Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๔๙] ๙. เอกปณฺณชาตกวณฺณนา
[149] 9. Ekapaṇṇajātakavaṇṇanā
เอกปโณฺณ อยํ รุโกฺขติ อิทํ สตฺถา เวสาลิํ อุปนิสฺสาย มหาวเน กูฎาคารสาลายํ วิหรโนฺต เวสาลิกํ ทุฎฺฐลิจฺฉวิกุมารํ อารพฺภ กเถสิฯ ตสฺมิญฺหิ กาเล เวสาลินครํ คาวุตคาวุตนฺตเร ตีหิ ปากาเรหิ ปริกฺขิตฺตํ ตีสุ ฐาเนสุ โคปุรฎฺฎาลกยุตฺตํ ปรมโสภคฺคปฺปตฺตํฯ ตตฺถ นิจฺจกาลํ รชฺชํ กาเรตฺวา วสนฺตานเญฺญว ราชูนํ สตฺต สหสฺสานิ สตฺต สตานิ สตฺต จ ราชาโน โหนฺติ, ตตฺตกาเยว อุปราชาโน, ตตฺตกา เสนาปติโน, ตตฺตกา ภณฺฑาคาริกาฯ เตสํ ราชกุมารานํ อนฺตเร เอโก ทุฎฺฐลิจฺฉวิกุมาโร นาม อโหสิ โกธโน จโณฺฑ ผรุโส สาหสิโก, ทเณฺฑน ฆฎฺฎิตอาสีวิโส วิย นิจฺจํ ปชฺชลิโต โกเธนฯ ตสฺส ปุรโต เทฺว ตีณิ วจนานิ กเถตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ ตํ เนว มาตาปิตโร, น ญาตโย, น มิตฺตสุหชฺชา สิกฺขาเปตุํ สกฺขิํสุฯ อถสฺส มาตาปิตูนํ เอตทโหสิ ‘‘อยํ กุมาโร อติผรุโส สาหสิโก, ฐเปตฺวา สมฺมาสมฺพุทฺธํ อโญฺญ อิมํ วิเนตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, พุทฺธเวเนเยฺยน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ เต ตํ อาทาย สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อาหํสุ ‘‘ภเนฺต, อยํ กุมาโร จโณฺฑ ผรุโส โกเธน ปชฺชลติ, อิมสฺส โอวาทํ เทถา’’ติฯ
Ekapaṇṇo ayaṃ rukkhoti idaṃ satthā vesāliṃ upanissāya mahāvane kūṭāgārasālāyaṃ viharanto vesālikaṃ duṭṭhalicchavikumāraṃ ārabbha kathesi. Tasmiñhi kāle vesālinagaraṃ gāvutagāvutantare tīhi pākārehi parikkhittaṃ tīsu ṭhānesu gopuraṭṭālakayuttaṃ paramasobhaggappattaṃ. Tattha niccakālaṃ rajjaṃ kāretvā vasantānaññeva rājūnaṃ satta sahassāni satta satāni satta ca rājāno honti, tattakāyeva uparājāno, tattakā senāpatino, tattakā bhaṇḍāgārikā. Tesaṃ rājakumārānaṃ antare eko duṭṭhalicchavikumāro nāma ahosi kodhano caṇḍo pharuso sāhasiko, daṇḍena ghaṭṭitaāsīviso viya niccaṃ pajjalito kodhena. Tassa purato dve tīṇi vacanāni kathetuṃ samattho nāma natthi. Taṃ neva mātāpitaro, na ñātayo, na mittasuhajjā sikkhāpetuṃ sakkhiṃsu. Athassa mātāpitūnaṃ etadahosi ‘‘ayaṃ kumāro atipharuso sāhasiko, ṭhapetvā sammāsambuddhaṃ añño imaṃ vinetuṃ samattho nāma natthi, buddhaveneyyena bhavitabba’’nti. Te taṃ ādāya satthu santikaṃ gantvā vanditvā āhaṃsu ‘‘bhante, ayaṃ kumāro caṇḍo pharuso kodhena pajjalati, imassa ovādaṃ dethā’’ti.
สตฺถา ตํ กุมารํ โอวทิ – ‘‘กุมาร, อิเมสุ นาม สเตฺตสุ จเณฺฑน ผรุเสน สาหสิเกน วิเหฐกชาติเกน น ภวิตพฺพํ, ผรุสวาโจ จ นาม วิชาตมาตุยาปิ ปิตุโนปิ ปุตฺตทารสฺสปิ ภาติภคินีนมฺปิ ปชาปติยาปิ มิตฺตพนฺธวานมฺปิ อปฺปิโย โหติ อมนาโป, ฑํสิตุํ อาคจฺฉโนฺต สโปฺป วิย, อฎวิยํ อุฎฺฐิตโจโร วิย, ขาทิตุํ อาคจฺฉโนฺต ยโกฺข วิย จ อุเพฺพชนีโย หุตฺวา ทุติยจิตฺตวาเร นิรยาทีสุ นิพฺพตฺตติฯ ทิเฎฺฐเยว จ ธเมฺม โกธโน ปุคฺคโล มณฺฑิตปสาธิโตปิ ทุพฺพโณฺณว โหติ, ปุณฺณจนฺทสสฺสิริกมฺปิสฺส มุขํ ชาลาภิหตปทุมํ วิย มลคฺคหิตกญฺจนาทาสมณฺฑลํ วิย จ วิรูปํ โหติ ทุทฺทสิกํฯ โกธํ นิสฺสาย หิ สตฺตา สตฺถํ อาทาย อตฺตนาว อตฺตานํ ปหรนฺติ, วิสํ ขาทนฺติ, รชฺชุยา อุพฺพนฺธนฺติ, ปปาตา ปปตนฺติฯ เอวํ โกธวเสน กาลํ กตฺวา นิรยาทีสุ อุปฺปชฺชนฺติ, วิเหฐกชาติกาปิ ทิเฎฺฐว ธเมฺม ครหํ ปตฺวา กายสฺส เภทา นิรยาทีสุ อุปฺปชฺชนฺติ, ปุน มนุสฺสตฺตํ ลภิตฺวา วิชาตกาลโต ปฎฺฐาย โรคพหุลาว โหนฺติฯ จกฺขุโรโค โสตโรโคติอาทีสุ จ โรเคสุ เอกโต อุฎฺฐาย เอกสฺมิํ ปตนฺติ, โรเคน อปริมุตฺตาว หุตฺวา นิจฺจํ ทุกฺขิตาว โหนฺติ, ตสฺมา สเพฺพสุ สเตฺตสุ เมตฺตจิเตฺตน หิตจิเตฺตน มุทุจิเตฺตน ภวิตพฺพํฯ เอวรูโป หิ ปุคฺคโล นิรยาทิภเยหิ น ปริมุจฺจตี’’ติฯ โส กุมาโร สตฺถุ โอวาทํ สุตฺวา เอโกวาเทเนว นิหตมาโน ทโนฺต นิพฺพิเสวโน เมตฺตจิโตฺต มุทุจิโตฺต อโหสิฯ อญฺญํ อโกฺกสนฺตมฺปิ ปหรนฺตมฺปิ นิวตฺติตฺวา น โอโลเกสิ, อุทฺธฎทาโฐ วิย สโปฺป, อฬจฺฉิโนฺน วิย กกฺกฎโก, ฉินฺนวิสาโณ วิย จ อุสโภ อโหสิฯ
Satthā taṃ kumāraṃ ovadi – ‘‘kumāra, imesu nāma sattesu caṇḍena pharusena sāhasikena viheṭhakajātikena na bhavitabbaṃ, pharusavāco ca nāma vijātamātuyāpi pitunopi puttadārassapi bhātibhaginīnampi pajāpatiyāpi mittabandhavānampi appiyo hoti amanāpo, ḍaṃsituṃ āgacchanto sappo viya, aṭaviyaṃ uṭṭhitacoro viya, khādituṃ āgacchanto yakkho viya ca ubbejanīyo hutvā dutiyacittavāre nirayādīsu nibbattati. Diṭṭheyeva ca dhamme kodhano puggalo maṇḍitapasādhitopi dubbaṇṇova hoti, puṇṇacandasassirikampissa mukhaṃ jālābhihatapadumaṃ viya malaggahitakañcanādāsamaṇḍalaṃ viya ca virūpaṃ hoti duddasikaṃ. Kodhaṃ nissāya hi sattā satthaṃ ādāya attanāva attānaṃ paharanti, visaṃ khādanti, rajjuyā ubbandhanti, papātā papatanti. Evaṃ kodhavasena kālaṃ katvā nirayādīsu uppajjanti, viheṭhakajātikāpi diṭṭheva dhamme garahaṃ patvā kāyassa bhedā nirayādīsu uppajjanti, puna manussattaṃ labhitvā vijātakālato paṭṭhāya rogabahulāva honti. Cakkhurogo sotarogotiādīsu ca rogesu ekato uṭṭhāya ekasmiṃ patanti, rogena aparimuttāva hutvā niccaṃ dukkhitāva honti, tasmā sabbesu sattesu mettacittena hitacittena muducittena bhavitabbaṃ. Evarūpo hi puggalo nirayādibhayehi na parimuccatī’’ti. So kumāro satthu ovādaṃ sutvā ekovādeneva nihatamāno danto nibbisevano mettacitto muducitto ahosi. Aññaṃ akkosantampi paharantampi nivattitvā na olokesi, uddhaṭadāṭho viya sappo, aḷacchinno viya kakkaṭako, chinnavisāṇo viya ca usabho ahosi.
ตสฺส ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, ทุฎฺฐลิจฺฉวิกุมารํ สุจิรมฺปิ โอวทิตฺวา เนว มาตาปิตโร, น ญาติมิตฺตาทโย ทเมตุํ สกฺขิํสุ, สมฺมาสมฺพุโทฺธ ปน ตํ เอโกวาเทเนว ทเมตฺวา นิพฺพิเสวนํ กตฺวา มตฺตวรวารณํ วิย สมุคฺคหิตาเนญฺชการณํ อกาสิฯ ยาว สุภาสิตํ จิทํ – ‘หตฺถิทมเกน, ภิกฺขเว, หตฺถิทโมฺม สาริโต เอกํเยว ทิสํ ธาวติ ปุรตฺถิมํ วา ปจฺฉิมํ วา อุตฺตรํ วา ทกฺขิณํ วาฯ อสฺสทมเกน…เป.… โคทมเกน…เป.… ทกฺขิณํ วาฯ ตถาคเตน หิ, ภิกฺขเว, อรหตา สมฺมาสมฺพุเทฺธน ปุริสทโมฺม สาริโต อฎฺฐ ทิสา วิธาวติ, รูปี รูปานิ ปสฺสติฯ อยเมกา ทิสา…เป.… โส วุจฺจติ ‘โยคฺคาจริยานํ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถี’ติ (ม. นิ. ๓.๓๑๒)ฯ น หิ, อาวุโส, สมฺมาสมฺพุเทฺธน สทิโส ปุริสทมฺมสารถี นาม อตฺถี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนเวส มยา เอโกวาเทเนว ทมิโต, ปุเพฺพปาหํ อิมํ เอโกวาเทเนว ทเมสิ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Tassa taṃ pavattiṃ ñatvā bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, duṭṭhalicchavikumāraṃ sucirampi ovaditvā neva mātāpitaro, na ñātimittādayo dametuṃ sakkhiṃsu, sammāsambuddho pana taṃ ekovādeneva dametvā nibbisevanaṃ katvā mattavaravāraṇaṃ viya samuggahitāneñjakāraṇaṃ akāsi. Yāva subhāsitaṃ cidaṃ – ‘hatthidamakena, bhikkhave, hatthidammo sārito ekaṃyeva disaṃ dhāvati puratthimaṃ vā pacchimaṃ vā uttaraṃ vā dakkhiṇaṃ vā. Assadamakena…pe… godamakena…pe… dakkhiṇaṃ vā. Tathāgatena hi, bhikkhave, arahatā sammāsambuddhena purisadammo sārito aṭṭha disā vidhāvati, rūpī rūpāni passati. Ayamekā disā…pe… so vuccati ‘yoggācariyānaṃ anuttaro purisadammasārathī’ti (ma. ni. 3.312). Na hi, āvuso, sammāsambuddhena sadiso purisadammasārathī nāma atthī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idānevesa mayā ekovādeneva damito, pubbepāhaṃ imaṃ ekovādeneva damesi’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อุทิจฺจพฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ ตโย เวเท สพฺพสิปฺปานิ จ อุคฺคเหตฺวา กิญฺจิ กาลํ ฆราวาสํ วสิตฺวา มาตาปิตูนํ อจฺจเยน อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา หิมวเนฺต วาสํ กเปฺปสิฯ ตตฺถ จิรํ วสิตฺวา โลณมฺพิลเสวนตฺถาย ชนปทํ คนฺตฺวา พาราณสิํ ปตฺวา ราชุยฺยาเน วสิตฺวา ปุนทิวเส สุนิวโตฺถ สุปารุโต ตาปสากปฺปสมฺปโนฺน ภิกฺขาย นครํ ปวิสิตฺวา ราชงฺคณํ ปาปุณิฯ ราชา สีหปญฺชเรน โอโลเกโนฺต ตํ ทิสฺวา อิริยาปเถ ปสีทิตฺวา ‘‘อยํ ตาปโส สนฺตินฺทฺริโย สนฺตมานโส ยุคมตฺตทโส, ปทวาเร ปทวาเร สหสฺสตฺถวิกํ ฐเปโนฺต วิย สีหวิชมฺภิเตน อาคจฺฉติฯ สเจ สนฺตธโมฺม นาเมโก อตฺถิ, อิมสฺส เตนพฺภนฺตเร ภวิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา เอกํ อมจฺจํ โอโลเกสิฯ โส ‘‘กิํ กโรมิ, เทวา’’ติ อาหฯ เอตํ ‘‘ตาปสํ อาเนหี’’ติฯ โส ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา หตฺถโต ภิกฺขาภาชนํ คเหตฺวา ‘‘กิํ, มหาปุญฺญา’’ติ วุเตฺต ‘‘ภเนฺต, ราชา ตํ ปโกฺกสตี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ‘‘น มยํ ราชกุลูปกา, เหมวนฺติกา นามมฺหา’’ติ อาหฯ อมโจฺจ คนฺตฺวา ตมตฺถํ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘อโญฺญ อมฺหากํ กุลูปโก นตฺถิ, อาเนหิ น’’นฺติ อาหฯ อมโจฺจ คนฺตฺวา โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา ยาจิตฺวา ราชนิเวสนํ ปเวเสสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto udiccabrāhmaṇakule nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ tayo vede sabbasippāni ca uggahetvā kiñci kālaṃ gharāvāsaṃ vasitvā mātāpitūnaṃ accayena isipabbajjaṃ pabbajitvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattetvā himavante vāsaṃ kappesi. Tattha ciraṃ vasitvā loṇambilasevanatthāya janapadaṃ gantvā bārāṇasiṃ patvā rājuyyāne vasitvā punadivase sunivattho supāruto tāpasākappasampanno bhikkhāya nagaraṃ pavisitvā rājaṅgaṇaṃ pāpuṇi. Rājā sīhapañjarena olokento taṃ disvā iriyāpathe pasīditvā ‘‘ayaṃ tāpaso santindriyo santamānaso yugamattadaso, padavāre padavāre sahassatthavikaṃ ṭhapento viya sīhavijambhitena āgacchati. Sace santadhammo nāmeko atthi, imassa tenabbhantare bhavitabba’’nti cintetvā ekaṃ amaccaṃ olokesi. So ‘‘kiṃ karomi, devā’’ti āha. Etaṃ ‘‘tāpasaṃ ānehī’’ti. So ‘‘sādhu, devā’’ti bodhisattaṃ upasaṅkamitvā vanditvā hatthato bhikkhābhājanaṃ gahetvā ‘‘kiṃ, mahāpuññā’’ti vutte ‘‘bhante, rājā taṃ pakkosatī’’ti āha. Bodhisatto ‘‘na mayaṃ rājakulūpakā, hemavantikā nāmamhā’’ti āha. Amacco gantvā tamatthaṃ rañño ārocesi. Rājā ‘‘añño amhākaṃ kulūpako natthi, ānehi na’’nti āha. Amacco gantvā bodhisattaṃ vanditvā yācitvā rājanivesanaṃ pavesesi.
ราชา โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา สมุสฺสิตเสตจฺฉเตฺต กญฺจนปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา อตฺตโน ปฎิยตฺตํ นานคฺครสโภชนํ โภเชตฺวา ‘‘กหํ, ภเนฺต, วสถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เหมวนฺติกา มยํ, มหาราชา’’ติฯ ‘‘อิทานิ กหํ คจฺฉถา’’ติ? ‘‘วสฺสารตฺตานุรูปํ เสนาสนํ อุปธาเรม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, อมฺหากเญฺญว อุยฺยาเน วสถา’’ติ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา สยมฺปิ ภุญฺชิตฺวา โพธิสตฺตํ อาทาย อุยฺยานํ คนฺตฺวา ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานาปิ กาเรตฺวา ปพฺพชิตปริกฺขาเร ทตฺวา อุยฺยานปาลํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา นครํ ปาวิสิฯ ตโต ปฎฺฐาย โพธิสโตฺต อุยฺยาเน วสติฯ ราชาปิสฺส ทิวเส ทิวเส ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ อุปฎฺฐานํ คจฺฉติฯ
Rājā bodhisattaṃ vanditvā samussitasetacchatte kañcanapallaṅke nisīdāpetvā attano paṭiyattaṃ nānaggarasabhojanaṃ bhojetvā ‘‘kahaṃ, bhante, vasathā’’ti pucchi. ‘‘Hemavantikā mayaṃ, mahārājā’’ti. ‘‘Idāni kahaṃ gacchathā’’ti? ‘‘Vassārattānurūpaṃ senāsanaṃ upadhārema, mahārājā’’ti. ‘‘Tena hi, bhante, amhākaññeva uyyāne vasathā’’ti paṭiññaṃ gahetvā sayampi bhuñjitvā bodhisattaṃ ādāya uyyānaṃ gantvā paṇṇasālaṃ māpetvā rattiṭṭhānadivāṭṭhānāpi kāretvā pabbajitaparikkhāre datvā uyyānapālaṃ paṭicchāpetvā nagaraṃ pāvisi. Tato paṭṭhāya bodhisatto uyyāne vasati. Rājāpissa divase divase dvattikkhattuṃ upaṭṭhānaṃ gacchati.
ตสฺส ปน รโญฺญ ทุฎฺฐกุมาโร นาม ปุโตฺต อโหสิ จโณฺฑ ผรุโส, เนว นํ ราชา ทเมตุํ อสกฺขิ, น เสสญาตกาฯ อมจฺจาปิ พฺราหฺมณคหปติกาปิ เอกโต หุตฺวา ‘‘สามิ, มา เอวํ กริ, เอวํ กาตุํ น ลพฺภา’’ติ กุชฺฌิตฺวา กเถนฺตาปิ กถํ คาหาเปตุํ นาสกฺขิํสุฯ ราชา จิเนฺตสิ ‘‘ฐเปตฺวา มม อยฺยํ หิมวนฺตตาปสํ อโญฺญ อิมํ กุมารํ ทเมตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, โสเยว นํ ทเมสฺสตี’’ติฯ โส กุมารํ อาทาย โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ภเนฺต, อยํ กุมาโร จโณฺฑ ผรุโส , มยํ อิมํ ทเมตุํ น สโกฺกม, ตุเมฺห นํ เอเกน อุปาเยน สิกฺขาเปถา’’ติ กุมารํ โพธิสตฺตสฺส นิยฺยาเทตฺวา ปกฺกามิฯ โพธิสโตฺต กุมารํ คเหตฺวา อุยฺยาเน วิจรโนฺต เอกโต เอเกน, เอกโต เอเกนาติ ทฺวีหิเยว ปเตฺตหิ เอกํ นิมฺพโปตกํ ทิสฺวา กุมารํ อาห – ‘‘กุมาร, เอตสฺส ตาว รุกฺขโปตกสฺส ปณฺณํ ขาทิตฺวา รสํ ชานาหี’’ติ? โส ตสฺส เอกํ ปตฺตํ ขาทิตฺวา รสํ ญตฺวา ‘‘ธี’’ติ สห เขเฬน ภูมิยํ นุฎฺฐาภิฯ ‘‘กิํ เอตํ, กุมารา’’ติ วุเตฺต ‘‘ภเนฺต, อิทาเนเวส รุโกฺข หลาหลวิสูปโม, วฑฺฒโนฺต ปน พหู มนุเสฺส มาเรสฺสตี’’ติ ตํ นิมฺพโปตกํ อุปฺปาเฎตฺวา หเตฺถหิ ปริมทฺทิตฺวา อิมํ คาถมาห –
Tassa pana rañño duṭṭhakumāro nāma putto ahosi caṇḍo pharuso, neva naṃ rājā dametuṃ asakkhi, na sesañātakā. Amaccāpi brāhmaṇagahapatikāpi ekato hutvā ‘‘sāmi, mā evaṃ kari, evaṃ kātuṃ na labbhā’’ti kujjhitvā kathentāpi kathaṃ gāhāpetuṃ nāsakkhiṃsu. Rājā cintesi ‘‘ṭhapetvā mama ayyaṃ himavantatāpasaṃ añño imaṃ kumāraṃ dametuṃ samattho nāma natthi, soyeva naṃ damessatī’’ti. So kumāraṃ ādāya bodhisattassa santikaṃ gantvā ‘‘bhante, ayaṃ kumāro caṇḍo pharuso , mayaṃ imaṃ dametuṃ na sakkoma, tumhe naṃ ekena upāyena sikkhāpethā’’ti kumāraṃ bodhisattassa niyyādetvā pakkāmi. Bodhisatto kumāraṃ gahetvā uyyāne vicaranto ekato ekena, ekato ekenāti dvīhiyeva pattehi ekaṃ nimbapotakaṃ disvā kumāraṃ āha – ‘‘kumāra, etassa tāva rukkhapotakassa paṇṇaṃ khāditvā rasaṃ jānāhī’’ti? So tassa ekaṃ pattaṃ khāditvā rasaṃ ñatvā ‘‘dhī’’ti saha kheḷena bhūmiyaṃ nuṭṭhābhi. ‘‘Kiṃ etaṃ, kumārā’’ti vutte ‘‘bhante, idānevesa rukkho halāhalavisūpamo, vaḍḍhanto pana bahū manusse māressatī’’ti taṃ nimbapotakaṃ uppāṭetvā hatthehi parimadditvā imaṃ gāthamāha –
๑๔๙.
149.
‘‘เอกปโณฺณ อยํ รุโกฺข, น ภูมฺยา จตุรงฺคุโล;
‘‘Ekapaṇṇo ayaṃ rukkho, na bhūmyā caturaṅgulo;
ผเลน วิสกเปฺปน, มหายํ กิํ ภวิสฺสตี’’ติฯ
Phalena visakappena, mahāyaṃ kiṃ bhavissatī’’ti.
ตตฺถ เอกปโณฺณติ อุโภสุ ปเสฺสสุ เอเกกปโณฺณฯ น ภูมฺยา จตุรงฺคุโลติ ภูมิโต จตุรงฺคุลมตฺตมฺปิ น วฑฺฒิโตฯ ผเลนาติ ผลรเสนฯ วิสกเปฺปนาติ หลาหลวิสสทิเสนฯ เอวํ ขุทฺทโกปิ สมาโน เอวรูเปน ติตฺตเกน ปเณฺณน สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ มหายํ กิํ ภวิสฺสตีติ ยทา ปนายํ วุทฺธิปฺปโตฺต มหา ภวิสฺสติ, ตทา กิํ นาม ภวิสฺสติ, อทฺธา มนุสฺสมารโก ภวิสฺสตีติ เอตํ อุปฺปาเฎตฺวา มทฺทิตฺวา ฉเฑฺฑสินฺติ อาหฯ
Tattha ekapaṇṇoti ubhosu passesu ekekapaṇṇo. Na bhūmyā caturaṅguloti bhūmito caturaṅgulamattampi na vaḍḍhito. Phalenāti phalarasena. Visakappenāti halāhalavisasadisena. Evaṃ khuddakopi samāno evarūpena tittakena paṇṇena samannāgatoti attho. Mahāyaṃ kiṃ bhavissatīti yadā panāyaṃ vuddhippatto mahā bhavissati, tadā kiṃ nāma bhavissati, addhā manussamārako bhavissatīti etaṃ uppāṭetvā madditvā chaḍḍesinti āha.
อถ นํ โพธิสโตฺต เอตทโวจ ‘‘กุมาร, ตฺวํ อิมํ นิมฺพโปตกํ ‘อิทาเนว เอวํติตฺตโก, มหลฺลกกาเล กิํ ภวิสฺสติ, กุโต อิมํ นิสฺสาย วุฑฺฒี’ติ อุปฺปาเฎตฺวา มทฺทิตฺวา ฉเฑฺฑสิ? ยถา ตฺวํ เอตสฺมิํ ปฎิปชฺชิ, เอวเมว ตว รฎฺฐวาสิโนปิ ‘อยํ กุมาโร ทหรกาเลเยว เอวํ จโณฺฑ ผรุโส, มหลฺลกกาเล รชฺชํ ปตฺวา กิํ นาม กริสฺสติ, กุโต อมฺหากํ เอตํ นิสฺสาย วุฑฺฒี’ติ ตว กุลสนฺตกํ รชฺชํ อทตฺวา นิมฺพโปตกํ วิย ตํ อุปฺปาเฎตฺวา รฎฺฐา ปพฺพาชนียกมฺมํ กริสฺสนฺติ, ตสฺมา นิมฺพรุกฺขปฎิภาคตํ หิตฺวา อิโต ปฎฺฐาย ขนฺติเมตฺตานุทฺทยสมฺปโนฺน โหหี’’ติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย นิหตมาโน นิพฺพิเสวโน ขนฺติเมตฺตานุทฺทยสมฺปโนฺน หุตฺวา โพธิสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา ปิตุ อจฺจเยน รชฺชํ ปตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา ยถากมฺมํ อคมาสิฯ
Atha naṃ bodhisatto etadavoca ‘‘kumāra, tvaṃ imaṃ nimbapotakaṃ ‘idāneva evaṃtittako, mahallakakāle kiṃ bhavissati, kuto imaṃ nissāya vuḍḍhī’ti uppāṭetvā madditvā chaḍḍesi? Yathā tvaṃ etasmiṃ paṭipajji, evameva tava raṭṭhavāsinopi ‘ayaṃ kumāro daharakāleyeva evaṃ caṇḍo pharuso, mahallakakāle rajjaṃ patvā kiṃ nāma karissati, kuto amhākaṃ etaṃ nissāya vuḍḍhī’ti tava kulasantakaṃ rajjaṃ adatvā nimbapotakaṃ viya taṃ uppāṭetvā raṭṭhā pabbājanīyakammaṃ karissanti, tasmā nimbarukkhapaṭibhāgataṃ hitvā ito paṭṭhāya khantimettānuddayasampanno hohī’’ti. So tato paṭṭhāya nihatamāno nibbisevano khantimettānuddayasampanno hutvā bodhisattassa ovāde ṭhatvā pitu accayena rajjaṃ patvā dānādīni puññāni katvā yathākammaṃ agamāsi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนเวส ทุฎฺฐลิจฺฉวิกุมาโร มยา ทมิโต, ปุเพฺพปาหํ เอตํ ทเมสิํเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ทุฎฺฐกุมาโร อยํ ลิจฺฉวิกุมาโร อโหสิ, ราชา อานโนฺท, โอวาททายกตาปโส ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idānevesa duṭṭhalicchavikumāro mayā damito, pubbepāhaṃ etaṃ damesiṃyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā duṭṭhakumāro ayaṃ licchavikumāro ahosi, rājā ānando, ovādadāyakatāpaso pana ahameva ahosi’’nti.
เอกปณฺณชาตกวณฺณนา นวมาฯ
Ekapaṇṇajātakavaṇṇanā navamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๔๙. เอกปณฺณชาตกํ • 149. Ekapaṇṇajātakaṃ