ ตโย อนฺตราปรินิพฺพายิโน สิทฺธา โหนฺติฯ อุปริฎฺฐิมานํ สํโยชนานนฺติ อุปริ ปญฺจนฺนํ อุทฺธมฺภาคิยสํโยชนานํ อฎฺฐนฺนํ วา กิเลสานํฯ ปหานายาติ เอเตสํ ปชหนตฺถาย มคฺคํ สญฺชเนติฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวรูโป ปุคฺคโล อายุเวมชฺฌสฺส อนฺตราเยว ปรินิพฺพายนโต อนฺตราปรินิพฺพายีติ วุจฺจติฯ
36. Antarāparinibbāyiniddese – upapannaṃ vā samanantarāti upapannasamanantarā vā hutvā. Appattaṃ vā vemajjhaṃ āyuppamāṇanti āyuppamāṇaṃ vemajjhaṃ appattaṃ vā hutvā ariyamaggaṃ sañjanetīti attho. Vāsaddavikappato pana vemajjhaṃ pattantipi attho veditabbo. Evaṃ tayo antarāparinibbāyino siddhā honti. Upariṭṭhimānaṃ saṃyojanānanti upari pañcannaṃ uddhambhāgiyasaṃyojanānaṃ aṭṭhannaṃ vā kilesānaṃ. Pahānāyāti etesaṃ pajahanatthāya maggaṃ sañjaneti. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evarūpo puggalo āyuvemajjhassa antarāyeva parinibbāyanato antarāparinibbāyīti vuccati.
๓๗. อุปหจฺจปรินิพฺพายินิเทฺทเส – อติกฺกมิตฺวา เวมชฺฌํ อายุปฺปมาณนฺติ อายุปฺปมาณํ เวมชฺฌํ อติกฺกมิตฺวาฯ อุปหจฺจ วา กาลกิริยนฺติ อุปคนฺตฺวา กาลกิริยํฯ อายุกฺขยสฺส อาสเนฺน ฐตฺวาติ อโตฺถฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวรูโป ปุคฺคโล อวิเหสุ ตาว กปฺปสหสฺสปฺปมาณสฺส อายุโน ปญฺจกปฺปสตสงฺขาตํ เวมชฺฌํ อติกฺกมิตฺวา ฉเฎฺฐ วา กปฺปสเต สตฺตมฎฺฐมนวมานํ วา อญฺญตรสฺมิํ ทสเมเยว วา กปฺปสเต ฐตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา กิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพายนโต อุปหจฺจปรินิพฺพายีติ วุจฺจติฯ
37. Upahaccaparinibbāyiniddese – atikkamitvā vemajjhaṃ āyuppamāṇanti āyuppamāṇaṃ vemajjhaṃ atikkamitvā. Upahacca vā kālakiriyanti upagantvā kālakiriyaṃ. Āyukkhayassa āsanne ṭhatvāti attho. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evarūpo puggalo avihesu tāva kappasahassappamāṇassa āyuno pañcakappasatasaṅkhātaṃ vemajjhaṃ atikkamitvā chaṭṭhe vā kappasate sattamaṭṭhamanavamānaṃ vā aññatarasmiṃ dasameyeva vā kappasate ṭhatvā arahattaṃ patvā kilesaparinibbānena parinibbāyanato upahaccaparinibbāyīti vuccati.
๓๘. อสงฺขารสสงฺขารปรินิพฺพายินิเทฺทเสสุ – อสงฺขาเรน อปฺปทุเกฺขน อธิมตฺตปโยคํ อกตฺวาว กิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพานธโมฺมติ อสงฺขารปรินิพฺพายีฯ สสงฺขาเรน ทุเกฺขน กสิเรน อธิมตฺตปโยคํ กตฺวาว กิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพายนธโมฺมติ สสงฺขารปรินิพฺพายีฯ
38. Asaṅkhārasasaṅkhāraparinibbāyiniddesesu – asaṅkhārena appadukkhena adhimattapayogaṃ akatvāva kilesaparinibbānena parinibbānadhammoti asaṅkhāraparinibbāyī. Sasaṅkhārena dukkhena kasirena adhimattapayogaṃ katvāva kilesaparinibbānena parinibbāyanadhammoti sasaṅkhāraparinibbāyī.
๔๐. อุทฺธํโสตนิเทฺทเส – อุทฺธํ วาหิภาเวน อุทฺธมสฺส ตณฺหาโสตํ วฎฺฎโสตํ วาติ อุทฺธํโสโตฯ อุทฺธํ วา คนฺตฺวา ปฎิลภิตพฺพโต อุทฺธมสฺส มคฺคโสตนฺติ อุทฺธํโสโตฯ อกนิฎฺฐํ คจฺฉตีติ อกนิฎฺฐคามีฯ อวิหา จุโต อตปฺปํ คจฺฉตีติอาทีสุ อวิเห กปฺปสหสฺสํ วสโนฺต อรหตฺตํ ปตฺตุํ อสกฺกุณิตฺวา อตปฺปํ คจฺฉติฯ ตตฺราปิ เทฺว กปฺปสหสฺสานิ วสโนฺต อรหตฺตํ ปตฺตุํ อสกฺกุณิตฺวา สุทสฺสํ คจฺฉติฯ ตตฺราปิ จตฺตาริ กปฺปสหสฺสานิ วสโนฺต อรหตฺตํ ปตฺตุํ อสกฺกุณิตฺวา สุทสฺสิํ คจฺฉติฯ ตตฺราปิ อฎฺฐ กปฺปสหสฺสานิ วสโนฺต อรหตฺตํ ปตฺตุํ อสกฺกุณิตฺวา อกนิฎฺฐํ คจฺฉติฯ ตตฺถ วสโนฺต อริยมคฺคํ สญฺชเนตีติ อโตฺถฯ
40. Uddhaṃsotaniddese – uddhaṃ vāhibhāvena uddhamassa taṇhāsotaṃ vaṭṭasotaṃ vāti uddhaṃsoto. Uddhaṃ vā gantvā paṭilabhitabbato uddhamassa maggasotanti uddhaṃsoto. Akaniṭṭhaṃ gacchatīti akaniṭṭhagāmī. Avihā cuto atappaṃ gacchatītiādīsu avihe kappasahassaṃ vasanto arahattaṃ pattuṃ asakkuṇitvā atappaṃ gacchati. Tatrāpi dve kappasahassāni vasanto arahattaṃ pattuṃ asakkuṇitvā sudassaṃ gacchati. Tatrāpi cattāri kappasahassāni vasanto arahattaṃ pattuṃ asakkuṇitvā sudassiṃ gacchati. Tatrāpi aṭṭha kappasahassāni vasanto arahattaṃ pattuṃ asakkuṇitvā akaniṭṭhaṃ gacchati. Tattha vasanto ariyamaggaṃ sañjanetīti attho.
อิเมสํ ปน อนาคามีนํ ปเภทชานนตฺถํ อุทฺธํโสโต อกนิฎฺฐคามีจตุกฺกํ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ โย อวิหโต ปฎฺฐาย จตฺตาโร เทวโลเก โสเธตฺวา อกนิฎฺฐํ คนฺตฺวา ปรินิพฺพายติ อยํ อุทฺธํโสโต อกนิฎฺฐคามี นามฯ โย ปน เหฎฺฐา ตโย เทวโลเก โสเธตฺวา สุทสฺสีเทวโลเก ฐตฺวา ปรินิพฺพายติ – อยํ อุทฺธํโสโต, น อกนิฎฺฐคามี นาม ฯ โย ปน อิโต อกนิฎฺฐเมว คนฺตฺวา ปรินิพฺพายติ, อยํ น อุทฺธํโสโต, อกนิฎฺฐคามี นาม ฯ โย ปน เหฎฺฐา จตูสุ เทวโลเกสุ ตตฺถ ตเตฺถว ปรินิพฺพายติ, อยํ น อุทฺธํโสโต, น อกนิฎฺฐคามี นามาติฯ เอวเมเต อฎฺฐจตฺตาลีส อนาคามิโน โหนฺติฯ
Imesaṃ pana anāgāmīnaṃ pabhedajānanatthaṃ uddhaṃsoto akaniṭṭhagāmīcatukkaṃ veditabbaṃ. Tattha yo avihato paṭṭhāya cattāro devaloke sodhetvā akaniṭṭhaṃ gantvā parinibbāyati ayaṃ uddhaṃsoto akaniṭṭhagāmī nāma. Yo pana heṭṭhā tayo devaloke sodhetvā sudassīdevaloke ṭhatvā parinibbāyati – ayaṃ uddhaṃsoto, na akaniṭṭhagāmī nāma . Yo pana ito akaniṭṭhameva gantvā parinibbāyati, ayaṃ na uddhaṃsoto, akaniṭṭhagāmī nāma . Yo pana heṭṭhā catūsu devalokesu tattha tattheva parinibbāyati, ayaṃ na uddhaṃsoto, na akaniṭṭhagāmī nāmāti. Evamete aṭṭhacattālīsa anāgāmino honti.
กถํ? อวิเห ตาว ตโย อนฺตราปรินิพฺพายิโน, เอโก อุปหจฺจปรินิพฺพายี, เอโก อุทฺธํโสโต เต อสงฺขารปรินิพฺพายิโน ปญฺจ, สสงฺขารปรินิพฺพายิโน ปญฺจาติ ทส โหนฺติฯ ตถา อตปฺปาสุทสฺสาสุทสฺสีสูติ จตฺตาโร ทสกา จตฺตาลีสํฯ อกนิเฎฺฐ ปน อุทฺธํโสโต นตฺถิฯ ตโย ปน อนฺตราปรินิพฺพายิโน, เอโก อุปหจฺจปรินิพฺพายีฯ เต อสงฺขารปรินิพฺพายิโน จตฺตาโร, สสงฺขารปรินิพฺพายิโน จตฺตาโรติ อฎฺฐฯ เอวํ อฎฺฐจตฺตาลีสํ โหนฺติฯ
Kathaṃ? Avihe tāva tayo antarāparinibbāyino, eko upahaccaparinibbāyī, eko uddhaṃsoto te asaṅkhāraparinibbāyino pañca, sasaṅkhāraparinibbāyino pañcāti dasa honti. Tathā atappāsudassāsudassīsūti cattāro dasakā cattālīsaṃ. Akaniṭṭhe pana uddhaṃsoto natthi. Tayo pana antarāparinibbāyino, eko upahaccaparinibbāyī. Te asaṅkhāraparinibbāyino cattāro, sasaṅkhāraparinibbāyino cattāroti aṭṭha. Evaṃ aṭṭhacattālīsaṃ honti.
เต สเพฺพปิ ปปฎิโกปมาย ทีปิตา – ทิวสํ สนฺตตฺตานมฺปิ หิ อารกณฺฎกวิปฺผลิกนขเจฺฉทนานํ อโยมุเข หญฺญมาเน ปปฎิกา อุปฺปชฺชิตฺวาว นิพฺพายติ – เอวรูโป ปฐโม อนฺตราปรินิพฺพายี เวทิตโพฺพฯ กสฺมา? อุปฺปนฺนสมนนฺตราว กิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพายนโตฯ ตโต มหนฺตตเร อโยมุเข หญฺญมาเน ปปฎิกา อากาสํ อุลฺลงฺฆิตฺวา นิพฺพายติ – เอวรูโป ทุติโย อนฺตราปรินิพฺพายี ทฎฺฐโพฺพฯ กสฺมา? เวมชฺฌํ อปฺปตฺวา ปรินิพฺพายนโตฯ ตโต มหนฺตตเร อโยมุเข หญฺญมาเน ปปฎิกา อากาสํ อุลฺลงฺฆิตฺวา นิวตฺตมานา ปถวิยํ อนุปหจฺจตลา หุตฺวา ปรินิพฺพายติ – เอวรูโป ตติโย อนฺตราปรินิพฺพายี ทฎฺฐโพฺพฯ กสฺมา? เวมชฺฌํ ปตฺวา อนุปหจฺจ ปรินิพฺพายนโตฯ ตโต มหนฺตตเร อโยมุเข หญฺญมาเน ปปฎิกา อากาสํ อุลฺลงฺฆิตฺวา ปถวิยํ ปติตฺวา อุปหจฺจตลา หุตฺวา นิพฺพายติ – เอวรูโป อุปหจฺจปรินิพฺพายี เวทิตโพฺพฯ กสฺมา? กาลกิริยํ อุปคนฺตฺวา อายุคติํ เขเปตฺวา ปรินิพฺพายนโตฯ ตโต มหนฺตตเร อโยมุเข หญฺญมาเน ปปฎิกา ปริเตฺต ติณกเฎฺฐ ปติตฺวา ตํ ปริตฺตํ ติณกฎฺฐํ ฌาเปตฺวา นิพฺพายติ – เอวรูโป อสงฺขารปรินิพฺพายี เวทิตโพฺพฯ กสฺมา? อปฺปโยเคน ลหุสาย คติยา ปรินิพฺพายนโตฯ ตโต มหนฺตตเร อโยมุเข หญฺญมาเน ปปฎิกา วิปุเล ติณกฎฺฐปุเญฺช ปติตฺวา ตํ วิปุลํ ติณกฎฺฐปุญฺชํ ฌาเปตฺวา นิพฺพายติ – เอวรูโป สสงฺขารปรินิพฺพายี เวทิตโพฺพฯ กสฺมา? สปฺปโยเคน อลหุสาย คติยา ปรินิพฺพายนโตฯ อปรา มหเนฺตสุ ติณกฎฺฐปุเญฺชสุ ปตติ, ตตฺถ มหเนฺตสุ ติณกฎฺฐปุเญฺชสุ ฌายมาเนสุ วีตจฺจิตงฺคาโร วา ชาลา วา อุปฺปติตฺวา กมฺมารสาลํ ฌาเปตฺวา คามนิคมนครรฎฺฐํ ฌาเปตฺวา สมุทฺทนฺตํ ปตฺวา นิพฺพายติ – เอวรูโป อุทฺธํโสโต อกนิฎฺฐคามี ทฎฺฐโพฺพฯ กสฺมา? อเนกภวพีชวิปฺผารํ ผุสฺส ผุสฺส พฺยนฺตีกตฺวา ปรินิพฺพายนโตฯ ยสฺมา ปน อารกณฺฎกาทิเภทํ ขุทฺทกมฺปิ มหนฺตมฺปิ อโยกปาลเมว, ตสฺมา สุเตฺต สพฺพวาเรสุ อโยกปาลเนฺตฺวว วุตฺตํ (อ. นิ. ๗.๕๕)ฯ ยถาห –
Te sabbepi papaṭikopamāya dīpitā – divasaṃ santattānampi hi ārakaṇṭakavipphalikanakhacchedanānaṃ ayomukhe haññamāne papaṭikā uppajjitvāva nibbāyati – evarūpo paṭhamo antarāparinibbāyī veditabbo. Kasmā? Uppannasamanantarāva kilesaparinibbānena parinibbāyanato. Tato mahantatare ayomukhe haññamāne papaṭikā ākāsaṃ ullaṅghitvā nibbāyati – evarūpo dutiyo antarāparinibbāyī daṭṭhabbo. Kasmā? Vemajjhaṃ appatvā parinibbāyanato. Tato mahantatare ayomukhe haññamāne papaṭikā ākāsaṃ ullaṅghitvā nivattamānā pathaviyaṃ anupahaccatalā hutvā parinibbāyati – evarūpo tatiyo antarāparinibbāyī daṭṭhabbo. Kasmā? Vemajjhaṃ patvā anupahacca parinibbāyanato. Tato mahantatare ayomukhe haññamāne papaṭikā ākāsaṃ ullaṅghitvā pathaviyaṃ patitvā upahaccatalā hutvā nibbāyati – evarūpo upahaccaparinibbāyī veditabbo. Kasmā? Kālakiriyaṃ upagantvā āyugatiṃ khepetvā parinibbāyanato. Tato mahantatare ayomukhe haññamāne papaṭikā paritte tiṇakaṭṭhe patitvā taṃ parittaṃ tiṇakaṭṭhaṃ jhāpetvā nibbāyati – evarūpo asaṅkhāraparinibbāyī veditabbo. Kasmā? Appayogena lahusāya gatiyā parinibbāyanato. Tato mahantatare ayomukhe haññamāne papaṭikā vipule tiṇakaṭṭhapuñje patitvā taṃ vipulaṃ tiṇakaṭṭhapuñjaṃ jhāpetvā nibbāyati – evarūpo sasaṅkhāraparinibbāyī veditabbo. Kasmā? Sappayogena alahusāya gatiyā parinibbāyanato. Aparā mahantesu tiṇakaṭṭhapuñjesu patati, tattha mahantesu tiṇakaṭṭhapuñjesu jhāyamānesu vītaccitaṅgāro vā jālā vā uppatitvā kammārasālaṃ jhāpetvā gāmanigamanagararaṭṭhaṃ jhāpetvā samuddantaṃ patvā nibbāyati – evarūpo uddhaṃsoto akaniṭṭhagāmī daṭṭhabbo. Kasmā? Anekabhavabījavipphāraṃ phussa phussa byantīkatvā parinibbāyanato. Yasmā pana ārakaṇṭakādibhedaṃ khuddakampi mahantampi ayokapālameva, tasmā sutte sabbavāresu ayokapālantveva vuttaṃ (a. ni. 7.55). Yathāha –
‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – ‘โน จสฺส, โน จ เม สิยา, น ภวิสฺสติ, น เม ภวิสฺสติ, ยทตฺถิ ยํ ภูตํ, ตํ ปชหามี’’’ติ อุเปกฺขํ ปฎิลภติฯ โส ภเว น รชฺชติ, สมฺภเว น รชฺชติ, อตฺถุตฺตริ ปทํ สนฺตํ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติฯ ตญฺจ ขฺวสฺส ปทํ น สเพฺพน สพฺพํ สจฺฉิกตํ โหติฯ ตสฺส น สเพฺพน สพฺพํ มานานุสโย ปหีโน โหติ, น สเพฺพน สพฺพํ ภวราคานุสโย ปหีโน โหติ, น สเพฺพน สพฺพํ อวิชฺชานุสโย ปหีโน โหติฯ โส ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา อนฺตราปรินิพฺพายี โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ทิวสํ สนฺตเตฺต อโยกปาเล หญฺญมาเน ปปฎิกา นิพฺพตฺติตฺวา นิพฺพาเยยฺย; เอวเมว โข , ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – โน จสฺส…เป.… อนฺตราปรินิพฺพายี โหติฯ
‘‘Idha, bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – ‘no cassa, no ca me siyā, na bhavissati, na me bhavissati, yadatthi yaṃ bhūtaṃ, taṃ pajahāmī’’’ti upekkhaṃ paṭilabhati. So bhave na rajjati, sambhave na rajjati, atthuttari padaṃ santaṃ sammappaññāya passati. Tañca khvassa padaṃ na sabbena sabbaṃ sacchikataṃ hoti. Tassa na sabbena sabbaṃ mānānusayo pahīno hoti, na sabbena sabbaṃ bhavarāgānusayo pahīno hoti, na sabbena sabbaṃ avijjānusayo pahīno hoti. So pañcannaṃ orambhāgiyānaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā antarāparinibbāyī hoti. Seyyathāpi, bhikkhave, divasaṃ santatte ayokapāle haññamāne papaṭikā nibbattitvā nibbāyeyya; evameva kho , bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – no cassa…pe… antarāparinibbāyī hoti.
‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – โน จสฺส…เป.… อนฺตราปรินิพฺพายี โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ทิวสํ สนฺตเตฺต อโยกปาเล หญฺญมาเน ปปฎิกา นิพฺพตฺติตฺวา อุปฺปติตฺวา นิพฺพาเยยฺย; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – โน จสฺส…เป.… อนฺตราปรินิพฺพายี โหติฯ
‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – no cassa…pe… antarāparinibbāyī hoti. Seyyathāpi, bhikkhave, divasaṃ santatte ayokapāle haññamāne papaṭikā nibbattitvā uppatitvā nibbāyeyya; evameva kho, bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – no cassa…pe… antarāparinibbāyī hoti.
‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – โน จสฺส…เป.… อนฺตราปรินิพฺพายี โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ทิวสํ สนฺตเตฺต อโยกปาเล หญฺญมาเน ปปฎิกา นิพฺพตฺติตฺวา อุปฺปติตฺวา อนุปหจฺจ ตลํ นิพฺพาเยยฺย; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – โน จสฺส…เป.… อนฺตราปรินิพฺพายี โหติฯ
‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – no cassa…pe… antarāparinibbāyī hoti. Seyyathāpi, bhikkhave, divasaṃ santatte ayokapāle haññamāne papaṭikā nibbattitvā uppatitvā anupahacca talaṃ nibbāyeyya; evameva kho, bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – no cassa…pe… antarāparinibbāyī hoti.
‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – โน จสฺส…เป.… อุปหจฺจปรินิพฺพายี โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ทิวสํ สนฺตเตฺต อโยกปาเล หญฺญมาเน ปปฎิกา นิพฺพตฺติตฺวา อุปฺปติตฺวา อุปหจฺจ ตลํ นิพฺพาเยยฺย; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – โน จสฺส…เป.… อุปหจฺจปรินิพฺพายี โหติฯ
‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – no cassa…pe… upahaccaparinibbāyī hoti. Seyyathāpi, bhikkhave, divasaṃ santatte ayokapāle haññamāne papaṭikā nibbattitvā uppatitvā upahacca talaṃ nibbāyeyya; evameva kho, bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – no cassa…pe… upahaccaparinibbāyī hoti.
‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – โน จสฺส…เป.… ปริกฺขยา อสงฺขารปรินิพฺพายี โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ทิวสํ สนฺตเตฺต อโยกปาเล หญฺญมาเน ปปฎิกา นิพฺพตฺติตฺวา อุปฺปติตฺวา ปริเตฺต ติณปุเญฺช วา กฎฺฐปุเญฺช วา นิปเตยฺย, สา ตตฺถ อคฺคิมฺปิ ชเนยฺย, ธูมมฺปิ ชเนยฺย, อคฺคิมฺปิ ชเนตฺวา ธูมมฺปิ ชเนตฺวา ตเมว ปริตฺตํ ติณปุญฺชํ วา กฎฺฐปุญฺชํ วา ปริยาทิยิตฺวา อนาหารา นิพฺพาเยยฺย; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – โน จสฺส…เป.… ปริกฺขยา อสงฺขารปรินิพฺพายี โหติฯ
‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – no cassa…pe… parikkhayā asaṅkhāraparinibbāyī hoti. Seyyathāpi, bhikkhave, divasaṃ santatte ayokapāle haññamāne papaṭikā nibbattitvā uppatitvā paritte tiṇapuñje vā kaṭṭhapuñje vā nipateyya, sā tattha aggimpi janeyya, dhūmampi janeyya, aggimpi janetvā dhūmampi janetvā tameva parittaṃ tiṇapuñjaṃ vā kaṭṭhapuñjaṃ vā pariyādiyitvā anāhārā nibbāyeyya; evameva kho, bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – no cassa…pe… parikkhayā asaṅkhāraparinibbāyī hoti.
‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – โน จสฺส…เป.… สสงฺขารปรินิพฺพายี โหติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ทิวสํ สนฺตเตฺต อโยกปาเล หญฺญมาเน ปปฎิกา นิพฺพตฺติตฺวา อุปฺปติตฺวา วิปุเล ติณปุเญฺช วา กฎฺฐปุเญฺช วา นิปเตยฺย, สา ตตฺถ อคฺคิมฺปิ ชเนยฺย…เป.… ตเมว วิปุลํ ติณปุญฺชํ วา กฎฺฐปุญฺชํ วา ปริยาทิยิตฺวา อนาหารา นิพฺพาเยยฺย; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – โน จสฺส…เป.… สสงฺขารปรินิพฺพายี โหติฯ
‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – no cassa…pe… sasaṅkhāraparinibbāyī hoti. Seyyathāpi, bhikkhave, divasaṃ santatte ayokapāle haññamāne papaṭikā nibbattitvā uppatitvā vipule tiṇapuñje vā kaṭṭhapuñje vā nipateyya, sā tattha aggimpi janeyya…pe… tameva vipulaṃ tiṇapuñjaṃ vā kaṭṭhapuñjaṃ vā pariyādiyitvā anāhārā nibbāyeyya; evameva kho, bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – no cassa…pe… sasaṅkhāraparinibbāyī hoti.
‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – โน จสฺส…เป.… ปริกฺขยา อุทฺธํโสโต โหติ อกนิฎฺฐคามีฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ทิวสํ สนฺตเตฺต อโยกปาเล หญฺญมาเน ปปฎิกา นิพฺพตฺติตฺวา อุปฺปติตฺวา มหเนฺต ติณปุเญฺช วา กฎฺฐปุเญฺช วา นิปเตยฺย, สา ตตฺถ อคฺคิมฺปิ ชเนยฺย…เป.… ตเมว มหนฺตํ ติณปุญฺชํ วา กฎฺฐปุญฺชํ วา ปริยาทิยิตฺวา คจฺฉมฺปิ ทเหยฺย, ทายมฺปิ ทเหยฺย , คจฺฉมฺปิ ทหิตฺวา ทายมฺปิ ทหิตฺวา หริตนฺตํ วา ปถนฺตํ วา เสลนฺตํ วา อุทกนฺตํ วา รมณียํ วา ภูมิภาคํ อาคมฺม อนาหารา นิพฺพาเยยฺย; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ ปฎิปโนฺน โหติ – โน จสฺส…เป.… ปริกฺขยา อุทฺธํโสโต โหติ อกนิฎฺฐคามี’’ติ (อ. นิ. ๗.๕๕)ฯ
‘‘Idha pana, bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – no cassa…pe… parikkhayā uddhaṃsoto hoti akaniṭṭhagāmī. Seyyathāpi, bhikkhave, divasaṃ santatte ayokapāle haññamāne papaṭikā nibbattitvā uppatitvā mahante tiṇapuñje vā kaṭṭhapuñje vā nipateyya, sā tattha aggimpi janeyya…pe… tameva mahantaṃ tiṇapuñjaṃ vā kaṭṭhapuñjaṃ vā pariyādiyitvā gacchampi daheyya, dāyampi daheyya , gacchampi dahitvā dāyampi dahitvā haritantaṃ vā pathantaṃ vā selantaṃ vā udakantaṃ vā ramaṇīyaṃ vā bhūmibhāgaṃ āgamma anāhārā nibbāyeyya; evameva kho, bhikkhave, bhikkhu evaṃ paṭipanno hoti – no cassa…pe… parikkhayā uddhaṃsoto hoti akaniṭṭhagāmī’’ti (a. ni. 7.55).
๔๑-๔๔. โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยาย ปฎิปนฺนาทินิเทฺทสา อุตฺตานตฺถาวฯ อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล อรหาติ เอตฺถ ปน ทฺวาทส อรหโนฺต เวทิตพฺพาฯ กถํ? ตโย หิ วิโมกฺขา – สุญฺญโต, อนิมิโตฺต, อปฺปณิหิโตติฯ ตตฺถ สุญฺญตวิโมเกฺขน วิมุตฺตขีณาสโว ปฎิปทาวเสน จตุพฺพิโธ โหติ; ตถา อนิมิตฺตอปฺปณิหิตวิโมเกฺขหีติ – เอวํ ทฺวาทส อรหโนฺต เวทิตพฺพาฯ อิติ อิเม ทฺวาทส อรหโนฺต วิย ทฺวาทเสว สกทาคามิโน, จตุวีสติ โสตาปนฺนา, อฎฺฐจตฺตาลีส อนาคามิโนติ เอตฺตกา ปุคฺคลา อิโต มุจฺจิตฺวา พหิทฺธา นุปฺปชฺชนฺติ, อิมสฺมิเญฺญว สพฺพญฺญุพุทฺธสาสเน อุปฺปชฺชนฺตีติฯ
41-44. Sotāpattiphalasacchikiriyāya paṭipannādiniddesā uttānatthāva. Ayaṃ vuccati puggalo arahāti ettha pana dvādasa arahanto veditabbā. Kathaṃ? Tayo hi vimokkhā – suññato, animitto, appaṇihitoti. Tattha suññatavimokkhena vimuttakhīṇāsavo paṭipadāvasena catubbidho hoti; tathā animittaappaṇihitavimokkhehīti – evaṃ dvādasa arahanto veditabbā. Iti ime dvādasa arahanto viya dvādaseva sakadāgāmino, catuvīsati sotāpannā, aṭṭhacattālīsa anāgāminoti ettakā puggalā ito muccitvā bahiddhā nuppajjanti, imasmiññeva sabbaññubuddhasāsane uppajjantīti.
เอกกนิเทฺทสวณฺณนาฯ
Ekakaniddesavaṇṇanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ปุคฺคลปญฺญตฺติปาฬิ • Puggalapaññattipāḷi / ๑. เอกกปุคฺคลปญฺญตฺติ • 1. Ekakapuggalapaññatti
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ปญฺจปกรณ-มูลฎีกา • Pañcapakaraṇa-mūlaṭīkā / ๑. เอกกนิเทฺทสวณฺณนา • 1. Ekakaniddesavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ปญฺจปกรณ-อนุฎีกา • Pañcapakaraṇa-anuṭīkā / ๑. เอกกนิเทฺทสวณฺณนา • 1. Ekakaniddesavaṇṇanā