Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi |
๙. เอกนฺตสุขนิพฺพานปโญฺห
9. Ekantasukhanibbānapañho
๙. ‘‘ภเนฺต นาคเสน, กิํ เอกนฺตสุขํ นิพฺพานํ, อุทาหุ ทุเกฺขน มิสฺส’’นฺติ? ‘‘เอกนฺตสุขํ, มหาราช, นิพฺพานํ, ทุเกฺขน อมิสฺส’’นฺติฯ
9. ‘‘Bhante nāgasena, kiṃ ekantasukhaṃ nibbānaṃ, udāhu dukkhena missa’’nti? ‘‘Ekantasukhaṃ, mahārāja, nibbānaṃ, dukkhena amissa’’nti.
‘‘น มยํ ตํ, ภเนฺต นาคเสน, วจนํ สทฺทหาม ‘เอกนฺตสุขํ นิพฺพาน’นฺติ, เอวเมตฺถ มยํ, ภเนฺต นาคเสน, ปเจฺจม ‘นิพฺพานํ ทุเกฺขน มิสฺส’นฺติ, การณเญฺจตฺถ อุปลภาม ‘นิพฺพานํ ทุเกฺขน มิสฺส’นฺติฯ กตมํ เอตฺถ การณํ ? เย เต, ภเนฺต นาคเสน, นิพฺพานํ ปริเยสนฺติ, เตสํ ทิสฺสติ กายสฺส จ จิตฺตสฺส จ อาตาโป ปริตาโป ฐานจงฺกมนิสชฺชาสยนาหารปริคฺคโห มิทฺธสฺส จ อุปโรโธ อายตนานญฺจ ปฎิปีฬนํ ธนธญฺญปิยญาติมิตฺตปฺปชหนํฯ เย เกจิ โลเก สุขิตา สุขสมปฺปิตา, เต สเพฺพปิ ปญฺจหิ กามคุเณหิ อายตเน รเมนฺติ พฺรูเหนฺติ, มนาปิกมนาปิกพหุวิธสุภนิมิเตฺตน รูเปน จกฺขุํ รเมนฺติ พฺรูเหนฺติ, มนาปิกมนาปิกคีตวาทิตพหุวิธสุภนิมิเตฺตน สเทฺทน โสตํ รเมนฺติ พฺรูเหนฺติ, มนาปิกมนาปิกปุปฺผผลปตฺตตจมูลสารพหุวิธสุภนิมิเตฺตน คเนฺธน ฆานํ รเมนฺติ พฺรูเหนฺติ, มนาปิกมนาปิกขชฺชโภชฺชเลยฺยเปยฺยสายนียพหุวิธสุภนิมิเตฺตน รเสน ชิวฺหํ รเมนฺติ พฺรุเหนฺติ, มนาปิกมนาปิกสณฺหสุขุมมุทุมทฺทวพหุวิธสุภนิมิเตฺตน ผเสฺสน กายํ รเมนฺติ พฺรูเหนฺติ, มนาปิกมนาปิกกลฺยาณปาปกสุภาสุภพหุวิธวิตกฺกมนสิกาเรน มนํ รเมนฺติ พฺรูเหนฺติฯ ตุเมฺห ตํ จกฺขุโสตฆานชิวฺหากายมโนพฺรูหนํ หนถ อุปหนถ, ฉินฺทถ อุปจฺฉินฺทถ, รุนฺธถ อุปรุนฺธถฯ เตน กาโยปิ ปริตปติ, จิตฺตมฺปิ ปริตปติ, กาเย ปริตเตฺต กายิกทุกฺขเวทนํ เวทิยติ, จิเตฺต ปริตเตฺต เจตสิกทุกฺขเวทนํ เวทยติฯ นนุ มาคณฺฑิโยปิ 1 ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ ครหมาโน เอวมาห ‘ภูนหุ 2 สมโณ โคตโม’ติฯ อิทเมตฺถ การณํ, เยนาหํ การเณน พฺรูมิ ‘นิพฺพานํ ทุเกฺขน มิสฺส’’’นฺติฯ
‘‘Na mayaṃ taṃ, bhante nāgasena, vacanaṃ saddahāma ‘ekantasukhaṃ nibbāna’nti, evamettha mayaṃ, bhante nāgasena, paccema ‘nibbānaṃ dukkhena missa’nti, kāraṇañcettha upalabhāma ‘nibbānaṃ dukkhena missa’nti. Katamaṃ ettha kāraṇaṃ ? Ye te, bhante nāgasena, nibbānaṃ pariyesanti, tesaṃ dissati kāyassa ca cittassa ca ātāpo paritāpo ṭhānacaṅkamanisajjāsayanāhārapariggaho middhassa ca uparodho āyatanānañca paṭipīḷanaṃ dhanadhaññapiyañātimittappajahanaṃ. Ye keci loke sukhitā sukhasamappitā, te sabbepi pañcahi kāmaguṇehi āyatane ramenti brūhenti, manāpikamanāpikabahuvidhasubhanimittena rūpena cakkhuṃ ramenti brūhenti, manāpikamanāpikagītavāditabahuvidhasubhanimittena saddena sotaṃ ramenti brūhenti, manāpikamanāpikapupphaphalapattatacamūlasārabahuvidhasubhanimittena gandhena ghānaṃ ramenti brūhenti, manāpikamanāpikakhajjabhojjaleyyapeyyasāyanīyabahuvidhasubhanimittena rasena jivhaṃ ramenti bruhenti, manāpikamanāpikasaṇhasukhumamudumaddavabahuvidhasubhanimittena phassena kāyaṃ ramenti brūhenti, manāpikamanāpikakalyāṇapāpakasubhāsubhabahuvidhavitakkamanasikārena manaṃ ramenti brūhenti. Tumhe taṃ cakkhusotaghānajivhākāyamanobrūhanaṃ hanatha upahanatha, chindatha upacchindatha, rundhatha uparundhatha. Tena kāyopi paritapati, cittampi paritapati, kāye paritatte kāyikadukkhavedanaṃ vediyati, citte paritatte cetasikadukkhavedanaṃ vedayati. Nanu māgaṇḍiyopi 3 paribbājako bhagavantaṃ garahamāno evamāha ‘bhūnahu 4 samaṇo gotamo’ti. Idamettha kāraṇaṃ, yenāhaṃ kāraṇena brūmi ‘nibbānaṃ dukkhena missa’’’nti.
‘‘น หิ, มหาราช, นิพฺพานํ ทุเกฺขน มิสฺสํ, เอกนฺตสุขํ นิพฺพานํฯ ยํ ปน ตฺวํ, มหาราช , พฺรูสิ ‘นิพฺพานํ ทุกฺข’นฺติ, เนตํ ทุกฺขํ นิพฺพานํ นาม, นิพฺพานสฺส ปน สจฺฉิกิริยาย ปุพฺพภาโค เอโส, นิพฺพานปริเยสนํ เอตํ, เอกนฺตสุขํ เยว, มหาราช, นิพฺพานํ, น ทุเกฺขน มิสฺสํฯ เอตฺถ การณํ วทามิฯ อตฺถิ, มหาราช, ราชูนํ รชฺชสุขํ นามา’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต, อตฺถิ ราชูนํ รชฺชสุข’’นฺติฯ ‘‘อปิ นุ โข ตํ, มหาราช, รชฺชสุขํ ทุเกฺขน มิสฺส’’นฺติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กิสฺส ปน เต, มหาราช, ราชาโน ปจฺจเนฺต กุปิเต เตสํ ปจฺจนฺตนิสฺสิตานํ ปฎิเสธาย อมเจฺจหิ ปริณายเกหิ ภเฎหิ พลเตฺถหิ ปริวุตา ปวาสํ คนฺตฺวา ฑํสมกสวาตาตปปฎิปีฬิตา สมวิสเม ปริธาวนฺติ, มหายุทฺธญฺจ กโรนฺติ, ชีวิตสํสยญฺจ ปาปุณนฺตี’’ติ? ‘‘เนตํ, ภเนฺต นาคเสน, รชฺชสุขํ นาม, รชฺชสุขสฺส ปริเยสนาย ปุพฺพภาโค เอโส, ทุเกฺขน, ภเนฺต นาคเสน, ราชาโน รชฺชํ ปริเยสิตฺวา รชฺชสุขํ อนุภวนฺติ, เอวํ, ภเนฺต นาคเสน, รชฺชสุขํ ทุเกฺขน อมิสฺสํ, อญฺญํ ตํ รชฺชสุขํ, อญฺญํ ทุกฺข’’นฺติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, เอกนฺตสุขํ นิพฺพานํ, น ทุเกฺขน มิสฺสํฯ เย ปน ตํ นิพฺพานํ ปริเยสนฺติ, เต กายญฺจ จิตฺตญฺจ อาตาเปตฺวา ฐานจงฺกมนิสชฺชาสยนาหารํ ปริคฺคเหตฺวา มิทฺธํ อุปรุนฺธิตฺวา อายตนานิ ปฎิปีเฬตฺวา กายญฺจ ชีวิตญฺจ ปริจฺจชิตฺวา ทุเกฺขน นิพฺพานํ ปริเยสิตฺวา เอกนฺตสุขํ นิพฺพานํ อนุภวนฺติ, นิหตปจฺจามิตฺตา วิย ราชาโน รชฺชสุขํฯ เอวํ, มหาราช, เอกนฺตสุขํ นิพฺพานํ, น ทุเกฺขน มิสฺสํ, อญฺญํ นิพฺพานํ, อญฺญํ ทุกฺขนฺติฯ
‘‘Na hi, mahārāja, nibbānaṃ dukkhena missaṃ, ekantasukhaṃ nibbānaṃ. Yaṃ pana tvaṃ, mahārāja , brūsi ‘nibbānaṃ dukkha’nti, netaṃ dukkhaṃ nibbānaṃ nāma, nibbānassa pana sacchikiriyāya pubbabhāgo eso, nibbānapariyesanaṃ etaṃ, ekantasukhaṃ yeva, mahārāja, nibbānaṃ, na dukkhena missaṃ. Ettha kāraṇaṃ vadāmi. Atthi, mahārāja, rājūnaṃ rajjasukhaṃ nāmā’’ti? ‘‘Āma, bhante, atthi rājūnaṃ rajjasukha’’nti. ‘‘Api nu kho taṃ, mahārāja, rajjasukhaṃ dukkhena missa’’nti? ‘‘Na hi, bhante’’ti. ‘‘Kissa pana te, mahārāja, rājāno paccante kupite tesaṃ paccantanissitānaṃ paṭisedhāya amaccehi pariṇāyakehi bhaṭehi balatthehi parivutā pavāsaṃ gantvā ḍaṃsamakasavātātapapaṭipīḷitā samavisame paridhāvanti, mahāyuddhañca karonti, jīvitasaṃsayañca pāpuṇantī’’ti? ‘‘Netaṃ, bhante nāgasena, rajjasukhaṃ nāma, rajjasukhassa pariyesanāya pubbabhāgo eso, dukkhena, bhante nāgasena, rājāno rajjaṃ pariyesitvā rajjasukhaṃ anubhavanti, evaṃ, bhante nāgasena, rajjasukhaṃ dukkhena amissaṃ, aññaṃ taṃ rajjasukhaṃ, aññaṃ dukkha’’nti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, ekantasukhaṃ nibbānaṃ, na dukkhena missaṃ. Ye pana taṃ nibbānaṃ pariyesanti, te kāyañca cittañca ātāpetvā ṭhānacaṅkamanisajjāsayanāhāraṃ pariggahetvā middhaṃ uparundhitvā āyatanāni paṭipīḷetvā kāyañca jīvitañca pariccajitvā dukkhena nibbānaṃ pariyesitvā ekantasukhaṃ nibbānaṃ anubhavanti, nihatapaccāmittā viya rājāno rajjasukhaṃ. Evaṃ, mahārāja, ekantasukhaṃ nibbānaṃ, na dukkhena missaṃ, aññaṃ nibbānaṃ, aññaṃ dukkhanti.
‘‘อปรมฺปิ , มหาราช, อุตฺตริํ การณํ สุโณหิ เอกนฺตสุขํ นิพฺพานํ, น ทุเกฺขน มิสฺสํ, อญฺญํ ทุกฺขํ, อญฺญํ นิพฺพานนฺติฯ อตฺถิ, มหาราช, อาจริยานํ สิปฺปวนฺตานํ สิปฺปสุขํ นามา’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต, อตฺถิ อาจริยานํ สิปฺปวนฺตานํ สิปฺปสุข’’นฺติฯ ‘‘อปิ นุ โข ตํ, มหาราช, สิปฺปสุขํ ทุเกฺขน มิสฺส’’นฺติ? ‘‘น หิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กิสฺส ปน เต, มหาราช, อาจริยา 5 อาจริยานํ อภิวาทนปจฺจุฎฺฐาเนน อุทกาหรณฆรสมฺมชฺชนทนฺตกฎฺฐมุโขทกานุปฺปทาเนน อุจฺฉิฎฺฐปฎิคฺคหณอุจฺฉาทนนหาปนปาทปริกเมฺมน สกจิตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา ปรจิตฺตานุวตฺตเนน ทุกฺขเสยฺยาย วิสมโภชเนน กายํ อาตาเปนฺตี’’ติ? ‘‘เนตํ, ภเนฺต นาคเสน, สิปฺปสุขํ นาม, สิปฺปปริเยสนาย ปุพฺพภาโค เอโส, ทุเกฺขน, ภเนฺต นาคเสน, อาจริยา สิปฺปํ ปริเยสิตฺวา สิปฺปสุขํ อนุภวนฺติ, เอวํ, ภเนฺต นาคเสน, สิปฺปสุขํ ทุเกฺขน อมิสฺสํ, อญฺญํ ตํ สิปฺปสุขํ, อญฺญํ ทุกฺข’’นฺติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, เอกนฺตสุขํ นิพฺพานํ, น ทุเกฺขน มิสฺสํฯ เย ปน ตํ นิพฺพานํ ปริเยสนฺติ, เต กายญฺจ จิตฺตญฺจ อาตาเปตฺวา ฐานจงฺกมนิสชฺชาสยนาหารํ ปริคฺคเหตฺวา มิทฺธํ อุปรุนฺธิตฺวา อายตนานิ ปฎิปีเฬตฺวา กายญฺจ ชีวิตญฺจ ปริจฺจชิตฺวา ทุเกฺขน นิพฺพานํ ปริเยสิตฺวา เอกนฺตสุขํ นิพฺพานํ อนุภวนฺติ, อาจริยา วิย สิปฺปสุขํฯ เอวํ, มหาราช, เอกนฺตสุขํ นิพฺพานํ, น ทุเกฺขน มิสฺสํ, อญฺญํ ทุกฺขํ, อญฺญํ นิพฺพาน’’นฺติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต นาคเสน, เอวเมตํ ตถา สมฺปฎิจฺฉามี’’ติฯ
‘‘Aparampi , mahārāja, uttariṃ kāraṇaṃ suṇohi ekantasukhaṃ nibbānaṃ, na dukkhena missaṃ, aññaṃ dukkhaṃ, aññaṃ nibbānanti. Atthi, mahārāja, ācariyānaṃ sippavantānaṃ sippasukhaṃ nāmā’’ti? ‘‘Āma, bhante, atthi ācariyānaṃ sippavantānaṃ sippasukha’’nti. ‘‘Api nu kho taṃ, mahārāja, sippasukhaṃ dukkhena missa’’nti? ‘‘Na hi, bhante’’ti. ‘‘Kissa pana te, mahārāja, ācariyā 6 ācariyānaṃ abhivādanapaccuṭṭhānena udakāharaṇagharasammajjanadantakaṭṭhamukhodakānuppadānena ucchiṭṭhapaṭiggahaṇaucchādananahāpanapādaparikammena sakacittaṃ nikkhipitvā paracittānuvattanena dukkhaseyyāya visamabhojanena kāyaṃ ātāpentī’’ti? ‘‘Netaṃ, bhante nāgasena, sippasukhaṃ nāma, sippapariyesanāya pubbabhāgo eso, dukkhena, bhante nāgasena, ācariyā sippaṃ pariyesitvā sippasukhaṃ anubhavanti, evaṃ, bhante nāgasena, sippasukhaṃ dukkhena amissaṃ, aññaṃ taṃ sippasukhaṃ, aññaṃ dukkha’’nti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, ekantasukhaṃ nibbānaṃ, na dukkhena missaṃ. Ye pana taṃ nibbānaṃ pariyesanti, te kāyañca cittañca ātāpetvā ṭhānacaṅkamanisajjāsayanāhāraṃ pariggahetvā middhaṃ uparundhitvā āyatanāni paṭipīḷetvā kāyañca jīvitañca pariccajitvā dukkhena nibbānaṃ pariyesitvā ekantasukhaṃ nibbānaṃ anubhavanti, ācariyā viya sippasukhaṃ. Evaṃ, mahārāja, ekantasukhaṃ nibbānaṃ, na dukkhena missaṃ, aññaṃ dukkhaṃ, aññaṃ nibbāna’’nti. ‘‘Sādhu, bhante nāgasena, evametaṃ tathā sampaṭicchāmī’’ti.
เอกนฺตสุขนิพฺพานปโญฺห นวโมฯ
Ekantasukhanibbānapañho navamo.
Footnotes: