Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā)

    ๑๓. เอกปุคฺคลวคฺควณฺณนา

    13. Ekapuggalavaggavaṇṇanā

    ๑๗๐. เอกปุคฺคลสฺสาติ เอกปุคฺคลวคฺคสฺสฯ เตนาห – ‘‘ปฐเม’’ติฯ เอโกติ คณนปริเจฺฉโท, ตโต เอว ทุติยาทิปฎิเกฺขปโตฺถฯ ปธานาสหายโตฺถปิ เอกสโทฺท โหตีติ ตนฺนิวตฺตนตฺถํ ‘‘คณนปริเจฺฉโท’’ติ อาหฯ สมฺมุติยา เทสนา สมฺมุติเทสนาฯ ปรมตฺถสฺส เทสนา ปรมตฺถเทสนาฯ ตตฺถาติ สมฺมุติปรมตฺถเทสนาสุ, น สมฺมุติปรมเตฺถสุฯ เตนาห – ‘‘เอวรูปา สมฺมุติเทสนา, เอวรูปา ปรมตฺถเทสนา’’ติฯ ตตฺริทํ สมฺมุติปรมตฺถานํ ลกฺขณํ – ยสฺมิํ ภิเนฺน, พุทฺธิยา วา อวยววินิโพฺภเค กเต น ตํสมญฺญา, สา ฆฎปฎาทิปฺปเภทา สมฺมุติ, ตพฺพิปริยาเยน ปรมตฺถาฯ น หิ กกฺขฬผุสนาทิสภาเว โส นโย ลพฺภติฯ ตตฺถ รูปาทิธมฺมสมูหํ สนฺตานวเสน ปวตฺตมานํ อุปาทาย ปุคฺคลโวหาโรติ ปุคฺคโลติ สมฺมุติเทสนาฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ อุปฺปาทวยวโนฺต สภาวธมฺมา น นิจฺจาติ อนิจฺจาติ อาห – ‘‘อนิจฺจนฺติ ปรมตฺถเทสนา’’ติฯ เอส นโย เสสปเทสุปิฯ นนุ ขนฺธเทสนาปิ สมฺมุติเทสนาวฯ ราสโฎฺฐ วา หิ ขนฺธโฎฺฐ โกฎฺฐาสโฎฺฐ วาติ? สจฺจเมตํ, อยํ ปน ขนฺธสมญฺญา ผสฺสาทีสุ ปวตฺตตชฺชาปญฺญตฺติ วิย ปรมตฺถสนฺนิสฺสยา ตสฺส อาสนฺนตรา, ปุคฺคลสมญฺญาทโย วิย น ทูเรติ ปรมตฺถสงฺคหา วุตฺตาฯ ขนฺธสีเสน วา ตทุปาทานสภาวธมฺมา เอว คหิตาฯ นนุ จ สภาวธมฺมา สเพฺพปิ สมฺมุติมุเขเนว เทสนํ อาโรหนฺติ, น สมุเขนาติ สพฺพาปิ เทสนา สมฺมุติเทสนาว สิยาติ? นยิทเมวํ, เทเสตพฺพธมฺมวิภาเคน เทสนาวิภาคสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ น หิ สโทฺท เกนจิ ปวตฺตินิมิเตฺตน วินา อตฺถํ ปกาเสตีติฯ

    170.Ekapuggalassāti ekapuggalavaggassa. Tenāha – ‘‘paṭhame’’ti. Ekoti gaṇanaparicchedo, tato eva dutiyādipaṭikkhepattho. Padhānāsahāyatthopi ekasaddo hotīti tannivattanatthaṃ ‘‘gaṇanaparicchedo’’ti āha. Sammutiyā desanā sammutidesanā. Paramatthassa desanā paramatthadesanā. Tatthāti sammutiparamatthadesanāsu, na sammutiparamatthesu. Tenāha – ‘‘evarūpā sammutidesanā, evarūpā paramatthadesanā’’ti. Tatridaṃ sammutiparamatthānaṃ lakkhaṇaṃ – yasmiṃ bhinne, buddhiyā vā avayavavinibbhoge kate na taṃsamaññā, sā ghaṭapaṭādippabhedā sammuti, tabbipariyāyena paramatthā. Na hi kakkhaḷaphusanādisabhāve so nayo labbhati. Tattha rūpādidhammasamūhaṃ santānavasena pavattamānaṃ upādāya puggalavohāroti puggaloti sammutidesanā. Sesapadesupi eseva nayo. Uppādavayavanto sabhāvadhammā na niccāti aniccāti āha – ‘‘aniccanti paramatthadesanā’’ti. Esa nayo sesapadesupi. Nanu khandhadesanāpi sammutidesanāva. Rāsaṭṭho vā hi khandhaṭṭho koṭṭhāsaṭṭho vāti? Saccametaṃ, ayaṃ pana khandhasamaññā phassādīsu pavattatajjāpaññatti viya paramatthasannissayā tassa āsannatarā, puggalasamaññādayo viya na dūreti paramatthasaṅgahā vuttā. Khandhasīsena vā tadupādānasabhāvadhammā eva gahitā. Nanu ca sabhāvadhammā sabbepi sammutimukheneva desanaṃ ārohanti, na samukhenāti sabbāpi desanā sammutidesanāva siyāti? Nayidamevaṃ, desetabbadhammavibhāgena desanāvibhāgassa adhippetattā. Na hi saddo kenaci pavattinimittena vinā atthaṃ pakāsetīti.

    สมฺมุติวเสน เทสนํ สุตฺวาติ ‘‘อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล อตฺตนฺตโป โหติ อตฺตปริตาปานุโยคมนุยุโตฺต’’ติอาทินา (ปุ. ป. ๑๗๔) สมฺมุติมุเขน ปวตฺติตเทสนํ สุตมยญาณุปฺปาทวเสน สุตฺวาฯ อตฺถํ ปฎิวิชฺฌิตฺวาติ ตทนุสาเรน จตุสจฺจสงฺขาตํ อตฺถํ สห วิปสฺสนาย มคฺคปญฺญาย ปฎิวิชฺฌิตฺวาฯ โมหํ ปหายาติ ตเทกฎฺฐกิเลเสหิ สทฺธิํ อนวเสสํ โมหํ ปชหิตฺวาฯ วิเสสนฺติ อคฺคผลนิพฺพานสงฺขาตํ วิเสสํฯ เตสนฺติ ตาทิสานํ เวเนยฺยานํฯ ปรมตฺถวเสนาติ ‘‘ปญฺจิมานิ, ภิกฺขเว, อินฺทฺริยานี’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๕.๔๗๑-๔๗๖ อาทโย) ปรมตฺถธมฺมวเสนฯ เสสํ อนนฺตรนเย วุตฺตสทิสเมวฯ

    Sammutivasenadesanaṃ sutvāti ‘‘idhekacco puggalo attantapo hoti attaparitāpānuyogamanuyutto’’tiādinā (pu. pa. 174) sammutimukhena pavattitadesanaṃ sutamayañāṇuppādavasena sutvā. Atthaṃ paṭivijjhitvāti tadanusārena catusaccasaṅkhātaṃ atthaṃ saha vipassanāya maggapaññāya paṭivijjhitvā. Mohaṃ pahāyāti tadekaṭṭhakilesehi saddhiṃ anavasesaṃ mohaṃ pajahitvā. Visesanti aggaphalanibbānasaṅkhātaṃ visesaṃ. Tesanti tādisānaṃ veneyyānaṃ. Paramatthavasenāti ‘‘pañcimāni, bhikkhave, indriyānī’’tiādinā (saṃ. ni. 5.471-476 ādayo) paramatthadhammavasena. Sesaṃ anantaranaye vuttasadisameva.

    ตตฺราติ ตสฺสํ สมฺมุติวเสน ปรมตฺถวเสน จ เทสนายํฯ เทสภาสากุสโลติ นานาเทสภาสาสุ กุสโลฯ ติณฺณํ เวทานนฺติ นิทสฺสนมตฺตํ, ติณฺณํ เวทานํ สิปฺปุคฺคหณฎฺฐานานมฺปีติ อธิปฺปาโยฯ เตเนว สิปฺปุคฺคหณํ ปรโต วกฺขติฯ สิปฺปานิ วา วิชฺชาฎฺฐานภาเวน เวทโนฺตคธานิ กตฺวา ‘‘ติณฺณํ เวทาน’’นฺติ วุตฺตํฯ กเถตพฺพภาเวน ฐิตานิ, น กตฺถจิ สนฺนิจิตภาเวนาติ เวทานมฺปิ กเถตพฺพภาเวเนว ฐานํ ทีเปโนฺต ‘‘คุหา ตีณิ นิหิตา น คยฺหนฺตี’’ติอาทิมิจฺฉาวาทํ ปฎิกฺขิปติฯ นานาวิธา เทสภาสา เอเตสนฺติ นานาเทสภาสา

    Tatrāti tassaṃ sammutivasena paramatthavasena ca desanāyaṃ. Desabhāsākusaloti nānādesabhāsāsu kusalo. Tiṇṇaṃ vedānanti nidassanamattaṃ, tiṇṇaṃ vedānaṃ sippuggahaṇaṭṭhānānampīti adhippāyo. Teneva sippuggahaṇaṃ parato vakkhati. Sippāni vā vijjāṭṭhānabhāvena vedantogadhāni katvā ‘‘tiṇṇaṃ vedāna’’nti vuttaṃ. Kathetabbabhāvena ṭhitāni, na katthaci sannicitabhāvenāti vedānampi kathetabbabhāveneva ṭhānaṃ dīpento ‘‘guhā tīṇi nihitā na gayhantī’’tiādimicchāvādaṃ paṭikkhipati. Nānāvidhā desabhāsā etesanti nānādesabhāsā.

    ปรโม อุตฺตโม อโตฺถ ปรมโตฺถ, ธมฺมานํ ยถาภูตสภาโวฯ โลกสเงฺกตมตฺตสิทฺธา สมฺมุติฯ ยทิ เอวํ กถํ สมฺมุติกถาย สจฺจตาติ อาห – ‘‘โลกสมฺมุติการณา’’ติ, โลกสมญฺญํ นิสฺสาย ปวตฺตนโตติ อโตฺถฯ โลกสมญฺญา หิ อภินิเวเสน วิเญฺญยฺยา, นาญฺญาปนา เอกจฺจสฺส สุตสฺส สาวนา วิย น มุสา อนติธาวิตพฺพโต ตสฺสาฯ เตนาห ภควา – ‘‘ชนปทนิรุตฺติํ นาภินิเวเสยฺย, สมญฺญํ นาติธาวเย’’ติฯ ธมฺมานนฺติ สภาวธมฺมานํฯ ภูตการณาติ ยถาภูตการณา ยถาภูตํ นิสฺสาย ปวตฺตนโตฯ สมฺมุติํ โวหรนฺตสฺสาติ ‘‘ปุคฺคโล, สโตฺต’’ติอาทินา โลกสมญฺญํ กเถนฺตสฺสฯ

    Paramo uttamo attho paramattho, dhammānaṃ yathābhūtasabhāvo. Lokasaṅketamattasiddhā sammuti. Yadi evaṃ kathaṃ sammutikathāya saccatāti āha – ‘‘lokasammutikāraṇā’’ti, lokasamaññaṃ nissāya pavattanatoti attho. Lokasamaññā hi abhinivesena viññeyyā, nāññāpanā ekaccassa sutassa sāvanā viya na musā anatidhāvitabbato tassā. Tenāha bhagavā – ‘‘janapadaniruttiṃ nābhiniveseyya, samaññaṃ nātidhāvaye’’ti. Dhammānanti sabhāvadhammānaṃ. Bhūtakāraṇāti yathābhūtakāraṇā yathābhūtaṃ nissāya pavattanato. Sammutiṃ voharantassāti ‘‘puggalo, satto’’tiādinā lokasamaññaṃ kathentassa.

    หิโรตฺตปฺปทีปนตฺถนฺติ โลกปาลนกิเจฺจ หิโรตฺตปฺปธเมฺม กิจฺจโต ปกาเสตุํฯ เตสญฺหิ กิจฺจํ สตฺตสนฺตาเน เอว ปากฎํ โหตีติ ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย กถาย ตํ วตฺตพฺพํฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ ยสฺมิญฺหิ จิตฺตุปฺปาเท กมฺมํ อุปฺปนฺนํ, ตํสนฺตาเน เอว ตสฺส ผลสฺส อุปฺปตฺติ กมฺมสฺสกตาฯ เอวญฺหิ กตวิญฺญาณนาโส อกตาคโม จ นตฺถีติ สา ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เอว เทสนาย ทีเปตพฺพาฯ เตหิ สเตฺตหิ กาตพฺพปุญฺญกิริยา ปจฺจตฺตปุริสกาโรฯ โสปิ สนฺตานวเสน นิฎฺฐเปตพฺพโต ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เอว กถาย ทีเปตโพฺพฯ อานนฺตริยทีปนตฺถนฺติ จุติอนนฺตรํ ผลํ อนนฺตรํ นาม, ตสฺมิํ อนนฺตเร นิยุตฺตานิ ตํนิพฺพตฺตเนน อนนฺตรกรณสีลานิ, อนนฺตรกรณปโยชนานิ วาติ อานนฺตริยานิ, มาตุฆาตาทีนิ, เตสํ ทีปนตฺถํฯ ตานิปิ หิ สนฺตานวเสน นิฎฺฐเปตพฺพโต ‘‘มาตรํ ชีวิตา โวโรเปตี’’ติอาทินา (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๒๓) ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เอว กถาย ทีเปตพฺพานิ, ตถา ‘‘โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรตี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๑.๕๕๖; ๓.๓๐๘; ม. นิ. ๑.๗๗; ๒.๓๐๙; ๓.๒๓๐; วิภ. ๖๔๒-๖๔๓) ‘‘โส อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ เอกมฺปิ ชาติ’’นฺติอาทินา (ที. นิ. ๑.๒๔๔-๒๔๕; ม. นิ. ๑.๑๔๘, ๓๘๔, ๔๓๑; ปารา. ๑๒), ‘‘อตฺถิ ทกฺขิณา ทายกโต วิสุชฺฌติ, โน ปฎิคฺคาหกโต’’ติอาทินา (ม. นิ. ๓.๓๘๑) จ ปวตฺตา พฺรหฺมวิหารปุเพฺพนิวาสทกฺขิณาวิสุทฺธิกถา ปุคฺคลาธิฎฺฐานา เอว กตฺวา ทีเปตพฺพา สตฺตสนฺตานวิสยตฺตาฯ ‘‘อฎฺฐ ปุริสปุคฺคลา (สํ. นิ. ๑.๒๔๙) น สมยวิมุโตฺต ปุคฺคโล’’ติอาทินา (ปุ. ป. ๒) จ ปรมตฺถกถํ กเถโนฺตปิ โลกสมฺมุติยา อปฺปหานตฺถํ ปุคฺคลกถํ กเถติฯ เอเตน วุตฺตาวเสสาย กถาย ปุคฺคลาธิฎฺฐานภาเว ปโยชนํ สามญฺญวเสน สงฺคหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ กามเญฺจตํ สพฺพํ อปริญฺญาตวตฺถุกานํ วเสน วุตฺตํ, ปริญฺญาตวตฺถุกานมฺปิ ปน เอวํ เทสนา สุขาวหา โหติฯ

    Hirottappadīpanatthanti lokapālanakicce hirottappadhamme kiccato pakāsetuṃ. Tesañhi kiccaṃ sattasantāne eva pākaṭaṃ hotīti puggalādhiṭṭhānāya kathāya taṃ vattabbaṃ. Esa nayo sesesupi. Yasmiñhi cittuppāde kammaṃ uppannaṃ, taṃsantāne eva tassa phalassa uppatti kammassakatā. Evañhi kataviññāṇanāso akatāgamo ca natthīti sā puggalādhiṭṭhānāya eva desanāya dīpetabbā. Tehi sattehi kātabbapuññakiriyā paccattapurisakāro. Sopi santānavasena niṭṭhapetabbato puggalādhiṭṭhānāya eva kathāya dīpetabbo. Ānantariyadīpanatthanti cutianantaraṃ phalaṃ anantaraṃ nāma, tasmiṃ anantare niyuttāni taṃnibbattanena anantarakaraṇasīlāni, anantarakaraṇapayojanāni vāti ānantariyāni, mātughātādīni, tesaṃ dīpanatthaṃ. Tānipi hi santānavasena niṭṭhapetabbato ‘‘mātaraṃ jīvitā voropetī’’tiādinā (paṭṭhā. 1.1.423) puggalādhiṭṭhānāya eva kathāya dīpetabbāni, tathā ‘‘so mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharatī’’tiādinā (dī. ni. 1.556; 3.308; ma. ni. 1.77; 2.309; 3.230; vibha. 642-643) ‘‘so anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati ekampi jāti’’ntiādinā (dī. ni. 1.244-245; ma. ni. 1.148, 384, 431; pārā. 12), ‘‘atthi dakkhiṇā dāyakato visujjhati, no paṭiggāhakato’’tiādinā (ma. ni. 3.381) ca pavattā brahmavihārapubbenivāsadakkhiṇāvisuddhikathā puggalādhiṭṭhānā eva katvā dīpetabbā sattasantānavisayattā. ‘‘Aṭṭha purisapuggalā (saṃ. ni. 1.249) na samayavimutto puggalo’’tiādinā (pu. pa. 2) ca paramatthakathaṃ kathentopi lokasammutiyā appahānatthaṃ puggalakathaṃ katheti. Etena vuttāvasesāya kathāya puggalādhiṭṭhānabhāve payojanaṃ sāmaññavasena saṅgahitanti daṭṭhabbaṃ. Kāmañcetaṃ sabbaṃ apariññātavatthukānaṃ vasena vuttaṃ, pariññātavatthukānampi pana evaṃ desanā sukhāvahā hoti.

    เอกปุคฺคโลติ วิสิฎฺฐสมาจาราปสฺสยวิรหิโต เอกปุคฺคโลฯ พุทฺธานญฺหิ สีลาทิคุเณน สเทวเก โลเก วิสิโฎฺฐ นาม โกจิ นตฺถิ, ตถา สทิโสปิ สมานกาเลฯ เตนาห – ‘‘น อิมสฺมิํ โลเก ปรสฺมิํ วา ปน พุเทฺธน เสโฎฺฐ สทิโส จ วิชฺชตี’’ติ (วิ. ว. ๑๐๔๗; กถา. ๗๙๙), ตสฺมา สทิโสปิ โกจิ นตฺถิฯ หีโนปิ อปสฺสยภูโต นเตฺถวฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘วิสิฎฺฐสมาจาราปสฺสยวิรหิโต เอกปุคฺคโล’’ติฯ เย จ สีลาทิคุเณหิ นตฺถิ เอเตสํ สมาติ อสมา, ปุริมกา สมฺมาสมฺพุทฺธาฯ เตหิ สโม มเชฺฌ ภินฺนสุวณฺณเนกฺขํ วิย นิพฺพิสิโฎฺฐติ อสมสมเฎฺฐนปิ เอกปุคฺคโล อญฺญสฺส ตาทิสสฺส อภาวาฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อสทิสเฎฺฐนา’’ติอาทิฯ

    Ekapuggaloti visiṭṭhasamācārāpassayavirahito ekapuggalo. Buddhānañhi sīlādiguṇena sadevake loke visiṭṭho nāma koci natthi, tathā sadisopi samānakāle. Tenāha – ‘‘na imasmiṃ loke parasmiṃ vā pana buddhena seṭṭho sadiso ca vijjatī’’ti (vi. va. 1047; kathā. 799), tasmā sadisopi koci natthi. Hīnopi apassayabhūto nattheva. Tena vuttaṃ – ‘‘visiṭṭhasamācārāpassayavirahito ekapuggalo’’ti. Ye ca sīlādiguṇehi natthi etesaṃ samāti asamā, purimakā sammāsambuddhā. Tehi samo majjhe bhinnasuvaṇṇanekkhaṃ viya nibbisiṭṭhoti asamasamaṭṭhenapi ekapuggalo aññassa tādisassa abhāvā. Tena vuttaṃ – ‘‘asadisaṭṭhenā’’tiādi.

    สตฺตโลโก อธิเปฺปโต สตฺตนิกาเย อุปฺปชฺชนโตฯ มนุสฺสโลเก เอว อุปฺปชฺชติ เทวพฺรหฺมโลกานํ พุทฺธานํ อุปฺปตฺติยา อโนกาสภาวโตฯ กามเทวโลเก ตาว นุปฺปชฺชติ พฺรหฺมจริยวาสสฺส อฎฺฐานภาวโต ตถา อนจฺฉริยภาวโตฯ อจฺฉริยธมฺมา หิ พุทฺธา ภควโนฺตฯ เตสํ สา อจฺฉริยธมฺมตา เทวตฺตภาเว ฐิตานํ โลเก น ปากฎา โหติ ยถา มนุสฺสภูตานํฯ เทวภูเต หิ สมฺมาสมฺพุเทฺธ ทิสฺสมานํ พุทฺธานุภาวํ เทวานุภาวโตว โลเก ทหติ, น พุทฺธานุภาวโตฯ ตถา สติ ‘‘อยํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ นาธิมุจฺจติ น สมฺปสีทติ, อิสฺสรกุตฺตคฺคาหํ น วิสฺสเชฺชติ, เทวตฺตภาวสฺส จ จิรกาลาวฎฺฐานโต เอกจฺจสสฺสตวาทโต น ปริมุจฺจติฯ พฺรหฺมโลเก นุปฺปชฺชตีติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ สตฺตานํ ตาทิสคฺคาหวินิโมจนตฺถญฺหิ พุทฺธา ภควโนฺต มนุสฺสสุคติยํเยว อุปฺปชฺชนฺติ, น เทวสุคติยํฯ ยสฺมา อิมํ จกฺกวาฬํ มเชฺฌ กตฺวา อิมินา สทฺธิํ จกฺกวาฬานํ ทสสหสฺสเสฺสว ชาติเกฺขตฺตภาโว ทีปิโต อิโต อญฺญสฺส พุทฺธานํ อุปฺปตฺติฎฺฐานสฺส เตปิฎเก พุทฺธวจเน อาคตฎฺฐานสฺส อภาวโตฯ ตสฺมา วุตฺตํ – ‘‘อิมสฺมิํเยว จกฺกวาเฬ อุปฺปชฺชตี’’ติฯ

    Sattaloko adhippeto sattanikāye uppajjanato. Manussaloke eva uppajjati devabrahmalokānaṃ buddhānaṃ uppattiyā anokāsabhāvato. Kāmadevaloke tāva nuppajjati brahmacariyavāsassa aṭṭhānabhāvato tathā anacchariyabhāvato. Acchariyadhammā hi buddhā bhagavanto. Tesaṃ sā acchariyadhammatā devattabhāve ṭhitānaṃ loke na pākaṭā hoti yathā manussabhūtānaṃ. Devabhūte hi sammāsambuddhe dissamānaṃ buddhānubhāvaṃ devānubhāvatova loke dahati, na buddhānubhāvato. Tathā sati ‘‘ayaṃ sammāsambuddho’’ti nādhimuccati na sampasīdati, issarakuttaggāhaṃ na vissajjeti, devattabhāvassa ca cirakālāvaṭṭhānato ekaccasassatavādato na parimuccati. Brahmaloke nuppajjatīti etthāpi eseva nayo. Sattānaṃ tādisaggāhavinimocanatthañhi buddhā bhagavanto manussasugatiyaṃyeva uppajjanti, na devasugatiyaṃ. Yasmā imaṃ cakkavāḷaṃ majjhe katvā iminā saddhiṃ cakkavāḷānaṃ dasasahassasseva jātikkhettabhāvo dīpito ito aññassa buddhānaṃ uppattiṭṭhānassa tepiṭake buddhavacane āgataṭṭhānassa abhāvato. Tasmā vuttaṃ – ‘‘imasmiṃyeva cakkavāḷe uppajjatī’’ti.

    อิธ อุปฺปชฺชโนฺตปิ กสฺมา ชมฺพุทีเป เอว อุปฺปชฺชติ, น เสสทีเปสูติ? เกจิ ตาว อาหุ – ‘‘ยสฺมา ปถวิยา นาภิภูตา พุทฺธภาวสหา อจลฎฺฐานภูตา โพธิมณฺฑภูมิ ชมฺพุทีเป เอว , ตสฺมา ชมฺพุทีเป เอว อุปฺปชฺชตี’’ติฯ เอเตเนว ‘‘ตตฺถ มชฺฌิมเทเส เอว อุปฺปชฺชตี’’ติ เอตมฺปิ สํวณฺณิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํ ตถา อิตเรสมฺปิ อวิชหิตฎฺฐานานํ ตเตฺถว ลพฺภนโตฯ ยสฺมา ปุริมพุทฺธานํ มหาโพธิสตฺตานํ ปเจฺจกพุทฺธานญฺจ นิพฺพตฺติยา สาวกโพธิสตฺตานํ สาวกโพธิยา อภินีหาโร สาวกปารมิยา สมฺภรณปริปาจนญฺจ พุทฺธเกฺขตฺตภูเต อิมสฺมิํเยว จกฺกวาเฬ ชมฺพุทีเป เอว อิชฺฌติ, น อญฺญตฺถฯ เวเนยฺยชนวินยนโตฺถ จ พุทฺธุปฺปาโท, ตสฺมา อคฺคสาวกมหาสาวกาทิเวเนยฺยวิเสสาเปกฺขาย อิมสฺมิํ ชมฺพุทีเป เอว พุทฺธา นิพฺพตฺตนฺติ, น เสสทีเปสุฯ อยญฺจ นโย สพฺพพุทฺธานํ อาจิณฺณสมาจิโณฺณติ เตสํ อุตฺตมปุริสานํ ตเตฺถว อุปฺปตฺติ สมฺปตฺติจกฺกานํ วิย อญฺญมญฺญูปนิสฺสยตาย ทฎฺฐพฺพาฯ เตน วุตฺตํ – อฎฺฐกถายํ ‘‘ตีสุ ทีเปสุ พุทฺธา น นิพฺพตฺตนฺติ, ชมฺพุทีเป เอว นิพฺพตฺตนฺตีติ ทีปํ ปสฺสี’’ติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๑๗; พุ. วํ. อฎฺฐ. ๒๗ อวิทูเรนิทานกถา)ฯ

    Idha uppajjantopi kasmā jambudīpe eva uppajjati, na sesadīpesūti? Keci tāva āhu – ‘‘yasmā pathaviyā nābhibhūtā buddhabhāvasahā acalaṭṭhānabhūtā bodhimaṇḍabhūmi jambudīpe eva , tasmā jambudīpe eva uppajjatī’’ti. Eteneva ‘‘tattha majjhimadese eva uppajjatī’’ti etampi saṃvaṇṇitanti daṭṭhabbaṃ tathā itaresampi avijahitaṭṭhānānaṃ tattheva labbhanato. Yasmā purimabuddhānaṃ mahābodhisattānaṃ paccekabuddhānañca nibbattiyā sāvakabodhisattānaṃ sāvakabodhiyā abhinīhāro sāvakapāramiyā sambharaṇaparipācanañca buddhakkhettabhūte imasmiṃyeva cakkavāḷe jambudīpe eva ijjhati, na aññattha. Veneyyajanavinayanattho ca buddhuppādo, tasmā aggasāvakamahāsāvakādiveneyyavisesāpekkhāya imasmiṃ jambudīpe eva buddhā nibbattanti, na sesadīpesu. Ayañca nayo sabbabuddhānaṃ āciṇṇasamāciṇṇoti tesaṃ uttamapurisānaṃ tattheva uppatti sampatticakkānaṃ viya aññamaññūpanissayatāya daṭṭhabbā. Tena vuttaṃ – aṭṭhakathāyaṃ ‘‘tīsu dīpesu buddhā na nibbattanti, jambudīpe eva nibbattantīti dīpaṃ passī’’ti (dī. ni. aṭṭha. 2.17; bu. vaṃ. aṭṭha. 27 avidūrenidānakathā).

    อุภยมฺปิทํ วิปฺปกตวจนเมว อุปฺปาทกิริยาย วตฺตมานกาลิกตฺตาฯ อุปฺปชฺชมาโนติ วา อุปฺปชฺชิตุํ สมโตฺถฯ สตฺติอโตฺถ จายํ มาน-สโทฺทฯ ยาวตา หิ สามตฺถิเยน มหาโพธิสตฺตานํ จริมภเว อุปฺปตฺติ อิจฺฉิตพฺพา, ตตฺถเกน โพธิสมฺภารสมฺภูเตน ปริปุเณฺณน สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ เภโทติ วิเสโสฯ ตเมว หิ ติวิธํ วิเสสํ ทเสฺสตุํ – ‘‘เอส หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตสฺส มหาภินีหารสฺส สิทฺธกาลโต ปฎฺฐาย มหาโพธิสโตฺต พุทฺธภาวาย นิยตภาวปฺปตฺตตาย โพธิสมฺภารปฎิปทํ ปฎิปชฺชมาโน ยถาวุตฺตสามตฺถิยโยเคน อุปฺปชฺชมาโน นามาติ อโตฺถ อุปฺปาทสฺส เอกนฺติกตฺตาฯ ปริเยสโนฺตติ วิจินโนฺตฯ ปริปกฺกคเต ญาเณติ อิมินา ตโต ปุเพฺพ ญาณสฺส อปริปกฺกตาย เอว ลทฺธาวสราย กมฺมปิโลติยา วเสน โพธิสโตฺต ตถา มหาปธานํ ปทหีติ ทเสฺสติฯ อรหตฺตผลกฺขเณ อุปฺปโนฺน นาม ‘‘อุปฺปโนฺน โหตี’’ติ วตฺตพฺพตฺตาฯ อาคโตว นาม เหตุสมฺปทาย สมฺมเทว นิปฺผนฺนตฺตาฯ

    Ubhayampidaṃ vippakatavacanameva uppādakiriyāya vattamānakālikattā. Uppajjamānoti vā uppajjituṃ samattho. Sattiattho cāyaṃ māna-saddo. Yāvatā hi sāmatthiyena mahābodhisattānaṃ carimabhave uppatti icchitabbā, tatthakena bodhisambhārasambhūtena paripuṇṇena samannāgatoti attho. Bhedoti viseso. Tameva hi tividhaṃ visesaṃ dassetuṃ – ‘‘esa hī’’tiādi vuttaṃ. Aṭṭhaṅgasamannāgatassa mahābhinīhārassa siddhakālato paṭṭhāya mahābodhisatto buddhabhāvāya niyatabhāvappattatāya bodhisambhārapaṭipadaṃ paṭipajjamāno yathāvuttasāmatthiyayogena uppajjamāno nāmāti attho uppādassa ekantikattā. Pariyesantoti vicinanto. Paripakkagate ñāṇeti iminā tato pubbe ñāṇassa aparipakkatāya eva laddhāvasarāya kammapilotiyā vasena bodhisatto tathā mahāpadhānaṃ padahīti dasseti. Arahattaphalakkhaṇe uppanno nāma ‘‘uppanno hotī’’ti vattabbattā. Āgatova nāma hetusampadāya sammadeva nipphannattā.

    หิตตฺถายาติ โลกิยโลกุตฺตรสฺส หิตสฺส สิทฺธิยาฯ สุขตฺถายาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ตสฺสาติ ตสฺส สตฺตโลกสฺสฯ โส ปนายํ สตฺตโลโก เยน อนุกฺกเมน ธมฺมาภิสมยํ ปาปุณิ, ตํ เตเนว อนุกฺกเมน ทเสฺสโนฺต ‘‘มหาโพธิมเณฺฑ’’ติอาทิมาหฯ ยาวชฺชทิวสาติ เอตฺถ อชฺช-สเทฺทน สาสนสฺส อวฎฺฐานกาลํ วทติฯ เทวมนุสฺสานนฺติ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทโสติ ทเสฺสตุํ – ‘‘น เกวล’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ เอเตสมฺปีติ นาคสุปณฺณาทีนมฺปิฯ

    Hitatthāyāti lokiyalokuttarassa hitassa siddhiyā. Sukhatthāyāti etthāpi eseva nayo. Tassāti tassa sattalokassa. So panāyaṃ sattaloko yena anukkamena dhammābhisamayaṃ pāpuṇi, taṃ teneva anukkamena dassento ‘‘mahābodhimaṇḍe’’tiādimāha. Yāvajjadivasāti ettha ajja-saddena sāsanassa avaṭṭhānakālaṃ vadati. Devamanussānanti ukkaṭṭhaniddesoti dassetuṃ – ‘‘na kevala’’ntiādi vuttaṃ. Etesampīti nāgasupaṇṇādīnampi.

    อยํ ปุจฺฉาติ อิมินา ‘‘กตโม’’ติ ปทสฺส สามญฺญโต ปุจฺฉาภาโว ทสฺสิโต, น วิเสสโตติ ตสฺส ปุจฺฉาวิเสสภาวญาปนตฺถํ มหานิเทฺทเส (มหานิ. ๑๕๐) อาคตา สพฺพาปิ ปุจฺฉา อตฺถุทฺธารนเยน ทเสฺสติ ‘‘ปุจฺฉา จ นาเมสา’’ติอาทินาฯ อทิฎฺฐํ โชตียติ เอตายาติ อทิฎฺฐโชตนาฯ ทิฎฺฐํ สํสนฺทียติ เอตายาติ ทิฎฺฐสํสนฺทนาฯ สํสนฺทนญฺจ สากจฺฉาวเสน วินิจฺฉยกรณํฯ วิมติํ ฉินฺทติ เอตายาติ วิมติเจฺฉทนาฯ อนุมติยา ปุจฺฉา อนุมติปุจฺฉาฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว’’ติอาทิ ปุจฺฉาย ‘‘กา ตุมฺหากํ อนุมตี’’ติ อนุมติ ปุจฺฉิตา โหติฯ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติ กเถตุกมฺยตาย ปุจฺฉาฯ ลกฺขณนฺติ ญาตุํ อิจฺฉิโต โย โกจิ สภาโวฯ อญฺญาตนฺติ เยน เกนจิ ญาเณน อญฺญาตภาวมาหฯ อทิฎฺฐนฺติ ทสฺสนภูเตน ญาเณน ปจฺจกฺขํ วิย อทิฎฺฐตํฯ อตุลิตนฺติ ‘‘เอตฺตกํ เอต’’นฺติ ตุลาภูเตน อตุลิตตํฯ อตีริตนฺติ ตีรณภูเตน อกตญาณกิริยาสมาปนตํฯ อวิภูตนฺติ ญาณสฺส อปากฎภาวํฯ อวิภาวิตนฺติ ญาเณน อปากฎกตภาวํฯ

    Ayaṃ pucchāti iminā ‘‘katamo’’ti padassa sāmaññato pucchābhāvo dassito, na visesatoti tassa pucchāvisesabhāvañāpanatthaṃ mahāniddese (mahāni. 150) āgatā sabbāpi pucchā atthuddhāranayena dasseti ‘‘pucchā ca nāmesā’’tiādinā. Adiṭṭhaṃ jotīyati etāyāti adiṭṭhajotanā. Diṭṭhaṃ saṃsandīyati etāyāti diṭṭhasaṃsandanā. Saṃsandanañca sākacchāvasena vinicchayakaraṇaṃ. Vimatiṃ chindati etāyāti vimaticchedanā. Anumatiyā pucchā anumatipucchā. ‘‘Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave’’tiādi pucchāya ‘‘kā tumhākaṃ anumatī’’ti anumati pucchitā hoti. Kathetukamyatāpucchāti kathetukamyatāya pucchā. Lakkhaṇanti ñātuṃ icchito yo koci sabhāvo. Aññātanti yena kenaci ñāṇena aññātabhāvamāha. Adiṭṭhanti dassanabhūtena ñāṇena paccakkhaṃ viya adiṭṭhataṃ. Atulitanti ‘‘ettakaṃ eta’’nti tulābhūtena atulitataṃ. Atīritanti tīraṇabhūtena akatañāṇakiriyāsamāpanataṃ. Avibhūtanti ñāṇassa apākaṭabhāvaṃ. Avibhāvitanti ñāṇena apākaṭakatabhāvaṃ.

    เยหิ คุณวิเสเสหิ นิมิตฺตภูเตหิ ภควติ ‘‘ตถาคโต’’ติ อยํ สมญฺญา ปวตฺตา, ตํทสฺสนตฺถํ ‘‘อฎฺฐหิ การเณหิ ภควา ตถาคโต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ คุณวิเสสเนมิตฺติกาเนว หิ ภควโต สพฺพานิ นามานิฯ ยถาห –

    Yehi guṇavisesehi nimittabhūtehi bhagavati ‘‘tathāgato’’ti ayaṃ samaññā pavattā, taṃdassanatthaṃ ‘‘aṭṭhahi kāraṇehi bhagavā tathāgato’’tiādi vuttaṃ. Guṇavisesanemittikāneva hi bhagavato sabbāni nāmāni. Yathāha –

    ‘‘อสเงฺขฺยยฺยานิ นามานิ, สคุเณน มเหสิโน;

    ‘‘Asaṅkhyeyyāni nāmāni, saguṇena mahesino;

    คุเณน นามมุเทฺธยฺยํ, อปิ นามสหสฺสโต’’ติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๓๑๓; อุทา. อฎฺฐ. ๕๓; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๑.๑.๗๖);

    Guṇena nāmamuddheyyaṃ, api nāmasahassato’’ti. (dha. sa. aṭṭha. 1313; udā. aṭṭha. 53; paṭi. ma. aṭṭha. 1.1.76);

    ตถา อาคโตติ เอตฺถ อาการนิยมนวเสน โอปมฺมสมฺปฎิปาทนโตฺถ ตถา-สโทฺทฯ สามญฺญโชตนาปิ หิ วิเสเส อวติฎฺฐตีติฯ ปฎิปทาคมนโตฺถ อาคต-สโทฺท, น ญาณคมนโตฺถ ‘‘ตถลกฺขณํ อาคโต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๗; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๒; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓.๗๘; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๗๐; อุทา. อฎฺฐ. ๑๘) วิย, นาปิ กายคมนโตฺถ ‘‘อาคโต โข มหาสมโณ, มคธานํ คิริพฺพช’’นฺติอาทีสุ (มหาว. ๖๓) วิยฯ ตตฺถ ยทาการนิยมนวเสน โอปมฺมสมฺปฎิปาทนโตฺถ ตถา-สโทฺท, ตํกรุณาปธานตฺตา มหากรุณามุเขน ปุริมพุทฺธานํ อาคมนปฺปฎิปทํ อุทาหรณวเสน สามญฺญโต ทเสฺสโนฺต ยํ-ตํ-สทฺทานํ เอกนฺตสมฺพนฺธภาวโต ‘‘ยถา สพฺพโลก…เป.… อาคตา’’ติ สาธารณโต วตฺวา ปุน ตํ ปฎิปทํ มหาปธานสุตฺตาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑ อาทโย) สมฺพหุลนิเทฺทเสน สุปากฎานํ อาสนฺนานญฺจ วิปสฺสิอาทีนํ ฉนฺนํ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ วเสน นิทเสฺสโนฺต ‘‘ยถา วิปสฺสี ภควา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เยน อภินีหาเรนาติ มนุสฺสตฺตลิงฺคสมฺปตฺติเหตุสตฺถุทสฺสนปพฺพชฺชาอภิญฺญาทิคุณสมฺปตฺติอธิการจฺฉนฺทานํ วเสน อฎฺฐงฺคสมนฺนาคเตน มหาปณิธาเนนฯ สเพฺพสญฺหิ พุทฺธานํ กายปฺปณิธานํ อิมินาว อภินีหาเรน สมิชฺฌตีติฯ เอวํ มหาภินีหารวิเสเสน ‘‘ตถาคโต’’ติ ปทสฺส อตฺถํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปารมิปูรณวเสน ทเสฺสตุํ – ‘‘ยถา วิปสฺสี ภควา…เป.… กสฺสโป ภควา ทานปารมิํ ปูเรตฺวา’’ติอาทิมาหฯ

    Tathā āgatoti ettha ākāraniyamanavasena opammasampaṭipādanattho tathā-saddo. Sāmaññajotanāpi hi visese avatiṭṭhatīti. Paṭipadāgamanattho āgata-saddo, na ñāṇagamanattho ‘‘tathalakkhaṇaṃ āgato’’tiādīsu (dī. ni. aṭṭha. 1.7; ma. ni. aṭṭha. 1.12; saṃ. ni. aṭṭha. 2.3.78; a. ni. aṭṭha. 1.1.170; udā. aṭṭha. 18) viya, nāpi kāyagamanattho ‘‘āgato kho mahāsamaṇo, magadhānaṃ giribbaja’’ntiādīsu (mahāva. 63) viya. Tattha yadākāraniyamanavasena opammasampaṭipādanattho tathā-saddo, taṃkaruṇāpadhānattā mahākaruṇāmukhena purimabuddhānaṃ āgamanappaṭipadaṃ udāharaṇavasena sāmaññato dassento yaṃ-taṃ-saddānaṃ ekantasambandhabhāvato ‘‘yathā sabbaloka…pe… āgatā’’ti sādhāraṇato vatvā puna taṃ paṭipadaṃ mahāpadhānasuttādīsu (dī. ni. 2.1 ādayo) sambahulaniddesena supākaṭānaṃ āsannānañca vipassiādīnaṃ channaṃ sammāsambuddhānaṃ vasena nidassento ‘‘yathā vipassī bhagavā’’tiādimāha. Tattha yena abhinīhārenāti manussattaliṅgasampattihetusatthudassanapabbajjāabhiññādiguṇasampattiadhikāracchandānaṃ vasena aṭṭhaṅgasamannāgatena mahāpaṇidhānena. Sabbesañhi buddhānaṃ kāyappaṇidhānaṃ imināva abhinīhārena samijjhatīti. Evaṃ mahābhinīhāravisesena ‘‘tathāgato’’ti padassa atthaṃ dassetvā idāni pāramipūraṇavasena dassetuṃ – ‘‘yathā vipassī bhagavā…pe… kassapo bhagavā dānapāramiṃ pūretvā’’tiādimāha.

    เอตฺถ จ สุตฺตนฺติกานํ มหาโพธิปฺปฎิปทาย โกสลฺลชนนตฺถํ กา ปเนตา ปารมิโย, เกนเฎฺฐน ปารมิโย, กติวิธา เจตา, โก ตาสํ กโม, กานิ ลกฺขณรสปจฺจุปฎฺฐานปทฎฺฐานานิ, โก ปจฺจโย, โก สํกิเลโส, กิํ โวทานํ, โก ปฎิปโกฺข, กา ปฎิปตฺติ, โก วิภาโค, โก สงฺคโห, โก สมฺปาทนูปาโย, กิตฺตเกน กาเลน สมฺปาทนํ, โก อานิสํโส, กิเญฺจตาสํ ผลนฺติ ปารมีสุ อยํ วิตฺถารกถา เวทิตพฺพาฯ สา ปเนสา อิจฺฉเนฺตน ทีฆาคมฎีกายํ (ที. นิ. ฎี. ๑.๗) วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพา, น อิธ ทสฺสิตาฯ ยถาวุตฺตาย ปฎิปทาย ยถาวุตฺตวิภาคานํ ปารมีนํ ปูริตภาวํ สนฺธายาห – ‘‘สมติํส ปารมิโย ปูเรตฺวา’’ติฯ

    Ettha ca suttantikānaṃ mahābodhippaṭipadāya kosallajananatthaṃ kā panetā pāramiyo, kenaṭṭhena pāramiyo, katividhā cetā, ko tāsaṃ kamo, kāni lakkhaṇarasapaccupaṭṭhānapadaṭṭhānāni, ko paccayo, ko saṃkileso, kiṃ vodānaṃ, ko paṭipakkho, kā paṭipatti, ko vibhāgo, ko saṅgaho, ko sampādanūpāyo, kittakena kālena sampādanaṃ, ko ānisaṃso, kiñcetāsaṃ phalanti pāramīsu ayaṃ vitthārakathā veditabbā. Sā panesā icchantena dīghāgamaṭīkāyaṃ (dī. ni. ṭī. 1.7) vuttanayeneva veditabbā, na idha dassitā. Yathāvuttāya paṭipadāya yathāvuttavibhāgānaṃ pāramīnaṃ pūritabhāvaṃ sandhāyāha – ‘‘samatiṃsa pāramiyo pūretvā’’ti.

    สติปิ มหาปริจฺจาคานํ ทานปารมิภาเว ปริจฺจาควิเสสภาวทสฺสนตฺถเญฺจว สุทุกฺกรภาวทสฺสนตฺถญฺจ มหาปริจฺจาเคหิ วิสุํ คหณํฯ ตโตเยว จ องฺคปริจฺจาคโต วิสุํ นยนปริจฺจาคคฺคหณํ, ปริจฺจาคภาวสามเญฺญปิ ธนรชฺชปริจฺจาคโต ปุตฺตทารปริจฺจาคคฺคหณญฺจ กตํฯ คตปจฺจาคติกวตฺตสงฺขาตาย ปุพฺพภาคปฺปฎิปทาย สทฺธิํ อภิญฺญาสมาปตฺตินิปฺผาทนํ ปุพฺพโยโคฯ ทานาทีสุเยว สาติสยปฺปฎิปตฺตินิปฺผาทนํ ปุพฺพจริยา, ยา วา จริยาปิฎกสงฺคหิตาฯ ‘‘อภินีหาโร ปุพฺพโยโค, ทานาทิปฺปฎิปตฺติ วา กายวิเวกวเสน เอกจริยา วา ปุพฺพจริยา’’ติ เกจิฯ ทานาทีนเญฺจว อปฺปิจฺฉตาทีนญฺจ สํสารนิพฺพาเนสุ อาทีนวานิสํสานญฺจ วิภาวนวเสน สตฺตานํ โพธิตฺตเย ปติฎฺฐาปนปริปาจนวเสน จ ปวตฺตา กถา ธมฺมกฺขานํฯ ญาตีนํ อตฺถจริยา ญาตตฺถจริยาฯ สาปิ กรุณายนวเสเนวฯ อาทิ-สเทฺทน โลกตฺถจริยาทโย สงฺคณฺหาติฯ กมฺมสฺสกตญาณวเสน อนวชฺชกมฺมายตนสิปฺปายตนวิชฺชาฎฺฐานปริจยวเสน ขนฺธายตนาทิปริจยวเสน ลกฺขณตฺตยตีรณวเสน จ ญาณจาโร พุทฺธิจริยาฯ สา ปน อตฺถโต ปญฺญาปารมีเยว, ญาณสมฺภารทสฺสนตฺถํ วิสุํ คหณํฯ โกฎีติ ปริยโนฺต, อุกฺกํโสติ อโตฺถฯ จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน ภาเวตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถ ภาเวตฺวาติ อุปฺปาเทตฺวาฯ พฺรูเหตฺวาติ วเฑฺฒตฺวาฯ สติปฎฺฐานาทิคฺคหเณน อาคมนปฺปฎิปทํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ทเสฺสติฯ วิปสฺสนาสหคตา เอว วา สติปฎฺฐานาทโย ทฎฺฐพฺพาฯ เอตฺถ จ ‘‘เยน อภินีหาเรนา’’ติอาทินา อาคมนปฺปฎิปทาย อาทิํ ทเสฺสติ, ‘‘ทานปารมิ’’นฺติอาทินา มชฺฌํ, ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน’’ติอาทินา ปริโยสานนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Satipi mahāpariccāgānaṃ dānapāramibhāve pariccāgavisesabhāvadassanatthañceva sudukkarabhāvadassanatthañca mahāpariccāgehi visuṃ gahaṇaṃ. Tatoyeva ca aṅgapariccāgato visuṃ nayanapariccāgaggahaṇaṃ, pariccāgabhāvasāmaññepi dhanarajjapariccāgato puttadārapariccāgaggahaṇañca kataṃ. Gatapaccāgatikavattasaṅkhātāya pubbabhāgappaṭipadāya saddhiṃ abhiññāsamāpattinipphādanaṃ pubbayogo. Dānādīsuyeva sātisayappaṭipattinipphādanaṃ pubbacariyā, yā vā cariyāpiṭakasaṅgahitā. ‘‘Abhinīhāro pubbayogo, dānādippaṭipatti vā kāyavivekavasena ekacariyā vā pubbacariyā’’ti keci. Dānādīnañceva appicchatādīnañca saṃsāranibbānesu ādīnavānisaṃsānañca vibhāvanavasena sattānaṃ bodhittaye patiṭṭhāpanaparipācanavasena ca pavattā kathā dhammakkhānaṃ. Ñātīnaṃ atthacariyā ñātatthacariyā. Sāpi karuṇāyanavaseneva. Ādi-saddena lokatthacariyādayo saṅgaṇhāti. Kammassakatañāṇavasena anavajjakammāyatanasippāyatanavijjāṭṭhānaparicayavasena khandhāyatanādiparicayavasena lakkhaṇattayatīraṇavasena ca ñāṇacāro buddhicariyā. Sā pana atthato paññāpāramīyeva, ñāṇasambhāradassanatthaṃ visuṃ gahaṇaṃ. Koṭīti pariyanto, ukkaṃsoti attho. Cattāro satipaṭṭhāne bhāvetvāti sambandho. Tattha bhāvetvāti uppādetvā. Brūhetvāti vaḍḍhetvā. Satipaṭṭhānādiggahaṇena āgamanappaṭipadaṃ matthakaṃ pāpetvā dasseti. Vipassanāsahagatā eva vā satipaṭṭhānādayo daṭṭhabbā. Ettha ca ‘‘yena abhinīhārenā’’tiādinā āgamanappaṭipadāya ādiṃ dasseti, ‘‘dānapārami’’ntiādinā majjhaṃ, ‘‘cattāro satipaṭṭhāne’’tiādinā pariyosānanti veditabbaṃ.

    สมฺปติชาโตติ มุหุตฺตชาโต นิกฺขนฺตมโตฺตฯ นิกฺขนฺตมตฺตญฺหิ มหาสตฺตํ ปฐมํ พฺรหฺมาโน สุวณฺณชาเลน ปฎิคฺคณฺหิํสุ, เตสํ หตฺถโต จตฺตาโร มหาราชาโน อชินปฺปเวณิยา, เตสํ หตฺถโต มนุสฺสา ทุกูลจุมฺพฎเกน ปฎิคฺคณฺหิํสุ, มนุสฺสานํ หตฺถโต มุจฺจิตฺวา ปถวิยํ ปติฎฺฐิโตฯ ยถาหาติอาทินา มหาปทานเทสนาย วุตฺตวจนํ นิทเสฺสติฯ เสตมฺหิ ฉเตฺตติ ทิพฺพเสตจฺฉเตฺตฯ อนุธาริยมาเนติ ธาริยมาเนฯ เอตฺถ จ ฉตฺตคฺคหเณเนว ขคฺคาทีนิ ปญฺจ กกุธภณฺฑานิ วุตฺตาเนวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ขคฺคตาลวณฺฎโมรหตฺถกวาลพีชนิอุณฺหีสปฎฺฎาปิ หิ ฉเตฺตน สห ตทา อุปฎฺฐิตา อเหสุํฯ ฉตฺตาทีนิเยว จ ตทา ปญฺญายิํสุ, น ฉตฺตาทิคฺคาหกาฯ สพฺพา จ ทิสาติ ทส ทิสา, นยิทํ สพฺพทิสาวิโลกนํ สตฺตปทวีติหารุตฺตรกาลํฯ มหาสโตฺต หิ มนุสฺสานํ หตฺถโต มุจฺจิตฺวา ปุรตฺถิมํ ทิสํ โอโลเกสิ, ตตฺถ เทวมนุสฺสา คนฺธมาลาทีหิ ปูชยมานา, ‘‘มหาปุริส, อิธ ตุเมฺหหิ สทิโสปิ นตฺถิ, กุโต อุตฺตริตโร’’ติ อาหํสุฯ เอวํ จตโสฺส ทิสา จตโสฺส อนุทิสา เหฎฺฐา อุปรีติ สพฺพา ทิสา อนุวิโลเกตฺวา สพฺพตฺถ อตฺตนา สทิสํ อทิสฺวา ‘‘อยํ อุตฺตรา ทิสา’’ติ สตฺตปทวีติหาเรน อคมาสิฯ อาสภินฺติ อุตฺตมํฯ อโคฺคติ สพฺพปฐโมฯ เชโฎฺฐติ เสโฎฺฐติ จ ตเสฺสว เววจนํฯ อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโวติ อิมสฺมิํ อตฺตภาเว ปตฺตพฺพํ อรหตฺตํ พฺยากาสิฯ ‘‘อเนเกสํ วิเสสาธิคมานํ ปุพฺพนิมิตฺตภาเวนา’’ติ สํขิเตฺตน วุตฺตมตฺถํ ‘‘ยญฺหี’’ติอาทินา วิตฺถารโต ทเสฺสติฯ ตตฺถ เอตฺถาติ –

    Sampatijātoti muhuttajāto nikkhantamatto. Nikkhantamattañhi mahāsattaṃ paṭhamaṃ brahmāno suvaṇṇajālena paṭiggaṇhiṃsu, tesaṃ hatthato cattāro mahārājāno ajinappaveṇiyā, tesaṃ hatthato manussā dukūlacumbaṭakena paṭiggaṇhiṃsu, manussānaṃ hatthato muccitvā pathaviyaṃ patiṭṭhito. Yathāhātiādinā mahāpadānadesanāya vuttavacanaṃ nidasseti. Setamhi chatteti dibbasetacchatte. Anudhāriyamāneti dhāriyamāne. Ettha ca chattaggahaṇeneva khaggādīni pañca kakudhabhaṇḍāni vuttānevāti daṭṭhabbaṃ. Khaggatālavaṇṭamorahatthakavālabījaniuṇhīsapaṭṭāpi hi chattena saha tadā upaṭṭhitā ahesuṃ. Chattādīniyeva ca tadā paññāyiṃsu, na chattādiggāhakā. Sabbā ca disāti dasa disā, nayidaṃ sabbadisāvilokanaṃ sattapadavītihāruttarakālaṃ. Mahāsatto hi manussānaṃ hatthato muccitvā puratthimaṃ disaṃ olokesi, tattha devamanussā gandhamālādīhi pūjayamānā, ‘‘mahāpurisa, idha tumhehi sadisopi natthi, kuto uttaritaro’’ti āhaṃsu. Evaṃ catasso disā catasso anudisā heṭṭhā uparīti sabbā disā anuviloketvā sabbattha attanā sadisaṃ adisvā ‘‘ayaṃ uttarā disā’’ti sattapadavītihārena agamāsi. Āsabhinti uttamaṃ. Aggoti sabbapaṭhamo. Jeṭṭhoti seṭṭhoti ca tasseva vevacanaṃ. Ayamantimā jāti, natthi dāni punabbhavoti imasmiṃ attabhāve pattabbaṃ arahattaṃ byākāsi. ‘‘Anekesaṃ visesādhigamānaṃ pubbanimittabhāvenā’’ti saṃkhittena vuttamatthaṃ ‘‘yañhī’’tiādinā vitthārato dasseti. Tattha etthāti –

    ‘‘อเนกสาขญฺจ สหสฺสมณฺฑลํ,

    ‘‘Anekasākhañca sahassamaṇḍalaṃ,

    ฉตฺตํ มรู ธารยุมนฺตลิเกฺข;

    Chattaṃ marū dhārayumantalikkhe;

    สุวณฺณทณฺฑา วีติปตนฺติ จามรา,

    Suvaṇṇadaṇḍā vītipatanti cāmarā,

    น ทิสฺสเร จามรฉตฺตคาหกา’’ติฯ (สุ. นิ. ๖๙๓) –

    Na dissare cāmarachattagāhakā’’ti. (su. ni. 693) –

    อิมิสฺสา คาถายฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตจารตาย อนาวรณญาณนฺติ อาห – ‘‘สพฺพญฺญุตานาวรณญาณปฎิลาภสฺสา’’ติฯ ตถา อยํ ภควาปิ คโต…เป.… ปุพฺพนิมิตฺตภาเวนาติ เอเตน อภิชาติยํ ธมฺมตาวเสน อุปฺปชฺชนกวิเสสา สพฺพโพธิสตฺตานํ สาธารณาติ ทเสฺสติฯ ปารมิตานิสฺสนฺทา หิ เตติฯ

    Imissā gāthāya. Sabbaññutaññāṇameva sabbattha appaṭihatacāratāya anāvaraṇañāṇanti āha – ‘‘sabbaññutānāvaraṇañāṇapaṭilābhassā’’ti. Tathā ayaṃ bhagavāpi gato…pe… pubbanimittabhāvenāti etena abhijātiyaṃ dhammatāvasena uppajjanakavisesā sabbabodhisattānaṃ sādhāraṇāti dasseti. Pāramitānissandā hi teti.

    วิกฺกมีติ อคมาสิฯ มรูติ เทวาฯ สมาติ วิโลกนสมตาย สมา สทิสิโยฯ มหาปุริโส หิ ยถา เอกํ ทิสํ วิโลเกสิ, เอวํ เสสทิสาปิ, น กตฺถจิ วิโลกเน วิพโนฺธ ตสฺส อโหสีติฯ สมาติ วา วิโลเกตุํ ยุตฺตาติ อโตฺถฯ น หิ ตทา โพธิสตฺตสฺส วิรูปพีภจฺฉวิสมรูปานิ วิโลเกตุํ อยุตฺตานิ ทิสาสุ อุปฎฺฐหนฺตีติฯ

    Vikkamīti agamāsi. Marūti devā. Samāti vilokanasamatāya samā sadisiyo. Mahāpuriso hi yathā ekaṃ disaṃ vilokesi, evaṃ sesadisāpi, na katthaci vilokane vibandho tassa ahosīti. Samāti vā viloketuṃ yuttāti attho. Na hi tadā bodhisattassa virūpabībhacchavisamarūpāni viloketuṃ ayuttāni disāsu upaṭṭhahantīti.

    ‘‘เอวํ ตถา คโต’’ติ กายคมนเฎฺฐน คตสเทฺทน ตถาคตสทฺทํ นิทฺทิสิตฺวา อิทานิ ญาณคมนเฎฺฐน ตํ ทเสฺสตุํ – ‘‘อถ วา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เนกฺขเมฺมนาติ อโลภปฺปธาเนน กุสลจิตฺตุปฺปาเทนฯ กุสลา หิ ธมฺมา อิธ เนกฺขมฺมํ, น ปพฺพชฺชาทโยฯ ‘‘ปฐมชฺฌาเนนา’’ติ จ วทนฺติฯ ปหายาติ ปชหิตฺวาฯ คโต อธิคโต, ปฎิปโนฺน อุตฺตริวิเสสนฺติ อโตฺถฯ ปหายาติ วา ปหานเหตุ, ปหานลกฺขณํ วาฯ เหตุลกฺขณโตฺถ หิ อยํ ปหายสโทฺทฯ กามจฺฉนฺทาทิปฺปหานเหตุกญฺหิ ‘‘คโต’’ติ เอตฺถ วุตฺตํ คมนํ อวโพโธ, ปฎิปตฺติ เอว วา กามจฺฉนฺทาทิปฺปหาเนน จ ลกฺขียติฯ เอส นโย ปทาเลตฺวาติอาทีสุปิฯ อพฺยาปาเทนาติ เมตฺตายฯ อาโลกสญฺญายาติ วิภูตํ กตฺวา มนสิกรเณน อุปฎฺฐิตอาโลกสญฺชานเนนฯ อวิเกฺขเปนาติ สมาธินาฯ ธมฺมววตฺถาเนนาติ กุสลาทิธมฺมานํ ยาถาวนิจฺฉเยนฯ ‘‘สปฺปจฺจยนามรูปววตฺถาเนนา’’ติปิ วทนฺติฯ เอวํ กามจฺฉนฺทาทินีวรณปฺปหาเนน ‘‘อภิชฺฌํ โลเก ปหายา’’ติอาทินา (วิภ. ๕๐๘) วุตฺตาย ปฐมชฺฌานสฺส ปุพฺพภาคปฺปฎิปทาย ภควโต ตถาคตภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สห อุปาเยน อฎฺฐหิ สมาปตฺตีหิ อฎฺฐารสหิ จ มหาวิปสฺสนาหิ ตํ ทเสฺสตุํ – ‘‘ญาเณนา’’ติอาทิมาหฯ นามรูปปริคฺคหกงฺขาวิตรณานญฺหิ วิพนฺธภูตสฺส โมหสฺส ทูรีกรเณน ญาตปริญฺญายํ ฐิตสฺส อนิจฺจสญฺญาทโย สิชฺฌนฺติ, ตถา ฌานสมาปตฺตีสุ อภิรตินิมิเตฺตน ปาโมเชฺชน ตตฺถ อนภิรติยา วิโนทิตาย ฌานาทีนํ สมธิคโมติ สมาปตฺติวิปสฺสนานํ อรติวิโนทนอวิชฺชาปทาลนาทิอุปาโย, อุปฺปฎิปาฎินิเทฺทโส ปน นีวรณสภาวาย อวิชฺชาย เหฎฺฐา นีวรเณสุปิ สงฺคหทสฺสนตฺถนฺติ ทฎฺฐโพฺพฯ สมาปตฺติวิหารปฺปเวสวิพนฺธเนน นีวรณานิ กวาฎสทิสานีติ อาห – ‘‘นีวรณกวาฎํ อุคฺฆาเฎตฺวา’’ติฯ

    ‘‘Evaṃ tathā gato’’ti kāyagamanaṭṭhena gatasaddena tathāgatasaddaṃ niddisitvā idāni ñāṇagamanaṭṭhena taṃ dassetuṃ – ‘‘atha vā’’tiādimāha. Tattha nekkhammenāti alobhappadhānena kusalacittuppādena. Kusalā hi dhammā idha nekkhammaṃ, na pabbajjādayo. ‘‘Paṭhamajjhānenā’’ti ca vadanti. Pahāyāti pajahitvā. Gato adhigato, paṭipanno uttarivisesanti attho. Pahāyāti vā pahānahetu, pahānalakkhaṇaṃ vā. Hetulakkhaṇattho hi ayaṃ pahāyasaddo. Kāmacchandādippahānahetukañhi ‘‘gato’’ti ettha vuttaṃ gamanaṃ avabodho, paṭipatti eva vā kāmacchandādippahānena ca lakkhīyati. Esa nayo padāletvātiādīsupi. Abyāpādenāti mettāya. Ālokasaññāyāti vibhūtaṃ katvā manasikaraṇena upaṭṭhitaālokasañjānanena. Avikkhepenāti samādhinā. Dhammavavatthānenāti kusalādidhammānaṃ yāthāvanicchayena. ‘‘Sappaccayanāmarūpavavatthānenā’’tipi vadanti. Evaṃ kāmacchandādinīvaraṇappahānena ‘‘abhijjhaṃ loke pahāyā’’tiādinā (vibha. 508) vuttāya paṭhamajjhānassa pubbabhāgappaṭipadāya bhagavato tathāgatabhāvaṃ dassetvā idāni saha upāyena aṭṭhahi samāpattīhi aṭṭhārasahi ca mahāvipassanāhi taṃ dassetuṃ – ‘‘ñāṇenā’’tiādimāha. Nāmarūpapariggahakaṅkhāvitaraṇānañhi vibandhabhūtassa mohassa dūrīkaraṇena ñātapariññāyaṃ ṭhitassa aniccasaññādayo sijjhanti, tathā jhānasamāpattīsu abhiratinimittena pāmojjena tattha anabhiratiyā vinoditāya jhānādīnaṃ samadhigamoti samāpattivipassanānaṃ arativinodanaavijjāpadālanādiupāyo, uppaṭipāṭiniddeso pana nīvaraṇasabhāvāya avijjāya heṭṭhā nīvaraṇesupi saṅgahadassanatthanti daṭṭhabbo. Samāpattivihārappavesavibandhanena nīvaraṇāni kavāṭasadisānīti āha – ‘‘nīvaraṇakavāṭaṃ ugghāṭetvā’’ti.

    ‘‘รตฺติํ วิตเกฺกตฺวา วิจาเรตฺวา ทิวา กมฺมเนฺต ปโยเชตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๕๑) วุตฺตฎฺฐาเน วิตกฺกวิจารา ธูมายนา อธิเปฺปตาติ อาห – ‘‘วิตกฺกวิจารธูม’’นฺติฯ กิญฺจาปิ ปฐมชฺฌานูปจาเรเยว ทุกฺขํ, จตุตฺถชฺฌาโนปจาเรเยว จ สุขํ ปหียติ, อติสยปฺปหานํ ปน สนฺธายาห – ‘‘จตุตฺถชฺฌาเนน สุขทุกฺขํ ปหายา’’ติฯ รูปสญฺญาติ สญฺญาสีเสน รูปาวจรชฺฌานานิ เจว ตทารมฺมณานิ จ วุตฺตานิฯ รูปาวจรชฺฌานมฺปิ หิ ‘‘รูป’’นฺติ วุจฺจติ อุตฺตรปทโลเปน ‘‘รูปี รูปานิ ปสฺสตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๒๔๘; ๓.๓๑๒; ธ. ส. ๒๔๘; ปฎิ. ม. ๑.๒๐๙)ฯ ตสฺส อารมฺมณมฺปิ กสิณรูปํ ‘‘รูป’’นฺติ วุจฺจติ ปุริมปทโลเปน ‘‘พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ สุวณฺณทุพฺพณฺณานี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๑๗๓-๑๗๔; ม. นิ. ๒.๒๔๙; ธ. ส. ๒๔๔-๒๔๕)ฯ ตสฺมา อิธ รูเป รูปชฺฌาเน ตํสหคตสญฺญา รูปสญฺญาติ เอวํ สญฺญาสีเสน รูปาวจรชฺฌานานิ วุตฺตานิฯ รูปํ สญฺญา อสฺสาติ รูปสญฺญํ, รูปสฺส นามนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ ปถวีกสิณาทิเภทสฺส ตทารมฺมณสฺส เจตํ อธิวจนนฺติ เวทิตพฺพํฯ ปฎิฆสญฺญาติ จกฺขาทีนํ วตฺถูนํ รูปาทีนํ อารมฺมณานญฺจ ปฎิฆาเตน ปฎิหนเนน วิสยิวิสยสโมธาเน สมุปฺปนฺนา ทฺวิปญฺจวิญฺญาณสหคตา สญฺญา ปฎิฆสญฺญาฯ นานตฺตสญฺญาโยติ นานเตฺต โคจเร ปวตฺตา สญฺญา, นานตฺตา วา สญฺญา นานตฺตสญฺญา, อฎฺฐ กามาวจรกุสลสญฺญา, ทฺวาทส อกุสลสญฺญา, เอกาทส กามาวจรกุสลวิปากสญฺญา, เทฺว อกุสลวิปากสญฺญา, เอกาทส กามาวจรกิริยสญฺญาติ เอตาสํ จตุจตฺตาลีสสญฺญานเมตํ อธิวจนํฯ เอตา หิ ยสฺมา รูปสญฺญาทิเภเท นานเตฺต นานาสภาเว โคจเร ปวตฺตนฺติ, ยสฺมา จ นานตฺตา นานาสภาวา อญฺญมญฺญํ อสทิสา, ตสฺมา ‘‘นานตฺตสญฺญา’’ติ วุจฺจนฺติฯ

    ‘‘Rattiṃ vitakketvā vicāretvā divā kammante payojetī’’ti (ma. ni. 1.251) vuttaṭṭhāne vitakkavicārā dhūmāyanā adhippetāti āha – ‘‘vitakkavicāradhūma’’nti. Kiñcāpi paṭhamajjhānūpacāreyeva dukkhaṃ, catutthajjhānopacāreyeva ca sukhaṃ pahīyati, atisayappahānaṃ pana sandhāyāha – ‘‘catutthajjhānena sukhadukkhaṃ pahāyā’’ti. Rūpasaññāti saññāsīsena rūpāvacarajjhānāni ceva tadārammaṇāni ca vuttāni. Rūpāvacarajjhānampi hi ‘‘rūpa’’nti vuccati uttarapadalopena ‘‘rūpī rūpāni passatī’’tiādīsu (ma. ni. 2.248; 3.312; dha. sa. 248; paṭi. ma. 1.209). Tassa ārammaṇampi kasiṇarūpaṃ ‘‘rūpa’’nti vuccati purimapadalopena ‘‘bahiddhā rūpāni passati suvaṇṇadubbaṇṇānī’’tiādīsu (dī. ni. 2.173-174; ma. ni. 2.249; dha. sa. 244-245). Tasmā idha rūpe rūpajjhāne taṃsahagatasaññā rūpasaññāti evaṃ saññāsīsena rūpāvacarajjhānāni vuttāni. Rūpaṃ saññā assāti rūpasaññaṃ, rūpassa nāmanti vuttaṃ hoti. Evaṃ pathavīkasiṇādibhedassa tadārammaṇassa cetaṃ adhivacananti veditabbaṃ. Paṭighasaññāti cakkhādīnaṃ vatthūnaṃ rūpādīnaṃ ārammaṇānañca paṭighātena paṭihananena visayivisayasamodhāne samuppannā dvipañcaviññāṇasahagatā saññā paṭighasaññā. Nānattasaññāyoti nānatte gocare pavattā saññā, nānattā vā saññā nānattasaññā, aṭṭha kāmāvacarakusalasaññā, dvādasa akusalasaññā, ekādasa kāmāvacarakusalavipākasaññā, dve akusalavipākasaññā, ekādasa kāmāvacarakiriyasaññāti etāsaṃ catucattālīsasaññānametaṃ adhivacanaṃ. Etā hi yasmā rūpasaññādibhede nānatte nānāsabhāve gocare pavattanti, yasmā ca nānattā nānāsabhāvā aññamaññaṃ asadisā, tasmā ‘‘nānattasaññā’’ti vuccanti.

    อนิจฺจสฺส, อนิจฺจนฺติ วา อนุปสฺสนา อนิจฺจานุปสฺสนา, เตภูมกธมฺมานํ อนิจฺจตํ คเหตฺวา ปวตฺตาย อนุปสฺสนาเยตํ นามํฯ นิจฺจสญฺญนฺติ สงฺขตธเมฺม ‘‘นิจฺจา สสฺสตา’’ติ ปวตฺตํ มิจฺฉาสญฺญํฯ สญฺญาสีเสน ทิฎฺฐิจิตฺตานมฺปิ คหณํ ทฎฺฐพฺพํฯ เอส นโย อิโต ปเรสุปิฯ นิพฺพิทานุปสฺสนายาติ สงฺขาเรสุ นิพฺพิชฺชนากาเรน ปวตฺตาย อนุปสฺสนายฯ นนฺทินฺติ สปฺปีติกตณฺหํฯ วิราคานุปสฺสนายาติ สงฺขาเรสุ วิรชฺชนากาเรน ปวตฺตาย อนุปสฺสนายฯ นิโรธานุปสฺสนายาติ สงฺขารานํ นิโรธสฺส อนุปสฺสนายฯ ‘‘เต สงฺขารา นิรุชฺฌนฺติเยว, อายติํ สมุทยวเสน น อุปฺปชฺชนฺตี’’ติ เอวํ วา อนุปสฺสนา นิโรธานุปสฺสนาฯ เตเนวาห – ‘‘นิโรธานุปสฺสนาย นิโรเธติ, โน สมุเทตี’’ติฯ มุจฺจิตุกมฺยตา หิ อยํ พลปฺปตฺตาติฯ ปฎินิสฺสชฺชนากาเรน ปวตฺตา อนุปสฺสนา ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนาฯ ปฎิสงฺขา สนฺติฎฺฐนา หิ อยํฯ อาทานนฺติ นิจฺจาทิวเสน คหณํฯ สนฺตติสมูหกิจฺจารมฺมณานํ วเสน เอกตฺตคฺคหณํ ฆนสญฺญาฯ อายูหนํ อภิสงฺขรณํฯ อวตฺถาวิเสสาปตฺติ วิปริณาโมฯ ธุวสญฺญนฺติ ถิรภาวคฺคหณํฯ นิมิตฺตนฺติ สมูหาทิฆนวเสน สกิจฺจปริเจฺฉทตาย จ สงฺขารานํ สวิคฺคหคฺคหณํฯ ปณิธินฺติ ราคาทิปณิธิํฯ สา ปนตฺถโต ตณฺหาวเสน สงฺขาเรสุ นนฺทิตาฯ อภินิเวสนฺติ อตฺตานุทิฎฺฐิํฯ

    Aniccassa, aniccanti vā anupassanā aniccānupassanā, tebhūmakadhammānaṃ aniccataṃ gahetvā pavattāya anupassanāyetaṃ nāmaṃ. Niccasaññanti saṅkhatadhamme ‘‘niccā sassatā’’ti pavattaṃ micchāsaññaṃ. Saññāsīsena diṭṭhicittānampi gahaṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Esa nayo ito paresupi. Nibbidānupassanāyāti saṅkhāresu nibbijjanākārena pavattāya anupassanāya. Nandinti sappītikataṇhaṃ. Virāgānupassanāyāti saṅkhāresu virajjanākārena pavattāya anupassanāya. Nirodhānupassanāyāti saṅkhārānaṃ nirodhassa anupassanāya. ‘‘Te saṅkhārā nirujjhantiyeva, āyatiṃ samudayavasena na uppajjantī’’ti evaṃ vā anupassanā nirodhānupassanā. Tenevāha – ‘‘nirodhānupassanāya nirodheti, no samudetī’’ti. Muccitukamyatā hi ayaṃ balappattāti. Paṭinissajjanākārena pavattā anupassanā paṭinissaggānupassanā. Paṭisaṅkhā santiṭṭhanā hi ayaṃ. Ādānanti niccādivasena gahaṇaṃ. Santatisamūhakiccārammaṇānaṃ vasena ekattaggahaṇaṃ ghanasaññā. Āyūhanaṃ abhisaṅkharaṇaṃ. Avatthāvisesāpatti vipariṇāmo. Dhuvasaññanti thirabhāvaggahaṇaṃ. Nimittanti samūhādighanavasena sakiccaparicchedatāya ca saṅkhārānaṃ saviggahaggahaṇaṃ. Paṇidhinti rāgādipaṇidhiṃ. Sā panatthato taṇhāvasena saṅkhāresu nanditā. Abhinivesanti attānudiṭṭhiṃ.

    อนิจฺจทุกฺขาทิวเสน สพฺพธมฺมตีรณํ อธิปญฺญาธมฺมวิปสฺสนาฯ สาราทานาภินิเวสนฺติ อสาเร สารคฺคหณวิปลฺลาสํฯ อิสฺสรกุตฺตาทิวเสน โลโก สมุปฺปโนฺนติ อภินิเวโส สโมฺมหาภินิเวโส ฯ เกจิ ปน ‘‘อโหสิํ นุ โข อหมตีตมทฺธานนฺติอาทินา ปวตฺตสํสยาปตฺติ สโมฺมหาภินิเวโส’’ติ วทนฺติฯ สงฺขาเรสุ เลณตาณภาวคฺคหณํ อาลยาภินิเวโสฯ ‘‘อาลยรตา อาลยสมฺมุทิตา’’ติ (ที. นิ. ๒.๖๔; ม. นิ. ๑.๒๘๑; ๒.๓๓๗; สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๗) วจนโต อาลโย ตณฺหา, สาเยว จกฺขาทีสุ รูปาทีสุ จ อภินิเวสวเสน ปวตฺติยา อาลยาภินิเวโสติ เกจิฯ ‘‘เอวํวิธา สงฺขารา ปฎินิสฺสชฺชียนฺตี’’ติ ปวตฺตํ ญาณํ ปฎิสงฺขานุปสฺสนาฯ วฎฺฎโต วิคตตฺตา วิวฎฺฎํ, นิพฺพานํฯ ตตฺถ อารมฺมณกรณสงฺขาเตน อนุปสฺสเนน ปวตฺติยา วิวฎฺฎานุปสฺสนา, โคตฺรภูฯ สํโยคาภินิเวสนฺติ สํยุชฺชนวเสน สงฺขาเรสุ อภินิวิสนํฯ ทิเฎฺฐกเฎฺฐติ ทิฎฺฐิยา สหชาเตกเฎฺฐ ปหาเนกเฎฺฐ จฯ โอฬาริเกติ อุปริมคฺควเชฺฌ กิเลเส อเปกฺขิตฺวา วุตฺตํ, อญฺญถา ทสฺสนปหาตพฺพาปิ ทุติยมคฺควเชฺฌหิ โอฬาริกาติฯ อณุสหคเตติ อณุภูเตฯ อิทํ เหฎฺฐิมมคฺควเชฺฌ อเปกฺขิตฺวา วุตฺตํฯ สพฺพกิเลเสติ อวสิฎฺฐสพฺพกิเลเสฯ น หิ ปฐมาทิมเคฺคหิปิ ปหีนา กิเลสา ปุน ปหียนฺตีติฯ

    Aniccadukkhādivasena sabbadhammatīraṇaṃ adhipaññādhammavipassanā. Sārādānābhinivesanti asāre sāraggahaṇavipallāsaṃ. Issarakuttādivasena loko samuppannoti abhiniveso sammohābhiniveso. Keci pana ‘‘ahosiṃ nu kho ahamatītamaddhānantiādinā pavattasaṃsayāpatti sammohābhiniveso’’ti vadanti. Saṅkhāresu leṇatāṇabhāvaggahaṇaṃ ālayābhiniveso. ‘‘Ālayaratā ālayasammuditā’’ti (dī. ni. 2.64; ma. ni. 1.281; 2.337; saṃ. ni. 1.172; mahāva. 7) vacanato ālayo taṇhā, sāyeva cakkhādīsu rūpādīsu ca abhinivesavasena pavattiyā ālayābhinivesoti keci. ‘‘Evaṃvidhā saṅkhārā paṭinissajjīyantī’’ti pavattaṃ ñāṇaṃ paṭisaṅkhānupassanā. Vaṭṭato vigatattā vivaṭṭaṃ, nibbānaṃ. Tattha ārammaṇakaraṇasaṅkhātena anupassanena pavattiyā vivaṭṭānupassanā, gotrabhū. Saṃyogābhinivesanti saṃyujjanavasena saṅkhāresu abhinivisanaṃ. Diṭṭhekaṭṭheti diṭṭhiyā sahajātekaṭṭhe pahānekaṭṭhe ca. Oḷāriketi uparimaggavajjhe kilese apekkhitvā vuttaṃ, aññathā dassanapahātabbāpi dutiyamaggavajjhehi oḷārikāti. Aṇusahagateti aṇubhūte. Idaṃ heṭṭhimamaggavajjhe apekkhitvā vuttaṃ. Sabbakileseti avasiṭṭhasabbakilese. Na hi paṭhamādimaggehipi pahīnā kilesā puna pahīyantīti.

    กกฺขฬตฺตํ กถินภาโวฯ ปคฺฆรณํ ทฺรวภาโวฯ โลกิยวายุนา ภสฺตาย วิย เยน ตํตํกลาปสฺส อุทฺธุมายนํ, ถทฺธภาโว วา, ตํ วิตฺถมฺภนํฯ วิชฺชมาเนปิ กลาปนฺตรภูตานํ กลาปนฺตรภูเตหิ ผุฎฺฐภาเว ตํตํภูตวิวิตฺตตา รูปปริยโนฺต อากาโสติ เยสํ โย ปริเจฺฉโท, เตหิ โส อสมฺผุโฎฺฐว, อญฺญถา ภูตานํ ปริเจฺฉทภาโว น สิยา พฺยาปิตภาวาปตฺติโตฯ ยสฺมิํ กลาเป ภูตานํ ปริเจฺฉโท, เตหิ อสมฺผุฎฺฐภาโว อสมฺผุฎฺฐลกฺขณํฯ เตนาห – ภควา อากาสธาตุนิเทฺทเส (ธ. ส. ๖๓๗) ‘‘อสมฺผุโฎฺฐ จตูหิ มหาภูเตหี’’ติฯ

    Kakkhaḷattaṃ kathinabhāvo. Paggharaṇaṃ dravabhāvo. Lokiyavāyunā bhastāya viya yena taṃtaṃkalāpassa uddhumāyanaṃ, thaddhabhāvo vā, taṃ vitthambhanaṃ. Vijjamānepi kalāpantarabhūtānaṃ kalāpantarabhūtehi phuṭṭhabhāve taṃtaṃbhūtavivittatā rūpapariyanto ākāsoti yesaṃ yo paricchedo, tehi so asamphuṭṭhova, aññathā bhūtānaṃ paricchedabhāvo na siyā byāpitabhāvāpattito. Yasmiṃ kalāpe bhūtānaṃ paricchedo, tehi asamphuṭṭhabhāvo asamphuṭṭhalakkhaṇaṃ. Tenāha – bhagavā ākāsadhātuniddese (dha. sa. 637) ‘‘asamphuṭṭho catūhi mahābhūtehī’’ti.

    วิโรธิปจฺจยสนฺนิปาเต วิสทิสุปฺปตฺติ รุปฺปนํฯ เจตนาปธานตฺตา สงฺขารกฺขนฺธธมฺมานํ เจตนาวเสเนตํ วุตฺตํ – ‘‘สงฺขารานํ อภิสงฺขรณลกฺขณ’’นฺติฯ ตถา หิ สุตฺตนฺตภาชนีเย สงฺขารกฺขนฺธวิภเงฺค (วิภ. ๙๒) ‘‘จกฺขุสมฺผสฺสชา เจตนา’’ติอาทินา เจตนาว วิภตฺตาฯ อภิสงฺขรลกฺขณา จ เจตนาฯ ยถาห – ‘‘ตตฺถ กตโม ปุญฺญาภิสงฺขาโร, กุสลา เจตนา กามาวจรา’’ติอาทิฯ ผรณํ สวิปฺผาริกตาฯ อสฺสทฺธิเยติ อสฺสทฺธิยเหตุฯ นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมํฯ เอส นโย โกสเชฺชติอาทีสุฯ วูปสมลกฺขณนฺติ กายจิตฺตปริฬาหูปสมลกฺขณํฯ ลีนุทฺธจฺจรหิเต อธิจิเตฺต ปวตฺตมาเน ปคฺคหนิคฺคหสมฺปหํสเนสุ อพฺยาวฎตาย อชฺฌุเปกฺขนํ ปฎิสงฺขานํ ปกฺขปาตุปเจฺฉทโตฯ

    Virodhipaccayasannipāte visadisuppatti ruppanaṃ. Cetanāpadhānattā saṅkhārakkhandhadhammānaṃ cetanāvasenetaṃ vuttaṃ – ‘‘saṅkhārānaṃ abhisaṅkharaṇalakkhaṇa’’nti. Tathā hi suttantabhājanīye saṅkhārakkhandhavibhaṅge (vibha. 92) ‘‘cakkhusamphassajā cetanā’’tiādinā cetanāva vibhattā. Abhisaṅkharalakkhaṇā ca cetanā. Yathāha – ‘‘tattha katamo puññābhisaṅkhāro, kusalā cetanā kāmāvacarā’’tiādi. Pharaṇaṃ savipphārikatā. Assaddhiyeti assaddhiyahetu. Nimittatthe bhummaṃ. Esa nayo kosajjetiādīsu. Vūpasamalakkhaṇanti kāyacittapariḷāhūpasamalakkhaṇaṃ. Līnuddhaccarahite adhicitte pavattamāne paggahaniggahasampahaṃsanesu abyāvaṭatāya ajjhupekkhanaṃ paṭisaṅkhānaṃ pakkhapātupacchedato.

    มุสาวาทาทีนํ วิสํวาทนาทิกิจฺจตาย ลูขานํ อปริคฺคาหกานํ ปฎิปกฺขภาวโต ปริคฺคาหกสภาวา สมฺมาวาจา, สินิทฺธภาวโต สมฺปยุตฺตธเมฺม สมฺมาวาจาปจฺจยสุภาสิตานํ โสตารญฺจ ปุคฺคลํ ปริคฺคณฺหาตีติ สา ปริคฺคหลกฺขณาฯ กายิกกิริยา กิญฺจิ กตฺตพฺพํ สมุฎฺฐาเปติ, สยญฺจ สมุฎฺฐหนํ ฆฎนํ โหตีติ สมฺมากมฺมนฺตสงฺขาตา วิรตีปิ สมุฎฺฐานลกฺขณา ทฎฺฐพฺพา, สมฺปยุตฺตธมฺมานํ วา อุกฺขิปนํ สมุฎฺฐาปนํ กายิกกิริยาย ภารุกฺขิปนํ วิยฯ ชีวมานสฺส สตฺตสฺส, สมฺปยุตฺตธมฺมานํ วา ชีวิตินฺทฺริยปวตฺติยา, อาชีวเสฺสว วา สุทฺธิ โวทานํฯ ‘‘สงฺขารา’’ติ อิธ เจตนา อธิเปฺปตาติ วุตฺตํ – ‘‘สงฺขารานํ เจตนาลกฺขณ’’นฺติฯ นมนํ อารมฺมณาภิมุขภาโวฯ อายตนํ ปวตฺตนํฯ อายตนวเสน หิ อายสงฺขาตานํ จิตฺตเจตสิกานํ ปวตฺติฯ ตณฺหาย เหตุลกฺขณนฺติ วฎฺฎสฺส ชนกเหตุภาโว, มคฺคสฺส ปน นิพฺพานสมฺปาปกตฺตนฺติ อยเมเตสํ วิเสโสฯ

    Musāvādādīnaṃ visaṃvādanādikiccatāya lūkhānaṃ apariggāhakānaṃ paṭipakkhabhāvato pariggāhakasabhāvā sammāvācā, siniddhabhāvato sampayuttadhamme sammāvācāpaccayasubhāsitānaṃ sotārañca puggalaṃ pariggaṇhātīti sā pariggahalakkhaṇā. Kāyikakiriyā kiñci kattabbaṃ samuṭṭhāpeti, sayañca samuṭṭhahanaṃ ghaṭanaṃ hotīti sammākammantasaṅkhātā viratīpi samuṭṭhānalakkhaṇā daṭṭhabbā, sampayuttadhammānaṃ vā ukkhipanaṃ samuṭṭhāpanaṃ kāyikakiriyāya bhārukkhipanaṃ viya. Jīvamānassa sattassa, sampayuttadhammānaṃ vā jīvitindriyapavattiyā, ājīvasseva vā suddhi vodānaṃ. ‘‘Saṅkhārā’’ti idha cetanā adhippetāti vuttaṃ – ‘‘saṅkhārānaṃ cetanālakkhaṇa’’nti. Namanaṃ ārammaṇābhimukhabhāvo. Āyatanaṃ pavattanaṃ. Āyatanavasena hi āyasaṅkhātānaṃ cittacetasikānaṃ pavatti. Taṇhāya hetulakkhaṇanti vaṭṭassa janakahetubhāvo, maggassa pana nibbānasampāpakattanti ayametesaṃ viseso.

    ตถลกฺขณํ อวิปรีตสภาโวฯ เอกรโส อญฺญมญฺญนาติวตฺตนํ อนูนาธิกภาโวฯ ยุคนทฺธา สมถวิปสฺสนาวฯ ‘‘สทฺธาปญฺญา ปคฺคหาวิเกฺขปา’’ติปิ วทนฺติฯ ขโยติ กิเลสกฺขโย มโคฺคฯ อนุปฺปาทปริโยสานตาย อนุปฺปาโท ผลํฯ ปสฺสทฺธิ กิเลสวูปสโมฯ ฉนฺทสฺสาติ กตฺตุกามตาฉนฺทสฺสฯ มูลลกฺขณํ ปติฎฺฐาภาโวฯ สมุฎฺฐานลกฺขณํ อารมฺมณปฺปฎิปาทกตาย สมฺปยุตฺตธมฺมานํ อุปฺปตฺติเหตุตาฯ สโมธานํ วิสยาทิสนฺนิปาเตน คเหตพฺพากาโร, ยา สงฺคตีติ วุจฺจติฯ สมํ, สห โอทหนฺติ อเนน สมฺปยุตฺตธมฺมาติ วา สโมธานํ, ผโสฺสฯ สโมสรนฺติ สนฺนิปตนฺติ เอตฺถาติ สโมสรณํฯ เวทนาย วินา อปฺปวตฺตมานา สมฺปยุตฺตธมฺมา เวทนานุภวนนิมิตฺตํ สโมสฎา วิย โหนฺตีติ เอวํ วุตฺตํฯ โคปานสีนํ กูฎํ วิย สมฺปยุตฺตานํ ปาโมกฺขภาโว ปมุขลกฺขณํฯ ตโต, เตสํ วา สมฺปยุตฺตธมฺมานํ อุตฺตริ ปธานนฺติ ตตุตฺตริฯ ปญฺญุตฺตรา หิ กุสลา ธมฺมาฯ วิมุตฺติยาติ ผลสฺสฯ ตญฺหิ สีลาทิคุณสารสฺส ปรมุกฺกํสภาเวน สารํฯ อยญฺจ ลกฺขณวิภาโค ฉธาตุปญฺจฌานงฺคาทิวเสน ตํตํสุตฺตปทานุสาเรน โปราณฎฺฐกถายํ อาคตนเยน จ กโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตถา หิ ปุเพฺพ วุโตฺตปิ โกจิ ธโมฺม ปริยายนฺตรปฺปกาสนตฺถํ ปุน ทสฺสิโต, ตโต เอว จ ‘‘ฉนฺทมูลกา กุสลา ธมฺมา มนสิการสมุฎฺฐานา ผสฺสสโมธานา เวทนาสโมสรณา’’ติ, ‘‘ปญฺญุตฺตรา กุสลา ธมฺมา’’ติ, ‘‘วิมุตฺติสารมิทํ พฺรหฺมจริย’’นฺติ, ‘‘นิพฺพาโนคธญฺหิ, อาวุโส, พฺรหฺมจริยํ นิพฺพานปริโยสาน’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๕๑๒) จ สุตฺตปทานํ วเสน ‘‘ฉนฺทสฺส มูลลกฺขณ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ

    Tathalakkhaṇaṃ aviparītasabhāvo. Ekaraso aññamaññanātivattanaṃ anūnādhikabhāvo. Yuganaddhā samathavipassanāva. ‘‘Saddhāpaññā paggahāvikkhepā’’tipi vadanti. Khayoti kilesakkhayo maggo. Anuppādapariyosānatāya anuppādo phalaṃ. Passaddhi kilesavūpasamo. Chandassāti kattukāmatāchandassa. Mūlalakkhaṇaṃ patiṭṭhābhāvo. Samuṭṭhānalakkhaṇaṃ ārammaṇappaṭipādakatāya sampayuttadhammānaṃ uppattihetutā. Samodhānaṃ visayādisannipātena gahetabbākāro, yā saṅgatīti vuccati. Samaṃ, saha odahanti anena sampayuttadhammāti vā samodhānaṃ, phasso. Samosaranti sannipatanti etthāti samosaraṇaṃ. Vedanāya vinā appavattamānā sampayuttadhammā vedanānubhavananimittaṃ samosaṭā viya hontīti evaṃ vuttaṃ. Gopānasīnaṃ kūṭaṃ viya sampayuttānaṃ pāmokkhabhāvo pamukhalakkhaṇaṃ. Tato, tesaṃ vā sampayuttadhammānaṃ uttari padhānanti tatuttari. Paññuttarā hi kusalā dhammā. Vimuttiyāti phalassa. Tañhi sīlādiguṇasārassa paramukkaṃsabhāvena sāraṃ. Ayañca lakkhaṇavibhāgo chadhātupañcajhānaṅgādivasena taṃtaṃsuttapadānusārena porāṇaṭṭhakathāyaṃ āgatanayena ca katoti daṭṭhabbaṃ. Tathā hi pubbe vuttopi koci dhammo pariyāyantarappakāsanatthaṃ puna dassito, tato eva ca ‘‘chandamūlakā kusalā dhammā manasikārasamuṭṭhānā phassasamodhānā vedanāsamosaraṇā’’ti, ‘‘paññuttarā kusalā dhammā’’ti, ‘‘vimuttisāramidaṃ brahmacariya’’nti, ‘‘nibbānogadhañhi, āvuso, brahmacariyaṃ nibbānapariyosāna’’nti (saṃ. ni. 5.512) ca suttapadānaṃ vasena ‘‘chandassa mūlalakkhaṇa’’ntiādi vuttaṃ.

    ตถธมฺมา นาม จตฺตาริ อริยสจฺจานิ อวิปรีตสภาวตฺตาฯ ตถานิ ตํสภาวตฺตา, อวิตถานิ อมุสาสภาวตฺตา, อนญฺญถานิ อญฺญาการรหิตตฺตาฯ ชาติปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐติ ชาติปจฺจยา สมฺภูตํ หุตฺวา สหิตสฺส อตฺตโน ปจฺจยานุรูปสฺส อุทฺธํ อุทฺธํ อาคตภาโว, อนุปวตฺตโตฺถติ อโตฺถฯ อถ วา สมฺภูตโฎฺฐ จ สมุทาคตโฎฺฐ จ สมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐ, น ชาติโต ชรามรณํ น โหติ, น จ ชาติํ วินา อญฺญโต โหตีติ ชาติปจฺจยสมฺภูตโฎฺฐ, อิตฺถญฺจ ชาติโต สมุทาคจฺฉตีติ ชาติปจฺจยสมุทาคตโฎฺฐฯ ยา ยา ชาติ ยถา ยถา ปจฺจโย โหติ, ตทนุรูปํ ปาตุภาโวติ อโตฺถฯ อวิชฺชาย สงฺขารานํ ปจฺจยโฎฺฐติ เอตฺถาปิ น อวิชฺชา สงฺขารานํ ปจฺจโย น โหติ, น จ อวิชฺชํ วินา สงฺขารา อุปฺปชฺชนฺติฯ ยา ยา อวิชฺชา เยสํ เยสํ สงฺขารานํ ยถา ยถา ปจฺจโย โหติ, อยํ อวิชฺชาย สงฺขารานํ ปจฺจยโฎฺฐ, ปจฺจยภาโวติ อโตฺถฯ

    Tathadhammānāma cattāri ariyasaccāni aviparītasabhāvattā. Tathāni taṃsabhāvattā, avitathāni amusāsabhāvattā, anaññathāni aññākārarahitattā. Jātipaccayasambhūtasamudāgataṭṭhoti jātipaccayā sambhūtaṃ hutvā sahitassa attano paccayānurūpassa uddhaṃ uddhaṃ āgatabhāvo, anupavattatthoti attho. Atha vā sambhūtaṭṭho ca samudāgataṭṭho ca sambhūtasamudāgataṭṭho, na jātito jarāmaraṇaṃ na hoti, na ca jātiṃ vinā aññato hotīti jātipaccayasambhūtaṭṭho, itthañca jātito samudāgacchatīti jātipaccayasamudāgataṭṭho. Yā yā jāti yathā yathā paccayo hoti, tadanurūpaṃ pātubhāvoti attho. Avijjāya saṅkhārānaṃ paccayaṭṭhoti etthāpi na avijjā saṅkhārānaṃ paccayo na hoti, na ca avijjaṃ vinā saṅkhārā uppajjanti. Yā yā avijjā yesaṃ yesaṃ saṅkhārānaṃ yathā yathā paccayo hoti, ayaṃ avijjāya saṅkhārānaṃ paccayaṭṭho, paccayabhāvoti attho.

    ภควา ตํ ชานาติ ปสฺสตีติ สมฺพโนฺธฯ เตนาติ ภควตาฯ ตํ วิภชฺชมานนฺติ โยเชตพฺพํฯ นฺติ รูปายตนํฯ อิฎฺฐานิฎฺฐาทีติ อาทิ-สเทฺทน มชฺฌตฺตํ สงฺคณฺหาติ, ตถา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนปริตฺตอชฺฌตฺตพหิทฺธาตทุภยาทิเภทํฯ ลพฺภมานกปทวเสนาติ ‘‘รูปายตนํ ทิฎฺฐํ, สทฺทายตนํ สุตํ, คนฺธายตนํ รสายตนํ โผฎฺฐพฺพายตนํ มุตํ, สพฺพํ รูปํ มนสา วิญฺญาต’’นฺติ (ธ. ส. ๙๖๖) วจนโต ทิฎฺฐปทญฺจ วิญฺญาตปทญฺจ รูปารมฺมเณ ลพฺภติฯ อเนเกหิ นาเมหีติ ‘‘รูปารมฺมณํ อิฎฺฐํ อนิฎฺฐํ มชฺฌตฺตํ ปริตฺตํ อตีตํ อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ พหิทฺธา ทิฎฺฐํ วิญฺญาตํ รูปํ รูปายตนํ รูปธาตุ วณฺณนิภา สนิทสฺสนํ สปฺปฎิฆํ นีลํ ปีตก’’นฺติ เอวมาทีหิ อเนเกหิ นาเมหิฯ เตรสหิ วาเรหีติ รูปกเณฺฑ อาคเต เตรส นิเทฺทสวาเร สนฺธายาหฯ เทฺวปญฺญาสาย นเยหีติ เอเกกสฺมิํ วาเร จตุนฺนํ จตุนฺนํ ววตฺถาปนนยานํ วเสน ทฺวิปญฺญาสาย นเยหิฯ ตถเมวาติ อวิปรีตทสฺสิตาย อปฺปฎิวตฺติยเทสนตาย จ ตถเมว โหติฯ ชานามิ อพฺภญฺญาสินฺติ วตฺตมานาตีตกาเลสุ ญาณปฺปวตฺติทสฺสเนน อนาคเตปิ ญาณปฺปวตฺติ วุตฺตาเยวาติ ทฎฺฐพฺพาฯ วิทิต-สโทฺท อนามฎฺฐกาลวิเสโส เวทิตโพฺพ ‘‘ทิฎฺฐํ สุตํ มุต’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๑๘๘; ม. นิ. ๑.๗-๘; สํ. นิ. ๓.๒๐๘; อ. นิ. ๔.๒๓) วิยฯ น อุปฎฺฐาสีติ อตฺตตฺตนิยวเสน น อุปคญฺฉิ ฯ ยถา รูปารมฺมณาทโย ธมฺมา ยํสภาวา ยํปการา จ, ตถา เน ปสฺสติ ชานาติ คจฺฉตีติ ตถาคโตติ เอวํ ปทสมฺภโว เวทิตโพฺพฯ เกจิ ปน ‘‘นิรุตฺตินเยน ปิโสทราทิปเกฺขเปน วา ทสฺสีสทฺทสฺส โลปํ, อาคต-สทฺทสฺส จาคมํ กตฺวา ตถาคโต’’ติ วเณฺณนฺติฯ

    Bhagavā taṃ jānāti passatīti sambandho. Tenāti bhagavatā. Taṃ vibhajjamānanti yojetabbaṃ. Tanti rūpāyatanaṃ. Iṭṭhāniṭṭhādīti ādi-saddena majjhattaṃ saṅgaṇhāti, tathā atītānāgatapaccuppannaparittaajjhattabahiddhātadubhayādibhedaṃ. Labbhamānakapadavasenāti ‘‘rūpāyatanaṃ diṭṭhaṃ, saddāyatanaṃ sutaṃ, gandhāyatanaṃ rasāyatanaṃ phoṭṭhabbāyatanaṃ mutaṃ, sabbaṃ rūpaṃ manasā viññāta’’nti (dha. sa. 966) vacanato diṭṭhapadañca viññātapadañca rūpārammaṇe labbhati. Anekehi nāmehīti ‘‘rūpārammaṇaṃ iṭṭhaṃ aniṭṭhaṃ majjhattaṃ parittaṃ atītaṃ anāgataṃ paccuppannaṃ ajjhattaṃ bahiddhā diṭṭhaṃ viññātaṃ rūpaṃ rūpāyatanaṃ rūpadhātu vaṇṇanibhā sanidassanaṃ sappaṭighaṃ nīlaṃ pītaka’’nti evamādīhi anekehi nāmehi. Terasahi vārehīti rūpakaṇḍe āgate terasa niddesavāre sandhāyāha. Dvepaññāsāya nayehīti ekekasmiṃ vāre catunnaṃ catunnaṃ vavatthāpananayānaṃ vasena dvipaññāsāya nayehi. Tathamevāti aviparītadassitāya appaṭivattiyadesanatāya ca tathameva hoti. Jānāmi abbhaññāsinti vattamānātītakālesu ñāṇappavattidassanena anāgatepi ñāṇappavatti vuttāyevāti daṭṭhabbā. Vidita-saddo anāmaṭṭhakālaviseso veditabbo ‘‘diṭṭhaṃ sutaṃ muta’’ntiādīsu (dī. ni. 3.188; ma. ni. 1.7-8; saṃ. ni. 3.208; a. ni. 4.23) viya. Na upaṭṭhāsīti attattaniyavasena na upagañchi . Yathā rūpārammaṇādayo dhammā yaṃsabhāvā yaṃpakārā ca, tathā ne passati jānāti gacchatīti tathāgatoti evaṃ padasambhavo veditabbo. Keci pana ‘‘niruttinayena pisodarādipakkhepena vā dassīsaddassa lopaṃ, āgata-saddassa cāgamaṃ katvā tathāgato’’ti vaṇṇenti.

    ยํ รตฺตินฺติ ยสฺสํ รตฺติยํฯ อจฺจนฺตสํโยเค เจตํ อุปโยควจนํฯ ติณฺณํ มารานนฺติ กิเลสาภิสงฺขารเทวปุตฺตสงฺขาตานํ ติณฺณํ มารานํฯ อนุปวชฺชนฺติ นิโทฺทสตาย น อุปวชฺชํฯ อนูนนฺติ ปกฺขิปิตพฺพาภาเวน น อูนํฯ อนธิกนฺติ อปเนตพฺพาภาเวน น อธิกํฯ สพฺพาการปริปุณฺณนฺติ อตฺถพฺยญฺชนาทิสมฺปตฺติยา สพฺพากาเรน ปริปุณฺณํฯ โน อญฺญถาติ ‘‘ตเถวา’’ติ วุตฺตเมวตฺถํ พฺยติเรเกน สมฺปาเทติฯ เตน ยทตฺถํ ภาสิตํ, ตทตฺถนิปฺผาทนโต ยถา ภาสิตํ ภควตา, ตเถวาติ อวิปรีตเทสนตํ ทเสฺสติฯ คทโตฺถติ เอเตน ตถํ คทตีติ ตถาคโตติ ท-การสฺส ต-การํ กตฺวา นิรุตฺตินเยน วุตฺตนฺติ ทเสฺสติฯ ตถา คตมสฺสาติ ตถาคโตฯ คตนฺติ จ กายสฺส วาจาย วา ปวตฺตีติ อโตฺถฯ ตถาติ จ วุเตฺต ยํ-ตํ-สทฺทานํ อพฺยภิจาริตสมฺพนฺธตาย ยถาติ อยมโตฺถ อุปฎฺฐิโตเยว โหติฯ กายวาจากิริยานญฺจ อญฺญมญฺญานุโลเมน วจนิจฺฉายํ กายสฺส วาจา, วาจาย จ กาโย สมฺพนฺธภาเวน อุปติฎฺฐตีติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘ภควโต หี’’ติอาทิฯ อิมสฺมิํ ปน อเตฺถ ตถาวาทิตาย ตถาคโตติ อยมฺปิ อโตฺถ สิโทฺธ โหติฯ โส ปน ปุเพฺพ ปการนฺตเรน ทสฺสิโตติ อาห – ‘‘เอวํ ตถาการิตาย ตถาคโต’’ติฯ

    Yaṃ rattinti yassaṃ rattiyaṃ. Accantasaṃyoge cetaṃ upayogavacanaṃ. Tiṇṇaṃ mārānanti kilesābhisaṅkhāradevaputtasaṅkhātānaṃ tiṇṇaṃ mārānaṃ. Anupavajjanti niddosatāya na upavajjaṃ. Anūnanti pakkhipitabbābhāvena na ūnaṃ. Anadhikanti apanetabbābhāvena na adhikaṃ. Sabbākāraparipuṇṇanti atthabyañjanādisampattiyā sabbākārena paripuṇṇaṃ. No aññathāti ‘‘tathevā’’ti vuttamevatthaṃ byatirekena sampādeti. Tena yadatthaṃ bhāsitaṃ, tadatthanipphādanato yathā bhāsitaṃ bhagavatā, tathevāti aviparītadesanataṃ dasseti. Gadatthoti etena tathaṃ gadatīti tathāgatoti da-kārassa ta-kāraṃ katvā niruttinayena vuttanti dasseti. Tathā gatamassāti tathāgato. Gatanti ca kāyassa vācāya vā pavattīti attho. Tathāti ca vutte yaṃ-taṃ-saddānaṃ abyabhicāritasambandhatāya yathāti ayamattho upaṭṭhitoyeva hoti. Kāyavācākiriyānañca aññamaññānulomena vacanicchāyaṃ kāyassa vācā, vācāya ca kāyo sambandhabhāvena upatiṭṭhatīti imamatthaṃ dassento āha – ‘‘bhagavato hī’’tiādi. Imasmiṃ pana atthe tathāvāditāya tathāgatoti ayampi attho siddho hoti. So pana pubbe pakārantarena dassitoti āha – ‘‘evaṃ tathākāritāya tathāgato’’ti.

    ติริยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสูติ เอเตน ยเทเก ‘‘ติริยํ วิย อุปริ อโธ จ สนฺติ โลกธาตุโย’’ติ วทนฺติ, ตํ ปฎิเสเธติฯ เทสนาวิลาโสเยว เทสนาวิลาสมโย ยถา ‘‘ปุญฺญมยํ ทานมย’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๐๕; อิติวุ. ๖๐; เนตฺติ. ๓๓)ฯ นิปาตานํ วาจกสทฺทสนฺนิธาเน ตทตฺถโชตนภาเวน ปวตฺตนโต คต-สโทฺทเยว อวคตตฺถํ อตีตตฺถญฺจ วทตีติ อาห – ‘‘คโตติ อวคโต อตีโต’’ติฯ อถ วา อภินีหารโต ปฎฺฐาย ยาว สโมฺพธิ, เอตฺถนฺตเร มหาโพธิยานปฎิปตฺติยา หานฎฺฐานสํกิเลสนิวตฺตีนํ อภาวโต ยถา ปณิธานํ, ตถา คโต อภินีหารานุรูปํ ปฎิปโนฺนติ ตถาคโตฯ อถ วา มหิทฺธิกตาย ปฎิสมฺภิทานํ อุกฺกํสาธิคเมน อนาวรณญาณตาย จ กตฺถจิปิ ปฎิฆาตาภาวโต ยถา รุจิ, ตถา กายวาจาจิตฺตานํ คตานิ คมนานิ ปวตฺติโย เอตสฺสาติ ตถาคโตฯ ยสฺมา จ โลเก วิธยุตฺตคตปการสทฺทา สมานตฺถา ทิสฺสนฺติ, ตสฺมา ยถาวิธา วิปสฺสิอาทโย ภควโนฺต, อยมฺปิ ภควา ตถาวิโธติ ตถาคโตฯ ยถา ยุตฺตา จ เต ภควโนฺต, อยมฺปิ ภควา ตถา ยุโตฺตติ ตถาคโตฯ อถ วา ยสฺมา สจฺจํ ตตฺวํ ตจฺฉํ ตถนฺติ ญาณเสฺสตํ อธิวจนํ, ตสฺมา ตเถน ญาเณน อาคโตติ ตถาคโตติ เอวมฺปิ ตถาคตสทฺทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Tiriyaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsūti etena yadeke ‘‘tiriyaṃ viya upari adho ca santi lokadhātuyo’’ti vadanti, taṃ paṭisedheti. Desanāvilāsoyeva desanāvilāsamayo yathā ‘‘puññamayaṃ dānamaya’’ntiādīsu (dī. ni. 3.305; itivu. 60; netti. 33). Nipātānaṃ vācakasaddasannidhāne tadatthajotanabhāvena pavattanato gata-saddoyeva avagatatthaṃ atītatthañca vadatīti āha – ‘‘gatoti avagato atīto’’ti. Atha vā abhinīhārato paṭṭhāya yāva sambodhi, etthantare mahābodhiyānapaṭipattiyā hānaṭṭhānasaṃkilesanivattīnaṃ abhāvato yathā paṇidhānaṃ, tathā gato abhinīhārānurūpaṃ paṭipannoti tathāgato. Atha vā mahiddhikatāya paṭisambhidānaṃ ukkaṃsādhigamena anāvaraṇañāṇatāya ca katthacipi paṭighātābhāvato yathā ruci, tathā kāyavācācittānaṃ gatāni gamanāni pavattiyo etassāti tathāgato. Yasmā ca loke vidhayuttagatapakārasaddā samānatthā dissanti, tasmā yathāvidhā vipassiādayo bhagavanto, ayampi bhagavā tathāvidhoti tathāgato. Yathā yuttā ca te bhagavanto, ayampi bhagavā tathā yuttoti tathāgato. Atha vā yasmā saccaṃ tatvaṃ tacchaṃ tathanti ñāṇassetaṃ adhivacanaṃ, tasmā tathena ñāṇena āgatoti tathāgatoti evampi tathāgatasaddassa attho veditabbo.

    ‘‘ปหาย กามาทิมเล ยถา คตา,

    ‘‘Pahāya kāmādimale yathā gatā,

    สมาธิญาเณหิ วิปสฺสิอาทโย;

    Samādhiñāṇehi vipassiādayo;

    มเหสิโน สกฺยมุนี ชุตินฺธโร,

    Mahesino sakyamunī jutindharo,

    ตถาคโต เตน ตถาคโต มโตฯ

    Tathāgato tena tathāgato mato.

    ‘‘ตถญฺจ ธาตายตนาทิลกฺขณํ,

    ‘‘Tathañca dhātāyatanādilakkhaṇaṃ,

    สภาวสามญฺญวิภาคเภทโต;

    Sabhāvasāmaññavibhāgabhedato;

    สยมฺภุญาเณน ชิโนยมาคโต,

    Sayambhuñāṇena jinoyamāgato,

    ตถาคโต วุจฺจติ สกฺยปุงฺคโวฯ

    Tathāgato vuccati sakyapuṅgavo.

    ‘‘ตถานิ สจฺจานิ สมนฺตจกฺขุนา,

    ‘‘Tathāni saccāni samantacakkhunā,

    ตถา อิทปฺปจฺจยตา จ สพฺพโส;

    Tathā idappaccayatā ca sabbaso;

    อนญฺญเนเยฺยน ยโต วิภาวิตา,

    Anaññaneyyena yato vibhāvitā,

    ยาถาวโต เตน ชิโน ตถาคโตฯ

    Yāthāvato tena jino tathāgato.

    ‘‘อเนกเภทาสุปิ โลกธาตุสุ,

    ‘‘Anekabhedāsupi lokadhātusu,

    ชินสฺส รุปายตนาทิโคจเร;

    Jinassa rupāyatanādigocare;

    วิจิตฺตเภเท ตถเมว ทสฺสนํ,

    Vicittabhede tathameva dassanaṃ,

    ตถาคโต เตน สมนฺตโลจโนฯ

    Tathāgato tena samantalocano.

    ‘‘ยโต จ ธมฺมํ ตถเมว ภาสติ,

    ‘‘Yato ca dhammaṃ tathameva bhāsati,

    กโรติ วาจายนุโลมมตฺตโน;

    Karoti vācāyanulomamattano;

    คุเณหิ โลกํ อภิภุยฺยิรียติ,

    Guṇehi lokaṃ abhibhuyyirīyati,

    ตถาคโต เตนปิ โลกนายโกฯ

    Tathāgato tenapi lokanāyako.

    ‘‘ยถาภินีหารมโต ยถารุจิ,

    ‘‘Yathābhinīhāramato yathāruci,

    ปวตฺตวาจา ตนุจิตฺตภาวโต;

    Pavattavācā tanucittabhāvato;

    ยถาวิธา เยน ปุรา มเหสิโน,

    Yathāvidhā yena purā mahesino,

    ตถาวิโธ เตน ชิโน ตถาคโต’’ติฯ (ที. นิ. ฎี. ๑.๗) –

    Tathāvidho tena jino tathāgato’’ti. (dī. ni. ṭī. 1.7) –

    สงฺคหคาถา มุขมตฺตเมว, กสฺมา? อปฺปมาทปทํ วิย สกลกุสลธมฺมสมฺปฎิปตฺติยา สพฺพพุทฺธคุณานํ สงฺคาหกตฺตาฯ เตเนวาห – ‘‘สพฺพากาเรนา’’ติอาทิฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    Saṅgahagāthā mukhamattameva, kasmā? Appamādapadaṃ viya sakalakusaladhammasampaṭipattiyā sabbabuddhaguṇānaṃ saṅgāhakattā. Tenevāha – ‘‘sabbākārenā’’tiādi. Sesamettha uttānatthameva.

    ๑๗๑. ทุติเย อุปฺปตฺตีติ ปฐมาย ชาติยา นิพฺพตฺติํ วตฺวา อริยาย ชาติยา นิพฺพตฺติํ ทเสฺสตุํ – ‘‘นิปฺผตฺตี’’ติ อาหฯ ตทา หิสฺส พุทฺธภาวนิปฺผตฺตีติฯ ‘‘ทุลฺลโภ’’ติอาทิํ วตฺวา การณสฺส ทูรสมฺภารภาวโต ตตฺถ การณํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอกวาร’’นฺติอาทิมาหฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ตตฺถ วารคณนา นาม มาสสํวจฺฉรกปฺปคณนาทิกา, กปฺปานํ เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ ตีณิ อสเงฺขฺยยฺยานิปิ ปารมิโย ปูเรตฺวาปิ พุเทฺธน ภวิตุํ น สกฺกา, เหฎฺฐิมโกฎิยา ปน จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ นิรนฺตรํ ทส ปารมิโย ปูเรตฺวา พุทฺธภาวํ ปตฺตุํ สกฺกา, น อิโต อญฺญถาติ อิมินา การเณน ทุลฺลโภ ปาตุภาโว พุทฺธานนฺติฯ

    171. Dutiye uppattīti paṭhamāya jātiyā nibbattiṃ vatvā ariyāya jātiyā nibbattiṃ dassetuṃ – ‘‘nipphattī’’ti āha. Tadā hissa buddhabhāvanipphattīti. ‘‘Dullabho’’tiādiṃ vatvā kāraṇassa dūrasambhārabhāvato tattha kāraṇaṃ dassento ‘‘ekavāra’’ntiādimāha. Idaṃ vuttaṃ hoti – tattha vāragaṇanā nāma māsasaṃvaccharakappagaṇanādikā, kappānaṃ ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ dve asaṅkhyeyyāni tīṇi asaṅkhyeyyānipi pāramiyo pūretvāpi buddhena bhavituṃ na sakkā, heṭṭhimakoṭiyā pana cattāri asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca nirantaraṃ dasa pāramiyo pūretvā buddhabhāvaṃ pattuṃ sakkā, na ito aññathāti iminā kāraṇena dullabho pātubhāvo buddhānanti.

    ๑๗๒. ตติเย นิจฺจํ น โหตีติ อภิณฺหปฺปวตฺติกํ น โหติ กทาจิเทว สมฺภวโตฯ เยภุเยฺยน มนุสฺสา อจฺฉริยํ ทิสฺวา อจฺฉรํ ปหรนฺติ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อจฺฉรํ ปหริตฺวา ปสฺสิตโพฺพ’’ติฯ สมนฺนาคตตฺตาติ เอเตน อจฺฉริยา คุณธมฺมา เอตสฺมิํ สนฺตีติ อจฺฉริโยติ ทเสฺสติฯ อปิจ อาทิโต ปภุติ อภินีหาราวโห, ตโต ปรมฺปิ อนญฺญสาธารเณ คุณธเมฺม อาจิณฺณวาติ อจฺฉริโยติ อาห – ‘‘อาจิณฺณมนุโสฺสติปิ อจฺฉริยมนุโสฺส’’ติอาทิฯ มหาโพธิญาณเมว มณฺฑภูตํ มหาโพธิมโณฺฑฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณปทฎฺฐานญฺหิ มคฺคญาณํ, มคฺคญาณปทฎฺฐานญฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ‘‘มหาโพธี’’ติ วุจฺจติฯ อนิวตฺตเกนาติ โพธิยา นิยตภาวาปตฺติยา มหาโพธิสตฺตภาวโต อนิวตฺตนสภาเวนฯ พุทฺธการกธมฺมานํ ปูรณมฺปิ น อญฺญสฺส กสฺสจิ อาจิณฺณนฺติอาทินา เหตุอวตฺถาย ผลาวตฺถาย สตฺตานํ อุปการาวตฺถาย จาติ ตีสุปิ อวตฺถาสุ โลกนาโถ อนญฺญสาธารณานํ คุณธมฺมานํ อาจิณฺณตาย อจฺฉริยมนุโสฺส วุโตฺตติ ทเสฺสติฯ

    172. Tatiye niccaṃ na hotīti abhiṇhappavattikaṃ na hoti kadācideva sambhavato. Yebhuyyena manussā acchariyaṃ disvā accharaṃ paharanti, taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘accharaṃ paharitvā passitabbo’’ti. Samannāgatattāti etena acchariyā guṇadhammā etasmiṃ santīti acchariyoti dasseti. Apica ādito pabhuti abhinīhārāvaho, tato parampi anaññasādhāraṇe guṇadhamme āciṇṇavāti acchariyoti āha – ‘‘āciṇṇamanussotipi acchariyamanusso’’tiādi. Mahābodhiñāṇameva maṇḍabhūtaṃ mahābodhimaṇḍo. Sabbaññutaññāṇapadaṭṭhānañhi maggañāṇaṃ, maggañāṇapadaṭṭhānañca sabbaññutaññāṇaṃ ‘‘mahābodhī’’ti vuccati. Anivattakenāti bodhiyā niyatabhāvāpattiyā mahābodhisattabhāvato anivattanasabhāvena. Buddhakārakadhammānaṃ pūraṇampi na aññassa kassaci āciṇṇantiādinā hetuavatthāya phalāvatthāya sattānaṃ upakārāvatthāya cāti tīsupi avatthāsu lokanātho anaññasādhāraṇānaṃ guṇadhammānaṃ āciṇṇatāya acchariyamanusso vuttoti dasseti.

    ๑๗๓. จตุเตฺถ กาเล กิริยาติ กาลกิริยาฯ กตรสฺมิํ กาเล กีทิสี กิริยาฯ สามญฺญโชตนา หิ วิเสเส อวติฎฺฐติ, วิเสสตฺถินา จ วิเสโส อนุปฺปโยชิตโพฺพติ อาห – ‘‘เอกสฺมิํ กาเล ปากฎา กิริยา’’ติฯ กตรสฺมิํ ปน เอกสฺมิํ กาเล, กถญฺจ ปากฎาติ? กปฺปานํ สตสหสฺสาธิกานิ อเนกานิ อสเงฺขฺยยฺยานิ อภิกฺกมิตฺวา ยถาธิเปฺปตมโนรถปาริปูริวเสน สมุปลเทฺธ เอกสฺมิํ กาเล, สเทวโลเก อติวิย อจฺฉริยมนุสฺสสฺส ปรินิพฺพานนฺติ อจฺจนฺตปากฎาฯ อนุตาปกราติ เจโตทุกฺขาวหาฯ ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสูติ วุตฺตํ ตสฺส พุทฺธเกฺขตฺตภาเวน ปริจฺฉินฺนตฺตา, ตทเญฺญสญฺจ อวิสยตฺตาฯ

    173. Catutthe kāle kiriyāti kālakiriyā. Katarasmiṃ kāle kīdisī kiriyā. Sāmaññajotanā hi visese avatiṭṭhati, visesatthinā ca viseso anuppayojitabboti āha – ‘‘ekasmiṃ kāle pākaṭā kiriyā’’ti. Katarasmiṃ pana ekasmiṃ kāle, kathañca pākaṭāti? Kappānaṃ satasahassādhikāni anekāni asaṅkhyeyyāni abhikkamitvā yathādhippetamanorathapāripūrivasena samupaladdhe ekasmiṃ kāle, sadevaloke ativiya acchariyamanussassa parinibbānanti accantapākaṭā. Anutāpakarāti cetodukkhāvahā. Dasasahassacakkavāḷesūti vuttaṃ tassa buddhakkhettabhāvena paricchinnattā, tadaññesañca avisayattā.

    ๑๗๔. ปญฺจเม ทุติยสฺส พุทฺธสฺสาติ ทุติยสฺส สพฺพญฺญุพุทฺธสฺส อภาวาฯ สุตพุโทฺธ นาม สุตมเยน ญาเณน พุชฺฌิตพฺพสฺส พุทฺธตฺตาฯ จตุสจฺจพุโทฺธ นาม จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ อนวเสสโต พุทฺธตฺตาฯ ปเจฺจกพุโทฺธ นาม ปเจฺจกํ อตฺตโนเยว ยถา จตุสจฺจสโมฺพโธ โหติ, เอวํ พุทฺธตฺตาฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธ เอว หิ ยถา สเทวกสฺส โลกสฺส จตุสจฺจสโมฺพโธ โหติ, เอวํ สจฺจานิ อภิสมฺพุชฺฌติฯ จตฺตาริ วา อฎฺฐ วา โสฬส วาติ อิทํ กตมหาภินีหารานํ มหาโพธิสตฺตานํ ปญฺญาธิกสทฺธาธิกวีริยาธิกวิภาควเสน วุตฺตํฯ ‘‘ปญฺญาธิกานญฺหิ สทฺธา มนฺทา โหติ, ปญฺญา ติกฺขาฯ สทฺธาธิกานํ ปญฺญา มชฺฌิมา โหติฯ วีริยาธิกานํ ปญฺญา มนฺทา, ปญฺญานุภาเวน จ สมฺมาสโมฺพธิ อธิคนฺตพฺพา’’ติ อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ อวิเสเสน ปน วิมุตฺติปริปาจนียธมฺมานํ ติกฺขมชฺฌิมมุทุภาเวน ตโยเปเต เภทา ยุตฺตาติ วทนฺติฯ ติวิธา หิ โพธิสตฺตา อภินีหารกฺขเณ ภวนฺติ อุคฺฆฎิตญฺญุวิปญฺจิตญฺญุเนยฺยเภเทนฯ เตสุ อุคฺฆฎิตญฺญู สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สมฺมุขา จาตุปฺปทิกํ คาถํ สุณโนฺต ตติยปเท อปริโยสิเตเยว ฉหิ อภิญฺญาหิ สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺตุํ สมตฺถูปนิสฺสโย โหติฯ ทุติโย สตฺถุ สมฺมุขา เอกํ คาถํ สุณโนฺต อปริโยสิเตเยว จตุตฺถปเท ฉหิ อภิญฺญาหิ อรหตฺตํ ปตฺตุํ สมตฺถูปนิสฺสโย โหติฯ อิตโร ภควโต สมฺมุขา จาตุปฺปทิกคาถํ สุตฺวา ปริโยสิตาย คาถาย ฉหิ อภิญฺญาหิ อรหตฺตํ ปตฺตุํ สมตฺถูปนิสฺสโย โหติฯ ตโยเปเต วินา กาลเภเทน กตาภินีหารา ลทฺธพฺยากรณา ปารมิโย ปูเรโนฺต ยถากฺกมํ ยถาวุตฺตเภเทน กาเลน สมฺมาสโมฺพธิํ ปาปุณนฺติ, เตสุ เตสุ ปน กาลเภเทสุ อปริปุเณฺณสุ เต เต มหาสตฺตา ทิวเส ทิวเส เวสฺสนฺตรทานสทิสํ ทานํ เทนฺตาปิ ตทนุรูปํ สีลาทิเสสปารมิธเมฺม อาจินนฺตาปิ อนฺตรา พุทฺธา ภวิสฺสนฺตีติ อการณเมตํฯ กสฺมา? ญาณสฺส อปริปจฺจนโตฯ ปริจฺฉินฺนกาลนิปฺผาทิตํ วิย หิ สสฺสํ ปริจฺฉินฺนกาเล นิปฺผาทิตา สมฺมาสโมฺพธิ ตทนฺตรา สพฺพุสฺสาเหน วายมเนฺตนปิ น สกฺกา ปาปุณิตุนฺติ ปารมิปูรี ยถาวุตฺตกาลวิเสเสน สมฺปชฺชตีติ เวทิตพฺพํฯ สทฺธินฺติ สมานกาเลฯ

    174. Pañcame dutiyassa buddhassāti dutiyassa sabbaññubuddhassa abhāvā. Sutabuddho nāma sutamayena ñāṇena bujjhitabbassa buddhattā. Catusaccabuddho nāma catunnaṃ ariyasaccānaṃ anavasesato buddhattā. Paccekabuddho nāma paccekaṃ attanoyeva yathā catusaccasambodho hoti, evaṃ buddhattā. Sammāsambuddho eva hi yathā sadevakassa lokassa catusaccasambodho hoti, evaṃ saccāni abhisambujjhati. Cattāri vā aṭṭha vā soḷasa vāti idaṃ katamahābhinīhārānaṃ mahābodhisattānaṃ paññādhikasaddhādhikavīriyādhikavibhāgavasena vuttaṃ. ‘‘Paññādhikānañhi saddhā mandā hoti, paññā tikkhā. Saddhādhikānaṃ paññā majjhimā hoti. Vīriyādhikānaṃ paññā mandā, paññānubhāvena ca sammāsambodhi adhigantabbā’’ti aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. Avisesena pana vimuttiparipācanīyadhammānaṃ tikkhamajjhimamudubhāvena tayopete bhedā yuttāti vadanti. Tividhā hi bodhisattā abhinīhārakkhaṇe bhavanti ugghaṭitaññuvipañcitaññuneyyabhedena. Tesu ugghaṭitaññū sammāsambuddhassa sammukhā cātuppadikaṃ gāthaṃ suṇanto tatiyapade apariyositeyeva chahi abhiññāhi saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pattuṃ samatthūpanissayo hoti. Dutiyo satthu sammukhā ekaṃ gāthaṃ suṇanto apariyositeyeva catutthapade chahi abhiññāhi arahattaṃ pattuṃ samatthūpanissayo hoti. Itaro bhagavato sammukhā cātuppadikagāthaṃ sutvā pariyositāya gāthāya chahi abhiññāhi arahattaṃ pattuṃ samatthūpanissayo hoti. Tayopete vinā kālabhedena katābhinīhārā laddhabyākaraṇā pāramiyo pūrento yathākkamaṃ yathāvuttabhedena kālena sammāsambodhiṃ pāpuṇanti, tesu tesu pana kālabhedesu aparipuṇṇesu te te mahāsattā divase divase vessantaradānasadisaṃ dānaṃ dentāpi tadanurūpaṃ sīlādisesapāramidhamme ācinantāpi antarā buddhā bhavissantīti akāraṇametaṃ. Kasmā? Ñāṇassa aparipaccanato. Paricchinnakālanipphāditaṃ viya hi sassaṃ paricchinnakāle nipphāditā sammāsambodhi tadantarā sabbussāhena vāyamantenapi na sakkā pāpuṇitunti pāramipūrī yathāvuttakālavisesena sampajjatīti veditabbaṃ. Saddhinti samānakāle.

    อสหาโยติ นิปฺปริยายโต วุตฺตํฯ สหอยนโฎฺฐ หิ สหายโฎฺฐฯ ปฎิปตฺติวเสน ภควตา สห สมํ อยนํ นาม กสฺสจิปิ นเตฺถวฯ หตฺถาทิอวยวโต ปฎิ ปฎิ มินิตพฺพโต ปฎิมา วุจฺจติ อตฺตภาโวฯ สมโตฺถ นาม นตฺถีติ เทโว วา มาโร วา พฺรหฺมา วา โกจิ นตฺถิฯ ปฎิสโมติ ปฎินิธิภาเวน สโมฯ ปฎิภาคํ ทาตุนฺติ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติอาทินา วุตฺตสฺส ธมฺมภาคสฺส ธมฺมโกฎฺฐาสสฺส ปฎิปกฺขภูตํ กตฺวา ภาคํ โกฎฺฐาสํ ปฎิวจนํ ทาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ นตฺถิ เอตสฺส สีลาทิคุเณหิ ปฎิพิมฺพภูโต ปุคฺคโลติ อปฺปฎิปุคฺคโลฯ เตนาห – ‘‘อโญฺญ โกจี’’ติอาทิฯ ติสหสฺสิมหาสหสฺสีนํ วิภาโค ปรโต อาวิ ภวิสฺสติฯ เสสเมตฺถ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Asahāyoti nippariyāyato vuttaṃ. Sahaayanaṭṭho hi sahāyaṭṭho. Paṭipattivasena bhagavatā saha samaṃ ayanaṃ nāma kassacipi nattheva. Hatthādiavayavato paṭi paṭi minitabbato paṭimā vuccati attabhāvo. Samattho nāma natthīti devo vā māro vā brahmā vā koci natthi. Paṭisamoti paṭinidhibhāvena samo. Paṭibhāgaṃ dātunti ‘‘cattāro satipaṭṭhānā’’tiādinā vuttassa dhammabhāgassa dhammakoṭṭhāsassa paṭipakkhabhūtaṃ katvā bhāgaṃ koṭṭhāsaṃ paṭivacanaṃ dātuṃ samattho nāma natthi. Natthi etassa sīlādiguṇehi paṭibimbabhūto puggaloti appaṭipuggalo. Tenāha – ‘‘añño kocī’’tiādi. Tisahassimahāsahassīnaṃ vibhāgo parato āvi bhavissati. Sesamettha suviññeyyameva.

    ๑๗๕. ฉฎฺฐาทีสุ ตสฺมิํ ปุคฺคเลติ สมฺมาสมฺพุเทฺธฯ นฺติ ปญฺญาจกฺขุฯ ปาตุภูตเมว โหติ ตสฺส สหสฺส อุปฺปชฺชนโตฯ อุปฺปตฺตีติ อุปฺปชฺชนํฯ นิปฺผตฺตีติ ปริวุทฺธิฯ กีวรูปสฺสาติ กีทิสสฺสฯ สาวกวิสเยว หตฺถคตํ ปญฺญาจกฺขุ นาม ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานํเยวาติ อาห – ‘‘สาริปุตฺตเตฺถรสฺสา’’ติอาทิฯ สมาธิปญฺญาติ สมาธิสหคตา ปญฺญาฯ ‘‘สมาธิสํวตฺตนิกา ขิปฺปนิสนฺติอาทิวิเสสาวหา ปญฺญา’’ติ เกจิฯ อาโลโกติ ปญฺญาอาโลโก เอวฯ ตถา โอภาโสฯ ตีณิปีติ ตีณิปิ สุตฺตานิฯ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกานีติ ปุพฺพภาคปญฺญาย อธิเปฺปตตฺตา วุตฺตํฯ

    175. Chaṭṭhādīsu tasmiṃ puggaleti sammāsambuddhe. Tanti paññācakkhu. Pātubhūtameva hoti tassa sahassa uppajjanato. Uppattīti uppajjanaṃ. Nipphattīti parivuddhi. Kīvarūpassāti kīdisassa. Sāvakavisayeva hatthagataṃ paññācakkhu nāma dvinnaṃ aggasāvakānaṃyevāti āha – ‘‘sāriputtattherassā’’tiādi. Samādhipaññāti samādhisahagatā paññā. ‘‘Samādhisaṃvattanikā khippanisantiādivisesāvahā paññā’’ti keci. Ālokoti paññāāloko eva. Tathā obhāso. Tīṇipīti tīṇipi suttāni. Lokiyalokuttaramissakānīti pubbabhāgapaññāya adhippetattā vuttaṃ.

    อุตฺตมธมฺมานนฺติ อตฺตโน อุตฺตริตรสฺส อภาเวน เสฎฺฐธมฺมานํฯ ทฎฺฐพฺพโต ทสฺสนํ, ภควโต รูปกาโยฯ ตตฺถปิ วิเสสโต รูปายตนํฯ เตนาห – ‘‘จกฺขุวิญฺญาเณน ทฎฺฐุํ ลภตี’’ติฯ นตฺถิ อิโต อุตฺตรนฺติ อนุตฺตรํ, ตเทว อนุตฺตริยํ, ทสฺสนญฺจ ตํ อนุตฺตริยญฺจาติ ทสฺสนานุตฺตริยํฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ อยํ ปน ปทวิเสโส – สุยฺยตีติ สวนํ, ภควโต วจนํฯ ลพฺภตีติ ลาโภ, ภควติ สทฺธาฯ สิกฺขิตพฺพโต สิกฺขาฯ สีลสมาธิปญฺญาปริจรณํ ปาริจริยา, อุปฎฺฐานํฯ อนุสฺสรณํ อนุสฺสติ, สตฺถุ คุณานุสฺสรณํฯ อิเมสนฺติ ยถาวุตฺตานํ ฉนฺนํ อนุตฺตริยานํฯ ปาตุภาโว โหตีติ ตถาคตสฺส ปาตุภาวา ตปฺปฎิพทฺธตฺตา ตพฺพิสยตฺตา จ ปาตุภาโว โหติฯ ‘‘ทสฺสนานุตฺตริย’’นฺติ จ สเทวเก โลเก อุตฺตริตรสฺส ภควโต รูปสฺส น ทสฺสนมตฺตํ อธิเปฺปตํ, อถ โข ตสฺส รูปทสฺสนมุเขน อเวจฺจปฺปสาเทน พุทฺธคุเณ โอกเปฺปตฺวา โอคาเหตฺวา ทสฺสนํ ทฎฺฐพฺพํฯ เตนาห – ‘‘อายสฺมา หี’’ติอาทิฯ อิทมฺปิ ทสฺสนานุตฺตริยนฺติ ปุเพฺพ วุตฺตโต นิพฺพิเสสตฺตา วุตฺตํฯ ทสพลํ ทสฺสนาย ลภิตฺวาติ อานนฺทเตฺถโร วิย ปสาทภตฺติเมตฺตาปุพฺพกํ ทสพลํ ทสฺสนาย ลภิตฺวาฯ ทสฺสนํ วเฑฺฒตฺวาติ ทสฺสนมุเขน ปวตฺตํ วิปสฺสนาจารํ วเฑฺฒตฺวาฯ ทสฺสนมุเขน ยาว อนุโลมญาณํ วิปสฺสนาจารํ วเฑฺฒตฺวา ตทนนฺตรํ อฎฺฐมกมหาภูมิํ โอกฺกมโนฺต ทสฺสนํ โสตาปตฺติมคฺคํ ปาเปติ นามฯ อิธ ปรโต ปวตฺตํ ทสฺสนํ ทสฺสนเมว นาม, มูลทสฺสนํ ปน สจฺจทสฺสนสฺสปิ การณภาวโต ทสฺสนานุตฺตริยํ นามฯ เอส นโย เสสานุตฺตริเยสุปิฯ

    Uttamadhammānanti attano uttaritarassa abhāvena seṭṭhadhammānaṃ. Daṭṭhabbato dassanaṃ, bhagavato rūpakāyo. Tatthapi visesato rūpāyatanaṃ. Tenāha – ‘‘cakkhuviññāṇena daṭṭhuṃ labhatī’’ti. Natthi ito uttaranti anuttaraṃ, tadeva anuttariyaṃ, dassanañca taṃ anuttariyañcāti dassanānuttariyaṃ. Sesapadesupi eseva nayo. Ayaṃ pana padaviseso – suyyatīti savanaṃ, bhagavato vacanaṃ. Labbhatīti lābho, bhagavati saddhā. Sikkhitabbato sikkhā. Sīlasamādhipaññāparicaraṇaṃ pāricariyā, upaṭṭhānaṃ. Anussaraṇaṃ anussati, satthu guṇānussaraṇaṃ. Imesanti yathāvuttānaṃ channaṃ anuttariyānaṃ. Pātubhāvo hotīti tathāgatassa pātubhāvā tappaṭibaddhattā tabbisayattā ca pātubhāvo hoti. ‘‘Dassanānuttariya’’nti ca sadevake loke uttaritarassa bhagavato rūpassa na dassanamattaṃ adhippetaṃ, atha kho tassa rūpadassanamukhena aveccappasādena buddhaguṇe okappetvā ogāhetvā dassanaṃ daṭṭhabbaṃ. Tenāha – ‘‘āyasmā hī’’tiādi. Idampi dassanānuttariyanti pubbe vuttato nibbisesattā vuttaṃ. Dasabalaṃ dassanāya labhitvāti ānandatthero viya pasādabhattimettāpubbakaṃ dasabalaṃ dassanāya labhitvā. Dassanaṃ vaḍḍhetvāti dassanamukhena pavattaṃ vipassanācāraṃ vaḍḍhetvā. Dassanamukhena yāva anulomañāṇaṃ vipassanācāraṃ vaḍḍhetvā tadanantaraṃ aṭṭhamakamahābhūmiṃ okkamanto dassanaṃ sotāpattimaggaṃ pāpeti nāma. Idha parato pavattaṃ dassanaṃ dassanameva nāma, mūladassanaṃ pana saccadassanassapi kāraṇabhāvato dassanānuttariyaṃ nāma. Esa nayo sesānuttariyesupi.

    ทสพเล สทฺธํ ปฎิลภตีติ สมฺมาสมฺพุเทฺธ ภควติ สทฺธํ ปฎิลภติฯ ติโสฺส สิกฺขา สิกฺขิตฺวาติ ติโสฺส ปุพฺพภาคสิกฺขา สิกฺขิตฺวาฯ ปริจรตีติ อุปฎฺฐานํ กโรติฯ ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินา พุทฺธานุสฺสติวเสน อนุสฺสติชฺฌานํ อุปฺปาเทตฺวา ตํ ปทฎฺฐานํ กตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒโนฺต ‘‘อนุสฺสติํ วเฑฺฒตฺวา’’ติ วุโตฺตฯ

    Dasabale saddhaṃ paṭilabhatīti sammāsambuddhe bhagavati saddhaṃ paṭilabhati. Tisso sikkhā sikkhitvāti tisso pubbabhāgasikkhā sikkhitvā. Paricaratīti upaṭṭhānaṃ karoti. ‘‘Itipi so bhagavā’’tiādinā buddhānussativasena anussatijjhānaṃ uppādetvā taṃ padaṭṭhānaṃ katvā vipassanaṃ vaḍḍhento ‘‘anussatiṃ vaḍḍhetvā’’ti vutto.

    สจฺฉิกิริยา โหตีติ ปจฺจกฺขกรณํ โหติฯ มคฺคกฺขเณ หิ ลพฺภมานา ปฎิสมฺภิทา ผลกฺขเณ สจฺฉิกตา นาม โหติ ตโต ปรํ อตฺถาทีสุ ยถิจฺฉิตํ วินิโยคกฺขมภาวโตฯ จตโสฺสติ คณนปริเจฺฉโทฯ ปฎิสมฺภิทาติ ปเภทาฯ กสฺส ปน ปเภทาติ? ‘‘อเตฺถ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา’’ติอาทิวจนโต (วิภ. ๗๑๘-๗๒๑) ญาณเสฺสตา ปเภทาฯ ตสฺมา จตโสฺส ปฎิสมฺภิทาติ จตฺตาโร ญาณปฺปเภทาติ อโตฺถฯ อตฺถปฎิสมฺภิทาติ อเตฺถ ปฎิสมฺภิทา, อตฺถปเภทสฺส สลกฺขณวิภาวนววตฺถานกรณสมตฺถํ อเตฺถ ปเภทคตํ ญาณนฺติ อโตฺถฯ ตถา ธมฺมปเภทสฺส สลกฺขณวิภาวนววตฺถานกรณสมตฺถํ ธเมฺม ปเภทคตํ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทาฯ นิรุตฺติปเภทสฺส สลกฺขณวิภาวนววตฺถานกรณสมตฺถํ นิรุตฺตาภิลาเป ปเภทคตํ ญาณํ นิรุตฺติปฎิสมฺภิทาฯ ปฎิภานปเภทสฺส สลกฺขณวิภาวนววตฺถานกรณสมตฺถํ ปฎิภาเน ปเภทคตํ ญาณํ ปฎิภานปฎิสมฺภิทา

    Sacchikiriyāhotīti paccakkhakaraṇaṃ hoti. Maggakkhaṇe hi labbhamānā paṭisambhidā phalakkhaṇe sacchikatā nāma hoti tato paraṃ atthādīsu yathicchitaṃ viniyogakkhamabhāvato. Catassoti gaṇanaparicchedo. Paṭisambhidāti pabhedā. Kassa pana pabhedāti? ‘‘Atthe ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā’’tiādivacanato (vibha. 718-721) ñāṇassetā pabhedā. Tasmā catasso paṭisambhidāti cattāro ñāṇappabhedāti attho. Atthapaṭisambhidāti atthe paṭisambhidā, atthapabhedassa salakkhaṇavibhāvanavavatthānakaraṇasamatthaṃ atthe pabhedagataṃ ñāṇanti attho. Tathā dhammapabhedassa salakkhaṇavibhāvanavavatthānakaraṇasamatthaṃ dhamme pabhedagataṃ ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā. Niruttipabhedassa salakkhaṇavibhāvanavavatthānakaraṇasamatthaṃ niruttābhilāpe pabhedagataṃ ñāṇaṃ niruttipaṭisambhidā. Paṭibhānapabhedassa salakkhaṇavibhāvanavavatthānakaraṇasamatthaṃ paṭibhāne pabhedagataṃ ñāṇaṃ paṭibhānapaṭisambhidā.

    อเตฺถสุ ญาณนฺติอาทีสุ อโตฺถติ สเงฺขปโต เหตุผลํฯ ตญฺหิ เหตุวเสน อรณียํ คนฺตพฺพํ ปตฺตพฺพํ, ตสฺมา ‘‘อโตฺถ’’ติ วุจฺจติฯ ปเภทโต ปน ยํ กิญฺจิ ปจฺจยุปฺปนฺนํ, นิพฺพานํ, ภาสิตโตฺถ, วิปาโก, กิริยาติ อิเม ปญฺจ ธมฺมา ‘‘อโตฺถ’’ติ เวทิตพฺพาฯ ตํ อตฺถํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส ตสฺมิํ ปเภทคตํ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทาฯ ธโมฺมติ สเงฺขปโต ปจฺจโยฯ โส หิ ยสฺมา ตนฺติ ทหติ วิทหติ ปวเตฺตติ เจว ปาเปติ จ ฐเปติ จ, ตสฺมา ‘‘ธโมฺม’’ติ วุจฺจติฯ ปเภทโต ปน โย โกจิ ผลนิพฺพตฺตโก เหตุ อริยมโคฺค ภาสิตํ กุสลํ อกุสลนฺติ ปญฺจวิโธติ เวทิตโพฺพ, ตํ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส ตสฺมิํ ธเมฺม ปเภทคตํ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา

    Atthesu ñāṇantiādīsu atthoti saṅkhepato hetuphalaṃ. Tañhi hetuvasena araṇīyaṃ gantabbaṃ pattabbaṃ, tasmā ‘‘attho’’ti vuccati. Pabhedato pana yaṃ kiñci paccayuppannaṃ, nibbānaṃ, bhāsitattho, vipāko, kiriyāti ime pañca dhammā ‘‘attho’’ti veditabbā. Taṃ atthaṃ paccavekkhantassa tasmiṃ pabhedagataṃ ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā. Dhammoti saṅkhepato paccayo. So hi yasmā tanti dahati vidahati pavatteti ceva pāpeti ca ṭhapeti ca, tasmā ‘‘dhammo’’ti vuccati. Pabhedato pana yo koci phalanibbattako hetu ariyamaggo bhāsitaṃ kusalaṃ akusalanti pañcavidhoti veditabbo, taṃ dhammaṃ paccavekkhantassa tasmiṃ dhamme pabhedagataṃ ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā.

    อตฺถธมฺมนิรุตฺตาภิลาเป ญาณนฺติ ตสฺมิํ อเตฺถ จ ธเมฺม จ สภาวนิรุตฺติสทฺทํ อารมฺมณํ กตฺวา ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส ตสฺมิํ สภาวนิรุตฺติอภิลาเป ปเภทคตํ ญาณํฯ เอวมยํ นิรุตฺติปฎิสมฺภิทา สทฺทารมฺมณา นาม ชาตา, น ปญฺญตฺติอารมฺมณาฯ กสฺมา? ยสฺมา สทฺทํ สุตฺวา ‘‘อยํ สภาวนิรุตฺติ, อยํ น สภาวนิรุตฺตี’’ติ ปชานาติฯ ปฎิสมฺภิทาปโตฺต หิ ‘‘ผโสฺส’’ติ วุเตฺต ‘‘อยํ สภาวนิรุตฺตี’’ติ ชานาติ, ‘‘ผสฺสา’’ติ วา ‘‘ผสฺส’’นฺติ วา วุเตฺต ‘‘อยํ น สภาวนิรุตฺตี’’ติ ชานาติฯ เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อยํ ปเนส นามาขฺยาโตปสคฺคาพฺยยปทมฺปิ ชานาติเยว สภาวนิรุตฺติยา ยาถาวโต ชานนโตฯ ญาเณสุ ญาณนฺติ สพฺพตฺถกญาณํ อารมฺมณํ กตฺวา ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส ปเภทคตํ ญาณํฯ

    Atthadhammaniruttābhilāpe ñāṇanti tasmiṃ atthe ca dhamme ca sabhāvaniruttisaddaṃ ārammaṇaṃ katvā paccavekkhantassa tasmiṃ sabhāvaniruttiabhilāpe pabhedagataṃ ñāṇaṃ. Evamayaṃ niruttipaṭisambhidā saddārammaṇā nāma jātā, na paññattiārammaṇā. Kasmā? Yasmā saddaṃ sutvā ‘‘ayaṃ sabhāvanirutti, ayaṃ na sabhāvaniruttī’’ti pajānāti. Paṭisambhidāpatto hi ‘‘phasso’’ti vutte ‘‘ayaṃ sabhāvaniruttī’’ti jānāti, ‘‘phassā’’ti vā ‘‘phassa’’nti vā vutte ‘‘ayaṃ na sabhāvaniruttī’’ti jānāti. Vedanādīsupi eseva nayo. Ayaṃ panesa nāmākhyātopasaggābyayapadampi jānātiyeva sabhāvaniruttiyā yāthāvato jānanato. Ñāṇesu ñāṇanti sabbatthakañāṇaṃ ārammaṇaṃ katvā paccavekkhantassa pabhedagataṃ ñāṇaṃ.

    อิมา ปน จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา เสกฺขภูมิยํ อเสกฺขภูมิยนฺติ ทฺวีสุ ฐาเนสุ ปเภทํ คจฺฉนฺติฯ อธิคโม ปริยตฺติ สวนํ ปริปุจฺฉา ปุพฺพโยโคติ อิเมหิ ปญฺจหิ การเณหิ วิสทา โหนฺติฯ อธิคโม นาม สจฺจปฺปฎิเวโธฯ ปริยตฺติ นาม พุทฺธวจนํฯ ตญฺหิ คณฺหนฺตสฺส ปฎิสมฺภิทา วิสทา โหนฺติฯ สวนํ นาม ธมฺมสฺสวนํฯ สกฺกจฺจํ ธมฺมํ สุณนฺตสฺสปิ หิ ปฎิสมฺภิทา วิสทา โหนฺติฯ ปริปุจฺฉา นาม อฎฺฐกถาฯ อุคฺคหิตปาฬิยา อตฺถํ กเถนฺตสฺสปิ หิ ปฎิสมฺภิทา วิสทา โหนฺติฯ ปุพฺพโยโค นาม ปุพฺพโยคาวจรตาฯ หรณปจฺจาหรณนเยน ปฎิปากฎกมฺมฎฺฐานสฺสปิ ปฎิสมฺภิทา วิสทา โหนฺตีติฯ โลกิยโลกุตฺตรา วาติ เอตฺถ ติโสฺส ปฎิสมฺภิทา โลกิยา, อตฺถปฎิสมฺภิทา สิยา โลกิยา, สิยา โลกุตฺตราติ เอวํ วิภชิตฺวา อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Imā pana catasso paṭisambhidā sekkhabhūmiyaṃ asekkhabhūmiyanti dvīsu ṭhānesu pabhedaṃ gacchanti. Adhigamo pariyatti savanaṃ paripucchā pubbayogoti imehi pañcahi kāraṇehi visadā honti. Adhigamo nāma saccappaṭivedho. Pariyatti nāma buddhavacanaṃ. Tañhi gaṇhantassa paṭisambhidā visadā honti. Savanaṃ nāma dhammassavanaṃ. Sakkaccaṃ dhammaṃ suṇantassapi hi paṭisambhidā visadā honti. Paripucchā nāma aṭṭhakathā. Uggahitapāḷiyā atthaṃ kathentassapi hi paṭisambhidā visadā honti. Pubbayogo nāma pubbayogāvacaratā. Haraṇapaccāharaṇanayena paṭipākaṭakammaṭṭhānassapi paṭisambhidā visadā hontīti. Lokiyalokuttarā vāti ettha tisso paṭisambhidā lokiyā, atthapaṭisambhidā siyā lokiyā, siyā lokuttarāti evaṃ vibhajitvā attho veditabbo.

    พุทฺธุปฺปาเทเยวาติ อวธารเณน พุทฺธุปฺปาเท เอว ลพฺภนโต, อพุทฺธุปฺปาเท อลพฺภนโต อนญฺญสาธารโณ ปฎิเวโธ อธิเปฺปโตฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘มหโต จกฺขุสฺสา’’ติอาทีสุ ปญฺญามหตฺตาทิกมฺปิ อนญฺญสาธารณเมว อธิเปฺปตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตถา วิชฺชาวิมุตฺติผลสจฺฉิกิริยาทโยปิ ปเรสํ ตพฺภาวาวหา ทฎฺฐพฺพาฯ ยา กาจิ ธาตุโย โลกิยา โลกุตฺตรา วา, สพฺพา ตา อิมาเหว สงฺคหิตา, เอเตฺถว อโนฺตคธาติ วุตฺตํ – ‘‘อิมาว อฎฺฐารส ธาตุโย นานาสภาวโต นานาธาตุโย’’ติฯ สฺวายมโตฺถ อเนกธาตุนานาธาตุญาณวิภเงฺคน (วิภ. ๗๕๑) ทีเปตโพฺพฯ ‘‘สจฺฉิกิริยา’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘วิชฺชาติ ผเล ญาณ’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Buddhuppādeyevāti avadhāraṇena buddhuppāde eva labbhanato, abuddhuppāde alabbhanato anaññasādhāraṇo paṭivedho adhippeto. Evañca katvā ‘‘mahato cakkhussā’’tiādīsu paññāmahattādikampi anaññasādhāraṇameva adhippetanti daṭṭhabbaṃ. Tathā vijjāvimuttiphalasacchikiriyādayopi paresaṃ tabbhāvāvahā daṭṭhabbā. Yā kāci dhātuyo lokiyā lokuttarā vā, sabbā tā imāheva saṅgahitā, ettheva antogadhāti vuttaṃ – ‘‘imāva aṭṭhārasa dhātuyo nānāsabhāvato nānādhātuyo’’ti. Svāyamattho anekadhātunānādhātuñāṇavibhaṅgena (vibha. 751) dīpetabbo. ‘‘Sacchikiriyā’’ti vuttattā ‘‘vijjāti phale ñāṇa’’nti vuttaṃ.

    ๑๘๗. ยสฺมา จกฺกติ อปราปรํ ปริวตฺตตีติ จกฺกํ, ตสฺมา อิริยาปถาปิ อปราปรํ ปริวตฺตนเฎฺฐน จกฺกสทิสตฺตา จกฺกนฺติ วุตฺตา, ตถา ปติรูปเทสวาสาทิสมฺปตฺติโยฯ ตโต ปฎฺฐาย ธมฺมจกฺกํ อภินีหรติ นามาติ เอตฺถ ตทา มหาสโตฺต อตฺตานํ อภินีหารโยคํ กโรโนฺต ‘‘ธมฺมจกฺกํ อภินีหรติ นามา’’ติ วุโตฺต ตโต ปฎฺฐาย ธมฺมจกฺกาภินีหารวิพนฺธกรธมฺมานุปฺปชฺชนโตฯ อภินีหฎํ นามาติ เอตฺถปิ อยเมว นโยฯ อรหตฺตมคฺคํ ปฎิวิชฺฌโนฺตปิ ธมฺมจกฺกํ อุปฺปาเทติเยว นาม ตทตฺถํ ญาณํ ปริปาเจตีติ กตฺวาฯ อรหตฺตผลกฺขเณ ธมฺมจกฺกํ อุปฺปาทิตํ นาม ตสฺมิํ ขเณ ธมฺมจกฺกสฺส อุปฺปาทนาย กาตพฺพกิจฺจสฺส กสฺสจิ อภาวาฯ ปฎิเวธญาณญฺหิ อิธ ‘‘ธมฺมจกฺก’’นฺติ อธิเปฺปตํฯ อิทานิ เทสนาญาณวเสน ธมฺมจกฺกํ ทเสฺสตุํ – ‘‘กทา ปวเตฺตติ นามา’’ติอาทิมาหฯ น เกวลํ เถรเสฺสว, อถ โข สเพฺพสมฺปิ สาสนิกานํ ธมฺมกถา ภควโต ธมฺมเทสนา จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ จตุนฺนญฺจ เอกตฺตาทินยานํ อวิราธนโตติ ทเสฺสตุํ – ‘‘โย หิ โกจิ ภิกฺขุ วา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    187. Yasmā cakkati aparāparaṃ parivattatīti cakkaṃ, tasmā iriyāpathāpi aparāparaṃ parivattanaṭṭhena cakkasadisattā cakkanti vuttā, tathā patirūpadesavāsādisampattiyo. Tato paṭṭhāya dhammacakkaṃ abhinīharati nāmāti ettha tadā mahāsatto attānaṃ abhinīhārayogaṃ karonto ‘‘dhammacakkaṃ abhinīharati nāmā’’ti vutto tato paṭṭhāya dhammacakkābhinīhāravibandhakaradhammānuppajjanato. Abhinīhaṭaṃ nāmāti etthapi ayameva nayo. Arahattamaggaṃ paṭivijjhantopi dhammacakkaṃ uppādetiyeva nāma tadatthaṃ ñāṇaṃ paripācetīti katvā. Arahattaphalakkhaṇe dhammacakkaṃ uppāditaṃ nāma tasmiṃ khaṇe dhammacakkassa uppādanāya kātabbakiccassa kassaci abhāvā. Paṭivedhañāṇañhi idha ‘‘dhammacakka’’nti adhippetaṃ. Idāni desanāñāṇavasena dhammacakkaṃ dassetuṃ – ‘‘kadā pavatteti nāmā’’tiādimāha. Na kevalaṃ therasseva, atha kho sabbesampi sāsanikānaṃ dhammakathā bhagavato dhammadesanā catunnaṃ ariyasaccānaṃ catunnañca ekattādinayānaṃ avirādhanatoti dassetuṃ – ‘‘yo hi koci bhikkhu vā’’tiādi āraddhaṃ. Sesaṃ suviññeyyameva.

    เอกปุคฺคลวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ekapuggalavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑๓. เอกปุคฺคลวโคฺค • 13. Ekapuggalavaggo

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑๓. เอกปุคฺคลวคฺควณฺณนา • 13. Ekapuggalavaggavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact