Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)

    ๑๓. เอกปุคฺคลวคฺควณฺณนา

    13. Ekapuggalavaggavaṇṇanā

    ๑๗๐. เอกปุคฺคลวคฺคสฺส ปฐเม เอกปุคฺคโลติ เอโก ปุคฺคโลฯ เอตฺถ เอโกติ ทุติยาทิปฎิเกฺขปโตฺถ คณนปริเจฺฉโทฯ ปุคฺคโลติ สมฺมุติกถา, น ปรมตฺถกถาฯ พุทฺธสฺส หิ ภควโต ทุวิธา เทสนา – สมฺมุติเทสนา, ปรมตฺถเทสนา จาติฯ ตตฺถ ‘‘ปุคฺคโล สโตฺต อิตฺถี ปุริโส ขตฺติโย พฺราหฺมโณ เทโว มาโร’’ติ เอวรูปา สมฺมุติเทสนา, ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ขนฺธา ธาตู อายตนานิ สติปฎฺฐานา’’ติ เอวรูปา ปรมตฺถเทสนาฯ ตตฺถ ภควา เย สมฺมุติวเสน เทสนํ สุตฺวา อตฺถํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา โมหํ ปหาย วิเสสํ อธิคนฺตุํ สมตฺถา, เตสํ สมฺมุติเทสนํ เทเสติฯ เย ปน ปรมตฺถวเสน เทสนํ สุตฺวา อตฺถํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา โมหํ ปหาย วิเสสมธิคนฺตุํ สมตฺถา, เตสํ ปรมตฺถเทสนํ เทเสติฯ

    170. Ekapuggalavaggassa paṭhame ekapuggaloti eko puggalo. Ettha ekoti dutiyādipaṭikkhepattho gaṇanaparicchedo. Puggaloti sammutikathā, na paramatthakathā. Buddhassa hi bhagavato duvidhā desanā – sammutidesanā, paramatthadesanā cāti. Tattha ‘‘puggalo satto itthī puriso khattiyo brāhmaṇo devo māro’’ti evarūpā sammutidesanā, ‘‘aniccaṃ dukkhaṃ anattā khandhā dhātū āyatanāni satipaṭṭhānā’’ti evarūpā paramatthadesanā. Tattha bhagavā ye sammutivasena desanaṃ sutvā atthaṃ paṭivijjhitvā mohaṃ pahāya visesaṃ adhigantuṃ samatthā, tesaṃ sammutidesanaṃ deseti. Ye pana paramatthavasena desanaṃ sutvā atthaṃ paṭivijjhitvā mohaṃ pahāya visesamadhigantuṃ samatthā, tesaṃ paramatthadesanaṃ deseti.

    ตตฺรายํ อุปมา – ยถา หิ เทสภาสากุสโล ติณฺณํ เวทานํ อตฺถสํวณฺณนโก อาจริโย เย ทมิฬภาสาย วุเตฺต อตฺถํ ชานนฺติ, เตสํ ทมิฬภาสาย อาจิกฺขติฯ เย อนฺธภาสาทีสุ อญฺญตราย ภาสาย , เตสํ ตาย ตาย ภาสายฯ เอวํ เต มาณวกา เฉกํ พฺยตฺตํ อาจริยมาคมฺม ขิปฺปเมว สิปฺปํ อุคฺคณฺหนฺติฯ ตตฺถ อาจริโย วิย พุโทฺธ ภควา, ตโย เวทา วิย กเถตพฺพภาเว ฐิตานิ ตีณิ ปิฎกานิ, เทสภาสาโกสลฺลมิว สมฺมุติปรมตฺถโกสลฺลํ, นานาเทสภาสา มาณวกา วิย สมฺมุติปรมตฺถวเสน ปฎิวิชฺฌนสมตฺถา เวเนยฺยสตฺตา, อาจริยสฺส ทมิฬภาสาทิอาจิกฺขนํ วิย ภควโต สมฺมุติปรมตฺถวเสน เทสนา เวทิตพฺพาฯ อาห เจตฺถ –

    Tatrāyaṃ upamā – yathā hi desabhāsākusalo tiṇṇaṃ vedānaṃ atthasaṃvaṇṇanako ācariyo ye damiḷabhāsāya vutte atthaṃ jānanti, tesaṃ damiḷabhāsāya ācikkhati. Ye andhabhāsādīsu aññatarāya bhāsāya , tesaṃ tāya tāya bhāsāya. Evaṃ te māṇavakā chekaṃ byattaṃ ācariyamāgamma khippameva sippaṃ uggaṇhanti. Tattha ācariyo viya buddho bhagavā, tayo vedā viya kathetabbabhāve ṭhitāni tīṇi piṭakāni, desabhāsākosallamiva sammutiparamatthakosallaṃ, nānādesabhāsā māṇavakā viya sammutiparamatthavasena paṭivijjhanasamatthā veneyyasattā, ācariyassa damiḷabhāsādiācikkhanaṃ viya bhagavato sammutiparamatthavasena desanā veditabbā. Āha cettha –

    ‘‘ทุเว สจฺจานิ อกฺขาสิ, สมฺพุโทฺธ วทตํ วโร;

    ‘‘Duve saccāni akkhāsi, sambuddho vadataṃ varo;

    สมฺมุติํ ปรมตฺถญฺจ, ตติยํ นุปลพฺภติฯ

    Sammutiṃ paramatthañca, tatiyaṃ nupalabbhati.

    ‘‘สเงฺกตวจนํ สจฺจํ, โลกสมฺมุติการณา;

    ‘‘Saṅketavacanaṃ saccaṃ, lokasammutikāraṇā;

    ปรมตฺถวจนํ สจฺจํ, ธมฺมานํ ภูตการณาฯ

    Paramatthavacanaṃ saccaṃ, dhammānaṃ bhūtakāraṇā.

    ‘‘ตสฺมา โวหารกุสลสฺส, โลกนาถสฺส สตฺถุโน;

    ‘‘Tasmā vohārakusalassa, lokanāthassa satthuno;

    สมฺมุติํ โวหรนฺตสฺส, มุสาวาโท น ชายตี’’ติฯ

    Sammutiṃ voharantassa, musāvādo na jāyatī’’ti.

    อปิจ อฎฺฐหิ การเณหิ ภควา ปุคฺคลกถํ กเถติ – หิโรตฺตปฺปทีปนตฺถํ, กมฺมสฺสกตาทีปนตฺถํ, ปจฺจตฺตปุริสการทีปนตฺถํ, อานนฺตริยทีปนตฺถํ, พฺรหฺมวิหารทีปนตฺถํ, ปุเพฺพนิวาสทีปนตฺถํ, ทกฺขิณาวิสุทฺธิทีปนตฺถํ, โลกสมฺมุติยา อปฺปหานตฺถญฺจาติฯ ‘‘ขนฺธธาตุอายตนานิ หิริยนฺติ โอตฺตปฺปนฺตี’’ติ หิ วุเตฺต มหาชโน น ชานาติ, สโมฺมหมาปชฺชติ, ปฎิสตฺตุ โหติ ‘‘กิมิทํ ขนฺธธาตุอายตนานิ หิริยนฺติ โอตฺตปฺปนฺติ นามา’’ติ? ‘‘อิตฺถี หิริยติ โอตฺตปฺปติ, ปุริโส ขตฺติโย พฺราหฺมโณ เทโว มาโร’’ติ วุเตฺต ปน ชานาติ, น สโมฺมหมาปชฺชติ, น ปฎิสตฺตุ โหติฯ ตสฺมา ภควา หิโรตฺตปฺปทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ

    Apica aṭṭhahi kāraṇehi bhagavā puggalakathaṃ katheti – hirottappadīpanatthaṃ, kammassakatādīpanatthaṃ, paccattapurisakāradīpanatthaṃ, ānantariyadīpanatthaṃ, brahmavihāradīpanatthaṃ, pubbenivāsadīpanatthaṃ, dakkhiṇāvisuddhidīpanatthaṃ, lokasammutiyā appahānatthañcāti. ‘‘Khandhadhātuāyatanāni hiriyanti ottappantī’’ti hi vutte mahājano na jānāti, sammohamāpajjati, paṭisattu hoti ‘‘kimidaṃ khandhadhātuāyatanāni hiriyanti ottappanti nāmā’’ti? ‘‘Itthī hiriyati ottappati, puriso khattiyo brāhmaṇo devo māro’’ti vutte pana jānāti, na sammohamāpajjati, na paṭisattu hoti. Tasmā bhagavā hirottappadīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti.

    ‘‘ขนฺธา กมฺมสฺสกา, ธาตุโย อายตนานี’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ ตสฺมา ภควา กมฺมสฺสกตาทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ

    ‘‘Khandhā kammassakā, dhātuyo āyatanānī’’ti vuttepi eseva nayo. Tasmā bhagavā kammassakatādīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti.

    ‘‘เวฬุวนาทโย มหาวิหารา ขเนฺธหิ การาปิตา, ธาตูหิ อายตเนหี’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ ตสฺมา ภควา ปจฺจตฺตปุริสการทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ

    ‘‘Veḷuvanādayo mahāvihārā khandhehi kārāpitā, dhātūhi āyatanehī’’ti vuttepi eseva nayo. Tasmā bhagavā paccattapurisakāradīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti.

    ‘‘ขนฺธา มาตรํ ชีวิตา โวโรเปนฺติ, ปิตรํ, อรหนฺตํ, รุหิรุปฺปาทกมฺมํ, สงฺฆเภทกมฺมํ กโรนฺติ, ธาตุโย อายตนานี’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ ตสฺมา ภควา อานนฺตริยทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ

    ‘‘Khandhā mātaraṃ jīvitā voropenti, pitaraṃ, arahantaṃ, ruhiruppādakammaṃ, saṅghabhedakammaṃ karonti, dhātuyo āyatanānī’’ti vuttepi eseva nayo. Tasmā bhagavā ānantariyadīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti.

    ‘‘ขนฺธา เมตฺตายนฺติ, ธาตุโย อายตนานี’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ ตสฺมา ภควา พฺรหฺมวิหารทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ

    ‘‘Khandhā mettāyanti, dhātuyo āyatanānī’’ti vuttepi eseva nayo. Tasmā bhagavā brahmavihāradīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti.

    ‘‘ขนฺธา ปุเพฺพนิวาสมนุสฺสรนฺติ, ธาตุโย อายตนานี’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ ตสฺมา ภควา ปุเพฺพนิวาสทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ

    ‘‘Khandhā pubbenivāsamanussaranti, dhātuyo āyatanānī’’ti vuttepi eseva nayo. Tasmā bhagavā pubbenivāsadīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti.

    ‘‘ขนฺธา ทานํ ปฎิคฺคณฺหนฺติ, ธาตุโย อายตนานี’’ติ วุเตฺตปิ มหาชโน น ชานาติ, สโมฺมหํ อาปชฺชติ, ปฎิสตฺตุ โหติ ‘‘กิมิทํ ขนฺธธาตุอายตนานิ ปฎิคฺคณฺหนฺติ นามา’’ติ? ‘‘ปุคฺคลา ปฎิคฺคณฺหนฺติ สีลวโนฺต กลฺยาณธโมฺม’’ติ วุเตฺต ปน ชานาติ, น สโมฺมหํ อาปชฺชติ, น ปฎิสตฺตุ โหติฯ ตสฺมา ภควา ทกฺขิณาวิสุทฺธิทีปนตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ

    ‘‘Khandhā dānaṃ paṭiggaṇhanti, dhātuyo āyatanānī’’ti vuttepi mahājano na jānāti, sammohaṃ āpajjati, paṭisattu hoti ‘‘kimidaṃ khandhadhātuāyatanāni paṭiggaṇhanti nāmā’’ti? ‘‘Puggalā paṭiggaṇhanti sīlavanto kalyāṇadhammo’’ti vutte pana jānāti, na sammohaṃ āpajjati, na paṭisattu hoti. Tasmā bhagavā dakkhiṇāvisuddhidīpanatthaṃ puggalakathaṃ katheti.

    โลกสมฺมุติญฺจ พุทฺธา ภควโนฺต นปฺปชหนฺติ, โลกสมญฺญาย โลกนิรุตฺติยา โลกาภิลาเป ฐิตาเยว ธมฺมํ เทเสนฺติฯ ตสฺมา ภควา โลกสมฺมุติยา อปฺปหานตฺถมฺปิ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ

    Lokasammutiñca buddhā bhagavanto nappajahanti, lokasamaññāya lokaniruttiyā lokābhilāpe ṭhitāyeva dhammaṃ desenti. Tasmā bhagavā lokasammutiyā appahānatthampi puggalakathaṃ katheti.

    อิติ เอโก จ โส ปุคฺคโล จาติ เอกปุคฺคโลฯ เกนเฎฺฐน เอกปุคฺคโล? อสทิสเฎฺฐน คุณวิสิฎฺฐเฎฺฐน อสมสมเฎฺฐนาติฯ โส หิ ทสนฺนํ ปารมีนํ ปฎิปาฎิยา อาวชฺชนํ อาทิํ กตฺวา โพธิสมฺภารคุเณหิ เจว พุทฺธคุเณหิ จ เสสมหาชเนน อสทิโสติ อสทิสเฎฺฐนปิ เอกปุคฺคโลฯ เย จสฺส เต คุณา, เต เสสสตฺตานํ คุเณหิ วิสิฎฺฐาติ คุณวิสิฎฺฐเฎฺฐนปิ เอกปุคฺคโลฯ ปุริมกา สมฺมาสมฺพุทฺธา สพฺพสเตฺตหิ อสมา, เตหิ สทฺธิํ อยเมว เอโก รูปกายคุเณหิ เจว นามกายคุเณหิ จ สโมติ อสมสมเฎฺฐนปิ เอกปุคฺคโลฯ

    Iti eko ca so puggalo cāti ekapuggalo. Kenaṭṭhena ekapuggalo? Asadisaṭṭhena guṇavisiṭṭhaṭṭhena asamasamaṭṭhenāti. So hi dasannaṃ pāramīnaṃ paṭipāṭiyā āvajjanaṃ ādiṃ katvā bodhisambhāraguṇehi ceva buddhaguṇehi ca sesamahājanena asadisoti asadisaṭṭhenapi ekapuggalo. Ye cassa te guṇā, te sesasattānaṃ guṇehi visiṭṭhāti guṇavisiṭṭhaṭṭhenapi ekapuggalo. Purimakā sammāsambuddhā sabbasattehi asamā, tehi saddhiṃ ayameva eko rūpakāyaguṇehi ceva nāmakāyaguṇehi ca samoti asamasamaṭṭhenapi ekapuggalo.

    โลเกติ ตโย โลกา – สตฺตโลโก, โอกาสโลโก, สงฺขารโลโกติฯ เตสํ วิตฺถารกถา วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๓๕-๑๓๖) วุตฺตาฯ เตสุ อิธ สตฺตโลโก อธิเปฺปโตฯ สตฺตโลเก อุปฺปชฺชมาโนปิ เจส น เทวโลเก, น พฺรหฺมโลเก, มนุสฺสโลเกเยว อุปฺปชฺชติฯ มนุสฺสโลเกปิ น อญฺญสฺมิํ จกฺกวาเฬ, อิมสฺมิํเยว จกฺกวาเฬ อุปฺปชฺชติฯ ตตฺราปิ น สพฺพฎฺฐาเนสุฯ

    Loketi tayo lokā – sattaloko, okāsaloko, saṅkhāralokoti. Tesaṃ vitthārakathā visuddhimagge (visuddhi. 1.135-136) vuttā. Tesu idha sattaloko adhippeto. Sattaloke uppajjamānopi cesa na devaloke, na brahmaloke, manussalokeyeva uppajjati. Manussalokepi na aññasmiṃ cakkavāḷe, imasmiṃyeva cakkavāḷe uppajjati. Tatrāpi na sabbaṭṭhānesu.

    ‘‘ปุรตฺถิมาย ทิสาย คชงฺคลํ นาม นิคโม, ตสฺส ปเรน มหาสาลา, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ปุรตฺถิมทกฺขิณาย ทิสาย สลฺลวตี นาม นที, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ทกฺขิณาย ทิสาย เสตกณฺณิกํ นาม นิคโม, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ ปจฺฉิมาย ทิสาย ถูณํ นาม พฺราหฺมณคาโม, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌฯ อุตฺตราย ทิสาย อุสีรทฺธโช นาม ปพฺพโต, ตโต ปรา ปจฺจนฺติมา ชนปทา, โอรโต มเชฺฌ’’ติ (มหาว. ๒๕๙) เอวํ ปริจฺฉิเนฺน อายามโต ติโยชนสเต วิตฺถารโต อฑฺฒเตยฺยโยชนสเต ปริเกฺขปโต นวโยชนสเต มชฺฌิมเทเส อุปฺปชฺชติฯ น เกวลญฺจ ตถาคโตว, ปเจฺจกพุทฺธา อคฺคสาวกา อสีติ มหาเถรา พุทฺธมาตา พุทฺธปิตา จกฺกวตฺตี ราชา อเญฺญ จ สารปฺปตฺตา พฺราหฺมณคหปติกา เอเตฺถว อุปฺปชฺชนฺติฯ

    ‘‘Puratthimāya disāya gajaṅgalaṃ nāma nigamo, tassa parena mahāsālā, tato parā paccantimā janapadā, orato majjhe. Puratthimadakkhiṇāya disāya sallavatī nāma nadī, tato parā paccantimā janapadā, orato majjhe. Dakkhiṇāya disāya setakaṇṇikaṃ nāma nigamo, tato parā paccantimā janapadā, orato majjhe. Pacchimāya disāya thūṇaṃ nāma brāhmaṇagāmo, tato parā paccantimā janapadā, orato majjhe. Uttarāya disāya usīraddhajo nāma pabbato, tato parā paccantimā janapadā, orato majjhe’’ti (mahāva. 259) evaṃ paricchinne āyāmato tiyojanasate vitthārato aḍḍhateyyayojanasate parikkhepato navayojanasate majjhimadese uppajjati. Na kevalañca tathāgatova, paccekabuddhā aggasāvakā asīti mahātherā buddhamātā buddhapitā cakkavattī rājā aññe ca sārappattā brāhmaṇagahapatikā ettheva uppajjanti.

    อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชตีติ อิทํ ปน อุภยมฺปิ วิปฺปกตวจนเมวฯ อุปฺปชฺชมาโน พหุชนหิตาย อุปฺปชฺชติ, น อเญฺญน การเณนาติ เอวํ ปเนตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอวรูปเญฺจตฺถ ลกฺขณํ น สกฺกา เอตํ อเญฺญน สทฺทลกฺขเณน ปฎิพาหิตุํฯ

    Uppajjamāno uppajjatīti idaṃ pana ubhayampi vippakatavacanameva. Uppajjamāno bahujanahitāya uppajjati, na aññena kāraṇenāti evaṃ panettha attho veditabbo. Evarūpañcettha lakkhaṇaṃ na sakkā etaṃ aññena saddalakkhaṇena paṭibāhituṃ.

    อปิจ อุปฺปชฺชมาโน นาม, อุปฺปชฺชติ นาม, อุปฺปโนฺน นามาติ อยเมตฺถ เภโท เวทิตโพฺพฯ เอส หิ ทีปงฺกรปาทมูลโต ปฎฺฐาย ลทฺธพฺยากรโณ พุทฺธการเก ธเมฺม ปริเยสโนฺต ทส ปารมิโย ทิสฺวา ‘‘อิเม ธมฺมา มยา ปูเรตพฺพา’’ติ กตสนฺนิฎฺฐาโน ทานปารมิํ ปูเรโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ สีลปารมี…เป.… อุเปกฺขาปารมีติ อิมา ทส ปารมิโย ปูเรโนฺตปิ, ทส อุปปารมิโย ปูเรโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ ทส ปรมตฺถปารมิโย ปูเรโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโนว นามฯ ปญฺจ มหาปริจฺจาเค ปริจฺจชโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ อตฺตตฺถจริยํ ญาตตฺถจริยํ โลกตฺถจริยํ ปูรยมาโนปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ พุทฺธการเก ธเมฺม มตฺถกํ ปาเปโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ เวสฺสนฺตรตฺตภาวํ ปหาย ตุสิตปุเร ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา สฎฺฐิวสฺสสตสหสฺสาธิกา สตฺตปณฺณาสวสฺสโกฎิโย ติฎฺฐโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ เทวตาหิ ยาจิโต ปญฺจมหาวิโลกิตํ วิโลเกตฺวา มหามายาเทวิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหโนฺตปิ, อนูนาธิเก ทส มาเส คพฺภวาสํ วสโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ เอกูนติํส วสฺสานิ อคารมเชฺฌ ติฎฺฐโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ กาเมสุ อาทีนวํ เนกฺขเมฺม จ อานิสํสํ ทิสฺวา ราหุลภทฺทสฺส ชาตทิวเส ฉนฺนสหาโย กณฺฑกํ วาหนวรํ อารุยฺห นิกฺขมโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโนว นามฯ ตีณิ รชฺชานิ อติกฺกมโนฺตปิ อโนมานทีตีเร ปพฺพชโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ ฉพฺพสฺสานิ มหาปธานํ กโรโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโน นามฯ ปริปกฺกคเต ญาเณ โอฬาริกาหารํ อาหรโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโนว นามฯ สายนฺหสมเย วิสาขปุณฺณมาย มหาโพธิมณฺฑํ อารุยฺห มารพลํ วิธเมตฺวา ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสริตฺวา มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ ปริโสเธตฺวา ปจฺฉิมยามสมนนฺตเร ทฺวาทสงฺคํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ อนุโลมปฎิโลมโต สมฺมสิตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ ปฎิวิชฺฌโนฺตปิ อุปฺปชฺชมาโนว นามฯ โสตาปตฺติผลกฺขเณปิ สกทาคามิมคฺคกฺขเณปิ สกทาคามิผลกฺขเณปิ อนาคามิมคฺคกฺขเณปิ อนาคามิผลกฺขเณปิ อุปฺปชฺชมาโนว นามฯ อรหตฺตมคฺคกฺขเณ ปน อุปฺปชฺชติ นามฯ อรหตฺตผลกฺขเณ อุปฺปโนฺน นามฯ พุทฺธานํ หิ สาวกานํ วิย น ปฎิปาฎิยา อิทฺธิวิธญาณาทีนิ อุปฺปชฺชนฺติ, สเหว ปน อรหตฺตมเคฺคน สกโลปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณาทิ คุณราสิ อาคโตว นาม โหติฯ ตสฺมา เต นิปฺผตฺตสพฺพกิจฺจตฺตา อรหตฺตผลกฺขเณ อุปฺปนฺนา นาม โหนฺติฯ อิมสฺมิมฺปิ สุเตฺต อรหตฺตผลกฺขณํเยว สนฺธาย ‘‘อุปฺปชฺชตี’’ติ เวทิตโพฺพ, อุปฺปโนฺน โหตีติ อยเญฺหตฺถ อโตฺถฯ

    Apica uppajjamāno nāma, uppajjati nāma, uppanno nāmāti ayamettha bhedo veditabbo. Esa hi dīpaṅkarapādamūlato paṭṭhāya laddhabyākaraṇo buddhakārake dhamme pariyesanto dasa pāramiyo disvā ‘‘ime dhammā mayā pūretabbā’’ti katasanniṭṭhāno dānapāramiṃ pūrentopi uppajjamāno nāma. Sīlapāramī…pe… upekkhāpāramīti imā dasa pāramiyo pūrentopi, dasa upapāramiyo pūrentopi uppajjamāno nāma. Dasa paramatthapāramiyo pūrentopi uppajjamānova nāma. Pañca mahāpariccāge pariccajantopi uppajjamāno nāma. Attatthacariyaṃ ñātatthacariyaṃ lokatthacariyaṃ pūrayamānopi uppajjamāno nāma. Kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni buddhakārake dhamme matthakaṃ pāpentopi uppajjamāno nāma. Vessantarattabhāvaṃ pahāya tusitapure paṭisandhiṃ gahetvā saṭṭhivassasatasahassādhikā sattapaṇṇāsavassakoṭiyo tiṭṭhantopi uppajjamāno nāma. Devatāhi yācito pañcamahāvilokitaṃ viloketvā mahāmāyādeviyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhantopi, anūnādhike dasa māse gabbhavāsaṃ vasantopi uppajjamāno nāma. Ekūnatiṃsa vassāni agāramajjhe tiṭṭhantopi uppajjamāno nāma. Kāmesu ādīnavaṃ nekkhamme ca ānisaṃsaṃ disvā rāhulabhaddassa jātadivase channasahāyo kaṇḍakaṃ vāhanavaraṃ āruyha nikkhamantopi uppajjamānova nāma. Tīṇi rajjāni atikkamantopi anomānadītīre pabbajantopi uppajjamāno nāma. Chabbassāni mahāpadhānaṃ karontopi uppajjamāno nāma. Paripakkagate ñāṇe oḷārikāhāraṃ āharantopi uppajjamānova nāma. Sāyanhasamaye visākhapuṇṇamāya mahābodhimaṇḍaṃ āruyha mārabalaṃ vidhametvā paṭhamayāme pubbenivāsaṃ anussaritvā majjhimayāme dibbacakkhuṃ parisodhetvā pacchimayāmasamanantare dvādasaṅgaṃ paṭiccasamuppādaṃ anulomapaṭilomato sammasitvā sotāpattimaggaṃ paṭivijjhantopi uppajjamānova nāma. Sotāpattiphalakkhaṇepi sakadāgāmimaggakkhaṇepi sakadāgāmiphalakkhaṇepi anāgāmimaggakkhaṇepi anāgāmiphalakkhaṇepi uppajjamānova nāma. Arahattamaggakkhaṇe pana uppajjati nāma. Arahattaphalakkhaṇe uppanno nāma. Buddhānaṃ hi sāvakānaṃ viya na paṭipāṭiyā iddhividhañāṇādīni uppajjanti, saheva pana arahattamaggena sakalopi sabbaññutaññāṇādi guṇarāsi āgatova nāma hoti. Tasmā te nipphattasabbakiccattā arahattaphalakkhaṇe uppannā nāma honti. Imasmimpi sutte arahattaphalakkhaṇaṃyeva sandhāya ‘‘uppajjatī’’ti veditabbo, uppanno hotīti ayañhettha attho.

    พหุชนหิตายาติ มหาชนสฺส หิตตฺถาย อุปฺปชฺชติฯ พหุชนสุขายาติ มหาชนสฺส สุขตฺถาย อุปฺปชฺชติฯ โลกานุกมฺปายาติ สตฺตโลกสฺส อนุกมฺปํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติฯ กตรสตฺตโลกสฺสาติ? โย ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนํ สุตฺวา อมตปานํ ปิวิตฺวา ธมฺมํ ปฎิวิชฺฌิ, ตสฺสฯ ภควตา หิ มหาโพธิมเณฺฑ สตฺตสตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา โพธิมณฺฑา อิสิปตนํ อาคมฺม ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา’’ติ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุเตฺต (มหาว. ๑๓; สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑) เทสิเต อายสฺมตา อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถเรน สทฺธิํ อฎฺฐารสโกฎิสงฺขา พฺรหฺมาโน อมตปานํ ปิวิํสุ, เอตสฺส สตฺตโลกสฺส อนุกมฺปาย อุปฺปโนฺนฯ ปญฺจมทิวเส อนตฺตลกฺขณสุตฺตนฺตปริโยสาเน (มหาว. ๒๐; สํ. นิ. ๓.๕๙) ปญฺจวคฺคิยา เถรา อรหเตฺต ปติฎฺฐหิํสุ, เอตสฺสปิ สตฺตโลกสฺส อนุกมฺปาย อุปฺปโนฺนฯ ตโต ยสทารกปฺปมุเข ปญฺจปณฺณาส ปุริเส อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปสิ, ตโต กปฺปาสิกวนสเณฺฑ ติํส ภทฺทวคฺคิเย ตโย มเคฺค จ ตีณิ ผลานิ จ สมฺปาเปสิ, เอตสฺสปิ สตฺตโลกสฺส อนุกมฺปาย อุปฺปโนฺนฯ คยาสีเส อาทิตฺตปริยายสุตฺตปริโยสาเน (มหาว. ๕๔) ชฎิลสหสฺสํ อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปสิ, ตาลฎฺฐิวเน พิมฺพิสารปฺปมุขา เอกาทส นหุตา พฺราหฺมณคหปติกา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุ, เอกํ นหุตํ สรเณสุ ปติฎฺฐิตํฯ ติโรกุฎฺฎอนุโมทนาวสาเน จตุราสีติยา ปาณสหเสฺสหิ อมตปานํ ปีตํฯ สุมนมาลาการสมาคเม จตุราสีติยา จฯ ธนปาลกสมาคเม ทสหิ ปาณสหเสฺสหิ, ขทิรงฺคารชาตกสมาคเม จตุราสีติยา ปาณสหเสฺสหิ, ชมฺพุกอาชีวกสมาคเม จตุราสีติยา จฯ อานนฺทเสฎฺฐิสมาคเม จตุราสีติยา จ ปาณสหเสฺสหิ อมตปานํ ปีตํฯ ปาสาณกเจติเย ปารายนสุตฺตนฺตกถาทิวเส จุทฺทส โกฎิโย อมตปานํ ปิวิํสุฯ ยมกปาฎิหาริยทิวเส วีสติ ปาณโกฎิโย, ตาวติํสภวเน ปณฺฑุกมฺพลสิลาย นิสีทิตฺวา มาตรํ กายสกฺขิํ กตฺวา สตฺตปฺปกรณํ อภิธมฺมํ เทเสนฺตสฺส อสีติ ปาณโกฎิโย, เทโวโรหเน ติํส ปาณโกฎิโย, สกฺกปญฺหสุตฺตเนฺต อสีติ เทวตาสหสฺสานิ อมตปานํ ปิวิํสุฯ มหาสมยสุตฺตเนฺต มงฺคลสุตฺตเนฺต จูฬราหุโลวาเท สมจิตฺตปฎิปทายาติ อิเมสุ จตูสุ ฐาเนสุ อภิสมยํ ปตฺตสตฺตานํ ปริเจฺฉโท นตฺถิฯ เอตสฺสปิ สตฺตโลกสฺส อนุกมฺปาย อุปฺปโนฺนติฯ ยาวชฺชทิวสา อิโต ปรํ อนาคเต จ สาสนํ นิสฺสาย สคฺคโมกฺขมเคฺค ปติฎฺฐหนฺตานํ วเสนาปิ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Bahujanahitāyāti mahājanassa hitatthāya uppajjati. Bahujanasukhāyāti mahājanassa sukhatthāya uppajjati. Lokānukampāyāti sattalokassa anukampaṃ paṭicca uppajjati. Katarasattalokassāti? Yo tathāgatassa dhammadesanaṃ sutvā amatapānaṃ pivitvā dhammaṃ paṭivijjhi, tassa. Bhagavatā hi mahābodhimaṇḍe sattasattāhaṃ vītināmetvā bodhimaṇḍā isipatanaṃ āgamma ‘‘dveme, bhikkhave, antā pabbajitena na sevitabbā’’ti dhammacakkappavattanasutte (mahāva. 13; saṃ. ni. 5.1081) desite āyasmatā aññāsikoṇḍaññattherena saddhiṃ aṭṭhārasakoṭisaṅkhā brahmāno amatapānaṃ piviṃsu, etassa sattalokassa anukampāya uppanno. Pañcamadivase anattalakkhaṇasuttantapariyosāne (mahāva. 20; saṃ. ni. 3.59) pañcavaggiyā therā arahatte patiṭṭhahiṃsu, etassapi sattalokassa anukampāya uppanno. Tato yasadārakappamukhe pañcapaṇṇāsa purise arahatte patiṭṭhāpesi, tato kappāsikavanasaṇḍe tiṃsa bhaddavaggiye tayo magge ca tīṇi phalāni ca sampāpesi, etassapi sattalokassa anukampāya uppanno. Gayāsīse ādittapariyāyasuttapariyosāne (mahāva. 54) jaṭilasahassaṃ arahatte patiṭṭhāpesi, tālaṭṭhivane bimbisārappamukhā ekādasa nahutā brāhmaṇagahapatikā satthu dhammadesanaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu, ekaṃ nahutaṃ saraṇesu patiṭṭhitaṃ. Tirokuṭṭaanumodanāvasāne caturāsītiyā pāṇasahassehi amatapānaṃ pītaṃ. Sumanamālākārasamāgame caturāsītiyā ca. Dhanapālakasamāgame dasahi pāṇasahassehi, khadiraṅgārajātakasamāgame caturāsītiyā pāṇasahassehi, jambukaājīvakasamāgame caturāsītiyā ca. Ānandaseṭṭhisamāgame caturāsītiyā ca pāṇasahassehi amatapānaṃ pītaṃ. Pāsāṇakacetiye pārāyanasuttantakathādivase cuddasa koṭiyo amatapānaṃ piviṃsu. Yamakapāṭihāriyadivase vīsati pāṇakoṭiyo, tāvatiṃsabhavane paṇḍukambalasilāya nisīditvā mātaraṃ kāyasakkhiṃ katvā sattappakaraṇaṃ abhidhammaṃ desentassa asīti pāṇakoṭiyo, devorohane tiṃsa pāṇakoṭiyo, sakkapañhasuttante asīti devatāsahassāni amatapānaṃ piviṃsu. Mahāsamayasuttante maṅgalasuttante cūḷarāhulovāde samacittapaṭipadāyāti imesu catūsu ṭhānesu abhisamayaṃ pattasattānaṃ paricchedo natthi. Etassapi sattalokassa anukampāya uppannoti. Yāvajjadivasā ito paraṃ anāgate ca sāsanaṃ nissāya saggamokkhamagge patiṭṭhahantānaṃ vasenāpi ayamattho veditabbo.

    เทวมนุสฺสานนฺติ น เกวลํ เทวมนุสฺสานํเยว, อวเสสานํ นาคสุปณฺณาทีนมฺปิ อตฺถาย หิตาย สุขาเยว อุปฺปโนฺนฯ สเหตุกปฎิสนฺธิเก ปน มคฺคผลสจฺฉิกิริยาย ภเพฺพ ปุคฺคเล ทเสฺสตุํ เอตํ วุตฺตํฯ ตสฺมา เอเตสมฺปิ อตฺถาย หิตาย สุขาเยว อุปฺปโนฺนติ เวทิตโพฺพฯ

    Devamanussānanti na kevalaṃ devamanussānaṃyeva, avasesānaṃ nāgasupaṇṇādīnampi atthāya hitāya sukhāyeva uppanno. Sahetukapaṭisandhike pana maggaphalasacchikiriyāya bhabbe puggale dassetuṃ etaṃ vuttaṃ. Tasmā etesampi atthāya hitāya sukhāyeva uppannoti veditabbo.

    กตโม เอกปุคฺคโลติ อยํ ปุจฺฉาฯ ปุจฺฉา จ นาเมสา ปญฺจวิธา โหติ – อทิฎฺฐโชตนา ปุจฺฉา, ทิฎฺฐสํสนฺทนา ปุจฺฉา, วิมติเจฺฉทนา ปุจฺฉา, อนุมติปุจฺฉา, กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติฯ

    Katamo ekapuggaloti ayaṃ pucchā. Pucchā ca nāmesā pañcavidhā hoti – adiṭṭhajotanā pucchā, diṭṭhasaṃsandanā pucchā, vimaticchedanā pucchā, anumatipucchā, kathetukamyatāpucchāti.

    ตาสํ อิทํ นานตฺตํ – กตมา อทิฎฺฐโชตนา ปุจฺฉา? ปกติยา ลกฺขณํ อญฺญาตํ โหติ อทิฎฺฐํ อตุลิตํ อตีริตํ อวิภูตํ อภาวิตํฯ ตสฺส ญาณาย ทสฺสนาย ตุลนาย ตีรณาย วิภูตตฺถาย วิภาวนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ, อยํ อทิฎฺฐโชตนา ปุจฺฉาฯ

    Tāsaṃ idaṃ nānattaṃ – katamā adiṭṭhajotanā pucchā? Pakatiyā lakkhaṇaṃ aññātaṃ hoti adiṭṭhaṃ atulitaṃ atīritaṃ avibhūtaṃ abhāvitaṃ. Tassa ñāṇāya dassanāya tulanāya tīraṇāya vibhūtatthāya vibhāvanatthāya pañhaṃ pucchati, ayaṃ adiṭṭhajotanā pucchā.

    กตมา ทิฎฺฐสํสนฺทนา ปุจฺฉา? ปกติยา ลกฺขณํ ญาตํ โหติ ทิฎฺฐํ ตุลิตํ ตีริตํ วิภูตํ วิภาวิตํฯ โส อเญฺญหิ ปณฺฑิเตหิ สทฺธิํ สํสนฺทนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ, อยํ ทิฎฺฐสํสนฺทนา ปุจฺฉาฯ

    Katamā diṭṭhasaṃsandanā pucchā? Pakatiyā lakkhaṇaṃ ñātaṃ hoti diṭṭhaṃ tulitaṃ tīritaṃ vibhūtaṃ vibhāvitaṃ. So aññehi paṇḍitehi saddhiṃ saṃsandanatthāya pañhaṃ pucchati, ayaṃ diṭṭhasaṃsandanā pucchā.

    กตมา วิมติเจฺฉทนา ปุจฺฉา? ปกติยา สํสยปกฺขโนฺต โหติ วิมติปกฺขโนฺต เทฺวฬฺหกชาโต ‘‘เอวํ นุ โข, น นุ โข, กิํ นุ โข, กถํ นุ โข’’ติฯ โส วิมติเจฺฉทนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ, อยํ วิมติเจฺฉทนา ปุจฺฉาฯ

    Katamā vimaticchedanā pucchā? Pakatiyā saṃsayapakkhanto hoti vimatipakkhanto dveḷhakajāto ‘‘evaṃ nu kho, na nu kho, kiṃ nu kho, kathaṃ nu kho’’ti. So vimaticchedanatthāya pañhaṃ pucchati, ayaṃ vimaticchedanā pucchā.

    กตมา อนุมติปุจฺฉา? ภควา หิ ภิกฺขูนํ อนุมติยา ปญฺหํ ปุจฺฉติ – ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา’’ติ? ‘‘อนิจฺจํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ยํ ปนานิจฺจํ, ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา’’ติ? ‘‘ทุกฺขํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ โข ตํ สมนุปสฺสิตุํ เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ติ, อยํ อนุมติปุจฺฉาฯ

    Katamā anumatipucchā? Bhagavā hi bhikkhūnaṃ anumatiyā pañhaṃ pucchati – ‘‘taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, rūpaṃ niccaṃ vā aniccaṃ vā’’ti? ‘‘Aniccaṃ, bhante’’. ‘‘Yaṃ panāniccaṃ, dukkhaṃ vā taṃ sukhaṃ vā’’ti? ‘‘Dukkhaṃ, bhante’’. ‘‘Yaṃ panāniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhammaṃ, kallaṃ nu kho taṃ samanupassituṃ etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’ti, ayaṃ anumatipucchā.

    กตมา กเถตุกมฺยตาปุจฺฉา? ภควา ภิกฺขูนํ กเถตุกมฺยตาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ – ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, สติปฎฺฐานาฯ กตเม จตฺตาโร’’ติ? อยํ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติฯ

    Katamā kathetukamyatāpucchā? Bhagavā bhikkhūnaṃ kathetukamyatāya pañhaṃ pucchati – ‘‘cattārome, bhikkhave, satipaṭṭhānā. Katame cattāro’’ti? Ayaṃ kathetukamyatāpucchāti.

    ตตฺถ พุทฺธานํ ปุริมา ติโสฺส ปุจฺฉา นตฺถิฯ กสฺมา? พุทฺธานํ หิ ตีสุ อทฺธาสุ กิญฺจิ สงฺขตํ อทฺธาวิมุตฺตํ วา อสงฺขตํ อทิฎฺฐํ อชานิตํ อตุลิตํ อตีริตํ อวิภูตํ อวิภาวิตํ นาม นตฺถิ, ตสฺมา เตสํ อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉา นตฺถิฯ ยํ ปน ภควตา อตฺตโน ญาเณน ปฎิวิทฺธํ, ตสฺส อเญฺญน สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา สทฺธิํ สํสนฺทนกิจฺจํ นตฺถิฯ เตนสฺส ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉา นตฺถิฯ ยสฺมา ปเนส อกถํกถี ติณฺณวิจิกิโจฺฉ สพฺพธเมฺมสุ วิหตสํสโย, เตนสฺส วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉา นตฺถิฯ อิตรา ปน เทฺว ปุจฺฉา ภควโต อตฺถิ, ตาสุ อยํ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติ เวทิตพฺพาฯ

    Tattha buddhānaṃ purimā tisso pucchā natthi. Kasmā? Buddhānaṃ hi tīsu addhāsu kiñci saṅkhataṃ addhāvimuttaṃ vā asaṅkhataṃ adiṭṭhaṃ ajānitaṃ atulitaṃ atīritaṃ avibhūtaṃ avibhāvitaṃ nāma natthi, tasmā tesaṃ adiṭṭhajotanāpucchā natthi. Yaṃ pana bhagavatā attano ñāṇena paṭividdhaṃ, tassa aññena samaṇena vā brāhmaṇena vā devena vā mārena vā brahmunā vā saddhiṃ saṃsandanakiccaṃ natthi. Tenassa diṭṭhasaṃsandanāpucchā natthi. Yasmā panesa akathaṃkathī tiṇṇavicikiccho sabbadhammesu vihatasaṃsayo, tenassa vimaticchedanāpucchā natthi. Itarā pana dve pucchā bhagavato atthi, tāsu ayaṃ kathetukamyatāpucchāti veditabbā.

    อิทานิ ตาย ปุจฺฉาย ปุฎฺฐํ เอกปุคฺคลํ วิภาเวโนฺต ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธติ อาหฯ ตตฺถ ตถาคโตติ อฎฺฐหิ การเณหิ ภควา ตถาคโต – ตถา อาคโตติ ตถาคโต, ตถา คโตติ ตถาคโต, ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโต, ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโต, ตถทสฺสิตาย ตถาคโต, ตถวาทิตาย ตถาคโต, ตถาการิตาย ตถาคโต, อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโตติฯ

    Idāni tāya pucchāya puṭṭhaṃ ekapuggalaṃ vibhāvento tathāgato arahaṃ sammāsambuddhoti āha. Tattha tathāgatoti aṭṭhahi kāraṇehi bhagavā tathāgato – tathā āgatoti tathāgato, tathā gatoti tathāgato, tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato, tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato, tathadassitāya tathāgato, tathavāditāya tathāgato, tathākāritāya tathāgato, abhibhavanaṭṭhena tathāgatoti.

    กถํ ภควา ตถา อาคโตติ ตถาคโต? ยถา สพฺพโลกหิตาย อุสฺสุกฺกมาปนฺนา ปุริมกา สมฺมาสมฺพุทฺธา อาคตา, ยถา วิปสฺสี ภควา อาคโต, ยถา สิขี ภควา, ยถา เวสฺสภู ภควา, ยถา กกุสโนฺธ ภควา, ยถา โกณาคมโน ภควา, ยถา กสฺสโป ภควา อาคโตติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? เยน อภินีหาเรน เอเต ภควโนฺต อาคตา, เตเนว อมฺหากมฺปิ ภควา อาคโตฯ อถ วา ยถา วิปสฺสี ภควา…เป.… ยถา กสฺสโป ภควา ทานปารมิํ ปูเรตฺวา, สีลเนกฺขมฺมปญฺญาวีริยขนฺติสจฺจาธิฎฺฐานเมตฺตาอุเปกฺขาปารมิํ ปูเรตฺวา อิมา ทส ปารมิโย, ทส อุปปารมิโย, ทส ปรมตฺถปารมิโยติ สมติํส ปารมิโย ปูเรตฺวา, องฺคปริจฺจาคํ นยนธนรชฺชปุตฺตทารปริจฺจาคนฺติ อิเม ปญฺจ มหาปริจฺจาเค ปริจฺจชิตฺวา, ปุพฺพโยคปุพฺพจริยธมฺมกฺขานญาตตฺถจริยาทโย ปูเรตฺวา พุทฺธิจริยาย โกฎิํ ปตฺวา อาคโต, ตถา อมฺหากมฺปิ ภควา อาคโตฯ ยถา จ วิปสฺสี ภควา …เป.… กสฺสโป ภควา จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน จตฺตาโร สมฺมปฺปธาเน จตฺตาโร อิทฺธิปาเท ปญฺจินฺทฺริยานิ ปญฺจ พลานิ สตฺต โพชฺฌเงฺค อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวตฺวา พฺรูเหตฺวา อาคโต, ตถา อมฺหากมฺปิ ภควา อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Kathaṃ bhagavā tathā āgatoti tathāgato? Yathā sabbalokahitāya ussukkamāpannā purimakā sammāsambuddhā āgatā, yathā vipassī bhagavā āgato, yathā sikhī bhagavā, yathā vessabhū bhagavā, yathā kakusandho bhagavā, yathā koṇāgamano bhagavā, yathā kassapo bhagavā āgatoti. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yena abhinīhārena ete bhagavanto āgatā, teneva amhākampi bhagavā āgato. Atha vā yathā vipassī bhagavā…pe… yathā kassapo bhagavā dānapāramiṃ pūretvā, sīlanekkhammapaññāvīriyakhantisaccādhiṭṭhānamettāupekkhāpāramiṃ pūretvā imā dasa pāramiyo, dasa upapāramiyo, dasa paramatthapāramiyoti samatiṃsa pāramiyo pūretvā, aṅgapariccāgaṃ nayanadhanarajjaputtadārapariccāganti ime pañca mahāpariccāge pariccajitvā, pubbayogapubbacariyadhammakkhānañātatthacariyādayo pūretvā buddhicariyāya koṭiṃ patvā āgato, tathā amhākampi bhagavā āgato. Yathā ca vipassī bhagavā …pe… kassapo bhagavā cattāro satipaṭṭhāne cattāro sammappadhāne cattāro iddhipāde pañcindriyāni pañca balāni satta bojjhaṅge ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bhāvetvā brūhetvā āgato, tathā amhākampi bhagavā āgatoti tathāgato.

    ‘‘ยเถว โลกมฺหิ วิปสฺสิอาทโย,

    ‘‘Yatheva lokamhi vipassiādayo,

    สพฺพญฺญุภาวํ มุนโย อิธาคตา;

    Sabbaññubhāvaṃ munayo idhāgatā;

    ตถา อยํ สกฺยมุนีปิ อาคโต,

    Tathā ayaṃ sakyamunīpi āgato,

    ตถาคโต วุจฺจติ เตน จกฺขุมา’’ติฯ

    Tathāgato vuccati tena cakkhumā’’ti.

    เอวํ ตถา อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Evaṃ tathā āgatoti tathāgato.

    กถํ ตถา คโตติ ตถาคโต? ยถา สมฺปติชาโต วิปสฺสี ภควา คโต…เป.… กสฺสโป ภควา คโตฯ กถญฺจ โส คโตติ? โส หิ สมฺปติชาโตว สเมหิ ปาเทหิ ปถวิยํ ปติฎฺฐาย อุตฺตราภิมุโข สตฺตปทวีติหาเรน คโตฯ ยถาห – ‘‘สมฺปติชาโต, อานนฺท, โพธิสโตฺต สเมหิ ปาเทหิ ปถวิยํ ปติฎฺฐหิตฺวา อุตฺตราภิมุโข สตฺตปทวีติหาเรน คจฺฉติ เสตมฺหิ ฉเตฺต อนุธาริยมาเน, สพฺพา จ ทิสา อนุวิโลเกติ, อาสภิญฺจ วาจํ ภาสติ ‘อโคฺคหมสฺมิ โลกสฺส, เชโฎฺฐหมสฺมิ โลกสฺส, เสโฎฺฐหมสฺมิ โลกสฺส, อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว’’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๐๗)ฯ ตญฺจสฺส คมนํ ตถํ อโหสิ อวิตถํ อเนเกสํ วิเสสาธิคมานํ ปุพฺพนิมิตฺตภาเวนฯ ยญฺหิ โส สมฺปติชาโตว สเมหิ ปาเทหิ ปติฎฺฐหิ, อิทมสฺส จตุริทฺธิปาทปฎิลาภสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํ, อุตฺตราภิมุขภาโว ปน สพฺพโลกุตฺตรภาวสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํ, สตฺตปทวีติหาโร สตฺตโพชฺฌงฺครตนปฎิลาภสฺส, ‘‘สุวณฺณทณฺฑา วีติปตนฺติ จามรา’’ติ (สุ. นิ. ๖๙๓) เอตฺถ วุตฺตจามรุเกฺขโป ปน สพฺพติตฺถิยนิมฺมถนสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํ, เสตจฺฉตฺตธารณํ อรหตฺตผลวิมุตฺติวรวิมลเสตจฺฉตฺตปฎิลาภสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํ, สพฺพทิสานุวิโลกนํ สพฺพญฺญุตานาวรณญาณปฎิลาภสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํ, อาสภิวาจาภาสนํ อปฺปฎิวตฺติยวรธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ ตถา อยํ ภควาปิ คโตฯ ตญฺจสฺส คมนํ กถํ อโหสิ อวิตถํ เตสํเยว วิเสสาธิคมานํ ปุพฺพนิมิตฺตภาเวนฯ เตนาหุ โปราณา –

    Kathaṃ tathā gatoti tathāgato? Yathā sampatijāto vipassī bhagavā gato…pe… kassapo bhagavā gato. Kathañca so gatoti? So hi sampatijātova samehi pādehi pathaviyaṃ patiṭṭhāya uttarābhimukho sattapadavītihārena gato. Yathāha – ‘‘sampatijāto, ānanda, bodhisatto samehi pādehi pathaviyaṃ patiṭṭhahitvā uttarābhimukho sattapadavītihārena gacchati setamhi chatte anudhāriyamāne, sabbā ca disā anuviloketi, āsabhiñca vācaṃ bhāsati ‘aggohamasmi lokassa, jeṭṭhohamasmi lokassa, seṭṭhohamasmi lokassa, ayamantimā jāti, natthi dāni punabbhavo’’’ti (ma. ni. 3.207). Tañcassa gamanaṃ tathaṃ ahosi avitathaṃ anekesaṃ visesādhigamānaṃ pubbanimittabhāvena. Yañhi so sampatijātova samehi pādehi patiṭṭhahi, idamassa caturiddhipādapaṭilābhassa pubbanimittaṃ, uttarābhimukhabhāvo pana sabbalokuttarabhāvassa pubbanimittaṃ, sattapadavītihāro sattabojjhaṅgaratanapaṭilābhassa, ‘‘suvaṇṇadaṇḍā vītipatanti cāmarā’’ti (su. ni. 693) ettha vuttacāmarukkhepo pana sabbatitthiyanimmathanassa pubbanimittaṃ, setacchattadhāraṇaṃ arahattaphalavimuttivaravimalasetacchattapaṭilābhassa pubbanimittaṃ, sabbadisānuvilokanaṃ sabbaññutānāvaraṇañāṇapaṭilābhassa pubbanimittaṃ, āsabhivācābhāsanaṃ appaṭivattiyavaradhammacakkappavattanassa pubbanimittaṃ. Tathā ayaṃ bhagavāpi gato. Tañcassa gamanaṃ kathaṃ ahosi avitathaṃ tesaṃyeva visesādhigamānaṃ pubbanimittabhāvena. Tenāhu porāṇā –

    ‘‘มุหุตฺตชาโตว ควมฺปตี ยถา,

    ‘‘Muhuttajātova gavampatī yathā,

    สเมหิ ปาเทหิ ผุสี วสุนฺธรํ;

    Samehi pādehi phusī vasundharaṃ;

    โส วิกฺกมี สตฺต ปทานิ โคตโม,

    So vikkamī satta padāni gotamo,

    เสตญฺจ ฉตฺตํ อนุธารยุํ มรูฯ

    Setañca chattaṃ anudhārayuṃ marū.

    ‘‘คนฺตฺวาน โส สตฺต ปทานิ โคตโม,

    ‘‘Gantvāna so satta padāni gotamo,

    ทิสา วิโลเกสิ สมา สมนฺตโต;

    Disā vilokesi samā samantato;

    อฎฺฐงฺคุเปตํ คิรมพฺภุทีรยิ,

    Aṭṭhaṅgupetaṃ giramabbhudīrayi,

    สีโห ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฎฺฐิโต’’ติฯ

    Sīho yathā pabbatamuddhaniṭṭhito’’ti.

    เอวํ ตถา คโตติ ตถาคโตฯ

    Evaṃ tathā gatoti tathāgato.

    อถ วา ยถา วิปสฺสี ภควา…เป.… ยถา กสฺสโป ภควา, อยมฺปิ ภควา ตเถว เนกฺขเมฺมน กามจฺฉนฺทํ ปหาย คโต, อพฺยาปาเทน พฺยาปาทํ, อาโลกสญฺญาย ถินมิทฺธํ, อวิเกฺขเปน อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ, ธมฺมววตฺถาเนน วิจิกิจฺฉํ ปหาย คโต, ญาเณน อวิชฺชํ ปทาเลตฺวา คโต, ปาโมเชฺชน อรติํ วิโนเทตฺวา, ปฐมชฺฌาเนน นีวรณกวาฎํ อุคฺฆาเฎตฺวา, ทุติยชฺฌาเนน วิตกฺกวิจารํ วูปสเมตฺวา, ตติยชฺฌาเนน ปีติํ วิราเชตฺวา, จตุตฺถชฺฌาเนน สุขทุกฺขํ ปหาย, อากาสานญฺจายตนสมาปตฺติยา รูปสญฺญาปฎิฆสญฺญานานตฺตสญฺญาโย สมติกฺกมิตฺวา, วิญฺญาณญฺจายตนสมาปตฺติยา อากาสานญฺจายตนสญฺญํ, อากิญฺจญฺญายตนสมาปตฺติยา วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ, เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติยา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ สมติกฺกมิตฺวา คโตฯ

    Atha vā yathā vipassī bhagavā…pe… yathā kassapo bhagavā, ayampi bhagavā tatheva nekkhammena kāmacchandaṃ pahāya gato, abyāpādena byāpādaṃ, ālokasaññāya thinamiddhaṃ, avikkhepena uddhaccakukkuccaṃ, dhammavavatthānena vicikicchaṃ pahāya gato, ñāṇena avijjaṃ padāletvā gato, pāmojjena aratiṃ vinodetvā, paṭhamajjhānena nīvaraṇakavāṭaṃ ugghāṭetvā, dutiyajjhānena vitakkavicāraṃ vūpasametvā, tatiyajjhānena pītiṃ virājetvā, catutthajjhānena sukhadukkhaṃ pahāya, ākāsānañcāyatanasamāpattiyā rūpasaññāpaṭighasaññānānattasaññāyo samatikkamitvā, viññāṇañcāyatanasamāpattiyā ākāsānañcāyatanasaññaṃ, ākiñcaññāyatanasamāpattiyā viññāṇañcāyatanasaññaṃ, nevasaññānāsaññāyatanasamāpattiyā ākiñcaññāyatanasaññaṃ samatikkamitvā gato.

    อนิจฺจานุปสฺสนาย นิจฺจสญฺญํ ปหาย, ทุกฺขานุปสฺสนาย สุขสญฺญํ, อนตฺตานุปสฺสนาย อตฺตสญฺญํ, นิพฺพิทานุปสฺสนาย นนฺทิํ, วิราคานุปสฺสนาย ราคํ, นิโรธานุปสฺสนาย สมุทยํ, ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนาย อาทานํ, ขยานุปสฺสนาย ฆนสญฺญํ, วยานุปสฺสนาย อายูหนํ, วิปริณามานุปสฺสนาย ธุวสญฺญํ, อนิมิตฺตานุปสฺสนาย นิมิตฺตสญฺญํ, อปฺปณิหิตานุปสฺสนาย ปณิธิํ, สุญฺญตานุปสฺสนาย อภินิเวสํ, อธิปญฺญาธมฺมวิปสฺสนาย สาราทานาภินิเวสํ, ยถาภูตญาณทสฺสเนน สโมฺมหาภินิเวสํ, อาทีนวานุปสฺสนาย อาลยาภินิเวสํ, ปฎิสงฺขานุปสฺสนาย อปฺปฎิสงฺขํ, วิวฎฺฎานุปสฺสนาย สํโยคาภินิเวสํ, โสตาปตฺติมเคฺคน ทิเฎฺฐกเฎฺฐ กิเลเส ภญฺชิตฺวา, สกทาคามิมเคฺคน โอฬาริเก กิเลเส ปหาย, อนาคามิมเคฺคน อณุสหคเต กิเลเส สมุคฺฆาเตตฺวา, อรหตฺตมเคฺคน สพฺพกิเลเส สมุจฺฉินฺทิตฺวา คโตฯ เอวมฺปิ ตถา คโตติ ตถาคโตฯ

    Aniccānupassanāya niccasaññaṃ pahāya, dukkhānupassanāya sukhasaññaṃ, anattānupassanāya attasaññaṃ, nibbidānupassanāya nandiṃ, virāgānupassanāya rāgaṃ, nirodhānupassanāya samudayaṃ, paṭinissaggānupassanāya ādānaṃ, khayānupassanāya ghanasaññaṃ, vayānupassanāya āyūhanaṃ, vipariṇāmānupassanāya dhuvasaññaṃ, animittānupassanāya nimittasaññaṃ, appaṇihitānupassanāya paṇidhiṃ, suññatānupassanāya abhinivesaṃ, adhipaññādhammavipassanāya sārādānābhinivesaṃ, yathābhūtañāṇadassanena sammohābhinivesaṃ, ādīnavānupassanāya ālayābhinivesaṃ, paṭisaṅkhānupassanāya appaṭisaṅkhaṃ, vivaṭṭānupassanāya saṃyogābhinivesaṃ, sotāpattimaggena diṭṭhekaṭṭhe kilese bhañjitvā, sakadāgāmimaggena oḷārike kilese pahāya, anāgāmimaggena aṇusahagate kilese samugghātetvā, arahattamaggena sabbakilese samucchinditvā gato. Evampi tathā gatoti tathāgato.

    กถํ ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโต? ปถวีธาตุยา กกฺขฬตฺตลกฺขณํ ตถํ อวิตถํ, อาโปธาตุยา ปคฺฆรณลกฺขณํ, เตโชธาตุยา อุณฺหตฺตลกฺขณํ, วาโยธาตุยา วิตฺถมฺภนลกฺขณํ, อากาสธาตุยา อสมฺผุฎฺฐลกฺขณํ, วิญฺญาณธาตุยา วิชานนลกฺขณํฯ

    Kathaṃ tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato? Pathavīdhātuyā kakkhaḷattalakkhaṇaṃ tathaṃ avitathaṃ, āpodhātuyā paggharaṇalakkhaṇaṃ, tejodhātuyā uṇhattalakkhaṇaṃ, vāyodhātuyā vitthambhanalakkhaṇaṃ, ākāsadhātuyā asamphuṭṭhalakkhaṇaṃ, viññāṇadhātuyā vijānanalakkhaṇaṃ.

    รูปสฺส รุปฺปนลกฺขณํ, เวทนาย เวทยิตลกฺขณํ, สญฺญาย สญฺชานนลกฺขณํ, สงฺขารานํ อภิสงฺขรณลกฺขณํ, วิญฺญาณสฺส วิชานนลกฺขณํฯ

    Rūpassa ruppanalakkhaṇaṃ, vedanāya vedayitalakkhaṇaṃ, saññāya sañjānanalakkhaṇaṃ, saṅkhārānaṃ abhisaṅkharaṇalakkhaṇaṃ, viññāṇassa vijānanalakkhaṇaṃ.

    วิตกฺกสฺส อภินิโรปนลกฺขณํ, วิจารสฺส อนุมชฺชนลกฺขณํ, ปีติยา ผรณลกฺขณํ, สุขสฺส สาตลกฺขณํ, จิเตฺตกคฺคตาย อวิเกฺขปลกฺขณํ, ผสฺสสฺส ผุสนลกฺขณํฯ

    Vitakkassa abhiniropanalakkhaṇaṃ, vicārassa anumajjanalakkhaṇaṃ, pītiyā pharaṇalakkhaṇaṃ, sukhassa sātalakkhaṇaṃ, cittekaggatāya avikkhepalakkhaṇaṃ, phassassa phusanalakkhaṇaṃ.

    สทฺธินฺทฺริยสฺส อธิโมกฺขลกฺขณํ, วีริยินฺทฺริยสฺส ปคฺคหลกฺขณํ, สตินฺทฺริยสฺส อุปฎฺฐานลกฺขณํ, สมาธินฺทฺริยสฺส อวิเกฺขปลกฺขณํ, ปญฺญินฺทฺริยสฺส ปชานนลกฺขณํฯ

    Saddhindriyassa adhimokkhalakkhaṇaṃ, vīriyindriyassa paggahalakkhaṇaṃ, satindriyassa upaṭṭhānalakkhaṇaṃ, samādhindriyassa avikkhepalakkhaṇaṃ, paññindriyassa pajānanalakkhaṇaṃ.

    สทฺธาพลสฺส อสฺสทฺธิเย อกมฺปิยลกฺขณํ, วีริยพลสฺส โกสเชฺช, สติพลสฺส มุฎฺฐสฺสเจฺจ, สมาธิพลสฺส อุทฺธเจฺจ, ปญฺญาพลสฺส อวิชฺชาย อกมฺปิยลกฺขณํฯ

    Saddhābalassa assaddhiye akampiyalakkhaṇaṃ, vīriyabalassa kosajje, satibalassa muṭṭhassacce, samādhibalassa uddhacce, paññābalassa avijjāya akampiyalakkhaṇaṃ.

    สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฎฺฐานลกฺขณํ, ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ปวิจยลกฺขณํ, วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ปคฺคหลกฺขณํ, ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ผรณลกฺขณํ, ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส วูปสมลกฺขณํ , สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อวิเกฺขปลกฺขณํ, อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ปฎิสงฺขานลกฺขณํฯ

    Satisambojjhaṅgassa upaṭṭhānalakkhaṇaṃ, dhammavicayasambojjhaṅgassa pavicayalakkhaṇaṃ, vīriyasambojjhaṅgassa paggahalakkhaṇaṃ, pītisambojjhaṅgassa pharaṇalakkhaṇaṃ, passaddhisambojjhaṅgassa vūpasamalakkhaṇaṃ , samādhisambojjhaṅgassa avikkhepalakkhaṇaṃ, upekkhāsambojjhaṅgassa paṭisaṅkhānalakkhaṇaṃ.

    สมฺมาทิฎฺฐิยา ทสฺสนลกฺขณํ, สมฺมาสงฺกปฺปสฺส อภินิโรปนลกฺขณํ, สมฺมาวาจาย ปริคฺคหลกฺขณํ, สมฺมากมฺมนฺตสฺส สมุฎฺฐานลกฺขณํ, สมฺมาอาชีวสฺส โวทานลกฺขณํ, สมฺมาวายามสฺส ปคฺคหลกฺขณํ, สมฺมาสติยา อุปฎฺฐานลกฺขณํ, สมฺมาสมาธิสฺส อวิเกฺขปลกฺขณํฯ

    Sammādiṭṭhiyā dassanalakkhaṇaṃ, sammāsaṅkappassa abhiniropanalakkhaṇaṃ, sammāvācāya pariggahalakkhaṇaṃ, sammākammantassa samuṭṭhānalakkhaṇaṃ, sammāājīvassa vodānalakkhaṇaṃ, sammāvāyāmassa paggahalakkhaṇaṃ, sammāsatiyā upaṭṭhānalakkhaṇaṃ, sammāsamādhissa avikkhepalakkhaṇaṃ.

    อวิชฺชาย อญฺญาณลกฺขณํ, สงฺขารานํ เจตนาลกฺขณํ, วิญฺญาณสฺส วิชานนลกฺขณํ, นามสฺส นมนลกฺขณํ, รูปสฺส รุปฺปนลกฺขณํ, สฬายตนสฺส อายตนลกฺขณํ, ผสฺสสฺส ผุสนลกฺขณํ, เวทนาย เวทยิตลกฺขณํ, ตณฺหาย เหตุลกฺขณํ, อุปาทานสฺส คหณลกฺขณํ, ภวสฺส อายูหนลกฺขณํ, ชาติยา นิพฺพตฺติลกฺขณํ, ชราย ชีรณลกฺขณํ, มรณสฺส จุติลกฺขณํฯ

    Avijjāya aññāṇalakkhaṇaṃ, saṅkhārānaṃ cetanālakkhaṇaṃ, viññāṇassa vijānanalakkhaṇaṃ, nāmassa namanalakkhaṇaṃ, rūpassa ruppanalakkhaṇaṃ, saḷāyatanassa āyatanalakkhaṇaṃ, phassassa phusanalakkhaṇaṃ, vedanāya vedayitalakkhaṇaṃ, taṇhāya hetulakkhaṇaṃ, upādānassa gahaṇalakkhaṇaṃ, bhavassa āyūhanalakkhaṇaṃ, jātiyā nibbattilakkhaṇaṃ, jarāya jīraṇalakkhaṇaṃ, maraṇassa cutilakkhaṇaṃ.

    ธาตูนํ สุญฺญตาลกฺขณํ, อายตนานํ อายตนลกฺขณํ, สติปฎฺฐานานํ อุปฎฺฐานลกฺขณํ, สมฺมปฺปธานานํ ปทหนลกฺขณํ, อิทฺธิปาทานํ อิชฺฌนลกฺขณํ, อินฺทฺริยานํ อธิปติลกฺขณํ, พลานํ อกมฺปิยลกฺขณํ, โพชฺฌงฺคานํ นิยฺยานลกฺขณํ, มคฺคสฺส เหตุลกฺขณํฯ

    Dhātūnaṃ suññatālakkhaṇaṃ, āyatanānaṃ āyatanalakkhaṇaṃ, satipaṭṭhānānaṃ upaṭṭhānalakkhaṇaṃ, sammappadhānānaṃ padahanalakkhaṇaṃ, iddhipādānaṃ ijjhanalakkhaṇaṃ, indriyānaṃ adhipatilakkhaṇaṃ, balānaṃ akampiyalakkhaṇaṃ, bojjhaṅgānaṃ niyyānalakkhaṇaṃ, maggassa hetulakkhaṇaṃ.

    สจฺจานํ ตถลกฺขณํ, สมถสฺส อวิเกฺขปลกฺขณํ, วิปสฺสนาย อนุปสฺสนาลกฺขณํ, สมถวิปสฺสนานํ เอกรสลกฺขณํ, ยุคนทฺธานํ อนติวตฺตนลกฺขณํฯ

    Saccānaṃ tathalakkhaṇaṃ, samathassa avikkhepalakkhaṇaṃ, vipassanāya anupassanālakkhaṇaṃ, samathavipassanānaṃ ekarasalakkhaṇaṃ, yuganaddhānaṃ anativattanalakkhaṇaṃ.

    สีลวิสุทฺธิยา สํวรณลกฺขณํ, จิตฺตวิสุทฺธิยา อวิเกฺขปลกฺขณํ, ทิฎฺฐิวิสุทฺธิยา ทสฺสนลกฺขณํฯ

    Sīlavisuddhiyā saṃvaraṇalakkhaṇaṃ, cittavisuddhiyā avikkhepalakkhaṇaṃ, diṭṭhivisuddhiyā dassanalakkhaṇaṃ.

    ขเย ญาณสฺส สมุเจฺฉทลกฺขณํ, อนุปฺปาเท ญาณสฺส ปสฺสทฺธิลกฺขณํฯ

    Khaye ñāṇassa samucchedalakkhaṇaṃ, anuppāde ñāṇassa passaddhilakkhaṇaṃ.

    ฉนฺทสฺส มูลลกฺขณํ, มนสิการสฺส สมุฎฺฐานลกฺขณํ, ผสฺสสฺส สโมธานลกฺขณํ, เวทนาย สโมสรณลกฺขณํ, สมาธิสฺส ปมุขลกฺขณํ, สติยา อาธิปเตยฺยลกฺขณํ, ปญฺญาย ตตุตฺตริยลกฺขณํ , วิมุตฺติยา สารลกฺขณํ, อมโตคธสฺส นิพฺพานสฺส ปริโยสานลกฺขณํ ตถํ อวิตถํฯ เอวํ ตถลกฺขณํ ญาณคติยา อาคโต อวิรชฺฌิตฺวา ปโตฺต อนุปฺปโตฺตติ ตถาคโตฯ เอวํ ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Chandassa mūlalakkhaṇaṃ, manasikārassa samuṭṭhānalakkhaṇaṃ, phassassa samodhānalakkhaṇaṃ, vedanāya samosaraṇalakkhaṇaṃ, samādhissa pamukhalakkhaṇaṃ, satiyā ādhipateyyalakkhaṇaṃ, paññāya tatuttariyalakkhaṇaṃ , vimuttiyā sāralakkhaṇaṃ, amatogadhassa nibbānassa pariyosānalakkhaṇaṃ tathaṃ avitathaṃ. Evaṃ tathalakkhaṇaṃ ñāṇagatiyā āgato avirajjhitvā patto anuppattoti tathāgato. Evaṃ tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato.

    กถํ ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโต? ตถธมฺมา นาม จตฺตาริ อริยสจฺจานิฯ ยถาห – ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? ‘อิทํ ทุกฺข’นฺติ, ภิกฺขเว, ตถเมตํ อวิตถเมตํ อนญฺญถเมต’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๐) วิตฺถาโรฯ ตานิ จ ภควา อภิสมฺพุโทฺธ, ตสฺมา ตถานํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา ตถาคโตติ วุจฺจติฯ อภิสโมฺพธโตฺถ หิ เอตฺถ คตสโทฺทฯ

    Kathaṃ tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato? Tathadhammā nāma cattāri ariyasaccāni. Yathāha – ‘‘cattārimāni, bhikkhave, tathāni avitathāni anaññathāni. Katamāni cattāri? ‘Idaṃ dukkha’nti, bhikkhave, tathametaṃ avitathametaṃ anaññathameta’’nti (saṃ. ni. 5.1090) vitthāro. Tāni ca bhagavā abhisambuddho, tasmā tathānaṃ abhisambuddhattā tathāgatoti vuccati. Abhisambodhattho hi ettha gatasaddo.

    อปิจ ชรามรณสฺส ชาติปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐ ตโถ อวิตโถ อนญฺญโถ…เป.… สงฺขารานํ อวิชฺชาปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐ ตโถ อวิตโถ อนญฺญโถฯ ตถา อวิชฺชาย สงฺขารานํ ปจฺจยโฎฺฐ, สงฺขารานํ วิญฺญาณสฺส ปจฺจยโฎฺฐ…เป.… ชาติยา ชรามรณสฺส ปจฺจยโฎฺฐ ตโถ อวิตโถ อนญฺญโถฯ ตํ สพฺพํ ภควา อภิสมฺพุโทฺธฯ ตสฺมาปิ ตถานํ ธมฺมานํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา ตถาคโตติ วุจฺจติฯ เอวํ ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโตฯ

    Apica jarāmaraṇassa jātipaccayasambhūtasamudāgataṭṭho tatho avitatho anaññatho…pe… saṅkhārānaṃ avijjāpaccayasambhūtasamudāgataṭṭho tatho avitatho anaññatho. Tathā avijjāya saṅkhārānaṃ paccayaṭṭho, saṅkhārānaṃ viññāṇassa paccayaṭṭho…pe… jātiyā jarāmaraṇassa paccayaṭṭho tatho avitatho anaññatho. Taṃ sabbaṃ bhagavā abhisambuddho. Tasmāpi tathānaṃ dhammānaṃ abhisambuddhattā tathāgatoti vuccati. Evaṃ tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato.

    กถํ ตถทสฺสิตาย ตถาคโต? ภควา ยํ สเทวเก โลเก…เป.… สเทวมนุสฺสาย อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ จกฺขุทฺวาเร อาปาถํ อาคจฺฉนฺตํ รูปารมฺมณํ นาม อตฺถิ, ตํ สพฺพาการโต ชานาติ ปสฺสติฯ เอวํ ชานตา ปสฺสตา จ เตน ตํ อิฎฺฐานิฎฺฐาทิวเสน วา ทิฎฺฐสุตมุตวิญฺญาเตสุ ลพฺภมานกปทวเสน วา ‘‘กตมํ ตํ รูปํ รูปายตนํ? ยํ รูปํ จตุนฺนํ มหาภูตานํ อุปาทาย วณฺณนิภา สนิทสฺสนํ สปฺปฎิฆํ นีลํ ปีตก’’นฺติอาทินา (ธ. ส. ๖๑๖) นเยน อเนเกหิ นาเมหิ เตรสหิ วาเรหิ เทฺวปญฺญาสาย นเยหิ วิภชฺชมานํ ตถเมว โหติ, วิตถํ นตฺถิฯ เอส นโย โสตทฺวาราทีสุปิ อาปาถมาคจฺฉเนฺตสุ สทฺทาทีสุฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘ยํ, ภิกฺขเว, สเทวกสฺส โลกสฺส…เป.… สเทวมนุสฺสาย ทิฎฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ อนุวิจริตํ มนสา, ตมหํ ชานามิ, ตมหํ อพฺภญฺญาสิํ, ตํ ตถาคตสฺส วิทิตํ, ตํ ตถาคโต น อุปฎฺฐาสี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔)ฯ เอวํ ตถทสฺสิตาย ตถาคโตฯ ตตฺถ ตถทสฺสีอเตฺถ ตถาคโตติ ปทสมฺภโว เวทิตโพฺพฯ

    Kathaṃ tathadassitāya tathāgato? Bhagavā yaṃ sadevake loke…pe… sadevamanussāya aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ cakkhudvāre āpāthaṃ āgacchantaṃ rūpārammaṇaṃ nāma atthi, taṃ sabbākārato jānāti passati. Evaṃ jānatā passatā ca tena taṃ iṭṭhāniṭṭhādivasena vā diṭṭhasutamutaviññātesu labbhamānakapadavasena vā ‘‘katamaṃ taṃ rūpaṃ rūpāyatanaṃ? Yaṃ rūpaṃ catunnaṃ mahābhūtānaṃ upādāya vaṇṇanibhā sanidassanaṃ sappaṭighaṃ nīlaṃ pītaka’’ntiādinā (dha. sa. 616) nayena anekehi nāmehi terasahi vārehi dvepaññāsāya nayehi vibhajjamānaṃ tathameva hoti, vitathaṃ natthi. Esa nayo sotadvārādīsupi āpāthamāgacchantesu saddādīsu. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘yaṃ, bhikkhave, sadevakassa lokassa…pe… sadevamanussāya diṭṭhaṃ sutaṃ mutaṃ viññātaṃ pattaṃ pariyesitaṃ anuvicaritaṃ manasā, tamahaṃ jānāmi, tamahaṃ abbhaññāsiṃ, taṃ tathāgatassa viditaṃ, taṃ tathāgato na upaṭṭhāsī’’ti (a. ni. 4.24). Evaṃ tathadassitāya tathāgato. Tattha tathadassīatthe tathāgatoti padasambhavo veditabbo.

    กถํ ตถวาทิตาย ตถาคโต? ยํ รตฺติํ ภควา โพธิมเณฺฑ อปราชิตปลฺลเงฺก นิสิโนฺน ติณฺณํ มารานํ มตฺถกํ มทฺทิตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ, ยญฺจ รตฺติํ ยมกสาลานํ อนฺตเร อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิ, เอตฺถนฺตเร ปญฺจจตฺตาลีสวสฺสปริมาเณ กาเล ปฐมโพธิยาปิ มชฺฌิมโพธิยาปิ ปจฺฉิมโพธิยาปิ ยํ ภควตา ภาสิตํ สุตฺตํ เคยฺยํ…เป.… เวทลฺลํ, สพฺพํ ตํ อตฺถโต จ พฺยญฺชนโต จ อนุปวชฺชํ อนูนํ อนธิกํ สพฺพาการปริปุณฺณํ ราคมทนิมฺมทนํ โทสโมหมทนิมฺมทนํ, นตฺถิ ตตฺถ วาลคฺคมตฺตมฺปิ อวกฺขลิตํ, สพฺพํ ตํ เอกมุทฺทิกาย ลญฺฉิตํ วิย เอกนาฬิกาย มิตํ วิย เอกตุลาย ตุลิตํ วิย จ ตถเมว โหติ อวิตถํฯ เตนาห – ‘‘ยญฺจ, จุนฺท, รตฺติํ ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌติ, ยญฺจ รตฺติํ อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายติ, ยํ เอตสฺมิํ อนฺตเร ภาสติ ลปติ นิทฺทิสติ, สพฺพํ ตํ ตเถว โหติ โน อญฺญถาฯ ตสฺมา ตถาคโตติ วุจฺจตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๘๘)ฯ คทโตฺถ หิ เอตฺถ คตสโทฺทฯ เอวํ ตถวาทิตาย ตถาคโตฯ

    Kathaṃ tathavāditāya tathāgato? Yaṃ rattiṃ bhagavā bodhimaṇḍe aparājitapallaṅke nisinno tiṇṇaṃ mārānaṃ matthakaṃ madditvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho, yañca rattiṃ yamakasālānaṃ antare anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi, etthantare pañcacattālīsavassaparimāṇe kāle paṭhamabodhiyāpi majjhimabodhiyāpi pacchimabodhiyāpi yaṃ bhagavatā bhāsitaṃ suttaṃ geyyaṃ…pe… vedallaṃ, sabbaṃ taṃ atthato ca byañjanato ca anupavajjaṃ anūnaṃ anadhikaṃ sabbākāraparipuṇṇaṃ rāgamadanimmadanaṃ dosamohamadanimmadanaṃ, natthi tattha vālaggamattampi avakkhalitaṃ, sabbaṃ taṃ ekamuddikāya lañchitaṃ viya ekanāḷikāya mitaṃ viya ekatulāya tulitaṃ viya ca tathameva hoti avitathaṃ. Tenāha – ‘‘yañca, cunda, rattiṃ tathāgato anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambujjhati, yañca rattiṃ anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyati, yaṃ etasmiṃ antare bhāsati lapati niddisati, sabbaṃ taṃ tatheva hoti no aññathā. Tasmā tathāgatoti vuccatī’’ti (dī. ni. 3.188). Gadattho hi ettha gatasaddo. Evaṃ tathavāditāya tathāgato.

    อปิจ อาคทนํ อาคโท, วจนนฺติ อโตฺถฯ ตโถ อวิปรีโต อาคโท อสฺสาติ ทการสฺส ตการํ กตฺวา ตถาคโตติ เอวเมฺปตสฺมิํ อเตฺถ ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ

    Apica āgadanaṃ āgado, vacananti attho. Tatho aviparīto āgado assāti dakārassa takāraṃ katvā tathāgatoti evampetasmiṃ atthe padasiddhi veditabbā.

    กถํ ตถาการิตาย ตถาคโต? ภควโต หิ วาจาย กาโย อนุโลเมติ กายสฺสปิ วาจา, ตสฺมา ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาที จ โหติฯ เอวํ ภูตสฺส จสฺส ยถา วาจา, กาโยปิ ตถา คโต, ปวโตฺตติ อโตฺถฯ ยถา จ กาโย, วาจาปิ ตถา คตาติ ตถาคโตฯ เตเนวาห – ‘‘ยถาวาที, ภิกฺขเว, ตถาคโต ตถาการี, ยถาการี ตถาวาทีฯ อิติ ยถาวาที ตถาการี, ยถาการี ตถาวาทีฯ ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓)ฯ เอวํ ตถาการิตาย ตถาคโตฯ

    Kathaṃ tathākāritāya tathāgato? Bhagavato hi vācāya kāyo anulometi kāyassapi vācā, tasmā yathāvādī tathākārī yathākārī tathāvādī ca hoti. Evaṃ bhūtassa cassa yathā vācā, kāyopi tathā gato, pavattoti attho. Yathā ca kāyo, vācāpi tathā gatāti tathāgato. Tenevāha – ‘‘yathāvādī, bhikkhave, tathāgato tathākārī, yathākārī tathāvādī. Iti yathāvādī tathākārī, yathākārī tathāvādī. Tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti (a. ni. 4.23). Evaṃ tathākāritāya tathāgato.

    กถํ อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโต? อุปริ ภวคฺคํ เหฎฺฐา อวีจิํ ปริยนฺตํ กตฺวา ติริยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ สพฺพสเตฺต อภิภวติ สีเลนปิ สมาธินาปิ ปญฺญายปิ วิมุตฺติยาปิ, น ตสฺส ตุลา วา ปมาณํ วา อตฺถิ, อตุโล อปฺปเมโยฺย อนุตฺตโร ราชราโช เทวเทโว สกฺกานมติสโกฺก พฺรหฺมานมติพฺรหฺมาฯ เตนาห – ‘‘สเทวเก โลเก, ภิกฺขเว…เป.… สเทวมนุสฺสาย ตถาคโต อภิภู อนภิภูโต อญฺญทตฺถุ ทโส วสวตฺตีฯ ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓)ฯ

    Kathaṃ abhibhavanaṭṭhena tathāgato? Upari bhavaggaṃ heṭṭhā avīciṃ pariyantaṃ katvā tiriyaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu sabbasatte abhibhavati sīlenapi samādhināpi paññāyapi vimuttiyāpi, na tassa tulā vā pamāṇaṃ vā atthi, atulo appameyyo anuttaro rājarājo devadevo sakkānamatisakko brahmānamatibrahmā. Tenāha – ‘‘sadevake loke, bhikkhave…pe… sadevamanussāya tathāgato abhibhū anabhibhūto aññadatthu daso vasavattī. Tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti (a. ni. 4.23).

    ตเตฺรวํ ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพา – อคโท วิย อคโทฯ โก ปเนส? เทสนาวิลาโส เจว ปุญฺญุสฺสโย จฯ เตน เหส มหานุภาโว ภิสโกฺก ทิพฺพาคเทน สเปฺป วิย สพฺพปรปฺปวาทิโน สเทวกญฺจ โลกํ อภิภวติฯ อิติ สพฺพโลกาภิภวเน ตโถ อวิปรีโต เทสนาวิลาโส เจว ปุญฺญุสฺสโย จ อคโท อสฺสาติ ทการสฺส ตการํ กตฺวา ตถาคโตติ เวทิตโพฺพฯ เอวํ อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโตฯ

    Tatrevaṃ padasiddhi veditabbā – agado viya agado. Ko panesa? Desanāvilāso ceva puññussayo ca. Tena hesa mahānubhāvo bhisakko dibbāgadena sappe viya sabbaparappavādino sadevakañca lokaṃ abhibhavati. Iti sabbalokābhibhavane tatho aviparīto desanāvilāso ceva puññussayo ca agado assāti dakārassa takāraṃ katvā tathāgatoti veditabbo. Evaṃ abhibhavanaṭṭhena tathāgato.

    อปิจ ตถาย คโตติปิ ตถาคโต, ตถํ คโตติปิ ตถาคโต, คโตติ อวคโต อตีโต ปโตฺต ปฎิปโนฺนติ อโตฺถฯ ตตฺถ สกลโลกํ ตีรณปริญฺญาย ตถาย คโต อวคโตติ ตถาคโตฯ โลกสมุทยํ ปหานปริญฺญาย ตถาย คโต อตีโตติ ตถาคโต, โลกนิโรธํ สจฺฉิกิริยาย ตถาย คโต ปโตฺตติ ตถาคโต, โลกนิโรธคามินิํ ปฎิปทํ ตถาย คโต ปฎิปโนฺนติ ตถาคโตฯ เตน ยํ วุตฺตํ ภควตา –

    Apica tathāya gatotipi tathāgato, tathaṃ gatotipi tathāgato, gatoti avagato atīto patto paṭipannoti attho. Tattha sakalalokaṃ tīraṇapariññāya tathāya gato avagatoti tathāgato. Lokasamudayaṃ pahānapariññāya tathāya gato atītoti tathāgato, lokanirodhaṃ sacchikiriyāya tathāya gato pattoti tathāgato, lokanirodhagāminiṃ paṭipadaṃ tathāya gato paṭipannoti tathāgato. Tena yaṃ vuttaṃ bhagavatā –

    ‘‘โลโก, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ, โลกสฺมา ตถาคโต วิสํยุโตฺตฯ โลกสมุทโย, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ, โลกสมุทโย ตถาคตสฺส ปหีโนฯ โลกนิโรโธ, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ, โลกนิโรโธ ตถาคตสฺส สจฺฉิกโตฯ โลกนิโรธคามินี ปฎิปทา, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา, โลกนิโรธคามินี ปฎิปทา ตถาคตสฺส ภาวิตาฯ ยํ, ภิกฺขเว, สเทวกสฺส โลกสฺส…เป.… สพฺพํ ตํ ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธํฯ ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓)ฯ

    ‘‘Loko, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddho, lokasmā tathāgato visaṃyutto. Lokasamudayo, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddho, lokasamudayo tathāgatassa pahīno. Lokanirodho, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddho, lokanirodho tathāgatassa sacchikato. Lokanirodhagāminī paṭipadā, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddhā, lokanirodhagāminī paṭipadā tathāgatassa bhāvitā. Yaṃ, bhikkhave, sadevakassa lokassa…pe… sabbaṃ taṃ tathāgatena abhisambuddhaṃ. Tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti (a. ni. 4.23).

    ตสฺสปิ เอวํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิทมฺปิ จ ตถาคตสฺส ตถาคตภาวทีปเน มุขมตฺตเมวฯ สพฺพากาเรน ปน ตถาคโตว ตถาคตสฺส ตถาคตภาวํ วเณฺณยฺยฯ

    Tassapi evaṃ attho veditabbo. Idampi ca tathāgatassa tathāgatabhāvadīpane mukhamattameva. Sabbākārena pana tathāgatova tathāgatassa tathāgatabhāvaṃ vaṇṇeyya.

    อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธติ ปททฺวเย ปน อารกตฺตา, อรีนํ อรานญฺจ หตตฺตา, ปจฺจยาทีนํ อรหตฺตา, ปาปกรเณ รหาภาวาติ อิเมหิ ตาว การเณหิ อรหนฺติ เวทิตโพฺพฯ สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา ปน สมฺมาสมฺพุโทฺธติ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปเนตํ ปททฺวยํ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๒๓ อาทโย) พุทฺธานุสฺสติวณฺณนายํ ปกาสิตนฺติฯ

    Arahaṃ sammāsambuddhoti padadvaye pana ārakattā, arīnaṃ arānañca hatattā, paccayādīnaṃ arahattā, pāpakaraṇe rahābhāvāti imehi tāva kāraṇehi arahanti veditabbo. Sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā pana sammāsambuddhoti ayamettha saṅkhepo, vitthārato panetaṃ padadvayaṃ visuddhimagge (visuddhi. 1.123 ādayo) buddhānussativaṇṇanāyaṃ pakāsitanti.

    ๑๗๑. ทุติเย ปาตุภาโวติ อุปฺปตฺติ นิปฺผตฺติฯ ทุลฺลโภ โลกสฺมินฺติ อิมสฺมิํ สตฺตโลเก ทุลฺลโภ สุทุลฺลโภ ปรมทุลฺลโภฯ กสฺมา ทุลฺลโภติ? เอกวารํ ทานปารมิํ ปูเรตฺวา พุเทฺธน ภวิตุํ น สกฺกา, เทฺว วาเร ทส วาเร วีสติ วาเร ปญฺญาส วาเร วารสตํ วารสหสฺสํ วารสตสหสฺสํ วารโกฎิสตสหสฺสมฺปิ ทานปารมิํ ปูเรตฺวา พุเทฺธน ภวิตุํ น สกฺกา, ตถา เอกทิวสํ เทฺว ทิวเส ทส ทิวเส วีสติ ทิวเส ปญฺญาส ทิวเส ทิวสสตํ ทิวสสหสฺสํ ทิวสสตสหสฺสํ ทิวสโกฎิสตสหสฺสํ ฯ เอกมาสํ เทฺว มาเส…เป.… มาสโกฎิสตสหสฺสํฯ เอกสํวจฺฉรํ เทฺว สํวจฺฉเร…เป.… สํวจฺฉรโกฎิสตสหสฺสํฯ เอกกปฺปํ เทฺว กเปฺป…เป.… กปฺปโกฎิสตสหสฺสํฯ กปฺปานํ เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ ตีณิ อสเงฺขฺยยฺยานิ ทานปารมิํ ปูเรตฺวา พุเทฺธน ภวิตุํ น สกฺกาฯ สีลปารมีเนกฺขมฺมปารมี…เป.… อุเปกฺขาปารมีสุปิ เอเสว นโยฯ ปจฺฉิมโกฎิยา ปน กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ ทส ปารมิโย ปูเรตฺวา พุเทฺธน ภวิตุํ สกฺกาติ อิมินา การเณน ทุลฺลโภฯ

    171. Dutiye pātubhāvoti uppatti nipphatti. Dullabho lokasminti imasmiṃ sattaloke dullabho sudullabho paramadullabho. Kasmā dullabhoti? Ekavāraṃ dānapāramiṃ pūretvā buddhena bhavituṃ na sakkā, dve vāre dasa vāre vīsati vāre paññāsa vāre vārasataṃ vārasahassaṃ vārasatasahassaṃ vārakoṭisatasahassampi dānapāramiṃ pūretvā buddhena bhavituṃ na sakkā, tathā ekadivasaṃ dve divase dasa divase vīsati divase paññāsa divase divasasataṃ divasasahassaṃ divasasatasahassaṃ divasakoṭisatasahassaṃ . Ekamāsaṃ dve māse…pe… māsakoṭisatasahassaṃ. Ekasaṃvaccharaṃ dve saṃvacchare…pe… saṃvaccharakoṭisatasahassaṃ. Ekakappaṃ dve kappe…pe… kappakoṭisatasahassaṃ. Kappānaṃ ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ dve asaṅkhyeyyāni tīṇi asaṅkhyeyyāni dānapāramiṃ pūretvā buddhena bhavituṃ na sakkā. Sīlapāramīnekkhammapāramī…pe… upekkhāpāramīsupi eseva nayo. Pacchimakoṭiyā pana kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni dasa pāramiyo pūretvā buddhena bhavituṃ sakkāti iminā kāraṇena dullabho.

    ๑๗๒. ตติเย อจฺฉริยมนุโสฺสติ อจฺฉริโย มนุโสฺสฯ อจฺฉริโยติ อนฺธสฺส ปพฺพตาโรหณํ วิย นิจฺจํ น โหตีติ อโตฺถฯ อยํ ตาว สทฺทนโยฯ อยํ ปน อฎฺฐกถานโย – อจฺฉราโยโคฺคติ อจฺฉริโย, อจฺฉรํ ปหริตฺวา ปสฺสิตโพฺพติ อโตฺถฯ อปิจ ‘‘ตถาคตสฺส, ภิกฺขเว, อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปาตุภาวา จตฺตาโร อจฺฉริยา อพฺภุตา ธมฺมา ปาตุภวนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๒๗) เอวมาทีหิ อเนเกหิ อจฺฉริยพฺภุตธเมฺมหิ สมนฺนาคตตฺตาปิ อจฺฉริยมนุโสฺสฯ อาจิณฺณมนุโสฺสติปิ อจฺฉริยมนุโสฺสฯ

    172. Tatiye acchariyamanussoti acchariyo manusso. Acchariyoti andhassa pabbatārohaṇaṃ viya niccaṃ na hotīti attho. Ayaṃ tāva saddanayo. Ayaṃ pana aṭṭhakathānayo – accharāyoggoti acchariyo, accharaṃ paharitvā passitabboti attho. Apica ‘‘tathāgatassa, bhikkhave, arahato sammāsambuddhassa pātubhāvā cattāro acchariyā abbhutā dhammā pātubhavantī’’ti (a. ni. 4.127) evamādīhi anekehi acchariyabbhutadhammehi samannāgatattāpi acchariyamanusso. Āciṇṇamanussotipi acchariyamanusso.

    อภินีหารสฺส หิ สมฺปาทเก อฎฺฐ ธเมฺม สโมธาเนตฺวา เอกพุทฺธสฺส สมฺมุเข มหาโพธิมเณฺฑ มานสํ พนฺธิตฺวา นิสชฺชนํ นาม น อญฺญสฺส กสฺสจิ อาจิณฺณํ, สพฺพญฺญุโพธิสตฺตเสฺสว อาจิณฺณํฯ ตถา พุทฺธานํ สนฺติเก พฺยากรณํ ลภิตฺวา อนิวตฺตเกน หุตฺวา วีริยาธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐาย พุทฺธการกธมฺมานํ ปูรณมฺปิ น อญฺญสฺส กสฺสจิ อาจิณฺณํ, สพฺพญฺญุโพธิสตฺตเสฺสว อาจิณฺณํฯ ตถา ปารมิโย คพฺภํ คณฺหาเปตฺวา เวสฺสนฺตรตฺตภาวสทิเส อตฺตภาเว ฐตฺวา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตานํ หตฺถีนํ สตฺตสตานิ อสฺสานํ สตฺตสตานีติ เอวํ สตฺตสตกมหาทานํ ทตฺวา ชาลิกุมารสทิสํ ปุตฺตํ, กณฺหาชินาสทิสํ ธีตรํ, มทฺทีเทวิสทิสํ ภริยญฺจ ทานมุเข นิยฺยาเตตฺวา ยาวตายุกํ ฐตฺวา ทุติเย อตฺตภาเว ตุสิตภวเน ปฎิสนฺธิคฺคหณมฺปิ น อญฺญสฺส กสฺสจิ อาจิณฺณํ, สพฺพญฺญุโพธิสตฺตเสฺสว อาจิณฺณํฯ ตุสิตปุเร ยาวตายุกํ ฐตฺวา เทวตานํ อายาจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปญฺจมหาวิโลกนํ วิโลเกตฺวา สตสฺส สมฺปชานสฺส ตุสิตปุรา จวิตฺวา มหาโภคกุเล ปฎิสนฺธิคฺคหณมฺปิ น อญฺญสฺส กสฺสจิ อาจิณฺณํ, สพฺพญฺญุโพธิสตฺตเสฺสว อาจิณฺณํฯ ตถา ปฎิสนฺธิคฺคหณทิวเส ทสสหสฺสิโลกธาตุกมฺปนมฺปิ, สตสฺส สมฺปชานสฺส มาตุกุจฺฉิยํ นิวาโสปิ, สตสฺส สมฺปชานสฺส มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมนทิวเส ทสสหสฺสิโลกธาตุกมฺปนมฺปิ, สมฺปติชาตสฺส สตฺตปทวีติหารคมนมฺปิ, ทิพฺพเสตจฺฉตฺต. ธารณมฺปิ, ทิพฺพวาฬพีชนุเกฺขโปปิ, สพฺพทิสาสุ สีหวิโลกนํ วิโลเกตฺวา อตฺตนา ปฎิสมํ กญฺจิ สตฺตํ อทิสฺวา ‘‘อโคฺคหมสฺมิ โลกสฺสา’’ติ เอวํ สีหนาทนทนมฺปิ, ปริปากคเต ญาเณ มหาสมฺปตฺติํ ปหาย มหาภินิกฺขมนมฺปิ, มหาโพธิมเณฺฑ ปลฺลเงฺกน นิสินฺนสฺส มารวิชยํ อาทิํ กตฺวา ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติทิพฺพจกฺขุวิโสธนานิ กตฺวา ปจฺจูสสมเย สพฺพญฺญุตญฺญาณคุณราสิปฎิวิทฺธกฺขเณ ทสสหสฺสิโลกธาตุกมฺปนมฺปิ, ปฐมธมฺมเทสนาย อนุตฺตรํ ติปริวฎฺฎํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนมฺปีติ เอวมาทิ สพฺพํ น อญฺญสฺส กสฺสจิ อาจิณฺณํ, สพฺพญฺญุพุทฺธเสฺสว อาจิณฺณํฯ เอวํ อาจิณฺณมนุโสฺสติปิ อจฺฉริยมนุโสฺสฯ

    Abhinīhārassa hi sampādake aṭṭha dhamme samodhānetvā ekabuddhassa sammukhe mahābodhimaṇḍe mānasaṃ bandhitvā nisajjanaṃ nāma na aññassa kassaci āciṇṇaṃ, sabbaññubodhisattasseva āciṇṇaṃ. Tathā buddhānaṃ santike byākaraṇaṃ labhitvā anivattakena hutvā vīriyādhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhāya buddhakārakadhammānaṃ pūraṇampi na aññassa kassaci āciṇṇaṃ, sabbaññubodhisattasseva āciṇṇaṃ. Tathā pāramiyo gabbhaṃ gaṇhāpetvā vessantarattabhāvasadise attabhāve ṭhatvā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitānaṃ hatthīnaṃ sattasatāni assānaṃ sattasatānīti evaṃ sattasatakamahādānaṃ datvā jālikumārasadisaṃ puttaṃ, kaṇhājināsadisaṃ dhītaraṃ, maddīdevisadisaṃ bhariyañca dānamukhe niyyātetvā yāvatāyukaṃ ṭhatvā dutiye attabhāve tusitabhavane paṭisandhiggahaṇampi na aññassa kassaci āciṇṇaṃ, sabbaññubodhisattasseva āciṇṇaṃ. Tusitapure yāvatāyukaṃ ṭhatvā devatānaṃ āyācanaṃ sampaṭicchitvā pañcamahāvilokanaṃ viloketvā satassa sampajānassa tusitapurā cavitvā mahābhogakule paṭisandhiggahaṇampi na aññassa kassaci āciṇṇaṃ, sabbaññubodhisattasseva āciṇṇaṃ. Tathā paṭisandhiggahaṇadivase dasasahassilokadhātukampanampi, satassa sampajānassa mātukucchiyaṃ nivāsopi, satassa sampajānassa mātukucchito nikkhamanadivase dasasahassilokadhātukampanampi, sampatijātassa sattapadavītihāragamanampi, dibbasetacchatta. dhāraṇampi, dibbavāḷabījanukkhepopi, sabbadisāsu sīhavilokanaṃ viloketvā attanā paṭisamaṃ kañci sattaṃ adisvā ‘‘aggohamasmi lokassā’’ti evaṃ sīhanādanadanampi, paripākagate ñāṇe mahāsampattiṃ pahāya mahābhinikkhamanampi, mahābodhimaṇḍe pallaṅkena nisinnassa māravijayaṃ ādiṃ katvā pubbenivāsānussatidibbacakkhuvisodhanāni katvā paccūsasamaye sabbaññutaññāṇaguṇarāsipaṭividdhakkhaṇe dasasahassilokadhātukampanampi, paṭhamadhammadesanāya anuttaraṃ tiparivaṭṭaṃ dhammacakkappavattanampīti evamādi sabbaṃ na aññassa kassaci āciṇṇaṃ, sabbaññubuddhasseva āciṇṇaṃ. Evaṃ āciṇṇamanussotipi acchariyamanusso.

    ๑๗๓. จตุเตฺถ กาลกิริยาติ เอกสฺมิํ กาเล ปากฎา กิริยาติ กาลกิริยาฯ ตถาคโต หิ ปญฺจจตฺตาลีส วสฺสานิ ฐตฺวา ตีณิ ปิฎกานิ ปญฺจ นิกาเย นวงฺคํ สตฺถุสาสนํ จตุราสีติ ธมฺมกฺขนฺธสหสฺสานิ ปกาเสตฺวา มหาชนํ นิพฺพานนินฺนํ นิพฺพานโปณํ กตฺวา ยมกสาลานมนฺตเร นิปโนฺน ภิกฺขุสงฺฆํ อามเนฺตตฺวา อปฺปมาเทน โอวทิตฺวา สโต สมฺปชาโน อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ อยมสฺส กิริยา ยาวชฺชตนา ปากฎาติ เอกสฺมิํ กาเล ปากฎา กิริยาติ กาลกิริยาฯ อนุตปฺปา โหตีติ อนุตาปกรา โหติฯ ตตฺถ จกฺกวตฺติรโญฺญ กาลกิริยา เอกจกฺกวาเฬ เทวมนุสฺสานํ อนุตาปกรา โหติฯ พุทฺธานํ กาลกิริยา ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ เทวมนุสฺสานํ อนุตาปกรา โหติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘พหุโน ชนสฺส อนุตปฺปา โหตี’’ติฯ

    173. Catutthe kālakiriyāti ekasmiṃ kāle pākaṭā kiriyāti kālakiriyā. Tathāgato hi pañcacattālīsa vassāni ṭhatvā tīṇi piṭakāni pañca nikāye navaṅgaṃ satthusāsanaṃ caturāsīti dhammakkhandhasahassāni pakāsetvā mahājanaṃ nibbānaninnaṃ nibbānapoṇaṃ katvā yamakasālānamantare nipanno bhikkhusaṅghaṃ āmantetvā appamādena ovaditvā sato sampajāno anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi. Ayamassa kiriyā yāvajjatanā pākaṭāti ekasmiṃ kāle pākaṭā kiriyāti kālakiriyā. Anutappā hotīti anutāpakarā hoti. Tattha cakkavattirañño kālakiriyā ekacakkavāḷe devamanussānaṃ anutāpakarā hoti. Buddhānaṃ kālakiriyā dasasahassacakkavāḷesu devamanussānaṃ anutāpakarā hoti. Tena vuttaṃ – ‘‘bahuno janassa anutappā hotī’’ti.

    ๑๗๔. ปญฺจเม อทุติโยติ ทุติยสฺส พุทฺธสฺส อภาวา อทุติโยฯ จตฺตาโร หิ พุทฺธา สุตพุโทฺธ, จตุสจฺจพุโทฺธ, ปเจฺจกพุโทฺธ, สพฺพญฺญุพุโทฺธติฯ ตตฺถ พหุสฺสุโต ภิกฺขุ สุตพุโทฺธ นาม ฯ ขีณาสโว จตุสจฺจพุโทฺธ นาม ฯ กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ ปารมิโย ปูเรตฺวา สามํ ปฎิวิทฺธปเจฺจกโพธิญาโณ ปเจฺจกพุโทฺธ นามฯ กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ วา อฎฺฐ วา โสฬส วา อสเงฺขฺยยฺยานิ ปารมิโย ปูเรตฺวา ติณฺณํ มารานํ มตฺถกํ มทฺทิตฺวา ปฎิวิทฺธสพฺพญฺญุตญฺญาโณ สพฺพญฺญุพุโทฺธ นามฯ อิเมสุ จตูสุ พุเทฺธสุ สพฺพญฺญุพุโทฺธว อทุติโย นามฯ น หิ เตน สทฺธิํ อโญฺญ สพฺพญฺญุพุโทฺธ นาม อุปฺปชฺชติฯ

    174. Pañcame adutiyoti dutiyassa buddhassa abhāvā adutiyo. Cattāro hi buddhā sutabuddho, catusaccabuddho, paccekabuddho, sabbaññubuddhoti. Tattha bahussuto bhikkhu sutabuddho nāma . Khīṇāsavo catusaccabuddho nāma . Kappasatasahassādhikāni dve asaṅkhyeyyāni pāramiyo pūretvā sāmaṃ paṭividdhapaccekabodhiñāṇo paccekabuddho nāma. Kappasatasahassādhikāni cattāri vā aṭṭha vā soḷasa vā asaṅkhyeyyāni pāramiyo pūretvā tiṇṇaṃ mārānaṃ matthakaṃ madditvā paṭividdhasabbaññutaññāṇo sabbaññubuddho nāma. Imesu catūsu buddhesu sabbaññubuddhova adutiyo nāma. Na hi tena saddhiṃ añño sabbaññubuddho nāma uppajjati.

    อสหาโยติ อตฺตภาเวน วา ปฎิวิทฺธธเมฺมหิ วา สทิโส สหาโย นาม อสฺส นตฺถีติ อสหาโยฯ ‘‘ลทฺธสหาโย โข ปน โส ภควา เสขานเญฺจว ปฎิปทาน’’นฺติ อิมินา ปน ปริยาเยน เสขาเสขา พุทฺธานํ สหายา นาม โหนฺติฯ อปฺปฎิโมติ ปฎิมา วุจฺจติ อตฺตภาโว, ตสฺส อตฺตภาวสทิสา อญฺญา ปฎิมา นตฺถีติ อปฺปฎิโมฯ ยาปิ จ มนุสฺสา สุวณฺณรชตาทิมยา ปฎิมา กโรนฺติ, ตาสุ วาลคฺคมตฺตมฺปิ โอกาสํ ตถาคตสฺส อตฺตภาวสทิสํ กาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถีติ สพฺพถาปิ อปฺปฎิโมฯ

    Asahāyoti attabhāvena vā paṭividdhadhammehi vā sadiso sahāyo nāma assa natthīti asahāyo. ‘‘Laddhasahāyo kho pana so bhagavā sekhānañceva paṭipadāna’’nti iminā pana pariyāyena sekhāsekhā buddhānaṃ sahāyā nāma honti. Appaṭimoti paṭimā vuccati attabhāvo, tassa attabhāvasadisā aññā paṭimā natthīti appaṭimo. Yāpi ca manussā suvaṇṇarajatādimayā paṭimā karonti, tāsu vālaggamattampi okāsaṃ tathāgatassa attabhāvasadisaṃ kātuṃ samattho nāma natthīti sabbathāpi appaṭimo.

    อปฺปฎิสโมติ อตฺตภาเวเนวสฺส ปฎิสโม นาม โกจิ นตฺถีติ อปฺปฎิสโมฯ อปฺปฎิภาโคติ เย ตถาคเตน ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติอาทินา นเยน ธมฺมา เทสิตา, เตสุ ‘‘น จตฺตาโร สติปฎฺฐานา, ตโย วา ปญฺจ วา’’ติอาทินา นเยน ปฎิภาคํ กาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถีติ อปฺปฎิภาโคฯ อปฺปฎิปุคฺคโลติ อโญฺญ โกจิ ‘‘อหํ พุโทฺธ’’ติ เอวํ ปฎิญฺญํ กาตุํ สมโตฺถ ปุคฺคโล นตฺถีติ อปฺปฎิปุคฺคโลฯ อสโมติ อปฺปฎิปุคฺคลตฺตาว สพฺพสเตฺตหิ อสโมฯ อสมสโมติ อสมา วุจฺจนฺติ อตีตานาคตา สพฺพญฺญุพุทฺธา, เตหิ อสเมหิ สโมติ อสมสโมฯ

    Appaṭisamoti attabhāvenevassa paṭisamo nāma koci natthīti appaṭisamo. Appaṭibhāgoti ye tathāgatena ‘‘cattāro satipaṭṭhānā’’tiādinā nayena dhammā desitā, tesu ‘‘na cattāro satipaṭṭhānā, tayo vā pañca vā’’tiādinā nayena paṭibhāgaṃ kātuṃ samattho nāma natthīti appaṭibhāgo. Appaṭipuggaloti añño koci ‘‘ahaṃ buddho’’ti evaṃ paṭiññaṃ kātuṃ samattho puggalo natthīti appaṭipuggalo. Asamoti appaṭipuggalattāva sabbasattehi asamo. Asamasamoti asamā vuccanti atītānāgatā sabbaññubuddhā, tehi asamehi samoti asamasamo.

    ทฺวิปทานํ อโคฺคติ สมฺมาสมฺพุโทฺธ อปทานํ ทฺวิปทานํ จตุปฺปทานํ พหุปฺปทานํ รูปีนํ อรูปีนํ สญฺญีนํ อสญฺญีนํ เนวสญฺญีนาสญฺญีนํ สตฺตานํ อโคฺควฯ กสฺมา อิธ ทฺวิปทานํ อโคฺคติ วุโตฺต? เสฎฺฐตรวเสนฯ อิมสฺมิญฺหิ โลเก เสโฎฺฐ นาม อุปฺปชฺชมาโน อปทจตุปฺปทพหุปฺปเทสุ น อุปฺปชฺชติ, ทฺวิปเทสุเยว อุปฺปชฺชติฯ กตรทฺวิปเทฺวสูติ? มนุเสฺสสุ เจว เทเวสุ จฯ มนุเสฺสสุ อุปฺปชฺชมาโน ติสหสฺสิมหาสหสฺสิโลกธาตุํ วเส วเตฺตตุํ สมโตฺถ พุโทฺธ หุตฺวา อุปฺปชฺชติฯ เทเวสุ อุปฺปชฺชมาโน ทสสหสฺสิโลกธาตุํ วสวตฺตี มหาพฺรหฺมา หุตฺวา อุปฺปชฺชติฯ โส ตสฺส กปฺปิยการโก วา อารามิโก วา สมฺปชฺชติฯ อิติ ตโตปิ เสฎฺฐตรวเสเนส ทฺวิปทานํ อโคฺคติ วุโตฺตฯ

    Dvipadānaṃ aggoti sammāsambuddho apadānaṃ dvipadānaṃ catuppadānaṃ bahuppadānaṃ rūpīnaṃ arūpīnaṃ saññīnaṃ asaññīnaṃ nevasaññīnāsaññīnaṃ sattānaṃ aggova. Kasmā idha dvipadānaṃ aggoti vutto? Seṭṭhataravasena. Imasmiñhi loke seṭṭho nāma uppajjamāno apadacatuppadabahuppadesu na uppajjati, dvipadesuyeva uppajjati. Kataradvipadvesūti? Manussesu ceva devesu ca. Manussesu uppajjamāno tisahassimahāsahassilokadhātuṃ vase vattetuṃ samattho buddho hutvā uppajjati. Devesu uppajjamāno dasasahassilokadhātuṃ vasavattī mahābrahmā hutvā uppajjati. So tassa kappiyakārako vā ārāmiko vā sampajjati. Iti tatopi seṭṭhataravasenesa dvipadānaṃ aggoti vutto.

    ๑๗๕-๑๘๖. ฉฎฺฐาทีสุ เอกปุคฺคลสฺส, ภิกฺขเว, ปาตุภาวา มหโต จกฺขุสฺส ปาตุภาโว โหตีติ, ภิกฺขเว, เอกปุคฺคลสฺส ตถาคตสฺส อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปาตุภาเวน มหนฺตสฺส จกฺขุสฺส ปาตุภาโว โหติฯ ตสฺมิํ ปุคฺคเล ปาตุภูเต ตํ ปาตุภูตเมว โหติ, น วินา ตสฺส ปาตุภาเวน ปาตุภวติฯ ปาตุภาโวติ อุปฺปตฺติ นิปฺผตฺติฯ กตมสฺส จกฺขุสฺสาติ? ปญฺญาจกฺขุสฺสฯ กีวรูปสฺสาติ? สาริปุตฺตเตฺถรสฺส วิปสฺสนาปญฺญาสทิสสฺส มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรสฺส สมาธิปญฺญาสทิสสฺสาติฯ อาโลกาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อุภินฺนํ อคฺคสาวกานํ ปญฺญาอาโลกสทิโสเยว หิ เอตฺถ อาโลโก, ปญฺญาโอภาสสทิโสเยว โอภาโส อธิเปฺปโตฯ ‘‘มหโต จกฺขุสฺส, มหโต อาโลกสฺส, มหโต โอภาสสฺสา’’ติ อิมานิ จ ปน ตีณิปิ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกานิ กถิตานีติ เวทิตพฺพานิฯ

    175-186. Chaṭṭhādīsu ekapuggalassa, bhikkhave, pātubhāvā mahato cakkhussa pātubhāvo hotīti, bhikkhave, ekapuggalassa tathāgatassa arahato sammāsambuddhassa pātubhāvena mahantassa cakkhussa pātubhāvo hoti. Tasmiṃ puggale pātubhūte taṃ pātubhūtameva hoti, na vinā tassa pātubhāvena pātubhavati. Pātubhāvoti uppatti nipphatti. Katamassa cakkhussāti? Paññācakkhussa. Kīvarūpassāti? Sāriputtattherassa vipassanāpaññāsadisassa mahāmoggallānattherassa samādhipaññāsadisassāti. Ālokādīsupi eseva nayo. Ubhinnaṃ aggasāvakānaṃ paññāālokasadisoyeva hi ettha āloko, paññāobhāsasadisoyeva obhāso adhippeto. ‘‘Mahato cakkhussa, mahato ālokassa, mahato obhāsassā’’ti imāni ca pana tīṇipi lokiyalokuttaramissakāni kathitānīti veditabbāni.

    ฉนฺนํ อนุตฺตริยานนฺติ อุตฺตริตรวิรหิตานํ ฉนฺนํ อุตฺตมธมฺมานํฯ ตตฺถ ทสฺสนานุตฺตริยํ, สวนานุตฺตริยํ, ลาภานุตฺตริยํ, สิกฺขานุตฺตริยํ, ปาริจริยานุตฺตริยํ, อนุสฺสตานุตฺตริยนฺติ อิมานิ ฉ อนุตฺตริยานิฯ อิเมสํ ปาตุภาโว โหตีติ อโตฺถฯ อายสฺมา หิ อานนฺทเตฺถโร สายํปาตํ ตถาคตํ จกฺขุวิญฺญาเณน ทฎฺฐุํ ลภติ, อิทํ ทสฺสนานุตฺตริยํฯ อโญฺญปิ โสตาปโนฺน วา สกทาคามี วา อนาคามี วา อานนฺทเตฺถโร วิย ตถาคตํ ทสฺสนาย ลภติ, อิทมฺปิ ทสฺสนานุตฺตริยํ ฯ อปโร ปน ปุถุชฺชนกลฺยาณโก อานนฺทเตฺถโร วิย ทสพลํ ทสฺสนาย ลภิตฺวา ตํ ทสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ ปาเปติฯ อิทํ ทสฺสนเมว นาม, มูลทสฺสนํ ปน ทสฺสนานุตฺตริยํ นามฯ

    Channaṃ anuttariyānanti uttaritaravirahitānaṃ channaṃ uttamadhammānaṃ. Tattha dassanānuttariyaṃ, savanānuttariyaṃ, lābhānuttariyaṃ, sikkhānuttariyaṃ, pāricariyānuttariyaṃ, anussatānuttariyanti imāni cha anuttariyāni. Imesaṃ pātubhāvo hotīti attho. Āyasmā hi ānandatthero sāyaṃpātaṃ tathāgataṃ cakkhuviññāṇena daṭṭhuṃ labhati, idaṃ dassanānuttariyaṃ. Aññopi sotāpanno vā sakadāgāmī vā anāgāmī vā ānandatthero viya tathāgataṃ dassanāya labhati, idampi dassanānuttariyaṃ . Aparo pana puthujjanakalyāṇako ānandatthero viya dasabalaṃ dassanāya labhitvā taṃ dassanaṃ vaḍḍhetvā sotāpattimaggaṃ pāpeti. Idaṃ dassanameva nāma, mūladassanaṃ pana dassanānuttariyaṃ nāma.

    อานนฺทเตฺถโรเยว จ อภิกฺขณํ ทสพลสฺส วจนํ โสตวิญฺญาเณน โสตุํ ลภติ, อิทํ สวนานุตฺตริยํฯ อเญฺญปิ โสตาปนฺนาทโย อานนฺทเตฺถโร วิย ตถาคตสฺส วจนํ สวนาย ลภนฺติ, อิทมฺปิ สวนานุตฺตริยํฯ อปโร ปน ปุถุชฺชนกลฺยาณโก อานนฺทเตฺถโร วิย ตถาคตสฺส วจนํ โสตุํ ลภิตฺวา ตํ สวนํ วเฑฺฒตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ ปาเปติฯ อิทํ สวนเมว นาม, มูลสวนํ ปน สวนานุตฺตริยํ นามฯ

    Ānandattheroyeva ca abhikkhaṇaṃ dasabalassa vacanaṃ sotaviññāṇena sotuṃ labhati, idaṃ savanānuttariyaṃ. Aññepi sotāpannādayo ānandatthero viya tathāgatassa vacanaṃ savanāya labhanti, idampi savanānuttariyaṃ. Aparo pana puthujjanakalyāṇako ānandatthero viya tathāgatassa vacanaṃ sotuṃ labhitvā taṃ savanaṃ vaḍḍhetvā sotāpattimaggaṃ pāpeti. Idaṃ savanameva nāma, mūlasavanaṃ pana savanānuttariyaṃ nāma.

    อานนฺทเตฺถโรเยว จ ทสพเล สทฺธํ ปฎิลภติ, อิทํ ลาภานุตฺตริยํฯ อเญฺญปิ โสตาปนฺนาทโย อานนฺทเตฺถโร วิย ทสพเล สทฺธาปฎิลาภํ ลภนฺติ, อิทมฺปิ ลาภานุตฺตริยํฯ อปโร ปน ปุถุชฺชนกลฺยาณโก อานนฺทเตฺถโร วิย ทสพเล สทฺธาปฎิลาภํ ลภิตฺวา ตํ ลาภํ วเฑฺฒตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ ปาเปติ, อยํ ลาโภเยว นาม, มูลลาโภ ปน ลาภานุตฺตริยํ นามฯ

    Ānandattheroyeva ca dasabale saddhaṃ paṭilabhati, idaṃ lābhānuttariyaṃ. Aññepi sotāpannādayo ānandatthero viya dasabale saddhāpaṭilābhaṃ labhanti, idampi lābhānuttariyaṃ. Aparo pana puthujjanakalyāṇako ānandatthero viya dasabale saddhāpaṭilābhaṃ labhitvā taṃ lābhaṃ vaḍḍhetvā sotāpattimaggaṃ pāpeti, ayaṃ lābhoyeva nāma, mūlalābho pana lābhānuttariyaṃ nāma.

    อานนฺทเตฺถโรเยว จ ทสพลสฺส สาสเน ติโสฺส สิกฺขา สิกฺขติ, อิทํ สิกฺขานุตฺตริยํฯ อเญฺญปิ โสตาปนฺนาทโย อานนฺทเตฺถโร วิย ทสพลสฺส สาสเน ติโสฺส สิกฺขา สิกฺขนฺติ, อิทมฺปิ สิกฺขานุตฺตริยํฯ อปโร ปน ปุถุชฺชนกลฺยาณโก อานนฺทเตฺถโร วิย ทสพลสฺส สาสเน ติโสฺส สิกฺขา สิกฺขิตฺวา ตา สิกฺขา วเฑฺฒตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ ปาเปติฯ อยํ สิกฺขาเยว นาม, มูลสิกฺขา ปน สิกฺขานุตฺตริยํ นามฯ

    Ānandattheroyeva ca dasabalassa sāsane tisso sikkhā sikkhati, idaṃ sikkhānuttariyaṃ. Aññepi sotāpannādayo ānandatthero viya dasabalassa sāsane tisso sikkhā sikkhanti, idampi sikkhānuttariyaṃ. Aparo pana puthujjanakalyāṇako ānandatthero viya dasabalassa sāsane tisso sikkhā sikkhitvā tā sikkhā vaḍḍhetvā sotāpattimaggaṃ pāpeti. Ayaṃ sikkhāyeva nāma, mūlasikkhā pana sikkhānuttariyaṃ nāma.

    อานนฺทเตฺถโรเยว จ อภิณฺหํ ทสพลํ ปริจรติ, อิทํ ปาริจริยานุตฺตริยํฯ อเญฺญปิ โสตาปนฺนาทโย อานนฺทเตฺถโร วิย อภิณฺหํ ทสพลํ ปริจรนฺติ, อิทมฺปิ ปาริจริยานุตฺตริยํฯ อปโร ปน ปุถุชฺชนกลฺยาณโก อานนฺทเตฺถโร วิย ทสพลํ ปริจริตฺวา ตํ ปาริจริยํ วเฑฺฒตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ ปาเปติ, อยํ ปาริจริยาเยว นาม, มูลปาริจริยา ปน ปาริจริยานุตฺตริยํ นามฯ

    Ānandattheroyeva ca abhiṇhaṃ dasabalaṃ paricarati, idaṃ pāricariyānuttariyaṃ. Aññepi sotāpannādayo ānandatthero viya abhiṇhaṃ dasabalaṃ paricaranti, idampi pāricariyānuttariyaṃ. Aparo pana puthujjanakalyāṇako ānandatthero viya dasabalaṃ paricaritvā taṃ pāricariyaṃ vaḍḍhetvā sotāpattimaggaṃ pāpeti, ayaṃ pāricariyāyeva nāma, mūlapāricariyā pana pāricariyānuttariyaṃ nāma.

    อานนฺทเตฺถโรเยว จ ทสพลสฺส โลกิยโลกุตฺตเร คุเณ อนุสฺสรติ, อิทํ อนุสฺสตานุตฺตริยํฯ อเญฺญปิ โสตาปนฺนาทโย อานนฺทเตฺถโร วิย ทสพลสฺส โลกิยโลกุตฺตเร คุเณ อนุสฺสรนฺติ, อิทมฺปิ อนุสฺสตานุตฺตริยํฯ อปโร ปน ปุถุชฺชนกลฺยาณโก อานนฺทเตฺถโร วิย ทสพลสฺส โลกิยโลกุตฺตเร คุเณ อนุสฺสริตฺวา ตํ อนุสฺสติํ วเฑฺฒตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ ปาเปติ, อยํ อนุสฺสติเยว นาม, มูลานุสฺสติ ปน อนุสฺสตานุตฺตริยํ นามฯ อิมานิ ฉ อนุตฺตริยานิ, อิเมสํ ปาตุภาโว โหติฯ อิมานิ จ ปน ฉ อนุตฺตริยานิ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกานิ กถิตานีติ เวทิตพฺพานิฯ

    Ānandattheroyeva ca dasabalassa lokiyalokuttare guṇe anussarati, idaṃ anussatānuttariyaṃ. Aññepi sotāpannādayo ānandatthero viya dasabalassa lokiyalokuttare guṇe anussaranti, idampi anussatānuttariyaṃ. Aparo pana puthujjanakalyāṇako ānandatthero viya dasabalassa lokiyalokuttare guṇe anussaritvā taṃ anussatiṃ vaḍḍhetvā sotāpattimaggaṃ pāpeti, ayaṃ anussatiyeva nāma, mūlānussati pana anussatānuttariyaṃ nāma. Imāni cha anuttariyāni, imesaṃ pātubhāvo hoti. Imāni ca pana cha anuttariyāni lokiyalokuttaramissakāni kathitānīti veditabbāni.

    จตุนฺนํ ปฎิสมฺภิทานํ สจฺฉิกิริยา โหตีติ จตโสฺส หิ ปฎิสมฺภิทาโย อตฺถปฎิสมฺภิทา, ธมฺมปฎิสมฺภิทา, นิรุตฺติปฎิสมฺภิทา, ปฎิภานปฎิสมฺภิทาติฯ ตตฺถ อเตฺถสุ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา, ธเมฺมสุ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา, อตฺถธมฺมนิรุตฺตาภิลาเป ญาณํ นิรุตฺติปฎิสมฺภิทา , ญาเณสุ ญาณํ ปฎิภานปฎิสมฺภิทาฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปเนตาสํ อภิธเมฺม (วิภ. ๗๑๘ อาทโย) อาคโตเยวฯ อิมาสํ จตสฺสนฺนํ ปฎิสมฺภิทานํ พุทฺธุปฺปาเท ปจฺจกฺขกิริยา โหติ, น วินา พุทฺธุปฺปาทาฯ เอตาสํ สจฺฉิกิริยาติ อโตฺถฯ อิมาปิ โลกิยโลกุตฺตราว กถิตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Catunnaṃpaṭisambhidānaṃ sacchikiriyā hotīti catasso hi paṭisambhidāyo atthapaṭisambhidā, dhammapaṭisambhidā, niruttipaṭisambhidā, paṭibhānapaṭisambhidāti. Tattha atthesu ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā, dhammesu ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā, atthadhammaniruttābhilāpe ñāṇaṃ niruttipaṭisambhidā , ñāṇesu ñāṇaṃ paṭibhānapaṭisambhidā. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro panetāsaṃ abhidhamme (vibha. 718 ādayo) āgatoyeva. Imāsaṃ catassannaṃ paṭisambhidānaṃ buddhuppāde paccakkhakiriyā hoti, na vinā buddhuppādā. Etāsaṃ sacchikiriyāti attho. Imāpi lokiyalokuttarāva kathitāti veditabbā.

    อเนกธาตุปฎิเวโธติ ‘‘จกฺขุธาตุ รูปธาตู’’ติอาทีนํ อฎฺฐารสนฺนํ ธาตูนํ พุทฺธุปฺปาเทเยว ปฎิเวโธ โหติ, น วินา พุทฺธุปฺปาเทนาติ อโตฺถฯ นานาธาตุปฎิเวโธติ เอตฺถ อิมาว อฎฺฐารส ธาตุโย นานาสภาวโต นานาธาตุโยติ เวทิตพฺพาฯ โย ปเนตาสํ ‘‘นานาสภาวา เอตา’’ติ เอวํ นานากรณโต ปฎิเวโธ, อยํ นานาธาตุปฎิเวโธ นามฯ วิชฺชาวิมุตฺติผลสจฺฉิกิริยาติ เอตฺถ วิชฺชาติ ผเล ญาณํ, วิมุตฺตีติ ตทวเสสา ผลสมฺปยุตฺตา ธมฺมาฯ โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยาติ โสโตติ ปฐมมโคฺค, เตน โสเตน ปตฺตพฺพํ ผลนฺติ โสตาปตฺติผลํฯ สกทาคามิผลาทีนิ ปากฎาเนวฯ

    Anekadhātupaṭivedhoti ‘‘cakkhudhātu rūpadhātū’’tiādīnaṃ aṭṭhārasannaṃ dhātūnaṃ buddhuppādeyeva paṭivedho hoti, na vinā buddhuppādenāti attho. Nānādhātupaṭivedhoti ettha imāva aṭṭhārasa dhātuyo nānāsabhāvato nānādhātuyoti veditabbā. Yo panetāsaṃ ‘‘nānāsabhāvā etā’’ti evaṃ nānākaraṇato paṭivedho, ayaṃ nānādhātupaṭivedho nāma. Vijjāvimuttiphalasacchikiriyāti ettha vijjāti phale ñāṇaṃ, vimuttīti tadavasesā phalasampayuttā dhammā. Sotāpattiphalasacchikiriyāti sototi paṭhamamaggo, tena sotena pattabbaṃ phalanti sotāpattiphalaṃ. Sakadāgāmiphalādīni pākaṭāneva.

    ๑๘๗. อนุตฺตรนฺติ นิรุตฺตรํฯ ธมฺมจกฺกนฺติ เสฎฺฐจกฺกํฯ จกฺกสโทฺท เหส –

    187.Anuttaranti niruttaraṃ. Dhammacakkanti seṭṭhacakkaṃ. Cakkasaddo hesa –

    ‘‘จตุพฺภิ อฎฺฐชฺฌคมา, อฎฺฐาหิปิ จ โสฬส;

    ‘‘Catubbhi aṭṭhajjhagamā, aṭṭhāhipi ca soḷasa;

    โสฬสาหิ จ พาตฺติํส, อตฺริจฺฉํ จกฺกมาสโท;

    Soḷasāhi ca bāttiṃsa, atricchaṃ cakkamāsado;

    อิจฺฉาหตสฺส โปสสฺส, จกฺกํ ภมติ มตฺถเก’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๑๐๔; ๑.๕.๑๐๓) –

    Icchāhatassa posassa, cakkaṃ bhamati matthake’’ti. (jā. 1.1.104; 1.5.103) –

    เอตฺถ อุรจเกฺก อาคโตฯ ‘‘จกฺกสมารุฬฺหา ชานปทา ปริยายนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๖๓; ๕.๕๔) เอตฺถ อิริยาปถจเกฺกฯ ‘‘อถ โข โส, ภิกฺขเว, รถกาโร ยํ ตํ จกฺกํ ฉหิ มาเสหิ นิฎฺฐิตํ, ตํ ปวเตฺตสี’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๕) เอตฺถ ทารุจเกฺกฯ ‘‘อทฺทสา โข โทโณ พฺราหฺมโณ ภควโต ปาเทสุ จกฺกานิ สหสฺสารานี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๖) เอตฺถ ลกฺขณจเกฺกฯ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, จกฺกานิ, เยหิ สมนฺนาคตานํ เทวมนุสฺสานํ จตุจกฺกํ วตฺตตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๑) เอตฺถ สมฺปตฺติจเกฺกฯ ‘‘ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุภวตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๔๓; ม. นิ. ๓.๒๕๖) เอตฺถ รตนจเกฺกฯ อิธ ปน ธมฺมจเกฺก อาคโตฯ

    Ettha uracakke āgato. ‘‘Cakkasamāruḷhā jānapadā pariyāyantī’’ti (a. ni. 3.63; 5.54) ettha iriyāpathacakke. ‘‘Atha kho so, bhikkhave, rathakāro yaṃ taṃ cakkaṃ chahi māsehi niṭṭhitaṃ, taṃ pavattesī’’ti (a. ni. 3.15) ettha dārucakke. ‘‘Addasā kho doṇo brāhmaṇo bhagavato pādesu cakkāni sahassārānī’’ti (a. ni. 4.36) ettha lakkhaṇacakke. ‘‘Cattārimāni, bhikkhave, cakkāni, yehi samannāgatānaṃ devamanussānaṃ catucakkaṃ vattatī’’ti (a. ni. 4.31) ettha sampatticakke. ‘‘Dibbaṃ cakkaratanaṃ pātubhavatī’’ti (dī. ni. 2.243; ma. ni. 3.256) ettha ratanacakke. Idha pana dhammacakke āgato.

    ปวตฺติตนฺติ เอตฺถ ธมฺมจกฺกํ อภินีหรติ นาม, อภินีหฎํ นาม, อุปฺปาเทติ นาม, อุปฺปาทิตํ นาม, ปวเตฺตติ นาม, ปวตฺติตํ นามาติ อยํ ปเภโท เวทิตโพฺพฯ กุโต ปฎฺฐาย ธมฺมจกฺกํ อภินีหรติ นามาติ? ยทา สุเมธพฺราหฺมโณ หุตฺวา กาเมสุ อาทีนวํ เนกฺขเมฺม จ อานิสํสํ ทิสฺวา สตฺตสตกมหาทานํ ทตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ปญฺจ อภิญฺญา อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตติ, ตโต ปฎฺฐาย ธมฺมจกฺกํ อภินีหรติ นามฯ

    Pavattitanti ettha dhammacakkaṃ abhinīharati nāma, abhinīhaṭaṃ nāma, uppādeti nāma, uppāditaṃ nāma, pavatteti nāma, pavattitaṃ nāmāti ayaṃ pabhedo veditabbo. Kuto paṭṭhāya dhammacakkaṃ abhinīharati nāmāti? Yadā sumedhabrāhmaṇo hutvā kāmesu ādīnavaṃ nekkhamme ca ānisaṃsaṃ disvā sattasatakamahādānaṃ datvā isipabbajjaṃ pabbajitvā pañca abhiññā aṭṭha samāpattiyo nibbatteti, tato paṭṭhāya dhammacakkaṃ abhinīharati nāma.

    กุโต ปฎฺฐาย อภินีหฎํ นามาติ? ยทา อฎฺฐ ธเมฺม สโมธาเนตฺวา ทีปงฺกรปาทมูเล มหาโพธิมณฺฑตฺถาย มานสํ พนฺธิตฺวา ‘‘พฺยากรณํ อลทฺธา น วุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ วีริยาธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐาย นิปโนฺน ทสพลสฺส สนฺติกา พฺยากรณํ ลภิ, ตโต ปฎฺฐาย ธมฺมจกฺกํ อภินีหฎํ นามฯ

    Kuto paṭṭhāya abhinīhaṭaṃ nāmāti? Yadā aṭṭha dhamme samodhānetvā dīpaṅkarapādamūle mahābodhimaṇḍatthāya mānasaṃ bandhitvā ‘‘byākaraṇaṃ aladdhā na vuṭṭhahissāmī’’ti vīriyādhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhāya nipanno dasabalassa santikā byākaraṇaṃ labhi, tato paṭṭhāya dhammacakkaṃ abhinīhaṭaṃ nāma.

    กุโต ปฎฺฐาย อุปฺปาเทติ นามาติ? ตโต ปฎฺฐาย ทานปารมิํ ปูเรโนฺตปิ ธมฺมจกฺกํ อุปฺปาเทติ นามฯ สีลปารมิํ ปูเรโนฺตปิ…เป.… อุเปกฺขาปารมิํ ปูเรโนฺตปิ ธมฺมจกฺกํ อุปฺปาเทติ นามฯ ทส ปารมิโย ทส อุปปารมิโย ทส ปรมตฺถปารมิโย ปูเรโนฺตปิ, ปญฺจ มหาปริจฺจาเค ปริจฺจชโนฺตปิ, ญาตตฺถจริยํ ปูเรโนฺตปิ ธมฺมจกฺกํ อุปฺปาเทติ นามฯ เวสฺสนฺตรตฺตภาเว ฐตฺวา สตฺตสตกมหาทานํ ทตฺวา ปุตฺตทารํ ทานมุเข นิยฺยาเตตฺวา ปารมิกูฎํ คเหตฺวา ตุสิตปุเร นิพฺพตฺติตฺวา ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา เทวตาหิ อายาจิโต ปฎิญฺญํ ทตฺวา ปญฺจมหาวิโลกนํ วิโลเกโนฺตปิ ธมฺมจกฺกํ อุปฺปาเทติเยว นามฯ มาตุกุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหโนฺตปิ, ปฎิสนฺธิกฺขเณ ทสสหสฺสจกฺกวาฬํ กเมฺปโนฺตปิ, มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขนฺตทิวเส ตเถว โลกํ กเมฺปโนฺตปิ, สมฺปติชาโต สตฺต ปทานิ คนฺตฺวา ‘‘อโคฺคมหสฺมี’’ติ สีหนาทํ นทโนฺตปิ, เอกูนติํส สํวจฺฉรานิ อคารมเชฺฌ วสโนฺตปิ, มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมโนฺตปิ, อโนมานทีตีเร ปพฺพชโนฺตปิ, มหาปธาเน ฉพฺพสฺสานิ วีริยํ กโรโนฺตปิ, สุชาตาย ทินฺนํ มธุปายาสํ ภุญฺชิตฺวา สุวณฺณปาติํ นทิยา ปวาเหตฺวา สายนฺหสมเย โพธิมณฺฑวรคโต ปุรตฺถิมํ โลกธาตุํ โอโลเกโนฺต นิสีทิตฺวา สูริเย ธรมาเนเยว มารพลํ วิธเมตฺวา ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรโนฺตปิ, มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ วิโสเธโนฺตปิ, ปจฺจูสกาลสมนนฺตเร ปจฺจยาการํ สมฺมสิตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ ปฎิวิชฺฌโนฺตปิ, โสตาปตฺติผลํ สจฺฉิกโรโนฺตปิ, สกทาคามิมคฺคํ สกทาคามิผลํ อนาคามิมคฺคํ อนาคามิผลํ สจฺฉิกโรโนฺตปิ, อรหตฺตมคฺคํ ปฎิวิชฺฌโนฺตปิ ธมฺมจกฺกํ อุปฺปาเทติเยว นามฯ

    Kuto paṭṭhāya uppādeti nāmāti? Tato paṭṭhāya dānapāramiṃ pūrentopi dhammacakkaṃ uppādeti nāma. Sīlapāramiṃ pūrentopi…pe… upekkhāpāramiṃ pūrentopi dhammacakkaṃ uppādeti nāma. Dasa pāramiyo dasa upapāramiyo dasa paramatthapāramiyo pūrentopi, pañca mahāpariccāge pariccajantopi, ñātatthacariyaṃ pūrentopi dhammacakkaṃ uppādeti nāma. Vessantarattabhāve ṭhatvā sattasatakamahādānaṃ datvā puttadāraṃ dānamukhe niyyātetvā pāramikūṭaṃ gahetvā tusitapure nibbattitvā tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā devatāhi āyācito paṭiññaṃ datvā pañcamahāvilokanaṃ vilokentopi dhammacakkaṃ uppādetiyeva nāma. Mātukucchiyaṃ paṭisandhiṃ gaṇhantopi, paṭisandhikkhaṇe dasasahassacakkavāḷaṃ kampentopi, mātukucchito nikkhantadivase tatheva lokaṃ kampentopi, sampatijāto satta padāni gantvā ‘‘aggomahasmī’’ti sīhanādaṃ nadantopi, ekūnatiṃsa saṃvaccharāni agāramajjhe vasantopi, mahābhinikkhamanaṃ nikkhamantopi, anomānadītīre pabbajantopi, mahāpadhāne chabbassāni vīriyaṃ karontopi, sujātāya dinnaṃ madhupāyāsaṃ bhuñjitvā suvaṇṇapātiṃ nadiyā pavāhetvā sāyanhasamaye bodhimaṇḍavaragato puratthimaṃ lokadhātuṃ olokento nisīditvā sūriye dharamāneyeva mārabalaṃ vidhametvā paṭhamayāme pubbenivāsaṃ anussarantopi, majjhimayāme dibbacakkhuṃ visodhentopi, paccūsakālasamanantare paccayākāraṃ sammasitvā sotāpattimaggaṃ paṭivijjhantopi, sotāpattiphalaṃ sacchikarontopi, sakadāgāmimaggaṃ sakadāgāmiphalaṃ anāgāmimaggaṃ anāgāmiphalaṃ sacchikarontopi, arahattamaggaṃ paṭivijjhantopi dhammacakkaṃ uppādetiyeva nāma.

    อรหตฺตผลกฺขเณ ปน เตน ธมฺมจกฺกํ อุปฺปาทิตํ นามฯ พุทฺธานญฺหิ สกลโลกิยโลกุตฺตรคุณราสิ อรหตฺตผเลเนว สทฺธิํ อิชฺฌติฯ ตสฺมา เตน ตสฺมิํ ขเณ ธมฺมจกฺกํ อุปฺปาทิตํ นาม โหติฯ

    Arahattaphalakkhaṇe pana tena dhammacakkaṃ uppāditaṃ nāma. Buddhānañhi sakalalokiyalokuttaraguṇarāsi arahattaphaleneva saddhiṃ ijjhati. Tasmā tena tasmiṃ khaṇe dhammacakkaṃ uppāditaṃ nāma hoti.

    กทา ปวเตฺตติ นาม? โพธิมเณฺฑ สตฺตสตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา อิสิปตเน มิคทาเย อญฺญาโกณฺฑญฺญเตฺถรํ กายสกฺขิํ กตฺวา ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตนฺตํ เทเสโนฺต ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตติ นามฯ

    Kadā pavatteti nāma? Bodhimaṇḍe sattasattāhaṃ vītināmetvā isipatane migadāye aññākoṇḍaññattheraṃ kāyasakkhiṃ katvā dhammacakkappavattanasuttantaṃ desento dhammacakkaṃ pavatteti nāma.

    ยทา ปน อญฺญาโกณฺฑญฺญเตฺถเรน ทสพลสฺส เทสนาญาณานุภาวนิพฺพตฺตํ สวนํ ลภิตฺวา สพฺพปฐมํ ธโมฺม อธิคโต, ตโต ปฎฺฐาย ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ นาม โหตีติ เวทิตพฺพํฯ ธมฺมจกฺกนฺติ เจตํ เทสนาญาณสฺสปิ นามํ ปฎิเวธญาณสฺสปิฯ เตสุ เทสนาญาณํ โลกิยํ, ปฎิเวธญาณํ โลกุตฺตรํฯ กสฺส เทสนาปฎิเวธญาณนฺติ? น อญฺญสฺส กสฺสจิ, สมฺมาสมฺพุทฺธเสฺสว เทสนาญาณญฺจ ปฎิเวธญาณญฺจาติ เวทิตพฺพํฯ

    Yadā pana aññākoṇḍaññattherena dasabalassa desanāñāṇānubhāvanibbattaṃ savanaṃ labhitvā sabbapaṭhamaṃ dhammo adhigato, tato paṭṭhāya dhammacakkaṃ pavattitaṃ nāma hotīti veditabbaṃ. Dhammacakkanti cetaṃ desanāñāṇassapi nāmaṃ paṭivedhañāṇassapi. Tesu desanāñāṇaṃ lokiyaṃ, paṭivedhañāṇaṃ lokuttaraṃ. Kassa desanāpaṭivedhañāṇanti? Na aññassa kassaci, sammāsambuddhasseva desanāñāṇañca paṭivedhañāṇañcāti veditabbaṃ.

    สมฺมเทวาติ เหตุนา นเยน การเณเนวฯ อนุปฺปวเตฺตตีติ ยถา ปุรโต คจฺฉนฺตสฺส ปจฺฉโต คจฺฉโนฺต ตํ อนุคจฺฉติ นาม, เอวํ ปฐมตรํ สตฺถารา ปวตฺติตํ เถโร อนุปฺปวเตฺตติ นามฯ กถํ? สตฺถา หิ ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, สติปฎฺฐานาฯ กตเม จตฺตาโร’’ติ กเถโนฺต ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตติ นาม, ธมฺมเสนาปติ สาริปุตฺตเตฺถโรปิ ‘‘จตฺตาโรเม, อาวุโส, สติปฎฺฐานา’’ติ กเถโนฺต ธมฺมจกฺกํ อนุปฺปวเตฺตติ นามฯ สมฺมปฺปธานาทีสุปิ เอเสว นโยฯ น เกวลญฺจ โพธิปกฺขิยธเมฺมสุ, ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, อริยสจฺจานิฯ จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อริยวํสา’’ติอาทีสุปิ อยํ นโย เนตโพฺพวฯ เอวํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตติ นาม, เถโร ทสพเลน ปวตฺติตํ ธมฺมจกฺกํ อนุปฺปวเตฺตติ นามฯ

    Sammadevāti hetunā nayena kāraṇeneva. Anuppavattetīti yathā purato gacchantassa pacchato gacchanto taṃ anugacchati nāma, evaṃ paṭhamataraṃ satthārā pavattitaṃ thero anuppavatteti nāma. Kathaṃ? Satthā hi ‘‘cattārome, bhikkhave, satipaṭṭhānā. Katame cattāro’’ti kathento dhammacakkaṃ pavatteti nāma, dhammasenāpati sāriputtattheropi ‘‘cattārome, āvuso, satipaṭṭhānā’’ti kathento dhammacakkaṃ anuppavatteti nāma. Sammappadhānādīsupi eseva nayo. Na kevalañca bodhipakkhiyadhammesu, ‘‘cattārimāni, bhikkhave, ariyasaccāni. Cattārome, bhikkhave, ariyavaṃsā’’tiādīsupi ayaṃ nayo netabbova. Evaṃ sammāsambuddho dhammacakkaṃ pavatteti nāma, thero dasabalena pavattitaṃ dhammacakkaṃ anuppavatteti nāma.

    เอวํ ธมฺมจกฺกํ อนุปฺปวเตฺตเนฺตน ปน เถเรน ธโมฺม เทสิโตปิ ปกาสิโตปิ สตฺถาราว เทสิโต ปกาสิโต โหติฯ โย หิ โกจิ ภิกฺขุ วา ภิกฺขุนี วา อุปาสโก วา อุปาสิกา วา เทโว วา สโกฺก วา มาโร วา พฺรหฺมา วา ธมฺมํ เทเสตุ ปกาเสตุ, สโพฺพ โส สตฺถารา เทสิโต ปกาสิโตว นาม โหติ, เสสชโน ปน เลขหารกปเกฺข ฐิโตว นาม โหติฯ กถํ? ยถา หิ รญฺญา ทินฺนํ ปณฺณํ วาเจตฺวา ยํ ยํ กมฺมํ กโรนฺติ, ตํ ตํ กมฺมํ เยน เกนจิ กตมฺปิ การิตมฺปิ รญฺญา การิตเนฺตว วุจฺจติฯ มหาราชา วิย หิ สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ ราชปณฺณํ วิย เตปิฎกํ พุทฺธวจนํฯ ปณฺณทานํ วิย เตปิฎเก นยมุขทานํ ปณฺณํ วาเจตฺวา ตํตํกมฺมานํ กรณํ วิย จตุนฺนํ ปริสานํ อตฺตโน พเลน พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา ปเรสํ เทสนา ปกาสนาฯ ตตฺถ ยถา ปณฺณํ วาเจตฺวา เยน เกนจิ กตมฺปิ การิตมฺปิ ตํ กมฺมํ รญฺญา การิตเมว โหติ, เอวเมว เยน เกนจิ เทสิโตปิ ปกาสิโตปิ ธโมฺม สตฺถารา เทสิโต ปกาสิโตว นาม โหตีติ เวทิตโพฺพฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    Evaṃ dhammacakkaṃ anuppavattentena pana therena dhammo desitopi pakāsitopi satthārāva desito pakāsito hoti. Yo hi koci bhikkhu vā bhikkhunī vā upāsako vā upāsikā vā devo vā sakko vā māro vā brahmā vā dhammaṃ desetu pakāsetu, sabbo so satthārā desito pakāsitova nāma hoti, sesajano pana lekhahārakapakkhe ṭhitova nāma hoti. Kathaṃ? Yathā hi raññā dinnaṃ paṇṇaṃ vācetvā yaṃ yaṃ kammaṃ karonti, taṃ taṃ kammaṃ yena kenaci katampi kāritampi raññā kāritanteva vuccati. Mahārājā viya hi sammāsambuddho. Rājapaṇṇaṃ viya tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ. Paṇṇadānaṃ viya tepiṭake nayamukhadānaṃ paṇṇaṃ vācetvā taṃtaṃkammānaṃ karaṇaṃ viya catunnaṃ parisānaṃ attano balena buddhavacanaṃ uggaṇhitvā paresaṃ desanā pakāsanā. Tattha yathā paṇṇaṃ vācetvā yena kenaci katampi kāritampi taṃ kammaṃ raññā kāritameva hoti, evameva yena kenaci desitopi pakāsitopi dhammo satthārā desito pakāsitova nāma hotīti veditabbo. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.

    เอกปุคฺคลวคฺควณฺณนาฯ

    Ekapuggalavaggavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑๓. เอกปุคฺคลวโคฺค • 13. Ekapuggalavaggo

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๓. เอกปุคฺคลวคฺควณฺณนา • 13. Ekapuggalavaggavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact