Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā

    (๑.) เอกกนิเทฺทสวณฺณนา

    (1.) Ekakaniddesavaṇṇanā

    ๗๖๑. อิทานิ ยถานิกฺขิตฺตาย มาติกาย ‘‘ปญฺจวิญฺญาณา น เหตุเมวา’’ติอาทินา นเยน อารเทฺธ นิเทฺทสวาเร น เหตุเมวาติ สาธารณเหตุปฎิเกฺขปนิเทฺทโสฯ ตตฺถ ‘‘เหตุเหตุ, ปจฺจยเหตุ, อุตฺตมเหตุ, สาธารณเหตูติ จตุพฺพิโธ เหตู’’ติอาทินา นเยน ยํ วตฺตพฺพํ สิยา, ตํ สพฺพํ รูปกเณฺฑ ‘‘สพฺพํ รูปํ น เหตุเมวา’’ติอาทีนํ อตฺถวณฺณนายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๕๙๔) วุตฺตเมวฯ อเหตุกเมวาติอาทีสุ พฺยญฺชนสนฺธิวเสน มกาโร เวทิตโพฺพ; อเหตุกา เอวาติ อโตฺถฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ อปิจ ‘‘เหตู ธมฺมา นเหตู ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ทุกมาติกา ๑) ธมฺมโกฎฺฐาเสสุ ปญฺจวิญฺญาณานิ เหตู ธมฺมาติ วา สเหตุกา ธมฺมาติ วา น โหนฺติฯ เอกเนฺตน ปน น เหตูเยว, อเหตุกา เยวาติ อิมานิปิ นเยเนตฺถ สพฺพปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อพฺยากตเมวาติ ปทํ วิปากาพฺยากตวเสน วุตฺตํฯ สารมฺมณเมวาติ โอลุพฺภารมฺมณวเสนฯ ปจฺจยารมฺมณํ โอลุพฺภารมฺมณนฺติ หิ ทุวิธํ อารมฺมณํฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน โอลุพฺภารมฺมณเมว ธุรํ, ปจฺจยารมฺมณมฺปิ ลพฺภติเยวฯ อเจตสิกเมวาติ ปทํ จิตฺตํ, รูปํ, นิพฺพานนฺติ ตีสุ อเจตสิเกสุ จิตฺตเมว สนฺธาย วุตฺตํฯ โน อปริยาปนฺนเมวาติ คติปริยาปนฺนจุติปริยาปนฺนสํสารวฎฺฎภวปริยาปนฺนภาวโต ปริยาปนฺนา เอว, โน อปริยาปนฺนาฯ โลกโต วฎฺฎโต น นิยฺยนฺตีติ อนิยฺยานิกาอุปฺปนฺนํ มโนวิญฺญาณวิเญฺญยฺยเมวาติ รูปกเณฺฑ จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ ปจฺจุปฺปนฺนาเนว รูปาทีนิ อารพฺภ ปวตฺติโต อตีตาทิวิสยํ มโนวิญฺญาณมฺปิ ปญฺจวิญฺญาณโสตปติตเมว กตฺวา ‘‘อุปปนฺนํ ฉหิ วิญฺญาเณหิ วิเญฺญยฺย’’นฺติ (ธ. ส. ๕๘๔) วุตฺตํฯ ปญฺจวิญฺญาณา ปน ยสฺมา ปจฺจุปฺปนฺนาปิ จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ อารมฺมณา น โหนฺติ, มโนวิญฺญาณเสฺสว โหนฺติ, ตสฺมา ‘‘มโนวิญฺญาณวิเญฺญยฺยเมวา’’ติ วุตฺตํฯ อนิจฺจเมวาติ หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจาเยวฯ ชราภิภูตเมวาติ ชราย อภิภูตตฺตา ชราภิภูตา เอวฯ

    761. Idāni yathānikkhittāya mātikāya ‘‘pañcaviññāṇā na hetumevā’’tiādinā nayena āraddhe niddesavāre na hetumevāti sādhāraṇahetupaṭikkhepaniddeso. Tattha ‘‘hetuhetu, paccayahetu, uttamahetu, sādhāraṇahetūti catubbidho hetū’’tiādinā nayena yaṃ vattabbaṃ siyā, taṃ sabbaṃ rūpakaṇḍe ‘‘sabbaṃ rūpaṃ na hetumevā’’tiādīnaṃ atthavaṇṇanāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 594) vuttameva. Ahetukamevātiādīsu byañjanasandhivasena makāro veditabbo; ahetukā evāti attho. Sesapadesupi eseva nayo. Apica ‘‘hetū dhammā nahetū dhammā’’tiādīsu (dha. sa. dukamātikā 1) dhammakoṭṭhāsesu pañcaviññāṇāni hetū dhammāti vā sahetukā dhammāti vā na honti. Ekantena pana na hetūyeva, ahetukā yevāti imānipi nayenettha sabbapadesu attho veditabbo. Abyākatamevāti padaṃ vipākābyākatavasena vuttaṃ. Sārammaṇamevāti olubbhārammaṇavasena. Paccayārammaṇaṃ olubbhārammaṇanti hi duvidhaṃ ārammaṇaṃ. Imasmiṃ pana ṭhāne olubbhārammaṇameva dhuraṃ, paccayārammaṇampi labbhatiyeva. Acetasikamevāti padaṃ cittaṃ, rūpaṃ, nibbānanti tīsu acetasikesu cittameva sandhāya vuttaṃ. No apariyāpannamevāti gatipariyāpannacutipariyāpannasaṃsāravaṭṭabhavapariyāpannabhāvato pariyāpannā eva, no apariyāpannā. Lokato vaṭṭato na niyyantīti aniyyānikā. Uppannaṃ manoviññāṇaviññeyyamevāti rūpakaṇḍe cakkhuviññāṇādīnaṃ paccuppannāneva rūpādīni ārabbha pavattito atītādivisayaṃ manoviññāṇampi pañcaviññāṇasotapatitameva katvā ‘‘upapannaṃ chahi viññāṇehi viññeyya’’nti (dha. sa. 584) vuttaṃ. Pañcaviññāṇā pana yasmā paccuppannāpi cakkhuviññāṇādīnaṃ ārammaṇā na honti, manoviññāṇasseva honti, tasmā ‘‘manoviññāṇaviññeyyamevā’’ti vuttaṃ. Aniccamevāti hutvā abhāvaṭṭhena aniccāyeva. Jarābhibhūtamevāti jarāya abhibhūtattā jarābhibhūtā eva.

    ๗๖๒. อุปฺปนฺนวตฺถุกา อุปฺปนฺนารมฺมณาติ อนาคตปฎิเกฺขโปฯ น หิ เต อนาคเตสุ วตฺถารมฺมเณสุ อุปฺปชฺชนฺติฯ

    762. Uppannavatthukā uppannārammaṇāti anāgatapaṭikkhepo. Na hi te anāgatesu vatthārammaṇesu uppajjanti.

    ปุเรชาตวตฺถุกา ปุเรชาตารมฺมณาติ สหุปฺปตฺติปฎิเกฺขโปฯ น หิ เต สหุปฺปนฺนํ วตฺถุํ วา อารมฺมณํ วา ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชนฺติ, สยํ ปน ปจฺฉาชาตา หุตฺวา ปุเรชาเตสุ วตฺถารมฺมเณสุ อุปฺปชฺชนฺติฯ

    Purejātavatthukā purejātārammaṇāti sahuppattipaṭikkhepo. Na hi te sahuppannaṃ vatthuṃ vā ārammaṇaṃ vā paṭicca uppajjanti, sayaṃ pana pacchājātā hutvā purejātesu vatthārammaṇesu uppajjanti.

    อชฺฌตฺติกวตฺถุกาติ อชฺฌตฺตชฺฌตฺตวเสน วุตฺตํฯ ตานิ หิ อชฺฌตฺติเก ปญฺจ ปสาเท วตฺถุํ กตฺวา อุปฺปชฺชนฺติฯ พาหิรารมฺมณาติ พาหิรรูปาทิอารมฺมณาฯ ตตฺถ จตุกฺกํ เวทิตพฺพํ – ปญฺจวิญฺญาณา หิ ปสาทวตฺถุกตฺตา อชฺฌตฺติกา อชฺฌตฺติกวตฺถุกา, มโนวิญฺญาณํ หทยรูปํ วตฺถุํ กตฺวา อุปฺปชฺชนกาเล อชฺฌตฺติกํ พาหิรวตฺถุกํ, ปญฺจวิญฺญาณสมฺปยุตฺตา ตโย ขนฺธา พาหิรา อชฺฌตฺติกวตฺถุกา , มโนวิญฺญาณสมฺปยุตฺตา ตโย ขนฺธา หทยรูปํ วตฺถุํ กตฺวา อุปฺปชฺชนกาเล พาหิรา พาหิรวตฺถุกาฯ

    Ajjhattikavatthukāti ajjhattajjhattavasena vuttaṃ. Tāni hi ajjhattike pañca pasāde vatthuṃ katvā uppajjanti. Bāhirārammaṇāti bāhirarūpādiārammaṇā. Tattha catukkaṃ veditabbaṃ – pañcaviññāṇā hi pasādavatthukattā ajjhattikā ajjhattikavatthukā, manoviññāṇaṃ hadayarūpaṃ vatthuṃ katvā uppajjanakāle ajjhattikaṃ bāhiravatthukaṃ, pañcaviññāṇasampayuttā tayo khandhā bāhirā ajjhattikavatthukā , manoviññāṇasampayuttā tayo khandhā hadayarūpaṃ vatthuṃ katvā uppajjanakāle bāhirā bāhiravatthukā.

    อสมฺภินฺนวตฺถุกาติ อนิรุทฺธวตฺถุกาฯ น หิ เต นิรุทฺธํ อตีตํ วตฺถุํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชนฺติฯ อสมฺภินฺนารมฺมณตายปิ เอเสว นโยฯ

    Asambhinnavatthukāti aniruddhavatthukā. Na hi te niruddhaṃ atītaṃ vatthuṃ paṭicca uppajjanti. Asambhinnārammaṇatāyapi eseva nayo.

    อญฺญํ จกฺขุวิญฺญาณสฺส วตฺถุ จ อารมฺมณญฺจาติอาทีสุ จกฺขุวิญฺญาณสฺส หิ อญฺญํ วตฺถุ, อญฺญํ อารมฺมณํฯ อญฺญํ โสตวิญฺญาณาทีนํฯ จกฺขุวิญฺญาณํ โสตปสาทาทีสุ อญฺญตรํ วตฺถุํ, สทฺทาทีสุ วา อญฺญตรํ อารมฺมณํ กตฺวา กปฺปโต กปฺปํ คนฺตฺวาปิ น อุปฺปชฺชติ; จกฺขุปสาทเมว ปน วตฺถุํ กตฺวา รูปญฺจ อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปชฺชติฯ เอวมสฺส วตฺถุปิ ทฺวารมฺปิ อารมฺมณมฺปิ นิพทฺธํ, อญฺญํ วตฺถุํ วา ทฺวารํ วา อารมฺมณํ วา น สงฺกมติ, นิพทฺธวตฺถุ นิพทฺธทฺวารํ นิพทฺธารมฺมณเมว หุตฺวา อุปฺปชฺชติฯ โสตวิญฺญาณาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    Aññaṃ cakkhuviññāṇassa vatthu ca ārammaṇañcātiādīsu cakkhuviññāṇassa hi aññaṃ vatthu, aññaṃ ārammaṇaṃ. Aññaṃ sotaviññāṇādīnaṃ. Cakkhuviññāṇaṃ sotapasādādīsu aññataraṃ vatthuṃ, saddādīsu vā aññataraṃ ārammaṇaṃ katvā kappato kappaṃ gantvāpi na uppajjati; cakkhupasādameva pana vatthuṃ katvā rūpañca ārammaṇaṃ katvā uppajjati. Evamassa vatthupi dvārampi ārammaṇampi nibaddhaṃ, aññaṃ vatthuṃ vā dvāraṃ vā ārammaṇaṃ vā na saṅkamati, nibaddhavatthu nibaddhadvāraṃ nibaddhārammaṇameva hutvā uppajjati. Sotaviññāṇādīsupi eseva nayo.

    ๗๖๓. อญฺญมญฺญสฺส โคจรวิสยํ ปจฺจนุโภนฺตีติ เอตฺถ อญฺญมญฺญสฺส จกฺขุ โสตสฺส, โสตํ วา จกฺขุสฺสาติ เอวํ เอกํ เอกสฺส โคจรวิสยํ น ปจฺจนุโภตีติ อโตฺถฯ สเจ หิ นีลาทิเภทํ รูปารมฺมณํ สโมธาเนตฺวา โสตินฺทฺริยสฺส อุปเนยฺย ‘อิงฺฆ ตาว นํ ววตฺถาเปหิ วิภาเวหิ – กิํ นาเมตํ อารมฺมณ’นฺติ, จกฺขุวิญฺญาณํ วินาปิ มุเขน อตฺตโน ธมฺมตาย เอวํ วเทยฺย – ‘อเร อนฺธพาล, วสฺสสตมฺปิ วสฺสสหสฺสมฺปิ ปริธาวมาโน อญฺญตฺร มยา กุหิํ เอตสฺส ชานนกํ ลภิสฺสสิ; อาหร นํ จกฺขุปสาเท อุปเนหิ; อหเมตํ อารมฺมณํ ชานิสฺสามิ – ยทิ วา นีลํ ยทิ วา ปีตกํฯ น หิ เอโส อญฺญสฺส วิสโย; มยฺหเมเวโส วิสโย’ติฯ เสสวิญฺญาเณสุปิ เอเสว นโยฯ เอวเมเต อญฺญมญฺญสฺส โคจรวิสยํ น ปจฺจนุโภนฺติ นามฯ

    763. Naaññamaññassa gocaravisayaṃ paccanubhontīti ettha aññamaññassa cakkhu sotassa, sotaṃ vā cakkhussāti evaṃ ekaṃ ekassa gocaravisayaṃ na paccanubhotīti attho. Sace hi nīlādibhedaṃ rūpārammaṇaṃ samodhānetvā sotindriyassa upaneyya ‘iṅgha tāva naṃ vavatthāpehi vibhāvehi – kiṃ nāmetaṃ ārammaṇa’nti, cakkhuviññāṇaṃ vināpi mukhena attano dhammatāya evaṃ vadeyya – ‘are andhabāla, vassasatampi vassasahassampi paridhāvamāno aññatra mayā kuhiṃ etassa jānanakaṃ labhissasi; āhara naṃ cakkhupasāde upanehi; ahametaṃ ārammaṇaṃ jānissāmi – yadi vā nīlaṃ yadi vā pītakaṃ. Na hi eso aññassa visayo; mayhameveso visayo’ti. Sesaviññāṇesupi eseva nayo. Evamete aññamaññassa gocaravisayaṃ na paccanubhonti nāma.

    ๗๖๔. สมนฺนาหรนฺตสฺสาติ อาวชฺชเนเนว สมนฺนาหรนฺตสฺสฯ

    764. Samannāharantassāti āvajjaneneva samannāharantassa.

    มนสิกโรนฺตสฺสาติ อาวชฺชเนเนว มนสิกโรนฺตสฺสฯ เอตานิ หิ จิตฺตานิ อาวชฺชเนน สมนฺนาหฎกาเล มนสิกตกาเลเยว จ อุปฺปชฺชนฺติฯ

    Manasikarontassāti āvajjaneneva manasikarontassa. Etāni hi cittāni āvajjanena samannāhaṭakāle manasikatakāleyeva ca uppajjanti.

    น อโพฺพกิณฺณาติ อเญฺญน วิญฺญาเณน อโพฺพกิณฺณา นิรนฺตราว นุปฺปชฺชนฺติฯ เอเตน เตสํ อนนฺตรตา ปฎิกฺขิตฺตาฯ

    Na abbokiṇṇāti aññena viññāṇena abbokiṇṇā nirantarāva nuppajjanti. Etena tesaṃ anantaratā paṭikkhittā.

    ๗๖๕. น อปุพฺพํ อจริมนฺติ เอเตน สเพฺพสมฺปิ สหุปฺปตฺติ ปฎิกฺขิตฺตาฯ อญฺญมญฺญสฺส สมนนฺตราติ เอเตน สมนนฺตรตา ปฎิกฺขิตฺตาฯ

    765. Na apubbaṃ acarimanti etena sabbesampi sahuppatti paṭikkhittā. Naaññamaññassa samanantarāti etena samanantaratā paṭikkhittā.

    ๗๖๖. อาวฎฺฎนา วาติอาทีนิ จตฺตาริปิ อาวชฺชนเสฺสว นามานิฯ ตญฺหิ ภวงฺคสฺส อาวฎฺฎนโต อาวฎฺฎนา, ตเสฺสว อาภุชนโต อาโภโค, รูปาทีนํ สมนฺนาหรณโต สมนฺนาหาโร, เตสํเยว มนสิกรณโต มนสิกาโรติ วุจฺจติฯ เอวเมตฺถ สเงฺขปโต ปญฺจนฺนํ วิญฺญาณานํ อาวชฺชนฎฺฐาเน ฐตฺวา อาวชฺชนาทิกิจฺจํ กาตุํ สมตฺถภาโว ปฎิกฺขิโตฺตฯ

    766. Āvaṭṭanā vātiādīni cattāripi āvajjanasseva nāmāni. Tañhi bhavaṅgassa āvaṭṭanato āvaṭṭanā, tasseva ābhujanato ābhogo, rūpādīnaṃ samannāharaṇato samannāhāro, tesaṃyeva manasikaraṇato manasikāroti vuccati. Evamettha saṅkhepato pañcannaṃ viññāṇānaṃ āvajjanaṭṭhāne ṭhatvā āvajjanādikiccaṃ kātuṃ samatthabhāvo paṭikkhitto.

    น กญฺจิ ธมฺมํ ปฎิวิชานาตีติ ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา’’ติ (ธ. ป. ๑-๒) เอวํ วุตฺตํ เอกมฺปิ กุสลํ วา อกุสลํ วา น ปฎิวิชานาติฯ

    Na kañci dhammaṃ paṭivijānātīti ‘‘manopubbaṅgamā dhammā’’ti (dha. pa. 1-2) evaṃ vuttaṃ ekampi kusalaṃ vā akusalaṃ vā na paṭivijānāti.

    อญฺญตฺร อภินิปาตมตฺตาติ ฐเปตฺวา รูปาทีนํ อภินิปาตมตฺตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สุปณฺฑิโตปิ ปุริโส, ฐเปตฺวา อาปาถคตานิ รูปาทีนิ, อญฺญํ กุสลากุสเลสุ เอกธมฺมมฺปิ ปญฺจหิ วิญฺญาเณหิ น ปฎิวิชานาติฯ จกฺขุวิญฺญาณํ ปเนตฺถ ทสฺสนมตฺตเมว โหติฯ โสตวิญฺญาณาทีนิ สวนฆายนสายนผุสนมตฺตาเนวฯ ทสฺสนาทิมตฺตโต ปน มุตฺตา อญฺญา เอเตสํ กุสลาทิปฎิวิญฺญตฺติ นาม นตฺถิฯ

    Aññatraabhinipātamattāti ṭhapetvā rūpādīnaṃ abhinipātamattaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – supaṇḍitopi puriso, ṭhapetvā āpāthagatāni rūpādīni, aññaṃ kusalākusalesu ekadhammampi pañcahi viññāṇehi na paṭivijānāti. Cakkhuviññāṇaṃ panettha dassanamattameva hoti. Sotaviññāṇādīni savanaghāyanasāyanaphusanamattāneva. Dassanādimattato pana muttā aññā etesaṃ kusalādipaṭiviññatti nāma natthi.

    มโนธาตุยาปีติ สมฺปฎิจฺฉนมโนธาตุยาปิฯ สมฺปิณฺฑนโตฺถ เจตฺถ ปิกาโรฯ ตสฺมา มโนธาตุยาปิ ตโต ปราหิ มโนวิญฺญาณธาตูหิปีติ สเพฺพหิปิ ปญฺจทฺวาริกวิญฺญาเณหิ น กญฺจิ กุสลากุสลํ ธมฺมํ ปฎิวิชานาตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Manodhātuyāpīti sampaṭicchanamanodhātuyāpi. Sampiṇḍanattho cettha pikāro. Tasmā manodhātuyāpi tato parāhi manoviññāṇadhātūhipīti sabbehipi pañcadvārikaviññāṇehi na kañci kusalākusalaṃ dhammaṃ paṭivijānātīti evamettha attho daṭṭhabbo.

    น กญฺจิ อิริยาปถํ กเปฺปตีติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ น หิ ปญฺจทฺวาริกวิญฺญาเณหิ คมนาทีสุ กญฺจิ อิริยาปถํ กเปฺปติ, น กายกมฺมํ น วจีกมฺมํ ปฎฺฐเปติ, น กุสลากุสลํ ธมฺมํ สมาทิยติ, น สมาธิํ สมาปชฺชติ โลกิยํ วา โลกุตฺตรํ วา, น สมาธิโต วุฎฺฐาติ โลกิยา วา โลกุตฺตรา วา, น ภวโต จวติ, น ภวนฺตเร อุปปชฺชติฯ สพฺพมฺปิ เหตํ กุสลากุสลธมฺมปฎิวิชานนาทิวจนปริโยสานํ กิจฺจํ มโนทฺวาริกจิเตฺตเนว โหติ, น ปญฺจทฺวาริเกนาติ สพฺพสฺสาเปตสฺส กิจฺจสฺส กรเณ สหชวนกานิ วีถิจิตฺตานิ ปฎิกฺขิตฺตานิฯ ยถา เจเตสํ เอตานิ กิจฺจานิ นตฺถิ, เอวํ นิยาโมกฺกมนาทีนิปิฯ น หิ ปญฺจทฺวาริกชวเนน มิจฺฉตฺตนิยามํ โอกฺกมติ, น สมฺมตฺตนิยามํ; น เจตํ ชวนํ นามโคตฺตมารพฺภ ชวติ, น กสิณาทิปณฺณตฺติํ; น ลกฺขณารมฺมณิกวิปสฺสนาวเสน ปวตฺตติ, น วุฎฺฐานคามินีพลววิปสฺสนาวเสน; น รูปารูปธเมฺม อารพฺภ ชวติ, น นิพฺพานํ; น เจเตน สทฺธิํ ปฎิสมฺภิทาญาณํ อุปฺปชฺชติ, น อภิญฺญาญาณํ, น สาวกปารมีญาณํ, น ปเจฺจกโพธิญาณํ, น สพฺพญฺญุตญาณํฯ สโพฺพปิ ปเนส ปเภโท มโนทฺวาริกชวเนเยว ลพฺภติฯ

    Na kañci iriyāpathaṃ kappetītiādīsupi eseva nayo. Na hi pañcadvārikaviññāṇehi gamanādīsu kañci iriyāpathaṃ kappeti, na kāyakammaṃ na vacīkammaṃ paṭṭhapeti, na kusalākusalaṃ dhammaṃ samādiyati, na samādhiṃ samāpajjati lokiyaṃ vā lokuttaraṃ vā, na samādhito vuṭṭhāti lokiyā vā lokuttarā vā, na bhavato cavati, na bhavantare upapajjati. Sabbampi hetaṃ kusalākusaladhammapaṭivijānanādivacanapariyosānaṃ kiccaṃ manodvārikacitteneva hoti, na pañcadvārikenāti sabbassāpetassa kiccassa karaṇe sahajavanakāni vīthicittāni paṭikkhittāni. Yathā cetesaṃ etāni kiccāni natthi, evaṃ niyāmokkamanādīnipi. Na hi pañcadvārikajavanena micchattaniyāmaṃ okkamati, na sammattaniyāmaṃ; na cetaṃ javanaṃ nāmagottamārabbha javati, na kasiṇādipaṇṇattiṃ; na lakkhaṇārammaṇikavipassanāvasena pavattati, na vuṭṭhānagāminībalavavipassanāvasena; na rūpārūpadhamme ārabbha javati, na nibbānaṃ; na cetena saddhiṃ paṭisambhidāñāṇaṃ uppajjati, na abhiññāñāṇaṃ, na sāvakapāramīñāṇaṃ, na paccekabodhiñāṇaṃ, na sabbaññutañāṇaṃ. Sabbopi panesa pabhedo manodvārikajavaneyeva labbhati.

    น สุปติ น ปฎิพุชฺฌติ น สุปินํ ปสฺสตีติ สเพฺพนาปิ จ ปญฺจทฺวาริกจิเตฺตน เนว นิทฺทํ โอกฺกมติ, น นิทฺทายติ, น ปฎิพุชฺฌติ, น กิญฺจ สุปินํ ปสฺสตีติ อิเมสุ ตีสุ ฐาเนสุ สห ชวเนน วีถิจิตฺตํ ปฎิกฺขิตฺตํฯ

    Na supati na paṭibujjhati na supinaṃ passatīti sabbenāpi ca pañcadvārikacittena neva niddaṃ okkamati, na niddāyati, na paṭibujjhati, na kiñca supinaṃ passatīti imesu tīsu ṭhānesu saha javanena vīthicittaṃ paṭikkhittaṃ.

    นิทฺทายนฺตสฺส หิ มหาวฎฺฎิํ ชาเลตฺวา ทีเป จกฺขุสมีเป อุปนีเต ปฐมํ จกฺขุทฺวาริกํ อาวชฺชนํ ภวงฺคํ น อาวเฎฺฎติ, มโนทฺวาริกเมว อาวเฎฺฎติฯ อถ ชวนํ ชวิตฺวา ภวงฺคํ โอตรติฯ ทุติยวาเร จกฺขุทฺวาริกํ อาวชฺชนํ ภวงฺคํ อาวเฎฺฎติฯ ตโต จกฺขุวิญฺญาณาทีนิ ชวนปริโยสานานิ ปวตฺตนฺติฯ ตทนนฺตรํ ภวงฺคํ ปวตฺตติฯ ตติยวาเร มโนทฺวาริกอาวชฺชเนน ภวเงฺค อาวฎฺฎิเต มโนทฺวาริกชวนํ ชวติฯ เตน จิเตฺตน ญตฺวา ‘กิํ อยํ อิมสฺมิํ ฐาเน อาโลโก’ติ ชานาติฯ

    Niddāyantassa hi mahāvaṭṭiṃ jāletvā dīpe cakkhusamīpe upanīte paṭhamaṃ cakkhudvārikaṃ āvajjanaṃ bhavaṅgaṃ na āvaṭṭeti, manodvārikameva āvaṭṭeti. Atha javanaṃ javitvā bhavaṅgaṃ otarati. Dutiyavāre cakkhudvārikaṃ āvajjanaṃ bhavaṅgaṃ āvaṭṭeti. Tato cakkhuviññāṇādīni javanapariyosānāni pavattanti. Tadanantaraṃ bhavaṅgaṃ pavattati. Tatiyavāre manodvārikaāvajjanena bhavaṅge āvaṭṭite manodvārikajavanaṃ javati. Tena cittena ñatvā ‘kiṃ ayaṃ imasmiṃ ṭhāne āloko’ti jānāti.

    ตถา นิทฺทายนฺตสฺส กณฺณสมีเป ตูริเยสุ ปคฺคหิเตสุ, ฆานสมีเป สุคเนฺธสุ วา ทุคฺคเนฺธสุ วา ปุเปฺผสุ อุปนีเตสุ, มุเข สปฺปิมฺหิ วา ผาณิเต วา ปกฺขิเตฺต, ปิฎฺฐิยํ ปาณินา ปหาเร ทิเนฺน ปฐมํ โสตทฺวาริกาทีนิ อาวชฺชนานิ ภวงฺคํ น อาวเฎฺฎนฺติ, มโนทฺวาริกเมว อาวเฎฺฎติฯ อถ ชวนํ ชวิตฺวา ภวงฺคํ โอตรติฯ ทุติยวาเร โสตทฺวาริกาทีนิ อาวชฺชนานิ ภวงฺคํ อาวเฎฺฎนฺติฯ ตโต โสตฆานชิวฺหากายวิญฺญาณาทีนิ ชวนปริโยสานานิ ปวตฺตนฺติฯ ตทนนฺตรํ ภวงฺคํ ปวตฺตติฯ ตติยวาเร มโนทฺวาริกอาวชฺชเนน ภวเงฺค อาวฎฺฎิเต มโนทฺวาริกชวนํ ชวติฯ เตน จิเตฺตน ญตฺวา ‘กิํ อยํ อิมสฺมิํ ฐาเน สโทฺท – สงฺขสโทฺท, เภริสโทฺท’ติ วา ‘กิํ อยํ อิมสฺมิํ ฐาเน คโนฺธ – มูลคโนฺธ, สารคโนฺธ’ติ วา ‘กิํ อิทํ มยฺหํ มุเข ปกฺขิตฺตรสํ – สปฺปีติ วา ผาณิต’นฺติ วา ‘เกนมฺหิ ปิฎฺฐิยํ ปหโต, อติถโทฺธ เม ปหาโร’ติ วา วตฺตาโร โหนฺติฯ เอวํ มโนทฺวาริกชวเนเนว ปฎิพุชฺฌติ, น ปญฺจทฺวาริเกนฯ สุปินมฺปิ เตเนว ปสฺสติ, น ปญฺจทฺวาริเกนฯ

    Tathā niddāyantassa kaṇṇasamīpe tūriyesu paggahitesu, ghānasamīpe sugandhesu vā duggandhesu vā pupphesu upanītesu, mukhe sappimhi vā phāṇite vā pakkhitte, piṭṭhiyaṃ pāṇinā pahāre dinne paṭhamaṃ sotadvārikādīni āvajjanāni bhavaṅgaṃ na āvaṭṭenti, manodvārikameva āvaṭṭeti. Atha javanaṃ javitvā bhavaṅgaṃ otarati. Dutiyavāre sotadvārikādīni āvajjanāni bhavaṅgaṃ āvaṭṭenti. Tato sotaghānajivhākāyaviññāṇādīni javanapariyosānāni pavattanti. Tadanantaraṃ bhavaṅgaṃ pavattati. Tatiyavāre manodvārikaāvajjanena bhavaṅge āvaṭṭite manodvārikajavanaṃ javati. Tena cittena ñatvā ‘kiṃ ayaṃ imasmiṃ ṭhāne saddo – saṅkhasaddo, bherisaddo’ti vā ‘kiṃ ayaṃ imasmiṃ ṭhāne gandho – mūlagandho, sāragandho’ti vā ‘kiṃ idaṃ mayhaṃ mukhe pakkhittarasaṃ – sappīti vā phāṇita’nti vā ‘kenamhi piṭṭhiyaṃ pahato, atithaddho me pahāro’ti vā vattāro honti. Evaṃ manodvārikajavaneneva paṭibujjhati, na pañcadvārikena. Supinampi teneva passati, na pañcadvārikena.

    ตญฺจ ปเนตํ สุปินํ ปสฺสโนฺต จตูหิ การเณหิ ปสฺสติ – ธาตุโกฺขภโต วา อนุภูตปุพฺพโต วา เทวโตปสํหารโต วา ปุพฺพนิมิตฺตโต วาติฯ ตตฺถ ปิตฺตาทีนํ โขภกรณปจฺจยโยเคน ขุภิตธาตุโก ‘ธาตุโกฺขภโต’ สุปินํ ปสฺสติฯ ปสฺสโนฺต จ นานาวิธํ สุปินํ ปสฺสติ – ปพฺพตา ปตโนฺต วิย, อากาเสน คจฺฉโนฺต วิย, วาฬมิคหตฺถิโจราทีหิ อนุพโทฺธ วิย จ โหติฯ ‘อนุภูตปุพฺพโต’ ปสฺสโนฺต ปุเพฺพ อนุภูตปุพฺพํ อารมฺมณํ ปสฺสติฯ ‘เทวโตปสํหารโต’ ปสฺสนฺตสฺส เทวตา อตฺถกามตาย วา อนตฺถกามตาย วา อตฺถาย วา อนตฺถาย วา นานาวิธานิ อารมฺมณานิ อุปสํหรนฺติฯ โส ตาสํ เทวตานํ อานุภาเวน ตานิ อารมฺมณานิ ปสฺสติฯ ปุพฺพนิมิตฺตโต ปสฺสโนฺต ปุญฺญาปุญฺญวเสน อุปฺปชฺชิตุกามสฺส อตฺถสฺส วา อนตฺถสฺส วา ปุพฺพนิมิตฺตภูตํ สุปินํ ปสฺสติ โพธิสตฺตมาตา วิย ปุตฺตปฎิลาภนิมิตฺตํ, โพธิสโตฺต วิย ปญฺจ มหาสุปิเน (อ. นิ. ๕.๑๙๖), โกสลราชา วิย จ โสฬส สุปิเนติ (ชา. ๑.๑.๔๑)ฯ

    Tañca panetaṃ supinaṃ passanto catūhi kāraṇehi passati – dhātukkhobhato vā anubhūtapubbato vā devatopasaṃhārato vā pubbanimittato vāti. Tattha pittādīnaṃ khobhakaraṇapaccayayogena khubhitadhātuko ‘dhātukkhobhato’ supinaṃ passati. Passanto ca nānāvidhaṃ supinaṃ passati – pabbatā patanto viya, ākāsena gacchanto viya, vāḷamigahatthicorādīhi anubaddho viya ca hoti. ‘Anubhūtapubbato’ passanto pubbe anubhūtapubbaṃ ārammaṇaṃ passati. ‘Devatopasaṃhārato’ passantassa devatā atthakāmatāya vā anatthakāmatāya vā atthāya vā anatthāya vā nānāvidhāni ārammaṇāni upasaṃharanti. So tāsaṃ devatānaṃ ānubhāvena tāni ārammaṇāni passati. Pubbanimittato passanto puññāpuññavasena uppajjitukāmassa atthassa vā anatthassa vā pubbanimittabhūtaṃ supinaṃ passati bodhisattamātā viya puttapaṭilābhanimittaṃ, bodhisatto viya pañca mahāsupine (a. ni. 5.196), kosalarājā viya ca soḷasa supineti (jā. 1.1.41).

    ตตฺถ ยํ ธาตุโกฺขภโต อนุภูตปุพฺพโต จ สุปินํ ปสฺสติ, น ตํ สจฺจํ โหติฯ ยํ เทวโตปสํหารโต ปสฺสติ, ตํ สจฺจํ วา โหติ อลิกํ วาฯ กุทฺธา หิ เทวตา อุปาเยน วินาเสตุกามา วิปรีตมฺปิ กตฺวา ทเสฺสนฺติฯ ตตฺริทํ วตฺถุ – โรหเณ กิร นาคมหาวิหาเร มหาเถโร ภิกฺขุสงฺฆํ อนปโลเกตฺวาว เอกํ นาครุกฺขํ ฉินฺทาเปสิฯ รุเกฺข อธิวตฺถา เทวตา เถรสฺส กุทฺธา ปฐมเมว นํ ปโลเภตฺวา ปจฺฉา ‘อิโต เต สตฺตทิวสมตฺถเก อุปฎฺฐาโก ราชา มริสฺสตี’ติ สุปิเน อาโรเจสิฯ เถโร นํ กถํ อาหริตฺวา ราโชโรธานํ อาจิกฺขิฯ ตา เอกปฺปหาเรเนว มหาวิรวํ วิรวิํสุฯ ราชา ‘กิํ เอต’นฺติ ปุจฺฉิฯ ตา ‘เอวํ เถเรน วุตฺต’นฺติ อาโรจยิํสุฯ ราชา ทิวเส คณาเปตฺวา สตฺตาเห วีติวเตฺต กุชฺฌิตฺวา เถรสฺส หตฺถปาเท ฉินฺทาเปสิฯ

    Tattha yaṃ dhātukkhobhato anubhūtapubbato ca supinaṃ passati, na taṃ saccaṃ hoti. Yaṃ devatopasaṃhārato passati, taṃ saccaṃ vā hoti alikaṃ vā. Kuddhā hi devatā upāyena vināsetukāmā viparītampi katvā dassenti. Tatridaṃ vatthu – rohaṇe kira nāgamahāvihāre mahāthero bhikkhusaṅghaṃ anapaloketvāva ekaṃ nāgarukkhaṃ chindāpesi. Rukkhe adhivatthā devatā therassa kuddhā paṭhamameva naṃ palobhetvā pacchā ‘ito te sattadivasamatthake upaṭṭhāko rājā marissatī’ti supine ārocesi. Thero naṃ kathaṃ āharitvā rājorodhānaṃ ācikkhi. Tā ekappahāreneva mahāviravaṃ viraviṃsu. Rājā ‘kiṃ eta’nti pucchi. Tā ‘evaṃ therena vutta’nti ārocayiṃsu. Rājā divase gaṇāpetvā sattāhe vītivatte kujjhitvā therassa hatthapāde chindāpesi.

    ยํ ปน ปุพฺพนิมิตฺตโต ปสฺสติ ตํ เอกนฺตสจฺจเมว โหติฯ เอเตสญฺจ จตุนฺนํ มูลการณานํ สํสคฺคเภทโตปิ สุปินเภโท โหติเยวฯ ตญฺจ ปเนตํ จตุพฺพิธํ สุปินํ เสกฺขปุถุชฺชนาว ปสฺสนฺติ อปฺปหีนวิปลฺลาสตฺตา; อเสกฺขา น ปสฺสนฺติ ปหีนวิปลฺลาสตฺตาฯ

    Yaṃ pana pubbanimittato passati taṃ ekantasaccameva hoti. Etesañca catunnaṃ mūlakāraṇānaṃ saṃsaggabhedatopi supinabhedo hotiyeva. Tañca panetaṃ catubbidhaṃ supinaṃ sekkhaputhujjanāva passanti appahīnavipallāsattā; asekkhā na passanti pahīnavipallāsattā.

    กิํ ปน ตํ ปสฺสโนฺต สุโตฺต ปสฺสติ, ปฎิพุโทฺธ? อุทาหุ เนว สุโตฺต ปสฺสติ น ปฎิพุโทฺธติ? กิเญฺจตฺถ ยทิ ตาว สุโตฺต ปสฺสติ, อภิธมฺมวิโรโธ อาปชฺชติฯ ภวงฺคจิเตฺตน หิ สุปติฯ ตญฺจ รูปนิมิตฺตาทิอารมฺมณํ ราคาทิสมฺปยุตฺตํ วา น โหติฯ สุปินํ ปสฺสนฺตสฺส จ อีทิสานิ จิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ อถ ปฎิพุโทฺธ ปสฺสติ, วินยวิโรโธ อาปชฺชติฯ ยญฺหิ ปฎิพุโทฺธ ปสฺสติ, ตํ สโพฺพหาริกจิเตฺตน ปสฺสติฯ สโพฺพหาริกจิเตฺตน จ กเต วีติกฺกเม อนาปตฺติ นาม นตฺถิฯ สุปินํ ปสฺสเนฺตน ปน กเต วีติกฺกเม เอกนฺตํ อนาปตฺติ เอวฯ อถ เนว สุโตฺต น ปฎิพุโทฺธ ปสฺสติ, น สุปินํ นาม ปสฺสติฯ เอวญฺหิ สติ สุปินสฺส อภาโวว อาปชฺชติ? น อภาโว ฯ กสฺมา? ยสฺมา กปิมิทฺธปเรโต ปสฺสติฯ วุตฺตํ เหตํ – ‘‘กปิมิทฺธปเรโต โข, มหาราช, สุปินํ ปสฺสตี’’ติ (มิ. ป. ๕.๓.๕)ฯ ‘กปิมิทฺธปเรโต’ติ มกฺกฎนิทฺทาย ยุโตฺตฯ ยถา หิ มกฺกฎสฺส นิทฺทา ลหุปริวตฺตา โหติ, เอวํ ยา นิทฺทา ปุนปฺปุนํ กุสลาทิจิตฺตโวกิณฺณตฺตา ลหุปริวตฺตา; ยสฺสา ปวตฺติยํ ปุนปฺปุนํ ภวงฺคโต อุตฺตรณํ โหติ, ตาย ยุโตฺต สุปินํ ปสฺสติฯ เตนายํ สุปิโน กุสโลปิ โหติ อกุสโลปิ อพฺยากโตปิ ๓๘๖ฯ ตตฺถ สุปินเนฺต เจติยวนฺทนธมฺมสฺสวนธมฺมเทสนาทีนิ กโรนฺตสฺส กุสโล, ปาณาติปาตาทีนิ กโรนฺตสฺส อกุสโล, ทฺวีหิ อเนฺตหิ มุโตฺต อาวชฺชนตทารมฺมณกฺขเณ อพฺยากโตติ เวทิตโพฺพฯ สุปิเนเนว ‘ทิฎฺฐํ วิย เม, สุตํ วิย เม’ติ กถนกาเลปิ อพฺยากโตเยวฯ

    Kiṃ pana taṃ passanto sutto passati, paṭibuddho? Udāhu neva sutto passati na paṭibuddhoti? Kiñcettha yadi tāva sutto passati, abhidhammavirodho āpajjati. Bhavaṅgacittena hi supati. Tañca rūpanimittādiārammaṇaṃ rāgādisampayuttaṃ vā na hoti. Supinaṃ passantassa ca īdisāni cittāni uppajjanti. Atha paṭibuddho passati, vinayavirodho āpajjati. Yañhi paṭibuddho passati, taṃ sabbohārikacittena passati. Sabbohārikacittena ca kate vītikkame anāpatti nāma natthi. Supinaṃ passantena pana kate vītikkame ekantaṃ anāpatti eva. Atha neva sutto na paṭibuddho passati, na supinaṃ nāma passati. Evañhi sati supinassa abhāvova āpajjati? Na abhāvo . Kasmā? Yasmā kapimiddhapareto passati. Vuttaṃ hetaṃ – ‘‘kapimiddhapareto kho, mahārāja, supinaṃ passatī’’ti (mi. pa. 5.3.5). ‘Kapimiddhapareto’ti makkaṭaniddāya yutto. Yathā hi makkaṭassa niddā lahuparivattā hoti, evaṃ yā niddā punappunaṃ kusalādicittavokiṇṇattā lahuparivattā; yassā pavattiyaṃ punappunaṃ bhavaṅgato uttaraṇaṃ hoti, tāya yutto supinaṃ passati. Tenāyaṃ supino kusalopi hoti akusalopi abyākatopi 386. Tattha supinante cetiyavandanadhammassavanadhammadesanādīni karontassa kusalo, pāṇātipātādīni karontassa akusalo, dvīhi antehi mutto āvajjanatadārammaṇakkhaṇe abyākatoti veditabbo. Supineneva ‘diṭṭhaṃ viya me, sutaṃ viya me’ti kathanakālepi abyākatoyeva.

    กิํ ปน สุปิเน กตํ กุสลากุสลํ กมฺมํ สวิปากํ อวิปากนฺติ? สวิปากํ; ทุพฺพลตฺตา ปน ปฎิสนฺธิํ อากฑฺฒิตุํ น สโกฺกติ, ทินฺนาย อญฺญกเมฺมน ปฎิสนฺธิยา ปวเตฺต เวทนียํ โหติฯ

    Kiṃ pana supine kataṃ kusalākusalaṃ kammaṃ savipākaṃ avipākanti? Savipākaṃ; dubbalattā pana paṭisandhiṃ ākaḍḍhituṃ na sakkoti, dinnāya aññakammena paṭisandhiyā pavatte vedanīyaṃ hoti.

    เอวํ ยาถาวกวตฺถุวิภาวนา ปญฺญาติ ปญฺจนฺนํ วิญฺญาณานํ น เหตฺวโฎฺฐ ยาถาวโฎฺฐฯ ตํ ยาถาวฎฺฐํ วตฺถุํ วิภาเวตีติ ยาถาวกวตฺถุวิภาวนาฯ ตถา ปญฺจนฺนํ วิญฺญาณานํ อเหตุกโฎฺฐ, ชราภิภูตโฎฺฐ, น สุปินํ ปสฺสนโฎฺฐ, ยาถาวโฎฺฐฯ ตํ ยาถาวฎฺฐํ วตฺถุํ วิภาเวตีติ ยาถาวกวตฺถุวิภาวนาฯ อิติ ยา เหฎฺฐา ‘‘ยาถาวกวตฺถุวิภาวนา ปญฺญา’’ติ มาติกาย นิกฺขิตฺตา, สา เอวํ ยาถาวกวตฺถุวิภาวนา ปญฺญาติ เวทิตพฺพาฯ ตสฺสา เอว จ วเสน เอวํ เอกวิเธน ญาณวตฺถูติ เอวํ เอเกกโกฎฺฐาเสน ญาณคณนา เอเกน วา อากาเรน ญาณปริเจฺฉโท โหติฯ

    Evaṃ yāthāvakavatthuvibhāvanā paññāti pañcannaṃ viññāṇānaṃ na hetvaṭṭho yāthāvaṭṭho. Taṃ yāthāvaṭṭhaṃ vatthuṃ vibhāvetīti yāthāvakavatthuvibhāvanā. Tathā pañcannaṃ viññāṇānaṃ ahetukaṭṭho, jarābhibhūtaṭṭho, na supinaṃ passanaṭṭho, yāthāvaṭṭho. Taṃ yāthāvaṭṭhaṃ vatthuṃ vibhāvetīti yāthāvakavatthuvibhāvanā. Iti yā heṭṭhā ‘‘yāthāvakavatthuvibhāvanā paññā’’ti mātikāya nikkhittā, sā evaṃ yāthāvakavatthuvibhāvanā paññāti veditabbā. Tassā eva ca vasena evaṃ ekavidhena ñāṇavatthūti evaṃ ekekakoṭṭhāsena ñāṇagaṇanā ekena vā ākārena ñāṇaparicchedo hoti.

    เอกกนิเทฺทสวณฺณนาฯ

    Ekakaniddesavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๑๖. ญาณวิภโงฺค • 16. Ñāṇavibhaṅgo

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā / ๑๖. ญาณวิภโงฺค • 16. Ñāṇavibhaṅgo

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๑๖. ญาณวิภโงฺค • 16. Ñāṇavibhaṅgo


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact