Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā |
เอกูนสตฺตติทฺวิสตจตุกฺกกถาวณฺณนา
Ekūnasattatidvisatacatukkakathāvaṇṇanā
๕๙-๖๐. มตฺตนฺติ สุราทีหิ มตฺตํฯ อกฺขายิตนิมิตฺตา อิธ อุตฺตรปทโลเปน อกฺขายิตสเทฺทน วุตฺตาติ อาห ‘‘อกฺขายิตนิมิตฺต’’นฺติฯ ชาครนฺตินฺติอาทิ วิเสสนรหิตตฺตา ‘‘สุทฺธิกจตุกฺกานี’’ติ วุตฺตํฯ สมานาจริยกาเถราติ เอกาจริยสฺส อุเทฺทสเนฺตวาสิกาฯ คงฺคาย อปรภาโค อปรคงฺคํฯ วตเรติ ครหเตฺถ นิปาโตฯ เอวํ วินยครุกานนฺติ อิมินา อุปริ อุปติสฺสเตฺถเรน วุจฺจมานวินิจฺฉยสฺส ครุกรณียตาย การณํ วุตฺตํฯ สพฺพํ ปริยาทิยิตฺวาติ สพฺพํ ปาราชิกเขตฺตํ อนวเสสโต คเหตฺวาฯ ยทิ หิ สาวเสสํ กตฺวา ปญฺญเปยฺย, อลชฺชีนํ ตตฺถ เลเสน อชฺฌาจารโสโต ปวตฺตตีติ อาห ‘‘โสตํ ฉินฺทิตฺวา’’ติฯ สหเสยฺยาทิปณฺณตฺติวชฺชสิกฺขาปเทสุเยว (ปาจิ. ๔๙-๕๑) สาวเสสํ กตฺวาปิ ปญฺญาปนํ สมฺภวติ, น โลกวเชฺชสูติ อาห อิทญฺหีติอาทิฯ สหเสยฺยสิกฺขาปเท หิ (ปาจิ. ๔๙ อาทโย) กิญฺจาปิ เยภุยฺยจฺฉเนฺน เยภุยฺยปริจฺฉเนฺน เหฎฺฐิมปริเจฺฉทโต ปาจิตฺติยํ ทสฺสิตํ, อุปฑฺฒจฺฉเนฺน อุปฑฺฒปริจฺฉเนฺน ทุกฺกฎํ, ตถาปิ สาวเสสตฺตา ปญฺญตฺติยา เยภุยฺยจฺฉนฺนอุปฑฺฒปริจฺฉนฺนาทีสุปิ อฎฺฐกถายํ ปาจิตฺติยเมว ทสฺสิตํฯ อิธ ปน นิรวเสสตฺตา ปญฺญตฺติยา ภควตา ทสฺสิตํ เยภุเยฺยน อกฺขายิตนิมิตฺตโต เหฎฺฐา ปาราชิกเกฺขตฺตํ นตฺถิ, ถุลฺลจฺจยาทิเมว ตตฺถ ลพฺภติฯ
59-60.Mattanti surādīhi mattaṃ. Akkhāyitanimittā idha uttarapadalopena akkhāyitasaddena vuttāti āha ‘‘akkhāyitanimitta’’nti. Jāgarantintiādi visesanarahitattā ‘‘suddhikacatukkānī’’ti vuttaṃ. Samānācariyakātherāti ekācariyassa uddesantevāsikā. Gaṅgāya aparabhāgo aparagaṅgaṃ. Vatareti garahatthe nipāto. Evaṃ vinayagarukānanti iminā upari upatissattherena vuccamānavinicchayassa garukaraṇīyatāya kāraṇaṃ vuttaṃ. Sabbaṃ pariyādiyitvāti sabbaṃ pārājikakhettaṃ anavasesato gahetvā. Yadi hi sāvasesaṃ katvā paññapeyya, alajjīnaṃ tattha lesena ajjhācārasoto pavattatīti āha ‘‘sotaṃ chinditvā’’ti. Sahaseyyādipaṇṇattivajjasikkhāpadesuyeva (pāci. 49-51) sāvasesaṃ katvāpi paññāpanaṃ sambhavati, na lokavajjesūti āha idañhītiādi. Sahaseyyasikkhāpade hi (pāci. 49 ādayo) kiñcāpi yebhuyyacchanne yebhuyyaparicchanne heṭṭhimaparicchedato pācittiyaṃ dassitaṃ, upaḍḍhacchanne upaḍḍhaparicchanne dukkaṭaṃ, tathāpi sāvasesattā paññattiyā yebhuyyacchannaupaḍḍhaparicchannādīsupi aṭṭhakathāyaṃ pācittiyameva dassitaṃ. Idha pana niravasesattā paññattiyā bhagavatā dassitaṃ yebhuyyena akkhāyitanimittato heṭṭhā pārājikakkhettaṃ natthi, thullaccayādimeva tattha labbhati.
อุปติสฺสเตฺถเรน วุตฺตเสฺสว วินิจฺฉยสฺส อญฺญมฺปิ อุปตฺถมฺภการณํ ทเสฺสโนฺต อปิจาติอาทิมาหฯ นิมิเตฺต อปฺปมตฺติกาปิ มํสราชิ สเจ อวสิฎฺฐา โหติ, ตํ เยภุยฺยกฺขายิตเมว โหติ, ตโต ปรํ ปน สพฺพโส ขายิเต นิมิเตฺต ทุกฺกฎเมวาติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ตโต ปรํ ถุลฺลจฺจยํ นตฺถี’’ติฯ เกจิ ปเนตฺถ วจฺจมคฺคาทิํ จตฺตาโร โกฎฺฐาเส กตฺวา ‘‘เตสุ เทฺว โกฎฺฐาเส อติกฺกมฺม ยาว ตติยโกฎฺฐาสสฺส ปริโยสานา ขายิตํ เยภุยฺยกฺขายิตํ นาม, ตโต ปรํ ถุลฺลจฺจยํ นตฺถิ, ยาว จตุตฺถโกฎฺฐาสสฺส ปริโยสานา ขายิตํ, ตมฺปิ ทุกฺกฎวตฺถุเยวา’’ติ จ วทนฺติ, ตํ น ยุตฺตํฯ มตสรีรสฺมิํเยว เวทิตพฺพนฺติ มตํ เยภุเยฺยน อกฺขายิตนฺติอาทิวจนโต วุตฺตํฯ ยทิปิ นิมิตฺตนฺติอาทิ ชีวมานกสรีรเมว สนฺธาย วุตฺตํ ตเสฺสว อธิกตตฺตาฯ เตเนว มาติกาฎฺฐกถายํ (กงฺขา. อฎฺฐ. ปฐมปาราชิกวณฺณนา) ‘‘ชีวมานกสรีรสฺส วุตฺตปฺปกาเร มเคฺค สเจปิ ตจาทีนิ อนวเสเสตฺวา สพฺพโส ฉิเนฺน’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สพฺพโส ขายิตนฺติ นิมิตฺตมํสํ สพฺพํ ฉินฺนนฺติ อโตฺถฯ นิมิตฺตสณฺฐานนฺติ ฉินฺนมํสสฺส อโนฺต ยาว มุตฺตวตฺถิโกสา ฉิทฺทากาโร อพฺภนฺตรฉวิจมฺมมโตฺต อิตฺถินิมิตฺตากาโร, เตนาห ‘‘ปเวสนํ ชายตี’’ติฯ นิมิตฺตสณฺฐานํ ปน อนวเสเสตฺวาติ ปเวสนารหฉิทฺทากาเรน ฐิตอพฺภนฺตรมํสาทิํ อนวเสเสตฺวาฯ เอเตน ยาว ปเวโส ลพฺภติ, ตาว มโคฺคเยวาติ ทเสฺสติฯ นิมิตฺตโต ปติตาย มํสเปสิยาติ อิทํ นิมิตฺตสณฺฐานวิรหิตํ อพฺภนฺตรมํสขณฺฑํ สนฺธาย วุตฺตํฯ นิมิตฺตสณฺฐานํ อโกเปตฺวา สมนฺตโต ฉินฺทิตฺวา อุทฺธฎมํสเปสิยา ปน มตสรีเร เยภุเยฺยน อกฺขายิตนิมิเตฺต วิย อุปกฺกมนฺตสฺส ปาราชิกเมวฯ
Upatissattherena vuttasseva vinicchayassa aññampi upatthambhakāraṇaṃ dassento apicātiādimāha. Nimitte appamattikāpi maṃsarāji sace avasiṭṭhā hoti, taṃ yebhuyyakkhāyitameva hoti, tato paraṃ pana sabbaso khāyite nimitte dukkaṭamevāti dassento āha ‘‘tato paraṃ thullaccayaṃ natthī’’ti. Keci panettha vaccamaggādiṃ cattāro koṭṭhāse katvā ‘‘tesu dve koṭṭhāse atikkamma yāva tatiyakoṭṭhāsassa pariyosānā khāyitaṃ yebhuyyakkhāyitaṃ nāma, tato paraṃ thullaccayaṃ natthi, yāva catutthakoṭṭhāsassa pariyosānā khāyitaṃ, tampi dukkaṭavatthuyevā’’ti ca vadanti, taṃ na yuttaṃ. Matasarīrasmiṃyeva veditabbanti mataṃ yebhuyyena akkhāyitantiādivacanato vuttaṃ. Yadipi nimittantiādi jīvamānakasarīrameva sandhāya vuttaṃ tasseva adhikatattā. Teneva mātikāṭṭhakathāyaṃ (kaṅkhā. aṭṭha. paṭhamapārājikavaṇṇanā) ‘‘jīvamānakasarīrassa vuttappakāre magge sacepi tacādīni anavasesetvā sabbaso chinne’’tiādi vuttaṃ. Sabbaso khāyitanti nimittamaṃsaṃ sabbaṃ chinnanti attho. Nimittasaṇṭhānanti chinnamaṃsassa anto yāva muttavatthikosā chiddākāro abbhantarachavicammamatto itthinimittākāro, tenāha ‘‘pavesanaṃ jāyatī’’ti. Nimittasaṇṭhānaṃ pana anavasesetvāti pavesanārahachiddākārena ṭhitaabbhantaramaṃsādiṃ anavasesetvā. Etena yāva paveso labbhati, tāva maggoyevāti dasseti. Nimittato patitāya maṃsapesiyāti idaṃ nimittasaṇṭhānavirahitaṃ abbhantaramaṃsakhaṇḍaṃ sandhāya vuttaṃ. Nimittasaṇṭhānaṃ akopetvā samantato chinditvā uddhaṭamaṃsapesiyā pana matasarīre yebhuyyena akkhāyitanimitte viya upakkamantassa pārājikameva.
เอวํ ชีวมานกมนุสฺสสรีเร ลพฺภมานวิเสสํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ มตสรีเร ทเสฺสตุํ มตสรีเร ปนาติอาทิมาหฯ วตฺถิโกเสสูติ ปุริสานํ องฺคชาตโกสจเมฺมสุฯ ‘‘นวทฺวาโร มหาวโณ’’ติอาทิ (มิ. ป. ๒.๖.๑) วจนโต มนุสฺสานํ อกฺขินาสาทีนิ วณสเงฺขเปน ถุลฺลจฺจยเกฺขตฺตานีติ เตสุปิ ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตํ, เอวํ มนุสฺสานํ มตสรีเรปิ, เตนาห มเต อลฺลสรีเรติอาทิฯ ตตฺถ อลฺลสรีเรติ อกุถิตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ปาราชิกเกฺขเตฺตติ เยภุเยฺยน อกฺขายิตมฺปิ สนฺธาย วุตฺตํฯ ถุลฺลจฺจยเกฺขเตฺตติ อุปฑฺฒกฺขายิตาทิมฺปิ สนฺธาย วุตฺตํฯ เอตฺถ จ อกฺขินาสาทิถุลฺลจฺจยเกฺขเตฺตสุ เยภุเยฺยน อกฺขายิเตสุปิ ถุลฺลจฺจยํ, อุปฑฺฒกฺขายิตาทีสุ ทุกฺกฎนฺติ เวทิตพฺพํฯ สเพฺพสมฺปีติ ยถาวุตฺตหตฺถิอาทีหิ อเญฺญสํ ติรจฺฉานานํ สงฺคณฺหนตฺถํ วุตฺตํฯ ติรจฺฉานคตานํ อกฺขิกณฺณวเณสุ ทุกฺกฎํ ปน อฎฺฐกถาปฺปมาเณน คเหตพฺพํ, ‘‘อมเคฺคน อมคฺคํ ปเวเสติ, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (ปารา. ๖๖) หิ สามญฺญโต วุตฺตํ, น ปน มนุสฺสานนฺติ วิเสเสตฺวาฯ ยทิ หิ มนุสฺสานเญฺญว วเณสุ ถุลฺลจฺจยํ สิยา, หตฺถิอสฺสาทีนํ นาสวตฺถิโกเสสุปิ ปฎงฺคมุขมณฺฑูกสฺส มุขสณฺฐาเนปิ จ วณสเงฺขปโต ถุลฺลจฺจยํ น วตฺตพฺพํ สิยา, วุตฺตญฺจฯ ตสฺมา อฎฺฐกถาจริยา เอเวตฺถ ปมาณํฯ มตานํ ติรจฺฉานคตานนฺติ มตเกน สมฺพโนฺธฯ
Evaṃ jīvamānakamanussasarīre labbhamānavisesaṃ dassetvā idāni matasarīre dassetuṃ matasarīre panātiādimāha. Vatthikosesūti purisānaṃ aṅgajātakosacammesu. ‘‘Navadvāro mahāvaṇo’’tiādi (mi. pa. 2.6.1) vacanato manussānaṃ akkhināsādīni vaṇasaṅkhepena thullaccayakkhettānīti tesupi thullaccayaṃ vuttaṃ, evaṃ manussānaṃ matasarīrepi, tenāha mate allasarīretiādi. Tattha allasarīreti akuthitaṃ sandhāya vuttaṃ. Pārājikakkhetteti yebhuyyena akkhāyitampi sandhāya vuttaṃ. Thullaccayakkhetteti upaḍḍhakkhāyitādimpi sandhāya vuttaṃ. Ettha ca akkhināsādithullaccayakkhettesu yebhuyyena akkhāyitesupi thullaccayaṃ, upaḍḍhakkhāyitādīsu dukkaṭanti veditabbaṃ. Sabbesampīti yathāvuttahatthiādīhi aññesaṃ tiracchānānaṃ saṅgaṇhanatthaṃ vuttaṃ. Tiracchānagatānaṃ akkhikaṇṇavaṇesu dukkaṭaṃ pana aṭṭhakathāppamāṇena gahetabbaṃ, ‘‘amaggena amaggaṃ paveseti, āpatti thullaccayassā’’ti (pārā. 66) hi sāmaññato vuttaṃ, na pana manussānanti visesetvā. Yadi hi manussānaññeva vaṇesu thullaccayaṃ siyā, hatthiassādīnaṃ nāsavatthikosesupi paṭaṅgamukhamaṇḍūkassa mukhasaṇṭhānepi ca vaṇasaṅkhepato thullaccayaṃ na vattabbaṃ siyā, vuttañca. Tasmā aṭṭhakathācariyā evettha pamāṇaṃ. Matānaṃ tiracchānagatānanti matakena sambandho.
เมถุนราเคน วตฺถิโกสํ ปเวเสนฺตสฺส ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘วตฺถิโกสํ อปฺปเวเสโนฺต’’ติฯ เมถุนราโค จ นาม กายสํสคฺคราคํ โมจนสฺสาทญฺจ มุญฺจิตฺวา วิสุํ ทฺวยํทฺวยสมาปตฺติยา ราโค, โส จ ปุริสาทีสุปิ อุปฺปชฺชติ, เตน จ อปาราชิกเกฺขเตฺต อิตฺถิสรีเรปิ อุปกฺกมนฺตสฺส อสุจิมฺหิ มุเตฺตปิ สงฺฆาทิเสโส น โหติ, เขตฺตานุรูปํ ถุลฺลจฺจยทุกฺกฎเมว โหตีติ เวทิตพฺพํฯ อปฺปเวเสโนฺตติ อิมินา ตีสุ มเคฺคสุ ปเวสนาธิปฺปาเย อสติปิ เมถุนราเคน พหิ ฆฎฺฎนํ สมฺภวตีติ ทเสฺสติ, เตเนว ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตํ, อิตรถา ปเวสนาธิปฺปาเยน พหิ ฉุปนฺตสฺส เมถุนสฺส ปุพฺพปโยคตฺตา ทุกฺกฎเมว วตฺตพฺพํ สิยาฯ นิมิเตฺตน นิมิตฺตํ ฉุปติ ถุลฺลจฺจยนฺติ อิทญฺจ ‘‘น จ, ภิกฺขเว, รตฺตจิเตฺตน องฺคชาตํ ฉุปิตพฺพํ, โย ฉุเปยฺย, อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๕๒) อิมสฺส จมฺมกฺขนฺธเก อาคตสฺส สุตฺตสฺส วเสน วุตฺตํฯ ตตฺถ จ เกสญฺจิ อญฺญถาปิ อตฺถวิกปฺปสฺส พีชํ ทเสฺสโนฺต มหาอฎฺฐกถายํ ปนาติอาทิมาหฯ มุเขเนว ฉุปนํ สนฺธายาติ โอฎฺฐชิวฺหาทิมุขาวยเวน ฉุปนํ สนฺธายฯ โอฬาริกตฺตาติ อชฺฌาจารสฺส ถุลฺลตฺตาฯ ตํ สนฺธายภาสิตนฺติ ตํ ยถาวุตฺตสุตฺตํฯ สุตฺตญฺหิ อชฺฌาจารํ สนฺธาย ปฎิจฺจ วุตฺตตฺตา ‘‘สนฺธายภาสิต’’นฺติ วุจฺจติฯ สุฎฺฐุสลฺลเกฺขตฺวาติ ปิฎฺฐิํ อภิรุหนฺตานํ องฺคชาตมุเขเนว นิมิตฺตฉุปนสฺส สมฺภวํ เมถุนราคีนญฺจ องฺคชาเตน ฉุปนเสฺสว อนุรูปตญฺจ สุเตฺต จ ‘‘มุเขนา’’ติ อวุตฺตตญฺจ อญฺญญฺจ นยํ ยถาพลํ สุฎฺฐุ สลฺลเกฺขตฺวาติ อโตฺถฯ สงฺฆาทิเสโสติ มนุสฺสิตฺถิํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ปสฺสาวมคฺคนฺติ อิทํ จมฺมกฺขนฺธเก นิทานวเสน วุตฺตํฯ อิตรมคฺคทฺวยํ ปน นิมิตฺตมุเขน ฉุปนฺตสฺส วณสเงฺขเปน ถุลฺลจฺจยเมวฯ วุตฺตนเยเนวาติ เมถุนราเคเนวฯ นิมิตฺตมุเขน ปน วินา เมถุนราเคน มนุสฺสิตฺถิยา วา ติรจฺฉานคติตฺถิยา วา ปสฺสาวมคฺคํ ปกติมุเขน ฉุปนฺตสฺส ทุกฺกฎเมว ปกติมุเขน ปกติมุขฉุปเน วิย, อิตรถา ตตฺถาปิ ถุลฺลจฺจเยน ภวิตพฺพํ, ตญฺจ น ยุตฺตํ ขนฺธกสุเตฺตปิ ตถา อวุตฺตตฺตาฯ กายสํสคฺคราเคน ทุกฺกฎนฺติ นิมิตฺตมุเขน วา ปกติมุขาทิํ อิตรกาเยน วา กายสํสคฺคราเคน ฉุปนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวฯ
Methunarāgena vatthikosaṃ pavesentassa thullaccayaṃ vuttanti āha ‘‘vatthikosaṃ appavesento’’ti. Methunarāgo ca nāma kāyasaṃsaggarāgaṃ mocanassādañca muñcitvā visuṃ dvayaṃdvayasamāpattiyā rāgo, so ca purisādīsupi uppajjati, tena ca apārājikakkhette itthisarīrepi upakkamantassa asucimhi muttepi saṅghādiseso na hoti, khettānurūpaṃ thullaccayadukkaṭameva hotīti veditabbaṃ. Appavesentoti iminā tīsu maggesu pavesanādhippāye asatipi methunarāgena bahi ghaṭṭanaṃ sambhavatīti dasseti, teneva thullaccayaṃ vuttaṃ, itarathā pavesanādhippāyena bahi chupantassa methunassa pubbapayogattā dukkaṭameva vattabbaṃ siyā. Nimittena nimittaṃ chupati thullaccayanti idañca ‘‘na ca, bhikkhave, rattacittena aṅgajātaṃ chupitabbaṃ, yo chupeyya, āpatti thullaccayassā’’ti (mahāva. 252) imassa cammakkhandhake āgatassa suttassa vasena vuttaṃ. Tattha ca kesañci aññathāpi atthavikappassa bījaṃ dassento mahāaṭṭhakathāyaṃ panātiādimāha. Mukheneva chupanaṃ sandhāyāti oṭṭhajivhādimukhāvayavena chupanaṃ sandhāya. Oḷārikattāti ajjhācārassa thullattā. Taṃ sandhāyabhāsitanti taṃ yathāvuttasuttaṃ. Suttañhi ajjhācāraṃ sandhāya paṭicca vuttattā ‘‘sandhāyabhāsita’’nti vuccati. Suṭṭhusallakkhetvāti piṭṭhiṃ abhiruhantānaṃ aṅgajātamukheneva nimittachupanassa sambhavaṃ methunarāgīnañca aṅgajātena chupanasseva anurūpatañca sutte ca ‘‘mukhenā’’ti avuttatañca aññañca nayaṃ yathābalaṃ suṭṭhu sallakkhetvāti attho. Saṅghādisesoti manussitthiṃ sandhāya vuttaṃ. Passāvamagganti idaṃ cammakkhandhake nidānavasena vuttaṃ. Itaramaggadvayaṃ pana nimittamukhena chupantassa vaṇasaṅkhepena thullaccayameva. Vuttanayenevāti methunarāgeneva. Nimittamukhena pana vinā methunarāgena manussitthiyā vā tiracchānagatitthiyā vā passāvamaggaṃ pakatimukhena chupantassa dukkaṭameva pakatimukhena pakatimukhachupane viya, itarathā tatthāpi thullaccayena bhavitabbaṃ, tañca na yuttaṃ khandhakasuttepi tathā avuttattā. Kāyasaṃsaggarāgena dukkaṭanti nimittamukhena vā pakatimukhādiṃ itarakāyena vā kāyasaṃsaggarāgena chupantassa dukkaṭameva.
เอตฺถ จ กายสํสคฺคราเคน พหินิมิเตฺต อุปกฺกมโต อชานนฺตเสฺสว องฺคชาตํ ยทิ ปาราชิกเกฺขตฺตํ ฉุปติ, ตตฺถ กิํ โหตีติ? เกจิ ตาว ‘‘เมถุนราคสฺส อภาวา มนุสฺสิตฺถิยา สงฺฆาทิเสโส, เสเสสุ วตฺถุวเสน ถุลฺลจฺจยทุกฺกฎานี’’ติ วทนฺติฯ อเญฺญ ปน ‘‘ปเวสนกฺขเณ ผสฺสสฺส สาทิยนสมฺภวโต พลกฺกาเรน อุปกฺกมนกฺขเณ วิย ปาราชิกเมวา’’ติ วทนฺติ, อิทเมว ยุตฺตตรํฯ มคฺคตฺตยโต หิ อญฺญสฺมิํ ปเทเสเยว กายสํสคฺคาทิราคเภทโต อาปตฺติเภโท ลพฺภติ, น มคฺคตฺตเยฯ ตตฺถ ปน เยน เกนจิ อากาเรน ผสฺสสฺส สาทิยนกฺขเณ ปาราชิกเมว, เตเนว ปโรปกฺกเมน ปเวสนาทีสุ ราคเภทํ อนุทฺธริตฺวา สาทิยนมเตฺตน ปาราชิกํ วุตฺตํฯ
Ettha ca kāyasaṃsaggarāgena bahinimitte upakkamato ajānantasseva aṅgajātaṃ yadi pārājikakkhettaṃ chupati, tattha kiṃ hotīti? Keci tāva ‘‘methunarāgassa abhāvā manussitthiyā saṅghādiseso, sesesu vatthuvasena thullaccayadukkaṭānī’’ti vadanti. Aññe pana ‘‘pavesanakkhaṇe phassassa sādiyanasambhavato balakkārena upakkamanakkhaṇe viya pārājikamevā’’ti vadanti, idameva yuttataraṃ. Maggattayato hi aññasmiṃ padeseyeva kāyasaṃsaggādirāgabhedato āpattibhedo labbhati, na maggattaye. Tattha pana yena kenaci ākārena phassassa sādiyanakkhaṇe pārājikameva, teneva paropakkamena pavesanādīsu rāgabhedaṃ anuddharitvā sādiyanamattena pārājikaṃ vuttaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑. ปฐมปาราชิกํ • 1. Paṭhamapārājikaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / เอกูนสตฺตติทฺวิสตจตุกฺกกถาวณฺณนา • Ekūnasattatidvisatacatukkakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / เอกูนสตฺตติทฺวิสตจตุกฺกกถาวณฺณนา • Ekūnasattatidvisatacatukkakathāvaṇṇanā