Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๐๓] ๓. เอกราชชาตกวณฺณนา
[303] 3. Ekarājajātakavaṇṇanā
อนุตฺตเร กามคุเณ สมิเทฺธติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ โกสลราชเสวกํ อารพฺภ กเถสิฯ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุ เหฎฺฐา เสยฺยชาตเก (ชา. ๑.๓.๙๔ อาทโย) กถิตเมวฯ อิธ ปน สตฺถา ‘‘น ตฺวเญฺญว อนเตฺถน อตฺถํ อาหริ, โปราณกปณฺฑิตาปิ อตฺตโน อนเตฺถน อตฺถํ อาหริํสู’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Anuttare kāmaguṇe samiddheti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ kosalarājasevakaṃ ārabbha kathesi. Paccuppannavatthu heṭṭhā seyyajātake (jā. 1.3.94 ādayo) kathitameva. Idha pana satthā ‘‘na tvaññeva anatthena atthaṃ āhari, porāṇakapaṇḍitāpi attano anatthena atthaṃ āhariṃsū’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิรโญฺญ อุปฎฺฐาโก อมโจฺจ ราชเนฺตปุเร ทุพฺภิฯ ราชา ปจฺจกฺขโตว ตสฺส โทสํ ทิสฺวา ตํ รฎฺฐา ปพฺพาเชสิฯ โส ทุพฺภิเสนํ นาม โกสลราชานํ อุปฎฺฐหโนฺตติ สพฺพํ มหาสีลวชาตเก (ชา. ๑.๑.๕๑) กถิตเมวฯ อิธ ปน ทุพฺภิเสโน มหาตเล อมจฺจมเชฺฌ นิสินฺนํ พาราณสิราชานํ คณฺหาเปตฺวา สิกฺกาย ปกฺขิปาเปตฺวา อุตฺตรุมฺมาเร เหฎฺฐาสีสกํ โอลมฺพาเปสิฯ ราชา โจรราชานํ อารพฺภ เมตฺตํ ภาเวตฺวา กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ฌานํ นิพฺพเตฺตสิ, พนฺธนํ ฉิชฺชิ, ตโต ราชา อากาเส ปลฺลเงฺกน นิสีทิฯ โจรราชสฺส สรีเร ทาโห อุปฺปชฺชิ, ‘‘ฑยฺหามิ ฑยฺหามี’’ติ ภูมิยํ อปราปรํ ปริวตฺตติฯ ‘‘กิเมต’’นฺติ วุเตฺต ‘‘มหาราช, ตุเมฺห เอวรูปํ ธมฺมิกราชานํ นิรปราธํ ทฺวารสฺส อุตฺตรุมฺมาเร เหฎฺฐาสีสกํ โอลมฺพาเปถา’’ติ วทิํสุฯ เตน หิ เวเคน คนฺตฺวา โมเจถ นนฺติฯ ปุริสา คนฺตฺวา ราชานํ อากาเส ปลฺลเงฺกน นิสินฺนํ ทิสฺวา อาคนฺตฺวา ทุพฺภิเสนสฺส อาโรเจสุํฯ โส เวเคน คนฺตฺวา ตํ วนฺทิตฺวา ขมาเปตุํ ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasirañño upaṭṭhāko amacco rājantepure dubbhi. Rājā paccakkhatova tassa dosaṃ disvā taṃ raṭṭhā pabbājesi. So dubbhisenaṃ nāma kosalarājānaṃ upaṭṭhahantoti sabbaṃ mahāsīlavajātake (jā. 1.1.51) kathitameva. Idha pana dubbhiseno mahātale amaccamajjhe nisinnaṃ bārāṇasirājānaṃ gaṇhāpetvā sikkāya pakkhipāpetvā uttarummāre heṭṭhāsīsakaṃ olambāpesi. Rājā corarājānaṃ ārabbha mettaṃ bhāvetvā kasiṇaparikammaṃ katvā jhānaṃ nibbattesi, bandhanaṃ chijji, tato rājā ākāse pallaṅkena nisīdi. Corarājassa sarīre dāho uppajji, ‘‘ḍayhāmi ḍayhāmī’’ti bhūmiyaṃ aparāparaṃ parivattati. ‘‘Kimeta’’nti vutte ‘‘mahārāja, tumhe evarūpaṃ dhammikarājānaṃ niraparādhaṃ dvārassa uttarummāre heṭṭhāsīsakaṃ olambāpethā’’ti vadiṃsu. Tena hi vegena gantvā mocetha nanti. Purisā gantvā rājānaṃ ākāse pallaṅkena nisinnaṃ disvā āgantvā dubbhisenassa ārocesuṃ. So vegena gantvā taṃ vanditvā khamāpetuṃ paṭhamaṃ gāthamāha –
๙.
9.
‘‘อนุตฺตเร กามคุเณ สมิเทฺธ, ภุตฺวาน ปุเพฺพ วสิ เอกราช;
‘‘Anuttare kāmaguṇe samiddhe, bhutvāna pubbe vasi ekarāja;
โสทานิ ทุเคฺค นรกมฺหิ ขิโตฺต, นปฺปชฺชเห วณฺณพลํ ปุราณ’’นฺติฯ
Sodāni dugge narakamhi khitto, nappajjahe vaṇṇabalaṃ purāṇa’’nti.
ตตฺถ วสีติ วุโตฺถฯ เอกราชาติ โพธิสตฺตํ นาเมนาลปติฯ โสทานีติ โส ตฺวํ อิทานิฯ ทุเคฺคติ วิสเมฯ นรกมฺหีติ อาวาเฎฯ โอลมฺพิตฎฺฐานํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ นปฺปชฺชเห วณฺณพลํ ปุราณนฺติ เอวรูเป วิสมฎฺฐาเน ขิโตฺตปิ โปราณกวณฺณญฺจ พลญฺจ นปฺปชหสีติ ปุจฺฉติฯ
Tattha vasīti vuttho. Ekarājāti bodhisattaṃ nāmenālapati. Sodānīti so tvaṃ idāni. Duggeti visame. Narakamhīti āvāṭe. Olambitaṭṭhānaṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Nappajjahe vaṇṇabalaṃ purāṇanti evarūpe visamaṭṭhāne khittopi porāṇakavaṇṇañca balañca nappajahasīti pucchati.
ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต เสสคาถา อโวจ –
Taṃ sutvā bodhisatto sesagāthā avoca –
๑๐.
10.
‘‘ปุเพฺพว ขนฺตี จ ตโป จ มยฺหํ, สมฺปตฺถิตา ทุพฺภิเสน อโหสิ;
‘‘Pubbeva khantī ca tapo ca mayhaṃ, sampatthitā dubbhisena ahosi;
ตํทานิ ลทฺธาน กถํ นุ ราช, ชเห อหํ วณฺณพลํ ปุราณํฯ
Taṃdāni laddhāna kathaṃ nu rāja, jahe ahaṃ vaṇṇabalaṃ purāṇaṃ.
๑๑.
11.
‘‘สพฺพา กิเรวํ ปรินิฎฺฐิตานิ, ยสสฺสินํ ปญฺญวนฺตํ วิสยฺห;
‘‘Sabbā kirevaṃ pariniṭṭhitāni, yasassinaṃ paññavantaṃ visayha;
ยโส จ ลทฺธา ปุริมํ อุฬารํ, นปฺปชฺชเห วณฺณพลํ ปุราณํฯ
Yaso ca laddhā purimaṃ uḷāraṃ, nappajjahe vaṇṇabalaṃ purāṇaṃ.
๑๒.
12.
‘‘ปนุชฺช ทุเกฺขน สุขํ ชนินฺท, สุเขน วา ทุกฺขมสยฺหสาหิ;
‘‘Panujja dukkhena sukhaṃ janinda, sukhena vā dukkhamasayhasāhi;
อุภยตฺถ สโนฺต อภินิพฺพุตตฺตา, สุเข จ ทุเกฺข จ ภวนฺติ ตุลฺยา’’ติฯ
Ubhayattha santo abhinibbutattā, sukhe ca dukkhe ca bhavanti tulyā’’ti.
ตตฺถ ขนฺตีติ อธิวาสนขนฺติฯ ตโปติ ตปจรณํฯ สมฺปตฺถิตาติ อิจฺฉิตา อภิกงฺขิตา ฯ ทุพฺภิเสนาติ ตํ นาเมนาลปติฯ ตํทานิ ลทฺธานาติ ตํ ปตฺถนํ อิทานาหํ ลภิตฺวาฯ ชเหติ เกน การเณน อหํ ชเหยฺยํฯ ยสฺส หิ ทุกฺขํ วา โทมนสฺสํ วา โหติ, โส ตํ ชเหยฺยาติ ทีเปติฯ
Tattha khantīti adhivāsanakhanti. Tapoti tapacaraṇaṃ. Sampatthitāti icchitā abhikaṅkhitā . Dubbhisenāti taṃ nāmenālapati. Taṃdāni laddhānāti taṃ patthanaṃ idānāhaṃ labhitvā. Jaheti kena kāraṇena ahaṃ jaheyyaṃ. Yassa hi dukkhaṃ vā domanassaṃ vā hoti, so taṃ jaheyyāti dīpeti.
‘‘สพฺพา กิเรวํ ปรินิฎฺฐิตานี’’ติ อนุสฺสววเสน อตฺตโน สมฺปตฺติํ ทเสฺสโนฺต อาห ฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สพฺพาเนว มม กตฺตพฺพกิจฺจานิ ทานสีลภาวนาอุโปสถกมฺมานิ ปุเพฺพว นิฎฺฐิตานีติฯ ยสสฺสินํ ปญฺญวนฺตํ วิสยฺหาติ ปริวารสมฺปตฺติยา ยสสฺสิ, ปญฺญาสมฺปทาย ปญฺญวนฺต, อสยฺหสาหิตาย วิสยฺหฯ เอวํ ตีณิเปตานิ อาลปนาเนวฯ นนฺติ ปเนตฺถ นิปาโต ฯ พฺยญฺชนสิลิฎฺฐตาวเสนนฺตการสฺส สานุนาสิกตา กตาติ ปเจฺจตพฺพาฯ ยโส จาติ ยสญฺจ, อยเมว วา ปาโฐฯ ลทฺธา ปุริมนฺติ ลภิตฺวา ปุริมํ ปุเพฺพ อลทฺธปุพฺพํฯ อุฬารนฺติ มหนฺตํฯ กิเลสวิกฺขมฺภนเมตฺตาภาวนาฌานุปฺปตฺติโย สนฺธาเยวมาหฯ นปฺปชฺชเหติ เอวรูปํ ยสํ ลทฺธา กิํการณา ปุราณวณฺณพลํ ชหิสฺสามีติ อโตฺถฯ
‘‘Sabbā kirevaṃ pariniṭṭhitānī’’ti anussavavasena attano sampattiṃ dassento āha . Idaṃ vuttaṃ hoti – sabbāneva mama kattabbakiccāni dānasīlabhāvanāuposathakammāni pubbeva niṭṭhitānīti. Yasassinaṃ paññavantaṃ visayhāti parivārasampattiyā yasassi, paññāsampadāya paññavanta, asayhasāhitāya visayha. Evaṃ tīṇipetāni ālapanāneva. Nanti panettha nipāto . Byañjanasiliṭṭhatāvasenantakārassa sānunāsikatā katāti paccetabbā. Yaso cāti yasañca, ayameva vā pāṭho. Laddhā purimanti labhitvā purimaṃ pubbe aladdhapubbaṃ. Uḷāranti mahantaṃ. Kilesavikkhambhanamettābhāvanājhānuppattiyo sandhāyevamāha. Nappajjaheti evarūpaṃ yasaṃ laddhā kiṃkāraṇā purāṇavaṇṇabalaṃ jahissāmīti attho.
ทุเกฺขนาติ ตยา อุปฺปาทิเตน นรกมฺหิ ขิปนทุเกฺขน มม รชฺชสุขํ ปนุทิตฺวาฯ สุเขน วา ทุกฺขนฺติ ฌานสุเขน วา ตํ ทุกฺขํ ปนุทิตฺวาฯ อุภยตฺถ สโนฺตติ เย สโนฺต โหนฺติ มาทิสา, เต ทฺวีสุปิ เอเตสุ โกฎฺฐาเสสุ อภินิพฺพุตสภาวา มชฺฌตฺตา สุเข จ ทุเกฺข จ ภวนฺติ ตุลฺยา, เอกสทิสา นิพฺพิการาว โหนฺตีติฯ
Dukkhenāti tayā uppāditena narakamhi khipanadukkhena mama rajjasukhaṃ panuditvā. Sukhena vā dukkhanti jhānasukhena vā taṃ dukkhaṃ panuditvā. Ubhayattha santoti ye santo honti mādisā, te dvīsupi etesu koṭṭhāsesu abhinibbutasabhāvā majjhattā sukhe ca dukkhe ca bhavanti tulyā, ekasadisā nibbikārāva hontīti.
อิทํ สุตฺวา ทุพฺภิเสโน โพธิสตฺตํ ขมาเปตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ รชฺชํ ตุเมฺหว กาเรถ, อหํ โว โจเร ปฎิพาหิสฺสามี’’ติ วตฺวา ตสฺส ทุฎฺฐามจฺจสฺส ราชาณํ กาเรตฺวา ปกฺกามิฯ โพธิสโตฺตปิ รชฺชํ อมจฺจานํ นิยฺยาเทตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ
Idaṃ sutvā dubbhiseno bodhisattaṃ khamāpetvā ‘‘tumhākaṃ rajjaṃ tumheva kāretha, ahaṃ vo core paṭibāhissāmī’’ti vatvā tassa duṭṭhāmaccassa rājāṇaṃ kāretvā pakkāmi. Bodhisattopi rajjaṃ amaccānaṃ niyyādetvā isipabbajjaṃ pabbajitvā brahmalokaparāyaṇo ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ทุพฺภิเสโน อานโนฺท อโหสิ, พาราณสิราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā dubbhiseno ānando ahosi, bārāṇasirājā pana ahameva ahosi’’nti.
เอกราชชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Ekarājajātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๐๓. เอกราชชาตกํ • 303. Ekarājajātakaṃ