Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปญฺจปกรณ-มูลฎีกา • Pañcapakaraṇa-mūlaṭīkā

    ๒. นิเทฺทสวณฺณนา

    2. Niddesavaṇṇanā

    ๑. เอกกนิเทฺทสวณฺณนา

    1. Ekakaniddesavaṇṇanā

    . ฌานงฺคาเนว วิโมโกฺขติ อิมินา อธิปฺปาเยนาห ‘‘วิโมกฺขสหชาเตน นามกาเยนา’’ติฯ เยน หิ สทฺธินฺติอาทินา ปฐมํ สมงฺคิภาวตฺถํ วิวรติฯ ผเสฺสนปิ ผุฎฺฐาเยว นามาติ เอเตน ‘‘อปิเจสา’’ติอาทินา วุตฺตํ ทุติยํ สมฺผเสฺสน ผุสนตฺถํ, อิตเรหิ อิตเร การณเตฺถฯ สมงฺคิภาวผุสนการณภาวา หิ ผุสนาติ วุตฺตาติฯ ปุนปิ ปฐมตฺถเมว ทุพฺพิเญฺญยฺยตฺตา วิวรโนฺต ‘‘ตตฺราสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ฐเปตฺวา ตานิ องฺคานิ เสสา อติเรกปณฺณาสธมฺมาติ เอตฺถ เวทนาโสมนสฺสินฺทฺริยานิ สงฺคหิตานีติ อาห ‘‘จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺตี’’ติฯ เอวํ สติ เวทนาโสมนสฺสินฺทฺริเยหิ สุขสฺส ผุสิตพฺพตฺตา ติณฺณญฺจ เตสํ อนญฺญตฺตา เตเนว ตสฺส ผุสนา อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ, เวทยิตาธิปติยเฎฺฐหิ อุปนิชฺฌายนภาวปฎิลาภสฺส วุตฺตตฺตาฯ อถ วา ฐเปตฺวา ตานิ องฺคานีติ องฺคานํ พหุตฺตา พหุวจนํฯ เตสุ ปน ปเจฺจกมฺปิ โยชนา กาตพฺพา ‘‘วิตกฺกํ ฐเปตฺวา’’ติอาทินาฯ ตตฺถ ‘‘สุขํ ฐเปตฺวา’’ติ อิมิสฺสา โยชนาย เสสา ตโย ขนฺธา โหนฺติ, อิตราสุ จตฺตาโรติฯ สพฺพโยชนาสุ จ ตโย อโนฺต กตฺวา ‘‘จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ

    1. Jhānaṅgāneva vimokkhoti iminā adhippāyenāha ‘‘vimokkhasahajātena nāmakāyenā’’ti. Yena hi saddhintiādinā paṭhamaṃ samaṅgibhāvatthaṃ vivarati. Phassenapi phuṭṭhāyeva nāmāti etena ‘‘apicesā’’tiādinā vuttaṃ dutiyaṃ samphassena phusanatthaṃ, itarehi itare kāraṇatthe. Samaṅgibhāvaphusanakāraṇabhāvā hi phusanāti vuttāti. Punapi paṭhamatthameva dubbiññeyyattā vivaranto ‘‘tatrāssā’’tiādimāha. Ṭhapetvā tāni aṅgāni sesā atirekapaṇṇāsadhammāti ettha vedanāsomanassindriyāni saṅgahitānīti āha ‘‘cattāro khandhā hontī’’ti. Evaṃ sati vedanāsomanassindriyehi sukhassa phusitabbattā tiṇṇañca tesaṃ anaññattā teneva tassa phusanā āpajjatīti? Nāpajjati, vedayitādhipatiyaṭṭhehi upanijjhāyanabhāvapaṭilābhassa vuttattā. Atha vā ṭhapetvā tāni aṅgānīti aṅgānaṃ bahuttā bahuvacanaṃ. Tesu pana paccekampi yojanā kātabbā ‘‘vitakkaṃ ṭhapetvā’’tiādinā. Tattha ‘‘sukhaṃ ṭhapetvā’’ti imissā yojanāya sesā tayo khandhā honti, itarāsu cattāroti. Sabbayojanāsu ca tayo anto katvā ‘‘cattāro khandhā hontī’’ti vuttaṃ.

    . โย อสมยวิโมเกฺขน เอกเจฺจหิ อาสเวหิ วิมุโตฺต อสมยวิโมกฺขูปนิสฺสยลาเภน จ สาติสเยน สมยวิโมเกฺขน, โส เอว สมยวิมุโตฺตฯ โส หิ เตน วิมุโตฺต ฌานลาภี เสโกฺข รูปารูปภวโต อปุนราวฎฺฎโก กามราคาทีหิ ตถาวิมุโตฺตว โหตีติ สมยวิมุตฺตปญฺญตฺติํ ลทฺธุํ อรหติฯ ปุถุชฺชโน ปน ฌานลาภี ปุนราวฎฺฎกธโมฺม ปุน กามราคาทิสมุทาจารภาวโต วิมุโตฺต นาม น โหตีติ สมยวิมุตฺตปญฺญตฺติํ นารหติ, เตน โส ‘‘สมยวิมุโตฺต’’ติ น วุโตฺตฯ อรหโต ปน อปริกฺขีณา อาสวา นตฺถิ, ยโต วิมุเจฺจยฺยฯ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารมตฺตา หิ ตสฺส อฎฺฐ วิโมกฺขาติฯ ตสฺมา ตสฺส น อฎฺฐ วิโมกฺขา สมยวิมุตฺตปญฺญตฺติภาวสฺส อสมยวิมุตฺตปญฺญตฺติภาวสฺส วา การณํฯ ตทการณภาวเมว ทเสฺสตุํ ‘‘น เหว โข…เป.… วิหรตี’’ติ วุตฺตํ, น สุกฺขวิปสฺสกเสฺสว อสมยวิมุตฺตภาวํ ทเสฺสตุนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ สโพฺพปิ หิ อรหา อสมยวิมุโตฺตติฯ พาหิรานนฺติ โลกุตฺตรโต พหิภูตานํ, โลกิยานนฺติ อโตฺถฯ

    2. Yo asamayavimokkhena ekaccehi āsavehi vimutto asamayavimokkhūpanissayalābhena ca sātisayena samayavimokkhena, so eva samayavimutto. So hi tena vimutto jhānalābhī sekkho rūpārūpabhavato apunarāvaṭṭako kāmarāgādīhi tathāvimuttova hotīti samayavimuttapaññattiṃ laddhuṃ arahati. Puthujjano pana jhānalābhī punarāvaṭṭakadhammo puna kāmarāgādisamudācārabhāvato vimutto nāma na hotīti samayavimuttapaññattiṃ nārahati, tena so ‘‘samayavimutto’’ti na vutto. Arahato pana aparikkhīṇā āsavā natthi, yato vimucceyya. Diṭṭhadhammasukhavihāramattā hi tassa aṭṭha vimokkhāti. Tasmā tassa na aṭṭha vimokkhā samayavimuttapaññattibhāvassa asamayavimuttapaññattibhāvassa vā kāraṇaṃ. Tadakāraṇabhāvameva dassetuṃ ‘‘na heva kho…pe… viharatī’’ti vuttaṃ, na sukkhavipassakasseva asamayavimuttabhāvaṃ dassetunti daṭṭhabbaṃ. Sabbopi hi arahā asamayavimuttoti. Bāhirānanti lokuttarato bahibhūtānaṃ, lokiyānanti attho.

    . อรูปกฺขนฺธนิพฺพานมตฺตวาจโก อรูปสโทฺท น โหตีติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘รูปโต อญฺญ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ จิตฺตมญฺชูสนฺติ สมาธิํฯ อภิญฺญาทีนญฺหิ ธมฺมานํ ปาทกภาเวน สมาธิ มญฺชูสาสทิโส โหติฯ อทฺธานํ ผริตุนฺติ ทีฆกาลํ พฺยาเปตุํ, ปวเตฺตตุนฺติ อโตฺถฯ ‘‘สมฺมชฺชิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ตตฺถ อาทรสฺส อกตตฺตา วตฺตเภโทติ เวทิตโพฺพฯ เอวํ วตฺตเภทมเตฺตน นฎฺฐา ปน สมาปตฺติ กามจฺฉนฺทาทีหิ นฎฺฐา วิย น กิเญฺจน ปจฺจาหริตพฺพา โหติ มนฺทปาริปนฺถกตฺตา, ตสฺมา วตฺตสมิตกรณมเตฺตเนว ปจฺจาหริตพฺพตฺตา ‘‘อเปฺปโนฺตว นิสีที’’ติ อาหฯ

    3. Arūpakkhandhanibbānamattavācako arūpasaddo na hotīti dassanatthaṃ ‘‘rūpato añña’’ntiādi vuttaṃ. Cittamañjūsanti samādhiṃ. Abhiññādīnañhi dhammānaṃ pādakabhāvena samādhi mañjūsāsadiso hoti. Addhānaṃ pharitunti dīghakālaṃ byāpetuṃ, pavattetunti attho. ‘‘Sammajjitabba’’nti cintetvā tattha ādarassa akatattā vattabhedoti veditabbo. Evaṃ vattabhedamattena naṭṭhā pana samāpatti kāmacchandādīhi naṭṭhā viya na kiñcena paccāharitabbā hoti mandapāripanthakattā, tasmā vattasamitakaraṇamatteneva paccāharitabbattā ‘‘appentova nisīdī’’ti āha.

    . อตฺตโน อนุรูเปน ปมาเทน วีตินาเมนฺตานมฺปิ สมาปตฺติ น กุปฺปตีติ ปริหีโน นาม น โหติ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ พฺยาสเงฺค ปฎิสํหฎมเตฺต สมาปชฺชิตุํ สมตฺถตายาติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘กิสฺส ปน, ภเนฺต, ขีณาสวสฺส ภิกฺขุโน ลาภสกฺการสิโลโก อนฺตรายายาติ? ยา หิสฺส สา, อานนฺท, อกุปฺปา เจโตวิมุตฺติ, นาหํ ตสฺสา ลาภสกฺการสิโลกํ อนฺตรายาย วทามิฯ เย จ ขฺวสฺส, อานนฺท, อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโต ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารา อธิคตา, เตสาหมสฺส ลาภสกฺการสิโลกํ อนฺตรายาย วทามี’’ติ สุเตฺต (สํ. นิ. ๒.๑๗๙) ปน สมเยน สมยํ อาปชฺชเนน ปริหริตพฺพานํ สมาปตฺติสุขวิหารานํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ พฺยาสงฺคกาเล อนิปฺผตฺติโต ลาภสกฺการสิโลโก อนฺตราโยติ วุโตฺตติ อธิปฺปาเยนสฺส เตน อวิโรโธ เวทิตโพฺพฯ

    4. Attano anurūpena pamādena vītināmentānampi samāpatti na kuppatīti parihīno nāma na hoti, tasmiṃ tasmiṃ byāsaṅge paṭisaṃhaṭamatte samāpajjituṃ samatthatāyāti adhippāyo. ‘‘Kissa pana, bhante, khīṇāsavassa bhikkhuno lābhasakkārasiloko antarāyāyāti? Yā hissa sā, ānanda, akuppā cetovimutti, nāhaṃ tassā lābhasakkārasilokaṃ antarāyāya vadāmi. Ye ca khvassa, ānanda, appamattassa ātāpino pahitattassa viharato diṭṭhadhammasukhavihārā adhigatā, tesāhamassa lābhasakkārasilokaṃ antarāyāya vadāmī’’ti sutte (saṃ. ni. 2.179) pana samayena samayaṃ āpajjanena pariharitabbānaṃ samāpattisukhavihārānaṃ tasmiṃ tasmiṃ byāsaṅgakāle anipphattito lābhasakkārasiloko antarāyoti vuttoti adhippāyenassa tena avirodho veditabbo.

    . ธมฺมานํ…เป.… ปีติ เอตฺถ ‘‘ธเมฺมหี’’ติ วตฺตพฺพํฯ อิธ หิ ตาหิ สมาปตฺตีหิ ปริหาเยยฺยาติ ธเมฺมหิ ปุคฺคลสฺส ปริหานมฺปิ อปริหานมฺปิ วุตฺตํฯ ตตฺถ จ ปุคฺคลสฺส ปมาทมาคมฺม ตา สมาปตฺติโย กุเปฺปยฺยุนฺติ ธมฺมานํ กุปฺปนํ อกุปฺปนญฺจ วุตฺตํ, ปุคฺคลสฺส ปน ปริหานธมฺมานเมว วินาโสติ วจนนานตฺตมเตฺตน วจนตฺถนานตฺตมเตฺตน วา ปริยายนฺตรตา วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ

    5. Dhammānaṃ…pe… pīti ettha ‘‘dhammehī’’ti vattabbaṃ. Idha hi tāhi samāpattīhi parihāyeyyāti dhammehi puggalassa parihānampi aparihānampi vuttaṃ. Tattha ca puggalassa pamādamāgamma tā samāpattiyo kuppeyyunti dhammānaṃ kuppanaṃ akuppanañca vuttaṃ, puggalassa pana parihānadhammānameva vināsoti vacananānattamattena vacanatthanānattamattena vā pariyāyantaratā vuttāti daṭṭhabbā.

    ๗-๘. เจตนา สมาปตฺติเจตนา ตทายูหนา จฯ อนุรกฺขณา สมาปตฺติอุปการานุปการปริคฺคาหิกา ปญฺญาสหิตา สติฯ ตาหิ เจติยมานอนุรกฺขิยมานสมาปตฺตีนํ ภพฺพา เจตนาภพฺพา อนุรกฺขณาภพฺพาฯ

    7-8. Cetanā samāpatticetanā tadāyūhanā ca. Anurakkhaṇā samāpattiupakārānupakārapariggāhikā paññāsahitā sati. Tāhi cetiyamānaanurakkhiyamānasamāpattīnaṃ bhabbā cetanābhabbā anurakkhaṇābhabbā.

    ๑๐. ปุถุชฺชนโคตฺตนฺติ ปุถุชฺชนสิกฺขํ, ปุถุชฺชนคตา ติโสฺส สิกฺขา อติกฺกนฺตาติ อโตฺถฯ ตา หิ สํโยชนตฺตยานุปเจฺฉเทน ‘‘ปุถุชฺชนสิกฺขา’’ติ วุจฺจนฺตีติฯ

    10. Puthujjanagottanti puthujjanasikkhaṃ, puthujjanagatā tisso sikkhā atikkantāti attho. Tā hi saṃyojanattayānupacchedena ‘‘puthujjanasikkhā’’ti vuccantīti.

    ๑๑. อรหตฺตมคฺคโฎฺฐ จ วฎฺฎภยโต ปญฺญุเพฺพเคน อุพฺพิชฺชโนฺต อุทฺธมฺภาคิยสํโยชเนหิ อุปรโตติ ภยูปรโต นามาติ อาห ‘‘สตฺต เสกฺขา ภยูปรตา’’ติฯ

    11. Arahattamaggaṭṭho ca vaṭṭabhayato paññubbegena ubbijjanto uddhambhāgiyasaṃyojanehi uparatoti bhayūparato nāmāti āha ‘‘satta sekkhā bhayūparatā’’ti.

    ๑๒. ภวงฺคปญฺญาวิรหิตา ‘‘วิปากาวรเณน สมนฺนาคตา’’ติ อิมินา คหิตาติ ติเหตุกปฎิสนฺธิกา เกจิ ‘‘ทุปฺปญฺญา’’ติ อิมินา คยฺหนฺตีติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อปฺปฎิลทฺธมคฺคผลูปนิสฺสยา’’ติฯ ปญฺญาย หิ วินา น ตทุปนิสฺสโย อตฺถีติฯ

    12. Bhavaṅgapaññāvirahitā ‘‘vipākāvaraṇena samannāgatā’’ti iminā gahitāti tihetukapaṭisandhikā keci ‘‘duppaññā’’ti iminā gayhantīti dassento āha ‘‘appaṭiladdhamaggaphalūpanissayā’’ti. Paññāya hi vinā na tadupanissayo atthīti.

    ๑๔. ยตฺถ นิยตานิยตโวมิสฺสา ปวตฺติ อตฺถิ, ตเตฺถว นิยตธมฺมา โหนฺตีติ อุตฺตรกุรูสุ ตทภาวา นิยโต นาม นตฺถีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยา ปน อุตฺตรกุรุกาน’’นฺติอาทิมาหฯ

    14. Yattha niyatāniyatavomissā pavatti atthi, tattheva niyatadhammā hontīti uttarakurūsu tadabhāvā niyato nāma natthīti dassento ‘‘yā pana uttarakurukāna’’ntiādimāha.

    ๑๖. เตรสสุ สีเสสุ ปลิโพธสีสาทีนิ ปวตฺตสีสญฺจ ปริยาทิยิตพฺพานิ, อธิโมกฺขสีสาทีนิ ปริยาทกานิ, ปริยาทกผลํ โคจรสีสํฯ ตญฺหิ วิสยชฺฌตฺตผลวิโมโกฺขติฯ ปริยาทกสฺส มคฺคสฺส ผลสฺส จ อารมฺมณํ สงฺขารสีสํ สงฺขารวิเวกภูโต นิโรโธติ ปริยาทิยิตพฺพานํ ปริยาทกผลารมฺมณานํ สห วิย สํสิทฺธิทสฺสเนน สมสีสิภาวํ ทเสฺสตุํ ปฎิสมฺภิทายํ (ปฎิ. ม. ๑.๘๗) เตรส สีสานิ วุตฺตานิฯ อิธ ปน ‘‘อปุพฺพํ อจริมํ อาสวปริยาทานญฺจ โหติ ชีวิตปริยาทานญฺจา’’ติ วจนโต เตสุ กิเลสปวตฺตสีสานเมว วเสน โยชนํ กโรโนฺต ‘‘ตตฺถ กิเลสสีส’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปวตฺตสีสมฺปิ วฎฺฎโต วุฎฺฐหโนฺต มโคฺค จุติโต อุทฺธํ อปฺปวตฺติกรณวเสน ยทิปิ ปริยาทิยติ , ยาว ปน จุติ, ตาว ปวตฺติสพฺภาวโต ‘‘ปวตฺตสีสํ ชีวิตินฺทฺริยํ จุติจิตฺตํ ปริยาทิยตี’’ติ อาหฯ กิเลสปริยาทาเนน ปน อตฺตโน อนนฺตรํ วิย นิปฺผาเทตพฺพา ปจฺจเวกฺขณวารา จ กิเลสปริยาทานเสฺสว วาราติ วตฺตพฺพตํ อรหนฺติฯ ‘‘วิมุตฺตสฺมิํ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๗๘; สํ. นิ. ๓.๑๒, ๑๔) วจนโต หิ ปจฺจเวกฺขณปริสมาปเนน กิเลสปริยาทานํ สมาปิตํ นาม โหติฯ ตํ ปน ปริสมาปนํ ยทิ จุติจิเตฺตน โหติ, เตเนว ชีวิตปริสมาปนญฺจ โหตีติ อิมาย วารจุติสมตาย กิเลสปริยาทานชีวิตปริยาทานานํ อปุพฺพาจริมตา โหตีติ อาห ‘‘วารสมตายา’’ติฯ ภวงฺคํ โอตริตฺวา ปรินิพฺพายตีติ เอตฺถ ปรินิพฺพานจิตฺตเมว ภวโงฺคตรณภาเวน วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    16. Terasasu sīsesu palibodhasīsādīni pavattasīsañca pariyādiyitabbāni, adhimokkhasīsādīni pariyādakāni, pariyādakaphalaṃ gocarasīsaṃ. Tañhi visayajjhattaphalavimokkhoti. Pariyādakassa maggassa phalassa ca ārammaṇaṃ saṅkhārasīsaṃ saṅkhāravivekabhūto nirodhoti pariyādiyitabbānaṃ pariyādakaphalārammaṇānaṃ saha viya saṃsiddhidassanena samasīsibhāvaṃ dassetuṃ paṭisambhidāyaṃ (paṭi. ma. 1.87) terasa sīsāni vuttāni. Idha pana ‘‘apubbaṃ acarimaṃ āsavapariyādānañca hoti jīvitapariyādānañcā’’ti vacanato tesu kilesapavattasīsānameva vasena yojanaṃ karonto ‘‘tattha kilesasīsa’’ntiādimāha. Tattha pavattasīsampi vaṭṭato vuṭṭhahanto maggo cutito uddhaṃ appavattikaraṇavasena yadipi pariyādiyati , yāva pana cuti, tāva pavattisabbhāvato ‘‘pavattasīsaṃ jīvitindriyaṃcuticittaṃ pariyādiyatī’’ti āha. Kilesapariyādānena pana attano anantaraṃ viya nipphādetabbā paccavekkhaṇavārā ca kilesapariyādānasseva vārāti vattabbataṃ arahanti. ‘‘Vimuttasmiṃ vimuttamiti ñāṇaṃ hotī’’ti (ma. ni. 1.78; saṃ. ni. 3.12, 14) vacanato hi paccavekkhaṇaparisamāpanena kilesapariyādānaṃ samāpitaṃ nāma hoti. Taṃ pana parisamāpanaṃ yadi cuticittena hoti, teneva jīvitaparisamāpanañca hotīti imāya vāracutisamatāya kilesapariyādānajīvitapariyādānānaṃ apubbācarimatā hotīti āha ‘‘vārasamatāyā’’ti. Bhavaṅgaṃ otaritvā parinibbāyatīti ettha parinibbānacittameva bhavaṅgotaraṇabhāvena vuttanti daṭṭhabbaṃ.

    ๑๗. มหาปโยโคติ มหากิริโย วิปตฺติกรณมหาเมฆุฎฺฐานาการวินาโสฯ ติเฎฺฐยฺยาติ วินาโส นปฺปวเตฺตยฺยาติ อโตฺถฯ

    17. Mahāpayogoti mahākiriyo vipattikaraṇamahāmeghuṭṭhānākāravināso. Tiṭṭheyyāti vināso nappavatteyyāti attho.

    ๑๘. อรณียตฺตาติ ปยิรุปาสิตพฺพตฺตาฯ

    18. Araṇīyattāti payirupāsitabbattā.

    ๒๐. ยาย กตกิจฺจตา โหติ, ตาย อคฺควิชฺชาย อธิคตาย เตวิชฺชตาภาโว นิปฺปริยายตา, สา จ อาคมนวเสน สิทฺธา สาติสยา เตวิชฺชตาติ อาห ‘‘อาคมนียเมว ธุร’’นฺติฯ

    20. Yāya katakiccatā hoti, tāya aggavijjāya adhigatāya tevijjatābhāvo nippariyāyatā, sā ca āgamanavasena siddhā sātisayā tevijjatāti āha ‘‘āgamanīyameva dhura’’nti.

    ๒๒. ตตฺถ จาติ นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมํ, สพฺพญฺญุตญฺญาณปฺปตฺติยา อาธารภาเว วาฯ ตเตฺถว หิ สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต นาม โหตีติฯ

    22. Tattha cāti nimittatthe bhummaṃ, sabbaññutaññāṇappattiyā ādhārabhāve vā. Tattheva hi sabbaññutaṃ patto nāma hotīti.

    ๒๓. อนนุสฺสุเตสุ ธเมฺมสูติ จ อนนุสฺสุเตสุ สเจฺจสูติ อโตฺถฯ

    23. Ananussutesu dhammesūti ca ananussutesu saccesūti attho.

    ๒๔. ‘‘รูปี รูปานิ ปสฺสตี’’ติอาทิเก (ม. นิ. ๒.๒๔๘; ๓.๓๑๒; ปฎิ. ม. ๑.๒๐๙; ธ. ส. ๒๔๘) นิโรธสมาปตฺติอเนฺต อฎฺฐ วิโมเกฺข วตฺวา ‘‘ยโต โข, อานนฺท, ภิกฺขุ อิเม อฎฺฐ วิโมเกฺข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ, ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติฯ อยํ วุจฺจติ, อานนฺท, ภิกฺขุ อุภโตภาควิมุโตฺต’’ติ ยทิปิ มหานิทานสุเตฺต วุตฺตํ, ตํ ปน อุภโตภาควิมุตฺตเสฎฺฐวเสน วุตฺตนฺติ อิธ กีฎาคิริสุตฺตวเสน สพฺพอุภโตภาควิมุตฺตสงฺคหตฺถํ ‘‘อฎฺฐ สมาปตฺติโย สหชาตนามกาเยน ปฎิลภิตฺวา วิหรตี’’ติ อาหฯ กีฎาคิริสุเตฺต หิ ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ ปุคฺคโล เย เต สนฺตา วิโมกฺขา อติกฺกมฺม รูเป อารุปฺปา, เต กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ, ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ปุคฺคโล อุภโตภาควิมุโตฺต’’ติ (ม. นิ. ๒.๑๘๒) อรูปสมาปตฺติวเสน จตฺตาโร อุภโตภาควิมุตฺตา วุตฺตา, อุภโตภาควิมุตฺตเสโฎฺฐ จ วุตฺตลกฺขโณปปตฺติโตติฯ กายสกฺขิมฺหิปิ เอเสว นโยฯ

    24. ‘‘Rūpī rūpāni passatī’’tiādike (ma. ni. 2.248; 3.312; paṭi. ma. 1.209; dha. sa. 248) nirodhasamāpattiante aṭṭha vimokkhe vatvā ‘‘yato kho, ānanda, bhikkhu ime aṭṭha vimokkhe kāyena phusitvā viharati, paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā honti. Ayaṃ vuccati, ānanda, bhikkhu ubhatobhāgavimutto’’ti yadipi mahānidānasutte vuttaṃ, taṃ pana ubhatobhāgavimuttaseṭṭhavasena vuttanti idha kīṭāgirisuttavasena sabbaubhatobhāgavimuttasaṅgahatthaṃ ‘‘aṭṭha samāpattiyo sahajātanāmakāyena paṭilabhitvā viharatī’’ti āha. Kīṭāgirisutte hi ‘‘idha, bhikkhave, ekacco puggalo ye te santā vimokkhā atikkamma rūpe āruppā, te kāyena phusitvā viharati, paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā honti. Ayaṃ vuccati, bhikkhave, puggalo ubhatobhāgavimutto’’ti (ma. ni. 2.182) arūpasamāpattivasena cattāro ubhatobhāgavimuttā vuttā, ubhatobhāgavimuttaseṭṭho ca vuttalakkhaṇopapattitoti. Kāyasakkhimhipi eseva nayo.

    ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺตีติ น อาสวา ปญฺญาย ปสฺสนฺติ, ทสฺสนการณา ปน ปริกฺขีณา ทิสฺวา ปริกฺขีณาติ วุตฺตาฯ ทสฺสนายตฺตปริกฺขยตฺตา เอว หิ ทสฺสนํ ปุริมกิริยา โหตีติฯ นามนิสฺสิตโก เอโสติ เอโส อุภโตภาควิมุโตฺต รูปโต มุจฺจิตฺวา นามํ นิสฺสาย ฐิโต ปุน ตโต มุจฺจนโต ‘‘นามนิสฺสิตโก’’ติ วตฺวา ตสฺส จ สาธกํ สุตฺตํ วตฺวา ‘‘กายทฺวยโต สุวิมุตฺตตฺตา อุภโตภาควิมุโตฺต’’ติ อาหาติ อโตฺถฯ สุเตฺต หิ อากิญฺจญฺญายตนลาภิโน อุปสีวพฺราหฺมณสฺส ภควตา นามกายา วิมุโตฺตติ อุภโตภาควิมุโตฺตติ มุนิ อกฺขาโตติฯ

    Paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā hontīti na āsavā paññāya passanti, dassanakāraṇā pana parikkhīṇā disvā parikkhīṇāti vuttā. Dassanāyattaparikkhayattā eva hi dassanaṃ purimakiriyā hotīti. Nāmanissitako esoti eso ubhatobhāgavimutto rūpato muccitvā nāmaṃ nissāya ṭhito puna tato muccanato ‘‘nāmanissitako’’ti vatvā tassa ca sādhakaṃ suttaṃ vatvā ‘‘kāyadvayato suvimuttattā ubhatobhāgavimutto’’ti āhāti attho. Sutte hi ākiñcaññāyatanalābhino upasīvabrāhmaṇassa bhagavatā nāmakāyā vimuttoti ubhatobhāgavimuttoti muni akkhātoti.

    ปฐมเตฺถรวาเท ทฺวีหิ ภาเคหิ วิมุโตฺต อุภโตภาควิมุโตฺต, ทุติยเตฺถรวาเท อุภโต ภาคโต วิมุโตฺตติ อุภโตภาควิมุโตฺตติ, ตติยเตฺถรวาเท ทฺวีหิ ภาเคหิ เทฺว วาเร วิมุโตฺตติ อยเมเตสํ วิเสโสฯ ตตฺถ วิมุโตฺตติ กิเลเสหิ วิมุโตฺต, กิเลสวิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทเนหิ วา กายทฺวยโต วิมุโตฺตติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อรูปาวจรํ ปน นามกายโต จ วิมุตฺตนฺติ นีวรณสงฺขาตนามกายโต วิมุตฺตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตญฺหิ นีวรณทูรีภาเวน นามกายโต รูปตณฺหาวิกฺขมฺภเนน รูปกายโต จ วิมุตฺตตฺตา เอกเทเสน อุภโตภาควิมุตฺตํ นาม โหตีติ อรหตฺตมคฺคสฺส ปาทกภูตํ อุภโตภาควิมุตฺตนามลาภสฺส การณํ ภวิตุํ ยุตฺตนฺติ อธิปฺปาโยฯ

    Paṭhamattheravāde dvīhi bhāgehi vimutto ubhatobhāgavimutto, dutiyattheravāde ubhato bhāgato vimuttoti ubhatobhāgavimuttoti, tatiyattheravāde dvīhi bhāgehi dve vāre vimuttoti ayametesaṃ viseso. Tattha vimuttoti kilesehi vimutto, kilesavikkhambhanasamucchedanehi vā kāyadvayato vimuttoti attho daṭṭhabbo. Arūpāvacaraṃ pana nāmakāyato ca vimuttanti nīvaraṇasaṅkhātanāmakāyato vimuttanti vuttaṃ hoti. Tañhi nīvaraṇadūrībhāvena nāmakāyato rūpataṇhāvikkhambhanena rūpakāyato ca vimuttattā ekadesena ubhatobhāgavimuttaṃ nāma hotīti arahattamaggassa pādakabhūtaṃ ubhatobhāgavimuttanāmalābhassa kāraṇaṃ bhavituṃ yuttanti adhippāyo.

    ๒๕. เอเตสุ หิ เอโกปิ อฎฺฐวิโมกฺขลาภี น โหตีติ อุภโตภาควิมุตฺตภาวสฺส การณภูตํ รูปกายโต วิมุตฺตํ เอกมฺปิ วิโมกฺขํ อนธิคโตติ อธิปฺปาโยฯ อรูปาวจเรสุ หิ เอกมฺปิ อธิคโต อุภโตภาควิมุตฺตภาวการณปฎิลาภโต อฎฺฐวิโมเกฺขกเทเสน เตน ตํนามทาเน สมเตฺถน ‘‘อฎฺฐวิโมกฺขลาภี’’เตฺวว วุจฺจติฯ เตนาห ‘‘อรูปาวจรชฺฌาเนสุ ปนา’’ติอาทิฯ

    25. Etesu hi ekopi aṭṭhavimokkhalābhī na hotīti ubhatobhāgavimuttabhāvassa kāraṇabhūtaṃ rūpakāyato vimuttaṃ ekampi vimokkhaṃ anadhigatoti adhippāyo. Arūpāvacaresu hi ekampi adhigato ubhatobhāgavimuttabhāvakāraṇapaṭilābhato aṭṭhavimokkhekadesena tena taṃnāmadāne samatthena ‘‘aṭṭhavimokkhalābhī’’tveva vuccati. Tenāha ‘‘arūpāvacarajjhānesu panā’’tiādi.

    ๒๖. ผุฎฺฐนฺตํ สจฺฉิกโรตีติ ผุฎฺฐานํ อโนฺต ผุฎฺฐโนฺต, ผุฎฺฐานํ อรูปาวจรชฺฌานานํ อนนฺตโร กาโลติ อธิปฺปาโยฯ อจฺจนฺตสํโยเค เจตฺถ อุปโยควจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ ผุฎฺฐานนฺตรกาลเมว สจฺฉิกโรติ สจฺฉิกาตโพฺพปาเยนาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘เอกมนฺตํ นิสีที’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๑๖๕) วิย ภาวนปุํสกํ วา เอตํฯ โย หิ อรูปชฺฌาเนน รูปกายโต นามกาเยกเทสโต จ วิกฺขมฺภนวิโมเกฺขน วิมุโตฺต, เตน นิโรธสงฺขาโต วิโมโกฺข อาโลจิโต ปกาสิโต วิย โหติ, น ปน กาเยน สจฺฉิกโตฯ นิโรธํ ปน อารมฺมณํ กตฺวา เอกเจฺจสุ อาสเวสุ เขปิเตสุ เตน โส สจฺฉิกโต โหติ, ตสฺมา โส สจฺฉิกาตพฺพํ นิโรธํ ยถาอาโลจิตํ นามกาเยน สจฺฉิกโรตีติ กายสกฺขีติ วุจฺจติ, น ตุ วิมุโตฺตติ เอกจฺจานํ อาสวานํ อปริกฺขีณตฺตาฯ

    26. Phuṭṭhantaṃ sacchikarotīti phuṭṭhānaṃ anto phuṭṭhanto, phuṭṭhānaṃ arūpāvacarajjhānānaṃ anantaro kāloti adhippāyo. Accantasaṃyoge cettha upayogavacanaṃ daṭṭhabbaṃ. Phuṭṭhānantarakālameva sacchikaroti sacchikātabbopāyenāti vuttaṃ hoti. ‘‘Ekamantaṃ nisīdī’’tiādīsu (dī. ni. 1.165) viya bhāvanapuṃsakaṃ vā etaṃ. Yo hi arūpajjhānena rūpakāyato nāmakāyekadesato ca vikkhambhanavimokkhena vimutto, tena nirodhasaṅkhāto vimokkho ālocito pakāsito viya hoti, na pana kāyena sacchikato. Nirodhaṃ pana ārammaṇaṃ katvā ekaccesu āsavesu khepitesu tena so sacchikato hoti, tasmā so sacchikātabbaṃ nirodhaṃ yathāālocitaṃ nāmakāyena sacchikarotīti kāyasakkhīti vuccati, na tu vimuttoti ekaccānaṃ āsavānaṃ aparikkhīṇattā.

    ๒๗. ทิฎฺฐตฺตา ปโตฺตติ เอเตน จตุสจฺจทสฺสนสงฺขาตาย ทิฎฺฐิยา นิโรธสฺส ปตฺตตํ ทีเปติฯ ‘‘ทิฎฺฐนฺตํ ปโตฺต’’ติ วา ปาโฐ, ทสฺสนสงฺขาตสฺส โสตาปตฺติมคฺคญาณสฺส อนนฺตรํ ปโตฺตติ วุตฺตํ โหติฯ ปฐมผลโต ปฎฺฐาย หิ ยาว อคฺคมคฺคา ทิฎฺฐิปฺปโตฺตติฯ

    27. Diṭṭhattā pattoti etena catusaccadassanasaṅkhātāya diṭṭhiyā nirodhassa pattataṃ dīpeti. ‘‘Diṭṭhantaṃ patto’’ti vā pāṭho, dassanasaṅkhātassa sotāpattimaggañāṇassa anantaraṃ pattoti vuttaṃ hoti. Paṭhamaphalato paṭṭhāya hi yāva aggamaggā diṭṭhippattoti.

    ๒๘. อิมํ ปน นยํ ‘‘โน’’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวาติ เอตฺถ ทิฎฺฐิปฺปตฺตสทฺธาวิมุตฺตภาวปฺปตฺตานํ ปญฺญานานตฺตํ วุตฺตํ, น ปน เยน วิเสเสน โส วิเสโส ปโตฺต, โส วุโตฺตติ อิมํ โทสํ ทิสฺวา ปฎิเกฺขโป กโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ อาคมฎฺฐกถาสูติ จ วจเนน อาคมนียนานตฺตสนฺนิฎฺฐานเมว ถิรํ กโรตีติ เวทิตพฺพํฯ สทฺทหโนฺต วิมุโตฺตติ เอเตน สพฺพถา อวิมุตฺตสฺสปิ สทฺธามเตฺตน วิมุตฺตภาวํ ทเสฺสติฯ สทฺธาวิมุโตฺตติ วา สทฺธาย อธิมุโตฺตติ อโตฺถฯ

    28. Imaṃ pana nayaṃ ‘‘no’’ti paṭikkhipitvāti ettha diṭṭhippattasaddhāvimuttabhāvappattānaṃ paññānānattaṃ vuttaṃ, na pana yena visesena so viseso patto, so vuttoti imaṃ dosaṃ disvā paṭikkhepo katoti daṭṭhabbo. Āgamaṭṭhakathāsūti ca vacanena āgamanīyanānattasanniṭṭhānameva thiraṃ karotīti veditabbaṃ. Saddahanto vimuttoti etena sabbathā avimuttassapi saddhāmattena vimuttabhāvaṃ dasseti. Saddhāvimuttoti vā saddhāya adhimuttoti attho.

    ๒๙. ปญฺญํ วาเหตีติ ปญฺญํ สาติสยํ ปวเตฺตตีติ อโตฺถฯ ปญฺญา อิมํ ปุคฺคลํ วหตีติ นิพฺพานาภิมุขํ คเมตีติ อโตฺถฯ

    29. Paññaṃ vāhetīti paññaṃ sātisayaṃ pavattetīti attho. Paññā imaṃ puggalaṃ vahatīti nibbānābhimukhaṃ gametīti attho.

    ๓๑. เอวํ มคฺคกฺขเณปีติ อยํ อปิ-สโทฺท กสฺมา วุโตฺต, นนุ อริเยน อฎฺฐงฺคิเกน มเคฺคน สมนฺนาคโต มคฺคกฺขเณ เอว โหตีติ ตทา เอว โสตาปโนฺน นามาติ อาปนฺนนฺติ? นาปนฺนํ ฯ มเคฺคน หิ อตฺตนา สทิสสฺส อฎฺฐงฺคิกสฺส วา สตฺตงฺคิกสฺส วา ผลสฺส โสโตติ นามํ ทินฺนนฺติ เตนปิ สมนฺนาคตสฺส โสตาปนฺนภาวโต, โสเตน วา มเคฺคน ปวเตฺตตุํ อปริหีเนน ผลโฎฺฐปิ สมนฺนาคโต เอว นาม, น จ เตน ปฐมมคฺคกฺขเณ วิย โสโต สมาปชฺชิยมาโน, ตสฺมา สมาปนฺนโสตตฺตา ปฐมผลโต ปฎฺฐาย ‘‘โสตาปโนฺน’’ติ วตฺตุํ ยุโตฺตฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘เย เกจิ, ภิกฺขเว, มยิ อเวจฺจปฺปสนฺนา, สเพฺพ เต โสตาปนฺนาฯ เตสํ โสตาปนฺนานํ ปญฺจนฺนํ อิธ นิฎฺฐา, ปญฺจนฺนํ อิธ วิหาย นิฎฺฐา’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๖๔)ฯ ตตฺถ ทุติยผลฎฺฐาทีนํ วิสุํ นามํ อตฺถีติ ปฐมผลโฎฺฐ เอว อิตเรหิ วิเสสิยมาโน ‘‘โสตาปโนฺน’’ติ วตฺตุํ ยุโตฺตติ โส เอว อิธาธิเปฺปโตฯ ปฎิลทฺธมเคฺคน พุชฺฌตีติ เอเตน ปฎิลทฺธมคฺคสฺส จตุสจฺจปจฺจเวกฺขณาทีนํ อุปนิสฺสยภาวํ ทเสฺสติฯ สโมฺพธิ ปรํ อยนํ นิสฺสโย เอตสฺสาติ หิ สโมฺพธิปรายโณติฯ ทุติเยนเตฺถน สโมฺพธิ ปรํ อยนํ คติ เอตสฺสาติ สโมฺพธิปรายโณ

    31. Evaṃmaggakkhaṇepīti ayaṃ api-saddo kasmā vutto, nanu ariyena aṭṭhaṅgikena maggena samannāgato maggakkhaṇe eva hotīti tadā eva sotāpanno nāmāti āpannanti? Nāpannaṃ . Maggena hi attanā sadisassa aṭṭhaṅgikassa vā sattaṅgikassa vā phalassa sototi nāmaṃ dinnanti tenapi samannāgatassa sotāpannabhāvato, sotena vā maggena pavattetuṃ aparihīnena phalaṭṭhopi samannāgato eva nāma, na ca tena paṭhamamaggakkhaṇe viya soto samāpajjiyamāno, tasmā samāpannasotattā paṭhamaphalato paṭṭhāya ‘‘sotāpanno’’ti vattuṃ yutto. Vuttañhi ‘‘ye keci, bhikkhave, mayi aveccappasannā, sabbe te sotāpannā. Tesaṃ sotāpannānaṃ pañcannaṃ idha niṭṭhā, pañcannaṃ idha vihāya niṭṭhā’’ti (a. ni. 10.64). Tattha dutiyaphalaṭṭhādīnaṃ visuṃ nāmaṃ atthīti paṭhamaphalaṭṭho eva itarehi visesiyamāno ‘‘sotāpanno’’ti vattuṃ yuttoti so eva idhādhippeto. Paṭiladdhamaggena bujjhatīti etena paṭiladdhamaggassa catusaccapaccavekkhaṇādīnaṃ upanissayabhāvaṃ dasseti. Sambodhi paraṃ ayanaṃ nissayo etassāti hi sambodhiparāyaṇoti. Dutiyenatthena sambodhi paraṃ ayanaṃ gati etassāti sambodhiparāyaṇo.

    ๓๒. เกวเลน กุลสเทฺทน มหากุลเมว วุจฺจตีติ อาห ‘‘มหาโภคกุเลสุเยว นิพฺพตฺตตีติ อโตฺถ’’ติฯ

    32. Kevalena kulasaddena mahākulameva vuccatīti āha ‘‘mahābhogakulesuyeva nibbattatīti attho’’ti.

    ๓๓. ขนฺธพีชํ นาม ปฎิสนฺธิวิญฺญาณํฯ อิหฎฺฐกนิชฺฌานิกวเสเนว อิมสฺมิํ ฐาเน กถิตาติ สชฺฌานโก อชฺฌตฺตสํโยชนสมุเจฺฉเท อกเตปิ อนาคามิสภาโค อนาวตฺติธโมฺม อิธ คณนูปโค น โหติ, เหฎฺฐา อุปริ จ สํสรณโก กามภวคโต หีนชฺฌานโก อิธ คณนูปโคติ อธิปฺปาโยฯ

    33. Khandhabījaṃ nāma paṭisandhiviññāṇaṃ. Ihaṭṭhakanijjhānikavaseneva imasmiṃ ṭhāne kathitāti sajjhānako ajjhattasaṃyojanasamucchede akatepi anāgāmisabhāgo anāvattidhammo idha gaṇanūpago na hoti, heṭṭhā upari ca saṃsaraṇako kāmabhavagato hīnajjhānako idha gaṇanūpagoti adhippāyo.

    ๓๔. ยํ วตฺตพฺพนฺติ ‘‘ทฺวีหิ การเณหิ ตนุภาโว เวทิตโพฺพ’’ติอาทิ ยํ วตฺตพฺพํ สิยาติ อโตฺถฯ

    34. Yaṃ vattabbanti ‘‘dvīhi kāraṇehi tanubhāvo veditabbo’’tiādi yaṃ vattabbaṃ siyāti attho.

    ๓๖. อุปปนฺนํ วา สมนนฺตราติ อุปปนฺนํ วา เอเตน ปุคฺคเลน โหติ, อถ สมนนฺตรา อริยมคฺคํ สญฺชเนติฯ อปฺปตฺตํ วา เวมชฺฌํ อายุปฺปมาณนฺติ อายุปฺปมาณํ ตสฺส ปุคฺคลสฺส เวมชฺฌํ อปฺปตฺตํ โหติ, เอตฺถนฺตเร อริยมคฺคํ สญฺชเนตีติ อยเมตฺถ ปาฬิอโตฺถฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘อปฺปตฺวา ปพฺพตํ นที’’ติ วิย อายุปฺปมาณํ เวมชฺฌํ อปฺปตฺตํ วา หุตฺวาติ ปรสทฺทโยเค ปรโต ภูโต หุตฺวา สโทฺท วจนเสสภูโต ปยุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ

    36. Upapannaṃ vā samanantarāti upapannaṃ vā etena puggalena hoti, atha samanantarā ariyamaggaṃ sañjaneti. Appattaṃ vā vemajjhaṃ āyuppamāṇanti āyuppamāṇaṃ tassa puggalassa vemajjhaṃ appattaṃ hoti, etthantare ariyamaggaṃ sañjanetīti ayamettha pāḷiattho. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘appatvā pabbataṃ nadī’’ti viya āyuppamāṇaṃ vemajjhaṃ appattaṃ vā hutvāti parasaddayoge parato bhūto hutvā saddo vacanasesabhūto payuttoti veditabbo.

    ๓๗. อุปหจฺจาติ เอตสฺส อุปคนฺตฺวาติ อโตฺถ, เตน เวมชฺฌาติกฺกโม กาลกิริโยปคมนญฺจ สงฺคหิตํ โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อติกฺกมิตฺวา เวมชฺฌ’’นฺติอาทิฯ

    37. Upahaccāti etassa upagantvāti attho, tena vemajjhātikkamo kālakiriyopagamanañca saṅgahitaṃ hoti. Tena vuttaṃ ‘‘atikkamitvā vemajjha’’ntiādi.

    ๔๐. อุทฺธํวาหิภาเวนาติ อุทฺธํ วหตีติ อุทฺธํวาหี, ตณฺหาโสตํ วฎฺฎโสตํ วา, ตสฺส ภาโว, เตน อุทฺธํวาหิภาเวนาติ วุตฺตํ โหติฯ อวิเหสุ อุทฺธํโสโต ยทิปิ ตตฺถ ปรินิพฺพายี น โหติ, ยตฺถ วา ตตฺถ วา คนฺตฺวา ปรินิพฺพายตุ, ปรินิพฺพายิโน ปน ตสฺส อสงฺขารปรินิพฺพายิตา สสงฺขารปรินิพฺพายิตา จ อตฺถีติ ตตฺถ ทส อนาคามิโน วุตฺตา, เอวํ อตปฺปาทีสุปิฯ อนุปหจฺจตลาติ อปฺปตฺตตลาฯ อสงฺขารสสงฺขารปรินิพฺพายีนํ ลหุสาลหุสคติกา เอว ปริตฺตวิปุลติณกฎฺฐฌาปกปปฺปฎิกาสทิสตา เวทิตพฺพา, น อุปฺปชฺชิตฺวาว นิพฺพายนกาทีหิ อธิมตฺตตา วิย สมุทฺทํ ปตฺวา นิพฺพายนกโต อนธิมตฺตตา วิย จ อนฺตรา อุปหจฺจปรินิพฺพายีหิ อุทฺธํโสตโต จ อธิมตฺตานธิมตฺตตาฯ เต เอว หิ อสงฺขารสสงฺขารปรินิพฺพายิโนติฯ ตโต มหนฺตตเรติ วจนํ ติณกฎฺฐฌาปนสมตฺถปปฺปฎิกาทสฺสนตฺถํ, น อธิมตฺต นาธิมตฺตทสฺสนตฺถนฺติฯ

    40. Uddhaṃvāhibhāvenāti uddhaṃ vahatīti uddhaṃvāhī, taṇhāsotaṃ vaṭṭasotaṃ vā, tassa bhāvo, tena uddhaṃvāhibhāvenāti vuttaṃ hoti. Avihesu uddhaṃsoto yadipi tattha parinibbāyī na hoti, yattha vā tattha vā gantvā parinibbāyatu, parinibbāyino pana tassa asaṅkhāraparinibbāyitā sasaṅkhāraparinibbāyitā ca atthīti tattha dasa anāgāmino vuttā, evaṃ atappādīsupi. Anupahaccatalāti appattatalā. Asaṅkhārasasaṅkhāraparinibbāyīnaṃ lahusālahusagatikā eva parittavipulatiṇakaṭṭhajhāpakapappaṭikāsadisatā veditabbā, na uppajjitvāva nibbāyanakādīhi adhimattatā viya samuddaṃ patvā nibbāyanakato anadhimattatā viya ca antarā upahaccaparinibbāyīhi uddhaṃsotato ca adhimattānadhimattatā. Te eva hi asaṅkhārasasaṅkhāraparinibbāyinoti. Tato mahantatareti vacanaṃ tiṇakaṭṭhajhāpanasamatthapappaṭikādassanatthaṃ, na adhimatta nādhimattadassanatthanti.

    โน จสฺส โน จ เม สิยาติ อวิชฺชาสงฺขาราทิกํ เหตุปญฺจกํ โน จ อสฺส, วิญฺญาณาทิกํ อิทํ ผลปญฺจกํ วตฺตมานํ โน จ เม สิยาติ อโตฺถฯ เตน อตีตภวสํสิทฺธิโต ทุกฺขสมุทยโต อิมสฺส ทุกฺขสฺส ปวตฺติทสฺสนโต ปจฺจยสมุทยเฎฺฐน ขนฺธานํ อุทยทสฺสนปฎิปตฺติ วุตฺตา โหติฯ น ภวิสฺสติ, น เม ภวิสฺสตีติ ยทิ เอตรหิ เหตุปญฺจกํ น ภวิสฺสติ, อนาคเต ผลปญฺจกํ น เม ภวิสฺสตีติ อโตฺถฯ เอเตน ปจฺจยนิโรธเฎฺฐน วยทสฺสนปฎิปตฺติ วุตฺตา โหติ, เอตรหิ อนาคเต จ อตฺตตฺตนิยนิวารณวเสน สุญฺญตาปฎิปตฺติ วา จตูหิปิ วุตฺตาฯ ยทตฺถีติ ยํ อตฺถิฯ ภูตนฺติ สสภาวํ นิพฺพตฺตํ วา ยถาทิฎฺฐอุทยพฺพยํ ยถาทิฎฺฐสุญฺญตํ วา ขนฺธปญฺจกํ ปริกปฺปิตอิตฺถิปุริสสตฺตาทิภาวรหิตํ นามรูปมตฺตนฺติ อโตฺถฯ วิวฎฺฎานุปสฺสนาย วิวฎฺฎมานโส ตํ ภูตํ ปชหามีติ อุเปกฺขํ ปฎิลภติ, สงฺขารุเปกฺขาญาเณน อุเปกฺขโก โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    No cassa no ca me siyāti avijjāsaṅkhārādikaṃ hetupañcakaṃ no ca assa, viññāṇādikaṃ idaṃ phalapañcakaṃ vattamānaṃ no ca me siyāti attho. Tena atītabhavasaṃsiddhito dukkhasamudayato imassa dukkhassa pavattidassanato paccayasamudayaṭṭhena khandhānaṃ udayadassanapaṭipatti vuttā hoti. Na bhavissati, na me bhavissatīti yadi etarahi hetupañcakaṃ na bhavissati, anāgate phalapañcakaṃ na me bhavissatīti attho. Etena paccayanirodhaṭṭhena vayadassanapaṭipatti vuttā hoti, etarahi anāgate ca attattaniyanivāraṇavasena suññatāpaṭipatti vā catūhipi vuttā. Yadatthīti yaṃ atthi. Bhūtanti sasabhāvaṃ nibbattaṃ vā yathādiṭṭhaudayabbayaṃ yathādiṭṭhasuññataṃ vā khandhapañcakaṃ parikappitaitthipurisasattādibhāvarahitaṃ nāmarūpamattanti attho. Vivaṭṭānupassanāya vivaṭṭamānaso taṃ bhūtaṃ pajahāmīti upekkhaṃ paṭilabhati, saṅkhārupekkhāñāṇena upekkhako hotīti vuttaṃ hoti.

    ภเว น รชฺชติ, สมฺภเว น รชฺชตีติ อวิสิเฎฺฐ วิสิเฎฺฐ จ ภเว น รชฺชตีติ เกจิ วทนฺติฯ ปจฺจุปฺปโนฺน ปน ภโว ภโว, อนาคโต ชาติยา คหเณน คหิโต สมฺภโวติ เวทิตโพฺพฯ อถ วา ภโวติ ภูตเมว วุจฺจติ, สมฺภโว ตทาหาโร, ตสฺมิํ ทฺวเย น รชฺชตีติ เสกฺขปฎิปตฺติํ ทเสฺสติ ฯ ภูเต หิ สสมฺภเว จ วิราโค เสกฺขปฎิปตฺติฯ ยถาห ‘‘ภูตมิทนฺติ, ภเนฺต, ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ, ภูตมิทนฺติ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทิสฺวา ภูตสฺส นิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติฯ ตทาหารสมฺภวนฺติ ยถาภูตํ…เป.… ทิสฺวา ตทาหารสมฺภวสฺส นิพฺพิทาย…เป.… ปฎิปโนฺน โหติฯ ตทาหารนิโรธาย ยํ ภูตํ, ตํ นิโรธธมฺมนฺติ ยถาภูตํ…เป.… ทิสฺวา นิโรธธมฺมสฺส นิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย ปฎิปโนฺน โหติฯ เอวํ โข, ภเนฺต, เสโกฺข โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๓๑)ฯ อถุตฺตรีติ อถ เอวํ อรชฺชมาโน อุตฺตริ สนฺตํ ปทํ นิพฺพานํ อนุกฺกเมน มคฺคปญฺญาย สมฺมา ปสฺสติ, ตญฺจ ขฺวสฺส ปทํ น สเพฺพน สพฺพํ สจฺฉิกตํ จตุตฺถมเคฺคเนว สจฺฉิกาตพฺพสฺส ตสฺส เตน อสจฺฉิกตตฺตาฯ

    Bhave na rajjati, sambhave na rajjatīti avisiṭṭhe visiṭṭhe ca bhave na rajjatīti keci vadanti. Paccuppanno pana bhavo bhavo, anāgato jātiyā gahaṇena gahito sambhavoti veditabbo. Atha vā bhavoti bhūtameva vuccati, sambhavo tadāhāro, tasmiṃ dvaye na rajjatīti sekkhapaṭipattiṃ dasseti . Bhūte hi sasambhave ca virāgo sekkhapaṭipatti. Yathāha ‘‘bhūtamidanti, bhante, yathābhūtaṃ sammappaññāya passati, bhūtamidanti yathābhūtaṃ sammappaññāya disvā bhūtassa nibbidāya virāgāya nirodhāya paṭipanno hoti. Tadāhārasambhavanti yathābhūtaṃ…pe… disvā tadāhārasambhavassa nibbidāya…pe… paṭipanno hoti. Tadāhāranirodhāya yaṃ bhūtaṃ, taṃ nirodhadhammanti yathābhūtaṃ…pe… disvā nirodhadhammassa nibbidāya virāgāya nirodhāya paṭipanno hoti. Evaṃ kho, bhante, sekkho hotī’’ti (saṃ. ni. 2.31). Athuttarīti atha evaṃ arajjamāno uttari santaṃ padaṃ nibbānaṃ anukkamena maggapaññāya sammā passati, tañca khvassa padaṃ na sabbena sabbaṃ sacchikataṃ catutthamaggeneva sacchikātabbassa tassa tena asacchikatattā.

    เอกกนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ekakaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ปุคฺคลปญฺญตฺติปาฬิ • Puggalapaññattipāḷi / ๑. เอกกปุคฺคลปญฺญตฺติ • 1. Ekakapuggalapaññatti

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ปญฺจปกรณ-อฎฺฐกถา • Pañcapakaraṇa-aṭṭhakathā / ๑. เอกกนิเทฺทสวณฺณนา • 1. Ekakaniddesavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ปญฺจปกรณ-อนุฎีกา • Pañcapakaraṇa-anuṭīkā / ๑. เอกกนิเทฺทสวณฺณนา • 1. Ekakaniddesavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact