Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā |
๑๔. เอกราชจริยาวณฺณนา
14. Ekarājacariyāvaṇṇanā
๑๑๔. จุทฺทสเม เอกราชาติ วิสฺสุโตติ เอกราชาติ อิมินา อนฺวตฺถนาเมน ชมฺพุทีปตเล ปากโฎฯ
114. Cuddasame ekarājāti vissutoti ekarājāti iminā anvatthanāmena jambudīpatale pākaṭo.
มหาสโตฺต หิ ตทา พาราณสิรโญฺญ ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ วยปฺปโตฺต สพฺพสิปฺปนิปฺผตฺติํ ปโตฺต หุตฺวา ปิตุ อจฺจเยน รชฺชํ กาเรโนฺต กุสลสีลาจารสทฺธาสุตาทิอนญฺญสาธารณคุณวิเสสโยเคน ปารมิปริภาวเนน จ ชมฺพุทีปตเล อทุติยตฺตา ปธานภาเวน จ ‘‘เอกราชา’’ติ ปกาสนาโม อโหสิฯ ปรมํ สีลํ อธิฎฺฐายาติ สุปริสุทฺธกายิกวาจสิกสํวรสงฺขาตเญฺจว สุปริสุทฺธมโนสมาจารสงฺขาตญฺจ ปรมํ อุตฺตมํ ทสกุสลกมฺมปถสีลํ สมาทานวเสน จ อวีติกฺกมนวเสน จ อธิฎฺฐหิตฺวา อนุฎฺฐหิตฺวาฯ ปสาสามิ มหามหินฺติ ติโยชนสติเก กาสิรเฎฺฐ มหติํ มหิํ อนุสาสามิ รชฺชํ กาเรมิฯ
Mahāsatto hi tadā bārāṇasirañño putto hutvā nibbatti. Vayappatto sabbasippanipphattiṃ patto hutvā pitu accayena rajjaṃ kārento kusalasīlācārasaddhāsutādianaññasādhāraṇaguṇavisesayogena pāramiparibhāvanena ca jambudīpatale adutiyattā padhānabhāvena ca ‘‘ekarājā’’ti pakāsanāmo ahosi. Paramaṃ sīlaṃ adhiṭṭhāyāti suparisuddhakāyikavācasikasaṃvarasaṅkhātañceva suparisuddhamanosamācārasaṅkhātañca paramaṃ uttamaṃ dasakusalakammapathasīlaṃ samādānavasena ca avītikkamanavasena ca adhiṭṭhahitvā anuṭṭhahitvā. Pasāsāmi mahāmahinti tiyojanasatike kāsiraṭṭhe mahatiṃ mahiṃ anusāsāmi rajjaṃ kāremi.
๑๑๕. ทสกุสลกมฺมปเถติ ปาณาติปาตาเวรมณิ ยาว สมฺมาทิฎฺฐีติ เอตสฺมิํ ทสวิเธ กุสลกมฺมปเถ, เอเต วา อนวเสสโต สมาทาย วตฺตามิฯ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหีติ ทานํ ปิยวจนํ อตฺถจริยา สมานตฺตตาติ อิเมหิ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ สงฺคณฺหนการเณหิ ยทา เอกราชาติ วิสฺสุโต โหมิ, ตทา ยถารหํ มหาชนํ สงฺคณฺหามีติ สมฺพโนฺธฯ
115.Dasakusalakammapatheti pāṇātipātāveramaṇi yāva sammādiṭṭhīti etasmiṃ dasavidhe kusalakammapathe, ete vā anavasesato samādāya vattāmi. Catūhi saṅgahavatthūhīti dānaṃ piyavacanaṃ atthacariyā samānattatāti imehi catūhi saṅgahavatthūhi saṅgaṇhanakāraṇehi yadā ekarājāti vissuto homi, tadā yathārahaṃ mahājanaṃ saṅgaṇhāmīti sambandho.
๑๑๖. เอวนฺติ ทสกุสลกมฺมปถสีลปริปูรณํ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ มหาชนสงฺคณฺหนนฺติ ยถาวุเตฺตน อิมินา อากาเรน อปฺปมตฺตสฺสฯ อิธโลเก ปรตฺถ จาติ อิมสฺมิํ โลเก ยํ อปฺปมชฺชนํ, ตตฺถ ทิฎฺฐธมฺมิเก อเตฺถ, ปรโลเก ยํ อปฺปมชฺชนํ ตตฺถ สมฺปรายิเก อเตฺถ อปฺปมตฺตสฺส เม สโตติ อโตฺถฯ ทพฺพเสโนติ เอวํนามโก โกสลราชาฯ อุปคนฺตฺวาติ จตุรงฺคินิํ เสนํ สนฺนยฺหิตฺวา อพฺภุยฺยานวเสน มม รชฺชํ อุปคนฺตฺวาฯ อจฺฉินฺทโนฺต ปุรํ มมาติ มม พาราณสินครํ พลกฺกาเรน คณฺหโนฺตฯ
116.Evanti dasakusalakammapathasīlaparipūraṇaṃ catūhi saṅgahavatthūhi mahājanasaṅgaṇhananti yathāvuttena iminā ākārena appamattassa. Idhaloke parattha cāti imasmiṃ loke yaṃ appamajjanaṃ, tattha diṭṭhadhammike atthe, paraloke yaṃ appamajjanaṃ tattha samparāyike atthe appamattassa me satoti attho. Dabbasenoti evaṃnāmako kosalarājā. Upagantvāti caturaṅginiṃ senaṃ sannayhitvā abbhuyyānavasena mama rajjaṃ upagantvā. Acchindanto puraṃ mamāti mama bārāṇasinagaraṃ balakkārena gaṇhanto.
ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – มหาสโตฺต หิ ตทา นครสฺส จตูสุ ทฺวาเรสุ จตโสฺส มเชฺฌ เอกํ นิเวสนทฺวาเร เอกนฺติ ฉ ทานสาลาโย กาเรตฺวา กปณทฺธิกาทีนํ ทานํ เทติ, สีลํ รกฺขติ, อุโปสถกมฺมํ กโรติ, ขนฺติเมตฺตานุทฺทยสมฺปโนฺน อเงฺก นิสินฺนํ ปุตฺตํ ปริโตสยมาโน วิย สพฺพสเตฺต ปริโตสยมาโน ธเมฺมน รชฺชํ กาเรติฯ ตเสฺสโก อมโจฺจ อเนฺตปุรํ ปทุสฺสิตฺวา อปรภาเค ปากโฎว ชาโตฯ อมจฺจา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา ปริคฺคณฺหโนฺต ตํ อตฺตนา ปจฺจกฺขโต ญตฺวา ตํ อมจฺจํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อนฺธพาล, อยุตฺตํ เต กตํ, น ตฺวํ มม วิชิเต วสิตุํ อรหสิ, อตฺตโน ธนญฺจ ปุตฺตทารญฺจ คเหตฺวา อญฺญตฺถ ยาหี’’ติ รฎฺฐา ปพฺพาเชสิฯ
Tatrāyaṃ anupubbikathā – mahāsatto hi tadā nagarassa catūsu dvāresu catasso majjhe ekaṃ nivesanadvāre ekanti cha dānasālāyo kāretvā kapaṇaddhikādīnaṃ dānaṃ deti, sīlaṃ rakkhati, uposathakammaṃ karoti, khantimettānuddayasampanno aṅke nisinnaṃ puttaṃ paritosayamāno viya sabbasatte paritosayamāno dhammena rajjaṃ kāreti. Tasseko amacco antepuraṃ padussitvā aparabhāge pākaṭova jāto. Amaccā rañño ārocesuṃ. Rājā pariggaṇhanto taṃ attanā paccakkhato ñatvā taṃ amaccaṃ pakkosāpetvā ‘‘andhabāla, ayuttaṃ te kataṃ, na tvaṃ mama vijite vasituṃ arahasi, attano dhanañca puttadārañca gahetvā aññattha yāhī’’ti raṭṭhā pabbājesi.
โส โกสลชนปทํ คนฺตฺวา ทพฺพเสนํ นาม โกสลราชานํ อุปฎฺฐหโนฺต อนุกฺกเมน ตสฺส วิสฺสาสิโก หุตฺวา เอกทิวสํ ตํ ราชานํ อาห – ‘‘เทว, พาราณสิรชฺชํ นิมฺมกฺขิกมธุปฎลสทิสํ, อติมุทุโก ราชา, สุเขเนว ตํ รชฺชํ คณฺหิตุํ สโกฺกสี’’ติฯ ทพฺพเสโน พาราณสิรโญฺญ มหานุภาวตาย ตสฺส วจนํ อสทฺทหโนฺต มนุเสฺส เปเสตฺวา กาสิรเฎฺฐ คามฆาตาทีนิ กาเรตฺวา เตสํ โจรานํ โพธิสเตฺตน ธนํ ทตฺวา วิสฺสชฺชิตภาวํ สุตฺวา ‘‘อติวิย ธมฺมิโก ราชา’’ติ ญตฺวา ‘‘พาราณสิรชฺชํ คณฺหิสฺสามี’’ติ พลวาหนํ อาทาย นิยฺยาสิ ฯ อถ พาราณสิรโญฺญ มหาโยธา ‘‘โกสลราชา อาคจฺฉตี’’ติ สุตฺวา ‘‘อมฺหากํ รชฺชสีมํ อโนกฺกมนฺตเมว นํ โปเถตฺวา คณฺหามา’’ติ อตฺตโน รโญฺญ วทิํสุฯ
So kosalajanapadaṃ gantvā dabbasenaṃ nāma kosalarājānaṃ upaṭṭhahanto anukkamena tassa vissāsiko hutvā ekadivasaṃ taṃ rājānaṃ āha – ‘‘deva, bārāṇasirajjaṃ nimmakkhikamadhupaṭalasadisaṃ, atimuduko rājā, sukheneva taṃ rajjaṃ gaṇhituṃ sakkosī’’ti. Dabbaseno bārāṇasirañño mahānubhāvatāya tassa vacanaṃ asaddahanto manusse pesetvā kāsiraṭṭhe gāmaghātādīni kāretvā tesaṃ corānaṃ bodhisattena dhanaṃ datvā vissajjitabhāvaṃ sutvā ‘‘ativiya dhammiko rājā’’ti ñatvā ‘‘bārāṇasirajjaṃ gaṇhissāmī’’ti balavāhanaṃ ādāya niyyāsi . Atha bārāṇasirañño mahāyodhā ‘‘kosalarājā āgacchatī’’ti sutvā ‘‘amhākaṃ rajjasīmaṃ anokkamantameva naṃ pothetvā gaṇhāmā’’ti attano rañño vadiṃsu.
โพธิสโตฺต ‘‘ตาตา, มํ นิสฺสาย อเญฺญสํ กิลมนกิจฺจํ นตฺถิ, รชฺชตฺถิกา รชฺชํ คณฺหนฺตุ, มา คมิตฺถา’’ติ นิวาเรสิฯ โกสลราชา ชนปทมชฺฌํ ปาวิสิฯ มหาโยธา ปุนปิ รโญฺญ ตเถว วทิํสุฯ ราชา ปุริมนเยเนว นิวาเรสิฯ ทพฺพเสโน พหินคเร ฐตฺวา ‘‘รชฺชํ วา เทตุ ยุทฺธํ วา’’ติ เอกราชสฺส สาสนํ เปเสสิฯ เอกราชา ‘‘นตฺถิ มยา ยุทฺธํ, รชฺชํ คณฺหาตู’’ติ ปฎิสาสนํ เปเสสิฯ ปุนปิ มหาโยธา ‘‘เทว, น มยํ โกสลรโญฺญ นครํ ปวิสิตุํ เทม, พหินคเรเยว นํ โปเถตฺวา คณฺหามา’’ติ อาหํสุฯ ราชา ปุริมนเยเนว นิวาเรตฺวา นครทฺวารานิ อวาปุราเปตฺวา มหาตเล ปลฺลงฺกมเชฺฌ นิสีทิฯ ทพฺพเสโน มหเนฺตน พลวาหเนน นครํ ปวิสิตฺวา เอกมฺปิ ปฎิสตฺตุํ อปสฺสโนฺต สพฺพรชฺชํ หตฺถคตํ กตฺวา ราชนิเวสนํ คนฺตฺวา มหาตลํ อารุยฺห นิรปราธํ โพธิสตฺตํ คณฺหาเปตฺวา อาวาเฎ นิขณาเปสิฯ เตน วุตฺตํ –
Bodhisatto ‘‘tātā, maṃ nissāya aññesaṃ kilamanakiccaṃ natthi, rajjatthikā rajjaṃ gaṇhantu, mā gamitthā’’ti nivāresi. Kosalarājā janapadamajjhaṃ pāvisi. Mahāyodhā punapi rañño tatheva vadiṃsu. Rājā purimanayeneva nivāresi. Dabbaseno bahinagare ṭhatvā ‘‘rajjaṃ vā detu yuddhaṃ vā’’ti ekarājassa sāsanaṃ pesesi. Ekarājā ‘‘natthi mayā yuddhaṃ, rajjaṃ gaṇhātū’’ti paṭisāsanaṃ pesesi. Punapi mahāyodhā ‘‘deva, na mayaṃ kosalarañño nagaraṃ pavisituṃ dema, bahinagareyeva naṃ pothetvā gaṇhāmā’’ti āhaṃsu. Rājā purimanayeneva nivāretvā nagaradvārāni avāpurāpetvā mahātale pallaṅkamajjhe nisīdi. Dabbaseno mahantena balavāhanena nagaraṃ pavisitvā ekampi paṭisattuṃ apassanto sabbarajjaṃ hatthagataṃ katvā rājanivesanaṃ gantvā mahātalaṃ āruyha niraparādhaṃ bodhisattaṃ gaṇhāpetvā āvāṭe nikhaṇāpesi. Tena vuttaṃ –
‘‘ทพฺพเสโน อุปคนฺตฺวา, อจฺฉินฺทโนฺต ปุรํ มมฯ
‘‘Dabbaseno upagantvā, acchindanto puraṃ mama.
๑๑๗.
117.
‘‘ราชูปชีเว นิคเม, สพลเฎฺฐ สรฎฺฐเก;
‘‘Rājūpajīve nigame, sabalaṭṭhe saraṭṭhake;
สพฺพํ หตฺถคตํ กตฺวา, กาสุยา นิขณี มม’’นฺติฯ
Sabbaṃ hatthagataṃ katvā, kāsuyā nikhaṇī mama’’nti.
ตตฺถ ราชูปชีเวติ อมจฺจปาริสชฺชพฺราหฺมณคหปติอาทิเก ราชานํ อุปนิสฺสาย ชีวเนฺตฯ นิคเมติ เนคเมฯ สพลเฎฺฐติ เสนาปริยาปนฺนตาย พเล ติฎฺฐนฺตีติ พลฎฺฐา, หตฺถาโรหาทโย, พลเฎฺฐหิ สหาติ สพลเฎฺฐฯ สรฎฺฐเกติ สชนปเท, ราชูปชีเว นิคเม จ อญฺญญฺจ สพฺพํ หตฺถคตํ กตฺวาฯ กาสุยา นิขณี มมนฺติ สพลวาหนํ สกลํ มม รชฺชํ คเหตฺวา มมฺปิ คลปฺปมาเณ อาวาเฎ นิขณาเปสิฯ ชาตเกปิ –
Tattha rājūpajīveti amaccapārisajjabrāhmaṇagahapatiādike rājānaṃ upanissāya jīvante. Nigameti negame. Sabalaṭṭheti senāpariyāpannatāya bale tiṭṭhantīti balaṭṭhā, hatthārohādayo, balaṭṭhehi sahāti sabalaṭṭhe. Saraṭṭhaketi sajanapade, rājūpajīve nigame ca aññañca sabbaṃ hatthagataṃ katvā. Kāsuyā nikhaṇī mamanti sabalavāhanaṃ sakalaṃ mama rajjaṃ gahetvā mampi galappamāṇe āvāṭe nikhaṇāpesi. Jātakepi –
‘‘อนุตฺตเร กามคุเณ สมิเทฺธ, ภุตฺวาน ปุเพฺพ วสิ เอกราชา;
‘‘Anuttare kāmaguṇe samiddhe, bhutvāna pubbe vasi ekarājā;
โส ทานิ ทุเคฺค นรกมฺหิ ขิโตฺต, นปฺปชฺชเห วณฺณพลํ ปุราณ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๔.๙) –
So dāni dugge narakamhi khitto, nappajjahe vaṇṇabalaṃ purāṇa’’nti. (jā. 1.4.9) –
อาวาเฎ ขิตฺตภาโว อาคโตฯ ชาตกฎฺฐกถายํ (ชา. อฎฺฐ. ๓.๔.๙) ปน ‘‘สิกฺกาย ปกฺขิปาเปตฺวา อุตฺตรุมฺมาเร เหฎฺฐาสีสกํ โอลเมฺพสี’’ติ วุตฺตํฯ
Āvāṭe khittabhāvo āgato. Jātakaṭṭhakathāyaṃ (jā. aṭṭha. 3.4.9) pana ‘‘sikkāya pakkhipāpetvā uttarummāre heṭṭhāsīsakaṃ olambesī’’ti vuttaṃ.
มหาสโตฺต โจรราชานํ อารพฺภ เมตฺตํ ภาเวตฺวา กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ฌานาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา กาสุโต อุคฺคนฺตฺวา อากาเส ปลฺลเงฺกน นิสีทิฯ เตน วุตฺตํ –
Mahāsatto corarājānaṃ ārabbha mettaṃ bhāvetvā kasiṇaparikammaṃ katvā jhānābhiññāyo nibbattetvā kāsuto uggantvā ākāse pallaṅkena nisīdi. Tena vuttaṃ –
๑๑๘.
118.
‘‘อมจฺจมณฺฑลํ รชฺชํ, ผีตํ อเนฺตปุรํ มม;
‘‘Amaccamaṇḍalaṃ rajjaṃ, phītaṃ antepuraṃ mama;
อจฺฉินฺทิตฺวาน คหิตํ, ปิยปุตฺตํว ปสฺสห’’นฺติฯ
Acchinditvāna gahitaṃ, piyaputtaṃva passaha’’nti.
ตตฺถ อมจฺจมณฺฑลนฺติ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ราชกิเจฺจ รญฺญา อมา สห วตฺตนฺตีติ อมจฺจา, สทฺธิํ วา เตสํ มณฺฑลํ สมูหํฯ ผีตนฺติ พลวาหเนน นครชนปทาทีหิ สมิทฺธํ รชฺชํฯ อิตฺถาคารทาสิทาสปริชเนหิ เจว วตฺถาภรณาทิอุปโภคูปกรเณหิ จ สมิทฺธํ มม อเนฺตปุรญฺจ อจฺฉินฺทิตฺวา คหิตกํ คณฺหนฺตํ อมิตฺตราชานํ ยาย อตฺตโน ปิยปุตฺตํว ปสฺสิํ อหํ, ตาย เอวํภูตาย เมตฺตาย เม สโม สกลโลเก นตฺถิ, ตสฺมา เอวํภูตา เอสา เม เมตฺตาปารมี ปรมตฺถปารมิภาวํ ปตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ
Tattha amaccamaṇḍalanti tasmiṃ tasmiṃ rājakicce raññā amā saha vattantīti amaccā, saddhiṃ vā tesaṃ maṇḍalaṃ samūhaṃ. Phītanti balavāhanena nagarajanapadādīhi samiddhaṃ rajjaṃ. Itthāgāradāsidāsaparijanehi ceva vatthābharaṇādiupabhogūpakaraṇehi ca samiddhaṃ mama antepurañca acchinditvā gahitakaṃ gaṇhantaṃ amittarājānaṃ yāya attano piyaputtaṃva passiṃ ahaṃ, tāya evaṃbhūtāya mettāya me samo sakalaloke natthi, tasmā evaṃbhūtā esā me mettāpāramī paramatthapāramibhāvaṃ pattāti adhippāyo.
เอวํ ปน มหาสเตฺต ตํ โจรราชานํ อารพฺภ เมตฺตํ ผริตฺวา อากาเส ปลฺลเงฺกน นิสิเนฺน ตสฺส สรีเร ทาโห อุปฺปชฺชิฯ โส ‘‘ฑยฺหามิ ฑยฺหามี’’ติ ภูมิยํ อปราปรํ ปริวตฺตติฯ ‘‘กิเมต’’นฺติ วุเตฺต, มหาราช, ตุเมฺห นิรปราธํ ธมฺมิกราชานํ อาวาเฎ นิขณาปยิตฺถาติฯ ‘‘เตน หิ เวเคน คนฺตฺวา ตํ อุทฺธรถา’’ติ อาหฯ ปุริสา คนฺตฺวา ตํ ราชานํ อากาเส ปลฺลเงฺกน นิสินฺนํ ทิสฺวา อาคนฺตฺวา ทพฺพเสนสฺส อาโรเจสุํฯ โส เวเคน คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ขมาเปตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ รชฺชํ ตุเมฺหว กาเรถ, อหํ โว โจเร ปฎิพาเหสฺสามี’’ติ วตฺวา ตสฺส ทุฎฺฐามจฺจสฺส ราชาณํ กาเรตฺวา ปกฺกามิฯ โพธิสโตฺตปิ รชฺชํ อมจฺจานํ นิยฺยาเตตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา มหาชนํ สีลาทิคุเณสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา อายุปริโยสาเน พฺรหฺมโลกปรายโน อโหสิฯ
Evaṃ pana mahāsatte taṃ corarājānaṃ ārabbha mettaṃ pharitvā ākāse pallaṅkena nisinne tassa sarīre dāho uppajji. So ‘‘ḍayhāmi ḍayhāmī’’ti bhūmiyaṃ aparāparaṃ parivattati. ‘‘Kimeta’’nti vutte, mahārāja, tumhe niraparādhaṃ dhammikarājānaṃ āvāṭe nikhaṇāpayitthāti. ‘‘Tena hi vegena gantvā taṃ uddharathā’’ti āha. Purisā gantvā taṃ rājānaṃ ākāse pallaṅkena nisinnaṃ disvā āgantvā dabbasenassa ārocesuṃ. So vegena gantvā vanditvā khamāpetvā ‘‘tumhākaṃ rajjaṃ tumheva kāretha, ahaṃ vo core paṭibāhessāmī’’ti vatvā tassa duṭṭhāmaccassa rājāṇaṃ kāretvā pakkāmi. Bodhisattopi rajjaṃ amaccānaṃ niyyātetvā isipabbajjaṃ pabbajitvā mahājanaṃ sīlādiguṇesu patiṭṭhāpetvā āyupariyosāne brahmalokaparāyano ahosi.
ตทา ทพฺพเสโน อานนฺทเตฺถโร อโหสิ, เอกราชา โลกนาโถฯ
Tadā dabbaseno ānandatthero ahosi, ekarājā lokanātho.
ตสฺส ทิวเส ทิวเส ฉสุ ทานสาลาสุ ฉสตสหสฺสวิสฺสชฺชเนน ปจฺจตฺถิกรโญฺญ สกลรชฺชปริจฺจาเคน จ ทานปารมี, นิจฺจสีลอุโปสถกมฺมวเสน ปพฺพชิตสฺส อนวเสสสีลสํวรวเสน จ สีลปารมี, ปพฺพชฺชาวเสน ฌานาธิคมวเสน จ เนกฺขมฺมปารมี, สตฺตานํ หิตาหิตวิจารณวเสน ทานสีลาทิสํวิทหนวเสน จ ปญฺญาปารมี, ทานาทิปุญฺญสมฺภารสฺส อพฺภุสฺสหนวเสน กามวิตกฺกาทิวิโนทนวเสน จ วีริยปารมี, ทุฎฺฐามจฺจสฺส ทพฺพเสนรโญฺญ จ อปราธสหนวเสน ขนฺติปารมี, ยถาปฎิญฺญํ ทานาทินา อวิสํวาทนวเสน จ สจฺจปารมี, ทานาทีนํ อจลสมาทานาธิฎฺฐานวเสน อธิฎฺฐานปารมี, ปจฺจตฺถิเกปิ เอกเนฺตน หิตูปสํหารวเสน เมตฺตาฌานนิพฺพตฺตเนน จ เมตฺตาปารมี, ทุฎฺฐามเจฺจน ทพฺพเสเนน จ กตาปราเธ หิเตสีหิ อตฺตโน อมจฺจาทีหิ นิพฺพตฺติเต อุปกาเร จ อชฺฌุเปกฺขเณน รชฺชสุขปฺปตฺตกาเล ปจฺจตฺถิกรญฺญา นรเก ขิตฺตกาเล สมานจิตฺตตาย จ อุเปกฺขาปารมี เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Tassa divase divase chasu dānasālāsu chasatasahassavissajjanena paccatthikarañño sakalarajjapariccāgena ca dānapāramī, niccasīlauposathakammavasena pabbajitassa anavasesasīlasaṃvaravasena ca sīlapāramī, pabbajjāvasena jhānādhigamavasena ca nekkhammapāramī, sattānaṃ hitāhitavicāraṇavasena dānasīlādisaṃvidahanavasena ca paññāpāramī, dānādipuññasambhārassa abbhussahanavasena kāmavitakkādivinodanavasena ca vīriyapāramī, duṭṭhāmaccassa dabbasenarañño ca aparādhasahanavasena khantipāramī, yathāpaṭiññaṃ dānādinā avisaṃvādanavasena ca saccapāramī, dānādīnaṃ acalasamādānādhiṭṭhānavasena adhiṭṭhānapāramī, paccatthikepi ekantena hitūpasaṃhāravasena mettājhānanibbattanena ca mettāpāramī, duṭṭhāmaccena dabbasenena ca katāparādhe hitesīhi attano amaccādīhi nibbattite upakāre ca ajjhupekkhaṇena rajjasukhappattakāle paccatthikaraññā narake khittakāle samānacittatāya ca upekkhāpāramī veditabbā. Vuttañhetaṃ –
‘‘ปนุชฺช ทุเกฺขน สุขํ ชนินฺท, สุเขน วา ทุกฺขมสยฺหสาหิ;
‘‘Panujja dukkhena sukhaṃ janinda, sukhena vā dukkhamasayhasāhi;
อุภยตฺถ สโนฺต อภินิพฺพุตตฺตา, สุเข จ ทุเกฺข จ ภวนฺติ ตุลฺยา’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๑๒);
Ubhayattha santo abhinibbutattā, sukhe ca dukkhe ca bhavanti tulyā’’ti. (jā. 1.4.12);
ยสฺมา ปเนตฺถ เมตฺตาปารมี อติสยวตี, ตสฺมา ตทตฺถทีปนตฺถํ สา เอว ปาฬิ อารุฬฺหาฯ ตถา อิธ มหาสตฺตสฺส สพฺพสเตฺตสุ โอรสปุเตฺต วิย สมานุกมฺปตาทโย คุณวิเสสา นิทฺธาเรตพฺพาติฯ
Yasmā panettha mettāpāramī atisayavatī, tasmā tadatthadīpanatthaṃ sā eva pāḷi āruḷhā. Tathā idha mahāsattassa sabbasattesu orasaputte viya samānukampatādayo guṇavisesā niddhāretabbāti.
เอกราชจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Ekarājacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.
เมตฺตาปารมี นิฎฺฐิตาฯ
Mettāpāramī niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๑๔. เอกราชจริยา • 14. Ekarājacariyā