Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๑. ปฐมเอตทคฺควโคฺค

    (14) 1. Paṭhamaetadaggavaggo

    เอตทคฺคปทวณฺณนา

    Etadaggapadavaṇṇanā

    ๑๘๘. เอตทเคฺคสุ ปฐมวคฺคสฺส ปฐเม เอตทคฺคนฺติ เอตํ อคฺคํฯ เอตฺถ จ อยํ อคฺคสโทฺท อาทิโกฎิโกฎฺฐาสเสเฎฺฐสุ ทิสฺสติฯ ‘‘อชฺชตเคฺค, สมฺม โทวาริก, อาวรามิ ทฺวารํ นิคณฺฐานํ นิคณฺฐีน’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๗๐) หิ อาทิมฺหิ ทิสฺสติฯ ‘‘เตเนว องฺคุลเคฺคน ตํ องฺคุลคฺคํ ปรามเสยฺย (กถา. ๔๔๑), อุจฺฉคฺคํ เวฬคฺค’’นฺติอาทีสุ โกฎิยํฯ ‘‘อมฺพิลคฺคํ วา มธุรคฺคํ วา ติตฺตกคฺคํ วา (สํ. นิ. ๕.๓๗๔), อนุชานามิ, ภิกฺขเว, วิหารเคฺคน วา ปริเวณเคฺคน วา ภาเชตุ’’นฺติอาทีสุ (จูฬว. ๓๑๘) โกฎฺฐาเสฯ ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, สตฺตา อปทา วา…เป.… ตถาคโต เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐) เสเฎฺฐฯ สฺวายมิธ โกฎิยมฺปิ วฎฺฎติ เสเฎฺฐปิฯ เต หิ เถรา อตฺตโน อตฺตโน ฐาเน โกฎิภูตาติปิ อคฺคา, เสฎฺฐภูตาติปิฯ ตสฺมา เอตทคฺคนฺติ เอสา โกฎิ เอโส เสโฎฺฐติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ เอเสว นโย สพฺพสุเตฺตสุฯ

    188. Etadaggesu paṭhamavaggassa paṭhame etadagganti etaṃ aggaṃ. Ettha ca ayaṃ aggasaddo ādikoṭikoṭṭhāsaseṭṭhesu dissati. ‘‘Ajjatagge, samma dovārika, āvarāmi dvāraṃ nigaṇṭhānaṃ nigaṇṭhīna’’ntiādīsu (ma. ni. 2.70) hi ādimhi dissati. ‘‘Teneva aṅgulaggena taṃ aṅgulaggaṃ parāmaseyya (kathā. 441), ucchaggaṃ veḷagga’’ntiādīsu koṭiyaṃ. ‘‘Ambilaggaṃ vā madhuraggaṃ vā tittakaggaṃ vā (saṃ. ni. 5.374), anujānāmi, bhikkhave, vihāraggena vā pariveṇaggena vā bhājetu’’ntiādīsu (cūḷava. 318) koṭṭhāse. ‘‘Yāvatā, bhikkhave, sattā apadā vā…pe… tathāgato tesaṃ aggamakkhāyatī’’tiādīsu (a. ni. 4.34; itivu. 90) seṭṭhe. Svāyamidha koṭiyampi vaṭṭati seṭṭhepi. Te hi therā attano attano ṭhāne koṭibhūtātipi aggā, seṭṭhabhūtātipi. Tasmā etadagganti esā koṭi eso seṭṭhoti ayamettha attho. Eseva nayo sabbasuttesu.

    อยญฺจ เอตทคฺคสนฺนิเกฺขโป นาม จตูหิ การเณหิ ลพฺภติ อฎฺฐุปฺปตฺติโต อาคมนโต จิณฺณวสิโต คุณาติเรกโตติฯ ตตฺถ โกจิ เถโร เอเกน การเณน เอตทคฺคฎฺฐานํ ลภติ, โกจิ ทฺวีหิ, โกจิ ตีหิ, โกจิ สเพฺพเหว จตูหิปิ อายสฺมา สาริปุตฺตเตฺถโร วิยฯ โส หิ อฎฺฐุปฺปตฺติโตปิ มหาปญฺญตาย เอตทคฺคฎฺฐานํ ลภิ อาคมนาทีหิปิฯ กถํ? เอกสฺมิํ หิ สมเย สตฺถา เชตวนมหาวิหาเร วิหรโนฺต กณฺฑมฺพรุกฺขมูเล ติตฺถิยมทฺทนํ ยมกปาฎิหาริยํ ทเสฺสตฺวา ‘‘กหํ นุ โข ปุริมพุทฺธา ยมกปาฎิหาริยํ กตฺวา วสฺสํ อุปคจฺฉนฺตี’’ติ อาวเชฺชโนฺต ‘‘ตาวติํสภวเน’’ติ ญตฺวา เทฺว ปทนฺตรานิ ทเสฺสตฺวา ตติเยน ปเทน ตาวติํสภวเน ปจฺจุฎฺฐาสิฯ สโกฺก เทวราชา ภควนฺตํ ทิสฺวา ปณฺฑุกมฺพลสิลาโต อุฎฺฐาย สทฺธิํ เทวคเณน ปจฺจุคฺคมนํ อคมาสิฯ เทวา จินฺตยิํสุ – ‘‘สโกฺก เทวราชา เทวคณปริวุโต สฎฺฐิโยชนายามาย ปณฺฑุกมฺพลสิลาย นิสีทิตฺวา สมฺปตฺติํ อนุภวติ, พุทฺธานํ นาม นิสินฺนกาลโต ปฎฺฐาย น สกฺกา อเญฺญน เอตฺถ หตฺถมฺปิ ฐเปตุ’’นฺติฯ สตฺถาปิ ตตฺถ นิสิโนฺน เตสํ จิตฺตาจารํ ญตฺวา มหาปํสุกูลิโก วิย มุณฺฑปีฐกํ สพฺพเมว ปณฺฑุกมฺพลสิลํ อวตฺถริตฺวา นิสีทิฯ เอวํ นิสีทโนฺต ปน อตฺตโน วา สรีรํ มหนฺตํ กตฺวา มาเปสิ, ปณฺฑุกมฺพลสิลํ วา ขุทฺทกํ อกาสีติ น สลฺลเกฺขตพฺพํฯ อจิเนฺตโยฺย หิ พุทฺธวิสโยฯ เอวํ นิสิโนฺน ปน มาตรํ กายสกฺขิํ กตฺวา ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตานํ ‘‘กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา’’ติ อภิธมฺมปิฎกํ เทเสสิฯ

    Ayañca etadaggasannikkhepo nāma catūhi kāraṇehi labbhati aṭṭhuppattito āgamanato ciṇṇavasito guṇātirekatoti. Tattha koci thero ekena kāraṇena etadaggaṭṭhānaṃ labhati, koci dvīhi, koci tīhi, koci sabbeheva catūhipi āyasmā sāriputtatthero viya. So hi aṭṭhuppattitopi mahāpaññatāya etadaggaṭṭhānaṃ labhi āgamanādīhipi. Kathaṃ? Ekasmiṃ hi samaye satthā jetavanamahāvihāre viharanto kaṇḍambarukkhamūle titthiyamaddanaṃ yamakapāṭihāriyaṃ dassetvā ‘‘kahaṃ nu kho purimabuddhā yamakapāṭihāriyaṃ katvā vassaṃ upagacchantī’’ti āvajjento ‘‘tāvatiṃsabhavane’’ti ñatvā dve padantarāni dassetvā tatiyena padena tāvatiṃsabhavane paccuṭṭhāsi. Sakko devarājā bhagavantaṃ disvā paṇḍukambalasilāto uṭṭhāya saddhiṃ devagaṇena paccuggamanaṃ agamāsi. Devā cintayiṃsu – ‘‘sakko devarājā devagaṇaparivuto saṭṭhiyojanāyāmāya paṇḍukambalasilāya nisīditvā sampattiṃ anubhavati, buddhānaṃ nāma nisinnakālato paṭṭhāya na sakkā aññena ettha hatthampi ṭhapetu’’nti. Satthāpi tattha nisinno tesaṃ cittācāraṃ ñatvā mahāpaṃsukūliko viya muṇḍapīṭhakaṃ sabbameva paṇḍukambalasilaṃ avattharitvā nisīdi. Evaṃ nisīdanto pana attano vā sarīraṃ mahantaṃ katvā māpesi, paṇḍukambalasilaṃ vā khuddakaṃ akāsīti na sallakkhetabbaṃ. Acinteyyo hi buddhavisayo. Evaṃ nisinno pana mātaraṃ kāyasakkhiṃ katvā dasasahassacakkavāḷadevatānaṃ ‘‘kusalā dhammā akusalā dhammā abyākatā dhammā’’ti abhidhammapiṭakaṃ desesi.

    ปาฎิหาริยฎฺฐาเนปิ สพฺพาปิ ทฺวาทสโยชนิกา ปริสา อนุรุทฺธเตฺถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘กหํ, ภเนฺต, ทสพโล คโต’’ติ ปุจฺฉิฯ ตาวติํสภวเน ปณฺฑุกมฺพลสิลายํ วสฺสํ อุปคนฺตฺวา อภิธมฺมกถํ เทเสตุํ คโตติฯ ภเนฺต, น มยํ สตฺถารํ อทิสฺวา คมิสฺสามฯ กทา สตฺถา อาคมิสฺสตีติ สตฺถุ อาคมนกาลํ ชานาถาติ? มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรสฺส ภารํ กโรถ, โส พุทฺธานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา สาสนํ อาหริสฺสตีติฯ กิํ ปน เถรสฺส ตตฺถ คนฺตุํ พลํ นตฺถีติ? อตฺถิ, วิเสสวนฺตานํ ปน วิเสสํ ปสฺสนฺตูติ เอวมาหฯ มหาชโน มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรํ อุปสงฺกมิตฺวา สตฺถุ สาสนํ คเหตฺวา อาคมนตฺถาย ยาจิฯ เถโร ปสฺสเนฺตเยว มหาชเน ปถวิยํ นิมุชฺชิตฺวา อโนฺตสิเนรุนา คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อาห – ‘‘ภเนฺต, มหาชโน ตุมฺหากํ ทสฺสนกาโม, อาคมนทิวสํ โว ชานิตุํ อิจฺฉตี’’ติฯ เตน หิ ‘‘อิโต เตมาสจฺจเยน สงฺกสฺสนครทฺวาเร ปสฺสถา’’ติสฺส วเทหีติฯ เถโร ภควโต สาสนํ อาหริตฺวา มหาชนสฺส กเถสิฯ มหาชโน ตเตฺถว เตมาสํ ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา วสิฯ จูฬอนาถปิณฺฑิโก ทฺวาทสโยชนาย ปริสาย เตมาสํ ยาคุภตฺตํ อาทาสิฯ

    Pāṭihāriyaṭṭhānepi sabbāpi dvādasayojanikā parisā anuruddhattheraṃ upasaṅkamitvā ‘‘kahaṃ, bhante, dasabalo gato’’ti pucchi. Tāvatiṃsabhavane paṇḍukambalasilāyaṃ vassaṃ upagantvā abhidhammakathaṃ desetuṃ gatoti. Bhante, na mayaṃ satthāraṃ adisvā gamissāma. Kadā satthā āgamissatīti satthu āgamanakālaṃ jānāthāti? Mahāmoggallānattherassa bhāraṃ karotha, so buddhānaṃ santikaṃ gantvā sāsanaṃ āharissatīti. Kiṃ pana therassa tattha gantuṃ balaṃ natthīti? Atthi, visesavantānaṃ pana visesaṃ passantūti evamāha. Mahājano mahāmoggallānattheraṃ upasaṅkamitvā satthu sāsanaṃ gahetvā āgamanatthāya yāci. Thero passanteyeva mahājane pathaviyaṃ nimujjitvā antosinerunā gantvā satthāraṃ vanditvā āha – ‘‘bhante, mahājano tumhākaṃ dassanakāmo, āgamanadivasaṃ vo jānituṃ icchatī’’ti. Tena hi ‘‘ito temāsaccayena saṅkassanagaradvāre passathā’’tissa vadehīti. Thero bhagavato sāsanaṃ āharitvā mahājanassa kathesi. Mahājano tattheva temāsaṃ khandhāvāraṃ bandhitvā vasi. Cūḷaanāthapiṇḍiko dvādasayojanāya parisāya temāsaṃ yāgubhattaṃ ādāsi.

    สตฺถาปิ สตฺตปฺปกรณานิ เทเสตฺวา มนุสฺสโลกํ อาคมนตฺถาย อากปฺปํ ทเสฺสสิฯ สโกฺก เทวราชา วิสฺสกมฺมํ อามเนฺตตฺวา ตถาคตสฺส โอตรณตฺถาย โสปานํ มาเปตุํ อาณาเปสิฯ โส เอกโต โสวณฺณมยํ เอกโต รชตมยํ โสปานํ มาเปตฺวา มเชฺฌ มณิมยํ มาเปสิฯ สตฺถา มณิมเย โสปาเน ฐตฺวา ‘‘มหาชโน มํ ปสฺสตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ อตฺตโน อานุภาเวเนว ‘‘มหาชโน อวีจิมหานิรยํ ปสฺสตู’’ติปิ อธิฎฺฐาสิฯ นิรยทสฺสเนน จสฺส อุปฺปนฺนสํเวคตํ ญตฺวา เทวโลกํ ทเสฺสสิฯ อถสฺส โอตรนฺตสฺส มหาพฺรหฺมา ฉตฺตํ ธาเรสิ, สโกฺก เทวราชา ปตฺตํ คณฺหิ, สุยาโม เทวราชา ทิพฺพํ วาฬพีชนิํ พีชิ, ปญฺจสิโข คนฺธพฺพเทวปุโตฺต เพลุวปณฺฑุวีณํ สมปญฺญาสาย มุจฺฉนาหิ มุจฺฉิตฺวา วาเทโนฺต ปุรโต โอตริฯ พุทฺธานํ ปถวิยํ ปติฎฺฐิตกาเล ‘‘อหํ ปฐมํ วนฺทิสฺสามิ, อหํ ปฐมํ วนฺทิสฺสามี’’ติ มหาชโน อฎฺฐาสิฯ สห มหาปถวีอกฺกมเนน ปน ภควโต เนว มหาชโน น อสีติมหาสาวกา ปฐมกวนฺทนํ สมฺปาปุณิํสุ, ธมฺมเสนาปติ สาริปุตฺตเตฺถโรเยว ปน สมฺปาปุณิฯ

    Satthāpi sattappakaraṇāni desetvā manussalokaṃ āgamanatthāya ākappaṃ dassesi. Sakko devarājā vissakammaṃ āmantetvā tathāgatassa otaraṇatthāya sopānaṃ māpetuṃ āṇāpesi. So ekato sovaṇṇamayaṃ ekato rajatamayaṃ sopānaṃ māpetvā majjhe maṇimayaṃ māpesi. Satthā maṇimaye sopāne ṭhatvā ‘‘mahājano maṃ passatū’’ti adhiṭṭhāsi. Attano ānubhāveneva ‘‘mahājano avīcimahānirayaṃ passatū’’tipi adhiṭṭhāsi. Nirayadassanena cassa uppannasaṃvegataṃ ñatvā devalokaṃ dassesi. Athassa otarantassa mahābrahmā chattaṃ dhāresi, sakko devarājā pattaṃ gaṇhi, suyāmo devarājā dibbaṃ vāḷabījaniṃ bīji, pañcasikho gandhabbadevaputto beluvapaṇḍuvīṇaṃ samapaññāsāya mucchanāhi mucchitvā vādento purato otari. Buddhānaṃ pathaviyaṃ patiṭṭhitakāle ‘‘ahaṃ paṭhamaṃ vandissāmi, ahaṃ paṭhamaṃ vandissāmī’’ti mahājano aṭṭhāsi. Saha mahāpathavīakkamanena pana bhagavato neva mahājano na asītimahāsāvakā paṭhamakavandanaṃ sampāpuṇiṃsu, dhammasenāpati sāriputtattheroyeva pana sampāpuṇi.

    อถ สตฺถา ทฺวาทสโยชนาย ปริสาย อนฺตเร ‘‘เถรสฺส ปญฺญานุภาวํ ชานนฺตู’’ติ ปุถุชฺชนปญฺจกํ ปญฺหํ อารภิฯ ปฐมํ โลกิยมหาชโน สลฺลเกฺขสฺสตีติ ปุถุชฺชนปญฺหํ ปุจฺฉิฯ เย เย สลฺลกฺขิํสุ, เต เต กถยิํสุฯ ทุติยํ ปุถุชฺชนวิสยํ อติกฺกมิตฺวา โสตาปตฺติมเคฺค ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ ปุถุชฺชนา ตุณฺหี อเหสุํ, โสตาปนฺนาว กถยิํสุฯ ตโต โสตาปนฺนานํ วิสยํ อติกฺกมิตฺวา สกทาคามิมเคฺค ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ โสตาปนฺนา ตุณฺหี อเหสุํ, สกทาคามิโนว กถยิํสุฯ เตสมฺปิ วิสยํ อติกฺกมิตฺวา อนาคามิมเคฺค ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ สกทาคามิโน ตุณฺหี อเหสุํ, อนาคามิโนว กถยิํสุฯ เตสมฺปิ วิสยํ อติกฺกมิตฺวา อรหตฺตมเคฺค ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ อนาคามิโน ตุณฺหี อเหสุํ, อรหนฺตาว กถยิํสุฯ ตโต เหฎฺฐิมโกฎิโต ปฎฺฐาย อภิญฺญาเต อภิญฺญาเต สาวเก ปุจฺฉิ, เต อตฺตโน อตฺตโน ปฎิสมฺภิทาวิสเย ฐตฺวา กถยิํสุฯ อถ มหาโมคฺคลฺลานํ ปุจฺฉิ , เสสสาวกา ตุณฺหี อเหสุํ, เถโรว กเถสิฯ ตสฺสาปิ วิสยํ อติกฺกมิตฺวา สาริปุตฺตเตฺถรสฺส วิสเย ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ มหาโมคฺคลฺลาโน ตุณฺหี อโหสิ, สาริปุตฺตเตฺถโรว กเถสิฯ เถรสฺสาปิ วิสยํ อติกฺกมิตฺวา พุทฺธวิสเย ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ ธมฺมเสนาปติ อาวเชฺชโนฺตปิ ปสฺสิตุํ น สโกฺกติ, ปุรตฺถิมปจฺฉิมุตฺตรทกฺขิณา จตโสฺส ทิสา จตโสฺส อนุทิสาติ อิโต จิโต จ โอโลเกโนฺต ปญฺหุปฺปตฺติฎฺฐานํ สลฺลเกฺขตุํ นาสกฺขิฯ

    Atha satthā dvādasayojanāya parisāya antare ‘‘therassa paññānubhāvaṃ jānantū’’ti puthujjanapañcakaṃ pañhaṃ ārabhi. Paṭhamaṃ lokiyamahājano sallakkhessatīti puthujjanapañhaṃ pucchi. Ye ye sallakkhiṃsu, te te kathayiṃsu. Dutiyaṃ puthujjanavisayaṃ atikkamitvā sotāpattimagge pañhaṃ pucchi. Puthujjanā tuṇhī ahesuṃ, sotāpannāva kathayiṃsu. Tato sotāpannānaṃ visayaṃ atikkamitvā sakadāgāmimagge pañhaṃ pucchi. Sotāpannā tuṇhī ahesuṃ, sakadāgāminova kathayiṃsu. Tesampi visayaṃ atikkamitvā anāgāmimagge pañhaṃ pucchi. Sakadāgāmino tuṇhī ahesuṃ, anāgāminova kathayiṃsu. Tesampi visayaṃ atikkamitvā arahattamagge pañhaṃ pucchi. Anāgāmino tuṇhī ahesuṃ, arahantāva kathayiṃsu. Tato heṭṭhimakoṭito paṭṭhāya abhiññāte abhiññāte sāvake pucchi, te attano attano paṭisambhidāvisaye ṭhatvā kathayiṃsu. Atha mahāmoggallānaṃ pucchi , sesasāvakā tuṇhī ahesuṃ, therova kathesi. Tassāpi visayaṃ atikkamitvā sāriputtattherassa visaye pañhaṃ pucchi. Mahāmoggallāno tuṇhī ahosi, sāriputtattherova kathesi. Therassāpi visayaṃ atikkamitvā buddhavisaye pañhaṃ pucchi. Dhammasenāpati āvajjentopi passituṃ na sakkoti, puratthimapacchimuttaradakkhiṇā catasso disā catasso anudisāti ito cito ca olokento pañhuppattiṭṭhānaṃ sallakkhetuṃ nāsakkhi.

    สตฺถา เถรสฺส กิลมนภาวํ ชานิตฺวา ‘‘สาริปุโตฺต กิลมติ, นยมุขมสฺส ทเสฺสสฺสามี’’ติ ‘‘อาคเมหิ ตฺวํ, สาริปุตฺตา’’ติ วตฺวา ‘‘นายํ ตุยฺหํ วิสโย ปโญฺห, พุทฺธานํ เอส วิสโย สพฺพญฺญูนํ ยสสฺสีน’’นฺติ พุทฺธวิสยภาวํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘ภูตมิทนฺติ, สาริปุตฺต, สมนุปสฺสสี’’ติ อาหฯ เถโร ‘‘จตุมหาภูติกกายปริคฺคหํ เม ภควา อาจิกฺขตี’’ติ ญตฺวา ‘‘อญฺญาตํ ภควา, อญฺญาตํ สุคตา’’ติ อาหฯ เอตสฺมิํ ฐาเน อยํ กถา อุทปาทิ – มหาปโญฺญ วต, โภ, สาริปุตฺตเตฺถโร, ยตฺร หิ นาม สเพฺพหิ อนญฺญาตํ ปญฺหํ กเถสิ, พุเทฺธหิ จ ทินฺนนเย ฐตฺวา พุทฺธวิสเย ปญฺหํ กเถสิ, อิติ เถรสฺส ปญฺญานุภาโว ยตฺตกํ ฐานํ พุทฺธานํ กิตฺติสเทฺทน โอตฺถฎํ, สพฺพํ อโชฺฌตฺถริตฺวา คโตติ เอวํ ตาว เถโร อฎฺฐุปฺปตฺติโต มหาปญฺญตาย เอตทคฺคฎฺฐานํ ลภิฯ

    Satthā therassa kilamanabhāvaṃ jānitvā ‘‘sāriputto kilamati, nayamukhamassa dassessāmī’’ti ‘‘āgamehi tvaṃ, sāriputtā’’ti vatvā ‘‘nāyaṃ tuyhaṃ visayo pañho, buddhānaṃ esa visayo sabbaññūnaṃ yasassīna’’nti buddhavisayabhāvaṃ ācikkhitvā ‘‘bhūtamidanti, sāriputta, samanupassasī’’ti āha. Thero ‘‘catumahābhūtikakāyapariggahaṃ me bhagavā ācikkhatī’’ti ñatvā ‘‘aññātaṃ bhagavā, aññātaṃ sugatā’’ti āha. Etasmiṃ ṭhāne ayaṃ kathā udapādi – mahāpañño vata, bho, sāriputtatthero, yatra hi nāma sabbehi anaññātaṃ pañhaṃ kathesi, buddhehi ca dinnanaye ṭhatvā buddhavisaye pañhaṃ kathesi, iti therassa paññānubhāvo yattakaṃ ṭhānaṃ buddhānaṃ kittisaddena otthaṭaṃ, sabbaṃ ajjhottharitvā gatoti evaṃ tāva thero aṭṭhuppattito mahāpaññatāya etadaggaṭṭhānaṃ labhi.

    กถํ อาคมนโต? อิมิสฺสาเยว หิ อฎฺฐุปฺปตฺติยา สตฺถา อาห – สาริปุโตฺต น อิทาเนว ปญฺญวา, อตีเต ปญฺจ ชาติสตานิ อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวาปิ มหาปโญฺญว อโหสิ –

    Kathaṃ āgamanato? Imissāyeva hi aṭṭhuppattiyā satthā āha – sāriputto na idāneva paññavā, atīte pañca jātisatāni isipabbajjaṃ pabbajitvāpi mahāpaññova ahosi –

    ‘‘โย ปพฺพชี ชาติสตานิ ปญฺจ,

    ‘‘Yo pabbajī jātisatāni pañca,

    ปหาย กามานิ มโนรมานิ;

    Pahāya kāmāni manoramāni;

    ตํ วีตราคํ สุสมาหิตินฺทฺริยํ,

    Taṃ vītarāgaṃ susamāhitindriyaṃ,

    ปรินิพฺพุตํ วนฺทถ สาริปุตฺต’’นฺติฯ

    Parinibbutaṃ vandatha sāriputta’’nti.

    เอวํ ปพฺพชฺชํ อุปพฺรูหยมาโน เอกสฺมิํ สมเย พาราณสิยํ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพโตฺตฯ ตโย เวเท อุคฺคณฺหิตฺวา ตตฺถ สารํ อปสฺสโนฺต ‘‘ปพฺพชิตฺวา เอกํ โมกฺขธมฺมํ คเวสิตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ ตสฺมิํ กาเล โพธิสโตฺตปิ กาสิรเฎฺฐ อุทิจฺจพฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพโตฺต วุทฺธิมนฺวาย อุคฺคหิตสิโปฺป กาเมสุ อาทีนวํ เนกฺขเมฺม จ อานิสํสํ ทิสฺวา ฆราวาสํ ปหาย หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ปญฺจ อภิญฺญา อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา วนมูลผลาหาโร หิมวนฺตปฺปเทเส วสติฯ โสปิ มาณโว นิกฺขมิตฺวา ตเสฺสว สนฺติเก ปพฺพชิฯ ปริวาโร มหา อโหสิ ปญฺจสตมตฺตา อิสโยฯ

    Evaṃ pabbajjaṃ upabrūhayamāno ekasmiṃ samaye bārāṇasiyaṃ brāhmaṇakule nibbatto. Tayo vede uggaṇhitvā tattha sāraṃ apassanto ‘‘pabbajitvā ekaṃ mokkhadhammaṃ gavesituṃ vaṭṭatī’’ti cittaṃ uppādesi. Tasmiṃ kāle bodhisattopi kāsiraṭṭhe udiccabrāhmaṇamahāsālakule nibbatto vuddhimanvāya uggahitasippo kāmesu ādīnavaṃ nekkhamme ca ānisaṃsaṃ disvā gharāvāsaṃ pahāya himavantaṃ pavisitvā kasiṇaparikammaṃ katvā pañca abhiññā aṭṭha samāpattiyo nibbattetvā vanamūlaphalāhāro himavantappadese vasati. Sopi māṇavo nikkhamitvā tasseva santike pabbaji. Parivāro mahā ahosi pañcasatamattā isayo.

    อถสฺส โส เชฎฺฐเนฺตวาสิโก เอกเทสํ ปริสํ คเหตฺวา โลณมฺพิลเสวนตฺถํ มนุสฺสปถํ อคมาสิฯ ตสฺมิํ สมเย โพธิสโตฺต ตสฺมิํเยว หิมวนฺตปฺปเทเส กาลํ อกาสิฯ กาลกิริยสมเยว นํ อเนฺตวาสิกา สนฺนิปติตฺวา ปุจฺฉิํสุ – ‘‘อตฺถิ ตุเมฺหหิ โกจิ วิเสโส อธิคโต’’ติฯ โพธิสโตฺต ‘‘นตฺถิ กิญฺจี’’ติ วตฺวา อปริหีนชฺฌาโน อาภสฺสรพฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺตฯ โส กิญฺจาปิ อากิญฺจญฺญายตนสฺส ลาภี, โพธิสตฺตานํ ปน อรูปาวจเร ปฎิสนฺธิ นาม น โหติฯ กสฺมา? อภพฺพฎฺฐานตฺตาฯ อิติ โส อรูปสมาปตฺติลาภี สมาโนปิ รูปาวจเร นิพฺพตฺติฯ อเนฺตวาสิกาปิสฺส ‘‘อาจริโย ‘นตฺถิ กิญฺจี’ติ อาห, โมฆา ตสฺส กาลกิริยา’’ติ น กิญฺจิ สกฺการสมฺมานํ อกํสุฯ อถ โส เชฎฺฐเนฺตวาสิโก อติกฺกเนฺต วสฺสาวาเส อาคนฺตฺวา ‘‘กหํ อาจริโย’’ติ ปุจฺฉิฯ กาลํ กโตติฯ อปิ นุ อาจริเยน ลทฺธคุณํ ปุจฺฉิตฺถาติ? อาม ปุจฺฉิมฺหาติฯ กิํ วเทตีติ? นตฺถิ กิญฺจีติฯ มยมฺปิ ‘‘อาจริเยน ลทฺธคุโณ นาม นตฺถี’’ติ นาสฺส สกฺการสมฺมานํ กริมฺหาติฯ ตุเมฺห ภาสิตสฺส อตฺถํ น ชานิตฺถ, อาจริโย อากิญฺจญฺญายตนสฺส ลาภีติฯ

    Athassa so jeṭṭhantevāsiko ekadesaṃ parisaṃ gahetvā loṇambilasevanatthaṃ manussapathaṃ agamāsi. Tasmiṃ samaye bodhisatto tasmiṃyeva himavantappadese kālaṃ akāsi. Kālakiriyasamayeva naṃ antevāsikā sannipatitvā pucchiṃsu – ‘‘atthi tumhehi koci viseso adhigato’’ti. Bodhisatto ‘‘natthi kiñcī’’ti vatvā aparihīnajjhāno ābhassarabrahmaloke nibbatto. So kiñcāpi ākiñcaññāyatanassa lābhī, bodhisattānaṃ pana arūpāvacare paṭisandhi nāma na hoti. Kasmā? Abhabbaṭṭhānattā. Iti so arūpasamāpattilābhī samānopi rūpāvacare nibbatti. Antevāsikāpissa ‘‘ācariyo ‘natthi kiñcī’ti āha, moghā tassa kālakiriyā’’ti na kiñci sakkārasammānaṃ akaṃsu. Atha so jeṭṭhantevāsiko atikkante vassāvāse āgantvā ‘‘kahaṃ ācariyo’’ti pucchi. Kālaṃ katoti. Api nu ācariyena laddhaguṇaṃ pucchitthāti? Āma pucchimhāti. Kiṃ vadetīti? Natthi kiñcīti. Mayampi ‘‘ācariyena laddhaguṇo nāma natthī’’ti nāssa sakkārasammānaṃ karimhāti. Tumhe bhāsitassa atthaṃ na jānittha, ācariyo ākiñcaññāyatanassa lābhīti.

    อถ เต เชฎฺฐเนฺตวาสิกสฺส กถํ น สทฺทหิํสุฯ โส ปุนปฺปุนํ กเถโนฺตปิ สทฺทหาเปตุํ นาสกฺขิ ฯ อถ โพธิสโตฺต อาวชฺชมาโน ‘‘อนฺธพาโล มหาชโน มยฺหํ เชฎฺฐเนฺตวาสิกสฺส กถํ น คณฺหาติ, อิมํ การณํ ปากฎํ กริสฺสามี’’ติ พฺรหฺมโลกโต โอตริตฺวา อสฺสมปทมตฺถเก ฐิโต อากาสคโตว เชฎฺฐเนฺตวาสิกสฺส ปญฺญานุภาวํ วเณฺณตฺวา อิมํ คาถํ อภาสิ –

    Atha te jeṭṭhantevāsikassa kathaṃ na saddahiṃsu. So punappunaṃ kathentopi saddahāpetuṃ nāsakkhi . Atha bodhisatto āvajjamāno ‘‘andhabālo mahājano mayhaṃ jeṭṭhantevāsikassa kathaṃ na gaṇhāti, imaṃ kāraṇaṃ pākaṭaṃ karissāmī’’ti brahmalokato otaritvā assamapadamatthake ṭhito ākāsagatova jeṭṭhantevāsikassa paññānubhāvaṃ vaṇṇetvā imaṃ gāthaṃ abhāsi –

    ‘‘ปโรสหสฺสมฺปิ สมาคตานํ,

    ‘‘Parosahassampi samāgatānaṃ,

    กเนฺทยฺยุํ เต วสฺสสตํ อปญฺญา;

    Kandeyyuṃ te vassasataṃ apaññā;

    เอโกว เสโยฺย ปุริโส สปโญฺญ,

    Ekova seyyo puriso sapañño,

    โย ภาสิตสฺส วิชานาติ อตฺถ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑.๑๐๑);

    Yo bhāsitassa vijānāti attha’’nti. (jā. 1.1.101);

    เอวํ อิสิคณํ สญฺญาเปตฺวา โพธิสโตฺต พฺรหฺมโลกเมว คโตฯ เสสอิสิคโณปิ อปริหีนชฺฌาโน หุตฺวา กาลํ กตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ ชาโตฯ ตตฺถ โพธิสโตฺต สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต, เชฎฺฐเนฺตวาสิโก สาริปุตฺตเตฺถโร ชาโต, เสสา อิสโย พุทฺธปริสา ชาตาติ เอวํ อตีเตปิ สาริปุโตฺต มหาปโญฺญว สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ ชานิตุํ สมโตฺถติ เวทิตโพฺพฯ

    Evaṃ isigaṇaṃ saññāpetvā bodhisatto brahmalokameva gato. Sesaisigaṇopi aparihīnajjhāno hutvā kālaṃ katvā brahmalokaparāyaṇo jāto. Tattha bodhisatto sabbaññutaṃ patto, jeṭṭhantevāsiko sāriputtatthero jāto, sesā isayo buddhaparisā jātāti evaṃ atītepi sāriputto mahāpaññova saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ jānituṃ samatthoti veditabbo.

    อิทเมว จ ปุถุชฺชนปญฺจกํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา –

    Idameva ca puthujjanapañcakaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā –

    ‘‘ปโรสตเญฺจปิ สมาคตานํ,

    ‘‘Parosatañcepi samāgatānaṃ,

    ฌาเยยฺยุํ เต วสฺสสตํ อปญฺญา;

    Jhāyeyyuṃ te vassasataṃ apaññā;

    เอโกว เสโยฺย ปุริโส สปโญฺญ,

    Ekova seyyo puriso sapañño,

    โส ภาสิตสฺส วิชานาติ อตฺถ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑.๑๐๑) –

    So bhāsitassa vijānāti attha’’nti. (jā. 1.1.101) –

    อิมมฺปิ ชาตกํ กเถสิฯ ตสฺส ปุริมชาตเก วุตฺตนเยเนว อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Imampi jātakaṃ kathesi. Tassa purimajātake vuttanayeneva attho veditabbo.

    อปรมฺปิ อิทเมว ปุถุชฺชนปญฺจกํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา –

    Aparampi idameva puthujjanapañcakaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā –

    ‘‘เย สญฺญิโน เตปิ ทุคฺคตา, เยปิ อสญฺญิโน เตปิ ทุคฺคตา;

    ‘‘Ye saññino tepi duggatā, yepi asaññino tepi duggatā;

    เอตํ อุภยํ วิวชฺชย, ตํ สมาปตฺติสุขํ อนงฺคณ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑.๑๓๔) –

    Etaṃ ubhayaṃ vivajjaya, taṃ samāpattisukhaṃ anaṅgaṇa’’nti. (jā. 1.1.134) –

    อิมํ อนงฺคณชาตกํ กเถสิฯ เอตฺถ จ อาจริโย กาลํ กโรโนฺต อเนฺตวาสิเกหิ ปุจฺฉิโต ‘‘เนวสญฺญี นาสญฺญี’’ติ อาหฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Imaṃ anaṅgaṇajātakaṃ kathesi. Ettha ca ācariyo kālaṃ karonto antevāsikehi pucchito ‘‘nevasaññī nāsaññī’’ti āha. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ.

    อปรมฺปิ อิทเมว ปุถุชฺชนปญฺจกํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา –

    Aparampi idameva puthujjanapañcakaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā –

    ‘‘จนฺทาภํ สูริยาภญฺจ, โยธ ปญฺญาย คาธติ;

    ‘‘Candābhaṃ sūriyābhañca, yodha paññāya gādhati;

    อวิตเกฺกน ฌาเนน, โหติ อาภสฺสรูปโค’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๑๓๕) –

    Avitakkena jhānena, hoti ābhassarūpago’’ti. (jā. 1.1.135) –

    อิทํ จนฺทาภชาตกํ กเถสิฯ เอตฺถาปิ อาจริโย กาลํ กโรโนฺต อเนฺตวาสิเกหิ ปุจฺฉิโต ‘‘โอทาตกสิณํ จนฺทาภํ นาม, ปีตกสิณํ สูริยาภํ นามาติ ตํ อุภยํ โย ปญฺญาย คาธติ ปวิสติ ปกฺขนฺทติ, โส อวิตเกฺกน ทุติยชฺฌาเนน อาภสฺสรูปโค โหติ, ตาทิโส อห’’นฺติ สนฺธาย – ‘‘จนฺทาภํ สูริยาภ’’นฺติ อาหฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Idaṃ candābhajātakaṃ kathesi. Etthāpi ācariyo kālaṃ karonto antevāsikehi pucchito ‘‘odātakasiṇaṃ candābhaṃ nāma, pītakasiṇaṃ sūriyābhaṃ nāmāti taṃ ubhayaṃ yo paññāya gādhati pavisati pakkhandati, so avitakkena dutiyajjhānena ābhassarūpago hoti, tādiso aha’’nti sandhāya – ‘‘candābhaṃ sūriyābha’’nti āha. Sesaṃ purimanayeneva veditabbaṃ.

    อิทเมว จ ปุถุชฺชนปญฺจกํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา –

    Idameva ca puthujjanapañcakaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā –

    ‘‘อาสีเสเถว ปุริโส, น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโต;

    ‘‘Āsīsetheva puriso, na nibbindeyya paṇḍito;

    ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, ยถา อิจฺฉิํ ตถา อหุฯ

    Passāmi vohaṃ attānaṃ, yathā icchiṃ tathā ahu.

    ‘‘อาสีเสเถว ปุริโส, น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโต;

    ‘‘Āsīsetheva puriso, na nibbindeyya paṇḍito;

    ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, อุทกา ถลมุพฺภตํฯ

    Passāmi vohaṃ attānaṃ, udakā thalamubbhataṃ.

    ‘‘วายเมเถว ปุริโส, น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโต;

    ‘‘Vāyametheva puriso, na nibbindeyya paṇḍito;

    ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, ยถา อิจฺฉิํ ตถา อหุฯ

    Passāmi vohaṃ attānaṃ, yathā icchiṃ tathā ahu.

    ‘‘วายเมเถว ปุริโส, น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโต;

    ‘‘Vāyametheva puriso, na nibbindeyya paṇḍito;

    ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, อุทกา ถลมุพฺภตํฯ

    Passāmi vohaṃ attānaṃ, udakā thalamubbhataṃ.

    ‘‘ทุกฺขูปนีโตปิ นโร สปโญฺญ,

    ‘‘Dukkhūpanītopi naro sapañño,

    อาสํ น ฉิเนฺทยฺย สุขาคมาย;

    Āsaṃ na chindeyya sukhāgamāya;

    พหู หิ ผสฺสา อหิตา หิตา จ,

    Bahū hi phassā ahitā hitā ca,

    อวิตกฺกิตา มจฺจมุปพฺพชนฺติฯ

    Avitakkitā maccamupabbajanti.

    ‘‘อจินฺติตมฺปิ ภวติ, จินฺติตมฺปิ วินสฺสติ;

    ‘‘Acintitampi bhavati, cintitampi vinassati;

    น หิ จินฺตามยา โภคา, อิตฺถิยา ปุริสสฺส วาฯ

    Na hi cintāmayā bhogā, itthiyā purisassa vā.

    ‘‘สรภํ คิริทุคฺคสฺมิํ, ยํ ตฺวํ อนุสรี ปุเร;

    ‘‘Sarabhaṃ giriduggasmiṃ, yaṃ tvaṃ anusarī pure;

    อลีนจิตฺตสฺส ตุวํ, วิกฺกนฺตมนุชีวสิฯ

    Alīnacittassa tuvaṃ, vikkantamanujīvasi.

    ‘‘โย ตํ วิทุคฺคา นรกา สมุทฺธริ,

    ‘‘Yo taṃ viduggā narakā samuddhari,

    สิลาย โยคฺคํ สรโภ กริตฺวา;

    Silāya yoggaṃ sarabho karitvā;

    ทุกฺขูปนีตํ มจฺจุมุขา ปโมจยิ,

    Dukkhūpanītaṃ maccumukhā pamocayi,

    อลีนจิตฺตํ ต มิคํ วเทสิฯ

    Alīnacittaṃ ta migaṃ vadesi.

    ‘‘กิํ ตฺวํ นุ ตเตฺถว ตทา อโหสิ,

    ‘‘Kiṃ tvaṃ nu tattheva tadā ahosi,

    อุทาหุ เต โกจิ นํ เอตทกฺขา;

    Udāhu te koci naṃ etadakkhā;

    วิวฎฺฎจฺฉโทฺท นุสิ สพฺพทสฺสี,

    Vivaṭṭacchaddo nusi sabbadassī,

    ญาณํ นุ เต พฺราหฺมณ ภิํสรูปํฯ

    Ñāṇaṃ nu te brāhmaṇa bhiṃsarūpaṃ.

    ‘‘น เจวหํ ตตฺถ ตทา อโหสิํ,

    ‘‘Na cevahaṃ tattha tadā ahosiṃ,

    น จาปิ เม โกจิ นํ เอตทกฺขา;

    Na cāpi me koci naṃ etadakkhā;

    คาถาปทานญฺจ สุภาสิตานํ,

    Gāthāpadānañca subhāsitānaṃ,

    อตฺถํ ตทาเนนฺติ ชนินฺท ธีรา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๓.๑๓๔-๑๔๓) –

    Atthaṃ tadānenti janinda dhīrā’’ti. (jā. 1.13.134-143) –

    อิมํ เตรสนิปาเต สรภชาตกญฺจ กเถสิฯ อิมานิ ปน ปญฺจปิ ชาตกานิ อตีเตปิ สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ มยฺหํ ปุโตฺต ชานาตีติ สตฺถารา ธมฺมเสนาปติสาริปุตฺตเตฺถรสฺส ปญฺญานุภาวปฺปกาสนตฺถเมว กถิตานีติ เอวํ อาคมนโตปิ เถโร มหาปญฺญตาย เอตทคฺคฎฺฐานํ ลภิฯ

    Imaṃ terasanipāte sarabhajātakañca kathesi. Imāni pana pañcapi jātakāni atītepi saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ mayhaṃ putto jānātīti satthārā dhammasenāpatisāriputtattherassa paññānubhāvappakāsanatthameva kathitānīti evaṃ āgamanatopi thero mahāpaññatāya etadaggaṭṭhānaṃ labhi.

    กถํ จิณฺณวสิโตติ? จิณฺณํ กิเรตํ เถรสฺส จตุปริสมเชฺฌ ธมฺมํ กเถโนฺต จตฺตาริ สจฺจานิ อมุญฺจิตฺวา กเถตีติ เอวํ จิณฺณวสิโตปิ เถโร มหาปญฺญตาย เอตทคฺคฎฺฐานํ ลภิฯ

    Kathaṃ ciṇṇavasitoti? Ciṇṇaṃ kiretaṃ therassa catuparisamajjhe dhammaṃ kathento cattāri saccāni amuñcitvā kathetīti evaṃ ciṇṇavasitopi thero mahāpaññatāya etadaggaṭṭhānaṃ labhi.

    กถํ คุณาติเรกโตติ? ฐเปตฺวา หิ ทสพลํ อโญฺญ โกจิ เอกสาวโกปิ มหาปญฺญตาย ธมฺมเสนาปตินา สทิโส นาม นตฺถีติ เอวํ คุณาติเรกโตปิ เถโร มหาปญฺญตาย เอตทคฺคฎฺฐานํ ลภิฯ

    Kathaṃ guṇātirekatoti? Ṭhapetvā hi dasabalaṃ añño koci ekasāvakopi mahāpaññatāya dhammasenāpatinā sadiso nāma natthīti evaṃ guṇātirekatopi thero mahāpaññatāya etadaggaṭṭhānaṃ labhi.

    ยถา จ สาริปุตฺตเตฺถโร, เอวํ มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโรปิ สเพฺพเหว จตูหิปิ อิเมหิ การเณหิ เอตทคฺคฎฺฐานํ ลภิฯ กถํ? เถโร หิ มหิทฺธิโก มหานุภาโว นโนฺทปนนฺทสทิสมฺปิ นาคราชานํ ทเมสีติ เอวํ ตาว อฎฺฐุปฺปตฺติโต ลภิฯ น ปเนส อิทาเนว มหิทฺธิโก มหานุภาโว, อตีเต ปญฺจ ชาติสตานิ อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิโตปิ มหิทฺธิโก มหานุภาโว อโหสีติฯ

    Yathā ca sāriputtatthero, evaṃ mahāmoggallānattheropi sabbeheva catūhipi imehi kāraṇehi etadaggaṭṭhānaṃ labhi. Kathaṃ? Thero hi mahiddhiko mahānubhāvo nandopanandasadisampi nāgarājānaṃ damesīti evaṃ tāva aṭṭhuppattito labhi. Na panesa idāneva mahiddhiko mahānubhāvo, atīte pañca jātisatāni isipabbajjaṃ pabbajitopi mahiddhiko mahānubhāvo ahosīti.

    ‘‘โย ปพฺพชี ชาติสตานิ ปญฺจ,

    ‘‘Yo pabbajī jātisatāni pañca,

    ปหาย กามานิ มโนรมานิ;

    Pahāya kāmāni manoramāni;

    ตํ วีตราคํ สุสมาหิตินฺทฺริยํ,

    Taṃ vītarāgaṃ susamāhitindriyaṃ,

    ปรินิพฺพุตํ วนฺทถ โมคฺคลฺลาน’’นฺติฯ –

    Parinibbutaṃ vandatha moggallāna’’nti. –

    เอวํ อาคมนโตปิ ลภิฯ จิณฺณํ เจตํ เถรสฺส นิรยํ คนฺตฺวา อตฺตโน อิทฺธิพเลน นิรยสตฺตานํ อสฺสาสชนนตฺถํ สีตํ อธิฎฺฐาย จกฺกมตฺตํ ปทุมํ มาเปตฺวา ปทุมกณฺณิกายํ นิสีทิตฺวา ธมฺมกถํ กเถติ, เทวโลกํ คนฺตฺวา เทวสงฺฆํ กมฺมคติํ ชานาเปตฺวา สจฺจกถํ กเถตีติ เอวํ จิณฺณวสิโต ลภิฯ ฐเปตฺวา จ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อโญฺญ สาวโก มหาโมคฺคลฺลาโน วิย มหิทฺธิโก มหานุภาโว นตฺถีติ เอวํ คุณาติเรกโต ลภิฯ

    Evaṃ āgamanatopi labhi. Ciṇṇaṃ cetaṃ therassa nirayaṃ gantvā attano iddhibalena nirayasattānaṃ assāsajananatthaṃ sītaṃ adhiṭṭhāya cakkamattaṃ padumaṃ māpetvā padumakaṇṇikāyaṃ nisīditvā dhammakathaṃ katheti, devalokaṃ gantvā devasaṅghaṃ kammagatiṃ jānāpetvā saccakathaṃ kathetīti evaṃ ciṇṇavasito labhi. Ṭhapetvā ca sammāsambuddhaṃ añño sāvako mahāmoggallāno viya mahiddhiko mahānubhāvo natthīti evaṃ guṇātirekato labhi.

    ยถา เจส, เอวํ มหากสฺสปเตฺถโรปิ สเพฺพเหวิเมหิ การเณหิ เอตทคฺคฎฺฐานํ ลภิฯ กถํ? สมฺมาสมฺพุโทฺธ หิ เถรสฺส ติคาวุตํ มคฺคํ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ตีหิ โอวาเทหิ อุปสมฺปาเทตฺวา จีวรํ ปริวเตฺตตฺวา อทาสิฯ ตสฺมิํ สมเย มหาปถวี อุทกปริยนฺตํ กตฺวา กมฺปิ, มหาชนสฺส อพฺภนฺตเร เถรสฺส กิตฺติสโทฺท อโชฺฌตฺถริตฺวา คโตฯ เอวํ อฎฺฐุปฺปตฺติโต ลภิฯ น เจส อิทาเนว ธุตธโร, อตีเต ปญฺจ ชาติสตานิ อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิโตปิ ธุตธโรว อโหสิฯ

    Yathā cesa, evaṃ mahākassapattheropi sabbehevimehi kāraṇehi etadaggaṭṭhānaṃ labhi. Kathaṃ? Sammāsambuddho hi therassa tigāvutaṃ maggaṃ paccuggamanaṃ katvā tīhi ovādehi upasampādetvā cīvaraṃ parivattetvā adāsi. Tasmiṃ samaye mahāpathavī udakapariyantaṃ katvā kampi, mahājanassa abbhantare therassa kittisaddo ajjhottharitvā gato. Evaṃ aṭṭhuppattito labhi. Na cesa idāneva dhutadharo, atīte pañca jātisatāni isipabbajjaṃ pabbajitopi dhutadharova ahosi.

    ‘‘โย ปพฺพชี ชาติสตานิ ปญฺจ,

    ‘‘Yo pabbajī jātisatāni pañca,

    ปหาย กามานิ มโนรมานิ;

    Pahāya kāmāni manoramāni;

    ตํ วีตราคํ สุสมาหิตินฺทฺริยํ,

    Taṃ vītarāgaṃ susamāhitindriyaṃ,

    ปรินิพฺพุตํ วนฺทถ มหากสฺสป’’นฺติฯ –

    Parinibbutaṃ vandatha mahākassapa’’nti. –

    เอวํ อาคมนโตปิ ลภิฯ จิณฺณํ เจตํ เถรสฺส จตุปริสมชฺฌคโต ธมฺมํ กเถโนฺต ทส กถาวตฺถูนิ อวิชหิตฺวาว กเถตีติ เอวํ จิณฺณวสิโต ลภิฯ ฐเปตฺวา จ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อโญฺญ สาวโก เตรสหิ ธุตคุเณหิ มหากสฺสปสทิโส นตฺถีติ เอวํ คุณาติเรกโต ลภิ ฯ อิมินาว นิยาเมน เตสํ เตสํ เถรานํ ยถาลาภโต คุเณ กิเตฺตตุํ วฎฺฎติฯ

    Evaṃ āgamanatopi labhi. Ciṇṇaṃ cetaṃ therassa catuparisamajjhagato dhammaṃ kathento dasa kathāvatthūni avijahitvāva kathetīti evaṃ ciṇṇavasito labhi. Ṭhapetvā ca sammāsambuddhaṃ añño sāvako terasahi dhutaguṇehi mahākassapasadiso natthīti evaṃ guṇātirekato labhi . Imināva niyāmena tesaṃ tesaṃ therānaṃ yathālābhato guṇe kittetuṃ vaṭṭati.

    คุณวเสเนว หิ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ยถา นาม ราชา จกฺกวตฺตี จกฺกรตนานุภาเวน จกฺกวาฬคเพฺภ รชฺชสิริํ ปตฺวา ‘‘ปตฺตพฺพํ เม ปตฺตํ, กิํ เม อิทานิ มหาชเนน โอโลกิเตนา’’ติ น อโปฺปสฺสุโกฺก หุตฺวา รชฺชสิริํเยว อนุโภติ, กาเลน ปน กาลํ วินิจฺฉยฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา นิคฺคเหตเพฺพ นิคฺคณฺหาติ, ปคฺคเหตเพฺพ ปคฺคณฺหาติ, ฐานนฺตเรสุ จ ฐเปตพฺพยุตฺตเก ฐานนฺตเรสุ ฐเปติ, เอวเมวํ มหาโพธิมเณฺฑ อธิคตสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส อานุภาเวน อนุปฺปตฺตธมฺมรโชฺช ธมฺมราชาปิ ‘‘กิํ เม อิทานิ โลเกน โอโลกิเตน, อนุตฺตรํ ผลสมาปตฺติสุขํ อนุภวิสฺสามี’’ติ อโปฺปสฺสุกฺกตํ อนาปชฺชิตฺวา จตุปริสมเชฺฌ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสิโนฺน อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ พฺรหฺมสฺสรํ นิจฺฉาเรตฺวา ธมฺมํ เทสยมาโน นิคฺคเหตพฺพยุเตฺต กณฺหธเมฺม ปุคฺคเล สิเนรุปาเท ปกฺขิปโนฺต วิย อปายภยสนฺตชฺชเนน นิคฺคเหตฺวา ปคฺคเหตพฺพยุเตฺต กลฺยาณธเมฺม ปุคฺคเล อุกฺขิปิตฺวา ภวเคฺค นิสีทาเปโนฺต วิย ปคฺคณฺหิตฺวา ฐานนฺตเรสุ ฐเปตพฺพยุตฺตเก อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถราทโย สาวเก ยาถาวสรสคุณวเสเนว ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ รตฺตญฺญูนํ, ยทิทํ อญฺญาสิโกณฺฑโญฺญติอาทิมาหฯ

    Guṇavaseneva hi sammāsambuddho yathā nāma rājā cakkavattī cakkaratanānubhāvena cakkavāḷagabbhe rajjasiriṃ patvā ‘‘pattabbaṃ me pattaṃ, kiṃ me idāni mahājanena olokitenā’’ti na appossukko hutvā rajjasiriṃyeva anubhoti, kālena pana kālaṃ vinicchayaṭṭhāne nisīditvā niggahetabbe niggaṇhāti, paggahetabbe paggaṇhāti, ṭhānantaresu ca ṭhapetabbayuttake ṭhānantaresu ṭhapeti, evamevaṃ mahābodhimaṇḍe adhigatassa sabbaññutaññāṇassa ānubhāvena anuppattadhammarajjo dhammarājāpi ‘‘kiṃ me idāni lokena olokitena, anuttaraṃ phalasamāpattisukhaṃ anubhavissāmī’’ti appossukkataṃ anāpajjitvā catuparisamajjhe paññattavarabuddhāsane nisinno aṭṭhaṅgasamannāgataṃ brahmassaraṃ nicchāretvā dhammaṃ desayamāno niggahetabbayutte kaṇhadhamme puggale sinerupāde pakkhipanto viya apāyabhayasantajjanena niggahetvā paggahetabbayutte kalyāṇadhamme puggale ukkhipitvā bhavagge nisīdāpento viya paggaṇhitvā ṭhānantaresu ṭhapetabbayuttake aññāsikoṇḍaññattherādayo sāvake yāthāvasarasaguṇavaseneva ṭhānantaresu ṭhapento etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ rattaññūnaṃ, yadidaṃ aññāsikoṇḍaññotiādimāha.

    อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถรวตฺถุ

    Aññāsikoṇḍaññattheravatthu

    ตตฺถ เอตทคฺคนฺติ ปทํ วุตฺตตฺถเมวฯ รตฺตญฺญูนนฺติ รตฺติโย ชานนฺตานํฯ ฐเปตฺวา หิ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อโญฺญ สาวโก อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถรโต ปฐมตรํ ปพฺพชิโต นาม นตฺถีติ ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย เถโร จิรกาลํ รตฺติโย ชานาตีติ รตฺตญฺญูฯ สพฺพปฐมํ ธมฺมสฺส ปฎิวิทฺธตฺตา ยทา เตน ธโมฺม ปฎิวิโทฺธ, จิรกาลโต ปฎฺฐาย ตํ รตฺติํ ชานาตีติปิ รตฺตญฺญูฯ อปิจ ขีณาสวานํ รตฺติทิวสปริเจฺฉโท ปากโฎว โหติ, อยญฺจ ปฐมขีณาสโวติ เอวมฺปิ รตฺตญฺญูนํ สาวกานํ อยเมว อโคฺค ปุริมโกฎิภูโต เสโฎฺฐฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘รตฺตญฺญูนํ ยทิทํ อญฺญาสิโกณฺฑโญฺญ’’ติฯ

    Tattha etadagganti padaṃ vuttatthameva. Rattaññūnanti rattiyo jānantānaṃ. Ṭhapetvā hi sammāsambuddhaṃ añño sāvako aññāsikoṇḍaññattherato paṭhamataraṃ pabbajito nāma natthīti pabbajitakālato paṭṭhāya thero cirakālaṃ rattiyo jānātīti rattaññū. Sabbapaṭhamaṃ dhammassa paṭividdhattā yadā tena dhammo paṭividdho, cirakālato paṭṭhāya taṃ rattiṃ jānātītipi rattaññū. Apica khīṇāsavānaṃ rattidivasaparicchedo pākaṭova hoti, ayañca paṭhamakhīṇāsavoti evampi rattaññūnaṃ sāvakānaṃ ayameva aggo purimakoṭibhūto seṭṭho. Tena vuttaṃ – ‘‘rattaññūnaṃ yadidaṃ aññāsikoṇḍañño’’ti.

    เอตฺถ จ ยทิทนฺติ นิปาโต, ตสฺส เถรํ อเวกฺขิตฺวา โย เอโสติ, อคฺคสทฺทํ อเวกฺขิตฺวา ยํ เอตนฺติ อโตฺถฯ อญฺญาสิโกณฺฑโญฺญติ ญาตโกณฺฑโญฺญ ปฎิวิทฺธโกณฺฑโญฺญฯ เตเนวาห – ‘‘อญฺญาสิ วต, โภ, โกณฺฑโญฺญ, อญฺญาสิ วต, โภ, โกณฺฑโญฺญติฯ อิติ หิทํ อายสฺมโต โกณฺฑญฺญสฺส อญฺญาสิโกณฺฑโญฺญ เตฺวว นามํ อโหสี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๗)ฯ

    Ettha ca yadidanti nipāto, tassa theraṃ avekkhitvā yo esoti, aggasaddaṃ avekkhitvā yaṃ etanti attho. Aññāsikoṇḍaññoti ñātakoṇḍañño paṭividdhakoṇḍañño. Tenevāha – ‘‘aññāsi vata, bho, koṇḍañño, aññāsi vata, bho, koṇḍaññoti. Iti hidaṃ āyasmato koṇḍaññassa aññāsikoṇḍañño tveva nāmaṃ ahosī’’ti (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 17).

    อยํ ปน เถโร กตรพุทฺธกาเล ปุพฺพปตฺถนํ อภินีหารํ อกาสิ, กทา ปพฺพชิโต, กทาเนน ปฐมํ ธโมฺม อธิคโต, กทา ฐานนฺตเร ฐปิโตติ อิมินา นเยน สเพฺพสุปิ เอตทเคฺคสุ ปญฺหกมฺมํ เวทิตพฺพํฯ

    Ayaṃ pana thero katarabuddhakāle pubbapatthanaṃ abhinīhāraṃ akāsi, kadā pabbajito, kadānena paṭhamaṃ dhammo adhigato, kadā ṭhānantare ṭhapitoti iminā nayena sabbesupi etadaggesu pañhakammaṃ veditabbaṃ.

    ตตฺถ อิมสฺส ตาว เถรสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อิโต กปฺปสตสหสฺสมตฺถเก ปทุมุตฺตโร นาม พุโทฺธ โลเก อุทปาทิ, ตสฺส ปฎิวิทฺธสพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส มหาโพธิปลฺลงฺกโต อุฎฺฐหนฺตสฺส มหาปถวิยํ ฐเปตุํ ปาเท อุกฺขิตฺตมเตฺต ปาทสมฺปฎิจฺฉนตฺถํ มหนฺตํ ปทุมปุปฺผํ อุคฺคญฺฉิ, ตสฺส ธุรปตฺตานิ นวุติหตฺถานิ โหนฺติ, เกสรํ ติํสหตฺถํ, กณฺณิกา ทฺวาทสหตฺถา, ปาเทน ปติฎฺฐิตฎฺฐานํ เอกาทสหตฺถํฯ ตสฺส ปน ภควโต สรีรํ อฎฺฐปณฺณาสหตฺถุเพฺพธํ อโหสิฯ ตสฺส ปทุมกณฺณิกาย ทกฺขิณปาเท ปติฎฺฐหเนฺต มหาตุมฺพมตฺตา เรณุ อุคฺคนฺตฺวา สรีรํ โอกิรมานา โอตริ, วามปาทสฺส ฐปนกาเลปิ ตถารูปํเยว ปทุมํ อุคฺคนฺตฺวา ปาทํ สมฺปฎิจฺฉิฯ ตโตปิ อุคฺคนฺตฺวา วุตฺตปฺปมาณาว เรณุ สรีรํ โอกิริฯ ตํ ปน เรณุํ อภิภวมานา ตสฺส ภควโต สรีรปฺปภา นิกฺขมิตฺวา ยนฺตนาฬิกาย วิสฺสฎฺฐสุวณฺณรสธารา วิย สมนฺตา ทฺวาทสโยชนฎฺฐานํ เอโกภาสํ อกาสิฯ ตติยปาทุทฺธรณกาเล ปถมุคฺคตํ ปทุมํ อนฺตรธายิ, ปาทสมฺปฎิจฺฉนตฺถํ อญฺญํ นวํ ปทุมํ อุคฺคญฺฉิฯ อิมินาว นิยาเมน ยตฺถ ยตฺถ คนฺตุกาโม โหติ, ตตฺถ ตตฺถาปิ มหาปทุมํ อุคฺคจฺฉติฯ เตเนวสฺส ‘‘ปทุมุตฺตรสมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ นามํ อโหสิฯ

    Tattha imassa tāva therassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ito kappasatasahassamatthake padumuttaro nāma buddho loke udapādi, tassa paṭividdhasabbaññutaññāṇassa mahābodhipallaṅkato uṭṭhahantassa mahāpathaviyaṃ ṭhapetuṃ pāde ukkhittamatte pādasampaṭicchanatthaṃ mahantaṃ padumapupphaṃ uggañchi, tassa dhurapattāni navutihatthāni honti, kesaraṃ tiṃsahatthaṃ, kaṇṇikā dvādasahatthā, pādena patiṭṭhitaṭṭhānaṃ ekādasahatthaṃ. Tassa pana bhagavato sarīraṃ aṭṭhapaṇṇāsahatthubbedhaṃ ahosi. Tassa padumakaṇṇikāya dakkhiṇapāde patiṭṭhahante mahātumbamattā reṇu uggantvā sarīraṃ okiramānā otari, vāmapādassa ṭhapanakālepi tathārūpaṃyeva padumaṃ uggantvā pādaṃ sampaṭicchi. Tatopi uggantvā vuttappamāṇāva reṇu sarīraṃ okiri. Taṃ pana reṇuṃ abhibhavamānā tassa bhagavato sarīrappabhā nikkhamitvā yantanāḷikāya vissaṭṭhasuvaṇṇarasadhārā viya samantā dvādasayojanaṭṭhānaṃ ekobhāsaṃ akāsi. Tatiyapāduddharaṇakāle pathamuggataṃ padumaṃ antaradhāyi, pādasampaṭicchanatthaṃ aññaṃ navaṃ padumaṃ uggañchi. Imināva niyāmena yattha yattha gantukāmo hoti, tattha tatthāpi mahāpadumaṃ uggacchati. Tenevassa ‘‘padumuttarasammāsambuddho’’ti nāmaṃ ahosi.

    เอวํ โส ภควา โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ภิกฺขุสตสหสฺสปริวาโร มหาชนสฺส สงฺคหตฺถาย คามนิคมราชธานีสุ ภิกฺขาย จรโนฺต หํสวตีนครํ สมฺปาปุณิ ฯ ตสฺส อาคตภาวํ สุตฺวา ปิตา มหาราชา ปจฺจุคฺคมนํ อกาสิฯ สตฺถา ตสฺส ธมฺมกถํ กเถสิฯ เทสนาปริโยสาเน เกจิ โสตาปนฺนา เกจิ สกทาคามี เกจิ อนาคามี เกจิ อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ ราชา สฺวาตนาย ทสพลํ นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเส กาลํ อาโรจาเปตฺวา ภิกฺขุสตสหสฺสปริวารสฺส ภควโต สกนิเวสเน มหาทานํ อทาสิฯ สตฺถา ภตฺตานุโมทนํ กตฺวา วิหารเมว คโตฯ เตเนว นิยาเมน ปุนทิวเส นาครา, ปุนทิวเส ราชาติ ทีฆมทฺธานํ ทานํ อทํสุฯ

    Evaṃ so bhagavā loke uppajjitvā bhikkhusatasahassaparivāro mahājanassa saṅgahatthāya gāmanigamarājadhānīsu bhikkhāya caranto haṃsavatīnagaraṃ sampāpuṇi . Tassa āgatabhāvaṃ sutvā pitā mahārājā paccuggamanaṃ akāsi. Satthā tassa dhammakathaṃ kathesi. Desanāpariyosāne keci sotāpannā keci sakadāgāmī keci anāgāmī keci arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Rājā svātanāya dasabalaṃ nimantetvā punadivase kālaṃ ārocāpetvā bhikkhusatasahassaparivārassa bhagavato sakanivesane mahādānaṃ adāsi. Satthā bhattānumodanaṃ katvā vihārameva gato. Teneva niyāmena punadivase nāgarā, punadivase rājāti dīghamaddhānaṃ dānaṃ adaṃsu.

    ตสฺมิํ กาเล อยํ เถโร หํสวตีนคเร คหปติมหาสาลกุเล นิพฺพโตฺตฯ เอกทิวสํ พุทฺธานํ ธมฺมเทสนากาเล หํสวตีนครวาสิโน คนฺธมาลาทิหเตฺถ เยน พุโทฺธ, เยน ธโมฺม, เยน สโงฺฆ, ตนฺนิเนฺน ตโปฺปเณ ตปฺปพฺภาเร คจฺฉเนฺต ทิสฺวา เตน มหาชเนน สทฺธิํ ธมฺมเทสนฎฺฐานํ อคมาสิฯ ตสฺมิญฺจ สมเย ปทุมุตฺตโร ภควา อตฺตโน สาสเน ปฐมํ ปฎิวิทฺธธมฺมํ เอกํ ภิกฺขุํ เอตทคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ โส กุลปุโตฺต ตํ การณํ สุตฺวา ‘‘มหา วตายํ ภิกฺขุ, ฐเปตฺวา กิร พุทฺธํ อโญฺญ อิมินา ปฐมตรํ ปฎิวิทฺธธโมฺม นาม นตฺถิฯ อโห วตาหมฺปิ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน ปฐมํ ธมฺมํ ปฎิวิชฺฌนสมโตฺถ ภเวยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา เทสนาปริโยสาเน ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เสฺว มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ นิมเนฺตสิฯ สตฺถา อธิวาเสสิฯ

    Tasmiṃ kāle ayaṃ thero haṃsavatīnagare gahapatimahāsālakule nibbatto. Ekadivasaṃ buddhānaṃ dhammadesanākāle haṃsavatīnagaravāsino gandhamālādihatthe yena buddho, yena dhammo, yena saṅgho, tanninne tappoṇe tappabbhāre gacchante disvā tena mahājanena saddhiṃ dhammadesanaṭṭhānaṃ agamāsi. Tasmiñca samaye padumuttaro bhagavā attano sāsane paṭhamaṃ paṭividdhadhammaṃ ekaṃ bhikkhuṃ etadaggaṭṭhāne ṭhapesi. So kulaputto taṃ kāraṇaṃ sutvā ‘‘mahā vatāyaṃ bhikkhu, ṭhapetvā kira buddhaṃ añño iminā paṭhamataraṃ paṭividdhadhammo nāma natthi. Aho vatāhampi anāgate ekassa buddhassa sāsane paṭhamaṃ dhammaṃ paṭivijjhanasamattho bhaveyya’’nti cintetvā desanāpariyosāne bhagavantaṃ upasaṅkamitvā ‘‘sve mayhaṃ bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti nimantesi. Satthā adhivāsesi.

    โส ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา สกนิเวสนํ คนฺตฺวา สพฺพรตฺติํ พุทฺธานํ นิสชฺชนฎฺฐานํ คนฺธทามมาลาทามาทีหิ อลงฺกริตฺวา ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฎิยาทาเปตฺวา ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน สกนิเวสเน ภิกฺขุสตสหสฺสปริวารสฺส ภควโต วิจิตฺรยาคุขชฺชกปริวารํ นานารสสูปพฺยญฺชนํ คนฺธสาลิโภชนํ ทตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน ติจีวรปโหนเก วงฺคปเฎฺฎ ตถาคตสฺส ปาทมูเล ฐเปตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘นาหํ ปริตฺตกสฺส ฐานสฺสตฺถาย จรามิ, มหนฺตํ ฐานํ ปเตฺถโนฺต จรามิ, น โข ปน สกฺกา เอกเมว ทิวสํ ทานํ ทตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถตุ’’นฺติ ‘‘อนุปฎิปาฎิยา สตฺต ทิวสานิ มหาทานํ ทตฺวา ปเตฺถสฺสามี’’ติฯ โส เตเนว นิยาเมน สตฺต ทิวสานิ มหาทานํ ทตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน ทุสฺสโกฎฺฐาคารํ วิวราเปตฺวา อุตฺตมสุขุมวตฺถํ พุทฺธานํ ปาทมูเล ฐเปตฺวา ภิกฺขุสตสหสฺสํ ติจีวเรน อจฺฉาเทตฺวา ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, โย ตุเมฺหหิ อิโต สตฺตทิวสมตฺถเก ภิกฺขุ เอตทเคฺค ฐปิโต, อหมฺปิ โส ภิกฺขุ วิย อนาคเต อุปฺปชฺชนกพุทฺธสฺส สาสเน ปพฺพชิตฺวา ปฐมํ ธมฺมํ ปฎิวิชฺฌิตุํ สมโตฺถ ภเวยฺย’’นฺติ วตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล สีสํ กตฺวา นิปชฺชิฯ

    So bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā sakanivesanaṃ gantvā sabbarattiṃ buddhānaṃ nisajjanaṭṭhānaṃ gandhadāmamālādāmādīhi alaṅkaritvā paṇītaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ paṭiyādāpetvā tassā rattiyā accayena sakanivesane bhikkhusatasahassaparivārassa bhagavato vicitrayāgukhajjakaparivāraṃ nānārasasūpabyañjanaṃ gandhasālibhojanaṃ datvā bhattakiccapariyosāne ticīvarapahonake vaṅgapaṭṭe tathāgatassa pādamūle ṭhapetvā cintesi – ‘‘nāhaṃ parittakassa ṭhānassatthāya carāmi, mahantaṃ ṭhānaṃ patthento carāmi, na kho pana sakkā ekameva divasaṃ dānaṃ datvā taṃ ṭhānantaraṃ patthetu’’nti ‘‘anupaṭipāṭiyā satta divasāni mahādānaṃ datvā patthessāmī’’ti. So teneva niyāmena satta divasāni mahādānaṃ datvā bhattakiccapariyosāne dussakoṭṭhāgāraṃ vivarāpetvā uttamasukhumavatthaṃ buddhānaṃ pādamūle ṭhapetvā bhikkhusatasahassaṃ ticīvarena acchādetvā tathāgataṃ upasaṅkamitvā, ‘‘bhante, yo tumhehi ito sattadivasamatthake bhikkhu etadagge ṭhapito, ahampi so bhikkhu viya anāgate uppajjanakabuddhassa sāsane pabbajitvā paṭhamaṃ dhammaṃ paṭivijjhituṃ samattho bhaveyya’’nti vatvā satthu pādamūle sīsaṃ katvā nipajji.

    สตฺถา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อิมินา กุลปุเตฺตน มหาอธิกาโร กโต, สมิชฺฌิสฺสติ นุ โข เอตสฺส อยํ ปตฺถนา โน’’ติ อนาคตํสญาณํ เปเสตฺวา อาวเชฺชโนฺต ‘‘สมิชฺฌิสฺสตี’’ติ ปสฺสิฯ พุทฺธานญฺหิ อตีตํ วา อนาคตํ วา ปจฺจุปฺปนฺนํ วา อารพฺภ อาวเชฺชนฺตานํ อาวรณํ นาม นตฺถิ, อเนกกปฺปโกฎิสตสหสฺสนฺตรมฺปิ จ อตีตํ วา อนาคตํ วา จกฺกวาฬสหสฺสนฺตรมฺปิ จ ปจฺจุปฺปนฺนํ วา อาวชฺชนปฎิพทฺธเมว มนสิการปฎิพทฺธเมว โหติฯ เอวํ อปฺปฎิวตฺติเยน ญาเณน โส ภควา อิทํ อทฺทส – ‘‘อนาคเต สตสหสฺสกปฺปปริโยสาเน โคตโม นาม พุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตทา อิมสฺส ปตฺถนา สมิชฺฌิสฺสตี’’ติฯ อถ นํ เอวมาห – ‘‘อโมฺภ, กุลปุตฺต, อนาคเต สตสหสฺสกปฺปปริโยสาเน โคตโม นาม พุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชิสฺสติ , ตฺวํ ตสฺส ปฐมกธมฺมเทสนาย เตปริวฎฺฎธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตนฺตปริโยสาเน อฎฺฐารสหิ พฺรหฺมโกฎีหิ สทฺธิํ สหสฺสนยสมฺปเนฺน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิสฺสสี’’ติฯ

    Satthā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘iminā kulaputtena mahāadhikāro kato, samijjhissati nu kho etassa ayaṃ patthanā no’’ti anāgataṃsañāṇaṃ pesetvā āvajjento ‘‘samijjhissatī’’ti passi. Buddhānañhi atītaṃ vā anāgataṃ vā paccuppannaṃ vā ārabbha āvajjentānaṃ āvaraṇaṃ nāma natthi, anekakappakoṭisatasahassantarampi ca atītaṃ vā anāgataṃ vā cakkavāḷasahassantarampi ca paccuppannaṃ vā āvajjanapaṭibaddhameva manasikārapaṭibaddhameva hoti. Evaṃ appaṭivattiyena ñāṇena so bhagavā idaṃ addasa – ‘‘anāgate satasahassakappapariyosāne gotamo nāma buddho loke uppajjissati, tadā imassa patthanā samijjhissatī’’ti. Atha naṃ evamāha – ‘‘ambho, kulaputta, anāgate satasahassakappapariyosāne gotamo nāma buddho loke uppajjissati , tvaṃ tassa paṭhamakadhammadesanāya teparivaṭṭadhammacakkappavattanasuttantapariyosāne aṭṭhārasahi brahmakoṭīhi saddhiṃ sahassanayasampanne sotāpattiphale patiṭṭhahissasī’’ti.

    อิติ สตฺถา ตํ กุลปุตฺตํ พฺยากริตฺวา จตุราสีติ ธมฺมกฺขนฺธสหสฺสานิ เทเสตฺวา อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ ตสฺส ปรินิพฺพุตสฺส สรีรํ สุวณฺณกฺขโนฺธ วิย เอกคฺฆนํ อโหสิ, สรีรเจติยํ ปนสฺสุเพฺพเธน สตฺตโยชนิกํ อกํสุฯ อิฎฺฐกา สุวณฺณมยา อเหสุํ, หริตาลมโนสิลาย มตฺติกากิจฺจํ, เตเลน อุทกกิจฺจํ สาธยิํสุฯ พุทฺธานํ ธรมานกาเล สรีรปฺปภา ทฺวาทสโยชนิกํ ผริ, ปรินิพฺพุตานํ ปน เตสํ รสฺมิ นิกฺขมิตฺวา สมนฺตา โยชนสตํ อวตฺถริฯ

    Iti satthā taṃ kulaputtaṃ byākaritvā caturāsīti dhammakkhandhasahassāni desetvā anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi. Tassa parinibbutassa sarīraṃ suvaṇṇakkhandho viya ekagghanaṃ ahosi, sarīracetiyaṃ panassubbedhena sattayojanikaṃ akaṃsu. Iṭṭhakā suvaṇṇamayā ahesuṃ, haritālamanosilāya mattikākiccaṃ, telena udakakiccaṃ sādhayiṃsu. Buddhānaṃ dharamānakāle sarīrappabhā dvādasayojanikaṃ phari, parinibbutānaṃ pana tesaṃ rasmi nikkhamitvā samantā yojanasataṃ avatthari.

    อยํ เสฎฺฐิ พุทฺธานํ สรีรเจติยํ ปริวาเรตฺวา สหสฺสรตนคฺฆิยานิ กาเรสิฯ เจติยปติฎฺฐาปนทิวเส อโนฺตเจติเย รตนฆรํ กาเรสิฯ โส วสฺสสตสหสฺสํ มหนฺตํ ทานาทิมยํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา ตโต จุโต เทวปุเร นิพฺพตฺติฯ ตสฺส เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสรนฺตเสฺสว นวนวุติ กปฺปสหสฺสานิ นว กปฺปสตานิ นว จ กปฺปา สมติกฺกนฺตาฯ เอตฺตกสฺส กาลสฺส อจฺจเยน อิโต เอกนวุติกปฺปมตฺถเก อยํ กุลปุโตฺต พนฺธุมตีนครสฺส ทฺวารสมีเป คาเม กุฎุมฺพิยเคเห นิพฺพโตฺตฯ ตสฺส มหากาโลติ นามํ อโหสิ, กนิฎฺฐภาตา ปนสฺส จูฬกาโล นามฯ

    Ayaṃ seṭṭhi buddhānaṃ sarīracetiyaṃ parivāretvā sahassaratanagghiyāni kāresi. Cetiyapatiṭṭhāpanadivase antocetiye ratanagharaṃ kāresi. So vassasatasahassaṃ mahantaṃ dānādimayaṃ kalyāṇakammaṃ katvā tato cuto devapure nibbatti. Tassa devesu ca manussesu ca saṃsarantasseva navanavuti kappasahassāni nava kappasatāni nava ca kappā samatikkantā. Ettakassa kālassa accayena ito ekanavutikappamatthake ayaṃ kulaputto bandhumatīnagarassa dvārasamīpe gāme kuṭumbiyagehe nibbatto. Tassa mahākāloti nāmaṃ ahosi, kaniṭṭhabhātā panassa cūḷakālo nāma.

    ตสฺมิํ สมเย วิปสฺสี โพธิสโตฺต ตุสิตปุรา จวิตฺวา พนฺธุมตีนคเร พนฺธุมสฺส รโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพโตฺตฯ อนุกฺกเมน สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา ธมฺมเทสนตฺถาย มหาพฺรหฺมุนา อายาจิโต ‘‘กสฺส นุ โข ปฐมํ ธมฺมํ เทเสสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อตฺตโน กนิฎฺฐํ ขณฺฑํ นาม ราชกุมารํ ติสฺสญฺจ ปุโรหิตปุตฺตํ ‘‘ปฐมํ ธมฺมํ ปฎิวิชฺฌิตุํ สมตฺถา’’ติ ทิสฺวา ‘‘เตสญฺจ ธมฺมํ เทเสสฺสามิ, ปิตุ จ สงฺคหํ กริสฺสามี’’ติ โพธิมณฺฑโต อากาเสเนว อาคนฺตฺวา เขเม มิคทาเย โอติโณฺณ เต ปโกฺกสาเปตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน เต เทฺวปิ ชนา จตุราสีติยา ปาณสหเสฺสหิ สทฺธิํ อรหตฺตผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ

    Tasmiṃ samaye vipassī bodhisatto tusitapurā cavitvā bandhumatīnagare bandhumassa rañño aggamahesiyā kucchismiṃ nibbatto. Anukkamena sabbaññutaṃ patvā dhammadesanatthāya mahābrahmunā āyācito ‘‘kassa nu kho paṭhamaṃ dhammaṃ desessāmī’’ti cintetvā attano kaniṭṭhaṃ khaṇḍaṃ nāma rājakumāraṃ tissañca purohitaputtaṃ ‘‘paṭhamaṃ dhammaṃ paṭivijjhituṃ samatthā’’ti disvā ‘‘tesañca dhammaṃ desessāmi, pitu ca saṅgahaṃ karissāmī’’ti bodhimaṇḍato ākāseneva āgantvā kheme migadāye otiṇṇo te pakkosāpetvā dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne te dvepi janā caturāsītiyā pāṇasahassehi saddhiṃ arahattaphale patiṭṭhahiṃsu.

    อถาปเรปิ โพธิสตฺตกาเล อนุปพฺพชิตา จตุราสีติสหสฺสา กุลปุตฺตา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ อาคนฺตฺวา ธมฺมเทสนํ สุตฺวา อรหตฺตผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ สตฺถา ตํ ตเตฺถว ขณฺฑเตฺถรํ อคฺคสาวกฎฺฐาเน, ติสฺสเตฺถรํ ทุติยสาวกฎฺฐาเน ฐเปสิฯ ราชาปิ ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘ปุตฺตํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ อุยฺยานํ คนฺตฺวา ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ตีสุ สรเณสุ ปติฎฺฐาย สตฺถารํ สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ

    Athāparepi bodhisattakāle anupabbajitā caturāsītisahassā kulaputtā taṃ pavattiṃ sutvā satthu santikaṃ āgantvā dhammadesanaṃ sutvā arahattaphale patiṭṭhahiṃsu. Satthā taṃ tattheva khaṇḍattheraṃ aggasāvakaṭṭhāne, tissattheraṃ dutiyasāvakaṭṭhāne ṭhapesi. Rājāpi taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘puttaṃ passissāmī’’ti uyyānaṃ gantvā dhammadesanaṃ sutvā tīsu saraṇesu patiṭṭhāya satthāraṃ svātanāya nimantetvā abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmi.

    โส ปาสาทวรคโต นิสีทิตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ เชฎฺฐปุโตฺต นิกฺขมิตฺวา พุโทฺธ ชาโต, ทุติยปุโตฺต เม อคฺคสาวโก, ปุโรหิตปุโตฺต ทุติยสาวโกฯ อิเม จ อวเสสภิกฺขู คิหิกาเลปิ มยฺหํ ปุตฺตเมว ปริวาเรตฺวา วิจริํสุ, อิเม ปุเพฺพปิ ทานิปิ มยฺหเมว ภารา, อหเมว เต จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหิสฺสามิ, อเญฺญสํ โอกาสํ น ทสฺสามี’’ติฯ วิหารทฺวารโกฎฺฐกโต ปฎฺฐาย ยาว ราชเคหทฺวารา อุโภสุ ปเสฺสสุ ขทิรปาการํ กาเรตฺวา วเตฺถหิ ปฎิจฺฉาทาเปตฺวา อุปริ สุวณฺณตารกวิจิตฺตํ สโมลมฺพิตตาลกฺขนฺธมตฺตวิวิธปุปฺผทามวิตานํ กาเรตฺวา เหฎฺฐาภูมิํ วิจิตฺตตฺถรเณหิ สนฺถราเปตฺวา อโนฺต อุโภสุ ปเสฺสสุ มาลาคจฺฉเกสุ ปุณฺณฆเฎ สกลมคฺควาสตฺถาย จ คนฺธนฺตเรสุ ปุปฺผานิ ปุปฺผนฺตเรสุ คเนฺธ จ ฐปาเปตฺวา ภควโต กาลํ อาโรจาเปสิฯ ภควา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อโนฺตสาณิยาว ราชเคหํ คนฺตฺวา ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา วิหารํ ปจฺจาคจฺฉติฯ อโญฺญ โกจิ ทฎฺฐุมฺปิ น ลภติ, กุโต ปน ภิกฺขํ วา ทาตุํ ปูชํ วา กาตุํฯ

    So pāsādavaragato nisīditvā cintesi – ‘‘mayhaṃ jeṭṭhaputto nikkhamitvā buddho jāto, dutiyaputto me aggasāvako, purohitaputto dutiyasāvako. Ime ca avasesabhikkhū gihikālepi mayhaṃ puttameva parivāretvā vicariṃsu, ime pubbepi dānipi mayhameva bhārā, ahameva te catūhi paccayehi upaṭṭhahissāmi, aññesaṃ okāsaṃ na dassāmī’’ti. Vihāradvārakoṭṭhakato paṭṭhāya yāva rājagehadvārā ubhosu passesu khadirapākāraṃ kāretvā vatthehi paṭicchādāpetvā upari suvaṇṇatārakavicittaṃ samolambitatālakkhandhamattavividhapupphadāmavitānaṃ kāretvā heṭṭhābhūmiṃ vicittattharaṇehi santharāpetvā anto ubhosu passesu mālāgacchakesu puṇṇaghaṭe sakalamaggavāsatthāya ca gandhantaresu pupphāni pupphantaresu gandhe ca ṭhapāpetvā bhagavato kālaṃ ārocāpesi. Bhagavā bhikkhusaṅghaparivuto antosāṇiyāva rājagehaṃ gantvā bhattakiccaṃ katvā vihāraṃ paccāgacchati. Añño koci daṭṭhumpi na labhati, kuto pana bhikkhaṃ vā dātuṃ pūjaṃ vā kātuṃ.

    นาครา จิเนฺตสุํ – ‘‘อชฺช สตฺถุ โลเก อุปฺปนฺนสฺส สตฺตมาสาธิกานิ สตฺต สํวจฺฉรานิ, มยญฺจ ทฎฺฐุมฺปิ น ลภาม, ปเคว ภิกฺขํ วา ทาตุํ ปูชํ วา กาตุํ ธมฺมํ วา โสตุํฯ ราชา ‘มยฺหํ เอว พุโทฺธ, มยฺหํ ธโมฺม, มยฺหํ สโงฺฆ’ติ มมายิตฺวา สยเมว อุปฎฺฐหติฯ สตฺถา จ อุปฺปชฺชมาโน สเทวกสฺส โลกสฺส อตฺถาย อุปฺปโนฺน, น รโญฺญเยว อตฺถายฯ น หิ รโญฺญเยว นิรโย อุโณฺห, อเญฺญสํ นีลุปฺปลวนสทิโสฯ ตสฺมา ราชานํ เอวํ วทาม ‘สเจ โน สตฺถารํ เทติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ เทติ, รญฺญา สทฺธิํ ยุชฺฌิตฺวา สงฺฆํ คเหตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กโรมฯ น สกฺกา โข ปน สุทฺธนาคเรเหว เอวํ กาตุํ, เอกํ เชฎฺฐกปุริสมฺปิ คณฺหามา’’’ติ เสนาปติํ อุปสงฺกมิตฺวา ตสฺส ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘สามิ กิํ อมฺหากํ ปโกฺข โหหิสิ, อุทาหุ รโญฺญ’’ติ อาหํสุฯ โส อาห – ‘‘ตุมฺหากํ ปโกฺข โหมิ, อปิจ โข ปน ปฐมทิวโส มยฺหํ ทาตโพฺพ’’ติฯ เต สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ

    Nāgarā cintesuṃ – ‘‘ajja satthu loke uppannassa sattamāsādhikāni satta saṃvaccharāni, mayañca daṭṭhumpi na labhāma, pageva bhikkhaṃ vā dātuṃ pūjaṃ vā kātuṃ dhammaṃ vā sotuṃ. Rājā ‘mayhaṃ eva buddho, mayhaṃ dhammo, mayhaṃ saṅgho’ti mamāyitvā sayameva upaṭṭhahati. Satthā ca uppajjamāno sadevakassa lokassa atthāya uppanno, na raññoyeva atthāya. Na hi raññoyeva nirayo uṇho, aññesaṃ nīluppalavanasadiso. Tasmā rājānaṃ evaṃ vadāma ‘sace no satthāraṃ deti, iccetaṃ kusalaṃ. No ce deti, raññā saddhiṃ yujjhitvā saṅghaṃ gahetvā dānādīni puññāni karoma. Na sakkā kho pana suddhanāgareheva evaṃ kātuṃ, ekaṃ jeṭṭhakapurisampi gaṇhāmā’’’ti senāpatiṃ upasaṅkamitvā tassa tamatthaṃ ārocetvā ‘‘sāmi kiṃ amhākaṃ pakkho hohisi, udāhu rañño’’ti āhaṃsu. So āha – ‘‘tumhākaṃ pakkho homi, apica kho pana paṭhamadivaso mayhaṃ dātabbo’’ti. Te sampaṭicchiṃsu.

    โส ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘นาครา, เทว, ตุมฺหากํ กุปิตา’’ติ อาหฯ กิมตฺถํ ตาตาติ? สตฺถารํ กิร ตุเมฺหว อุปฎฺฐหถ, อเมฺห น ลภามาติฯ สเจ อิทานิปิ ลภนฺติ, น กุปฺปนฺติฯ อลภนฺตา ตุเมฺหหิ สทฺธิํ ยุชฺฌิตุกามา, เทวาติฯ ยุชฺฌามิ, ตาต, น ภิกฺขุสงฺฆํ เทมีติฯ เทว, ตุมฺหากํ ทาสา ตุเมฺหหิ สทฺธิํ ยุชฺฌามาติ วทนฺติ, ตุเมฺห กํ คณฺหิตฺวา ยุชฺฌิสฺสถาติ? นนุ ตฺวํ เสนาปตีติ? นาคเรหิ วินา อสมโตฺถ อหํ, เทวาติฯ ตโต ราชา ‘‘พลวโนฺต นาครา, เสนาปติปิ เตสํเยว ปโกฺข’’ติ ญตฺวา ‘‘อญฺญานิ สตฺตมาสาธิกานิ สตฺต สํวจฺฉรานิ มยฺหํ ภิกฺขุสงฺฆํ เทนฺตู’’ติ อาหฯ นาครา น สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ ราชา ‘‘ฉพฺพสฺสานิ ปญฺจวสฺสานี’’ติ เอวํ หาเปตฺวา อเญฺญ สตฺต ทิวเส ยาจิ ฯ นาครา ‘‘อติกกฺขฬํ ทานิ รญฺญา สทฺธิํ กาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ อนุชานิํสุฯ ราชา สตฺตมาสาธิกานํ สตฺตนฺนํ สํวจฺฉรานํ สชฺชิตํ ทานมุขํ สตฺตนฺนเมว ทิวสานํ สเชฺชตฺวา ฉ ทิวเส เกสญฺจิ อปสฺสนฺตานํเยว ทานํ ทตฺวา สตฺตเม ทิวเส นาคเร ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สกฺขิสฺสถ, ตาตา, เอวรูปํ ทานํ ทาตุ’’นฺติ อาหฯ เตปิ ‘‘นนุ อเมฺหเยว นิสฺสาเยตํ เทวสฺส อุปฺปนฺน’’นฺติ วตฺวา ‘‘สกฺขิสฺสามา’’ติ อาหํสุฯ ราชา ปิฎฺฐิหเตฺถน อสฺสูนิ ปุญฺฉมาโน ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อฎฺฐสฎฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสํ อญฺญสฺสุ ภารํ อกตฺวา ยาวชีวํ จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหิสฺสามีติ จิเนฺตสิํ, นาครานํ ทานิ เม อนุญฺญาตํ, นาครา หิ ‘มยํ ทานํ ทาตุํ น ลภามา’ติ ภควา กุปฺปนฺติฯ เสฺวว ปฎฺฐาย เตสํ อนุคฺคหํ กโรถา’’ติ อาหฯ

    So rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘nāgarā, deva, tumhākaṃ kupitā’’ti āha. Kimatthaṃ tātāti? Satthāraṃ kira tumheva upaṭṭhahatha, amhe na labhāmāti. Sace idānipi labhanti, na kuppanti. Alabhantā tumhehi saddhiṃ yujjhitukāmā, devāti. Yujjhāmi, tāta, na bhikkhusaṅghaṃ demīti. Deva, tumhākaṃ dāsā tumhehi saddhiṃ yujjhāmāti vadanti, tumhe kaṃ gaṇhitvā yujjhissathāti? Nanu tvaṃ senāpatīti? Nāgarehi vinā asamattho ahaṃ, devāti. Tato rājā ‘‘balavanto nāgarā, senāpatipi tesaṃyeva pakkho’’ti ñatvā ‘‘aññāni sattamāsādhikāni satta saṃvaccharāni mayhaṃ bhikkhusaṅghaṃ dentū’’ti āha. Nāgarā na sampaṭicchiṃsu. Rājā ‘‘chabbassāni pañcavassānī’’ti evaṃ hāpetvā aññe satta divase yāci . Nāgarā ‘‘atikakkhaḷaṃ dāni raññā saddhiṃ kātuṃ na vaṭṭatī’’ti anujāniṃsu. Rājā sattamāsādhikānaṃ sattannaṃ saṃvaccharānaṃ sajjitaṃ dānamukhaṃ sattannameva divasānaṃ sajjetvā cha divase kesañci apassantānaṃyeva dānaṃ datvā sattame divase nāgare pakkosāpetvā ‘‘sakkhissatha, tātā, evarūpaṃ dānaṃ dātu’’nti āha. Tepi ‘‘nanu amheyeva nissāyetaṃ devassa uppanna’’nti vatvā ‘‘sakkhissāmā’’ti āhaṃsu. Rājā piṭṭhihatthena assūni puñchamāno bhagavantaṃ vanditvā, ‘‘bhante, aṭṭhasaṭṭhibhikkhusatasahassaṃ aññassu bhāraṃ akatvā yāvajīvaṃ catūhi paccayehi upaṭṭhahissāmīti cintesiṃ, nāgarānaṃ dāni me anuññātaṃ, nāgarā hi ‘mayaṃ dānaṃ dātuṃ na labhāmā’ti bhagavā kuppanti. Sveva paṭṭhāya tesaṃ anuggahaṃ karothā’’ti āha.

    อถ ทุติยทิวเส เสนาปติ มหาทานํ อทาสิฯ ตโต นาครา รญฺญา กตสกฺการโต อุตฺตริตรํ สกฺการสมฺมานํ กตฺวา ทานํ อทํสุฯ เอเตเนว นิยาเมน สกลนครสฺส ปฎิปาฎิยา คตาย ทฺวารคามวาสิโน สกฺการสมฺมานํ สชฺชยิํสุฯ มหากาลกุฎุมฺพิโก จูฬกาลํ อาห – ‘‘ทสพลสฺส สกฺการสมฺมานํ เสฺวว อมฺหากํ ปาปุณาติ, กิํ สกฺการํ กริสฺสามา’’ติ? ตฺวเมว ภาติก ชานาหีติฯ สเจ มยฺหํ รุจิยา กโรสิ, อมฺหากํ โสฬสกรีสมเตฺตสุ เขเตฺตสุ คหิตคพฺภา สาลิโย อตฺถิฯ สาลิคพฺภํ ผาเลตฺวา อาทาย พุทฺธานํ อนุจฺฉวิกํ ปจาเปมาติฯ เอวํ กยิรมาเน กสฺสจิ อุปกาโร น โหติ, ตสฺมา เนตํ มยฺหํ รุจฺจตีติฯ สเจ ตฺวํ เอวํ น กโรสิ, อหํ มยฺหํ สนฺตกํ มมายิตุํ ลภามีติ โสฬสกรีสมตฺตํ เขตฺตํ มเชฺฌ ภินฺทิตฺวา อฎฺฐกรีสฎฺฐาเน สีมํ ฐเปตฺวา สาลิคพฺภํ ผาเลตฺวา อาทาย อสมฺภิเนฺน ขีเร ปจาเปตฺวา จตุมธุรํ ปกฺขิปิตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส อทาสิฯ กุฎุมฺพิกสฺส โข คพฺภํ ผาเลตฺวา คหิตคหิตฎฺฐานํ ปุน ปูรติฯ ปุถุกกาเล ปุถุกคฺคํ นาม อทาสิ, คามวาสีหิ สทฺธิํ อคฺคสสฺสํ นาม อทาสิ, ลายเน ลายนคฺคํ, เวณิกรเณ เวณคฺคํ, กลาปาทีสุ กลาปคฺคํ ขลคฺคํ ขลภณฺฑคฺคํ โกฎฺฐคฺคนฺติฯ เอวํ โส เอกสเสฺสว นว วาเร อคฺคทานํ อทาสิฯ ตมฺปิ สสฺสํ อติเรกํ อุฎฺฐานสมฺปนฺนํ อโหสิฯ

    Atha dutiyadivase senāpati mahādānaṃ adāsi. Tato nāgarā raññā katasakkārato uttaritaraṃ sakkārasammānaṃ katvā dānaṃ adaṃsu. Eteneva niyāmena sakalanagarassa paṭipāṭiyā gatāya dvāragāmavāsino sakkārasammānaṃ sajjayiṃsu. Mahākālakuṭumbiko cūḷakālaṃ āha – ‘‘dasabalassa sakkārasammānaṃ sveva amhākaṃ pāpuṇāti, kiṃ sakkāraṃ karissāmā’’ti? Tvameva bhātika jānāhīti. Sace mayhaṃ ruciyā karosi, amhākaṃ soḷasakarīsamattesu khettesu gahitagabbhā sāliyo atthi. Sāligabbhaṃ phāletvā ādāya buddhānaṃ anucchavikaṃ pacāpemāti. Evaṃ kayiramāne kassaci upakāro na hoti, tasmā netaṃ mayhaṃ ruccatīti. Sace tvaṃ evaṃ na karosi, ahaṃ mayhaṃ santakaṃ mamāyituṃ labhāmīti soḷasakarīsamattaṃ khettaṃ majjhe bhinditvā aṭṭhakarīsaṭṭhāne sīmaṃ ṭhapetvā sāligabbhaṃ phāletvā ādāya asambhinne khīre pacāpetvā catumadhuraṃ pakkhipitvā buddhappamukhassa saṅghassa adāsi. Kuṭumbikassa kho gabbhaṃ phāletvā gahitagahitaṭṭhānaṃ puna pūrati. Puthukakāle puthukaggaṃ nāma adāsi, gāmavāsīhi saddhiṃ aggasassaṃ nāma adāsi, lāyane lāyanaggaṃ, veṇikaraṇe veṇaggaṃ, kalāpādīsu kalāpaggaṃ khalaggaṃ khalabhaṇḍaggaṃ koṭṭhagganti. Evaṃ so ekasasseva nava vāre aggadānaṃ adāsi. Tampi sassaṃ atirekaṃ uṭṭhānasampannaṃ ahosi.

    ยาว พุทฺธา ธรติ, ยาว จ สโงฺฆ ธรติ, เอเตเนว นิยาเมน กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา ตโต จุโต เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา เทเวสุ เจว มนุเสฺสสุ จ สํสรโนฺต เอกนวุติกเปฺป สมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา อมฺหากํ สตฺถุ โลเก อุปฺปนฺนกาเล กปิลวตฺถุนครสฺส อวิทูเร โทณวตฺถุพฺราหฺมณคาเม พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติฯ ตสฺส นามคฺคหณทิวเส โกณฺฑญฺญมาณโวติ นามํ อกํสุฯ โส วุฑฺฒิมนฺวาย ตโย เวเท อุคฺคเหตฺวา ลกฺขณมนฺตานํ ปารํ อคมาสิฯ เตน สมเยน อมฺหากํ โพธิสโตฺต ตุสิตปุรา จวิตฺวา กปิลวตฺถุปุเร นิพฺพตฺติฯ ตสฺส นามคฺคหณทิวเส อฎฺฐุตฺตรํ พฺราหฺมณสตํ อหตวเตฺถหิ อจฺฉาเทตฺวา อโปฺปทกํ มธุปายาสํ ปาเยตฺวา เตสํ อนฺตเร อฎฺฐ ชเน อุจฺจินิตฺวา มหาตเล นิสีทาเปตฺวา อลงฺกตปฎิยตฺตํ โพธิสตฺตํ ทุกูลจุมฺพฎเก นิปชฺชาเปตฺวา ลกฺขณปริคฺคหณตฺถํ เตสํ สนฺติกํ อานยิํสุฯ ธุราสเน นิสินฺนพฺราหฺมโณ มหาปุริสสฺส สรีรสมฺปตฺติํ โอโลเกตฺวา เทฺว องฺคุลิโย อุกฺขิปิฯ เอวํ ปฎิปาฎิยา สตฺต ชนา อุกฺขิปิํสุฯ เตสํ ปน สพฺพนวโก โกณฺฑญฺญมาณโว, โส โพธิสตฺตสฺส ลกฺขณวรนิปฺผตฺติํ โอโลเกตฺวา ‘‘อคารมเชฺฌ ฐานการณํ นตฺถิ, เอกเนฺตเนส วิวฎฺฎจฺฉโท พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ เอกเมว องฺคุลิํ อุกฺขิปิฯ อิตเร ปน สตฺต ชนา ‘‘สเจ อคารํ อชฺฌาวสิสฺสติ, ราชา ภวิสฺสติ จกฺกวตฺตีฯ สเจ ปพฺพชิสฺสติ, พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ เทฺว คติโย ทิสฺวา เทฺว องฺคุลิโย อุกฺขิปิํสุฯ อยํ ปน โกณฺฑโญฺญ กตาธิกาโร ปจฺฉิมภวิกสโตฺต ปญฺญาย อิตเร สตฺต ชเน อภิภวิตฺวา ‘‘อิเมหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคตสฺส อคารมเชฺฌ ฐานกรณํ นาม นตฺถิ, นิสฺสํสยํ พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ เอกเมว คติํ อทฺทส, ตสฺมา เอกํ องฺคุลิํ อุกฺขิปิฯ ตโต พฺราหฺมณา อตฺตโน ฆรานิ คนฺตฺวา ปุเตฺต อามนฺตยิํสุ – ‘‘ตาตา, อเมฺห มหลฺลกา, สุโทฺธทนมหาราชสฺส ปุตฺตํ สพฺพญฺญุตปฺปตฺตํ มยํ สมฺภาเวยฺยาม วา โน วาฯ ตุเมฺห ตสฺมิํ กุมาเร สพฺพญฺญุตํ ปเตฺต ตสฺส สาสเน ปพฺพเชยฺยาถา’’ติฯ

    Yāva buddhā dharati, yāva ca saṅgho dharati, eteneva niyāmena kalyāṇakammaṃ katvā tato cuto devaloke nibbattitvā devesu ceva manussesu ca saṃsaranto ekanavutikappe sampattiṃ anubhavitvā amhākaṃ satthu loke uppannakāle kapilavatthunagarassa avidūre doṇavatthubrāhmaṇagāme brāhmaṇamahāsālakule nibbatti. Tassa nāmaggahaṇadivase koṇḍaññamāṇavoti nāmaṃ akaṃsu. So vuḍḍhimanvāya tayo vede uggahetvā lakkhaṇamantānaṃ pāraṃ agamāsi. Tena samayena amhākaṃ bodhisatto tusitapurā cavitvā kapilavatthupure nibbatti. Tassa nāmaggahaṇadivase aṭṭhuttaraṃ brāhmaṇasataṃ ahatavatthehi acchādetvā appodakaṃ madhupāyāsaṃ pāyetvā tesaṃ antare aṭṭha jane uccinitvā mahātale nisīdāpetvā alaṅkatapaṭiyattaṃ bodhisattaṃ dukūlacumbaṭake nipajjāpetvā lakkhaṇapariggahaṇatthaṃ tesaṃ santikaṃ ānayiṃsu. Dhurāsane nisinnabrāhmaṇo mahāpurisassa sarīrasampattiṃ oloketvā dve aṅguliyo ukkhipi. Evaṃ paṭipāṭiyā satta janā ukkhipiṃsu. Tesaṃ pana sabbanavako koṇḍaññamāṇavo, so bodhisattassa lakkhaṇavaranipphattiṃ oloketvā ‘‘agāramajjhe ṭhānakāraṇaṃ natthi, ekantenesa vivaṭṭacchado buddho bhavissatī’’ti ekameva aṅguliṃ ukkhipi. Itare pana satta janā ‘‘sace agāraṃ ajjhāvasissati, rājā bhavissati cakkavattī. Sace pabbajissati, buddho bhavissatī’’ti dve gatiyo disvā dve aṅguliyo ukkhipiṃsu. Ayaṃ pana koṇḍañño katādhikāro pacchimabhavikasatto paññāya itare satta jane abhibhavitvā ‘‘imehi lakkhaṇehi samannāgatassa agāramajjhe ṭhānakaraṇaṃ nāma natthi, nissaṃsayaṃ buddho bhavissatī’’ti ekameva gatiṃ addasa, tasmā ekaṃ aṅguliṃ ukkhipi. Tato brāhmaṇā attano gharāni gantvā putte āmantayiṃsu – ‘‘tātā, amhe mahallakā, suddhodanamahārājassa puttaṃ sabbaññutappattaṃ mayaṃ sambhāveyyāma vā no vā. Tumhe tasmiṃ kumāre sabbaññutaṃ patte tassa sāsane pabbajeyyāthā’’ti.

    สุโทฺธทนมหาราชาปิ โพธิสตฺตสฺส ธาติโย อาทิํ กตฺวา ปริหารํ อุปฎฺฐเปโนฺต โพธิสตฺตํ วุทฺธิํ อาปาเทสิฯ มหาสโตฺตปิ วุทฺธิปฺปโตฺต เทโว วิย สมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา ปริปเกฺก ญาเณ กาเมสุ อาทีนวํ เนกฺขเมฺม จ อานิสํสํ ทิสฺวา ราหุลกุมารสฺส ชาตทิวเส ฉนฺนสหาโย กณฺฑกํ อารุยฺห เทวตาหิ วิวเฎน ทฺวาเรน มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา เตเนว รตฺติภาเคน ตีณิ รชฺชานิ อติกฺกมิตฺวา อโนมานทีตีเร ปพฺพชิตฺวา ฆฎิการมหาพฺรหฺมุนา อาภเต อรหทฺธเช คหิตมเตฺตเยว วสฺสสฎฺฐิกเตฺถโร วิย ปาสาทิเกน อิริยาปเถน ราชคหํ ปตฺวา ตตฺถ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปณฺฑวปพฺพตจฺฉายาย ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา รญฺญา มาคเธน รชฺชสิริยา นิมนฺติยมาโนปิ ตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อนุกฺกเมน อุรุเวลํ คนฺตฺวา ‘‘รมณีโย วต อยํ ภูมิภาโค , อลํ วติทํ กุลปุตฺตสฺส ปธานตฺถิกสฺส ปธานายา’’ติ ปธานาภิมุขํ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา ตตฺถ วาสํ อุปคโตฯ

    Suddhodanamahārājāpi bodhisattassa dhātiyo ādiṃ katvā parihāraṃ upaṭṭhapento bodhisattaṃ vuddhiṃ āpādesi. Mahāsattopi vuddhippatto devo viya sampattiṃ anubhavitvā paripakke ñāṇe kāmesu ādīnavaṃ nekkhamme ca ānisaṃsaṃ disvā rāhulakumārassa jātadivase channasahāyo kaṇḍakaṃ āruyha devatāhi vivaṭena dvārena mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā teneva rattibhāgena tīṇi rajjāni atikkamitvā anomānadītīre pabbajitvā ghaṭikāramahābrahmunā ābhate arahaddhaje gahitamatteyeva vassasaṭṭhikatthero viya pāsādikena iriyāpathena rājagahaṃ patvā tattha piṇḍāya caritvā paṇḍavapabbatacchāyāya piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā raññā māgadhena rajjasiriyā nimantiyamānopi taṃ paṭikkhipitvā anukkamena uruvelaṃ gantvā ‘‘ramaṇīyo vata ayaṃ bhūmibhāgo , alaṃ vatidaṃ kulaputtassa padhānatthikassa padhānāyā’’ti padhānābhimukhaṃ cittaṃ uppādetvā tattha vāsaṃ upagato.

    เตน สมเยน อิตเร สตฺต พฺราหฺมณา ยถากมฺมํ คตา, สพฺพทหโร ปน ลกฺขณปริคฺคาหโก โกณฺฑญฺญมาณโว อโรโคฯ โส ‘‘มหาปุริโส ปพฺพชิโต’’ติ สุตฺวา เตสํ พฺราหฺมณานํ ปุเตฺต อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาห – ‘‘สิทฺธตฺถกุมาโร กิร ปพฺพชิโตฯ โส หิ นิสฺสํสยํ พุโทฺธ ภวิสฺสติฯ สเจ ตุมฺหากํ ปิตโร อโรคา อสฺสุ, อชฺช นิกฺขมิตฺวา ปพฺพเชยฺยุํฯ สเจ ตุเมฺหปิ อิจฺฉถ, เอถ มยํ ตํ มหาปุริสมนุปพฺพชิสฺสามา’’ติฯ เต สเพฺพ เอกจฺฉนฺทา ภวิตุํ นาสกฺขิํสุฯ ตโย ชนา น ปพฺพชิํสุ, โกณฺฑญฺญพฺราหฺมณํ เชฎฺฐกํ กตฺวา อิตเร จตฺตาโร ปพฺพชิํสุฯ อิเม ปญฺจ ปพฺพชิตฺวา คามนิคมราชธานีสุ ภิกฺขาย จรนฺตา โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ อคมิํสุฯ เต ฉพฺพสฺสานิ โพธิสเตฺต มหาปธานํ ปทหเนฺต ‘‘อิทานิ พุโทฺธ ภวิสฺสติ อิทานิ พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ มหาสตฺตํ อุปฎฺฐหมานา สนฺติกาวจราวสฺส อเหสุํฯ ยทา ปน โพธิสโตฺต เอกติลตณฺฑุลาทีหิ วีตินาเมโนฺตปิ ทุกฺกรการิกาย อริยธมฺมปฎิเวธสฺส อภาวํ ญตฺวา โอฬาริกํ อาหารํ อาหริ, ตทา เต ปกฺกมิตฺวา อิสิปตนํ อคมํสุฯ

    Tena samayena itare satta brāhmaṇā yathākammaṃ gatā, sabbadaharo pana lakkhaṇapariggāhako koṇḍaññamāṇavo arogo. So ‘‘mahāpuriso pabbajito’’ti sutvā tesaṃ brāhmaṇānaṃ putte upasaṅkamitvā evamāha – ‘‘siddhatthakumāro kira pabbajito. So hi nissaṃsayaṃ buddho bhavissati. Sace tumhākaṃ pitaro arogā assu, ajja nikkhamitvā pabbajeyyuṃ. Sace tumhepi icchatha, etha mayaṃ taṃ mahāpurisamanupabbajissāmā’’ti. Te sabbe ekacchandā bhavituṃ nāsakkhiṃsu. Tayo janā na pabbajiṃsu, koṇḍaññabrāhmaṇaṃ jeṭṭhakaṃ katvā itare cattāro pabbajiṃsu. Ime pañca pabbajitvā gāmanigamarājadhānīsu bhikkhāya carantā bodhisattassa santikaṃ agamiṃsu. Te chabbassāni bodhisatte mahāpadhānaṃ padahante ‘‘idāni buddho bhavissati idāni buddho bhavissatī’’ti mahāsattaṃ upaṭṭhahamānā santikāvacarāvassa ahesuṃ. Yadā pana bodhisatto ekatilataṇḍulādīhi vītināmentopi dukkarakārikāya ariyadhammapaṭivedhassa abhāvaṃ ñatvā oḷārikaṃ āhāraṃ āhari, tadā te pakkamitvā isipatanaṃ agamaṃsu.

    อถ โพธิสโตฺต โอฬาริกาหารปริโภเคน ฉวิมํสโลหิตปาริปูริํ กตฺวา วิสาขปุณฺณมทิวเส สุชาตาย ทินฺนํ วรโภชนํ ภุญฺชิตฺวา สุวณฺณปาติํ นทิยา ปฎิโสตํ ขิปิตฺวา ‘‘อชฺช พุโทฺธ ภวิสฺสามี’’ติ กตสนฺนิฎฺฐาโน สายนฺหสมเย กาเลน นาคราเชน อเนเกหิ ถุติสเตหิ อภิตฺถวิยมาโน มหาโพธิมณฺฑํ อารุยฺห อจลฎฺฐาเน ปาจีนโลกธาตุอภิมุโข ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา จตุรงฺคสมนฺนาคตํ วีริยํ อธิฎฺฐาย สูริเย ธรมาเนเยว มารพลํ วิธมิตฺวา ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสริตฺวา มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ วิโสเธตฺวา ปจฺจูสกาลสมนนฺตเร ปฎิจฺจสมุปฺปาเท ญาณํ โอตาเรตฺวา อนุโลมปฎิโลมํ ปจฺจยาการวฎฺฎํ สมฺมสโนฺต สพฺพพุเทฺธหิ ปฎิวิทฺธํ อสาธารณํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา นิพฺพานารมฺมณาย ผลสมาปตฺติยา ตเตฺถว สตฺตาหํ วีตินาเมสิฯ

    Atha bodhisatto oḷārikāhāraparibhogena chavimaṃsalohitapāripūriṃ katvā visākhapuṇṇamadivase sujātāya dinnaṃ varabhojanaṃ bhuñjitvā suvaṇṇapātiṃ nadiyā paṭisotaṃ khipitvā ‘‘ajja buddho bhavissāmī’’ti katasanniṭṭhāno sāyanhasamaye kālena nāgarājena anekehi thutisatehi abhitthaviyamāno mahābodhimaṇḍaṃ āruyha acalaṭṭhāne pācīnalokadhātuabhimukho pallaṅkena nisīditvā caturaṅgasamannāgataṃ vīriyaṃ adhiṭṭhāya sūriye dharamāneyeva mārabalaṃ vidhamitvā paṭhamayāme pubbenivāsaṃ anussaritvā majjhimayāme dibbacakkhuṃ visodhetvā paccūsakālasamanantare paṭiccasamuppāde ñāṇaṃ otāretvā anulomapaṭilomaṃ paccayākāravaṭṭaṃ sammasanto sabbabuddhehi paṭividdhaṃ asādhāraṇaṃ sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhitvā nibbānārammaṇāya phalasamāpattiyā tattheva sattāhaṃ vītināmesi.

    เอเตเนว อุปาเยน สตฺตสตฺตาหํ โพธิมเณฺฑ วิหริตฺวา ราชายตนมูเล มธุปิณฺฑิกโภชนํ ปริภุญฺชิตฺวา ปุน อชปาลนิโคฺรธมูลํ อาคนฺตฺวา ตตฺถ นิสิโนฺน ธมฺมคมฺภีรตํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา อโปฺปสฺสุกฺกตาย จิเตฺต นมเนฺต มหาพฺรหฺมุนา ยาจิโต พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต ติกฺขินฺทฺริยาทิเภเท สเตฺต ทิสฺวา มหาพฺรหฺมุโน ธมฺมเทสนาย ปฎิญฺญํ ทตฺวา ‘‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสสฺสามี’’ติ อาฬารุทกานํ กาลกตภาวํ ญตฺวา ปุน จิเนฺตโนฺต ‘‘พหูปการา โข ปน เม ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู, เย มํ ปธานปหิตตฺตํ อุปฎฺฐหิํสุฯ ยํนูนาหํ ปญฺจวคฺคิยานํ ภิกฺขูนํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’’นฺติ จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ อิทํ ปน สพฺพเมว พุทฺธานํ ปริวิตกฺกมตฺตเมว, ฐเปตฺวา ปน โกณฺฑญฺญพฺราหฺมณํ อโญฺญ โกจิ ปฐมํ ธมฺมํ ปฎิวิชฺฌิตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ โสปิ เอตทตฺถเมว กปฺปสตสหสฺสํ อธิการกมฺมํ อกาสิ, พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส นว วาเร อคฺคสสฺสทานํ อทาสิฯ

    Eteneva upāyena sattasattāhaṃ bodhimaṇḍe viharitvā rājāyatanamūle madhupiṇḍikabhojanaṃ paribhuñjitvā puna ajapālanigrodhamūlaṃ āgantvā tattha nisinno dhammagambhīrataṃ paccavekkhitvā appossukkatāya citte namante mahābrahmunā yācito buddhacakkhunā lokaṃ volokento tikkhindriyādibhede satte disvā mahābrahmuno dhammadesanāya paṭiññaṃ datvā ‘‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ desessāmī’’ti āḷārudakānaṃ kālakatabhāvaṃ ñatvā puna cintento ‘‘bahūpakārā kho pana me pañcavaggiyā bhikkhū, ye maṃ padhānapahitattaṃ upaṭṭhahiṃsu. Yaṃnūnāhaṃ pañcavaggiyānaṃ bhikkhūnaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyya’’nti cittaṃ uppādesi. Idaṃ pana sabbameva buddhānaṃ parivitakkamattameva, ṭhapetvā pana koṇḍaññabrāhmaṇaṃ añño koci paṭhamaṃ dhammaṃ paṭivijjhituṃ samattho nāma natthi. Sopi etadatthameva kappasatasahassaṃ adhikārakammaṃ akāsi, buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa nava vāre aggasassadānaṃ adāsi.

    อถ สตฺถา ปตฺตจีวรมาทาย อนุปุเพฺพน อิสิปตนํ คนฺตฺวา เยน ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู, เตนุปสงฺกมิฯ เต ตถาคตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวาว อตฺตโน กติกาย สณฺฐาตุํ นาสกฺขิํสุฯ เอโก ปตฺตจีวรํ ปฎิคฺคเหสิ, เอโก อาสนํ ปญฺญาเปสิ, เอโก ปาโททกํ ปจฺจุปฎฺฐาเปสิ, เอโก ปาเท โธวิ, เอโก ตาลวณฺฎํ คเหตฺวา พีชมาโน ฐิโตฯ เอวํ เตสุ วตฺตํ ทเสฺสตฺวา สนฺติเก นิสิเนฺนสุ โกณฺฑญฺญเตฺถรํ กายสกฺขิํ กตฺวา สตฺถา อนุตฺตรํ เตปริวฎฺฎํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตนฺตํ อารภิฯ มนุสฺสปริสา ปญฺจ ชนาว อเหสุํ, เทวปริสา อปริจฺฉินฺนาฯ เทสนาปริโยสาเน โกณฺฑญฺญเตฺถโร อฎฺฐารสหิ มหาพฺรหฺมโกฎีหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิโตฯ อถ สตฺถา ‘‘มยา ทุกฺกรสตาภตํ ธมฺมํ ปฐมเมว อญฺญาสีติ อญฺญาสิโกณฺฑโญฺญ นาม อย’’นฺติ เถรํ อาลปโนฺต ‘‘อญฺญาสิ วต, โภ, โกณฺฑโญฺญ, อญฺญาสิ วต, โภ, โกณฺฑโญฺญ’’ติ อาหฯ ตสฺส ตเทว นามํ ชาตํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อิติ หิทํ อายสฺมโต โกณฺฑญฺญสฺส อญฺญาสิโกณฺฑโญฺญเตฺวว นามํ อโหสี’’ติฯ

    Atha satthā pattacīvaramādāya anupubbena isipatanaṃ gantvā yena pañcavaggiyā bhikkhū, tenupasaṅkami. Te tathāgataṃ āgacchantaṃ disvāva attano katikāya saṇṭhātuṃ nāsakkhiṃsu. Eko pattacīvaraṃ paṭiggahesi, eko āsanaṃ paññāpesi, eko pādodakaṃ paccupaṭṭhāpesi, eko pāde dhovi, eko tālavaṇṭaṃ gahetvā bījamāno ṭhito. Evaṃ tesu vattaṃ dassetvā santike nisinnesu koṇḍaññattheraṃ kāyasakkhiṃ katvā satthā anuttaraṃ teparivaṭṭaṃ dhammacakkappavattanasuttantaṃ ārabhi. Manussaparisā pañca janāva ahesuṃ, devaparisā aparicchinnā. Desanāpariyosāne koṇḍaññatthero aṭṭhārasahi mahābrahmakoṭīhi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhito. Atha satthā ‘‘mayā dukkarasatābhataṃ dhammaṃ paṭhamameva aññāsīti aññāsikoṇḍañño nāma aya’’nti theraṃ ālapanto ‘‘aññāsi vata, bho, koṇḍañño, aññāsi vata, bho, koṇḍañño’’ti āha. Tassa tadeva nāmaṃ jātaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘iti hidaṃ āyasmato koṇḍaññassa aññāsikoṇḍaññotveva nāmaṃ ahosī’’ti.

    อิติ เถโร อาสาฬฺหิปุณฺณมายํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิโต, ปาฎิปททิวเส ภทฺทิยเตฺถโร, ทุติยปกฺขทิวเส วปฺปเตฺถโร, ตติยปกฺขทิวเส มหานามเตฺถโร, ปกฺขสฺส จตุตฺถิยํ อสฺสชิเตฺถโร โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิโตฯ ปญฺจมิยา ปน ปกฺขสฺส อนตฺตลกฺขณสุตฺตนฺตเทสนาปริโยสาเน สเพฺพปิ อรหเตฺต ปติฎฺฐิตาฯ

    Iti thero āsāḷhipuṇṇamāyaṃ sotāpattiphale patiṭṭhito, pāṭipadadivase bhaddiyatthero, dutiyapakkhadivase vappatthero, tatiyapakkhadivase mahānāmatthero, pakkhassa catutthiyaṃ assajitthero sotāpattiphale patiṭṭhito. Pañcamiyā pana pakkhassa anattalakkhaṇasuttantadesanāpariyosāne sabbepi arahatte patiṭṭhitā.

    เตน โข ปน สมเยน ฉ โลเก อรหโนฺต โหนฺติฯ ตโต ปฎฺฐาย สตฺถา ยสทารกปฺปมุเข ปญฺจปญฺญาส ปุริเส, กปฺปาสิยวนสเณฺฑ ติํสมเตฺต ภทฺทวคฺคิเย, คยาสีเส ปิฎฺฐิปาสาเณ สหสฺสมเตฺต ปุราณชฎิเลติ เอวํ มหาชนํ อริยภูมิํ โอตาเรตฺวา พิมฺพิสารปฺปมุขานิ เอกาทสนหุตานิ โสตาปตฺติผเล, เอกํ นหุตํ สรณตฺตเย ปติฎฺฐาเปตฺวา ชมฺพุทีปตเล สาสนํ ปุปฺผิตผลิตํ กตฺวา สกลชมฺพุทีปมณฺฑลํ กาสาวปโชฺชตํ อิสิวาตปฎิวาตํ กโรโนฺต เอกสฺมิํ สมเย เชตวนมหาวิหารํ ปตฺวา ตตฺถ วสโนฺต ภิกฺขุสงฺฆมเชฺฌ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสนคโต ธมฺมํ เทเสโนฺต ‘‘ปฐมํ ธมฺมํ ปฎิวิทฺธภิกฺขูนํ อนฺตเร มม ปุโตฺต โกณฺฑโญฺญ อโคฺค’’ติ ทเสฺสตุํ เอตทคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ

    Tena kho pana samayena cha loke arahanto honti. Tato paṭṭhāya satthā yasadārakappamukhe pañcapaññāsa purise, kappāsiyavanasaṇḍe tiṃsamatte bhaddavaggiye, gayāsīse piṭṭhipāsāṇe sahassamatte purāṇajaṭileti evaṃ mahājanaṃ ariyabhūmiṃ otāretvā bimbisārappamukhāni ekādasanahutāni sotāpattiphale, ekaṃ nahutaṃ saraṇattaye patiṭṭhāpetvā jambudīpatale sāsanaṃ pupphitaphalitaṃ katvā sakalajambudīpamaṇḍalaṃ kāsāvapajjotaṃ isivātapaṭivātaṃ karonto ekasmiṃ samaye jetavanamahāvihāraṃ patvā tattha vasanto bhikkhusaṅghamajjhe paññattavarabuddhāsanagato dhammaṃ desento ‘‘paṭhamaṃ dhammaṃ paṭividdhabhikkhūnaṃ antare mama putto koṇḍañño aggo’’ti dassetuṃ etadaggaṭṭhāne ṭhapesi.

    เถโรปิ เทฺว อคฺคสาวเก อตฺตโน นิปจฺจการํ กโรเนฺต ทิสฺวา พุทฺธานํ สนฺติกา อปกฺกมิตุกาโม หุตฺวา ‘‘ปุณฺณมาณโว ปพฺพชิตฺวา สาสเน อคฺคธมฺมกถิโก ภวิสฺสตี’’ติ ทิสฺวา โทณวตฺถุพฺราหฺมณคามํ คนฺตฺวา อตฺตโน ภาคิเนยฺยํ ปุณฺณมาณวํ ปพฺพาเชตฺวา ‘‘อยํ พุทฺธานํ สนฺติเก วสิสฺสตี’’ติ ตสฺส พุทฺธานํ อเนฺตวาสิกภาวํ กตฺวา สยํ ทสพลํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภควา มยฺหํ คามนฺตเสนาสนํ อสปฺปายํ, อากิโณฺณ วิหริตุํ น สโกฺกมิ, ฉทฺทนฺตทหํ คนฺตฺวา วสิสฺสามี’’ติ ภควนฺตํ อนุชานาเปตฺวา อุฎฺฐายาสนา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ฉทฺทนฺตทหํ คนฺตฺวา ฉทฺทนฺตหตฺถิกุลํ นิสฺสาย ทฺวาทส วสฺสานิ วีตินาเมตฺวา ตเตฺถว อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ

    Theropi dve aggasāvake attano nipaccakāraṃ karonte disvā buddhānaṃ santikā apakkamitukāmo hutvā ‘‘puṇṇamāṇavo pabbajitvā sāsane aggadhammakathiko bhavissatī’’ti disvā doṇavatthubrāhmaṇagāmaṃ gantvā attano bhāgineyyaṃ puṇṇamāṇavaṃ pabbājetvā ‘‘ayaṃ buddhānaṃ santike vasissatī’’ti tassa buddhānaṃ antevāsikabhāvaṃ katvā sayaṃ dasabalaṃ upasaṅkamitvā ‘‘bhagavā mayhaṃ gāmantasenāsanaṃ asappāyaṃ, ākiṇṇo viharituṃ na sakkomi, chaddantadahaṃ gantvā vasissāmī’’ti bhagavantaṃ anujānāpetvā uṭṭhāyāsanā satthāraṃ vanditvā chaddantadahaṃ gantvā chaddantahatthikulaṃ nissāya dvādasa vassāni vītināmetvā tattheva anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi.

    สาริปุตฺต-โมคฺคลฺลานเตฺถรวตฺถุ

    Sāriputta-moggallānattheravatthu

    ๑๘๙-๑๙๐. ทุติยตติเยสุ มหาปญฺญานนฺติ มหติยา ปญฺญาย สมนฺนาคตานํฯ อิทฺธิมนฺตานนฺติ อิทฺธิยา สมฺปนฺนานํฯ สาริปุโตฺต โมคฺคลฺลาโนติ เตสํ เถรานํ นามํฯ

    189-190. Dutiyatatiyesu mahāpaññānanti mahatiyā paññāya samannāgatānaṃ. Iddhimantānanti iddhiyā sampannānaṃ. Sāriputto moggallānoti tesaṃ therānaṃ nāmaṃ.

    อิเมสมฺปิ ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อิโต สตสหสฺสกปฺปาธิเก อสเงฺขฺยยฺยกปฺปมตฺถเก สาริปุโตฺต พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติ, นาเมน สรทมาณโว นาม อโหสิฯ โมคฺคลฺลาโน คหปติมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติ , นาเมน สิริวฑฺฒนกุฎุมฺพิโย นาม อโหสิฯ เต อุโภปิ สหปํสุกีฬิตาว สหายกา อเหสุํฯ สรทมาณโว ปิตุ อจฺจเยน กุลสนฺตกํ มหาธนํ ปฎิปชฺชิตฺวา เอกทิวสํ รโหคโต จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ อิธโลกตฺตภาวเมว ชานามิ, โน ปรโลกตฺตภาวํ, ชาตสตฺตานญฺจ มรณํ นาม ธุวํ, มยา เอกํ ปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา โมกฺขธมฺมคเวสนํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส สหายกํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห – ‘‘สมฺม สิริวฑฺฒน, อหํ ปพฺพชิตฺวา โมกฺขธมฺมํ คเวสิสฺสามิ, ตฺวํ มยา สทฺธิํ ปพฺพชิตุํ สกฺขิสฺสสี’’ติฯ น สกฺขิสฺสามิ , สมฺม, ตฺวํเยว ปพฺพชาหีติฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘ปรโลกํ คจฺฉนฺตา สหาเย วา ญาติมิเตฺต วา คเหตฺวา คตา นาม นตฺถิ, อตฺตนา กตํ อตฺตโนว โหตี’’ติฯ ตโต รตนโกฎฺฐาคารํ วิวราเปตฺวา กปณทฺธิกวณิพฺพกยาจกานํ มหาทานํ ทตฺวา ปพฺพตปาทํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิฯ ตสฺส เอโก เทฺว ตโยติ เอวํ อนุปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตา จตุสตฺตติสหสฺสมตฺตา ชฎิลา อเหสุํฯ โส ปญฺจาภิญฺญา อฎฺฐ จ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา เตสมฺปิ ชฎิลานํ กสิณปริกมฺมํ อาจิกฺขิฯ เตปิ สเพฺพ ปญฺจ อภิญฺญา อฎฺฐ จ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตสุํฯ

    Imesampi pañhakamme ayamanupubbikathā – ito satasahassakappādhike asaṅkhyeyyakappamatthake sāriputto brāhmaṇamahāsālakule nibbatti, nāmena saradamāṇavo nāma ahosi. Moggallāno gahapatimahāsālakule nibbatti , nāmena sirivaḍḍhanakuṭumbiyo nāma ahosi. Te ubhopi sahapaṃsukīḷitāva sahāyakā ahesuṃ. Saradamāṇavo pitu accayena kulasantakaṃ mahādhanaṃ paṭipajjitvā ekadivasaṃ rahogato cintesi – ‘‘ahaṃ idhalokattabhāvameva jānāmi, no paralokattabhāvaṃ, jātasattānañca maraṇaṃ nāma dhuvaṃ, mayā ekaṃ pabbajjaṃ pabbajitvā mokkhadhammagavesanaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti. So sahāyakaṃ upasaṅkamitvā āha – ‘‘samma sirivaḍḍhana, ahaṃ pabbajitvā mokkhadhammaṃ gavesissāmi, tvaṃ mayā saddhiṃ pabbajituṃ sakkhissasī’’ti. Na sakkhissāmi , samma, tvaṃyeva pabbajāhīti. So cintesi – ‘‘paralokaṃ gacchantā sahāye vā ñātimitte vā gahetvā gatā nāma natthi, attanā kataṃ attanova hotī’’ti. Tato ratanakoṭṭhāgāraṃ vivarāpetvā kapaṇaddhikavaṇibbakayācakānaṃ mahādānaṃ datvā pabbatapādaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbaji. Tassa eko dve tayoti evaṃ anupabbajjaṃ pabbajitā catusattatisahassamattā jaṭilā ahesuṃ. So pañcābhiññā aṭṭha ca samāpattiyo nibbattetvā tesampi jaṭilānaṃ kasiṇaparikammaṃ ācikkhi. Tepi sabbe pañca abhiññā aṭṭha ca samāpattiyo nibbattesuṃ.

    เตน สมเยน อโนมทสฺสี นาม พุโทฺธ โลเก อุทปาทิฯ นครํ จนฺทวตี นาม อโหสิ, ปิตา ยสวโนฺต นาม ขตฺติโย, มาตา ยโสธรา นาม เทวี, โพธิ อชฺชุนรุโกฺข, นิสภเตฺถโร จ อโนมเตฺถโร จาติ เทฺว อคฺคสาวกา, วรุณเตฺถโร นาม อุปฎฺฐาโก, สุนฺทรา จ สุมนา จาติ เทฺว อคฺคสาวิกา, อายุ วสฺสสตสหสฺสํ อโหสิ, สรีรํ อฎฺฐปญฺญาสหตฺถุเพฺพธํ, สรีรปฺปภา ทฺวาทสโยชนํ ผริ, ภิกฺขุสตสหสฺสปริวาโร อโหสิฯ

    Tena samayena anomadassī nāma buddho loke udapādi. Nagaraṃ candavatī nāma ahosi, pitā yasavanto nāma khattiyo, mātā yasodharā nāma devī, bodhi ajjunarukkho, nisabhatthero ca anomatthero cāti dve aggasāvakā, varuṇatthero nāma upaṭṭhāko, sundarā ca sumanā cāti dve aggasāvikā, āyu vassasatasahassaṃ ahosi, sarīraṃ aṭṭhapaññāsahatthubbedhaṃ, sarīrappabhā dvādasayojanaṃ phari, bhikkhusatasahassaparivāro ahosi.

    อเถกทิวสํ ปจฺจูสกาเล มหากรุณาสมาปตฺติโต วุฎฺฐาย โลกํ โวโลเกโนฺต สรทตาปสํ ทิสฺวา ‘‘อชฺช มยฺหํ สรทตาปสสฺส สนฺติกํ คตปจฺจเยน ธมฺมเทสนา จ มหตี ภวิสฺสติ, โส จ อคฺคสาวกฎฺฐานํ ปเตฺถสฺสติ, ตสฺส สหายโก สิริวฑฺฒนกุฎุมฺพิโย ทุติยสาวกฎฺฐานํ, เทสนาปริโยสาเน จสฺส ปริวารา จตุสตฺตติสหสฺสชฎิลา อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสนฺติ, มยา ตตฺถ คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ อตฺตโน ปตฺตจีวรมาทาย อญฺญํ กญฺจิ อนามเนฺตตฺวา สีโห วิย เอกจโร หุตฺวา สรทตาปสสฺส อเนฺตวาสิเกสุ ผลาผลตฺถาย คเตสุ ‘‘พุทฺธภาวํ เม ชานาตู’’ติ ตสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว สรทตาปสสฺส อากาสโต โอตริตฺวา ปถวิยํ ปติฎฺฐาสิฯ สรทตาปโส พุทฺธานุภาวํ เจว สรีรสมฺปตฺติํ จสฺส ทิสฺวา ลกฺขณมเนฺต สมฺมสิตฺวา ‘‘อิเมหิ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต นาม อคารมเชฺฌ วสโนฺต ราชา โหติ จกฺกวตฺตี, ปพฺพชฺชโนฺต โลเก วิวฎฺฎจฺฉโท สพฺพญฺญุ พุโทฺธ โหติ, อยํ ปุริโส นิสฺสํสยํ พุโทฺธ’’ติ ชานิตฺวา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา อทาสิฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญตฺตาสเนฯ สรทตาปโสปิ อตฺตโน อนุจฺฉวิกํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ

    Athekadivasaṃ paccūsakāle mahākaruṇāsamāpattito vuṭṭhāya lokaṃ volokento saradatāpasaṃ disvā ‘‘ajja mayhaṃ saradatāpasassa santikaṃ gatapaccayena dhammadesanā ca mahatī bhavissati, so ca aggasāvakaṭṭhānaṃ patthessati, tassa sahāyako sirivaḍḍhanakuṭumbiyo dutiyasāvakaṭṭhānaṃ, desanāpariyosāne cassa parivārā catusattatisahassajaṭilā arahattaṃ pāpuṇissanti, mayā tattha gantuṃ vaṭṭatī’’ti attano pattacīvaramādāya aññaṃ kañci anāmantetvā sīho viya ekacaro hutvā saradatāpasassa antevāsikesu phalāphalatthāya gatesu ‘‘buddhabhāvaṃ me jānātū’’ti tassa passantasseva saradatāpasassa ākāsato otaritvā pathaviyaṃ patiṭṭhāsi. Saradatāpaso buddhānubhāvaṃ ceva sarīrasampattiṃ cassa disvā lakkhaṇamante sammasitvā ‘‘imehi lakkhaṇehi samannāgato nāma agāramajjhe vasanto rājā hoti cakkavattī, pabbajjanto loke vivaṭṭacchado sabbaññu buddho hoti, ayaṃ puriso nissaṃsayaṃ buddho’’ti jānitvā paccuggamanaṃ katvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā āsanaṃ paññāpetvā adāsi. Nisīdi bhagavā paññattāsane. Saradatāpasopi attano anucchavikaṃ āsanaṃ gahetvā ekamantaṃ nisīdi.

    ตสฺมิํ สมเย จตุสตฺตติสหสฺสชฎิลา ปณีตปณีตานิ โอชวนฺตานิ ผลาผลานิ คเหตฺวา อาจริยสฺส สนฺติกํ สมฺปตฺตา พุทฺธานเญฺจว อาจริยสฺส จ นิสินฺนาสนํ โอโลเกตฺวา อาหํสุ – ‘‘อาจริย, มยํ ‘อิมสฺมิํ โลเก ตุเมฺหหิ มหนฺตตโร นตฺถี’ติ วิจราม, อยํ ปน ปุริโส ตุเมฺหหิ มหนฺตตโร มเญฺญ’’ติฯ ตาตา, กิํ วทถ? สาสเปน สทฺธิํ อฎฺฐสฎฺฐิโยชนสตสหสฺสุเพฺพธํ สิเนรุํ สมํ กาตุํ อิจฺฉถ, สพฺพญฺญุพุเทฺธน สทฺธิํ มยฺหํ อุปมํ มา กริตฺถ ปุตฺตกาติฯ อถ เต ตาปสา ‘‘สเจ อยํ อิตฺตรสโตฺต อภวิสฺส, น อมฺหากํ อาจริโย เอวรูปํ อุปมํ อาหเรยฺย, ยาว มหา วตายํ ปุริโส’’ติ สเพฺพว ปาเทสุ นิปติตฺวา สิรสา วนฺทิํสุฯ

    Tasmiṃ samaye catusattatisahassajaṭilā paṇītapaṇītāni ojavantāni phalāphalāni gahetvā ācariyassa santikaṃ sampattā buddhānañceva ācariyassa ca nisinnāsanaṃ oloketvā āhaṃsu – ‘‘ācariya, mayaṃ ‘imasmiṃ loke tumhehi mahantataro natthī’ti vicarāma, ayaṃ pana puriso tumhehi mahantataro maññe’’ti. Tātā, kiṃ vadatha? Sāsapena saddhiṃ aṭṭhasaṭṭhiyojanasatasahassubbedhaṃ sineruṃ samaṃ kātuṃ icchatha, sabbaññubuddhena saddhiṃ mayhaṃ upamaṃ mā karittha puttakāti. Atha te tāpasā ‘‘sace ayaṃ ittarasatto abhavissa, na amhākaṃ ācariyo evarūpaṃ upamaṃ āhareyya, yāva mahā vatāyaṃ puriso’’ti sabbeva pādesu nipatitvā sirasā vandiṃsu.

    อถ เน อาจริโย อาห – ‘‘ตาตา, อมฺหากํ พุทฺธานํ อนุจฺฉวิโก เทยฺยธโมฺม นตฺถิ, สตฺถา จ ภิกฺขาจารเวลาย อิธาคโต, มยํ ยถาพลํ เทยฺยธมฺมํ ทสฺสามฯ ตุเมฺห ยํ ยํ ปณีตํ ผลาผลํ, ตํ ตํ อาหรถา’’ติฯ อาหราเปตฺวา หเตฺถ โธวิตฺวา สยํ ตถาคตสฺส ปเตฺต ปติฎฺฐาเปสิ ฯ สตฺถารา จ ผลาผเล ปฎิคฺคหิตมเตฺต เทวตา ทิโพฺพชํ ปกฺขิปิํสุฯ ตาปโส อุทกมฺปิ สยเมว ปริสฺสาเวตฺวา อทาสิฯ ตโต ภตฺตกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา หตฺถํ โธวิตฺวา นิสิเนฺน สตฺถริ สเพฺพ อเนฺตวาสิเก ปโกฺกสิตฺวา สตฺถุ สนฺติเก สารณียํ กถํ กเถโนฺต นิสีทิฯ สตฺถา ‘‘เทฺว อคฺคสาวกา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ อาคจฺฉนฺตู’’ติ จิเนฺตสิฯ เต สตฺถุ จิตฺตํ ญตฺวา สตสหสฺสขีณาสวปริวารา อาคนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐํสุฯ

    Atha ne ācariyo āha – ‘‘tātā, amhākaṃ buddhānaṃ anucchaviko deyyadhammo natthi, satthā ca bhikkhācāravelāya idhāgato, mayaṃ yathābalaṃ deyyadhammaṃ dassāma. Tumhe yaṃ yaṃ paṇītaṃ phalāphalaṃ, taṃ taṃ āharathā’’ti. Āharāpetvā hatthe dhovitvā sayaṃ tathāgatassa patte patiṭṭhāpesi . Satthārā ca phalāphale paṭiggahitamatte devatā dibbojaṃ pakkhipiṃsu. Tāpaso udakampi sayameva parissāvetvā adāsi. Tato bhattakiccaṃ niṭṭhāpetvā hatthaṃ dhovitvā nisinne satthari sabbe antevāsike pakkositvā satthu santike sāraṇīyaṃ kathaṃ kathento nisīdi. Satthā ‘‘dve aggasāvakā bhikkhusaṅghena saddhiṃ āgacchantū’’ti cintesi. Te satthu cittaṃ ñatvā satasahassakhīṇāsavaparivārā āgantvā satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ aṭṭhaṃsu.

    ตโต สรทตาปโส อเนฺตวาสิเก อามเนฺตสิ – ‘‘ตาตา, พุทฺธานํ นิสินฺนาสนมฺปิ นีจํ, สมณสตสหสฺสานมฺปิ อาสนํ นตฺถิ, ตุเมฺหหิ อชฺช อุฬารํ พุทฺธสกฺการํ กาตุํ วฎฺฎติ, ปพฺพตปาทโต วณฺณคนฺธสมฺปนฺนานิ ปุปฺผานิ อาหรถา’’ติฯ กถนกาโล ปปโญฺจ วิย โหติ, อิทฺธิมนฺตานํ ปน วิสโย อจิเนฺตโยฺยติ มุหุตฺตมเตฺตเนว เต ตาปสา วณฺณคนฺธสมฺปนฺนานิ ปุปฺผานิ อาหริตฺวา พุทฺธานํ โยชนปฺปมาณํ ปุปฺผาสนํ ปญฺญาเปสุํ, อุภินฺนํ อคฺคสาวกานํ ติคาวุตํ, เสสภิกฺขูนํ อฑฺฒโยชนิกาทิเภทํ, สงฺฆนวกสฺส อุสภมตฺตํ อโหสิฯ เอวํ ปญฺญเตฺตสุ อาสเนสุ สรทตาปโส ตถาคตสฺส ปุรโต อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ฐิโต, ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ ทีฆรตฺตํ หิตสุขตฺถาย อิมํ ปุปฺผาสนํ อภิรุหถา’’ติ อาหฯ

    Tato saradatāpaso antevāsike āmantesi – ‘‘tātā, buddhānaṃ nisinnāsanampi nīcaṃ, samaṇasatasahassānampi āsanaṃ natthi, tumhehi ajja uḷāraṃ buddhasakkāraṃ kātuṃ vaṭṭati, pabbatapādato vaṇṇagandhasampannāni pupphāni āharathā’’ti. Kathanakālo papañco viya hoti, iddhimantānaṃ pana visayo acinteyyoti muhuttamatteneva te tāpasā vaṇṇagandhasampannāni pupphāni āharitvā buddhānaṃ yojanappamāṇaṃ pupphāsanaṃ paññāpesuṃ, ubhinnaṃ aggasāvakānaṃ tigāvutaṃ, sesabhikkhūnaṃ aḍḍhayojanikādibhedaṃ, saṅghanavakassa usabhamattaṃ ahosi. Evaṃ paññattesu āsanesu saradatāpaso tathāgatassa purato añjaliṃ paggahetvā ṭhito, ‘‘bhante, mayhaṃ dīgharattaṃ hitasukhatthāya imaṃ pupphāsanaṃ abhiruhathā’’ti āha.

    ‘‘นานาปุปฺผญฺจ คนฺธญฺจ, สมฺปาเทตฺวาน เอกโต;

    ‘‘Nānāpupphañca gandhañca, sampādetvāna ekato;

    ปุปฺผาสนํ ปญฺญาเปตฺวา, อิทํ วจนมพฺรวิํฯ

    Pupphāsanaṃ paññāpetvā, idaṃ vacanamabraviṃ.

    ‘‘อิทํ เต อาสนํ วีร, ปญฺญตฺตํ ตวนุจฺฉวิํ;

    ‘‘Idaṃ te āsanaṃ vīra, paññattaṃ tavanucchaviṃ;

    มม จิตฺตํ ปสาเทโนฺต, นิสีท ปุปฺผมาสเนฯ

    Mama cittaṃ pasādento, nisīda pupphamāsane.

    ‘‘สตฺตรตฺติทิวํ พุโทฺธ, นิสีทิ ปุปฺผมาสเน;

    ‘‘Sattarattidivaṃ buddho, nisīdi pupphamāsane;

    มม จิตฺตํ ปสาเทตฺวา, หาสยิตฺวา สเทวเก’’ติฯ

    Mama cittaṃ pasādetvā, hāsayitvā sadevake’’ti.

    เอวํ นิสิเนฺน สตฺถริ เทฺว อคฺคสาวกา จ เสสภิกฺขู จ อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตาสเนสุ นิสีทิํสุฯ สรทตาปโส มหนฺตํ ปุปฺผจฺฉตฺตํ คเหตฺวา ตถาคตสฺส มตฺถเก ธารยโนฺต อฎฺฐาสิฯ สตฺถา ‘‘ชฎิลานํ อยํ สกฺกาโร มหปฺผโล โหตู’’ติ นิโรธสมาปตฺติํ สมาปชฺชิฯ สตฺถุ สมาปนฺนภาวํ ญตฺวา เทฺว อคฺคสาวกาปิ เสสภิกฺขูปิ สมาปตฺติํ สมาปชฺชิํสุฯ ตถาคเต สตฺตาหํ นิโรธสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา นิสิเนฺน อเนฺตวาสิกา ภิกฺขาจารกาเล สมฺปเตฺต วนมูลผลาผลํ ปริภุญฺชิตฺวา เสสกาเล พุทฺธานํ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ติฎฺฐนฺติฯ สรทตาปโส ปน ภิกฺขาจารมฺปิ อคนฺตฺวา ปุปฺผจฺฉตฺตํ คหิตนิยาเมเนว สตฺตาหํ ปีติสุเขน วีตินาเมสิฯ

    Evaṃ nisinne satthari dve aggasāvakā ca sesabhikkhū ca attano attano pattāsanesu nisīdiṃsu. Saradatāpaso mahantaṃ pupphacchattaṃ gahetvā tathāgatassa matthake dhārayanto aṭṭhāsi. Satthā ‘‘jaṭilānaṃ ayaṃ sakkāro mahapphalo hotū’’ti nirodhasamāpattiṃ samāpajji. Satthu samāpannabhāvaṃ ñatvā dve aggasāvakāpi sesabhikkhūpi samāpattiṃ samāpajjiṃsu. Tathāgate sattāhaṃ nirodhasamāpattiṃ samāpajjitvā nisinne antevāsikā bhikkhācārakāle sampatte vanamūlaphalāphalaṃ paribhuñjitvā sesakāle buddhānaṃ añjaliṃ paggayha tiṭṭhanti. Saradatāpaso pana bhikkhācārampi agantvā pupphacchattaṃ gahitaniyāmeneva sattāhaṃ pītisukhena vītināmesi.

    สตฺถา นิโรธโต วุฎฺฐาย ทกฺขิณปเสฺส นิสินฺนํ อคฺคสาวกํ นิสภเตฺถรํ อามเนฺตสิ – ‘‘นิสภ สกฺการการกานํ ตาปสานํ ปุปฺผาสนานุโมทนํ กโรหี’’ติฯ เถโร จกฺกวตฺติรโญฺญ สนฺติกา ปฎิลทฺธมหาลาโภ มหาโยโธ วิย ตุฎฺฐมานโส สาวกปารมิญาเณ ฐตฺวา ปุปฺผาสนานุโมทนํ อารภิฯ ตสฺส เทสนาวสาเน ทุติยสาวกํ อามเนฺตสิ – ‘‘ตฺวมฺปิ ธมฺมํ เทเสหี’’ติฯ อโนมเตฺถโร เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ สมฺมสิตฺวา ธมฺมํ กเถสิฯ ทฺวินฺนํ สาวกานํ เทสนาย เอกสฺสปิ อภิสมโย นาโหสิฯ อถ สตฺถา อปริมาเณ พุทฺธวิสเย ฐตฺวา ธมฺมเทสนํ อารภิฯ เทสนาปริโยสาเน ฐเปตฺวา สรทตาปสํ สเพฺพปิ จตุสตฺตติสหสฺสชฎิลา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ สตฺถา ‘‘เอถ ภิกฺขโว’’ติ หตฺถํ ปสาเรสิฯ เตสํ ตาวเทว เกสมสฺสุ อนฺตรธายิ, อฎฺฐ ปริกฺขารา กาเย ปฎิมุกฺกาว อเหสุํฯ

    Satthā nirodhato vuṭṭhāya dakkhiṇapasse nisinnaṃ aggasāvakaṃ nisabhattheraṃ āmantesi – ‘‘nisabha sakkārakārakānaṃ tāpasānaṃ pupphāsanānumodanaṃ karohī’’ti. Thero cakkavattirañño santikā paṭiladdhamahālābho mahāyodho viya tuṭṭhamānaso sāvakapāramiñāṇe ṭhatvā pupphāsanānumodanaṃ ārabhi. Tassa desanāvasāne dutiyasāvakaṃ āmantesi – ‘‘tvampi dhammaṃ desehī’’ti. Anomatthero tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ sammasitvā dhammaṃ kathesi. Dvinnaṃ sāvakānaṃ desanāya ekassapi abhisamayo nāhosi. Atha satthā aparimāṇe buddhavisaye ṭhatvā dhammadesanaṃ ārabhi. Desanāpariyosāne ṭhapetvā saradatāpasaṃ sabbepi catusattatisahassajaṭilā arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Satthā ‘‘etha bhikkhavo’’ti hatthaṃ pasāresi. Tesaṃ tāvadeva kesamassu antaradhāyi, aṭṭha parikkhārā kāye paṭimukkāva ahesuṃ.

    สรทตาปโส กสฺมา อรหตฺตํ น ปโตฺตติ? วิกฺขิตฺตจิตฺตตฺตาฯ ตสฺส กิร พุทฺธานํ ทุติยาสเน นิสีทิตฺวา สาวกปารมิญาเณ ฐตฺวา ธมฺมํ เทสยโต อคฺคสาวกสฺส เทสนํ โสตุํ อารทฺธกาลโต ปฎฺฐาย ‘‘อโห วตาหมฺปิ อนาคเต อุปฺปชฺชนกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อิมินาว สาวเกน ลทฺธธุรํ ลเภยฺย’’นฺติ จิตฺตํ อุทปาทิฯ โส เตน ปริวิตเกฺกน มคฺคผลปฎิเวธํ กาตุํ นาสกฺขิ ฯ ตถาคตํ ปน วนฺทิตฺวา สมฺมุเข ฐตฺวา อาห – ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ อนนฺตราสเน นิสิโนฺน ภิกฺขุ ตุมฺหากํ สาสเน โก นาม โหตี’’ติ? มยา ปวตฺติตํ ธมฺมจกฺกํ อนุปฺปวเตฺตตา สาวกปารมิญาณสฺส โกฎิปฺปโตฺต โสฬส ปญฺญา ปฎิวิชฺฌิตฺวา ฐิโต มยฺหํ สาสเน อคฺคสาวโก นิสภเตฺถโร นาม เอโสติฯ ‘‘ภเนฺต, ยฺวายํ มยา สตฺตาหํ ปุปฺผจฺฉตฺตํ ธาเรเนฺตน สกฺกาโร กโต, อหํ อิมสฺส ผเลน อญฺญํ สกฺกตฺตํ วา พฺรหฺมตฺตํ วา น ปเตฺถมิ, อนาคเต ปน อยํ นิสภเตฺถโร วิย เอกสฺส พุทฺธสฺส อคฺคสาวโก ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ

    Saradatāpaso kasmā arahattaṃ na pattoti? Vikkhittacittattā. Tassa kira buddhānaṃ dutiyāsane nisīditvā sāvakapāramiñāṇe ṭhatvā dhammaṃ desayato aggasāvakassa desanaṃ sotuṃ āraddhakālato paṭṭhāya ‘‘aho vatāhampi anāgate uppajjanakassa buddhassa sāsane imināva sāvakena laddhadhuraṃ labheyya’’nti cittaṃ udapādi. So tena parivitakkena maggaphalapaṭivedhaṃ kātuṃ nāsakkhi . Tathāgataṃ pana vanditvā sammukhe ṭhatvā āha – ‘‘bhante, tumhākaṃ anantarāsane nisinno bhikkhu tumhākaṃ sāsane ko nāma hotī’’ti? Mayā pavattitaṃ dhammacakkaṃ anuppavattetā sāvakapāramiñāṇassa koṭippatto soḷasa paññā paṭivijjhitvā ṭhito mayhaṃ sāsane aggasāvako nisabhatthero nāma esoti. ‘‘Bhante, yvāyaṃ mayā sattāhaṃ pupphacchattaṃ dhārentena sakkāro kato, ahaṃ imassa phalena aññaṃ sakkattaṃ vā brahmattaṃ vā na patthemi, anāgate pana ayaṃ nisabhatthero viya ekassa buddhassa aggasāvako bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi.

    สตฺถา ‘‘สมิชฺฌิสฺสติ นุ โข อิมสฺส ปุริสสฺส ปตฺถนา’’ติ อนาคตํสญาณํ เปเสตฺวา โอโลเกโนฺต กปฺปสตสหสฺสาธิกํ อสเงฺขฺยยฺยํ อติกฺกมิตฺวา สมิชฺฌนภาวํ อทฺทสฯ ทิสฺวา สรทตาปสํ อาห – ‘‘น เต อยํ ปตฺถนา โมฆา ภวิสฺสติ, อนาคเต ปน กปฺปสตสหสฺสาธิกํ อสเงฺขฺยยฺยํ อติกฺกมิตฺวา โคตโม นาม พุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชิสฺสติฯ ตสฺส มาตา มหามายา นาม เทวี ภวิสฺสติ, ปิตา สุโทฺธทโน นาม ราชา, ปุโตฺต ราหุโล นาม, อุปฎฺฐาโก อานโนฺท นาม, ทุติยสาวโก โมคฺคลฺลาโน นาม, ตฺวํ ปน ตสฺส อคฺคสาวโก ธมฺมเสนาปติ สาริปุโตฺต นาม ภวิสฺสสี’’ติฯ เอวํ ตาปสํ พฺยากริตฺวา ธมฺมกถํ กเถตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ

    Satthā ‘‘samijjhissati nu kho imassa purisassa patthanā’’ti anāgataṃsañāṇaṃ pesetvā olokento kappasatasahassādhikaṃ asaṅkhyeyyaṃ atikkamitvā samijjhanabhāvaṃ addasa. Disvā saradatāpasaṃ āha – ‘‘na te ayaṃ patthanā moghā bhavissati, anāgate pana kappasatasahassādhikaṃ asaṅkhyeyyaṃ atikkamitvā gotamo nāma buddho loke uppajjissati. Tassa mātā mahāmāyā nāma devī bhavissati, pitā suddhodano nāma rājā, putto rāhulo nāma, upaṭṭhāko ānando nāma, dutiyasāvako moggallāno nāma, tvaṃ pana tassa aggasāvako dhammasenāpati sāriputto nāma bhavissasī’’ti. Evaṃ tāpasaṃ byākaritvā dhammakathaṃ kathetvā bhikkhusaṅghaparivāro ākāsaṃ pakkhandi.

    สรทตาปโสปิ อเนฺตวาสิกเตฺถรานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา สหายกสฺส สิริวฑฺฒนกุฎุมฺพิกสฺส สาสนํ เปเสสิ – ‘‘ภเนฺต, มม สหายกสฺส วเทถ ‘สหายเกน เต สรทตาปเสน อโนมทสฺสิพุทฺธสฺส ปาทมูเล อนาคเต อุปฺปชฺชนกสฺส โคตมพุทฺธสฺส สาสเน อคฺคสาวกฎฺฐานํ ปตฺถิตํ, ตฺวํ ทุติยสาวกฎฺฐานํ ปเตฺถหี’’’ติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา เถเรหิ ปุเรตรเมว เอกปเสฺสน คนฺตฺวา สิริวฑฺฒสฺส นิเวสนทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ

    Saradatāpasopi antevāsikattherānaṃ santikaṃ gantvā sahāyakassa sirivaḍḍhanakuṭumbikassa sāsanaṃ pesesi – ‘‘bhante, mama sahāyakassa vadetha ‘sahāyakena te saradatāpasena anomadassibuddhassa pādamūle anāgate uppajjanakassa gotamabuddhassa sāsane aggasāvakaṭṭhānaṃ patthitaṃ, tvaṃ dutiyasāvakaṭṭhānaṃ patthehī’’’ti. Evañca pana vatvā therehi puretarameva ekapassena gantvā sirivaḍḍhassa nivesanadvāre aṭṭhāsi.

    สิริวฑฺฒโน ‘‘จิรสฺสํ วต เม อโยฺย อาคโต’’ติ อาสเน นิสีทาเปตฺวา อตฺตนา นีจาสเน นิสิโนฺน ‘‘อเนฺตวาสิกปริสา ปน โว, ภเนฺต, น ปญฺญายตี’’ติ ปุจฺฉิฯ อาม สมฺม, อมฺหากํ อสฺสมํ อโนมทสฺสี นาม พุโทฺธ อาคโต, มยํ ตสฺส อตฺตโน พเลน สกฺการํ อกริมฺหฯ สตฺถา สเพฺพสํ ธมฺมํ เทเสสิ, เทสนาปริโยสาเน ฐเปตฺวา มํ เสสา อรหตฺตํ ปตฺวา ปพฺพชิํสูติฯ ตุเมฺห กสฺมา น ปพฺพชิตาติ? อหํ สตฺถุ อคฺคสาวกํ นิสภเตฺถรํ ทิสฺวา อนาคเต อุปฺปชฺชนกสฺส โคตมสฺส นาม พุทฺธสฺส สาสเน อคฺคสาวกฎฺฐานํ ปเตฺถสิํ, ตฺวมฺปิ ตสฺส สาสเน ทุติยสาวกฎฺฐานํ ปเตฺถหีติฯ มยฺหํ พุเทฺธหิ สทฺธิํ ปริจโย นตฺถิ, ภเนฺตติฯ พุเทฺธหิ สทฺธิํ กถนํ มยฺหํ ภาโร โหตุ, ตฺวํ มหนฺตํ อธิการํ สเชฺชหีติฯ

    Sirivaḍḍhano ‘‘cirassaṃ vata me ayyo āgato’’ti āsane nisīdāpetvā attanā nīcāsane nisinno ‘‘antevāsikaparisā pana vo, bhante, na paññāyatī’’ti pucchi. Āma samma, amhākaṃ assamaṃ anomadassī nāma buddho āgato, mayaṃ tassa attano balena sakkāraṃ akarimha. Satthā sabbesaṃ dhammaṃ desesi, desanāpariyosāne ṭhapetvā maṃ sesā arahattaṃ patvā pabbajiṃsūti. Tumhe kasmā na pabbajitāti? Ahaṃ satthu aggasāvakaṃ nisabhattheraṃ disvā anāgate uppajjanakassa gotamassa nāma buddhassa sāsane aggasāvakaṭṭhānaṃ patthesiṃ, tvampi tassa sāsane dutiyasāvakaṭṭhānaṃ patthehīti. Mayhaṃ buddhehi saddhiṃ paricayo natthi, bhanteti. Buddhehi saddhiṃ kathanaṃ mayhaṃ bhāro hotu, tvaṃ mahantaṃ adhikāraṃ sajjehīti.

    สิริวฑฺฒโน สรทตาปสสฺส วจนํ สุตฺวา อตฺตโน นิเวสนทฺวาเร ราชมาเนน อฎฺฐกรีสมตฺตํ ฐานํ สมตลํ กาเรตฺวา วาลุกํ โอกิราเปตฺวา ลาชปญฺจมานิ ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา นีลุปฺปลจฺฉทนํ มณฺฑปํ กาเรตฺวา พุทฺธาสนํ ปญฺญาเปตฺวา เสสภิกฺขูนมฺปิ อาสนานิ ปฎิยาทาเปตฺวา มหนฺตํ สกฺการสมฺมานํ สเชฺชตฺวา พุทฺธานํ นิมนฺตนตฺถาย สรทตาปสสฺส สญฺญํ อทาสิฯ ตาปโส ตสฺส วจนํ สุตฺวา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ คเหตฺวา ตสฺส นิเวสนํ อคมาสิฯ สิริวฑฺฒโน ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ตถาคตสฺส หตฺถโต ปตฺตํ คเหตฺวา มณฺฑปํ ปเวเสตฺวา ปญฺญตฺตาสเนสุ นิสินฺนสฺส พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทกฺขิโณทกํ ทตฺวา ปณีเตน โภชเนน ปริวิสิตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ มหารเหหิ วเตฺถหิ อจฺฉาเทตฺวา, ‘‘ภเนฺต, นายํ อารโมฺภ อปฺปมตฺตกฎฺฐานตฺถาย, อิมินาว นิยาเมน สตฺตาหํ อนุกมฺปํ กโรถา’’ติ อาหฯ สตฺถา อธิวาเสสิฯ โส เตเนว นิยาเมน สตฺตาหํ มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ฐิโต อาห – ‘‘ภเนฺต, มม สหาโย สรทตาปโส ยสฺส สตฺถุ อคฺคสาวโก โหมีติ ปเตฺถสิ, อหมฺปิ ตเสฺสว ทุติยสาวโก ภวามี’’ติฯ

    Sirivaḍḍhano saradatāpasassa vacanaṃ sutvā attano nivesanadvāre rājamānena aṭṭhakarīsamattaṃ ṭhānaṃ samatalaṃ kāretvā vālukaṃ okirāpetvā lājapañcamāni pupphāni vikiritvā nīluppalacchadanaṃ maṇḍapaṃ kāretvā buddhāsanaṃ paññāpetvā sesabhikkhūnampi āsanāni paṭiyādāpetvā mahantaṃ sakkārasammānaṃ sajjetvā buddhānaṃ nimantanatthāya saradatāpasassa saññaṃ adāsi. Tāpaso tassa vacanaṃ sutvā buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ gahetvā tassa nivesanaṃ agamāsi. Sirivaḍḍhano paccuggamanaṃ katvā tathāgatassa hatthato pattaṃ gahetvā maṇḍapaṃ pavesetvā paññattāsanesu nisinnassa buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa dakkhiṇodakaṃ datvā paṇītena bhojanena parivisitvā bhattakiccapariyosāne buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ mahārahehi vatthehi acchādetvā, ‘‘bhante, nāyaṃ ārambho appamattakaṭṭhānatthāya, imināva niyāmena sattāhaṃ anukampaṃ karothā’’ti āha. Satthā adhivāsesi. So teneva niyāmena sattāhaṃ mahādānaṃ pavattetvā bhagavantaṃ vanditvā añjaliṃ paggahetvā ṭhito āha – ‘‘bhante, mama sahāyo saradatāpaso yassa satthu aggasāvako homīti patthesi, ahampi tasseva dutiyasāvako bhavāmī’’ti.

    สตฺถา อนาคตํ โอโลเกตฺวา ตสฺส ปตฺถนาย สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา พฺยากาสิ – ‘‘ตฺวํ อิโต กปฺปสตสหสฺสาธิกํ อสเงฺขฺยยฺยํ อติกฺกมิตฺวา โคตมพุทฺธสฺส ทุติยสาวโก ภวิสฺสสี’’ติฯ พุทฺธานํ พฺยากรณํ สุตฺวา สิริวฑฺฒโน หฎฺฐปหโฎฺฐ อโหสิฯ สตฺถาปิ ภตฺตานุโมทนํ กตฺวา สปริวาโร วิหารเมว คโตฯ สิริวฑฺฒโน ตโต ปฎฺฐาย ยาวชีวํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา ทุติยตฺตวาเร กามาวจรเทวโลเก นิพฺพโตฺตฯ สรทตาปโส จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺตฯ

    Satthā anāgataṃ oloketvā tassa patthanāya samijjhanabhāvaṃ disvā byākāsi – ‘‘tvaṃ ito kappasatasahassādhikaṃ asaṅkhyeyyaṃ atikkamitvā gotamabuddhassa dutiyasāvako bhavissasī’’ti. Buddhānaṃ byākaraṇaṃ sutvā sirivaḍḍhano haṭṭhapahaṭṭho ahosi. Satthāpi bhattānumodanaṃ katvā saparivāro vihārameva gato. Sirivaḍḍhano tato paṭṭhāya yāvajīvaṃ kalyāṇakammaṃ katvā dutiyattavāre kāmāvacaradevaloke nibbatto. Saradatāpaso cattāro brahmavihāre bhāvetvā brahmaloke nibbatto.

    ตโต ปฎฺฐาย อิเมสํ อุภินฺนมฺปิ อนฺตรากมฺมํ น กถิตํฯ อมฺหากํ ปน พุทฺธสฺส นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว สรทตาปโส ราชคหนครสฺส อวิทูเร อุปติสฺสคาเม สาริพฺราหฺมณิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตํทิวสเมว จสฺส สหาโยปิ ราชคหเสฺสว อวิทูเร โกลิตคาเม โมคฺคลฺลิพฺราหฺมณิยา กุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตานิ กิร เทฺวปิ กุลานิ ยาว สตฺตมา กุลปริวฎฺฎา อาพทฺธปฎิพทฺธสหายกาเนวฯ เตสํ ทฺวินฺนมฺปิ เอกทิวสเมว คพฺภปริหารํ อทํสุฯ ทสมาสจฺจเยน ชาตานมฺปิ เตสํ ฉสฎฺฐิ ธาติโย อุปฎฺฐหิํสุฯ นามคฺคหณทิวเส สาริพฺราหฺมณิยา ปุตฺตสฺส อุปติสฺสคาเม เชฎฺฐกุลสฺส ปุตฺตตฺตา อุปติโสฺสติ นามํ อกํสุ, อิตรสฺส โกลิตคาเม เชฎฺฐกุลสฺส ปุตฺตตฺตา โกลิโตติ นามํ อกํสุฯ เต อุโภปิ วุทฺธิมนฺวาย สพฺพสิปฺปานํ ปารํ อคมํสุฯ

    Tato paṭṭhāya imesaṃ ubhinnampi antarākammaṃ na kathitaṃ. Amhākaṃ pana buddhassa nibbattito puretarameva saradatāpaso rājagahanagarassa avidūre upatissagāme sāribrāhmaṇiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Taṃdivasameva cassa sahāyopi rājagahasseva avidūre kolitagāme moggallibrāhmaṇiyā kucchiyaṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Tāni kira dvepi kulāni yāva sattamā kulaparivaṭṭā ābaddhapaṭibaddhasahāyakāneva. Tesaṃ dvinnampi ekadivasameva gabbhaparihāraṃ adaṃsu. Dasamāsaccayena jātānampi tesaṃ chasaṭṭhi dhātiyo upaṭṭhahiṃsu. Nāmaggahaṇadivase sāribrāhmaṇiyā puttassa upatissagāme jeṭṭhakulassa puttattā upatissoti nāmaṃ akaṃsu, itarassa kolitagāme jeṭṭhakulassa puttattā kolitoti nāmaṃ akaṃsu. Te ubhopi vuddhimanvāya sabbasippānaṃ pāraṃ agamaṃsu.

    อุปติสฺสมาณวสฺส กีฬนตฺถาย นทิํ วา อุยฺยานํ วา ปพฺพตํ วา คมนกาเล ปญฺจ สุวณฺณสิวิกาสตานิ ปริวารา โหนฺติ, โกลิตมาณวสฺส ปญฺจ อาชญฺญรถสตานิฯ เทฺวปิ ชนา ปญฺจปญฺจมาณวกสตปริวารา โหนฺติฯ ราชคเห จ อนุสํวจฺฉรํ คิรคฺคสมชฺชํ นาม โหติ, เตสํ ทฺวินฺนมฺปิ เอกฎฺฐาเนเยว มญฺจํ พนฺธนฺติฯ เทฺวปิ ชนา เอกโตว นิสีทิตฺวา สมชฺชํ ปสฺสนฺตา หสิตพฺพฎฺฐาเน หสนฺติ, สํเวคฎฺฐาเน สํวิชฺชนฺติ, ทายํ ทาตุํ ยุตฺตฎฺฐาเน ทายํ เทนฺติฯ เตสํ อิมินาว นิยาเมน เอกทิวสํ สมชฺชํ ปสฺสนฺตานํ ปริปากคตตฺตา ญาณสฺส ปุริมทิวเสสุ วิย หสิตพฺพฎฺฐาเน หาโส วา สํเวคฎฺฐาเน สํเวชนํ วา ทายํ ทาตุํ ยุตฺตฎฺฐาเน ทายทานํ วา นาโหสิฯ เทฺวปิ ปน ชนา เอวํ จินฺตยิํสุ – ‘‘กิํ เอตฺถ โอโลเกตพฺพํ อตฺถิ, สเพฺพปิเม อปฺปเตฺต วสฺสสเต อปณฺณตฺติกภาวํ คมิสฺสนฺติฯ อเมฺหหิ ปน เอกํ โมกฺขธมฺมํ คเวสิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อารมฺมณํ คเหตฺวา นิสีทิํสุฯ

    Upatissamāṇavassa kīḷanatthāya nadiṃ vā uyyānaṃ vā pabbataṃ vā gamanakāle pañca suvaṇṇasivikāsatāni parivārā honti, kolitamāṇavassa pañca ājaññarathasatāni. Dvepi janā pañcapañcamāṇavakasataparivārā honti. Rājagahe ca anusaṃvaccharaṃ giraggasamajjaṃ nāma hoti, tesaṃ dvinnampi ekaṭṭhāneyeva mañcaṃ bandhanti. Dvepi janā ekatova nisīditvā samajjaṃ passantā hasitabbaṭṭhāne hasanti, saṃvegaṭṭhāne saṃvijjanti, dāyaṃ dātuṃ yuttaṭṭhāne dāyaṃ denti. Tesaṃ imināva niyāmena ekadivasaṃ samajjaṃ passantānaṃ paripākagatattā ñāṇassa purimadivasesu viya hasitabbaṭṭhāne hāso vā saṃvegaṭṭhāne saṃvejanaṃ vā dāyaṃ dātuṃ yuttaṭṭhāne dāyadānaṃ vā nāhosi. Dvepi pana janā evaṃ cintayiṃsu – ‘‘kiṃ ettha oloketabbaṃ atthi, sabbepime appatte vassasate apaṇṇattikabhāvaṃ gamissanti. Amhehi pana ekaṃ mokkhadhammaṃ gavesituṃ vaṭṭatī’’ti ārammaṇaṃ gahetvā nisīdiṃsu.

    ตโต โกลิโต อุปติสฺสํ อาห – ‘‘สมฺม อุปติสฺส, น ตฺวํ อญฺญสุ ทิวเสสุ วิย หฎฺฐปหโฎฺฐ, อนตฺตมนธาตุโกสิ, กิํ เต สลฺลกฺขิต’’นฺติ? สมฺม โกลิต, ‘‘เอเตสํ โอโลกเน สาโร นตฺถิ, นิรตฺถกเมตํ, อตฺตโน โมกฺขธมฺมํ คเวสิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อิทํ จินฺตยโนฺต นิสิโนฺนมฺหีติ, ตฺวํ ปน กสฺมา อนตฺตมโนสีติ? โสปิ ตเถว อาหฯ อถสฺส อตฺตนา สทฺธิํ เอกชฺฌาสยตํ ญตฺวา อุปติโสฺส ตํ เอวมาห – ‘‘อมฺหากํ อุภินฺนมฺปิ สุจินฺติตํ, โมกฺขธมฺมํ คเวสเนฺตหิ ปน เอกา ปพฺพชฺชา ลทฺธุํ วฎฺฎติ, กสฺส สนฺติเก ปพฺพชามา’’ติฯ

    Tato kolito upatissaṃ āha – ‘‘samma upatissa, na tvaṃ aññasu divasesu viya haṭṭhapahaṭṭho, anattamanadhātukosi, kiṃ te sallakkhita’’nti? Samma kolita, ‘‘etesaṃ olokane sāro natthi, niratthakametaṃ, attano mokkhadhammaṃ gavesituṃ vaṭṭatī’’ti idaṃ cintayanto nisinnomhīti, tvaṃ pana kasmā anattamanosīti? Sopi tatheva āha. Athassa attanā saddhiṃ ekajjhāsayataṃ ñatvā upatisso taṃ evamāha – ‘‘amhākaṃ ubhinnampi sucintitaṃ, mokkhadhammaṃ gavesantehi pana ekā pabbajjā laddhuṃ vaṭṭati, kassa santike pabbajāmā’’ti.

    เตน โข ปน สมเยน สญฺจโย ปริพฺพาชโก ราชคเห ปฎิวสติ มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธิํฯ เต ‘‘ตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามา’’ติ ปญฺจหิ มาณวกสเตหิ สทฺธิํ สญฺจยสฺส สนฺติเก ปพฺพชิํสุฯ เตสํ ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย สญฺจโย อติเรกลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต อโหสิฯ เต กติปาเหเนว สพฺพํ สญฺจยสฺส สมยํ ปริคฺคณฺหิตฺวา, ‘‘อาจริย, ตุมฺหากํ ชานนสมโย เอตฺตโกว, อุทาหุ อุตฺตริปิ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ สญฺจโย ‘‘เอตฺตโกว, สพฺพํ ตุเมฺหหิ ญาต’’นฺติ อาหฯ เต ตสฺส กถํ สุตฺวา จินฺตยิํสุ – ‘‘เอวํ สติ อิมสฺส สนฺติเก พฺรหฺมจริยวาโส นิรตฺถโก, มยํ โมกฺขธมฺมํ คเวสิตุํ นิกฺขนฺตา, โส อิมสฺส สนฺติเก อุปฺปาเทตุํ น สกฺกาฯ มหา โข ปน ชมฺพุทีโป, คามนิคมราชธานิโย จรนฺตา มยํ อวสฺสํ โมกฺขธมฺมเทสกํ เอกํ อาจริยํ ลภิสฺสามา’’ติฯ เต ตโต ปฎฺฐาย ยตฺถ ยตฺถ ปณฺฑิตา สมณพฺราหฺมณา อตฺถีติ สุณนฺติ, ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา ปญฺหสากจฺฉํ กโรนฺติฯ เตหิ ปุฎฺฐํ ปญฺหํ อเญฺญ กเถตุํ สมตฺถา นตฺถิ, เต ปน เตสํ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชนฺติฯ เอวํ สกลชมฺพุทีปํ ปริคฺคณฺหิตฺวา นิวตฺติตฺวา สกฎฺฐานเมว อาคนฺตฺวา, ‘‘สมฺม โกลิต, โย ปฐมํ อมตํ อธิคจฺฉติ, โส อาโรเจตู’’ติ กติกํ อกํสุฯ

    Tena kho pana samayena sañcayo paribbājako rājagahe paṭivasati mahatiyā paribbājakaparisāya saddhiṃ. Te ‘‘tassa santike pabbajissāmā’’ti pañcahi māṇavakasatehi saddhiṃ sañcayassa santike pabbajiṃsu. Tesaṃ pabbajitakālato paṭṭhāya sañcayo atirekalābhaggayasaggappatto ahosi. Te katipāheneva sabbaṃ sañcayassa samayaṃ pariggaṇhitvā, ‘‘ācariya, tumhākaṃ jānanasamayo ettakova, udāhu uttaripi atthī’’ti pucchiṃsu. Sañcayo ‘‘ettakova, sabbaṃ tumhehi ñāta’’nti āha. Te tassa kathaṃ sutvā cintayiṃsu – ‘‘evaṃ sati imassa santike brahmacariyavāso niratthako, mayaṃ mokkhadhammaṃ gavesituṃ nikkhantā, so imassa santike uppādetuṃ na sakkā. Mahā kho pana jambudīpo, gāmanigamarājadhāniyo carantā mayaṃ avassaṃ mokkhadhammadesakaṃ ekaṃ ācariyaṃ labhissāmā’’ti. Te tato paṭṭhāya yattha yattha paṇḍitā samaṇabrāhmaṇā atthīti suṇanti, tattha tattha gantvā pañhasākacchaṃ karonti. Tehi puṭṭhaṃ pañhaṃ aññe kathetuṃ samatthā natthi, te pana tesaṃ pañhaṃ vissajjenti. Evaṃ sakalajambudīpaṃ pariggaṇhitvā nivattitvā sakaṭṭhānameva āgantvā, ‘‘samma kolita, yo paṭhamaṃ amataṃ adhigacchati, so ārocetū’’ti katikaṃ akaṃsu.

    เตน สมเยน อมฺหากํ สตฺถา ปฐมาภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก อนุปุเพฺพน ราชคหํ สมฺปโตฺต โหติฯ อถ ‘‘เอกสฎฺฐิ อรหโนฺต โลเก อุปฺปนฺนา โหนฺตี’’ติ วุตฺตกาเล ‘‘จรถ, ภิกฺขเว, จาริกํ พหุชนหิตายา’’ติ รตนตฺตยคุณปฺปกาสนตฺถํ อุโยฺยชิตานํ ภิกฺขูนํ อนฺตเร ปญฺจวคฺคิยพฺภนฺตโร อสฺสชิเตฺถโร ปฎินิวตฺติตฺวา ราชคหเมว อาคโตฯ ปุนทิวเส ปาโตว ปตฺตจีวรํ อาทาย ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ

    Tena samayena amhākaṃ satthā paṭhamābhisambodhiṃ patvā pavattitavaradhammacakko anupubbena rājagahaṃ sampatto hoti. Atha ‘‘ekasaṭṭhi arahanto loke uppannā hontī’’ti vuttakāle ‘‘caratha, bhikkhave, cārikaṃ bahujanahitāyā’’ti ratanattayaguṇappakāsanatthaṃ uyyojitānaṃ bhikkhūnaṃ antare pañcavaggiyabbhantaro assajitthero paṭinivattitvā rājagahameva āgato. Punadivase pātova pattacīvaraṃ ādāya rājagahaṃ piṇḍāya pāvisi.

    ตสฺมิํ สมเย อุปติสฺสปริพฺพาชโก ปาโตว ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ปริพฺพาชการามํ คจฺฉโนฺต เถรํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มยา เอวรูโป ปพฺพชิโต นาม น ทิฎฺฐปุโพฺพฯ เย วต โลเก อรหโนฺต วา อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺนา, อยํ เตสํ ภิกฺขูนํ อญฺญตโร, ยํนูนาหํ อิมํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุเจฺฉยฺยํ – ‘กํสิ ตฺวํ, อาวุโส อุทฺทิสฺส, ปพฺพชิโต, โก วา เต สตฺถา, กสฺส วา ตฺวํ ธมฺมํ โรเจสี’’’ติฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อกาโล โข อิมํ ภิกฺขุํ ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ, อนฺตรฆรํ ปวิโฎฺฐ ปิณฺฑาย จรติ, ยํนูนาหํ อิมํ ภิกฺขุํ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพเนฺธยฺยํ อตฺถิเกหิ อุปญฺญาตํ มคฺค’’นฺติฯ โส เถรํ ลทฺธปิณฺฑปาตํ อญฺญตรํ โอกาสํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา นิสีทิตุกามตญฺจสฺส ญตฺวา อตฺตโน ปริพฺพาชกปีฐกํ ปญฺญาเปตฺวา อทาสิฯ ภตฺตกิจฺจปริโยสาเนปิสฺส อตฺตโน กุณฺฑิกาย อุทกํ อทาสิฯ

    Tasmiṃ samaye upatissaparibbājako pātova bhattakiccaṃ katvā paribbājakārāmaṃ gacchanto theraṃ disvā cintesi – ‘‘mayā evarūpo pabbajito nāma na diṭṭhapubbo. Ye vata loke arahanto vā arahattamaggaṃ vā samāpannā, ayaṃ tesaṃ bhikkhūnaṃ aññataro, yaṃnūnāhaṃ imaṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ puccheyyaṃ – ‘kaṃsi tvaṃ, āvuso uddissa, pabbajito, ko vā te satthā, kassa vā tvaṃ dhammaṃ rocesī’’’ti. Athassa etadahosi – ‘‘akālo kho imaṃ bhikkhuṃ pañhaṃ pucchituṃ, antaragharaṃ paviṭṭho piṇḍāya carati, yaṃnūnāhaṃ imaṃ bhikkhuṃ piṭṭhito piṭṭhito anubandheyyaṃ atthikehi upaññātaṃ magga’’nti. So theraṃ laddhapiṇḍapātaṃ aññataraṃ okāsaṃ gacchantaṃ disvā nisīditukāmatañcassa ñatvā attano paribbājakapīṭhakaṃ paññāpetvā adāsi. Bhattakiccapariyosānepissa attano kuṇḍikāya udakaṃ adāsi.

    เอวํ อาจริยวตฺตํ กตฺวา กตภตฺตกิเจฺจน เถเรน สทฺธิํ มธุรปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘วิปฺปสนฺนานิ โข เต, อาวุโส, อินฺทฺริยานิ, ปริสุโทฺธ ฉวิวโณฺณ ปริโยทาโต, กํสิ ตฺวํ, อาวุโส อุทฺทิสฺส, ปพฺพชิโต, โก วา เต สตฺถา, กสฺส วา ตฺวํ ธมฺมํ โรเจสี’’ติ ปุจฺฉิฯ เถโร ‘‘อตฺถาวุโส, มหาสมโณ สกฺยปุโตฺต สกฺยกุลา ปพฺพชิโต, ตาหํ ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต, โส จ เม ภควา สตฺถา, ตเสฺสวาหํ ภควโต ธมฺมํ โรเจมี’’ติ อาหฯ อถ นํ ‘‘กิํวาที ปนายสฺมโต สตฺถา, กิมกฺขายี’’ติ ปุจฺฉิฯ เถโร จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม ปริพฺพาชกา นาม สาสนสฺส ปฎิปกฺขภูตา, อิมสฺส สาสนสฺส คมฺภีรตํ ทเสฺสสฺสามี’’ติฯ อตฺตโน นวกภาวํ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘อหํ โข, อาวุโส, นโว อจิรปพฺพชิโต, อธุนาคโต อิมํ ธมฺมวินยํ, น ตาวาหํ สโกฺกมิ วิตฺถาเรน ธมฺมํ เทเสตุ’’นฺติฯ ปริพฺพาชโก ‘‘อหํ อุปติโสฺส นาม, ตฺวํ ยถาสตฺติยา อปฺปํ วา พหุํ วา วท, เอตํ นยสเตน นยสหเสฺสน ปฎิวิชฺฌิตุํ มยฺหํ ภาโร’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Evaṃ ācariyavattaṃ katvā katabhattakiccena therena saddhiṃ madhurapaṭisanthāraṃ katvā ‘‘vippasannāni kho te, āvuso, indriyāni, parisuddho chavivaṇṇo pariyodāto, kaṃsi tvaṃ, āvuso uddissa, pabbajito, ko vā te satthā, kassa vā tvaṃ dhammaṃ rocesī’’ti pucchi. Thero ‘‘atthāvuso, mahāsamaṇo sakyaputto sakyakulā pabbajito, tāhaṃ bhagavantaṃ uddissa pabbajito, so ca me bhagavā satthā, tassevāhaṃ bhagavato dhammaṃ rocemī’’ti āha. Atha naṃ ‘‘kiṃvādī panāyasmato satthā, kimakkhāyī’’ti pucchi. Thero cintesi – ‘‘ime paribbājakā nāma sāsanassa paṭipakkhabhūtā, imassa sāsanassa gambhīrataṃ dassessāmī’’ti. Attano navakabhāvaṃ dassento āha – ‘‘ahaṃ kho, āvuso, navo acirapabbajito, adhunāgato imaṃ dhammavinayaṃ, na tāvāhaṃ sakkomi vitthārena dhammaṃ desetu’’nti. Paribbājako ‘‘ahaṃ upatisso nāma, tvaṃ yathāsattiyā appaṃ vā bahuṃ vā vada, etaṃ nayasatena nayasahassena paṭivijjhituṃ mayhaṃ bhāro’’ti cintetvā āha –

    ‘‘อปฺปํ วา พหุํ วา ภาสสฺสุ, อตฺถํเยว เม พฺรูหิ;

    ‘‘Appaṃ vā bahuṃ vā bhāsassu, atthaṃyeva me brūhi;

    อเตฺถเนว เม อโตฺถ, กิํ กาหสิ พฺยญฺชนํ พหุ’’นฺติฯ (มหาว. ๖๐);

    Attheneva me attho, kiṃ kāhasi byañjanaṃ bahu’’nti. (mahāva. 60);

    เอวํ วุเตฺต เถโร ‘‘เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา’’ติ (มหาว. ๖๐; อป. เถร. ๑.๑.๒๘๖) คาถํ อาหฯ ปริพฺพาชโก ปฐมปททฺวยเมว สุตฺวา สหสฺสนยสมฺปเนฺน โสตาปตฺติมเคฺค ปติฎฺฐหิฯ อิตรํ ปททฺวยํ โสตาปนฺนกาเล นิฎฺฐาสิฯ

    Evaṃ vutte thero ‘‘ye dhammā hetuppabhavā’’ti (mahāva. 60; apa. thera. 1.1.286) gāthaṃ āha. Paribbājako paṭhamapadadvayameva sutvā sahassanayasampanne sotāpattimagge patiṭṭhahi. Itaraṃ padadvayaṃ sotāpannakāle niṭṭhāsi.

    โส โสตาปโนฺน หุตฺวา อุปริวิเสเส อปฺปวตฺตเนฺต ‘‘ภวิสฺสติ เอตฺถ การณ’’นฺติ สลฺลเกฺขตฺวา เถรํ อาห – ‘‘ภเนฺต, มา อุปริ ธมฺมเทสนํ วฑฺฒยิตฺถ, เอตฺตกเมว โหตุ, กหํ อมฺหากํ สตฺถา วสตี’’ติ? เวฬุวเน ปริพฺพาชกาติฯ ภเนฺต, ตุเมฺห ปุรโต ยาถ, มยฺหํ เอโก สหายโก อตฺถิฯ อเมฺหหิ จ อญฺญมญฺญํ กติกา กตา ‘‘โย ปฐมํ อมตํ อธิคจฺฉติ, โส อาโรเจตู’’ติฯ อหํ ตํ ปฎิญฺญํ โมเจตฺวา สหายกํ คเหตฺวา ตุมฺหากํ คตมเคฺคเนว สตฺถุ สนฺติกํ อาคมิสฺสามีติ ปญฺจปติฎฺฐิเตน เถรสฺส ปาเทสุ นิปติตฺวา ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา เถรํ อุโยฺยเชตฺวา ปริพฺพาชการามาภิมุโข อคมาสิฯ

    So sotāpanno hutvā uparivisese appavattante ‘‘bhavissati ettha kāraṇa’’nti sallakkhetvā theraṃ āha – ‘‘bhante, mā upari dhammadesanaṃ vaḍḍhayittha, ettakameva hotu, kahaṃ amhākaṃ satthā vasatī’’ti? Veḷuvane paribbājakāti. Bhante, tumhe purato yātha, mayhaṃ eko sahāyako atthi. Amhehi ca aññamaññaṃ katikā katā ‘‘yo paṭhamaṃ amataṃ adhigacchati, so ārocetū’’ti. Ahaṃ taṃ paṭiññaṃ mocetvā sahāyakaṃ gahetvā tumhākaṃ gatamaggeneva satthu santikaṃ āgamissāmīti pañcapatiṭṭhitena therassa pādesu nipatitvā tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā theraṃ uyyojetvā paribbājakārāmābhimukho agamāsi.

    โกลิตปริพฺพาชโก ตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อชฺช มยฺหํ สหายกสฺส มุขวโณฺณ น อเญฺญสุ ทิวเสสุ วิย, อทฺธา เตน อมตํ อธิคตํ ภวิสฺสตี’’ติ อมตาธิคมํ ปุจฺฉิฯ โสปิสฺส ‘‘อาม อาวุโส, อมตํ อธิคต’’นฺติ ปฎิชานิตฺวา ตเมว คาถํ อภาสิฯ คาถาปริโยสาเน โกลิโต โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิตฺวา อาห – ‘‘กหํ กิร, สมฺม, สตฺถา วสตี’’ติ? ‘‘เวฬุวเน กิร, สมฺม, วสตี’’ติ เอวํ โน อาจริเยน อสฺสชิเตฺถเรน กถิตนฺติฯ เตน หิ สมฺม อายาม, สตฺถารํ ปสฺสิสฺสามาติฯ สาริปุตฺตเตฺถโร จ นาเมส สทาปิ อาจริยปูชโกว, ตสฺมา สหายํ โกลิตมาณวํ เอวมาห – ‘‘สมฺม, อเมฺหหิ อธิคตํ อมตํ อมฺหากํ อาจริยสฺส สญฺจยปริพฺพาชกสฺสาปิ กเถสฺสามฯ พุชฺฌมาโน ปฎิวิชฺฌิสฺสติ, อปฺปฎิวิชฺฌโนฺต อมฺหากํ สทฺทหิตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คมิสฺสติ, พุทฺธานํ เทสนํ สุตฺวา มคฺคผลปฎิเวธํ กริสฺสตี’’ติฯ

    Kolitaparibbājako taṃ dūratova āgacchantaṃ disvā ‘‘ajja mayhaṃ sahāyakassa mukhavaṇṇo na aññesu divasesu viya, addhā tena amataṃ adhigataṃ bhavissatī’’ti amatādhigamaṃ pucchi. Sopissa ‘‘āma āvuso, amataṃ adhigata’’nti paṭijānitvā tameva gāthaṃ abhāsi. Gāthāpariyosāne kolito sotāpattiphale patiṭṭhahitvā āha – ‘‘kahaṃ kira, samma, satthā vasatī’’ti? ‘‘Veḷuvane kira, samma, vasatī’’ti evaṃ no ācariyena assajittherena kathitanti. Tena hi samma āyāma, satthāraṃ passissāmāti. Sāriputtatthero ca nāmesa sadāpi ācariyapūjakova, tasmā sahāyaṃ kolitamāṇavaṃ evamāha – ‘‘samma, amhehi adhigataṃ amataṃ amhākaṃ ācariyassa sañcayaparibbājakassāpi kathessāma. Bujjhamāno paṭivijjhissati, appaṭivijjhanto amhākaṃ saddahitvā satthu santikaṃ gamissati, buddhānaṃ desanaṃ sutvā maggaphalapaṭivedhaṃ karissatī’’ti.

    ตโต เทฺวปิ ชนา สญฺจยสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘อาจริย, ตฺวํ กิํ กโรสิ, พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน, สฺวากฺขาโต ธโมฺม, สุปฺปฎิปโนฺน สโงฺฆฯ อายาม, ทสพลํ ปสฺสิสฺสามา’’ติฯ โส ‘‘กิํ วเทถ, ตาตา’’ติ เตปิ วาเรตฺวา ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺติเมว เตสํ ทีเปสิฯ เต ‘‘อมฺหากํ เอวรูโป อเนฺตวาสิกวาโส นิจฺจเมว โหตุ, ตุมฺหากํ ปน คมนํ วา อคมนํ วา ชานาถา’’ติ อาหํสุฯ สญฺจโย ‘‘อิเม เอตฺตกํ ชานนฺตา มม วจนํ น กริสฺสนฺตี’’ติ ญตฺวา ‘‘คจฺฉถ ตุเมฺห, ตาตา, อหํ มหลฺลกกาเล อเนฺตวาสิกวาสํ วสิตุํ น สโกฺกมี’’ติ อาหฯ เต อเนเกหิปิ การเณหิ ตํ โพเธตุํ อสโกฺกนฺตา อตฺตโน โอวาเท วตฺตมานํ ชนํ อาทาย เวฬุวนํ อคมํสุฯ อถ เตสํ ปญฺจสุ อเนฺตวาสิกสเตสุ อฑฺฒเตยฺยสตา นิวตฺติํสุ, อฑฺฒเตยฺยสตา เตหิ สทฺธิํ อคมํสุฯ

    Tato dvepi janā sañcayassa santikaṃ gantvā, ‘‘ācariya, tvaṃ kiṃ karosi, buddho loke uppanno, svākkhāto dhammo, suppaṭipanno saṅgho. Āyāma, dasabalaṃ passissāmā’’ti. So ‘‘kiṃ vadetha, tātā’’ti tepi vāretvā lābhaggayasaggappattimeva tesaṃ dīpesi. Te ‘‘amhākaṃ evarūpo antevāsikavāso niccameva hotu, tumhākaṃ pana gamanaṃ vā agamanaṃ vā jānāthā’’ti āhaṃsu. Sañcayo ‘‘ime ettakaṃ jānantā mama vacanaṃ na karissantī’’ti ñatvā ‘‘gacchatha tumhe, tātā, ahaṃ mahallakakāle antevāsikavāsaṃ vasituṃ na sakkomī’’ti āha. Te anekehipi kāraṇehi taṃ bodhetuṃ asakkontā attano ovāde vattamānaṃ janaṃ ādāya veḷuvanaṃ agamaṃsu. Atha tesaṃ pañcasu antevāsikasatesu aḍḍhateyyasatā nivattiṃsu, aḍḍhateyyasatā tehi saddhiṃ agamaṃsu.

    สตฺถา จตุปริสมเชฺฌ ธมฺมํ เทเสโนฺต เต ทูรโตว ทิสฺวา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘เอเต, ภิกฺขเว, เทฺว สหายา อาคจฺฉนฺติ โกลิโต จ อุปติโสฺส จ, เอตํ เม สาวกยุคํ ภวิสฺสติ อคฺคํ ภทฺทยุค’’นฺติฯ อถ เตสํ ปริสาย จริยวเสน ธมฺมเทสนํ วเฑฺฒสิฯ ฐเปตฺวา เทฺว อคฺคสาวเก สเพฺพปิ เต อฑฺฒเตยฺยสตา ปริพฺพาชกา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุ ฯ สตฺถา ‘‘เอถ ภิกฺขโว’’ติ หตฺถํ ปสาเรสิฯ สเพฺพสํ เกสมสฺสุ อนฺตรธายิ, อิทฺธิมยํ ปตฺตจีวรํ กายปฺปฎิพทฺธํ อโหสิฯ ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานมฺปิ อิทฺธิมยปตฺตจีวรํ อาคตํ, อุปริมคฺคตฺตยกิจฺจํ ปน น นิฎฺฐาสิฯ กสฺมา? สาวกปารมิญาณสฺส มหนฺตตายฯ

    Satthā catuparisamajjhe dhammaṃ desento te dūratova disvā bhikkhū āmantesi – ‘‘ete, bhikkhave, dve sahāyā āgacchanti kolito ca upatisso ca, etaṃ me sāvakayugaṃ bhavissati aggaṃ bhaddayuga’’nti. Atha tesaṃ parisāya cariyavasena dhammadesanaṃ vaḍḍhesi. Ṭhapetvā dve aggasāvake sabbepi te aḍḍhateyyasatā paribbājakā arahattaṃ pāpuṇiṃsu . Satthā ‘‘etha bhikkhavo’’ti hatthaṃ pasāresi. Sabbesaṃ kesamassu antaradhāyi, iddhimayaṃ pattacīvaraṃ kāyappaṭibaddhaṃ ahosi. Dvinnaṃ aggasāvakānampi iddhimayapattacīvaraṃ āgataṃ, uparimaggattayakiccaṃ pana na niṭṭhāsi. Kasmā? Sāvakapāramiñāṇassa mahantatāya.

    อถายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ปพฺพชิตทิวสโต สตฺตเม ทิวเส มคธรเฎฺฐ กลฺลวาลคามกํ อุปนิสฺสาย สมณธมฺมํ กโรโนฺต ถินมิเทฺธ โอกฺกเนฺต สตฺถารา สํเวชิโต ถินมิทฺธํ วิโนเทตฺวา ตถาคเตน ทินฺนํ ธาตุกมฺมฎฺฐานํ สุณโนฺตว อุปริมคฺคตฺตยกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา สาวกปารมิญาณสฺส มตฺถกํ ปโตฺตฯ สาริปุตฺตเตฺถโรปิ ปพฺพชิตทิวสโต อทฺธมาสํ อติกฺกมิตฺวา สตฺถารา สทฺธิํ ตเมว ราชคหํ อุปนิสฺสาย สูกรขตเลเณ วิหรโนฺต อตฺตโน ภาคิเนยฺยสฺส ทีฆนขปริพฺพาชกสฺส เวทนาปริคฺคหสุตฺตเนฺต (ม. นิ. ๒.๒๐๕-๒๐๖) เทสิยมาเน สุตฺตานุสาเรน ญาณํ เปเสตฺวา ปรสฺส วฑฺฒิตภตฺตํ ภุญฺชโนฺต วิย สาวกปารมิญาณสฺส มตฺถกํ ปโตฺตฯ ภาคิเนโยฺย ปนสฺส เทสนาปริโยสาเน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิโตฯ อิติ ทฺวินฺนมฺปิ มหาสาวกานํ ตถาคเต ราชคเห วิหรเนฺตเยว สาวกปารมิญาณกิจฺจํ มตฺถกํ ปตฺตํฯ อปรภาเค ปน สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ‘‘มหาปญฺญานํ ยทิทํ สาริปุโตฺต, อิทฺธิมนฺตานํ ยทิทํ มหาโมคฺคลฺลาโน’’ติ เทฺวปิ มหาสาวเก ฐานนฺตเร ฐเปสีติฯ

    Athāyasmā mahāmoggallāno pabbajitadivasato sattame divase magadharaṭṭhe kallavālagāmakaṃ upanissāya samaṇadhammaṃ karonto thinamiddhe okkante satthārā saṃvejito thinamiddhaṃ vinodetvā tathāgatena dinnaṃ dhātukammaṭṭhānaṃ suṇantova uparimaggattayakiccaṃ niṭṭhāpetvā sāvakapāramiñāṇassa matthakaṃ patto. Sāriputtattheropi pabbajitadivasato addhamāsaṃ atikkamitvā satthārā saddhiṃ tameva rājagahaṃ upanissāya sūkarakhataleṇe viharanto attano bhāgineyyassa dīghanakhaparibbājakassa vedanāpariggahasuttante (ma. ni. 2.205-206) desiyamāne suttānusārena ñāṇaṃ pesetvā parassa vaḍḍhitabhattaṃ bhuñjanto viya sāvakapāramiñāṇassa matthakaṃ patto. Bhāgineyyo panassa desanāpariyosāne sotāpattiphale patiṭṭhito. Iti dvinnampi mahāsāvakānaṃ tathāgate rājagahe viharanteyeva sāvakapāramiñāṇakiccaṃ matthakaṃ pattaṃ. Aparabhāge pana satthā jetavane viharanto ‘‘mahāpaññānaṃ yadidaṃ sāriputto, iddhimantānaṃ yadidaṃ mahāmoggallāno’’ti dvepi mahāsāvake ṭhānantare ṭhapesīti.

    มหากสฺสปเตฺถรวตฺถุ

    Mahākassapattheravatthu

    ๑๙๑. จตุเตฺถ ธุตวาทานนฺติ เอตฺถ ธุโต เวทิตโพฺพ, ธุตวาโท เวทิตโพฺพ, ธุตธมฺมา เวทิตพฺพา, ธุตงฺคานิ เวทิตพฺพานิฯ ตตฺถ ธุโตติ ธุตกิเลโส วา ปุคฺคโล กิเลสธุนโน วา ธโมฺมฯ

    191. Catutthe dhutavādānanti ettha dhuto veditabbo, dhutavādo veditabbo, dhutadhammā veditabbā, dhutaṅgāni veditabbāni. Tattha dhutoti dhutakileso vā puggalo kilesadhunano vā dhammo.

    ธุตวาโทติ เอตฺถ ปน อตฺถิ ธุโต น ธุตวาโท, อตฺถิ น ธุโต ธุตวาโท, อตฺถิ เนว ธุโต น ธุตวาโท, อตฺถิ ธุโต เจว ธุตวาโท จฯ ตตฺถ โย ธุตเงฺคน อตฺตโน กิเลเส ธุนิ, ปรํ ปน ธุตเงฺคน น โอวทติ นานุสาสติ พากุลเตฺถโร วิย, อยํ ธุโต น ธุตวาโทฯ ยถาห – ‘‘ตยิทํ อายสฺมา พากุโล ธุโต น ธุตวาโท’’ติฯ โย ปน ธุตเงฺคน อตฺตโน กิเลเส น ธุนิ, เกวลํ อเญฺญ ธุตเงฺคน โอวทติ อนุสาสติ อุปนนฺทเตฺถโร วิย, อยํ น ธุโต ธุตวาโทฯ ยถาห – ‘‘ตยิทํ อายสฺมา อุปนโนฺท น ธุโต ธุตวาโท’’ติฯ โย ปน อุภยวิปโนฺน ลาฬุทายี วิย, อยํ เนว ธุโต น ธุตวาโทฯ ยถาห – ‘‘ตยิทํ อายสฺมา ลาฬุทายี เนว ธุโต น ธุตวาโท’’ติฯ โย ปน อุภยสมฺปโนฺน อายสฺมา มหากสฺสปเตฺถโร วิย, อยํ ธุโต เจว ธุตวาโท จฯ ยถาห – ‘‘ตยิทํ อายสฺมา มหากสฺสโป ธุโต เจว ธุตวาโท จา’’ติฯ

    Dhutavādoti ettha pana atthi dhuto na dhutavādo, atthi na dhuto dhutavādo, atthi neva dhuto na dhutavādo, atthi dhuto ceva dhutavādo ca. Tattha yo dhutaṅgena attano kilese dhuni, paraṃ pana dhutaṅgena na ovadati nānusāsati bākulatthero viya, ayaṃ dhuto na dhutavādo. Yathāha – ‘‘tayidaṃ āyasmā bākulo dhuto na dhutavādo’’ti. Yo pana dhutaṅgena attano kilese na dhuni, kevalaṃ aññe dhutaṅgena ovadati anusāsati upanandatthero viya, ayaṃ na dhuto dhutavādo. Yathāha – ‘‘tayidaṃ āyasmā upanando na dhuto dhutavādo’’ti. Yo pana ubhayavipanno lāḷudāyī viya, ayaṃ neva dhuto na dhutavādo. Yathāha – ‘‘tayidaṃ āyasmā lāḷudāyī neva dhuto na dhutavādo’’ti. Yo pana ubhayasampanno āyasmā mahākassapatthero viya, ayaṃ dhuto ceva dhutavādo ca. Yathāha – ‘‘tayidaṃ āyasmā mahākassapo dhuto ceva dhutavādo cā’’ti.

    ธุตธมฺมา เวทิตพฺพาติ อปฺปิจฺฉตา สนฺตุฎฺฐิตา สเลฺลขตา ปวิเวกตา อิทมฎฺฐิกตาติ อิเม ธุตงฺคเจตนาย ปริวารา ปญฺจ ธมฺมา ‘‘อปฺปิจฺฉํเยว นิสฺสายา’’ติอาทิวจนโต (อ. นิ. ๕.๑๘๑; ปริ. ๓๒๕) ธุตธมฺมา นามฯ ตตฺถ อปฺปิจฺฉตา จ สนฺตุฎฺฐิตา จ อโลโภ, สเลฺลขตา จ ปวิเวกตา จ ทฺวีสุ ธเมฺมสุ อนุปตนฺติ อโลเภ เจว อโมเห จ, อิทมฎฺฐิตา ญาณเมวฯ ตตฺถ อโลเภน ปฎิเกฺขปวตฺถูสุ โลภํ, อโมเหน เตเสฺวว อาทีนวปฺปฎิจฺฉาทกํ โมหํ ธุนาติฯ อโลเภน จ อนุญฺญาตานํ ปฎิเสวนมุเขน ปวตฺตํ กามสุขลฺลิกานุโยคํ, อโมเหน ธุตเงฺคสุ อติสเลฺลขมุเขน ปวตฺตํ อตฺตกิลมถานุโยคํ ธุนาติฯ ตสฺมา อิเม ธมฺมา ธุตธมฺมาติ เวทิตพฺพาฯ

    Dhutadhammā veditabbāti appicchatā santuṭṭhitā sallekhatā pavivekatā idamaṭṭhikatāti ime dhutaṅgacetanāya parivārā pañca dhammā ‘‘appicchaṃyeva nissāyā’’tiādivacanato (a. ni. 5.181; pari. 325) dhutadhammā nāma. Tattha appicchatā ca santuṭṭhitā ca alobho, sallekhatā ca pavivekatā ca dvīsu dhammesu anupatanti alobhe ceva amohe ca, idamaṭṭhitā ñāṇameva. Tattha alobhena paṭikkhepavatthūsu lobhaṃ, amohena tesveva ādīnavappaṭicchādakaṃ mohaṃ dhunāti. Alobhena ca anuññātānaṃ paṭisevanamukhena pavattaṃ kāmasukhallikānuyogaṃ, amohena dhutaṅgesu atisallekhamukhena pavattaṃ attakilamathānuyogaṃ dhunāti. Tasmā ime dhammā dhutadhammāti veditabbā.

    ธุตงฺคานิ เวทิตพฺพานีติ เตรส ธุตงฺคานิ เวทิตพฺพานิ ปํสุกูลิกงฺคํ…เป.… เนสชฺชิกงฺคนฺติฯ

    Dhutaṅgāni veditabbānīti terasa dhutaṅgāni veditabbāni paṃsukūlikaṅgaṃ…pe… nesajjikaṅganti.

    ธุตวาทานํ ยทิทํ มหากสฺสโปติ ยตฺตกา ธุตวาทํ วทนฺติ, เตสํ สเพฺพสมฺปิ อนฺตเร อยํ มหากสฺสปเตฺถโร อโคฺคติ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ มหากสฺสโปติ อุรุเวฬกสฺสโป นทีกสฺสโป คยากสฺสโป กุมารกสฺสโปติ อิเม ขุทฺทานุขุทฺทเก เถเร อุปาทาย อยํ มหา, ตสฺมา มหากสฺสโปติ วุโตฺตฯ

    Dhutavādānaṃ yadidaṃ mahākassapoti yattakā dhutavādaṃ vadanti, tesaṃ sabbesampi antare ayaṃ mahākassapatthero aggoti aggaṭṭhāne ṭhapesi. Mahākassapoti uruveḷakassapo nadīkassapo gayākassapo kumārakassapoti ime khuddānukhuddake there upādāya ayaṃ mahā, tasmā mahākassapoti vutto.

    อิมสฺสาปิ ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อตีเต กิร กปฺปสตสหสฺสมตฺถเก ปทุมุตฺตโร นาม สตฺถา โลเก อุทปาทิ, ตสฺมิํ หํสวตีนครํ อุปนิสฺสาย เขเม มิคทาเย วิหรเนฺต เวเทโห นาม กุฎุมฺพิโก อสีติโกฎิธนวิภโว ปาโตว สุโภชนํ ภุญฺชิตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย คนฺธปุปฺผาทีนิ คเหตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารํ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ตสฺมิญฺจ ขเณ สตฺถา มหานิสภเตฺถรํ นาม ตติยสาวกํ ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ธุตวาทานํ, ยทิทํ นิสโภ’’ติ เอตทเคฺค ฐเปสิฯ อุปาสโก ตํ สุตฺวา ปสโนฺน ธมฺมกถาวสาเน มหาชเน อุฎฺฐาย คเต สตฺถารํ วนฺทิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, เสฺว มยฺหํ ภิกฺขํ อธิวาเสถา’’ติ อาหฯ มหา โข, อุปาสก, ภิกฺขุสโงฺฆติฯ กิตฺตโก ภควาติ? อฎฺฐสฎฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสนฺติฯ ภเนฺต, เอกํ สามเณรมฺปิ วิหาเร อเสเสตฺวา ภิกฺขํ อธิวาเสถาติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ อุปาสโก สตฺถุ อธิวาสนํ วิทิตฺวา เคหํ คนฺตฺวา มหาทานํ สเชฺชตฺวา ปุนทิวเส สตฺถุ กาลํ อาโรจาเปสิฯ สตฺถา ปตฺตจีวรมาทาย ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อุปาสกสฺส ฆรํ คนฺตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสิโนฺน ทกฺขิโณทกาวสาเน ยาคุอาทีนิ สมฺปฎิจฺฉโนฺต ภตฺตวิสฺสคฺคํ อกาสิฯ อุปาสโกปิ สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิฯ

    Imassāpi pañhakamme ayamanupubbikathā – atīte kira kappasatasahassamatthake padumuttaro nāma satthā loke udapādi, tasmiṃ haṃsavatīnagaraṃ upanissāya kheme migadāye viharante vedeho nāma kuṭumbiko asītikoṭidhanavibhavo pātova subhojanaṃ bhuñjitvā uposathaṅgāni adhiṭṭhāya gandhapupphādīni gahetvā vihāraṃ gantvā satthāraṃ pūjetvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Tasmiñca khaṇe satthā mahānisabhattheraṃ nāma tatiyasāvakaṃ ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ dhutavādānaṃ, yadidaṃ nisabho’’ti etadagge ṭhapesi. Upāsako taṃ sutvā pasanno dhammakathāvasāne mahājane uṭṭhāya gate satthāraṃ vanditvā, ‘‘bhante, sve mayhaṃ bhikkhaṃ adhivāsethā’’ti āha. Mahā kho, upāsaka, bhikkhusaṅghoti. Kittako bhagavāti? Aṭṭhasaṭṭhibhikkhusatasahassanti. Bhante, ekaṃ sāmaṇerampi vihāre asesetvā bhikkhaṃ adhivāsethāti. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvena. Upāsako satthu adhivāsanaṃ viditvā gehaṃ gantvā mahādānaṃ sajjetvā punadivase satthu kālaṃ ārocāpesi. Satthā pattacīvaramādāya bhikkhusaṅghaparivuto upāsakassa gharaṃ gantvā paññatte āsane nisinno dakkhiṇodakāvasāne yāguādīni sampaṭicchanto bhattavissaggaṃ akāsi. Upāsakopi satthu santike nisīdi.

    ตสฺมิํ อนฺตเร มหานิสภเตฺถโร ปิณฺฑาย จรโนฺต ตเมว วีถิ ปฎิปชฺชิฯ อุปาสโก ทิสฺวา อุฎฺฐาย คนฺตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา ‘‘ปตฺตํ, ภเนฺต, เทถา’’ติ อาหฯ เถโร ปตฺตํ อทาสิฯ ‘‘ภเนฺต, อิเธว ปวิสถ, สตฺถาปิ เคเห นิสิโนฺน’’ติฯ น วฎฺฎิสฺสติ อุปาสกาติฯ อุปาสโก เถรสฺส ปตฺตํ คเหตฺวา ปิณฺฑปาตสฺส ปูเรตฺวา นีหริตฺวา อทาสิฯ ตโต เถรํ อนุคนฺตฺวา นิวโตฺต สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิตฺวา เอวมาห – ‘‘ภเนฺต, มหานิสภเตฺถโร ‘สตฺถา เคเห นิสิโนฺน’ติ วุเตฺตปิ ปวิสิตุํ น อิจฺฉิ, อตฺถิ นุ โข เอตสฺส ตุมฺหากํ คุเณหิ อติเรโก คุโณ’’ติฯ พุทฺธานญฺจ วณฺณมเจฺฉรํ นาม นตฺถิฯ อถ สตฺถา เอวมาห – ‘‘อุปาสก, มยํ ภิกฺขํ อาคมยมานา เคเห นิสีทาม, โส ภิกฺขุ น เอวํ นิสีทิตฺวา ภิกฺขํ อุทิกฺขติฯ มยํ คามนฺตเสนาสเน วสาม, โส อรญฺญสฺมิํเยว วสติฯ มยํ ฉเนฺน วสาม, โส อโพฺภกาสมฺหิเยว วสติฯ อิติ ตสฺส อยญฺจ อยญฺจ คุโณ’’ติ มหาสมุทฺทํ ปูรยมาโน วิย กเถสิฯ อุปาสโก ปกติยาปิ ชลมานทีโป เตเลน อาสิโตฺต วิย สุฎฺฐุตรํ ปสโนฺน หุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘กิํ มยฺหํ อญฺญาย สมฺปตฺติยา, อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สนฺติเก ธุตวาทานํ อคฺคภาวตฺถาย ปตฺถนํ กริสฺสามี’’ติ?

    Tasmiṃ antare mahānisabhatthero piṇḍāya caranto tameva vīthi paṭipajji. Upāsako disvā uṭṭhāya gantvā theraṃ vanditvā ‘‘pattaṃ, bhante, dethā’’ti āha. Thero pattaṃ adāsi. ‘‘Bhante, idheva pavisatha, satthāpi gehe nisinno’’ti. Na vaṭṭissati upāsakāti. Upāsako therassa pattaṃ gahetvā piṇḍapātassa pūretvā nīharitvā adāsi. Tato theraṃ anugantvā nivatto satthu santike nisīditvā evamāha – ‘‘bhante, mahānisabhatthero ‘satthā gehe nisinno’ti vuttepi pavisituṃ na icchi, atthi nu kho etassa tumhākaṃ guṇehi atireko guṇo’’ti. Buddhānañca vaṇṇamaccheraṃ nāma natthi. Atha satthā evamāha – ‘‘upāsaka, mayaṃ bhikkhaṃ āgamayamānā gehe nisīdāma, so bhikkhu na evaṃ nisīditvā bhikkhaṃ udikkhati. Mayaṃ gāmantasenāsane vasāma, so araññasmiṃyeva vasati. Mayaṃ channe vasāma, so abbhokāsamhiyeva vasati. Iti tassa ayañca ayañca guṇo’’ti mahāsamuddaṃ pūrayamāno viya kathesi. Upāsako pakatiyāpi jalamānadīpo telena āsitto viya suṭṭhutaraṃ pasanno hutvā cintesi – ‘‘kiṃ mayhaṃ aññāya sampattiyā, anāgate ekassa buddhassa santike dhutavādānaṃ aggabhāvatthāya patthanaṃ karissāmī’’ti?

    โส ปุนปิ สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา เตเนว นิยาเมน สตฺต ทิวสานิ มหาทานํ ทตฺวา สตฺตเม ทิวเส พุทฺธปฺปมุขสฺส มหาภิกฺขุสงฺฆสฺส ติจีวรานิ ทตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา เอวมาห – ‘‘ยํ เม, ภเนฺต, สตฺต ทิวสานิ ทานํ เทนฺตสฺส เมตฺตํ กายกมฺมํ เมตฺตํ วจีกมฺมํ เมตฺตํ มโนกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ, อิมินาหํ น อญฺญํ เทวสมฺปตฺติํ วา สกฺกมารพฺรหฺมสมฺปตฺติํ วา ปเตฺถมิ, อิทํ ปน เม กมฺมํ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สนฺติเก เอตสฺส มหานิสภเตฺถเรน ปตฺตฐานนฺตรํ ปาปุณนตฺถาย เตรสธุตงฺคธรานํ อคฺคภาวสฺส สจฺจกาโร โหตู’’ติฯ สตฺถา ‘‘มหนฺตํ ฐานํ อิมินา ปตฺถิตํ, สมิชฺฌิสฺสติ นุ โข, โน’’ติ โอโลเกโนฺต สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา อาห – ‘‘มนาปํ เต ฐานํ ปตฺถิตํ , อนาคเต สตสหสฺสกปฺปาวสาเน โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺส ตฺวํ ตติยสาวโก มหากสฺสปเตฺถโร นาม ภวิสฺสสี’’ติฯ ตํ สุตฺวา อุปาสโก ‘‘พุทฺธานํ เทฺว กถา นาม นตฺถี’’ติ ปุนทิวเส ปตฺตพฺพํ วิย ตํ สมฺปตฺติํ อมญฺญิตฺถฯ โส ยาวตายุกํ นานปฺปการํ ทานํ ทตฺวา สีลํ รกฺขิตฺวา นานปฺปการํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา ตตฺถ กาลํ กโต สเคฺค นิพฺพตฺติฯ

    So punapi satthāraṃ nimantetvā teneva niyāmena satta divasāni mahādānaṃ datvā sattame divase buddhappamukhassa mahābhikkhusaṅghassa ticīvarāni datvā satthu pādamūle nipajjitvā evamāha – ‘‘yaṃ me, bhante, satta divasāni dānaṃ dentassa mettaṃ kāyakammaṃ mettaṃ vacīkammaṃ mettaṃ manokammaṃ paccupaṭṭhitaṃ, imināhaṃ na aññaṃ devasampattiṃ vā sakkamārabrahmasampattiṃ vā patthemi, idaṃ pana me kammaṃ anāgate ekassa buddhassa santike etassa mahānisabhattherena pattaṭhānantaraṃ pāpuṇanatthāya terasadhutaṅgadharānaṃ aggabhāvassa saccakāro hotū’’ti. Satthā ‘‘mahantaṃ ṭhānaṃ iminā patthitaṃ, samijjhissati nu kho, no’’ti olokento samijjhanabhāvaṃ disvā āha – ‘‘manāpaṃ te ṭhānaṃ patthitaṃ , anāgate satasahassakappāvasāne gotamo nāma buddho uppajjissati, tassa tvaṃ tatiyasāvako mahākassapatthero nāma bhavissasī’’ti. Taṃ sutvā upāsako ‘‘buddhānaṃ dve kathā nāma natthī’’ti punadivase pattabbaṃ viya taṃ sampattiṃ amaññittha. So yāvatāyukaṃ nānappakāraṃ dānaṃ datvā sīlaṃ rakkhitvā nānappakāraṃ kalyāṇakammaṃ katvā tattha kālaṃ kato sagge nibbatti.

    ตโต ปฎฺฐาย เทวมนุเสฺสสุ สมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต อิโต เอกนวุติกเปฺป วิปสฺสิสมฺมาสมฺพุเทฺธ พนฺธุมติํ นิสฺสาย เขเม มิคทาเย วิหรเนฺต เทวโลกา จวิตฺวา อญฺญตรสฺมิํ ปริชิเณฺณ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติฯ ตสฺมิญฺจ กาเล วิปสฺสี ภควา สตฺตเม สตฺตเม สํวจฺฉเร ธมฺมํ กเถติ, มหนฺตํ โกลาหลํ อโหสิฯ สกลชมฺพุทีเป เทวตา ‘‘สตฺถา ธมฺมํ กเถสฺสตี’’ติ อาโรเจนฺติฯ พฺราหฺมโณ ตํ สาสนํ อโสฺสสิฯ ตสฺส จ นิวาสนสาฎโก เอโกว โหติ, ตถา พฺราหฺมณิยาฯ ปารุปนํ ปน ทฺวินฺนมฺปิ เอกเมวฯ สกลนคเร เอกสาฎกพฺราหฺมโณติ ปญฺญายติฯ พฺราหฺมณานํ เกนจิเทว กิเจฺจน สนฺนิปาเต สติ พฺราหฺมณิํ เคเห ฐเปตฺวา สยํ คจฺฉติฯ พฺราหฺมณีนํ สนฺนิปาเต สติ สยํ เคเห ติฎฺฐติ, พฺราหฺมณี ตํ วตฺถํ ปารุปิตฺวา คจฺฉติฯ ตสฺมิํ ปน ทิวเส พฺราหฺมโณ พฺราหฺมณิํ อาห – ‘‘โภติ, กิํ รตฺติํ ธมฺมสฺสวนํ สุณิสฺสสิ, ทิวา’’ติฯ ‘‘มยํ มาตุคามชาติกา นาม รตฺติํ โสตุํ น สโกฺกม, ทิวา โสสฺสามี’’ติ พฺราหฺมณํ เคเห ฐเปตฺวา ตํ วตฺถํ ปารุปิตฺวา อุปาสิกาหิ สทฺธิํ ทิวา คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมเนฺต นิสินฺนา ธมฺมํ สุตฺวา อุปาสิกาหิเยว สทฺธิํ อาคมาสิฯ อถ พฺราหฺมโณ พฺราหฺมณิํ เคเห ฐเปตฺวา ตํ วตฺถํ ปารุปิตฺวา วิหารํ คโตฯ

    Tato paṭṭhāya devamanussesu sampattiṃ anubhavanto ito ekanavutikappe vipassisammāsambuddhe bandhumatiṃ nissāya kheme migadāye viharante devalokā cavitvā aññatarasmiṃ parijiṇṇe brāhmaṇakule nibbatti. Tasmiñca kāle vipassī bhagavā sattame sattame saṃvacchare dhammaṃ katheti, mahantaṃ kolāhalaṃ ahosi. Sakalajambudīpe devatā ‘‘satthā dhammaṃ kathessatī’’ti ārocenti. Brāhmaṇo taṃ sāsanaṃ assosi. Tassa ca nivāsanasāṭako ekova hoti, tathā brāhmaṇiyā. Pārupanaṃ pana dvinnampi ekameva. Sakalanagare ekasāṭakabrāhmaṇoti paññāyati. Brāhmaṇānaṃ kenacideva kiccena sannipāte sati brāhmaṇiṃ gehe ṭhapetvā sayaṃ gacchati. Brāhmaṇīnaṃ sannipāte sati sayaṃ gehe tiṭṭhati, brāhmaṇī taṃ vatthaṃ pārupitvā gacchati. Tasmiṃ pana divase brāhmaṇo brāhmaṇiṃ āha – ‘‘bhoti, kiṃ rattiṃ dhammassavanaṃ suṇissasi, divā’’ti. ‘‘Mayaṃ mātugāmajātikā nāma rattiṃ sotuṃ na sakkoma, divā sossāmī’’ti brāhmaṇaṃ gehe ṭhapetvā taṃ vatthaṃ pārupitvā upāsikāhi saddhiṃ divā gantvā satthāraṃ vanditvā ekamante nisinnā dhammaṃ sutvā upāsikāhiyeva saddhiṃ āgamāsi. Atha brāhmaṇo brāhmaṇiṃ gehe ṭhapetvā taṃ vatthaṃ pārupitvā vihāraṃ gato.

    ตสฺมิญฺจ สมเย สตฺถา ปริสมเชฺฌ อลงฺกตธมฺมาสเน นิสิโนฺน จิตฺตพีชนิํ อาทาย อากาสคงฺคํ โอตาเรโนฺต วิย สิเนรุํ มตฺถํ กตฺวา สาครํ นิมฺมเถโนฺต วิย ธมฺมกถํ กเถสิฯ พฺราหฺมณสฺส ปริสเนฺต นิสินฺนสฺส ธมฺมํ สุณนฺตสฺส ปฐมยามสฺมิํเยว สกลสรีรํ ปูรยมานา ปญฺจวณฺณา ปีติ อุปฺปชฺชิฯ โส ปารุตวตฺถํ สงฺฆริตฺวา ‘‘ทสพลสฺส ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ อตฺถสฺส อาทีนวสหสฺสํ ทสฺสยมานํ มเจฺฉรํ อุปฺปชฺชิฯ โส ‘‘พฺราหฺมณิยา จ มยฺหญฺจ เอกเมว วตฺถํ, อญฺญํ กิญฺจิ ปารุปนํ นตฺถิ, อปารุปิตฺวา จ นาม พหิ จริตุํ น สกฺกา’’ติ สพฺพถาปิ อทาตุกาโม อโหสิฯ อถสฺส นิกฺขเนฺต ปฐมยาเม มชฺฌิมยาเมปิ ตเถว ปีติ อุปฺปชฺชิฯ โส ตเถว จิเนฺตตฺวา ตเถว อทาตุกาโม อโหสิฯ อถสฺส มชฺฌิมยาเม นิกฺขเนฺต ปจฺฉิมยาเมปิ ตเถว ปีติ อุปฺปชฺชิฯ โส ‘‘ตรณํ วา โหตุ มรณํ วา, ปจฺฉาปิ ชานิสฺสามี’’ติ วตฺถํ สงฺฆริตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล ฐเปสิฯ ตโต วามหตฺถํ อาภุชิตฺวา ทกฺขิเณน หเตฺถน ติกฺขตฺตุํ อโปฺผเฎตฺวา ‘‘ชิตํ เม, ชิตํ เม’’ติ ตโย วาเร นทิฯ

    Tasmiñca samaye satthā parisamajjhe alaṅkatadhammāsane nisinno cittabījaniṃ ādāya ākāsagaṅgaṃ otārento viya sineruṃ matthaṃ katvā sāgaraṃ nimmathento viya dhammakathaṃ kathesi. Brāhmaṇassa parisante nisinnassa dhammaṃ suṇantassa paṭhamayāmasmiṃyeva sakalasarīraṃ pūrayamānā pañcavaṇṇā pīti uppajji. So pārutavatthaṃ saṅgharitvā ‘‘dasabalassa dassāmī’’ti cintesi. Atthassa ādīnavasahassaṃ dassayamānaṃ maccheraṃ uppajji. So ‘‘brāhmaṇiyā ca mayhañca ekameva vatthaṃ, aññaṃ kiñci pārupanaṃ natthi, apārupitvā ca nāma bahi carituṃ na sakkā’’ti sabbathāpi adātukāmo ahosi. Athassa nikkhante paṭhamayāme majjhimayāmepi tatheva pīti uppajji. So tatheva cintetvā tatheva adātukāmo ahosi. Athassa majjhimayāme nikkhante pacchimayāmepi tatheva pīti uppajji. So ‘‘taraṇaṃ vā hotu maraṇaṃ vā, pacchāpi jānissāmī’’ti vatthaṃ saṅgharitvā satthu pādamūle ṭhapesi. Tato vāmahatthaṃ ābhujitvā dakkhiṇena hatthena tikkhattuṃ apphoṭetvā ‘‘jitaṃ me, jitaṃ me’’ti tayo vāre nadi.

    ตสฺมิญฺจ สมเย พนฺธุมราชา ธมฺมาสนสฺส ปจฺฉโต อโนฺตสาณิยํ นิสิโนฺน ธมฺมํ สุณาติฯ รโญฺญ จ นาม ‘‘ชิตํ เม’’ติ สโทฺท อมนาโป โหติฯ โส ปุริสํ เปเสสิ – ‘‘คจฺฉ เอตํ ปุจฺฉ กิํ วทสี’’ติฯ โส เตน คนฺตฺวา ปุจฺฉิโต อาห – ‘‘อวเสสา หตฺถิยานาทีนิ อารุยฺห อสิจมฺมาทีนิ คเหตฺวา ปรเสนํ ชินนฺติ, น ตํ ชิตํ อจฺฉริยํ, อหํ ปน ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺตสฺส ทุฎฺฐโคณสฺส มุคฺคเรน สีสํ ภินฺทิตฺวา ตํ ปลาเปโนฺต วิย มเจฺฉรจิตฺตํ มทฺทิตฺวา ปารุตวตฺถํ ทสพลสฺส อทาสิํ, ตํ เม มจฺฉริยํ ชิต’’นฺติ อาหฯ โส ปุริโส อาคนฺตฺวา ตํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา อาห – ‘‘อเมฺห ภเณ ทสพลสฺส อนุรูปํ น ชานิมฺห, พฺราหฺมโณ ชานี’’ติ วตฺถยุคํ เปเสสิฯ ตํ ทิสฺวา พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ มยฺหํ ตุณฺหี นิสินฺนสฺส ปฐมํ กิญฺจิ อทตฺวา สตฺถุ คุเณ กเถนฺตสฺส อทาสิ, สตฺถุ คุเณ ปฎิจฺจ อุปฺปเนฺนน มยฺหํ โก อโตฺถ’’ติ? ตมฺปิ วตฺถยุคํ ทสพลเสฺสว อทาสิฯ ราชาปิ ‘‘กิํ พฺราหฺมเณน กต’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ตมฺปิ เตน วตฺถยุคํ ตถาคตเสฺสว ทินฺน’’นฺติ สุตฺวา อญฺญานิปิ เทฺว วตฺถยุคานิ เปเสสิฯ โส ตานิปิ อทาสิฯ ราชา อญฺญานิปิ จตฺตารีติ เอวํ ยาว ทฺวตฺติํสวตฺถยุคานิ เปเสสิฯ อถ พฺราหฺมโณ ‘‘อิทํ วเฑฺฒตฺวา คหณํ วิย โหตี’’ติ อตฺตโน อตฺถาย เอกํ, พฺราหฺมณิยา เอกนฺติ เทฺว วตฺถยุคานิ คเหตฺวา ติํส ยุคานิ ตถาคตเสฺสว อทาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย จสฺส สตฺถุ วิสฺสาสิโก ชาโตฯ

    Tasmiñca samaye bandhumarājā dhammāsanassa pacchato antosāṇiyaṃ nisinno dhammaṃ suṇāti. Rañño ca nāma ‘‘jitaṃ me’’ti saddo amanāpo hoti. So purisaṃ pesesi – ‘‘gaccha etaṃ puccha kiṃ vadasī’’ti. So tena gantvā pucchito āha – ‘‘avasesā hatthiyānādīni āruyha asicammādīni gahetvā parasenaṃ jinanti, na taṃ jitaṃ acchariyaṃ, ahaṃ pana pacchato āgacchantassa duṭṭhagoṇassa muggarena sīsaṃ bhinditvā taṃ palāpento viya maccheracittaṃ madditvā pārutavatthaṃ dasabalassa adāsiṃ, taṃ me macchariyaṃ jita’’nti āha. So puriso āgantvā taṃ pavattiṃ rañño ārocesi. Rājā āha – ‘‘amhe bhaṇe dasabalassa anurūpaṃ na jānimha, brāhmaṇo jānī’’ti vatthayugaṃ pesesi. Taṃ disvā brāhmaṇo cintesi – ‘‘ayaṃ mayhaṃ tuṇhī nisinnassa paṭhamaṃ kiñci adatvā satthu guṇe kathentassa adāsi, satthu guṇe paṭicca uppannena mayhaṃ ko attho’’ti? Tampi vatthayugaṃ dasabalasseva adāsi. Rājāpi ‘‘kiṃ brāhmaṇena kata’’nti pucchitvā ‘‘tampi tena vatthayugaṃ tathāgatasseva dinna’’nti sutvā aññānipi dve vatthayugāni pesesi. So tānipi adāsi. Rājā aññānipi cattārīti evaṃ yāva dvattiṃsavatthayugāni pesesi. Atha brāhmaṇo ‘‘idaṃ vaḍḍhetvā gahaṇaṃ viya hotī’’ti attano atthāya ekaṃ, brāhmaṇiyā ekanti dve vatthayugāni gahetvā tiṃsa yugāni tathāgatasseva adāsi. Tato paṭṭhāya cassa satthu vissāsiko jāto.

    อถ นํ ราชา เอกทิวสํ สีตสมเย สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุณนฺตํ ทิสฺวา สตสหสฺสคฺฆนกํ อตฺตโน ปารุตรตฺตกมฺพลํ ทตฺวา อาห – ‘‘อิโต ปตฺถาย อิมํ ปารุปิตฺวา ธมฺมํ สุณาหี’’ติฯ โส ‘‘กิํ เม อิมินา กมฺพเลน อิมสฺมิํ ปูติกาเย อุปนีเตนา’’ติ จิเนฺตตฺวา อโนฺตคนฺธกุฎิยํ ตถาคตสฺส มญฺจสฺส อุปริ วิตานํ กตฺวา อคมาสิฯ อเถกทิวสํ ราชา ปาโตว วิหารํ คนฺตฺวา อโนฺตคนฺธกุฎิยํ สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิฯ ตสฺมิญฺจ สมเย ฉพฺพณฺณา พุทฺธรสฺมิโย กมฺพเล ปฎิหญฺญนฺติ, กมฺพโล อติวิย วิโรจติฯ ราชา โอโลเกโนฺต สญฺชานิตฺวา อาห – ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ เอส กมฺพโล, อเมฺหหิ เอกสาฎกพฺราหฺมณสฺส ทิโนฺน’’ติฯ ตุเมฺหหิ, มหาราช, พฺราหฺมโณ ปูชิโต, พฺราหฺมเณน มยํ ปูชิตาติฯ ราชา ‘‘พฺราหฺมโณ ยุตฺตํ อญฺญาสิ, น มย’’นฺติ ปสีทิตฺวา ยํ มนุสฺสานํ อุปการภูตํ, ตํ สพฺพํ อฎฺฐฎฺฐกํ กตฺวา สพฺพอฎฺฐกํ นาม ทานํ ทตฺวา ปุโรหิตฎฺฐาเน ฐเปสิฯ โสปิ ‘‘อฎฺฐฎฺฐกํ นาม จตุสฎฺฐิ โหตี’’ติ จตุสฎฺฐิ สลากาภตฺตานิ อุปนิพนฺธาเปตฺวา ยาวชีวํ ทานํ ทตฺวา สีลํ รกฺขิตฺวา ตโต จุโต สเคฺค นิพฺพตฺติฯ

    Atha naṃ rājā ekadivasaṃ sītasamaye satthu santike dhammaṃ suṇantaṃ disvā satasahassagghanakaṃ attano pārutarattakambalaṃ datvā āha – ‘‘ito patthāya imaṃ pārupitvā dhammaṃ suṇāhī’’ti. So ‘‘kiṃ me iminā kambalena imasmiṃ pūtikāye upanītenā’’ti cintetvā antogandhakuṭiyaṃ tathāgatassa mañcassa upari vitānaṃ katvā agamāsi. Athekadivasaṃ rājā pātova vihāraṃ gantvā antogandhakuṭiyaṃ satthu santike nisīdi. Tasmiñca samaye chabbaṇṇā buddharasmiyo kambale paṭihaññanti, kambalo ativiya virocati. Rājā olokento sañjānitvā āha – ‘‘bhante, amhākaṃ esa kambalo, amhehi ekasāṭakabrāhmaṇassa dinno’’ti. Tumhehi, mahārāja, brāhmaṇo pūjito, brāhmaṇena mayaṃ pūjitāti. Rājā ‘‘brāhmaṇo yuttaṃ aññāsi, na maya’’nti pasīditvā yaṃ manussānaṃ upakārabhūtaṃ, taṃ sabbaṃ aṭṭhaṭṭhakaṃ katvā sabbaaṭṭhakaṃ nāma dānaṃ datvā purohitaṭṭhāne ṭhapesi. Sopi ‘‘aṭṭhaṭṭhakaṃ nāma catusaṭṭhi hotī’’ti catusaṭṭhi salākābhattāni upanibandhāpetvā yāvajīvaṃ dānaṃ datvā sīlaṃ rakkhitvā tato cuto sagge nibbatti.

    ปุน ตโต จุโต อิมสฺมิํ กเปฺป โกณาคมนสฺส จ ภควโต กสฺสปทสพลสฺส จาติ ทฺวินฺนํ พุทฺธานํ อนฺตเร พาราณสิยํ กุฎุมฺพิยฆเร นิพฺพโตฺตฯ โส วุทฺธิมนฺวาย ฆราวาสํ วสโนฺต เอกทิวสํ อรเญฺญ ชงฺฆวิหารํ จรติ, ตสฺมิํ จ สมเย ปเจฺจกพุโทฺธ นทีตีเร จีวรกมฺมํ กโรโนฺต อนุวาเต อปฺปโหเนฺต สงฺฆริตฺวา ฐเปตุํ อารโทฺธฯ โส ทิสฺวา ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, สงฺฆริตฺวา ฐเปถา’’ติ อาหฯ อนุวาโต นปฺปโหตีติ ฯ ‘‘อิมินา, ภเนฺต, กโรถา’’ติ สาฎกํ ทตฺวา ‘‘นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน เม เกนจิ ปริหานิ มา โหตู’’ติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ

    Puna tato cuto imasmiṃ kappe koṇāgamanassa ca bhagavato kassapadasabalassa cāti dvinnaṃ buddhānaṃ antare bārāṇasiyaṃ kuṭumbiyaghare nibbatto. So vuddhimanvāya gharāvāsaṃ vasanto ekadivasaṃ araññe jaṅghavihāraṃ carati, tasmiṃ ca samaye paccekabuddho nadītīre cīvarakammaṃ karonto anuvāte appahonte saṅgharitvā ṭhapetuṃ āraddho. So disvā ‘‘kasmā, bhante, saṅgharitvā ṭhapethā’’ti āha. Anuvāto nappahotīti . ‘‘Iminā, bhante, karothā’’ti sāṭakaṃ datvā ‘‘nibbattanibbattaṭṭhāne me kenaci parihāni mā hotū’’ti patthanaṃ paṭṭhapesi.

    อถ ฆเรปิสฺส ภคินิยา สทฺธิํ ภริยาย กลหํ กโรนฺติยา ปเจฺจกพุโทฺธ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถสฺส ภคินี ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา ตสฺส ภริยํ สนฺธาย, ‘‘เอวรูปํ พาลํ โยชนสเตน ปริวเชฺชยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ สา เคหทฺวาเร ฐิตา สุตฺวา ‘‘อิมาย ทินฺนํ ภตฺตํ มา เอส ภุญฺชตู’’ติ ปตฺตํ คเหตฺวา ปิณฺฑปาตํ ฉเฑฺฑตฺวา กลลสฺส ปูเรตฺวา อทาสิฯ อิตรา ทิสฺวา ‘‘พาเล มํ ตาว อโกฺกส วา ปหร วา, เอวรูปสฺส ปน เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ ปูริตปารมิสฺส ปตฺตโต ภตฺตํ ฉเฑฺฑตฺวา กลลํ ทาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ อาหฯ อถสฺส ภริยาย ปฎิสงฺขานํ อุปฺปชฺชิฯ สา ‘‘ติฎฺฐถ, ภเนฺต’’ติ กลลํ ฉเฑฺฑตฺวา ปตฺตํ โธวิตฺวา คนฺธจุเณฺณน อุพฺพเฎฺฎตฺวา จตุมธุรสฺส ปูเรตฺวา อุปริ อาสิเตฺตน ปทุมคพฺภวเณฺณน สปฺปินา วิโชฺชตมานํ ปเจฺจกพุทฺธสฺส หเตฺถ ฐเปตฺวา ‘‘ยถา อยํ ปิณฺฑปาโต โอภาสชาโต, เอวํ โอภาสชาตํ เม สรีรํ โหตู’’ติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ อนุโมทิตฺวา อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ เตปิ เทฺว ชายมฺปติกา ยาวตายุกํ กุสลํ กตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา ปุน ตโต จวิตฺวา อุปาสโก กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล พาราณสิยํ อสีติโกฎิวิภวสฺส เสฎฺฐิโน ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, อิตราปิ ตาทิสเสฺสว เสฎฺฐิโน ธีตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ

    Atha gharepissa bhaginiyā saddhiṃ bhariyāya kalahaṃ karontiyā paccekabuddho piṇḍāya pāvisi. Athassa bhaginī paccekabuddhassa piṇḍapātaṃ datvā tassa bhariyaṃ sandhāya, ‘‘evarūpaṃ bālaṃ yojanasatena parivajjeyya’’nti patthanaṃ paṭṭhapesi. Sā gehadvāre ṭhitā sutvā ‘‘imāya dinnaṃ bhattaṃ mā esa bhuñjatū’’ti pattaṃ gahetvā piṇḍapātaṃ chaḍḍetvā kalalassa pūretvā adāsi. Itarā disvā ‘‘bāle maṃ tāva akkosa vā pahara vā, evarūpassa pana dve asaṅkhyeyyāni pūritapāramissa pattato bhattaṃ chaḍḍetvā kalalaṃ dātuṃ na yutta’’nti āha. Athassa bhariyāya paṭisaṅkhānaṃ uppajji. Sā ‘‘tiṭṭhatha, bhante’’ti kalalaṃ chaḍḍetvā pattaṃ dhovitvā gandhacuṇṇena ubbaṭṭetvā catumadhurassa pūretvā upari āsittena padumagabbhavaṇṇena sappinā vijjotamānaṃ paccekabuddhassa hatthe ṭhapetvā ‘‘yathā ayaṃ piṇḍapāto obhāsajāto, evaṃ obhāsajātaṃ me sarīraṃ hotū’’ti patthanaṃ paṭṭhapesi. Paccekabuddho anumoditvā ākāsaṃ pakkhandi. Tepi dve jāyampatikā yāvatāyukaṃ kusalaṃ katvā sagge nibbattitvā puna tato cavitvā upāsako kassapasammāsambuddhakāle bārāṇasiyaṃ asītikoṭivibhavassa seṭṭhino putto hutvā nibbatti, itarāpi tādisasseva seṭṭhino dhītā hutvā nibbatti.

    ตสฺส วุทฺธิปฺปตฺตสฺส ตเมว เสฎฺฐิธีตรํ อานยิํสุฯ ตสฺสา ปุเพฺพ อทินฺนวิปากสฺส ตสฺส กมฺมสฺส อานุภาเวน ปติกูลํ ปวิฎฺฐมตฺตาย อุมฺมารพฺภนฺตเร สกลสรีรํ อุคฺฆาฎิตวจฺจกุฎิ วิย ทุคฺคนฺธํ ชาตํฯ เสฎฺฐิกุมาโร ‘‘กสฺสายํ คโนฺธ’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เสฎฺฐิกญฺญายา’’ติ สุตฺวา ‘‘นีหรถา’’ติ อาภตนิยาเมเนว กุลฆรํ เปเสสิฯ สา เอเตเนว นีหาเรน สตฺตสุ ฐาเนสุ ปฎินิวตฺติตาฯ

    Tassa vuddhippattassa tameva seṭṭhidhītaraṃ ānayiṃsu. Tassā pubbe adinnavipākassa tassa kammassa ānubhāvena patikūlaṃ paviṭṭhamattāya ummārabbhantare sakalasarīraṃ ugghāṭitavaccakuṭi viya duggandhaṃ jātaṃ. Seṭṭhikumāro ‘‘kassāyaṃ gandho’’ti pucchitvā ‘‘seṭṭhikaññāyā’’ti sutvā ‘‘nīharathā’’ti ābhataniyāmeneva kulagharaṃ pesesi. Sā eteneva nīhārena sattasu ṭhānesu paṭinivattitā.

    เตน จ สมเยน กสฺสปทสพโล ปรินิพฺพายิ, ตสฺส ฆนโกฎฺฎิมาหิ สตสหสฺสคฺฆนิกาหิ รตฺตสุวณฺณอิฎฺฐกาหิ โยชนุเพฺพธํ เจติยํ อารภิํสุฯ ตสฺมิํ เจติเย กริยมาเน สา เสฎฺฐิธีตา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ สตฺตสุ ฐาเนสุ ปฎินิวตฺติตา, กิํ เม ชีวิเตนา’’ติ อตฺตโน สรีราภรณภณฺฑกํ ภญฺชาเปตฺวา สุวณฺณอิฎฺฐกํ กาเรสิ รตนายตํ วิทตฺถิวิตฺถินฺนํ จตุรงฺคุลุเพฺพธํฯ ตโต หริตาลมโนสิลาปิณฺฑํ คเหตฺวา อฎฺฐ อุปฺปลหตฺถเก อาทาย เจติยกรณฎฺฐานํ คตาฯ ตสฺมิญฺจ ขเณ เอกา อิฎฺฐกาปนฺติ ปริกฺขิปิตฺวา อาคจฺฉมานา ฆฎนิฎฺฐกาย อูนา โหติฯ เสฎฺฐิธีตา วฑฺฒกิํ อาห – ‘‘อิมํ อิฎฺฐกํ เอตฺถ ฐเปถา’’ติฯ อมฺม, ภทฺทเก กาเล อาคตาสิ, สยเมว ฐเปหีติฯ สา อารุยฺห เตเลน หริตาลมโนสิลํ โยเชตฺวา เตน พนฺธเนน อิฎฺฐกํ ปติฎฺฐเปตฺวา อุปริ อฎฺฐหิ อุปฺปลหตฺถเกหิ ปูชํ กตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน เม กายโต จนฺทนคโนฺธ วายตุ, มุขโต อุปฺปลคโนฺธ’’ติ ปตฺถนํ กตฺวา เจติยํ วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา อคมาสิฯ

    Tena ca samayena kassapadasabalo parinibbāyi, tassa ghanakoṭṭimāhi satasahassagghanikāhi rattasuvaṇṇaiṭṭhakāhi yojanubbedhaṃ cetiyaṃ ārabhiṃsu. Tasmiṃ cetiye kariyamāne sā seṭṭhidhītā cintesi – ‘‘ahaṃ sattasu ṭhānesu paṭinivattitā, kiṃ me jīvitenā’’ti attano sarīrābharaṇabhaṇḍakaṃ bhañjāpetvā suvaṇṇaiṭṭhakaṃ kāresi ratanāyataṃ vidatthivitthinnaṃ caturaṅgulubbedhaṃ. Tato haritālamanosilāpiṇḍaṃ gahetvā aṭṭha uppalahatthake ādāya cetiyakaraṇaṭṭhānaṃ gatā. Tasmiñca khaṇe ekā iṭṭhakāpanti parikkhipitvā āgacchamānā ghaṭaniṭṭhakāya ūnā hoti. Seṭṭhidhītā vaḍḍhakiṃ āha – ‘‘imaṃ iṭṭhakaṃ ettha ṭhapethā’’ti. Amma, bhaddake kāle āgatāsi, sayameva ṭhapehīti. Sā āruyha telena haritālamanosilaṃ yojetvā tena bandhanena iṭṭhakaṃ patiṭṭhapetvā upari aṭṭhahi uppalahatthakehi pūjaṃ katvā vanditvā ‘‘nibbattanibbattaṭṭhāne me kāyato candanagandho vāyatu, mukhato uppalagandho’’ti patthanaṃ katvā cetiyaṃ vanditvā padakkhiṇaṃ katvā agamāsi.

    อถ ตสฺมิํเยว ขเณ ยสฺส เสฎฺฐิปุตฺตสฺส ปฐมํ เคหํ นีตา, ตสฺส ตํ อารพฺภ สติ อุทปาทิฯ นคเรปิ นกฺขตฺตํ สงฺฆุฎฺฐํ โหติฯ โส อุปฎฺฐาเก อาห – ‘‘ตทา อิธ อานีตา เสฎฺฐิธีตา อตฺถิ, กหํ สา’’ติ? กุลเคเห สามีติฯ อาเนถ นํ, นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามาติฯ เต คนฺตฺวา ตํ วนฺทิตฺวา ฐิตา ‘‘กิํ, ตาตา, อาคตตฺถา’’ติ ตาย ปุฎฺฐา ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิํสุฯ ตาตา, มยา อาภรณภเณฺฑน เจติยํ ปูชิตํ, อาภรณํ เม นตฺถีติฯ เต คนฺตฺวา เสฎฺฐิปุตฺตสฺส อาโรเจสุํฯ อาเนถ นํ, ปิฬนฺธนํ ลภิสฺสามาติฯ เต อานยิํสุฯ ตสฺสา สห ฆรปฺปเวสเนน สกลเคหํ จนฺทนคนฺธเญฺจว นีลุปฺปลคนฺธญฺจ วายิฯ

    Atha tasmiṃyeva khaṇe yassa seṭṭhiputtassa paṭhamaṃ gehaṃ nītā, tassa taṃ ārabbha sati udapādi. Nagarepi nakkhattaṃ saṅghuṭṭhaṃ hoti. So upaṭṭhāke āha – ‘‘tadā idha ānītā seṭṭhidhītā atthi, kahaṃ sā’’ti? Kulagehe sāmīti. Ānetha naṃ, nakkhattaṃ kīḷissāmāti. Te gantvā taṃ vanditvā ṭhitā ‘‘kiṃ, tātā, āgatatthā’’ti tāya puṭṭhā taṃ pavattiṃ ācikkhiṃsu. Tātā, mayā ābharaṇabhaṇḍena cetiyaṃ pūjitaṃ, ābharaṇaṃ me natthīti. Te gantvā seṭṭhiputtassa ārocesuṃ. Ānetha naṃ, piḷandhanaṃ labhissāmāti. Te ānayiṃsu. Tassā saha gharappavesanena sakalagehaṃ candanagandhañceva nīluppalagandhañca vāyi.

    เสฎฺฐิปุโตฺต ตํ ปุจฺฉิ ‘‘ปฐมํ ตว สรีรโต ทุคฺคโนฺธ วายิ, อิทานิ ปน เต สรีรโต จนฺทนคโนฺธ, มุขโต อุปฺปลคโนฺธ วายติ, กิํ เอต’’นฺติ? สา อาทิโต ปฎฺฐาย อตฺตนา กตกมฺมํ อาโรเจสิฯ เสฎฺฐิปุโตฺต ‘‘นิยฺยานิกํ วต พุทฺธสาสน’’นฺติ ปสีทิตฺวา โยชนิกํ สุวณฺณเจติยํ กมฺพลกญฺจุเกน ปริกฺขิปิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ รถจกฺกปฺปมาเณหิ สุวณฺณปทุเมหิ อลงฺกริฯ เตสํ ทฺวาทสหตฺถา โอลมฺพกา โหนฺติฯ โส ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา ตโต จุโต พาราณสิโต โยชนมเตฺต ฐาเน อญฺญตรสฺมิํ อมจฺจกุเล นิพฺพตฺติฯ เสฎฺฐิกญฺญาปิ เทวโลกโต จวิตฺวา ราชกุเล เชฎฺฐธีตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ

    Seṭṭhiputto taṃ pucchi ‘‘paṭhamaṃ tava sarīrato duggandho vāyi, idāni pana te sarīrato candanagandho, mukhato uppalagandho vāyati, kiṃ eta’’nti? Sā ādito paṭṭhāya attanā katakammaṃ ārocesi. Seṭṭhiputto ‘‘niyyānikaṃ vata buddhasāsana’’nti pasīditvā yojanikaṃ suvaṇṇacetiyaṃ kambalakañcukena parikkhipitvā tattha tattha rathacakkappamāṇehi suvaṇṇapadumehi alaṅkari. Tesaṃ dvādasahatthā olambakā honti. So tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā sagge nibbattitvā tato cuto bārāṇasito yojanamatte ṭhāne aññatarasmiṃ amaccakule nibbatti. Seṭṭhikaññāpi devalokato cavitvā rājakule jeṭṭhadhītā hutvā nibbatti.

    เตสุ วยปเตฺตสุ กุมารสฺส วสนคาเม นกฺขตฺตํ สงฺฆุฎฺฐํฯ โส มาตรํ อาห – ‘‘สาฎกํ เม , อมฺม, เทหิ, นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามี’’ติฯ สา โธตวตฺถํ นีหริตฺวา อทาสิฯ อมฺม, ถูลํ อิทํ, อญฺญํ เทหีติฯ อญฺญํ นีหริตฺวา อทาสิ, ตมฺปิ ปฎิกฺขิปิฯ อญฺญํ นีหริตฺวา อทาสิ, ตมฺปิ ปฎิกฺขิปิฯ อถ นํ มาตา อาห – ‘‘ตาต, ยาทิเส เคเห มยํ ชาตา, นตฺถิ โน อิโต สุขุมตรสฺส ปฎิลาภาย ปุญฺญ’’นฺติฯ เตน หิ ลภนฎฺฐานํ คจฺฉามิ, อมฺมาติฯ ปุตฺต อหํ อเชฺชว ตุยฺหํ พาราณสินคเร รชฺชปฎิลาภํ อิจฺฉามีติฯ โส มาตรํ วนฺทิตฺวา อาห – ‘‘คจฺฉามิ, อมฺมา’’ติฯ คจฺฉ, ตาตาติฯ เอวํ กิรสฺสา จิตฺตํ อโหสิ – ‘‘กหํ คมิสฺสติ, อิธ วา เอตฺถ วา เคเห นิสีทิสฺสตี’’ติ? โส ปน ปุญฺญนิยาเมน นิกฺขมิตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา อุยฺยาเน มงฺคลสิลาปเฎฺฎ สสีสํ ปารุปิตฺวา นิปชฺชิฯ โส จ พาราณสิรโญฺญ กาลกตสฺส สตฺตโม ทิวโส โหติฯ

    Tesu vayapattesu kumārassa vasanagāme nakkhattaṃ saṅghuṭṭhaṃ. So mātaraṃ āha – ‘‘sāṭakaṃ me , amma, dehi, nakkhattaṃ kīḷissāmī’’ti. Sā dhotavatthaṃ nīharitvā adāsi. Amma, thūlaṃ idaṃ, aññaṃ dehīti. Aññaṃ nīharitvā adāsi, tampi paṭikkhipi. Aññaṃ nīharitvā adāsi, tampi paṭikkhipi. Atha naṃ mātā āha – ‘‘tāta, yādise gehe mayaṃ jātā, natthi no ito sukhumatarassa paṭilābhāya puñña’’nti. Tena hi labhanaṭṭhānaṃ gacchāmi, ammāti. Putta ahaṃ ajjeva tuyhaṃ bārāṇasinagare rajjapaṭilābhaṃ icchāmīti. So mātaraṃ vanditvā āha – ‘‘gacchāmi, ammā’’ti. Gaccha, tātāti. Evaṃ kirassā cittaṃ ahosi – ‘‘kahaṃ gamissati, idha vā ettha vā gehe nisīdissatī’’ti? So pana puññaniyāmena nikkhamitvā bārāṇasiṃ gantvā uyyāne maṅgalasilāpaṭṭe sasīsaṃ pārupitvā nipajji. So ca bārāṇasirañño kālakatassa sattamo divaso hoti.

    อมจฺจา รโญฺญ สรีรกิจฺจํ กตฺวา ราชงฺคเณ นิสีทิตฺวา มนฺตยิํสุ – ‘‘รโญฺญ เอกา ธีตาว อตฺถิ, ปุโตฺต นตฺถิ, อราชกํ รชฺชํ น วฎฺฎติ, โก ราชา โหตี’’ติ มเนฺตตฺวา ‘‘ตฺวํ โหหิ, ตฺวํ โหหี’’ติ อาหํสุฯ ปุโรหิโต อาห – ‘‘พหุํ โอโลเกตุํ น วฎฺฎติ, ผุสฺสรถํ วิสฺสเชฺชมา’’ติฯ เต กุมุทวเณฺณ จตฺตาโร สินฺธเว โยเชตฺวา ปญฺจวิธํ ราชกกุธภณฺฑํ เสตจฺฉตฺตญฺจ รถสฺมิํเยว ฐเปตฺวา รถํ วิสฺสเชฺชตฺวา ปจฺฉโต ตูริยานิ ปคฺคณฺหาเปสุํฯ รโถ ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา อุยฺยานาภิมุโข อโหสิฯ ‘‘ปริจเยน อุยฺยานาภิมุโข คจฺฉติ, นิวเตฺตมา’’ติ เกจิ อาหํสุฯ ปุโรหิโต ‘‘มา นิวตฺตยิตฺถา’’ติ อาหฯ รโถ กุมารํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อาโรหนสโชฺช หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ ปุโรหิโต ปารุปนกณฺณํ อปเนตฺวา ปาทตลานิ โอโลเกโนฺต ‘‘ติฎฺฐตุ อยํ ทีโป, ทฺวิสหสฺสทีปปริวาเรสุ จตูสุ ทีเปสุ เอโส รชฺชํ กาเรตุํ ยุโตฺต’’ติ วตฺวา ‘‘ปุนปิ ตูริยานิ ปคฺคณฺหถ , ปุนปิ ตูริยานิ ปคฺคณฺหถา’’ติ ติกฺขตฺตุํ ตูริยานิ ปคฺคณฺหาเปสิฯ

    Amaccā rañño sarīrakiccaṃ katvā rājaṅgaṇe nisīditvā mantayiṃsu – ‘‘rañño ekā dhītāva atthi, putto natthi, arājakaṃ rajjaṃ na vaṭṭati, ko rājā hotī’’ti mantetvā ‘‘tvaṃ hohi, tvaṃ hohī’’ti āhaṃsu. Purohito āha – ‘‘bahuṃ oloketuṃ na vaṭṭati, phussarathaṃ vissajjemā’’ti. Te kumudavaṇṇe cattāro sindhave yojetvā pañcavidhaṃ rājakakudhabhaṇḍaṃ setacchattañca rathasmiṃyeva ṭhapetvā rathaṃ vissajjetvā pacchato tūriyāni paggaṇhāpesuṃ. Ratho pācīnadvārena nikkhamitvā uyyānābhimukho ahosi. ‘‘Paricayena uyyānābhimukho gacchati, nivattemā’’ti keci āhaṃsu. Purohito ‘‘mā nivattayitthā’’ti āha. Ratho kumāraṃ padakkhiṇaṃ katvā ārohanasajjo hutvā aṭṭhāsi. Purohito pārupanakaṇṇaṃ apanetvā pādatalāni olokento ‘‘tiṭṭhatu ayaṃ dīpo, dvisahassadīpaparivāresu catūsu dīpesu eso rajjaṃ kāretuṃ yutto’’ti vatvā ‘‘punapi tūriyāni paggaṇhatha , punapi tūriyāni paggaṇhathā’’ti tikkhattuṃ tūriyāni paggaṇhāpesi.

    อถ กุมาโร มุขํ วิวริตฺวา โอโลเกตฺวา ‘‘เกน กเมฺมน อาคตตฺถา’’ติ อาหฯ เทว ตุมฺหากํ รชฺชํ ปาปุณาตีติฯ ราชา กหนฺติ? เทวตฺตํ คโต สามีติฯ กติ ทิวสา อติกฺกนฺตาติ? อชฺช สตฺตโม ทิวโสติฯ ปุโตฺต วา ธีตา วา นตฺถีติ? ธีตา อตฺถิ เทว, ปุโตฺต นตฺถีติฯ กริสฺสามิ รชฺชนฺติฯ เต ตาวเทว อภิเสกมณฺฑปํ กาเรตฺวา ราชธีตรํ สพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกริตฺวา อุยฺยานํ อาเนตฺวา กุมารสฺส อภิเสกํ อกํสุฯ

    Atha kumāro mukhaṃ vivaritvā oloketvā ‘‘kena kammena āgatatthā’’ti āha. Deva tumhākaṃ rajjaṃ pāpuṇātīti. Rājā kahanti? Devattaṃ gato sāmīti. Kati divasā atikkantāti? Ajja sattamo divasoti. Putto vā dhītā vā natthīti? Dhītā atthi deva, putto natthīti. Karissāmi rajjanti. Te tāvadeva abhisekamaṇḍapaṃ kāretvā rājadhītaraṃ sabbālaṅkārehi alaṅkaritvā uyyānaṃ ānetvā kumārassa abhisekaṃ akaṃsu.

    อถสฺส กตาภิเสกสฺส สหสฺสคฺฆนกํ วตฺถํ อุปหริํสุฯ โส ‘‘กิมิทํ, ตาตา’’ติ อาหฯ นิวาสนวตฺถํ เทวาติฯ นนุ, ตาตา, ถูลํ, อญฺญํ สุขุมตรํ นตฺถีติ? มนุสฺสานํ ปริโภควเตฺถสุ อิโต สุขุมตรํ นตฺถิ เทวาติฯ ตุมฺหากํ ราชา เอวรูปํ นิวาเสสีติ? อาม, เทวาติฯ น มเญฺญ ปุญฺญวา ตุมฺหากํ ราชา, สุวณฺณภิงฺคารํ อาหรถ, ลภิสฺสาม วตฺถนฺติฯ เต สุวณฺณภิงฺคารํ อาหริํสุฯ โส อุฎฺฐาย หเตฺถ โธวิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา หเตฺถน อุทกํ อาทาย ปุรตฺถิมาย ทิสาย อพฺภุกฺกิริ, ตาวเทว ฆนปถวิํ ภินฺทิตฺวา อฎฺฐ กปฺปรุกฺขา อุฎฺฐหิํสุฯ ปุน อุทกํ คเหตฺวา ทกฺขิณํ ปจฺฉิมํ อุตฺตรนฺติ เอวํ จตโสฺสปิ ทิสา อพฺภุกฺกิริ, สพฺพทิสาสุ อฎฺฐฎฺฐ กตฺวา ทฺวตฺติํส กปฺปรุกฺขา อุฎฺฐหิํสุฯ โส เอกํ ทิพฺพทุสฺสํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา ‘‘นนฺทรโญฺญ วิชิเต สุตฺตกนฺติกา อิตฺถิโย มา สุตฺตํ กนฺติํสูติ เอวํ เภริํ จราเปถา’’ติ วตฺวา ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา อลงฺกตปฎิยโตฺต หตฺถิกฺขนฺธวรคโต นครํ ปวิสิตฺวา ปาสาทํ อารุยฺห มหาสมฺปตฺติํ อนุภวิฯ

    Athassa katābhisekassa sahassagghanakaṃ vatthaṃ upahariṃsu. So ‘‘kimidaṃ, tātā’’ti āha. Nivāsanavatthaṃ devāti. Nanu, tātā, thūlaṃ, aññaṃ sukhumataraṃ natthīti? Manussānaṃ paribhogavatthesu ito sukhumataraṃ natthi devāti. Tumhākaṃ rājā evarūpaṃ nivāsesīti? Āma, devāti. Na maññe puññavā tumhākaṃ rājā, suvaṇṇabhiṅgāraṃ āharatha, labhissāma vatthanti. Te suvaṇṇabhiṅgāraṃ āhariṃsu. So uṭṭhāya hatthe dhovitvā mukhaṃ vikkhāletvā hatthena udakaṃ ādāya puratthimāya disāya abbhukkiri, tāvadeva ghanapathaviṃ bhinditvā aṭṭha kapparukkhā uṭṭhahiṃsu. Puna udakaṃ gahetvā dakkhiṇaṃ pacchimaṃ uttaranti evaṃ catassopi disā abbhukkiri, sabbadisāsu aṭṭhaṭṭha katvā dvattiṃsa kapparukkhā uṭṭhahiṃsu. So ekaṃ dibbadussaṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā ‘‘nandarañño vijite suttakantikā itthiyo mā suttaṃ kantiṃsūti evaṃ bheriṃ carāpethā’’ti vatvā chattaṃ ussāpetvā alaṅkatapaṭiyatto hatthikkhandhavaragato nagaraṃ pavisitvā pāsādaṃ āruyha mahāsampattiṃ anubhavi.

    เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต เอกทิวสํ เทวี รโญฺญ มหาสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘อโห ตปสฺสี’’ติ การุญฺญาการํ ทเสฺสสิฯ ‘‘กิมิทํ เทวี’’ติ จ ปุฎฺฐา ‘‘อติมหตี เต เทว สมฺปตฺติ, อตีเต พุทฺธานํ สทฺทหิตฺวา กลฺยาณํ อกตฺถ, อิทานิ อนาคตสฺส ปจฺจยํ กุสลํ น กโรถา’’ติ อาหฯ กสฺส ทสฺสามิ, สีลวโนฺต นตฺถีติฯ ‘‘อสุโญฺญ, เทว, ชมฺพุทีโป อรหเนฺตหิ, ตุเมฺห ทานเมว สเชฺชถ, อหํ อรหเนฺต ลจฺฉามี’’ติ อาหฯ ราชา ปุนทิวเส ปาจีนทฺวาเร ทานํ สชฺชาเปสิฯ เทวี ปาโตว อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย อุปริปาสาเท ปุรตฺถาภิมุขา อุเรน นิปชฺชิตฺวา ‘‘สเจ เอติสฺสา ทิสาย อรหโนฺต อตฺถิ, เสฺว อาคนฺตฺวา อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ อาหฯ ตสฺสํ ทิสายํ อรหโนฺต นาเหสุํ, ตํ สกฺการํ กปณยาจกานํ อทํสุฯ

    Evaṃ kāle gacchante ekadivasaṃ devī rañño mahāsampattiṃ disvā ‘‘aho tapassī’’ti kāruññākāraṃ dassesi. ‘‘Kimidaṃ devī’’ti ca puṭṭhā ‘‘atimahatī te deva sampatti, atīte buddhānaṃ saddahitvā kalyāṇaṃ akattha, idāni anāgatassa paccayaṃ kusalaṃ na karothā’’ti āha. Kassa dassāmi, sīlavanto natthīti. ‘‘Asuñño, deva, jambudīpo arahantehi, tumhe dānameva sajjetha, ahaṃ arahante lacchāmī’’ti āha. Rājā punadivase pācīnadvāre dānaṃ sajjāpesi. Devī pātova uposathaṅgāni adhiṭṭhāya uparipāsāde puratthābhimukhā urena nipajjitvā ‘‘sace etissā disāya arahanto atthi, sve āgantvā amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhantū’’ti āha. Tassaṃ disāyaṃ arahanto nāhesuṃ, taṃ sakkāraṃ kapaṇayācakānaṃ adaṃsu.

    ปุนทิวเส ทกฺขิณทฺวาเร ทานํ สเชฺชตฺวา ตเถว อกาสิ, ปุนทิวเส ปจฺฉิมทฺวาเรฯ อุตฺตรทฺวาเร สชฺชนทิวเส ปน เทวิยา ตเถว นิมนฺติเต หิมวเนฺต วสนฺตานํ ปทุมวติยา ปุตฺตานํ ปญฺจสตานํ ปเจฺจกพุทฺธานํ เชฎฺฐโก มหาปทุมปเจฺจกพุโทฺธ ภาติเก อามเนฺตสิ – ‘‘มาริสา, นนฺทราชา ตุเมฺห นิมเนฺตติ, อธิวาเสถ ตสฺสา’’ติฯ เต อธิวาเสตฺวา ปุนทิวเส อโนตตฺตทเห มุขํ โธวิตฺวา อากาเสน อาคนฺตฺวา อุตฺตรทฺวาเร โอตริํสุฯ มนุสฺสา คนฺตฺวา ‘‘ปญฺจสตา, เทว, ปเจฺจกพุทฺธา อาคตา’’ติ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา สทฺธิํ เทวิยา คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา ปเจฺจกพุเทฺธ ปาสาทํ อาโรเปตฺวา ตตฺร เตสํ ทานํ ทตฺวา ภตฺตกิจฺจาวสาเน ราชา สงฺฆเตฺถรสฺส, เทวี สงฺฆนวกสฺส ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา, ‘‘อยฺยา, ปจฺจเยหิ น กิลมิสฺสนฺติ, มยํ ปุเญฺญน น หายิสฺสาม, อมฺหากํ ยาวชีวํ อิธ นิวาสาย ปฎิญฺญํ เทถา’’ติฯ ปฎิญฺญํ กาเรตฺวา อุยฺยาเน ปญฺจ ปณฺณสาลาสตานิ ปญฺจ จงฺกมนสตานีติ สพฺพากาเรน นิวาสฎฺฐานํ สมฺปาเทตฺวา ตตฺถ วสาเปสุํฯ

    Punadivase dakkhiṇadvāre dānaṃ sajjetvā tatheva akāsi, punadivase pacchimadvāre. Uttaradvāre sajjanadivase pana deviyā tatheva nimantite himavante vasantānaṃ padumavatiyā puttānaṃ pañcasatānaṃ paccekabuddhānaṃ jeṭṭhako mahāpadumapaccekabuddho bhātike āmantesi – ‘‘mārisā, nandarājā tumhe nimanteti, adhivāsetha tassā’’ti. Te adhivāsetvā punadivase anotattadahe mukhaṃ dhovitvā ākāsena āgantvā uttaradvāre otariṃsu. Manussā gantvā ‘‘pañcasatā, deva, paccekabuddhā āgatā’’ti rañño ārocesuṃ. Rājā saddhiṃ deviyā gantvā vanditvā pattaṃ gahetvā paccekabuddhe pāsādaṃ āropetvā tatra tesaṃ dānaṃ datvā bhattakiccāvasāne rājā saṅghattherassa, devī saṅghanavakassa pādamūle nipajjitvā, ‘‘ayyā, paccayehi na kilamissanti, mayaṃ puññena na hāyissāma, amhākaṃ yāvajīvaṃ idha nivāsāya paṭiññaṃ dethā’’ti. Paṭiññaṃ kāretvā uyyāne pañca paṇṇasālāsatāni pañca caṅkamanasatānīti sabbākārena nivāsaṭṭhānaṃ sampādetvā tattha vasāpesuṃ.

    เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต รโญฺญ ปจฺจโนฺต กุปิโตฯ โส ‘‘อหํ ปจฺจนฺตํ วูปสเมตุํ คจฺฉามิ, ตฺวํ ปเจฺจกพุเทฺธสุ มา ปมชฺชี’’ติ เทวิํ โอวทิตฺวา คโตฯ ตสฺมิํ อนาคเตเยว ปเจฺจกพุทฺธานํ อายุสงฺขารา ขีณาฯ มหาปทุมปเจฺจกพุโทฺธ ติยามรตฺติํ ฌานกีฬํ กีฬิตฺวา อรุณุคฺคมเน อาลมฺพนผลกํ อาลมฺพิตฺวา ฐิตโกว อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ เอเตนุปาเยน เสสาปีติ สเพฺพว ปรินิพฺพุตาฯ ปุนทิวเส เทวี ปเจฺจกพุทฺธานํ นิสีทนฎฺฐานํ หริตุปลิตฺตํ กาเรตฺวา ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา ธูมํ ทตฺวา เตสํ อาคมนํ โอโลเกนฺตี นิสินฺนา; อาคมนํ อปสฺสนฺตี ปุริสํ เปเสสิ ‘‘คจฺฉ, ตาต, ชานาหิ, กิํ อยฺยานํ กิญฺจิ อผาสุก’’นฺติฯ โส คนฺตฺวา มหาปทุมสฺส ปณฺณสาลาทฺวารํ วิวริตฺวา ตตฺถ อปสฺสโนฺต จงฺกมนํ คนฺตฺวา อาลมฺพนผลกํ นิสฺสาย ฐิตํ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘กาโล, ภเนฺต’’ติ อาหฯ ปรินิพฺพุตสรีรํ กิํ กเถสฺสติ? โส ‘‘นิทฺทายติ มเญฺญ’’ติ คนฺตฺวา ปิฎฺฐิปาเท หเตฺถน ปรามสิตฺวา ปาทานํ สีตลตาย เจว ถทฺธตาย จ ปรินิพฺพุตภาวํ ญตฺวา ทุติยสฺส สนฺติกํ อคมาสิ, เอวํ ตติยสฺสาติ สเพฺพสํ ปรินิพฺพุตภาวํ ญตฺวา ราชกุลํ คโตฯ ‘‘กหํ, ตาต, ปเจฺจกพุทฺธา’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘ปรินิพฺพุตา เทวี’’ติ อาห ฯ เทวี กนฺทนฺตี โรทนฺตี นิกฺขมิตฺวา นาคเรหิ สทฺธิํ ตตฺถ คนฺตฺวา สาธุกีฬิตํ กาเรตฺวา ปเจฺจกพุทฺธานํ สรีรกิจฺจํ กตฺวา ธาตุโย คเหตฺวา เจติยํ ปติฎฺฐาเปสิฯ

    Evaṃ kāle gacchante rañño paccanto kupito. So ‘‘ahaṃ paccantaṃ vūpasametuṃ gacchāmi, tvaṃ paccekabuddhesu mā pamajjī’’ti deviṃ ovaditvā gato. Tasmiṃ anāgateyeva paccekabuddhānaṃ āyusaṅkhārā khīṇā. Mahāpadumapaccekabuddho tiyāmarattiṃ jhānakīḷaṃ kīḷitvā aruṇuggamane ālambanaphalakaṃ ālambitvā ṭhitakova anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi. Etenupāyena sesāpīti sabbeva parinibbutā. Punadivase devī paccekabuddhānaṃ nisīdanaṭṭhānaṃ haritupalittaṃ kāretvā pupphāni vikiritvā dhūmaṃ datvā tesaṃ āgamanaṃ olokentī nisinnā; āgamanaṃ apassantī purisaṃ pesesi ‘‘gaccha, tāta, jānāhi, kiṃ ayyānaṃ kiñci aphāsuka’’nti. So gantvā mahāpadumassa paṇṇasālādvāraṃ vivaritvā tattha apassanto caṅkamanaṃ gantvā ālambanaphalakaṃ nissāya ṭhitaṃ disvā vanditvā ‘‘kālo, bhante’’ti āha. Parinibbutasarīraṃ kiṃ kathessati? So ‘‘niddāyati maññe’’ti gantvā piṭṭhipāde hatthena parāmasitvā pādānaṃ sītalatāya ceva thaddhatāya ca parinibbutabhāvaṃ ñatvā dutiyassa santikaṃ agamāsi, evaṃ tatiyassāti sabbesaṃ parinibbutabhāvaṃ ñatvā rājakulaṃ gato. ‘‘Kahaṃ, tāta, paccekabuddhā’’ti puṭṭho ‘‘parinibbutā devī’’ti āha . Devī kandantī rodantī nikkhamitvā nāgarehi saddhiṃ tattha gantvā sādhukīḷitaṃ kāretvā paccekabuddhānaṃ sarīrakiccaṃ katvā dhātuyo gahetvā cetiyaṃ patiṭṭhāpesi.

    ราชา ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา อาคโต ปจฺจุคฺคมนํ อาคตํ เทวิํ ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ, ภเทฺท, ปเจฺจกพุเทฺธสุ นปฺปมชฺชิ, นิโรคา อยฺยา’’ติ? ปรินิพฺพุตา เทวาติฯ ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘เอวรูปานมฺปิ ปณฺฑิตานํ มรณํ อุปฺปชฺชติ, อมฺหากํ กุโต โมโกฺข’’ติ? โส นครํ อคนฺตฺวา อุยฺยานเมว ปวิสิตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ตสฺส รชฺชํ ปฎิยาเทตฺวา สยํ สมณกปพฺพชฺชํ ปพฺพชิฯ เทวีปิ ‘‘อิมสฺมิํ ปพฺพชิเต อหํ กิํ กริสฺสามี’’ติ ตเตฺถว อุยฺยาเน ปพฺพชิตาฯ เทฺวปิ ฌานํ ภาเวตฺวา ตโต จุตา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ

    Rājā paccantaṃ vūpasametvā āgato paccuggamanaṃ āgataṃ deviṃ pucchi – ‘‘kiṃ, bhadde, paccekabuddhesu nappamajji, nirogā ayyā’’ti? Parinibbutā devāti. Rājā cintesi – ‘‘evarūpānampi paṇḍitānaṃ maraṇaṃ uppajjati, amhākaṃ kuto mokkho’’ti? So nagaraṃ agantvā uyyānameva pavisitvā jeṭṭhaputtaṃ pakkosāpetvā tassa rajjaṃ paṭiyādetvā sayaṃ samaṇakapabbajjaṃ pabbaji. Devīpi ‘‘imasmiṃ pabbajite ahaṃ kiṃ karissāmī’’ti tattheva uyyāne pabbajitā. Dvepi jhānaṃ bhāvetvā tato cutā brahmaloke nibbattiṃsu.

    เตสุ ตเตฺถว วสเนฺตสุ อมฺหากํ สตฺถา โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก อนุปุเพฺพน ราชคหํ ปาวิสิฯ สตฺถริ ตตฺถ วสเนฺต อยํ ปิปฺปลิมาณโว มคธรเฎฺฐ มหาติตฺถพฺราหฺมณคาเม กปิลพฺราหฺมณสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพโตฺต, อยํ ภทฺทา กาปิลานี มทฺทรเฎฺฐ สาคลนคเร โกสิยโคตฺตพฺราหฺมณสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺตาฯ เตสํ อนุกฺกเมน วฑฺฒมานานํ ปิปฺปลิมาณวสฺส วีสติเม วเสฺส ภทฺทาย โสฬสเม วเสฺส สมฺปเตฺต มาตาปิตโร ปุตฺตํ โอโลเกตฺวา, ‘‘ตาต, ตฺวํ วยปโตฺต, กุลวํโส นาม ปติฎฺฐาเปตโพฺพ’’ติ อติวิย นิปฺปีฬยิํสุฯ มาณโว อาห – ‘‘มยฺหํ โสตปเถ เอวรูปํ กถํ มา กเถถ, อหํ ยาว ตุเมฺห ธรถ, ตาว ปฎิชคฺคิสฺสามิ, ตุมฺหากํ อจฺจเยน นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ เต กติปาหํ อติกฺกมิตฺวา ปุน กถยิํสุ, โสปิ ตเถว ปฎิกฺขิปิฯ ปุนปิ กถยิํสุ, ปุนปิ ปฎิกฺขิปิฯ ตโต ปฎฺฐาย มาตา นิรนฺตรํ กเถสิเยวฯ

    Tesu tattheva vasantesu amhākaṃ satthā loke uppajjitvā pavattitavaradhammacakko anupubbena rājagahaṃ pāvisi. Satthari tattha vasante ayaṃ pippalimāṇavo magadharaṭṭhe mahātitthabrāhmaṇagāme kapilabrāhmaṇassa aggamahesiyā kucchimhi nibbatto, ayaṃ bhaddā kāpilānī maddaraṭṭhe sāgalanagare kosiyagottabrāhmaṇassa aggamahesiyā kucchimhi nibbattā. Tesaṃ anukkamena vaḍḍhamānānaṃ pippalimāṇavassa vīsatime vasse bhaddāya soḷasame vasse sampatte mātāpitaro puttaṃ oloketvā, ‘‘tāta, tvaṃ vayapatto, kulavaṃso nāma patiṭṭhāpetabbo’’ti ativiya nippīḷayiṃsu. Māṇavo āha – ‘‘mayhaṃ sotapathe evarūpaṃ kathaṃ mā kathetha, ahaṃ yāva tumhe dharatha, tāva paṭijaggissāmi, tumhākaṃ accayena nikkhamitvā pabbajissāmī’’ti. Te katipāhaṃ atikkamitvā puna kathayiṃsu, sopi tatheva paṭikkhipi. Punapi kathayiṃsu, punapi paṭikkhipi. Tato paṭṭhāya mātā nirantaraṃ kathesiyeva.

    มาณโว ‘‘มม มาตรํ สญฺญาเปสฺสามี’’ติ รตฺตสุวณฺณสฺส นิกฺขสหสฺสํ ทตฺวา สุวณฺณกาเรหิ เอกํ อิตฺถิรูปํ การาเปตฺวา ตสฺส มชฺชนฆฎฺฎนาทิกมฺมปริโยสาเน ตํ รตฺตวตฺถํ นิวาสาเปตฺวา วณฺณสมฺปเนฺนหิ ปุเปฺผหิ เจว นานาอลงฺกาเรหิ จ อลงฺการาเปตฺวา มาตรํ ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘อมฺม, เอวรูปํ อารมฺมณํ ลภโนฺต เคเห วสิสฺสามิ, อลภโนฺต น วสิสฺสามี’’ติ ฯ ปณฺฑิตา พฺราหฺมณี จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ ปุโตฺต ปุญฺญวา ทินฺนทาโน กตาภินีหาโร, ปุญฺญํ กโรโนฺต น เอกโกว อกาสิ, อทฺธา เอเตน สห กตปุญฺญา สุวณฺณรูปกปฎิภาคาว ภวิสฺสตี’’ติ อฎฺฐ พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปตฺวา สพฺพกาเมหิ สนฺตเปฺปตฺวา สุวณฺณรูปกํ รถํ อาโรเปตฺวา ‘‘คจฺฉถ, ตาตา, ยตฺถ อมฺหากํ ชาติโคตฺตโภเคหิ สมานกุเล เอวรูปํ ทาริกํ ปสฺสถ, อิมเมว สุวณฺณรูปกํ ปณฺณาการํ กตฺวา เทถา’’ติ อุโยฺยเชสิฯ

    Māṇavo ‘‘mama mātaraṃ saññāpessāmī’’ti rattasuvaṇṇassa nikkhasahassaṃ datvā suvaṇṇakārehi ekaṃ itthirūpaṃ kārāpetvā tassa majjanaghaṭṭanādikammapariyosāne taṃ rattavatthaṃ nivāsāpetvā vaṇṇasampannehi pupphehi ceva nānāalaṅkārehi ca alaṅkārāpetvā mātaraṃ pakkosāpetvā āha – ‘‘amma, evarūpaṃ ārammaṇaṃ labhanto gehe vasissāmi, alabhanto na vasissāmī’’ti . Paṇḍitā brāhmaṇī cintesi – ‘‘mayhaṃ putto puññavā dinnadāno katābhinīhāro, puññaṃ karonto na ekakova akāsi, addhā etena saha katapuññā suvaṇṇarūpakapaṭibhāgāva bhavissatī’’ti aṭṭha brāhmaṇe pakkosāpetvā sabbakāmehi santappetvā suvaṇṇarūpakaṃ rathaṃ āropetvā ‘‘gacchatha, tātā, yattha amhākaṃ jātigottabhogehi samānakule evarūpaṃ dārikaṃ passatha, imameva suvaṇṇarūpakaṃ paṇṇākāraṃ katvā dethā’’ti uyyojesi.

    เต ‘‘อมฺหากํ นาม เอตํ กมฺม’’นฺติ นิกฺขมิตฺวา ‘‘กตฺถ คมิสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘มทฺทรฎฺฐํ นาม อิตฺถากโร, มทฺทรฎฺฐํ คมิสฺสามา’’ติ มทฺทรเฎฺฐ สาคลนครํ อคมํสุฯ ตตฺถ ตํ สุวณฺณรูปกํ นฺหานติเตฺถ ฐเปตฺวา เอกมเนฺต นิสีทิํสุฯ อถ ภทฺทาย ธาตี ภทฺทํ นฺหาเปตฺวา อลงฺกริตฺวา สิริคเพฺภ นิสีทาเปตฺวา นฺหายิตุํ อาคจฺฉนฺตี ตํ รูปกํ ทิสฺวา ‘‘อยฺยธีตา เม อิธาคตา’’ติ สญฺญาย สนฺตเชฺชตฺวา ‘‘ทุพฺพินีเต กิํ ตฺวํ อิธาคตา’’ติ ตลสตฺติกํ อุคฺคิริตฺวา ‘‘คจฺฉ สีฆ’’นฺติ คณฺฑปเสฺส ปหริฯ หโตฺถ ปาสาเณ ปฎิหโต วิย กมฺปิตฺถฯ สา ปฎิกฺกมิตฺวา ‘‘เอวํ ถทฺธํ นาม มหาคีวํ ทิสฺวา ‘อยฺยธีตา เม’ติ สญฺญํ อุปฺปาเทสิํ, อยฺยธีตาย หิ เม นิวาสนปฎิคฺคาหิกายปิ อยุตฺตา’’ติ อาหฯ อถ นํ เต มนุสฺสา ปริวาเรตฺวา ‘‘เอวรูปา เต สามิธีตา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ กิํ เอสา, อิมาย สตคุเณน สหสฺสคุเณน มยฺหํ อยฺยาธีตา อภิรูปตรา, ทฺวาทสหเตฺถ คเพฺภ นิสินฺนาย ปทีปกิจฺจํ นตฺถิ, สรีโรภาเสเนว ตมํ วิธมตีติฯ ‘‘เตน หิ อาคจฺฉา’’ติ ขุชฺชํ คเหตฺวา สุวณฺณรูปกํ รถํ อาโรเปตฺวา โกสิยโคตฺตสฺส พฺราหฺมณสฺส ฆรทฺวาเร ฐตฺวา อาคมนํ นิเวทยิํสุฯ

    Te ‘‘amhākaṃ nāma etaṃ kamma’’nti nikkhamitvā ‘‘kattha gamissāmā’’ti cintetvā ‘‘maddaraṭṭhaṃ nāma itthākaro, maddaraṭṭhaṃ gamissāmā’’ti maddaraṭṭhe sāgalanagaraṃ agamaṃsu. Tattha taṃ suvaṇṇarūpakaṃ nhānatitthe ṭhapetvā ekamante nisīdiṃsu. Atha bhaddāya dhātī bhaddaṃ nhāpetvā alaṅkaritvā sirigabbhe nisīdāpetvā nhāyituṃ āgacchantī taṃ rūpakaṃ disvā ‘‘ayyadhītā me idhāgatā’’ti saññāya santajjetvā ‘‘dubbinīte kiṃ tvaṃ idhāgatā’’ti talasattikaṃ uggiritvā ‘‘gaccha sīgha’’nti gaṇḍapasse pahari. Hattho pāsāṇe paṭihato viya kampittha. Sā paṭikkamitvā ‘‘evaṃ thaddhaṃ nāma mahāgīvaṃ disvā ‘ayyadhītā me’ti saññaṃ uppādesiṃ, ayyadhītāya hi me nivāsanapaṭiggāhikāyapi ayuttā’’ti āha. Atha naṃ te manussā parivāretvā ‘‘evarūpā te sāmidhītā’’ti pucchiṃsu. Kiṃ esā, imāya sataguṇena sahassaguṇena mayhaṃ ayyādhītā abhirūpatarā, dvādasahatthe gabbhe nisinnāya padīpakiccaṃ natthi, sarīrobhāseneva tamaṃ vidhamatīti. ‘‘Tena hi āgacchā’’ti khujjaṃ gahetvā suvaṇṇarūpakaṃ rathaṃ āropetvā kosiyagottassa brāhmaṇassa gharadvāre ṭhatvā āgamanaṃ nivedayiṃsu.

    พฺราหฺมโณ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘กุโต อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ มคธรเฎฺฐ มหาติตฺถคาเม กปิลพฺราหฺมณสฺส ฆรโตติฯ กิํ การณา อาคตาติ? อิมินา นาม การเณนาติฯ ‘‘กลฺยาณํ, ตาตา, สมชาติโคตฺตวิภโว อมฺหากํ พฺราหฺมโณ, ทสฺสามิ ทาริก’’นฺติ ปณฺณาการํ คณฺหิฯ เต กปิลพฺราหฺมณสฺส สาสนํ ปหิณิํสุ ‘‘ลทฺธา ทาริกา, กตฺตพฺพํ กโรถา’’ติฯ ตํ สาสนํ สุตฺวา ปิปฺปลิมาณวสฺส อาโรจยิํสุ ‘‘ลทฺธา กิร ทาริกา’’ติฯ มาณโว ‘‘อหํ ‘น ลภิสฺสนฺตี’ติ จิเนฺตสิํ, ‘อิเม ลทฺธาติ วทนฺติ’, อนตฺถิโก หุตฺวา ปณฺณํ เปเสสฺสามี’’ติ รโหคโต ปณฺณํ ลิขิ ‘‘ภทฺทา อตฺตโน ชาติโคตฺตโภคานุรูปํ ฆราวาสํ ลภตุ, อหํ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามิ, มา ปจฺฉา วิปฺปฎิสารินี อโหสี’’ติฯ ภทฺทาปิ ‘‘อสุกสฺส กิร มํ ทาตุกาโม’’ติ สุตฺวา รโหคตา ปณฺณํ ลิขิ ‘‘อยฺยปุโตฺต อตฺตโน ชาติโคตฺตโภคานุรูปํ ฆราวาสํ ลภตุ, อหํ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามิ, มา ปจฺฉา วิปฺปฎิสารี อโหสี’’ติฯ เทฺว ปณฺณานิ อนฺตรามเคฺค สมาคจฺฉิํสุฯ อิทํ กสฺส ปณฺณนฺติ? ปิปฺปลิมาณเวน ภทฺทาย ปหิตนฺติฯ อิทํ กสฺสาติ? ภทฺทาย ปิปฺปลิมาณวสฺส ปหิตนฺติ จ วุเตฺต เทฺวปิ วาเจตฺวา ‘‘ปสฺสถ ทารกานํ กมฺม’’นฺติ ผาเลตฺวา อรเญฺญ ฉเฑฺฑตฺวา สมานปณฺณํ ลิขิตฺวา อิโต จ เอโตฺต จ เปเสสุํฯ อิติ เตสํ อนิจฺฉมานานํเยว สมาคโม อโหสิฯ

    Brāhmaṇo paṭisanthāraṃ katvā ‘‘kuto āgatatthā’’ti pucchi. Magadharaṭṭhe mahātitthagāme kapilabrāhmaṇassa gharatoti. Kiṃ kāraṇā āgatāti? Iminā nāma kāraṇenāti. ‘‘Kalyāṇaṃ, tātā, samajātigottavibhavo amhākaṃ brāhmaṇo, dassāmi dārika’’nti paṇṇākāraṃ gaṇhi. Te kapilabrāhmaṇassa sāsanaṃ pahiṇiṃsu ‘‘laddhā dārikā, kattabbaṃ karothā’’ti. Taṃ sāsanaṃ sutvā pippalimāṇavassa ārocayiṃsu ‘‘laddhā kira dārikā’’ti. Māṇavo ‘‘ahaṃ ‘na labhissantī’ti cintesiṃ, ‘ime laddhāti vadanti’, anatthiko hutvā paṇṇaṃ pesessāmī’’ti rahogato paṇṇaṃ likhi ‘‘bhaddā attano jātigottabhogānurūpaṃ gharāvāsaṃ labhatu, ahaṃ nikkhamitvā pabbajissāmi, mā pacchā vippaṭisārinī ahosī’’ti. Bhaddāpi ‘‘asukassa kira maṃ dātukāmo’’ti sutvā rahogatā paṇṇaṃ likhi ‘‘ayyaputto attano jātigottabhogānurūpaṃ gharāvāsaṃ labhatu, ahaṃ nikkhamitvā pabbajissāmi, mā pacchā vippaṭisārī ahosī’’ti. Dve paṇṇāni antarāmagge samāgacchiṃsu. Idaṃ kassa paṇṇanti? Pippalimāṇavena bhaddāya pahitanti. Idaṃ kassāti? Bhaddāya pippalimāṇavassa pahitanti ca vutte dvepi vācetvā ‘‘passatha dārakānaṃ kamma’’nti phāletvā araññe chaḍḍetvā samānapaṇṇaṃ likhitvā ito ca etto ca pesesuṃ. Iti tesaṃ anicchamānānaṃyeva samāgamo ahosi.

    ตํทิวสเมว มาณโว เอกํ ปุปฺผทามํ คเหตฺวา ฐเปสิฯ ภทฺทาปิ, ตานิ สยนมเชฺฌ ฐเปสิฯ ภุตฺตสายมาสา อุโภปิ ‘‘สยนํ อภิรุหิสฺสามา’’ติ สมาคนฺตฺวา มาณโว ทกฺขิณปเสฺสน สยนํ อภิรุหิฯ ภทฺทา วามปเสฺสน อภิรุหิตฺวา อาห – ‘‘ยสฺส ปเสฺส ปุปฺผานิ มิลายนฺติ, ตสฺส ราคจิตฺตํ อุปฺปนฺนนฺติ วิชานิสฺสาม, อิมํ ปุปฺผทามํ น อลฺลียิตพฺพ’’นฺติฯ เต ปน อญฺญมญฺญํ สรีรสมฺผสฺสภเยน ติยามรตฺติํ นิทฺทํ อโนกฺกมนฺตาว วีตินาเมนฺติ, ทิวา ปน หาสมตฺตมฺปิ นาโหสิฯ เต โลกามิเสน อสํสฎฺฐา ยาว มาตาปิตโร ธรนฺติ, ตาว กุฎุมฺพํ อวิจาเรตฺวา เตสุ กาลงฺกเตสุ วิจารยิํสุฯ มหตี มาณวสฺส สมฺปตฺติ สตฺตาสีติโกฎิธนํ, เอกทิวสํ สรีรํ อุพฺพเฎฺฎตฺวา ฉเฑฺฑตพฺพํ สุวณฺณจุณฺณเมว มคธนาฬิยา ทฺวาทสนาฬิมตฺตํ ลทฺธุํ วฎฺฎติฯ ยนฺตพทฺธานิ สฎฺฐิ มหาตฬากานิ, กมฺมโนฺต ทฺวาทสโยชนิโก, อนุราธปุรปฺปมาณา จุทฺทส คามา, จุทฺทส หตฺถานีกา, จุทฺทส อสฺสานีกา, จุทฺทส รถานีกาฯ

    Taṃdivasameva māṇavo ekaṃ pupphadāmaṃ gahetvā ṭhapesi. Bhaddāpi, tāni sayanamajjhe ṭhapesi. Bhuttasāyamāsā ubhopi ‘‘sayanaṃ abhiruhissāmā’’ti samāgantvā māṇavo dakkhiṇapassena sayanaṃ abhiruhi. Bhaddā vāmapassena abhiruhitvā āha – ‘‘yassa passe pupphāni milāyanti, tassa rāgacittaṃ uppannanti vijānissāma, imaṃ pupphadāmaṃ na allīyitabba’’nti. Te pana aññamaññaṃ sarīrasamphassabhayena tiyāmarattiṃ niddaṃ anokkamantāva vītināmenti, divā pana hāsamattampi nāhosi. Te lokāmisena asaṃsaṭṭhā yāva mātāpitaro dharanti, tāva kuṭumbaṃ avicāretvā tesu kālaṅkatesu vicārayiṃsu. Mahatī māṇavassa sampatti sattāsītikoṭidhanaṃ, ekadivasaṃ sarīraṃ ubbaṭṭetvā chaḍḍetabbaṃ suvaṇṇacuṇṇameva magadhanāḷiyā dvādasanāḷimattaṃ laddhuṃ vaṭṭati. Yantabaddhāni saṭṭhi mahātaḷākāni, kammanto dvādasayojaniko, anurādhapurappamāṇā cuddasa gāmā, cuddasa hatthānīkā, cuddasa assānīkā, cuddasa rathānīkā.

    โส เอกทิวสํ อลงฺกตอสฺสํ อารุยฺห มหาชนปริวุโต กมฺมนฺตํ คนฺตฺวา เขตฺตโกฎิยํ ฐิโต นงฺคเลหิ ภินฺนฎฺฐานโต กากาทโย สกุเณ คณฺฑุปฺปาทาทิปาณเก อุทฺธริตฺวา ขาทเนฺต ทิสฺวา, ‘‘ตาตา, อิเม กิํ ขาทนฺตี’’ติ ปุจฺฉิฯ คณฺฑุปฺปาเท, อยฺยาติฯ เอเตหิ กตํ ปาปํ กสฺส โหตีติ? ตุมฺหากํ, อยฺยาติฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ เอเตหิ กตํ ปาปํ มยฺหํ โหติ, กิํ เม กริสฺสติ สตฺตาสีติโกฎิธนํ, กิํ ทฺวาทสโยชนิโก กมฺมโนฺต, กิํ สฎฺฐิยนฺตพทฺธานิ ตฬากานิ, กิํ จุทฺทส คามา? สพฺพเมตํ ภทฺทาย กาปิลานิยา นิยฺยาเตตฺวา นิกฺขมฺม ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ

    So ekadivasaṃ alaṅkataassaṃ āruyha mahājanaparivuto kammantaṃ gantvā khettakoṭiyaṃ ṭhito naṅgalehi bhinnaṭṭhānato kākādayo sakuṇe gaṇḍuppādādipāṇake uddharitvā khādante disvā, ‘‘tātā, ime kiṃ khādantī’’ti pucchi. Gaṇḍuppāde, ayyāti. Etehi kataṃ pāpaṃ kassa hotīti? Tumhākaṃ, ayyāti. So cintesi – ‘‘sace etehi kataṃ pāpaṃ mayhaṃ hoti, kiṃ me karissati sattāsītikoṭidhanaṃ, kiṃ dvādasayojaniko kammanto, kiṃ saṭṭhiyantabaddhāni taḷākāni, kiṃ cuddasa gāmā? Sabbametaṃ bhaddāya kāpilāniyā niyyātetvā nikkhamma pabbajissāmī’’ti.

    ภทฺทาปิ กาปิลานี ตสฺมิํ ขเณ อนฺตรวตฺถุมฺหิ ตโย ติลกุเมฺภ ปตฺถราเปตฺวา ธาตีหิ ปริวุตา นิสินฺนา กาเก ติลปาณเก ขาทเนฺต ทิสฺวา, ‘‘อมฺมา, กิํ อิเม ขาทนฺตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ปาณเก, อเยฺยติฯ อกุสลํ กสฺส โหตีติ? ตุมฺหากํ, อเยฺยติฯ สา จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ จตุหตฺถวตฺถํ นาฬิโกทนมตฺตญฺจ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, ยทิ ปเนตํ เอตฺตเกน ชเนน กตํ อกุสลํ มยฺหํ โหติ, อทฺธา ภวสหเสฺสนปิ วฎฺฎโต สีสํ อุกฺขิปิตุํ น สกฺกา, อยฺยปุเตฺต อาคตมเตฺตเยว สพฺพํ ตสฺส นิยฺยาเตตฺวา นิกฺขมฺม ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ

    Bhaddāpi kāpilānī tasmiṃ khaṇe antaravatthumhi tayo tilakumbhe pattharāpetvā dhātīhi parivutā nisinnā kāke tilapāṇake khādante disvā, ‘‘ammā, kiṃ ime khādantī’’ti pucchi. Pāṇake, ayyeti. Akusalaṃ kassa hotīti? Tumhākaṃ, ayyeti. Sā cintesi – ‘‘mayhaṃ catuhatthavatthaṃ nāḷikodanamattañca laddhuṃ vaṭṭati, yadi panetaṃ ettakena janena kataṃ akusalaṃ mayhaṃ hoti, addhā bhavasahassenapi vaṭṭato sīsaṃ ukkhipituṃ na sakkā, ayyaputte āgatamatteyeva sabbaṃ tassa niyyātetvā nikkhamma pabbajissāmī’’ti.

    มาณโว อาคนฺตฺวา นฺหายิตฺวา ปาสาทํ อารุยฺห มหารเห ปลฺลเงฺก นิสีทิฯ อถสฺส จกฺกวตฺติโน อนุจฺฉวิกํ โภชนํ สชฺชยิํสุฯ เทฺวปิ ภุญฺชิตฺวา ปริชเน นิกฺขเนฺต รโหคตา ผาสุกฎฺฐาเน นิสีทิํสุฯ ตโต มาณโว ภทฺทํ อาห – ‘‘ภเทฺท อิมํ ฆรํ อาคจฺฉนฺตี กิตฺตกํ ธนํ อาหรี’’ติ? ปญฺจปณฺณาส สกฎสหสฺสานิ, อยฺยาติฯ เอตํ สพฺพํ, ยา จ อิมสฺมิํ ฆเร สตฺตาสีติ โกฎิโย ยนฺตพทฺธา สฎฺฐิตฬากาทิเภทา สมฺปตฺติ อตฺถิ, สพฺพํ ตุยฺหํเยว นิยฺยาเตมีติฯ ตุเมฺห ปน กหํ คจฺฉถ, อยฺยาติ? อหํ ปพฺพชิสฺสามีติฯ อยฺย, อหมฺปิ ตุมฺหากํเยว อาคมนํ โอโลกยมานา นิสินฺนา, อหมฺปิ ปพฺพชิสฺสามีติฯ เตสํ อาทิตฺตปณฺณกุฎิ วิย ตโย ภวา อุปฎฺฐหิํสุฯ เต อนฺตราปณโต กสาวรสปีตานิ วตฺถานิ มตฺติกาปเตฺต จ อาหราเปตฺวา อญฺญมญฺญํ เกเส โอหาราเปตฺวา ‘‘เย โลเก อรหโนฺต, เต อุทฺทิสฺส อมฺหากํ ปพฺพชฺชา’’ติ วตฺวา ถวิกาย ปเตฺต โอสาเรตฺวา อํเส ลเคฺคตฺวา ปาสาทโต โอตริํสุฯ เคเห ทาเสสุ วา กมฺมกาเรสุ วา น โกจิ สญฺชานิฯ

    Māṇavo āgantvā nhāyitvā pāsādaṃ āruyha mahārahe pallaṅke nisīdi. Athassa cakkavattino anucchavikaṃ bhojanaṃ sajjayiṃsu. Dvepi bhuñjitvā parijane nikkhante rahogatā phāsukaṭṭhāne nisīdiṃsu. Tato māṇavo bhaddaṃ āha – ‘‘bhadde imaṃ gharaṃ āgacchantī kittakaṃ dhanaṃ āharī’’ti? Pañcapaṇṇāsa sakaṭasahassāni, ayyāti. Etaṃ sabbaṃ, yā ca imasmiṃ ghare sattāsīti koṭiyo yantabaddhā saṭṭhitaḷākādibhedā sampatti atthi, sabbaṃ tuyhaṃyeva niyyātemīti. Tumhe pana kahaṃ gacchatha, ayyāti? Ahaṃ pabbajissāmīti. Ayya, ahampi tumhākaṃyeva āgamanaṃ olokayamānā nisinnā, ahampi pabbajissāmīti. Tesaṃ ādittapaṇṇakuṭi viya tayo bhavā upaṭṭhahiṃsu. Te antarāpaṇato kasāvarasapītāni vatthāni mattikāpatte ca āharāpetvā aññamaññaṃ kese ohārāpetvā ‘‘ye loke arahanto, te uddissa amhākaṃ pabbajjā’’ti vatvā thavikāya patte osāretvā aṃse laggetvā pāsādato otariṃsu. Gehe dāsesu vā kammakāresu vā na koci sañjāni.

    อถ เน พฺราหฺมณคามโต นิกฺขมฺม ทาสคามทฺวาเรน คจฺฉเนฺต อากปฺปกุตฺตวเสน ทาสคามวาสิโน สญฺชานิํสุฯ เต โรทนฺตา ปาเทสุ นิปติตฺวา ‘‘กิํ อเมฺห อนาเถ กโรถ, อยฺยา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘มยํ ภเณ อาทิตฺตปณฺณสาลา วิย ตโย ภวาติ ปพฺพชิมฺหา, สเจ ตุเมฺหสุ เอเกกํ ภุชิสฺสํ กโรม, วสฺสสตมฺปิ นปฺปโหติฯ ตุเมฺหว ตุมฺหากํ สีสํ โธวิตฺวา ภุชิสฺสา หุตฺวา ชีวถา’’ติ วตฺวา เตสํ โรทนฺตานํเยว ปกฺกมิํสุฯ เถโร ปุรโต คจฺฉโนฺต นิวตฺติตฺวา โอโลเกโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ภทฺทา กาปิลานี สกลชมฺพุทีปคฺฆนิกา อิตฺถี มยฺหํ ปจฺฉโต อาคจฺฉติฯ ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ โกจิเทว เอวํ จิเนฺตยฺย ‘อิเม ปพฺพชิตฺวาปิ วินา ภวิตุํ น สโกฺกนฺติ, อนนุจฺฉวิกํ กโรนฺตี’ติฯ โกจิ วา ปน อเมฺหสุ มนํ ปทูเสตฺวา อปายปูรโก ภเวยฺยฯ อิมํ ปหาย มยา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ

    Atha ne brāhmaṇagāmato nikkhamma dāsagāmadvārena gacchante ākappakuttavasena dāsagāmavāsino sañjāniṃsu. Te rodantā pādesu nipatitvā ‘‘kiṃ amhe anāthe karotha, ayyā’’ti āhaṃsu. ‘‘Mayaṃ bhaṇe ādittapaṇṇasālā viya tayo bhavāti pabbajimhā, sace tumhesu ekekaṃ bhujissaṃ karoma, vassasatampi nappahoti. Tumheva tumhākaṃ sīsaṃ dhovitvā bhujissā hutvā jīvathā’’ti vatvā tesaṃ rodantānaṃyeva pakkamiṃsu. Thero purato gacchanto nivattitvā olokento cintesi – ‘‘ayaṃ bhaddā kāpilānī sakalajambudīpagghanikā itthī mayhaṃ pacchato āgacchati. Ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati, yaṃ kocideva evaṃ cinteyya ‘ime pabbajitvāpi vinā bhavituṃ na sakkonti, ananucchavikaṃ karontī’ti. Koci vā pana amhesu manaṃ padūsetvā apāyapūrako bhaveyya. Imaṃ pahāya mayā gantuṃ vaṭṭatī’’ti cittaṃ uppādesi.

    โส ปุรโต คจฺฉโนฺต เทฺวธาปถํ ทิสฺวา ตสฺส มตฺถเก อฎฺฐาสิฯ ภทฺทาปิ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ อาห – ‘‘ภเทฺท ตาทิสิํ อิตฺถิํ มม ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺติํ ทิสฺวา ‘อิเม ปพฺพชิตฺวาปิ วินา ภวิตุํ น สโกฺกนฺตี’ติ จิเนฺตตฺวา อเมฺหสุ ปทุฎฺฐจิโตฺต มหาชโน อปายปูรโก ภเวยฺยฯ อิมสฺมิํ เทฺวธาปเถ ตฺวํ เอกํ คณฺห, อหํ เอเกน คมิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อาม, อยฺย, ปพฺพชิตานํ มาตุคาโม นาม มลํ, ‘ปพฺพชิตฺวาปิ วินา น ภวนฺตี’ติ อมฺหากํ โทสํ ทสฺสนฺติ, ตุเมฺห เอกํ มคฺคํ คณฺหถ, อหํ เอกํ คณฺหิตฺวา วินา ภวิสฺสามา’’ติ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ‘‘สตสหสฺสกปฺปปฺปมาเณ อทฺธาเน กโต มิตฺตสนฺถโว อชฺช ภิชฺชตี’’ติ วตฺวา ‘‘ตุเมฺห ทกฺขิณชาติกา นาม, ตุมฺหากํ ทกฺขิณมโคฺค วฎฺฎติฯ มยํ มาตุคามา นาม วามชาติกา, อมฺหากํ วามมโคฺค วฎฺฎตี’’ติ วนฺทิตฺวา มคฺคํ ปฎิปนฺนาฯ เตสํ เทฺวธาภูตกาเล อยํ มหาปถวี ‘‘อหํ จกฺกวาฬคิริสิเนรุปพฺพเต ธาเรตุํ สโกฺกนฺตีปิ ตุมฺหากํ คุเณ ธาเรตุํ น สโกฺกมี’’ติ วทนฺตี วิย วิรวมานา อกมฺปิ, อากาเส อสนิสโทฺท วิย ปวตฺติ, จกฺกวาฬปพฺพโต อุนฺนทิฯ

    So purato gacchanto dvedhāpathaṃ disvā tassa matthake aṭṭhāsi. Bhaddāpi āgantvā vanditvā aṭṭhāsi. Atha naṃ āha – ‘‘bhadde tādisiṃ itthiṃ mama pacchato āgacchantiṃ disvā ‘ime pabbajitvāpi vinā bhavituṃ na sakkontī’ti cintetvā amhesu paduṭṭhacitto mahājano apāyapūrako bhaveyya. Imasmiṃ dvedhāpathe tvaṃ ekaṃ gaṇha, ahaṃ ekena gamissāmī’’ti. ‘‘Āma, ayya, pabbajitānaṃ mātugāmo nāma malaṃ, ‘pabbajitvāpi vinā na bhavantī’ti amhākaṃ dosaṃ dassanti, tumhe ekaṃ maggaṃ gaṇhatha, ahaṃ ekaṃ gaṇhitvā vinā bhavissāmā’’ti tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu pañcapatiṭṭhitena vanditvā dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjaliṃ paggayha ‘‘satasahassakappappamāṇe addhāne kato mittasanthavo ajja bhijjatī’’ti vatvā ‘‘tumhe dakkhiṇajātikā nāma, tumhākaṃ dakkhiṇamaggo vaṭṭati. Mayaṃ mātugāmā nāma vāmajātikā, amhākaṃ vāmamaggo vaṭṭatī’’ti vanditvā maggaṃ paṭipannā. Tesaṃ dvedhābhūtakāle ayaṃ mahāpathavī ‘‘ahaṃ cakkavāḷagirisinerupabbate dhāretuṃ sakkontīpi tumhākaṃ guṇe dhāretuṃ na sakkomī’’ti vadantī viya viravamānā akampi, ākāse asanisaddo viya pavatti, cakkavāḷapabbato unnadi.

    สมฺมาสมฺพุโทฺธ เวฬุวนมหาวิหาเร คนฺธกุฎิยํ นิสิโนฺน ปถวีกมฺปนสทฺทํ สุตฺวา ‘‘กสฺส นุ โข ปถวี กมฺปตี’’ติ อาวเชฺชโนฺต ‘‘ปิปฺปลิมาณโว จ ภทฺทา จ กาปิลานี มํ อุทฺทิสฺส อปฺปเมยฺยํ สมฺปตฺติํ ปหาย ปพฺพชิตา, เตสํ วิโยคฎฺฐาเน อุภินฺนมฺปิ คุณพเลน อยํ ปถวีกโมฺป ชาโต, มยาปิ เอเตสํ สงฺคหํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ คนฺธกุฎิโต นิกฺขมฺม สยเมว ปตฺตจีวรมาทาย อสีติมหาเถเรสุ กญฺจิ อนามเนฺตตฺวา ติคาวุตํ มคฺคํ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ราชคหสฺส จ นาลนฺทาย จ อนฺตเร พหุปุตฺตกนิโคฺรธรุกฺขมูเล ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสีทิฯ นิสีทโนฺต ปน อญฺญตรปํสุกูลิโก วิย อนิสีทิตฺวา พุทฺธเวสํ คเหตฺวา อสีติหตฺถา ฆนพุทฺธรสฺมิโย วิสฺสเชฺชโนฺต นิสีทิฯ อิติ ตสฺมิํ ขเณ ปณฺณจฺฉตฺตสกฎจกฺกกูฎาคาราทิปฺปมาณา พุทฺธรสฺมิโย อิโต จิโต จ วิปฺผนฺทนฺติโย วิธาวนฺติโย จนฺทสหสฺส-สูริยสหสฺส-อุคฺคมนกาโล วิย กุรุมานา ตํ วนนฺตํ เอโกภาสํ อกํสุฯ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณสิริยา สมุชฺชลตาราคณํ วิย คคนํ, สุปุปฺผิตกมลกุวลยํ วิย สลิลํ วนนฺตํ วิโรจิตฺถฯ นิโคฺรธรุกฺขสฺส ขโนฺธ นาม เสโต โหติ, ปตฺตานิ นาม นีลานิ, ปกฺกานิ รตฺตานิฯ ตสฺมิํ ปน ทิวเส สตสาโข นิโคฺรโธ สุวณฺณวโณฺณว อโหสิฯ

    Sammāsambuddho veḷuvanamahāvihāre gandhakuṭiyaṃ nisinno pathavīkampanasaddaṃ sutvā ‘‘kassa nu kho pathavī kampatī’’ti āvajjento ‘‘pippalimāṇavo ca bhaddā ca kāpilānī maṃ uddissa appameyyaṃ sampattiṃ pahāya pabbajitā, tesaṃ viyogaṭṭhāne ubhinnampi guṇabalena ayaṃ pathavīkampo jāto, mayāpi etesaṃ saṅgahaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti gandhakuṭito nikkhamma sayameva pattacīvaramādāya asītimahātheresu kañci anāmantetvā tigāvutaṃ maggaṃ paccuggamanaṃ katvā rājagahassa ca nālandāya ca antare bahuputtakanigrodharukkhamūle pallaṅkaṃ ābhujitvā nisīdi. Nisīdanto pana aññatarapaṃsukūliko viya anisīditvā buddhavesaṃ gahetvā asītihatthā ghanabuddharasmiyo vissajjento nisīdi. Iti tasmiṃ khaṇe paṇṇacchattasakaṭacakkakūṭāgārādippamāṇā buddharasmiyo ito cito ca vipphandantiyo vidhāvantiyo candasahassa-sūriyasahassa-uggamanakālo viya kurumānā taṃ vanantaṃ ekobhāsaṃ akaṃsu. Dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇasiriyā samujjalatārāgaṇaṃ viya gaganaṃ, supupphitakamalakuvalayaṃ viya salilaṃ vanantaṃ virocittha. Nigrodharukkhassa khandho nāma seto hoti, pattāni nāma nīlāni, pakkāni rattāni. Tasmiṃ pana divase satasākho nigrodho suvaṇṇavaṇṇova ahosi.

    มหากสฺสปเตฺถโร ‘‘อยํ มยฺหํ สตฺถา ภวิสฺสติ, อิมาหํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต’’ติ ทิฎฺฐฎฺฐานโต ปฎฺฐาย โอณโตณโต คนฺตฺวา ตีสุ ฐาเนสุ วนฺทิตฺวา ‘‘สตฺถา เม, ภเนฺต ภควา, สาวโกหมสฺมิ, สตฺถา เม, ภเนฺต ภควา, สาวโกหมสฺมี’’ติ อาหฯ อถ นํ ภควา อโวจ – ‘‘กสฺสป, สเจ ตฺวํ อิมํ นิปจฺจการํ มหาปถวิยา กเรยฺยาสิ, สาปิ ธาเรตุํ น สกฺกุเณยฺยฯ ตถาคตสฺส เอวํ คุณมหนฺตตํ ชานตา ตยา กโต นิปจฺจกาโร มยฺหํ โลมมฺปิ จาเลตุํ น สโกฺกติฯ นิสีท, กสฺสป, ทายชฺชํ เต ทสฺสามี’’ติฯ อถสฺส ภควา ตีหิ โอวาเทหิ อุปสมฺปทํ อทาสิฯ ทตฺวา พหุปุตฺตกนิโคฺรธมูลโต นิกฺขมิตฺวา เถรํ ปจฺฉาสมณํ กตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ สตฺถุ สรีรํ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณวิจิตฺตํ, มหากสฺสปสฺส สตฺตมหาปุริสลกฺขณปฎิมณฺฑิตํฯ โส กญฺจนมหานาวาย ปจฺฉาพโนฺธ วิย สตฺถุ ปทานุปทิกํ อนุคญฺฉิฯ สตฺถา โถกํ มคฺคํ คนฺตฺวา มคฺคา โอกฺกมฺม อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสชฺชาการํ ทเสฺสสิ, เถโร ‘‘นิสีทิตุกาโม สตฺถา’’ติ ญตฺวา อตฺตโน ปารุปนปิโลติกสงฺฆาฎิํ จตุคฺคุณํ กตฺวา ปญฺญาเปสิฯ

    Mahākassapatthero ‘‘ayaṃ mayhaṃ satthā bhavissati, imāhaṃ uddissa pabbajito’’ti diṭṭhaṭṭhānato paṭṭhāya oṇatoṇato gantvā tīsu ṭhānesu vanditvā ‘‘satthā me, bhante bhagavā, sāvakohamasmi, satthā me, bhante bhagavā, sāvakohamasmī’’ti āha. Atha naṃ bhagavā avoca – ‘‘kassapa, sace tvaṃ imaṃ nipaccakāraṃ mahāpathaviyā kareyyāsi, sāpi dhāretuṃ na sakkuṇeyya. Tathāgatassa evaṃ guṇamahantataṃ jānatā tayā kato nipaccakāro mayhaṃ lomampi cāletuṃ na sakkoti. Nisīda, kassapa, dāyajjaṃ te dassāmī’’ti. Athassa bhagavā tīhi ovādehi upasampadaṃ adāsi. Datvā bahuputtakanigrodhamūlato nikkhamitvā theraṃ pacchāsamaṇaṃ katvā maggaṃ paṭipajji. Satthu sarīraṃ dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇavicittaṃ, mahākassapassa sattamahāpurisalakkhaṇapaṭimaṇḍitaṃ. So kañcanamahānāvāya pacchābandho viya satthu padānupadikaṃ anugañchi. Satthā thokaṃ maggaṃ gantvā maggā okkamma aññatarasmiṃ rukkhamūle nisajjākāraṃ dassesi, thero ‘‘nisīditukāmo satthā’’ti ñatvā attano pārupanapilotikasaṅghāṭiṃ catugguṇaṃ katvā paññāpesi.

    สตฺถา ตสฺมิํ นิสีทิตฺวา หเตฺถน จีวรํ ปรามสิตฺวา ‘‘มุทุกา โข ตฺยายํ, กสฺสป, ปิโลติกสงฺฆาฎี’’ติ อาหฯ เถโร ‘‘สตฺถา เม สงฺฆาฎิยา มุทุกภาวํ กเถติ, ปารุปิตุกาโม ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘ปารุปตุ, ภเนฺต, ภควา สงฺฆาฎิ’’นฺติ อาหฯ กิํ ตฺวํ ปารุปิสฺสสิ กสฺสปาติ? ตุมฺหากํ นิวาสนํ ลภโนฺต ปารุปิสฺสามิ, ภเนฺตติฯ ‘‘กิํ ปน ตฺวํ, กสฺสป, อิมํ ปริโภคชิณฺณํ ปํสุกูลํ ธาเรตุํ สกฺขิสฺสสิ? มยา หิ อิมสฺส ปํสุกูลสฺส คหิตทิวเส อุทกปริยนฺตํ กตฺวา มหาปถวี กมฺปิ, อิมํ พุทฺธานํ ปริโภคชิณฺณํ จีวรํ นาม น สกฺกา ปริตฺตคุเณน ธาเรตุํ, ปฎิพเลเนวิทํ ปฎิปตฺติปูรณสมเตฺถน ชาติปํสุกูลิเกน คเหตุํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา เถเรน สทฺธิํ จีวรํ ปริวเตฺตสิฯ

    Satthā tasmiṃ nisīditvā hatthena cīvaraṃ parāmasitvā ‘‘mudukā kho tyāyaṃ, kassapa, pilotikasaṅghāṭī’’ti āha. Thero ‘‘satthā me saṅghāṭiyā mudukabhāvaṃ katheti, pārupitukāmo bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘pārupatu, bhante, bhagavā saṅghāṭi’’nti āha. Kiṃ tvaṃ pārupissasi kassapāti? Tumhākaṃ nivāsanaṃ labhanto pārupissāmi, bhanteti. ‘‘Kiṃ pana tvaṃ, kassapa, imaṃ paribhogajiṇṇaṃ paṃsukūlaṃ dhāretuṃ sakkhissasi? Mayā hi imassa paṃsukūlassa gahitadivase udakapariyantaṃ katvā mahāpathavī kampi, imaṃ buddhānaṃ paribhogajiṇṇaṃ cīvaraṃ nāma na sakkā parittaguṇena dhāretuṃ, paṭibalenevidaṃ paṭipattipūraṇasamatthena jātipaṃsukūlikena gahetuṃ vaṭṭatī’’ti vatvā therena saddhiṃ cīvaraṃ parivattesi.

    เอวํ ปน จีวรปริวตฺตํ กตฺวา เถเรน ปารุตจีวรํ ภควา ปารุปิ, สตฺถุ จีวรํ เถโร ปารุปิฯ ตสฺมิํ สมเย อเจตนาปิ อยํ มหาปถวี ‘‘ทุกฺกรํ, ภเนฺต, อกตฺถ, อตฺตนา ปารุตจีวรํ สาวกสฺส ทินฺนปุพฺพํ นาม นตฺถิ, อหํ ตุมฺหากํ คุณํ ธาเรตุํ น สโกฺกมี’’ติ วทนฺตี วิย อุทกปริยนฺตํ กตฺวา กมฺปิฯ เถโรปิ ‘‘ลทฺธํ ทานิ มยา พุทฺธานํ ปริโภคจีวรํ, กิํ เม อิทานิ อุตฺตริ กตฺตพฺพํ อตฺถี’’ติ อุนฺนติํ อกตฺวา พุทฺธานํ สนฺติเกเยว เตรส ธุตคุเณ สมาทาย สตฺตทิวสมตฺตํ ปุถุชฺชโน หุตฺวา อฎฺฐเม อรุเณ สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ สตฺถาปิ ‘‘กสฺสโป, ภิกฺขเว, จนฺทูปโม กุลานิ อุปสงฺกมติ, อปกเสฺสว กายํ อปกสฺส จิตฺตํ นิจฺจนวโก กุเลสุ อปฺปคโพฺภ’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๔๖) เอวมาทีหิ สุเตฺตหิ เถรํ โถเมตฺวา อปรภาเค เอตเทว กสฺสปสํยุตฺตํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา ‘‘มม สาสเน ธุตวาทานํ ภิกฺขูนํ มหากสฺสโป อโคฺค’’ติ เถรํ ฐานนฺตเร ฐเปสีติฯ

    Evaṃ pana cīvaraparivattaṃ katvā therena pārutacīvaraṃ bhagavā pārupi, satthu cīvaraṃ thero pārupi. Tasmiṃ samaye acetanāpi ayaṃ mahāpathavī ‘‘dukkaraṃ, bhante, akattha, attanā pārutacīvaraṃ sāvakassa dinnapubbaṃ nāma natthi, ahaṃ tumhākaṃ guṇaṃ dhāretuṃ na sakkomī’’ti vadantī viya udakapariyantaṃ katvā kampi. Theropi ‘‘laddhaṃ dāni mayā buddhānaṃ paribhogacīvaraṃ, kiṃ me idāni uttari kattabbaṃ atthī’’ti unnatiṃ akatvā buddhānaṃ santikeyeva terasa dhutaguṇe samādāya sattadivasamattaṃ puthujjano hutvā aṭṭhame aruṇe saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Satthāpi ‘‘kassapo, bhikkhave, candūpamo kulāni upasaṅkamati, apakasseva kāyaṃ apakassa cittaṃ niccanavako kulesu appagabbho’’ti (saṃ. ni. 2.146) evamādīhi suttehi theraṃ thometvā aparabhāge etadeva kassapasaṃyuttaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā ‘‘mama sāsane dhutavādānaṃ bhikkhūnaṃ mahākassapo aggo’’ti theraṃ ṭhānantare ṭhapesīti.

    อนุรุทฺธเตฺถรวตฺถุ

    Anuruddhattheravatthu

    ๑๙๒. ปญฺจเม ทิพฺพจกฺขุกานํ ยทิทํ อนุรุโทฺธติ ทิพฺพจกฺขุกภิกฺขูนํ อนุรุทฺธเตฺถโร อโคฺคติ วทติฯ ตสฺส จิณฺณวสิตาย อคฺคภาโว เวทิตโพฺพฯ เถโร กิร โภชนปปญฺจมตฺตํ ฐเปตฺวา เสสกาลํ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา ทิพฺพจกฺขุนา สเตฺต โอโลเกโนฺตว วิหรติฯ อิติ อโหรตฺตํ จิณฺณวสิตาย เอส ทิพฺพจกฺขุกานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ อปิจ กปฺปสตสหสฺสํ ปตฺถิตภาเวนเปส ทิพฺพจกฺขุกานํ อโคฺคว ชาโตฯ

    192. Pañcame dibbacakkhukānaṃ yadidaṃ anuruddhoti dibbacakkhukabhikkhūnaṃ anuruddhatthero aggoti vadati. Tassa ciṇṇavasitāya aggabhāvo veditabbo. Thero kira bhojanapapañcamattaṃ ṭhapetvā sesakālaṃ ālokaṃ vaḍḍhetvā dibbacakkhunā satte olokentova viharati. Iti ahorattaṃ ciṇṇavasitāya esa dibbacakkhukānaṃ aggo nāma jāto. Apica kappasatasahassaṃ patthitabhāvenapesa dibbacakkhukānaṃ aggova jāto.

    ตตฺรสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ กุลปุโตฺต ปทุมุตฺตรเสฺสว ภควโต กาเล ปจฺฉาภตฺตํ ธมฺมสฺสวนตฺถํ วิหารํ คจฺฉเนฺตน มหาชเนน สทฺธิํ อคมาสิฯ อยํ หิ ตทา อญฺญตโร อปากฎนาโม อิสฺสรกุฎุมฺพิโก อโหสิฯ โส ทสพลํ วนฺทิตฺวา ปริสปริยเนฺต ฐิโต ธมฺมกถํ สุณาติฯ สตฺถา เทสนํ ยถานุสนฺธิกํ ฆเฎตฺวา เอกํ ทิพฺพจกฺขุกํ ภิกฺขุํ เอตทคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ

    Tatrassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi hi kulaputto padumuttarasseva bhagavato kāle pacchābhattaṃ dhammassavanatthaṃ vihāraṃ gacchantena mahājanena saddhiṃ agamāsi. Ayaṃ hi tadā aññataro apākaṭanāmo issarakuṭumbiko ahosi. So dasabalaṃ vanditvā parisapariyante ṭhito dhammakathaṃ suṇāti. Satthā desanaṃ yathānusandhikaṃ ghaṭetvā ekaṃ dibbacakkhukaṃ bhikkhuṃ etadaggaṭṭhāne ṭhapesi.

    ตโต กุฎุมฺพิกสฺส เอตทโหสิ – ‘‘มหา วตายํ ภิกฺขุ, ยํ เอวํ สตฺถา สยํ ทิพฺพจกฺขุกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ อโห วตาหมฺปิ อนาคเต อุปฺปชฺชนกพุทฺธสฺส สาสเน ทิพฺพจกฺขุกานํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา ปริสนฺตเรน คนฺตฺวา สฺวาตนาย ภควนฺตํ ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเส พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา ‘‘มหนฺตํ ฐานนฺตรํ มยา ปตฺถิต’’นฺติ เตเนว นิยาเมน อชฺชตนาย สฺวาตนายาติ นิมเนฺตตฺวา สตฺต ทิวสานิ มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา สปริวารสฺส ภควโต อุตฺตมวตฺถานิ ทตฺวา ‘‘ภควา นาหํ อิมํ สกฺการํ ทิพฺพสมฺปตฺติยา น มนุสฺสสมฺปตฺติยา อตฺถาย กโรมิฯ ยํ ปน ตุเมฺห อิโต สตฺตทิวสมตฺถเก ภิกฺขุํ ทิพฺพจกฺขุกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐปยิตฺถ, อหมฺปิ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน โส ภิกฺขุ วิย ทิพฺพจกฺขุกานํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ กตฺวา ปาทมูเล นิปชฺชิฯ สตฺถา อนาคตํ โอโลเกตฺวา ตสฺส ปตฺถนาย สมิชฺฌนภาวํ ญตฺวา เอวมาห – ‘‘อโมฺภ ปุริส, อนาคเต กปฺปสตสหสฺสปริโยสาเน โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺส สาสเน ตฺวํ ทิพฺพจกฺขุกานํ อโคฺค อนุรุโทฺธ นาม ภวิสฺสสี’’ติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา ภตฺตานุโมทนํ กตฺวา วิหารเมว อคมาสิฯ

    Tato kuṭumbikassa etadahosi – ‘‘mahā vatāyaṃ bhikkhu, yaṃ evaṃ satthā sayaṃ dibbacakkhukānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi. Aho vatāhampi anāgate uppajjanakabuddhassa sāsane dibbacakkhukānaṃ aggo bhaveyya’’nti cittaṃ uppādetvā parisantarena gantvā svātanāya bhagavantaṃ bhikkhusaṅghena saddhiṃ nimantetvā punadivase buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā ‘‘mahantaṃ ṭhānantaraṃ mayā patthita’’nti teneva niyāmena ajjatanāya svātanāyāti nimantetvā satta divasāni mahādānaṃ pavattetvā saparivārassa bhagavato uttamavatthāni datvā ‘‘bhagavā nāhaṃ imaṃ sakkāraṃ dibbasampattiyā na manussasampattiyā atthāya karomi. Yaṃ pana tumhe ito sattadivasamatthake bhikkhuṃ dibbacakkhukānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapayittha, ahampi anāgate ekassa buddhassa sāsane so bhikkhu viya dibbacakkhukānaṃ aggo bhaveyya’’nti patthanaṃ katvā pādamūle nipajji. Satthā anāgataṃ oloketvā tassa patthanāya samijjhanabhāvaṃ ñatvā evamāha – ‘‘ambho purisa, anāgate kappasatasahassapariyosāne gotamo nāma buddho uppajjissati, tassa sāsane tvaṃ dibbacakkhukānaṃ aggo anuruddho nāma bhavissasī’’ti. Evañca pana vatvā bhattānumodanaṃ katvā vihārameva agamāsi.

    กุฎุมฺพิโกปิ ยาว พุโทฺธ ธรติ, ตาว อวิชหิตเมว กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา ปรินิพฺพุเต สตฺถริ นิฎฺฐิเต สตฺตโยชนิเก สุวณฺณเจติเย ภิกฺขุสงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, กิํ ทิพฺพจกฺขุสฺส ปริกมฺม’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ปทีปทานํ นาม ทาตุํ วฎฺฎติ อุปาสกาติฯ สาธุ, ภเนฺต, กริสฺสามีติ สหสฺสทีปานํเยว ตาว ทีปรุกฺขานํ สหสฺสํ กาเรสิ, ตทนนฺตรํ ตโต ปริตฺตตเร, ตทนนฺตรํ ตโต ปริยตฺตตเรติ อเนกสหเสฺส ทีปรุเกฺข กาเรสิฯ เสสปทีปา ปน อปริมาณา อเหสุํฯ

    Kuṭumbikopi yāva buddho dharati, tāva avijahitameva kalyāṇakammaṃ katvā parinibbute satthari niṭṭhite sattayojanike suvaṇṇacetiye bhikkhusaṅghaṃ upasaṅkamitvā, ‘‘bhante, kiṃ dibbacakkhussa parikamma’’nti pucchi. Padīpadānaṃ nāma dātuṃ vaṭṭati upāsakāti. Sādhu, bhante, karissāmīti sahassadīpānaṃyeva tāva dīparukkhānaṃ sahassaṃ kāresi, tadanantaraṃ tato parittatare, tadanantaraṃ tato pariyattatareti anekasahasse dīparukkhe kāresi. Sesapadīpā pana aparimāṇā ahesuṃ.

    เอวํ ยาวชีวํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสรโนฺต กปฺปสตสหสฺสํ อติกฺกมิตฺวา กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธสฺส กาเล พาราณสิยํ กุฎุมฺพิยเคเห นิพฺพตฺติตฺวา ปรินิพฺพุเต สตฺถริ นิฎฺฐิเต โยชนิเก เจติเย พหุ กํสปาติโย การาเปตฺวา สปฺปิมณฺฑสฺส ปูเรตฺวา มเชฺฌ เอเกกํ คุฬปิณฺฑํ ฐเปตฺวา อุชฺชาเลตฺวา มุขวฎฺฎิยา มุขวฎฺฎิํ ผุสาเปโนฺต เจติยํ ปริกฺขิปาเปตฺวา อตฺตโน สพฺพมหนฺตํ กํสปาติํ กาเรตฺวา สปฺปิมณฺฑสฺส ปูเรตฺวา ตสฺสา มุขวฎฺฎิยํ สมนฺตโต วฎฺฎิสหสฺสํ ชาลาเปตฺวา มชฺฌฎฺฐาเน ถูปิกํ ปิโลติกาย เวเฐตฺวา ชาลาเปตฺวา กํสปาติํ สีเสนาทาย สพฺพรตฺติํ โยชนิกํ เจติยํ อนุปริยายิฯ เอวํ เตนาปิ อตฺตภาเวน ยาวชีวํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพโตฺตฯ

    Evaṃ yāvajīvaṃ kalyāṇakammaṃ katvā devesu ca manussesu ca saṃsaranto kappasatasahassaṃ atikkamitvā kassapasammāsambuddhassa kāle bārāṇasiyaṃ kuṭumbiyagehe nibbattitvā parinibbute satthari niṭṭhite yojanike cetiye bahu kaṃsapātiyo kārāpetvā sappimaṇḍassa pūretvā majjhe ekekaṃ guḷapiṇḍaṃ ṭhapetvā ujjāletvā mukhavaṭṭiyā mukhavaṭṭiṃ phusāpento cetiyaṃ parikkhipāpetvā attano sabbamahantaṃ kaṃsapātiṃ kāretvā sappimaṇḍassa pūretvā tassā mukhavaṭṭiyaṃ samantato vaṭṭisahassaṃ jālāpetvā majjhaṭṭhāne thūpikaṃ pilotikāya veṭhetvā jālāpetvā kaṃsapātiṃ sīsenādāya sabbarattiṃ yojanikaṃ cetiyaṃ anupariyāyi. Evaṃ tenāpi attabhāvena yāvajīvaṃ kalyāṇakammaṃ katvā devaloke nibbatto.

    ปุน อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ ตสฺมิํเยว นคเร ทุคฺคตกุลสฺส เคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา สุมนเสฎฺฐิํ นาม นิสฺสาย วสิ, อนฺนภาโรติสฺส นามํ อโหสิฯ โส ปน สุมนเสฎฺฐิ เทวสิกํ กปณทฺธิกวณิพฺพกยาจกานํ เคหทฺวาเร มหาทานํ เทติฯ อเถกทิวสํ อุปริโฎฺฐ นาม ปเจฺจกพุโทฺธ คนฺธมาทนปพฺพเต นิโรธสมาปตฺติํ สมาปโนฺนฯ ตโต วุฎฺฐาย ‘‘อชฺช กสฺส อนุคฺคหํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วีมํสิฯ ปเจฺจกพุทฺธา จ นาม ทุคฺคตานุกมฺปกา โหนฺติฯ โส ‘‘อชฺช มยา อนฺนภารสฺส อนุคฺคหํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อิทานิ อนฺนภาโร อฎวิโต อตฺตโน เคหํ อาคมิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย คนฺธมาทนปพฺพตา เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา คามทฺวาเร อนฺนภารสฺส สมฺมุเข ปจฺจุฎฺฐาสิฯ

    Puna anuppanne buddhe tasmiṃyeva nagare duggatakulassa gehe paṭisandhiṃ gaṇhitvā sumanaseṭṭhiṃ nāma nissāya vasi, annabhārotissa nāmaṃ ahosi. So pana sumanaseṭṭhi devasikaṃ kapaṇaddhikavaṇibbakayācakānaṃ gehadvāre mahādānaṃ deti. Athekadivasaṃ upariṭṭho nāma paccekabuddho gandhamādanapabbate nirodhasamāpattiṃ samāpanno. Tato vuṭṭhāya ‘‘ajja kassa anuggahaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti vīmaṃsi. Paccekabuddhā ca nāma duggatānukampakā honti. So ‘‘ajja mayā annabhārassa anuggahaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā ‘‘idāni annabhāro aṭavito attano gehaṃ āgamissatī’’ti ñatvā pattacīvaramādāya gandhamādanapabbatā vehāsaṃ abbhuggantvā gāmadvāre annabhārassa sammukhe paccuṭṭhāsi.

    อนฺนภาโร ปเจฺจกพุทฺธํ ตุจฺฉปตฺตหตฺถํ ทิสฺวา ปเจฺจกพุทฺธํ อภิวาเทตฺวา ‘‘อปิ, ภเนฺต, ภิกฺขํ ลภิตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ลภิสฺสาม มหาปุญฺญาติฯ ‘‘ภเนฺต, โถกํ อิเธว โหถา’’ติ เวเคน คนฺตฺวา อตฺตโน เคเห มาตุคามํ ปุจฺฉิ – ‘‘ภเทฺท, มยฺหํ ฐปิตํ ภาคภตฺตํ อตฺถิ, นตฺถี’’ติ? อตฺถิ สามีติฯ โส ตโตว คนฺตฺวา ปเจฺจกพุทฺธสฺส หตฺถโต ปตฺตมาทาย อาคนฺตฺวา ‘‘ภเทฺท, มยํ ปุริมภเว กลฺยาณกมฺมสฺส อกตตฺตา ภตฺตํ ปจฺจาสีสมานา วิหราม , อมฺหากํ ทาตุกามตาย สติ เทยฺยธโมฺม น โหติ, เทยฺยธเมฺม สติ ปฎิคฺคาหกํ น ลภาม, อชฺช เม อุปริฎฺฐปเจฺจกพุโทฺธ ทิโฎฺฐ, ภาคภตฺตญฺจ อตฺถิ, มยฺหํ ภาคภตฺตํ อิมสฺมิํ ปเตฺต ปกฺขิปาหี’’ติฯ

    Annabhāro paccekabuddhaṃ tucchapattahatthaṃ disvā paccekabuddhaṃ abhivādetvā ‘‘api, bhante, bhikkhaṃ labhitthā’’ti pucchi. Labhissāma mahāpuññāti. ‘‘Bhante, thokaṃ idheva hothā’’ti vegena gantvā attano gehe mātugāmaṃ pucchi – ‘‘bhadde, mayhaṃ ṭhapitaṃ bhāgabhattaṃ atthi, natthī’’ti? Atthi sāmīti. So tatova gantvā paccekabuddhassa hatthato pattamādāya āgantvā ‘‘bhadde, mayaṃ purimabhave kalyāṇakammassa akatattā bhattaṃ paccāsīsamānā viharāma , amhākaṃ dātukāmatāya sati deyyadhammo na hoti, deyyadhamme sati paṭiggāhakaṃ na labhāma, ajja me upariṭṭhapaccekabuddho diṭṭho, bhāgabhattañca atthi, mayhaṃ bhāgabhattaṃ imasmiṃ patte pakkhipāhī’’ti.

    พฺยตฺตา อิตฺถี ‘‘ยโต มยฺหํ สามิโก ภาคภตฺตํ เทติ, มยาปิ อิมสฺมิํ ทาเน ภาคินิยา ภวิตพฺพ’’นฺติ อตฺตโน ภาคภตฺตมฺปิ อุปริฎฺฐสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปเตฺต ปติฎฺฐเปตฺวา อทาสิฯ อนฺนภาโร ปตฺตํ อาหริตฺวา ปเจฺจกพุทฺธสฺส หเตฺถ ฐเปตฺวา, ‘‘ภเนฺต, เอวรูปา ทุชฺชีวิตา มุจฺจามา’’ติ อาหฯ เอวํ โหตุ, มหาปุญฺญาติฯ โส อตฺตโน อุตฺตรสาฎกํ เอกสฺมิํ ปเทเส อตฺถริตฺวา , ‘‘ภเนฺต, อิธ นิสีทิตฺวา ปริภุญฺชถา’’ติ อาหฯ ปเจฺจกพุโทฺธ ตตฺถ นิสีทิตฺวา นววิธํ ปาฎิกูลฺยํ ปจฺจเวกฺขโนฺต ปริภุญฺชิฯ ปริภุตฺตกาเล อนฺนภาโร ปตฺตโธวนอุทกํ อทาสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ นิฎฺฐิตภตฺตกิโจฺจ –

    Byattā itthī ‘‘yato mayhaṃ sāmiko bhāgabhattaṃ deti, mayāpi imasmiṃ dāne bhāginiyā bhavitabba’’nti attano bhāgabhattampi upariṭṭhassa paccekabuddhassa patte patiṭṭhapetvā adāsi. Annabhāro pattaṃ āharitvā paccekabuddhassa hatthe ṭhapetvā, ‘‘bhante, evarūpā dujjīvitā muccāmā’’ti āha. Evaṃ hotu, mahāpuññāti. So attano uttarasāṭakaṃ ekasmiṃ padese attharitvā , ‘‘bhante, idha nisīditvā paribhuñjathā’’ti āha. Paccekabuddho tattha nisīditvā navavidhaṃ pāṭikūlyaṃ paccavekkhanto paribhuñji. Paribhuttakāle annabhāro pattadhovanaudakaṃ adāsi. Paccekabuddho niṭṭhitabhattakicco –

    ‘‘อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ, สพฺพเมว สมิชฺฌตุ;

    ‘‘Icchitaṃ patthitaṃ tuyhaṃ, sabbameva samijjhatu;

    สเพฺพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา, จโนฺท ปนฺนรโส ยถา’’ติฯ –

    Sabbe pūrentu saṅkappā, cando pannaraso yathā’’ti. –

    อนุโมทนํ กตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ สุมนเสฎฺฐิสฺส ฉเตฺต อธิวตฺถา เทวตา ‘‘อโห ทานํ ปรมทานํ อุปริเฎฺฐ สุปฺปติฎฺฐิต’’นฺติ ติกฺขตฺตุํ วตฺวา สาธุการํ อทาสิฯ สุมนเสฎฺฐิ ‘‘กิํ ตฺวํ มํ เอตฺตกํ กาลํ ทานํ ททมานํ น ปสฺสสี’’ติ อาหฯ นาหํ ตว ทาเน สาธุการํ เทมิ, อนฺนภาเรน อุปริฎฺฐปเจฺจกพุทฺธสฺส ทินฺนปิณฺฑปาเต ปสีทิตฺวา สาธุการํ เทมีติฯ

    Anumodanaṃ katvā maggaṃ paṭipajji. Sumanaseṭṭhissa chatte adhivatthā devatā ‘‘aho dānaṃ paramadānaṃ upariṭṭhe suppatiṭṭhita’’nti tikkhattuṃ vatvā sādhukāraṃ adāsi. Sumanaseṭṭhi ‘‘kiṃ tvaṃ maṃ ettakaṃ kālaṃ dānaṃ dadamānaṃ na passasī’’ti āha. Nāhaṃ tava dāne sādhukāraṃ demi, annabhārena upariṭṭhapaccekabuddhassa dinnapiṇḍapāte pasīditvā sādhukāraṃ demīti.

    สุมนเสฎฺฐิ จิเนฺตสิ – ‘‘อจฺฉริยํ วติทํ, อหํ เอตฺตกํ กาลํ ทานํ เทโนฺต เทวตํ สาธุการํ ทาเปตุํ นาสกฺขิํฯ อยํ อนฺนภาโร มํ นิสฺสาย วสโนฺต อนุรูปสฺส ปฎิคฺคาหกปุคฺคลสฺส ลทฺธตฺตา เอกปิณฺฑปาตทาเนเนว สาธุการํ ทาเปสิ, เอตสฺส อนุจฺฉวิกํ ทตฺวา เอตํ ปิณฺฑปาตํ มม สนฺตกํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ อนฺนภารํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อชฺช ตยา กสฺสจิ กิญฺจิ ทานํ ทินฺน’’นฺติ ปุจฺฉิฯ อาม, อยฺย, อุปริฎฺฐปเจฺจกพุทฺธสฺส เม อตฺตโน ภาคภตฺตํ ทินฺนนฺติฯ หนฺท, โภ, กหาปณํ คณฺหิตฺวา เอตํ ปิณฺฑปาตํ มยฺหํ เทหีติฯ น เทมิ อยฺยาติฯ โส ยาว สหสฺสํ วเฑฺฒสิ, อนฺนภาโร ‘‘สหเสฺสนาปิ น เทมี’’ติ อาหฯ โหตุ, โภ, ยทิ ปิณฺฑปาตํ น เทสิ, สหสฺสํ คณฺหิตฺวา ปตฺติํ เม เทหีติฯ ‘‘เอตมฺปิ ทาตุํ ยุตฺตํ วา อยุตฺตํ วา น ชานามิ, อยฺยํ ปน อุปริฎฺฐปเจฺจกพุทฺธํ ปุจฺฉิตฺวา สเจ ทาตุํ ยุตฺตํ ภวิสฺสติ, ทสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา ปเจฺจกพุทฺธํ สมฺปาปุณิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, สุมนเสฎฺฐิ มยฺหํ สหสฺสํ ทตฺวา ตุมฺหากํ ทินฺนปิณฺฑปาเต ปตฺติํ ยาจติ, ทมฺมิ วา น ทมฺมิ วา’’ติ ฯ อุปมํ เต ปณฺฑิต กริสฺสามิฯ เสยฺยถาปิ กุลสติเก คาเม เอกสฺมิํเยว ฆเร ทีปํ ชาเลยฺย, เสสา อตฺตโน อตฺตโน เตเลน วฎฺฎิํ เตเมตฺวา ชาลาเปตฺวา คเณฺหยฺยุํ, ปุริมทีปสฺส ปภา อตฺถิ, นตฺถีติฯ อติเรกตรา, ภเนฺต, ปภา โหตีติฯ เอวเมว ปณฺฑิต อุฬุงฺกยาคุ วา โหตุ กฎจฺฉุภิกฺขา วา, อตฺตโน ปิณฺฑปาเต ปเรสํ ปตฺติํ เทนฺตสฺส สตสฺส วา เทตุ สหสฺสสฺส วา, ยตฺตกานํ เทติ, ตตฺตกานํ ปุญฺญํ วฑฺฒติฯ ตฺวํ เทโนฺต เอกเมว ปิณฺฑปาตํ อทาสิ, สุมนเสฎฺฐิสฺส ปน ปตฺติยา ทินฺนาย เทฺว ปิณฺฑปาตา โหนฺติ เอโก ตว, เอโก จ ตสฺสาติฯ

    Sumanaseṭṭhi cintesi – ‘‘acchariyaṃ vatidaṃ, ahaṃ ettakaṃ kālaṃ dānaṃ dento devataṃ sādhukāraṃ dāpetuṃ nāsakkhiṃ. Ayaṃ annabhāro maṃ nissāya vasanto anurūpassa paṭiggāhakapuggalassa laddhattā ekapiṇḍapātadāneneva sādhukāraṃ dāpesi, etassa anucchavikaṃ datvā etaṃ piṇḍapātaṃ mama santakaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti annabhāraṃ pakkosāpetvā ‘‘ajja tayā kassaci kiñci dānaṃ dinna’’nti pucchi. Āma, ayya, upariṭṭhapaccekabuddhassa me attano bhāgabhattaṃ dinnanti. Handa, bho, kahāpaṇaṃ gaṇhitvā etaṃ piṇḍapātaṃ mayhaṃ dehīti. Na demi ayyāti. So yāva sahassaṃ vaḍḍhesi, annabhāro ‘‘sahassenāpi na demī’’ti āha. Hotu, bho, yadi piṇḍapātaṃ na desi, sahassaṃ gaṇhitvā pattiṃ me dehīti. ‘‘Etampi dātuṃ yuttaṃ vā ayuttaṃ vā na jānāmi, ayyaṃ pana upariṭṭhapaccekabuddhaṃ pucchitvā sace dātuṃ yuttaṃ bhavissati, dassāmī’’ti gantvā paccekabuddhaṃ sampāpuṇitvā, ‘‘bhante, sumanaseṭṭhi mayhaṃ sahassaṃ datvā tumhākaṃ dinnapiṇḍapāte pattiṃ yācati, dammi vā na dammi vā’’ti . Upamaṃ te paṇḍita karissāmi. Seyyathāpi kulasatike gāme ekasmiṃyeva ghare dīpaṃ jāleyya, sesā attano attano telena vaṭṭiṃ temetvā jālāpetvā gaṇheyyuṃ, purimadīpassa pabhā atthi, natthīti. Atirekatarā, bhante, pabhā hotīti. Evameva paṇḍita uḷuṅkayāgu vā hotu kaṭacchubhikkhā vā, attano piṇḍapāte paresaṃ pattiṃ dentassa satassa vā detu sahassassa vā, yattakānaṃ deti, tattakānaṃ puññaṃ vaḍḍhati. Tvaṃ dento ekameva piṇḍapātaṃ adāsi, sumanaseṭṭhissa pana pattiyā dinnāya dve piṇḍapātā honti eko tava, eko ca tassāti.

    โส ปเจฺจกพุทฺธํ อภิวาเทตฺวา สุมนเสฎฺฐิสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ปิณฺฑปาเต ปตฺติํ คณฺห สามี’’ติ อาหฯ หนฺท, กหาปณสหสฺสํ คณฺหาติฯ นาหํ ปิณฺฑปาตํ วิกฺกิณามิ, สทฺธาย ปน ตุมฺหากํ ปตฺติํ เทมีติฯ ตาต, ตฺวํ มยฺหํ สทฺธาย ปตฺติํ เทสิ, อหํ ปน ตุยฺหํ คุณํ ปูเชโนฺต สหสฺสํ เทมิ, คณฺห, ตาตาติฯ โส ‘‘เอวํ โหตู’’ติ สหสฺสํ คณฺหิฯ ตาต, ตุยฺหํ สหสฺสํ ลทฺธกาลโต ปฎฺฐาย สหตฺถา กมฺมกรณกิจฺจํ นตฺถิ, วีถิยํ ฆรํ มาเปตฺวา วสฯ เยน ตุยฺหํ อโตฺถ, ตํ มํ อาหราเปตฺวา คณฺหาหีติฯ นิโรธสมาปตฺติโต วุฎฺฐิตปเจฺจกพุทฺธสฺส ทินฺนปิณฺฑปาโต นาม ตํทิวสเมว วิปากํ เทติฯ ตสฺมา สุมนเสฎฺฐิ อญฺญํ ทิวสํ อนฺนภารํ คเหตฺวา ราชกุลํ อคจฺฉโนฺตปิ ตํทิวสํ คเหตฺวาว คโตฯ

    So paccekabuddhaṃ abhivādetvā sumanaseṭṭhissa santikaṃ gantvā ‘‘piṇḍapāte pattiṃ gaṇha sāmī’’ti āha. Handa, kahāpaṇasahassaṃ gaṇhāti. Nāhaṃ piṇḍapātaṃ vikkiṇāmi, saddhāya pana tumhākaṃ pattiṃ demīti. Tāta, tvaṃ mayhaṃ saddhāya pattiṃ desi, ahaṃ pana tuyhaṃ guṇaṃ pūjento sahassaṃ demi, gaṇha, tātāti. So ‘‘evaṃ hotū’’ti sahassaṃ gaṇhi. Tāta, tuyhaṃ sahassaṃ laddhakālato paṭṭhāya sahatthā kammakaraṇakiccaṃ natthi, vīthiyaṃ gharaṃ māpetvā vasa. Yena tuyhaṃ attho, taṃ maṃ āharāpetvā gaṇhāhīti. Nirodhasamāpattito vuṭṭhitapaccekabuddhassa dinnapiṇḍapāto nāma taṃdivasameva vipākaṃ deti. Tasmā sumanaseṭṭhi aññaṃ divasaṃ annabhāraṃ gahetvā rājakulaṃ agacchantopi taṃdivasaṃ gahetvāva gato.

    อนฺนภารสฺส ปุญฺญํ อาคมฺม ราชา เสฎฺฐิํ อโนโลเกตฺวา อนฺนภารเมว โอโลเกสิ ฯ กิํ, เทว, อิมํ ปุริสํ อติวิย โอโลเกสีติ? อญฺญํ ทิวสํ อทิฎฺฐปุพฺพตฺตา โอโลเกมีติฯ โอโลเกตพฺพยุตฺตโก เอส เทวาติฯ โก ปนสฺส โอโลเกตพฺพยุตฺตโก คุโณติ? อชฺช อตฺตโน ภาคภตฺตํ สยํ อภุญฺชิตฺวา อุปริฎฺฐปเจฺจกพุทฺธสฺส ทินฺนตฺตา มม หตฺถโต สหสฺสํ ลภิ เทวาติฯ โกนาโม เอโสติ? อนฺนภาโร นาม เทวาติฯ ‘‘ตว หตฺถโต ลทฺธตฺตา มมปิ หตฺถโต ลทฺธุํ อรหติ, อหมฺปิสฺส ปูชํ กริสฺสามี’’ติ วตฺวา สหสฺสํ อทาสิฯ เอตสฺส วสนเคหํ ชานาถ ภเณติ? สาธุ เทวาติ เอกํ เคหฎฺฐานํ โสเธนฺตา กุทฺทาเลน อาหตาหตฎฺฐาเน นิธิกุมฺภิโย คีวาย คีวํ อาหจฺจ ฐิตา ทิสฺวา รโญฺญ อาโรจยิํสุฯ ราชา ‘‘เตน หิ คนฺตฺวา ขนถา’’ติ อาหฯ เตสํ ขนนฺตานํ ขนนฺตานํ เหฎฺฐา คจฺฉนฺติฯ ปุน คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรจยิํสุฯ ราชา ‘‘อนฺนภารสฺส วจเนน ขนถา’’ติ อาหฯ เต คนฺตฺวา ‘‘อนฺนภารเสฺสว วจน’’นฺติ ขนิํสุฯ กุทฺทาเลน อาหตาหตฎฺฐาเน อหิจฺฉตฺตกมกุฬานิ วิย กุมฺภิโย อุฎฺฐหิํสุฯ เต ธนํ อาหริตฺวา รโญฺญ สนฺติเก ราสิํ อกํสุฯ ราชา อมเจฺจ สนฺนิปาเตตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ นคเร กสฺส อญฺญสฺส เอตฺตกํ ธนํ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ นตฺถิ กสฺสจิ เทวาติฯ เตน หิ อยํ อนฺนภาโร อิมสฺมิํ นคเร ธนเสฎฺฐิ นาม โหตูติฯ ตํทิวสเมว เสฎฺฐิจฺฉตฺตํ ลภิฯ

    Annabhārassa puññaṃ āgamma rājā seṭṭhiṃ anoloketvā annabhārameva olokesi . Kiṃ, deva, imaṃ purisaṃ ativiya olokesīti? Aññaṃ divasaṃ adiṭṭhapubbattā olokemīti. Oloketabbayuttako esa devāti. Ko panassa oloketabbayuttako guṇoti? Ajja attano bhāgabhattaṃ sayaṃ abhuñjitvā upariṭṭhapaccekabuddhassa dinnattā mama hatthato sahassaṃ labhi devāti. Konāmo esoti? Annabhāro nāma devāti. ‘‘Tava hatthato laddhattā mamapi hatthato laddhuṃ arahati, ahampissa pūjaṃ karissāmī’’ti vatvā sahassaṃ adāsi. Etassa vasanagehaṃ jānātha bhaṇeti? Sādhu devāti ekaṃ gehaṭṭhānaṃ sodhentā kuddālena āhatāhataṭṭhāne nidhikumbhiyo gīvāya gīvaṃ āhacca ṭhitā disvā rañño ārocayiṃsu. Rājā ‘‘tena hi gantvā khanathā’’ti āha. Tesaṃ khanantānaṃ khanantānaṃ heṭṭhā gacchanti. Puna gantvā rañño ārocayiṃsu. Rājā ‘‘annabhārassa vacanena khanathā’’ti āha. Te gantvā ‘‘annabhārasseva vacana’’nti khaniṃsu. Kuddālena āhatāhataṭṭhāne ahicchattakamakuḷāni viya kumbhiyo uṭṭhahiṃsu. Te dhanaṃ āharitvā rañño santike rāsiṃ akaṃsu. Rājā amacce sannipātetvā ‘‘imasmiṃ nagare kassa aññassa ettakaṃ dhanaṃ atthī’’ti pucchi. Natthi kassaci devāti. Tena hi ayaṃ annabhāro imasmiṃ nagare dhanaseṭṭhi nāma hotūti. Taṃdivasameva seṭṭhicchattaṃ labhi.

    โส ตโต ปฎฺฐาย ยาวชีวํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา ตโต จุโต เทวโลเก นิพฺพโตฺตฯ ทีฆรตฺตํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อมฺหากํ สตฺถุ อุปฺปชฺชนกาเล กปิลวตฺถุนคเร อมิโตฺตทนสกฺกสฺส เคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ นามคฺคหณทิวเส ปนสฺส อนุรุโทฺธติ นามํ อกํสุฯ มหานามสกฺกสฺส กนิฎฺฐภาตา สตฺถุ จูฬปิตุปุโตฺต ปรมสุขุมาโล มหาปุโญฺญ อโหสิฯ สุวณฺณปาติยํเยวสฺส ภตฺตํ อุปฺปชฺชิฯ อถสฺส มาตา เอกทิวสํ ‘‘มม ปุตฺตํ นตฺถีติ ปทํ ชานาเปสฺสามี’’ติ เอกํ สุวณฺณปาติํ อญฺญาย สุวณฺณปาติยา ปิทหิตฺวา ตุจฺฉกํเยว เปเสสิฯ อนฺตรามเคฺค เทวตา ทิพฺพปูเวหิ ปูเรสุํฯ เอวํ มหาปุโญฺญ อโหสิฯ ติณฺณํ อุตูนํ อนุจฺฉวิเกสุ ตีสุ ปาสาเทสุ อลงฺกตนาฎกิตฺถีหิ ปริวุโต เทโว วิย สมฺปตฺติํ อนุภวิฯ

    So tato paṭṭhāya yāvajīvaṃ kalyāṇakammaṃ katvā tato cuto devaloke nibbatto. Dīgharattaṃ devamanussesu saṃsaritvā amhākaṃ satthu uppajjanakāle kapilavatthunagare amittodanasakkassa gehe paṭisandhiṃ gaṇhi. Nāmaggahaṇadivase panassa anuruddhoti nāmaṃ akaṃsu. Mahānāmasakkassa kaniṭṭhabhātā satthu cūḷapituputto paramasukhumālo mahāpuñño ahosi. Suvaṇṇapātiyaṃyevassa bhattaṃ uppajji. Athassa mātā ekadivasaṃ ‘‘mama puttaṃ natthīti padaṃ jānāpessāmī’’ti ekaṃ suvaṇṇapātiṃ aññāya suvaṇṇapātiyā pidahitvā tucchakaṃyeva pesesi. Antarāmagge devatā dibbapūvehi pūresuṃ. Evaṃ mahāpuñño ahosi. Tiṇṇaṃ utūnaṃ anucchavikesu tīsu pāsādesu alaṅkatanāṭakitthīhi parivuto devo viya sampattiṃ anubhavi.

    อมฺหากมฺปิ โพธิสโตฺต ตสฺมิํ สมเย ตุสิตปุรา จวิตฺวา สุโทฺธทนมหาราชสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อนุกฺกเมน วุทฺธิปฺปโตฺต เอกูนติํส วสฺสานิ อคารมเชฺฌ วสิตฺวา มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา อนุกฺกเมน ปฎิวิทฺธสพฺพญฺญุตญฺญาโณ โพธิมเณฺฑ สตฺตสตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา อิสิปตเน มิคทาเย ธมฺมจกฺกปฺปตฺตนํ ปวเตฺตตฺวา โลกานุคฺคหํ กโรโนฺต ราชคหํ อาคมฺม ‘‘ปุโตฺต เม ราชคหํ อาคโต’’ติ สุตฺวา ‘‘คจฺฉถ ภเณ มม ปุตฺตํ อาเนถา’’ติ ปิตรา ปหิเต สหสฺสสหสฺสปริวาเร ทส อมเจฺจ เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพาเชตฺวา กาฬุทายิเตฺถเรน จาริกาคมนํ อายาจิโต ราชคหโต วีสติสหสฺสภิกฺขุปริวาโร นิกฺขมิตฺวา กปิลวตฺถุปุรํ คนฺตฺวา ญาติสมาคเม อเนเกหิ อิทฺธิปาฎิหาริเยหิ สปฺปาฎิหาริยํ วิจิตฺรธมฺมเทสนํ กตฺวา มหาชนํ อมตปานํ ปาเยตฺวา ทุติยทิวเส ปตฺตจีวรมาทาย นครทฺวาเร ฐตฺวา ‘‘กิํ นุ โข กุลนครํ อาคตานํ สพฺพญฺญุพุทฺธานํ อาจิณฺณ’’นฺติ อาวชฺชมาโน ‘‘สปทานํ ปิณฺฑาย จรณํ อาจิณฺณ’’นฺติ ญตฺวา สปทานํ ปิณฺฑาย จรโนฺต ‘‘ปุโตฺต เม ปิณฺฑาย จรตี’’ติ สุตฺวา อาคตสฺส รโญฺญ ธมฺมํ กเถตฺวา เตน สกนิเวสนํ ปเวเสตฺวา กตสกฺการสมฺมาโน ตตฺถ กาตพฺพํ ญาติชนานุคฺคหํ กตฺวา ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชตฺวา นจิรเสฺสว กปิลวตฺถุปุรโต มลฺลรเฎฺฐ จาริกํ จรมาโน อนุปิยอมฺพวนํ อคมาสิฯ

    Amhākampi bodhisatto tasmiṃ samaye tusitapurā cavitvā suddhodanamahārājassa aggamahesiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gahetvā anukkamena vuddhippatto ekūnatiṃsa vassāni agāramajjhe vasitvā mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā anukkamena paṭividdhasabbaññutaññāṇo bodhimaṇḍe sattasattāhaṃ vītināmetvā isipatane migadāye dhammacakkappattanaṃ pavattetvā lokānuggahaṃ karonto rājagahaṃ āgamma ‘‘putto me rājagahaṃ āgato’’ti sutvā ‘‘gacchatha bhaṇe mama puttaṃ ānethā’’ti pitarā pahite sahassasahassaparivāre dasa amacce ehibhikkhupabbajjāya pabbājetvā kāḷudāyittherena cārikāgamanaṃ āyācito rājagahato vīsatisahassabhikkhuparivāro nikkhamitvā kapilavatthupuraṃ gantvā ñātisamāgame anekehi iddhipāṭihāriyehi sappāṭihāriyaṃ vicitradhammadesanaṃ katvā mahājanaṃ amatapānaṃ pāyetvā dutiyadivase pattacīvaramādāya nagaradvāre ṭhatvā ‘‘kiṃ nu kho kulanagaraṃ āgatānaṃ sabbaññubuddhānaṃ āciṇṇa’’nti āvajjamāno ‘‘sapadānaṃ piṇḍāya caraṇaṃ āciṇṇa’’nti ñatvā sapadānaṃ piṇḍāya caranto ‘‘putto me piṇḍāya caratī’’ti sutvā āgatassa rañño dhammaṃ kathetvā tena sakanivesanaṃ pavesetvā katasakkārasammāno tattha kātabbaṃ ñātijanānuggahaṃ katvā rāhulakumāraṃ pabbājetvā nacirasseva kapilavatthupurato mallaraṭṭhe cārikaṃ caramāno anupiyaambavanaṃ agamāsi.

    ตสฺมิํ สมเย สุโทฺธทนมหาราชา สากิยชนํ สนฺนิปาเตตฺวา อาห – ‘‘สเจ มม ปุโตฺต อคารํ อชฺฌาวสิสฺส, ราชา อภวิสฺส จกฺกวตฺตี สตฺตรตนสมนฺนาคโตฯ นตฺตาปิ เม ราหุลกุมาโร ขตฺติยคเณน สทฺธิํ ตํ ปริวาเรตฺวา อจริสฺส, ตุเมฺหปิ เอตมตฺถํ ชานาถฯ อิทานิ ปน เม ปุโตฺต พุโทฺธ ชาโต, ขตฺติยาวสฺส ปริวารา โหนฺตุฯ ตุเมฺห เอเกกกุลโต เอเกกํ ทารกํ เทถา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต เอกปฺปหาเรเนว สหสฺสขตฺติยกุมารา ปพฺพชิํสุฯ ตสฺมิํ สมเย มหานาโม กุฎุมฺพสามิโก โหติฯ โส อนุรุทฺธสกฺกํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ – ‘‘เอตรหิ, ตาต อนุรุทฺธ, อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา สกฺยกุมารา ภควนฺตํ ปพฺพชิตํ อนุปพฺพชนฺติ, อมฺหากํ กุเล นตฺถิ โกจิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ เตน หิ ตฺวํ วา ปพฺพช, อหํ วา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ฆราวาเส รุจิํ อกตฺวา อตฺตสตฺตโม อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ ตสฺส ปพฺพชฺชานุกฺกโม สงฺฆเภทกกฺขนฺธเก (จูฬว. ๓๓๐ อาทโย) อาคโตวฯ

    Tasmiṃ samaye suddhodanamahārājā sākiyajanaṃ sannipātetvā āha – ‘‘sace mama putto agāraṃ ajjhāvasissa, rājā abhavissa cakkavattī sattaratanasamannāgato. Nattāpi me rāhulakumāro khattiyagaṇena saddhiṃ taṃ parivāretvā acarissa, tumhepi etamatthaṃ jānātha. Idāni pana me putto buddho jāto, khattiyāvassa parivārā hontu. Tumhe ekekakulato ekekaṃ dārakaṃ dethā’’ti. Evaṃ vutte ekappahāreneva sahassakhattiyakumārā pabbajiṃsu. Tasmiṃ samaye mahānāmo kuṭumbasāmiko hoti. So anuruddhasakkaṃ upasaṅkamitvā etadavoca – ‘‘etarahi, tāta anuruddha, abhiññātā abhiññātā sakyakumārā bhagavantaṃ pabbajitaṃ anupabbajanti, amhākaṃ kule natthi koci agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. Tena hi tvaṃ vā pabbaja, ahaṃ vā pabbajissāmī’’ti. So tassa vacanaṃ sutvā gharāvāse ruciṃ akatvā attasattamo agārasmā anagāriyaṃ pabbajito. Tassa pabbajjānukkamo saṅghabhedakakkhandhake (cūḷava. 330 ādayo) āgatova.

    เอวํ อนุปิยอมฺพวนํ คนฺตฺวา ปพฺพชิเตสุ ปน เตสุ ตสฺมิํเยว อโนฺตวเสฺส ภทฺทิยเตฺถโร อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อนุรุทฺธเตฺถโร ทิพฺพจกฺขุํ นิพฺพเตฺตสิ, เทวทโตฺต อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตสิ, อานนฺทเตฺถโร โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิ, ภคุเตฺถโร จ กิมิลเตฺถโร จ ปจฺฉา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ เตสํ ปน สเพฺพสมฺปิ เถรานํ อตฺตโน อตฺตโน อาคตฎฺฐาเน ปุพฺพปตฺถนาภินีหาโร อาคมิสฺสติฯ อยํ ปน อนุรุทฺธเตฺถโร ธมฺมเสนาปติสฺส สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา เจติยรเฎฺฐ ปาจีนวํสมิคทายํ คนฺตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺต สตฺต มหาปุริสวิตเกฺก วิตเกฺกสิ, อฎฺฐเม กิลมติฯ สตฺถา ‘‘อนุรุโทฺธ อฎฺฐเม มหาปุริสวิตเกฺก กิลมตี’’ติ ญตฺวา ‘‘ตสฺส สงฺกปฺปํ ปูเรสฺสามี’’ติ ตตฺถ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสิโนฺน อฎฺฐมํ มหาปุริสวิตกฺกํ ปูเรตฺวา จตุปจฺจยสโนฺตสภาวนารามปฎิมณฺฑิตํ มหาอริยวํสปฎิปทํ (อ. นิ. ๘.๓๐) กเถตฺวา อากาเส อุปฺปติตฺวา เภสกลาวนเมว คโตฯ

    Evaṃ anupiyaambavanaṃ gantvā pabbajitesu pana tesu tasmiṃyeva antovasse bhaddiyatthero arahattaṃ pāpuṇi. Anuruddhatthero dibbacakkhuṃ nibbattesi, devadatto aṭṭha samāpattiyo nibbattesi, ānandatthero sotāpattiphale patiṭṭhāsi, bhagutthero ca kimilatthero ca pacchā arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Tesaṃ pana sabbesampi therānaṃ attano attano āgataṭṭhāne pubbapatthanābhinīhāro āgamissati. Ayaṃ pana anuruddhatthero dhammasenāpatissa santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā cetiyaraṭṭhe pācīnavaṃsamigadāyaṃ gantvā samaṇadhammaṃ karonto satta mahāpurisavitakke vitakkesi, aṭṭhame kilamati. Satthā ‘‘anuruddho aṭṭhame mahāpurisavitakke kilamatī’’ti ñatvā ‘‘tassa saṅkappaṃ pūressāmī’’ti tattha gantvā paññattavarabuddhāsane nisinno aṭṭhamaṃ mahāpurisavitakkaṃ pūretvā catupaccayasantosabhāvanārāmapaṭimaṇḍitaṃ mahāariyavaṃsapaṭipadaṃ (a. ni. 8.30) kathetvā ākāse uppatitvā bhesakalāvanameva gato.

    เถโร ตถาคเต คตมเตฺตเยว เตวิโชฺช มหาขีณาสโว หุตฺวา ‘‘สตฺถา มยฺหํ มนํ ชานิตฺวา อาคนฺตฺวา อฎฺฐมํ มหาปุริสวิตกฺกํ ปูเรตฺวา อทาสิฯ โส จ เม มโนรโถ มตฺถกํ ปโตฺต’’ติ พุทฺธานํ ธมฺมเทสนํ อตฺตโน จ ปฎิวิทฺธธมฺมํ อารพฺภ อิมา คาถา อภาสิ –

    Thero tathāgate gatamatteyeva tevijjo mahākhīṇāsavo hutvā ‘‘satthā mayhaṃ manaṃ jānitvā āgantvā aṭṭhamaṃ mahāpurisavitakkaṃ pūretvā adāsi. So ca me manoratho matthakaṃ patto’’ti buddhānaṃ dhammadesanaṃ attano ca paṭividdhadhammaṃ ārabbha imā gāthā abhāsi –

    ‘‘มม สงฺกปฺปมญฺญาย, สตฺถา โลเก อนุตฺตโร;

    ‘‘Mama saṅkappamaññāya, satthā loke anuttaro;

    มโนมเยน กาเยน, อิทฺธิยา อุปสงฺกมิฯ

    Manomayena kāyena, iddhiyā upasaṅkami.

    ‘‘ยถา เม อหุ สงฺกโปฺป, ตโต อุตฺตริ เทสยิ;

    ‘‘Yathā me ahu saṅkappo, tato uttari desayi;

    นิปฺปปญฺจรโต พุโทฺธ, นิปฺปปญฺจมเทสยิฯ

    Nippapañcarato buddho, nippapañcamadesayi.

    ‘‘ตสฺสาหํ ธมฺมมญฺญาย, วิหาสิํ สาสเน รโต;

    ‘‘Tassāhaṃ dhammamaññāya, vihāsiṃ sāsane rato;

    ติโสฺส วิชฺชา อนุปฺปโตฺต, กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ (เถรคา. ๙๐๑-๙๐๓);

    Tisso vijjā anuppatto, kataṃ buddhassa sāsana’’nti. (theragā. 901-903);

    อถ นํ อปรภาเค สตฺถา เชตวนมหาวิหาเร วิหรโนฺต ‘‘มม สาสเน ทิพฺพจกฺขุกานํ อนุรุโทฺธ อโคฺค’’ติ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ

    Atha naṃ aparabhāge satthā jetavanamahāvihāre viharanto ‘‘mama sāsane dibbacakkhukānaṃ anuruddho aggo’’ti aggaṭṭhāne ṭhapesi.

    ภทฺทิยเตฺถรวตฺถุ

    Bhaddiyattheravatthu

    ๑๙๓. ฉเฎฺฐ อุจฺจากุลิกานนฺติ อุเจฺจ กุเล ชาตานํฯ ภทฺทิโยติ อนุรุทฺธเตฺถเรน สทฺธิํ นิกฺขมโนฺต สกฺยราชาฯ กาฬิโคธาย ปุโตฺตติ กาฬวณฺณา สา เทวี, โคธาติ ปนสฺสา นามํ ฯ ตสฺมา กาฬิโคธาติ วุจฺจติ , ตสฺสา ปุโตฺตติ อโตฺถฯ กสฺมา ปนายํ อุจฺจากุลิกานํ อโคฺคติ วุโตฺต, กิํ ตโต อุจฺจากุลิกตรา นตฺถีติ? อาม นตฺถิฯ ตสฺส หิ มาตา สากิยานีนํ อนฺตเร วเยน สพฺพเชฎฺฐิกา, โสเยว จ สากิยกุเล สมฺปตฺตํ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิโตฯ ตสฺมา อุจฺจากุลิกานํ อโคฺคติ วุโตฺตฯ อปิจ ปุพฺพปตฺถนานุภาเวน เจส อนุปฎิปาฎิยา ปญฺจ ชาติสตานิ ราชกุเล นิพฺพตฺติตฺวา รชฺชํ กาเรสิเยวฯ อิมินาปิ การเณน อุจฺจากุลิกานํ อโคฺคติ วุโตฺตฯ

    193. Chaṭṭhe uccākulikānanti ucce kule jātānaṃ. Bhaddiyoti anuruddhattherena saddhiṃ nikkhamanto sakyarājā. Kāḷigodhāya puttoti kāḷavaṇṇā sā devī, godhāti panassā nāmaṃ . Tasmā kāḷigodhāti vuccati , tassā puttoti attho. Kasmā panāyaṃ uccākulikānaṃ aggoti vutto, kiṃ tato uccākulikatarā natthīti? Āma natthi. Tassa hi mātā sākiyānīnaṃ antare vayena sabbajeṭṭhikā, soyeva ca sākiyakule sampattaṃ rajjaṃ pahāya pabbajito. Tasmā uccākulikānaṃ aggoti vutto. Apica pubbapatthanānubhāvena cesa anupaṭipāṭiyā pañca jātisatāni rājakule nibbattitvā rajjaṃ kāresiyeva. Imināpi kāraṇena uccākulikānaṃ aggoti vutto.

    ปญฺหกเมฺม ปนสฺส อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ อตีเต ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล มหาโภคกุเล นิพฺพโตฺต วุตฺตนเยเนว ธมฺมสฺสวนตฺถาย คโตฯ ตํทิวสํ สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ อุจฺจากุลิกานํ ภิกฺขูนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยาปิ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อุจฺจากุลิกานํ ภิกฺขูนํ อเคฺคน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ตถาคตํ นิมเนฺตตฺวา สตฺต ทิวสานิ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อหํ อิมสฺส ทานสฺส ผเลน นาญฺญํ สมฺปตฺติํ อากงฺขามิ, อนาคเต ปน เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อุจฺจากุลิกานํ ภิกฺขูนํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถยิตฺวา ปาทมูเล นิปชฺชิฯ

    Pañhakamme panassa ayamanupubbikathā – ayampi hi atīte padumuttarabuddhakāle mahābhogakule nibbatto vuttanayeneva dhammassavanatthāya gato. Taṃdivasaṃ satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ uccākulikānaṃ bhikkhūnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā ‘‘mayāpi anāgate ekassa buddhassa sāsane uccākulikānaṃ bhikkhūnaṃ aggena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti tathāgataṃ nimantetvā satta divasāni buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā, ‘‘bhante, ahaṃ imassa dānassa phalena nāññaṃ sampattiṃ ākaṅkhāmi, anāgate pana ekassa buddhassa sāsane uccākulikānaṃ bhikkhūnaṃ aggo bhaveyya’’nti patthayitvā pādamūle nipajji.

    สตฺถา อนาคตํ โอโลเกโนฺต สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา ‘‘สมิชฺฌิสฺสติ เต อิทํ กมฺมํ, อิโต กปฺปสตสหสฺสาวสาเน โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตฺวํ ตสฺส สาสเน อุจฺจากุลิกานํ ภิกฺขูนํ อโคฺค ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากริตฺวา ภตฺตานุโมทนํ กตฺวา วิหารํ อคมาสิฯ โสปิ ตํ พฺยากรณํ ลภิตฺวา อุจฺจากุลิกสํวตฺตนิกกมฺมํ ปุจฺฉิตฺวา ธมฺมาสนานิ กาเรตฺวา เตสุ ปจฺจตฺถรณานิ สนฺถราเปตฺวา ธมฺมพีชนิโย ธมฺมกถิกวฎฺฎํ อุโปสถาคาเร ปทีปเตลทานนฺติ เอวํ ยาวชีวํ พหุวิธํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา ตตฺถ กาลกโต เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสรโนฺต กสฺสปทสพลสฺส จ อมฺหากญฺจ ภควโต อนฺตเร พาราณสิยํ กุฎุมฺพิยฆเร นิพฺพโตฺตฯ

    Satthā anāgataṃ olokento samijjhanabhāvaṃ disvā ‘‘samijjhissati te idaṃ kammaṃ, ito kappasatasahassāvasāne gotamo nāma buddho uppajjissati, tvaṃ tassa sāsane uccākulikānaṃ bhikkhūnaṃ aggo bhavissasī’’ti byākaritvā bhattānumodanaṃ katvā vihāraṃ agamāsi. Sopi taṃ byākaraṇaṃ labhitvā uccākulikasaṃvattanikakammaṃ pucchitvā dhammāsanāni kāretvā tesu paccattharaṇāni santharāpetvā dhammabījaniyo dhammakathikavaṭṭaṃ uposathāgāre padīpateladānanti evaṃ yāvajīvaṃ bahuvidhaṃ kalyāṇakammaṃ katvā tattha kālakato devesu ca manussesu ca saṃsaranto kassapadasabalassa ca amhākañca bhagavato antare bārāṇasiyaṃ kuṭumbiyaghare nibbatto.

    เตน จ สมเยน สมฺพหุลา ปเจฺจกพุทฺธา คนฺธมาทนปพฺพตา อาคมฺม พาราณสิยํ คงฺคาย ตีเร ผาสุกฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชนฺติฯ โส กุฎุมฺพิโย เตสํ นิพทฺธเมว ตสฺมิํ ฐาเน ภตฺตวิสฺสคฺคกรณํ ญตฺวา อฎฺฐ ปาสาณผลกานิ อตฺถริตฺวา ยาวชีวํ ปเจฺจกพุเทฺธ อุปฎฺฐหิฯ อเถกํ พุทฺธนฺตรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท กปิลวตฺถุนคเร ขตฺติยกุเล นิพฺพตฺติฯ นามคฺคหณทิวเส จสฺส ภทฺทิยกุมาโรติ นามํ อกํสุฯ โส วยํ อาคมฺม เหฎฺฐา อนุรุทฺธสุเตฺต วุตฺตนเยเนว ฉนฺนํ ขตฺติยานํ อพฺภนฺตโร หุตฺวา สตฺถริ อนุปิยอมฺพวเน วิหรเนฺต สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถ สตฺถา อปรภาเค เชตวนมหาวิหาเร วิหรโนฺต ‘‘มม สาสเน อุจฺจากุลิกานํ กาฬิโคธาย ปุโตฺต ภทฺทิยเตฺถโร อโคฺค’’ติ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ

    Tena ca samayena sambahulā paccekabuddhā gandhamādanapabbatā āgamma bārāṇasiyaṃ gaṅgāya tīre phāsukaṭṭhāne nisīditvā piṇḍapātaṃ paribhuñjanti. So kuṭumbiyo tesaṃ nibaddhameva tasmiṃ ṭhāne bhattavissaggakaraṇaṃ ñatvā aṭṭha pāsāṇaphalakāni attharitvā yāvajīvaṃ paccekabuddhe upaṭṭhahi. Athekaṃ buddhantaraṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde kapilavatthunagare khattiyakule nibbatti. Nāmaggahaṇadivase cassa bhaddiyakumāroti nāmaṃ akaṃsu. So vayaṃ āgamma heṭṭhā anuruddhasutte vuttanayeneva channaṃ khattiyānaṃ abbhantaro hutvā satthari anupiyaambavane viharante satthu santike pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇi. Atha satthā aparabhāge jetavanamahāvihāre viharanto ‘‘mama sāsane uccākulikānaṃ kāḷigodhāya putto bhaddiyatthero aggo’’ti aggaṭṭhāne ṭhapesi.

    ลกุณฺฑกภทฺทิยเตฺถรวตฺถุ

    Lakuṇḍakabhaddiyattheravatthu

    ๑๙๔. สตฺตเม มญฺชุสฺสรานนฺติ มธุรสฺสรานํฯ ลกุณฺฑกภทฺทิโยติ อุเพฺพเธน รโสฺส, นาเมน ภทฺทิโยฯ ตสฺสาปิ ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร มหาโภคกุเล นิพฺพโตฺต วุตฺตนเยเนว ธมฺมสฺสวนตฺถาย วิหารํ คโตฯ ตสฺมิํ สมเย สตฺถารํ เอกํ มญฺชุสฺสรํ ภิกฺขุํ เอตทเคฺค ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อโห วตาหมฺปิ อนาคเต อยํ ภิกฺขุ วิย เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน มญฺชุสฺสรานํ ภิกฺขูนํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา สตฺต ทิวสานิ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อหํ อิมสฺส ทานสฺส ผเลน น อญฺญํ สมฺปตฺติํ อากงฺขามิ, อนาคเต ปน เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน มญฺชุสฺสรานํ ภิกฺขูนํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถยิตฺวา สตฺถุปาทมูเล นิปชฺชิฯ สตฺถา อนาคตํ โอโลเกโนฺต สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา ‘‘สมิชฺฌิสฺสติ เต อิทํ กมฺมํ, อิโต กปฺปสตสหสฺสาวสาเน โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตฺวํ ตสฺส สาสเน มญฺชุสฺสรานํ ภิกฺขูนํ อโคฺค ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากริตฺวา วิหารํ อคมาสิฯ

    194. Sattame mañjussarānanti madhurassarānaṃ. Lakuṇḍakabhaddiyoti ubbedhena rasso, nāmena bhaddiyo. Tassāpi pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare mahābhogakule nibbatto vuttanayeneva dhammassavanatthāya vihāraṃ gato. Tasmiṃ samaye satthāraṃ ekaṃ mañjussaraṃ bhikkhuṃ etadagge ṭhapentaṃ disvā ‘‘aho vatāhampi anāgate ayaṃ bhikkhu viya ekassa buddhassa sāsane mañjussarānaṃ bhikkhūnaṃ aggo bhaveyya’’nti cittaṃ uppādetvā satthāraṃ nimantetvā satta divasāni buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā, ‘‘bhante, ahaṃ imassa dānassa phalena na aññaṃ sampattiṃ ākaṅkhāmi, anāgate pana ekassa buddhassa sāsane mañjussarānaṃ bhikkhūnaṃ aggo bhaveyya’’nti patthayitvā satthupādamūle nipajji. Satthā anāgataṃ olokento samijjhanabhāvaṃ disvā ‘‘samijjhissati te idaṃ kammaṃ, ito kappasatasahassāvasāne gotamo nāma buddho uppajjissati, tvaṃ tassa sāsane mañjussarānaṃ bhikkhūnaṃ aggo bhavissasī’’ti byākaritvā vihāraṃ agamāsi.

    โสปิ ตํ พฺยากรณํ ลภิตฺวา ยาวชีวํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา ตโต กาลกโต เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสรโนฺต วิปสฺสีสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล จิตฺตปตฺตโกกิโล นาม หุตฺวา เขเม มิคทาเย วสโนฺต เอกทิวสํ หิมวนฺตํ คนฺตฺวา มธุรํ อมฺพผลํ ตุเณฺฑน คเหตฺวา อาคจฺฉโนฺต ภิกฺขุสงฺฆปริวุตํ สตฺถารํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ อเญฺญสุ ทิวเสสุ ริตฺตโก ตถาคตํ ปสฺสามิ, อชฺช ปน เม อิมํ อมฺพปกฺกํ ปุตฺตกานํ อตฺถาย อาคตํฯ เตสํ อญฺญมฺปิ อาหริตฺวา ทสฺสามิ, อิมํ ปน ทสพลสฺส ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ โอตริตฺวา อากาเส จรติฯ สตฺถา ตสฺส จิตฺตํ ญตฺวา อโสกเตฺถรํ นาม อุปฎฺฐากํ โอโลเกสิฯ โส ปตฺตํ นีหริตฺวา สตฺถุ หเตฺถ ฐเปสิฯ โส โกกิโล ทสพลสฺส ปเตฺต อมฺพปกฺกํ ปติฎฺฐาเปสิฯ สตฺถา ตเตฺถว นิสีทิตฺวา ตํ ปริภุญฺชิฯ โกกิโล ปสนฺนจิโตฺต ปุนปฺปุนํ ทสพลสฺส คุเณ อาวเชฺชตฺวา ทสพลํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน กุลาวกํ คนฺตฺวา สตฺตาหํ ปีติสุเขน วีตินาเมสิฯ เอตฺตกํ ตสฺมิํ อตฺตภาเว กลฺยาณกมฺมํ, อิมินาสฺส กเมฺมน สโร มธุโร อโหสิฯ

    Sopi taṃ byākaraṇaṃ labhitvā yāvajīvaṃ kalyāṇakammaṃ katvā tato kālakato devesu ca manussesu ca saṃsaranto vipassīsammāsambuddhakāle cittapattakokilo nāma hutvā kheme migadāye vasanto ekadivasaṃ himavantaṃ gantvā madhuraṃ ambaphalaṃ tuṇḍena gahetvā āgacchanto bhikkhusaṅghaparivutaṃ satthāraṃ disvā cintesi – ‘‘ahaṃ aññesu divasesu rittako tathāgataṃ passāmi, ajja pana me imaṃ ambapakkaṃ puttakānaṃ atthāya āgataṃ. Tesaṃ aññampi āharitvā dassāmi, imaṃ pana dasabalassa dātuṃ vaṭṭatī’’ti otaritvā ākāse carati. Satthā tassa cittaṃ ñatvā asokattheraṃ nāma upaṭṭhākaṃ olokesi. So pattaṃ nīharitvā satthu hatthe ṭhapesi. So kokilo dasabalassa patte ambapakkaṃ patiṭṭhāpesi. Satthā tattheva nisīditvā taṃ paribhuñji. Kokilo pasannacitto punappunaṃ dasabalassa guṇe āvajjetvā dasabalaṃ vanditvā attano kulāvakaṃ gantvā sattāhaṃ pītisukhena vītināmesi. Ettakaṃ tasmiṃ attabhāve kalyāṇakammaṃ, imināssa kammena saro madhuro ahosi.

    กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล ปน เจติเย อารเทฺธ ‘‘กิํปมาณํ กโรม? สตฺตโยชนปฺปมาณํฯ อติมหนฺตํ เอตํ, ฉโยชนํ กโรมฯ อิทมฺปิ อติมหนฺตํ, ปญฺจโยชนํ กโรม, จตุโยชนํ, ติโยชนํ, ทฺวิโยชน’’นฺติ วุเตฺต อยํ ตทา เชฎฺฐวฑฺฒกี หุตฺวา ‘‘เอถ, โภ, อนาคเต สุขปฎิชคฺคิยํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา รชฺชุํ อาทาย ปริกฺขิปโนฺต คาวุตมตฺตเก ฐตฺวา ‘‘เอเกกํ มุขํ คาวุตํ คาวุตํ โหตุ, เจติยํ โยชนาวฎฺฎํ โยชนุเพฺพธํ ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ เต ตสฺส วจเน อฎฺฐํสุฯ อิติ อปฺปมาณสฺส พุทฺธสฺส ปมาณํ อกาสีติฯ เตน กเมฺมน นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน อเญฺญหิ หีนตรปฺปมาโณ อโหสิฯ โส อมฺหากํ สตฺถุ กาเล สาวตฺถิยํ มหาโภคกุเล นิพฺพตฺติฯ ‘‘ภทฺทิโย’’ติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต สตฺถริ เชตวนมหาวิหาเร ปฎิวสเนฺต วิหารํ คนฺตฺวา ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถ นํ สตฺถา อปรภาเค อริยวรคณมเชฺฌ นิสิโนฺน มญฺชุสฺสรานํ ภิกฺขูนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ

    Kassapasammāsambuddhakāle pana cetiye āraddhe ‘‘kiṃpamāṇaṃ karoma? Sattayojanappamāṇaṃ. Atimahantaṃ etaṃ, chayojanaṃ karoma. Idampi atimahantaṃ, pañcayojanaṃ karoma, catuyojanaṃ, tiyojanaṃ, dviyojana’’nti vutte ayaṃ tadā jeṭṭhavaḍḍhakī hutvā ‘‘etha, bho, anāgate sukhapaṭijaggiyaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti vatvā rajjuṃ ādāya parikkhipanto gāvutamattake ṭhatvā ‘‘ekekaṃ mukhaṃ gāvutaṃ gāvutaṃ hotu, cetiyaṃ yojanāvaṭṭaṃ yojanubbedhaṃ bhavissatī’’ti āha. Te tassa vacane aṭṭhaṃsu. Iti appamāṇassa buddhassa pamāṇaṃ akāsīti. Tena kammena nibbattanibbattaṭṭhāne aññehi hīnatarappamāṇo ahosi. So amhākaṃ satthu kāle sāvatthiyaṃ mahābhogakule nibbatti. ‘‘Bhaddiyo’’tissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto satthari jetavanamahāvihāre paṭivasante vihāraṃ gantvā dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitvā satthu santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā vipassanāya kammaṃ karonto arahattaṃ pāpuṇi. Atha naṃ satthā aparabhāge ariyavaragaṇamajjhe nisinno mañjussarānaṃ bhikkhūnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi.

    ปิโณฺฑลภารทฺวาชเตฺถรวตฺถุ

    Piṇḍolabhāradvājattheravatthu

    ๑๙๕. อฎฺฐเม สีหนาทิกานนฺติ สีหนาทํ นทนฺตานํฯ ปิโณฺฑลภารทฺวาโชติ โส กิร อรหตฺตํ ปตฺตทิวเส อวาปุรณํ อาทาย วิหาเรน วิหารํ ปริเวเณน ปริเวณํ คนฺตฺวา ‘‘ยสฺส มเคฺค วา ผเล วา กงฺขา อตฺถิ, โส มํ ปุจฺฉตู’’ติ สีหนาทํ นทโนฺต วิจริฯ พุทฺธานมฺปิ ปุรโต ฐตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ , ภเนฺต, สาสเน กตพฺพกิจฺจํ มยฺหํ มตฺถกํ ปตฺต’’นฺติ สีหนาทํ นทิฯ ตสฺมา สีหนาทิกานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    195. Aṭṭhame sīhanādikānanti sīhanādaṃ nadantānaṃ. Piṇḍolabhāradvājoti so kira arahattaṃ pattadivase avāpuraṇaṃ ādāya vihārena vihāraṃ pariveṇena pariveṇaṃ gantvā ‘‘yassa magge vā phale vā kaṅkhā atthi, so maṃ pucchatū’’ti sīhanādaṃ nadanto vicari. Buddhānampi purato ṭhatvā ‘‘imasmiṃ , bhante, sāsane katabbakiccaṃ mayhaṃ matthakaṃ patta’’nti sīhanādaṃ nadi. Tasmā sīhanādikānaṃ aggo nāma jāto.

    ปญฺหกเมฺม ปนสฺส อยมนุปุพฺพิกถา – อยํ กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล ปพฺพตปาเท สีหโยนิยํ นิพฺพโตฺตฯ สตฺถา ปจฺจูสสมเย โลกํ โวโลเกโนฺต ตสฺส เหตุสมฺปตฺติํ ทิสฺวา หํสวติยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ สีเห โคจราย ปกฺกเนฺต ตสฺส วสนคุหํ ปวิสิตฺวา อากาเส ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิโรธํ สมาปชฺชิตฺวา นิสีทิฯ สีโห โคจรํ ลภิตฺวา นิวโตฺต คุหาทฺวาเร ฐิโต อโนฺตคุหายํ ทสพลํ นิสินฺนํ ทิสฺวา ‘‘มม วสนฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา อโญฺญ สโตฺต นิสีทิตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, มหโนฺต วตายํ ปุริโส, โย อโนฺตคุหายํ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสิโนฺนฯ สรีรปฺปภาปิสฺส สมนฺตา ผริตฺวา คตา, มยา เอวรูปํ อจฺฉริยํ นทิฎฺฐปุพฺพํฯ อยํ ปุริโส อิมสฺมิํ โลเก ปูชเนยฺยานํ อโคฺค ภวิสฺสติ, มยาปิสฺส ยถาสตฺติ ยถาพลํ สกฺการํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ ชลชถลชานิ นานากุสุมานิ อาหริตฺวา ภูมิโต ยาว นิสินฺนปลฺลงฺกฎฺฐานา ปุปฺผาสนํ สนฺถริตฺวา สพฺพรตฺติํ สมฺมุขฎฺฐาเน ตถาคตํ นมสฺสมาโน อฎฺฐาสิฯ ปุนทิวเส ปุราณปุปฺผานิ อปเนตฺวา นวปุเปฺผหิ อาสนํ สนฺถริฯ

    Pañhakamme panassa ayamanupubbikathā – ayaṃ kira padumuttarabuddhakāle pabbatapāde sīhayoniyaṃ nibbatto. Satthā paccūsasamaye lokaṃ volokento tassa hetusampattiṃ disvā haṃsavatiyaṃ piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ sīhe gocarāya pakkante tassa vasanaguhaṃ pavisitvā ākāse pallaṅkaṃ ābhujitvā nirodhaṃ samāpajjitvā nisīdi. Sīho gocaraṃ labhitvā nivatto guhādvāre ṭhito antoguhāyaṃ dasabalaṃ nisinnaṃ disvā ‘‘mama vasanaṭṭhānaṃ āgantvā añño satto nisīdituṃ samattho nāma natthi, mahanto vatāyaṃ puriso, yo antoguhāyaṃ pallaṅkaṃ ābhujitvā nisinno. Sarīrappabhāpissa samantā pharitvā gatā, mayā evarūpaṃ acchariyaṃ nadiṭṭhapubbaṃ. Ayaṃ puriso imasmiṃ loke pūjaneyyānaṃ aggo bhavissati, mayāpissa yathāsatti yathābalaṃ sakkāraṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti jalajathalajāni nānākusumāni āharitvā bhūmito yāva nisinnapallaṅkaṭṭhānā pupphāsanaṃ santharitvā sabbarattiṃ sammukhaṭṭhāne tathāgataṃ namassamāno aṭṭhāsi. Punadivase purāṇapupphāni apanetvā navapupphehi āsanaṃ santhari.

    เอเตเนว นิยาเมน สตฺต ทิวสานิ ปุปฺผาสนํ ปญฺญาเปตฺวา พลวปีติโสมนสฺสํ นิพฺพเตฺตตฺวา คุหาทฺวาเร อารกฺขํ คณฺหิฯ สตฺตเม ทิวเส สตฺถา นิโรธโต วุฎฺฐาย คุหาทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ สีโหปิ มิคราชา ตถาคตํ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ วนฺทิตฺวา ปฎิกฺกมิตฺวา อฎฺฐาสิฯ สตฺถา ‘‘วฎฺฎิสฺสติ เอตฺตโก อุปนิสฺสโย เอตสฺสา’’ติ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา วิหารเมว คโตฯ

    Eteneva niyāmena satta divasāni pupphāsanaṃ paññāpetvā balavapītisomanassaṃ nibbattetvā guhādvāre ārakkhaṃ gaṇhi. Sattame divase satthā nirodhato vuṭṭhāya guhādvāre aṭṭhāsi. Sīhopi migarājā tathāgataṃ tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu vanditvā paṭikkamitvā aṭṭhāsi. Satthā ‘‘vaṭṭissati ettako upanissayo etassā’’ti vehāsaṃ abbhuggantvā vihārameva gato.

    โสปิ สีโห พุทฺธวิโยเคน ทุกฺขิโต กาลํ กตฺวา หํสวตีนคเร มหาสาลกุเล ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา วยปฺปโตฺต เอกทิวสํ นครวาสีหิ สทฺธิํ วิหารํ คนฺตฺวา ธมฺมเทสนํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ สีหนาทิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา วุตฺตนเยเนว สตฺตาหํ มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถตฺวา สตฺถารา สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา พฺยากโต ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา ตตฺถ กาลกโต เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ราชคหนคเร พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติฯ นาเมน ภารทฺวาโช นาม อโหสิฯ โส วยปฺปโตฺต ตโย เวเท อุคฺคเหตฺวา ปญฺจ มาณวสตานิ มเนฺต วาเจโนฺต วิจรติฯ โส อตฺตโน เชฎฺฐกภาเวน นิมนฺตนฎฺฐาเนสุ สเพฺพสํ ภิกฺขํ สยเมว สมฺปฎิจฺฉิฯ เอโส กิร อีสกํ โลลธาตุโก อโหสิฯ โส เตหิ มาณเวหิ สทฺธิํ ‘‘กุหิํ ยาคุ กุหิํ ภตฺต’’นฺติ ยาคุภตฺตขชฺชกาเนว ปริเยสมาโน จรติฯ โส คตคตฎฺฐาเน ปิณฺฑเมว ปฎิมาเนโนฺต จรตีติ ปิโณฺฑลภารทฺวาโชเตว ปญฺญายิฯ

    Sopi sīho buddhaviyogena dukkhito kālaṃ katvā haṃsavatīnagare mahāsālakule paṭisandhiṃ gaṇhitvā vayappatto ekadivasaṃ nagaravāsīhi saddhiṃ vihāraṃ gantvā dhammadesanaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ sīhanādikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā vuttanayeneva sattāhaṃ mahādānaṃ pavattetvā taṃ ṭhānantaraṃ patthetvā satthārā samijjhanabhāvaṃ disvā byākato yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā tattha kālakato devesu ca manussesu ca saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde rājagahanagare brāhmaṇamahāsālakule nibbatti. Nāmena bhāradvājo nāma ahosi. So vayappatto tayo vede uggahetvā pañca māṇavasatāni mante vācento vicarati. So attano jeṭṭhakabhāvena nimantanaṭṭhānesu sabbesaṃ bhikkhaṃ sayameva sampaṭicchi. Eso kira īsakaṃ loladhātuko ahosi. So tehi māṇavehi saddhiṃ ‘‘kuhiṃ yāgu kuhiṃ bhatta’’nti yāgubhattakhajjakāneva pariyesamāno carati. So gatagataṭṭhāne piṇḍameva paṭimānento caratīti piṇḍolabhāradvājoteva paññāyi.

    โส เอกทิวสํ สตฺถริ ราชคหมนุปฺปเตฺต ธมฺมกถํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อรหตฺตํ ปตฺตเวลายเมว อวาปุรณํ อาทาย วิหาเรน วิหารํ ปริเวเณน ปริเวณํ คนฺตฺวา ‘‘ยสฺส มเคฺค วา ผเล วา กงฺขา อตฺถิ, โส มํ ปุจฺฉตู’’ติ สีหนาทํ นทโนฺต วิจริฯ โส เอกทิวสํ ราชคหเสฎฺฐินา เวฬุปรมฺปราย อุสฺสาเปตฺวา อากาเส ลคฺคิตํ ชยสุมนวณฺณํ จนฺทนสารปตฺตํ อิทฺธิยา อาทาย สาธุการํ ททเนฺตน มหาชเนน ปริวุโต วิหารํ อาคนฺตฺวา ตถาคตสฺส หเตฺถ ฐเปสิฯ สตฺถา ชานโนฺตว ปฎิปุจฺฉิ – ‘‘กุโต เต, ภารทฺวาช, อยํ ปโตฺต ลโทฺธ’’ติ? โส ลทฺธการณํ กเถสิฯ สตฺถา ‘‘ตฺวํ เอวรูปํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ มหาชนสฺส ทเสฺสสิ, อกตฺตพฺพํ ตยา กต’’นฺติ อเนกปริยาเยน วิครหิตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, คิหีนํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ อิทฺธิปาฎิหาริยํ ทเสฺสตพฺพํ, โย ทเสฺสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๒๕๒) สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปสิฯ

    So ekadivasaṃ satthari rājagahamanuppatte dhammakathaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitvā vipassanāya kammaṃ karonto arahattaṃ pāpuṇi. Arahattaṃ pattavelāyameva avāpuraṇaṃ ādāya vihārena vihāraṃ pariveṇena pariveṇaṃ gantvā ‘‘yassa magge vā phale vā kaṅkhā atthi, so maṃ pucchatū’’ti sīhanādaṃ nadanto vicari. So ekadivasaṃ rājagahaseṭṭhinā veḷuparamparāya ussāpetvā ākāse laggitaṃ jayasumanavaṇṇaṃ candanasārapattaṃ iddhiyā ādāya sādhukāraṃ dadantena mahājanena parivuto vihāraṃ āgantvā tathāgatassa hatthe ṭhapesi. Satthā jānantova paṭipucchi – ‘‘kuto te, bhāradvāja, ayaṃ patto laddho’’ti? So laddhakāraṇaṃ kathesi. Satthā ‘‘tvaṃ evarūpaṃ uttarimanussadhammaṃ mahājanassa dassesi, akattabbaṃ tayā kata’’nti anekapariyāyena vigarahitvā ‘‘na, bhikkhave, gihīnaṃ uttarimanussadhammaṃ iddhipāṭihāriyaṃ dassetabbaṃ, yo dasseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 252) sikkhāpadaṃ paññāpesi.

    อถ ภิกฺขุสงฺฆมเชฺฌ กถา อุทปาทิ – ‘‘สีหนาทิยเตฺถโร อรหตฺตํ ปตฺตทิวเส ภิกฺขุสงฺฆมเชฺฌ ‘ยสฺส มเคฺค วา ผเล วา กงฺขา อตฺถิ, โส มํ ปุจฺฉตู’ติ กเถสิฯ พุทฺธานมฺปิ สมฺมุเข อตฺตโน อรหตฺตปฺปตฺติํ กเถสิ, อเญฺญ สาวกา ตุณฺหี อเหสุํฯ อตฺตโน สีหนาทิยภาเวเนว มหาชนสฺส ปสาทํ ชเนตฺวา เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา จนฺทนสารปตฺตญฺจ คณฺหี’’ติฯ เต ภิกฺขู อิเม ตโยปิ คุเณ เอกโต กตฺวา สตฺถุ กถยิํสุฯ พุทฺธา จ นาม ครหิตพฺพยุตฺตกํ ครหนฺติ, ปสํสิตพฺพยุตฺตกํ ปสํสนฺตีติ อิมสฺมิํ ฐาเน เถรสฺส ปสํสิตพฺพยุตฺตเมว องฺคํ คเหตฺวา ‘‘ติณฺณํ โข ปน, ภิกฺขเว, อินฺทฺริยานํ ภาวิตตฺตา พหุลีกตตฺตา ภารทฺวาโช ภิกฺขุ อญฺญํ พฺยากาสิ – ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ , นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานามี’ติฯ กตเมสํ ติณฺณํ? สตินฺทฺริยสฺส, สมาธินฺทฺริยสฺส, ปญฺญินฺทฺริยสฺสฯ อิเมสํ โข, ภิกฺขเว, ติณฺณํ อินฺทฺริยานํ ภาวิตตฺตา พหุลีกตตฺตา ภารทฺวาโช ภิกฺขุ อญฺญํ พฺยากาสิ – ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานามี’’’ติ (สํ. นิ. ๕.๕๑๙) เถรํ ปสํสิตฺวา สีหนาทิกานํ ภิกฺขูนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ

    Atha bhikkhusaṅghamajjhe kathā udapādi – ‘‘sīhanādiyatthero arahattaṃ pattadivase bhikkhusaṅghamajjhe ‘yassa magge vā phale vā kaṅkhā atthi, so maṃ pucchatū’ti kathesi. Buddhānampi sammukhe attano arahattappattiṃ kathesi, aññe sāvakā tuṇhī ahesuṃ. Attano sīhanādiyabhāveneva mahājanassa pasādaṃ janetvā vehāsaṃ abbhuggantvā candanasārapattañca gaṇhī’’ti. Te bhikkhū ime tayopi guṇe ekato katvā satthu kathayiṃsu. Buddhā ca nāma garahitabbayuttakaṃ garahanti, pasaṃsitabbayuttakaṃ pasaṃsantīti imasmiṃ ṭhāne therassa pasaṃsitabbayuttameva aṅgaṃ gahetvā ‘‘tiṇṇaṃ kho pana, bhikkhave, indriyānaṃ bhāvitattā bahulīkatattā bhāradvājo bhikkhu aññaṃ byākāsi – ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ , nāparaṃ itthattāyāti pajānāmī’ti. Katamesaṃ tiṇṇaṃ? Satindriyassa, samādhindriyassa, paññindriyassa. Imesaṃ kho, bhikkhave, tiṇṇaṃ indriyānaṃ bhāvitattā bahulīkatattā bhāradvājo bhikkhu aññaṃ byākāsi – ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyāti pajānāmī’’’ti (saṃ. ni. 5.519) theraṃ pasaṃsitvā sīhanādikānaṃ bhikkhūnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi.

    มนฺตาณิปุตฺตปุณฺณเตฺถรวตฺถุ

    Mantāṇiputtapuṇṇattheravatthu

    ๑๙๖. นวเม ปุโณฺณ มนฺตาณิปุโตฺตติ นาเมน ปุโณฺณ, มนฺตาณิพฺราหฺมณิยา ปน โส ปุโตฺตติ มนฺตาณิปุโตฺตฯ ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยํ กิร ปทุมุตฺตรทสพลสฺส อุปฺปตฺติโต ปุเรตรเมว หํสวตีนคเร พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติฯ ตสฺส นามคฺคหณทิวเส โคตโมติ นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตโย เวเท อุคฺคณฺหิตฺวา สพฺพสิเปฺปสุ โกวิโท หุตฺวา ปญฺจมาณวกสตปริวาโร วิจรโนฺต ตโยปิ เวเท โอโลเกตฺวา โมกฺขธมฺมํ อทิสฺวา ‘‘อิทํ เวทตฺตยํ นาม กทลิกฺขโนฺธ วิย พหิ มฎฺฐํ อโนฺต นิสฺสารํ, อิมํ คเหตฺวา วิจรณํ ถุสโกฎฺฎนสทิสํ โหติฯ กิํ เม อิมินา’’ติ อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา พฺรหฺมวิหาเร นิพฺพเตฺตตฺวา ‘‘อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลโกกูปปโนฺน ภวิสฺสามี’’ติ ปญฺจหิ มาณวกสเตหิ สทฺธิํ ปพฺพตปาทํ คนฺตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิฯ ตสฺส ปริวารานิ อฎฺฐารสฺส ชฎิลสหสฺสานิ อเหสุํฯ โส ปญฺจ อภิญฺญา อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา เตสมฺปิ กสิณปริกมฺมํ อาจิกฺขิฯ เต ตสฺส โอวาเท ฐตฺวา สเพฺพปิ ปญฺจ อภิญฺญา อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตสุํฯ

    196. Navame puṇṇo mantāṇiputtoti nāmena puṇṇo, mantāṇibrāhmaṇiyā pana so puttoti mantāṇiputto. Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayaṃ kira padumuttaradasabalassa uppattito puretarameva haṃsavatīnagare brāhmaṇamahāsālakule nibbatti. Tassa nāmaggahaṇadivase gotamoti nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto tayo vede uggaṇhitvā sabbasippesu kovido hutvā pañcamāṇavakasataparivāro vicaranto tayopi vede oloketvā mokkhadhammaṃ adisvā ‘‘idaṃ vedattayaṃ nāma kadalikkhandho viya bahi maṭṭhaṃ anto nissāraṃ, imaṃ gahetvā vicaraṇaṃ thusakoṭṭanasadisaṃ hoti. Kiṃ me iminā’’ti isipabbajjaṃ pabbajitvā brahmavihāre nibbattetvā ‘‘aparihīnajjhāno brahmalokokūpapanno bhavissāmī’’ti pañcahi māṇavakasatehi saddhiṃ pabbatapādaṃ gantvā isipabbajjaṃ pabbaji. Tassa parivārāni aṭṭhārassa jaṭilasahassāni ahesuṃ. So pañca abhiññā aṭṭha samāpattiyo nibbattetvā tesampi kasiṇaparikammaṃ ācikkhi. Te tassa ovāde ṭhatvā sabbepi pañca abhiññā aṭṭha samāpattiyo nibbattesuṃ.

    อทฺธาเน อติกฺกเนฺต ตสฺส โคตมตาปสสฺส มหลฺลกกาเล ปทุมุตฺตรทสพโล ปฐมาภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก ภิกฺขุสตสหสฺสปริวาโร หํสวตีนครํ อุปนิสฺสาย วิหาสิฯ โส เอกทิวสํ ปจฺจูสสมเย โลกํ โอโลเกโนฺต โคตมตาปสสฺส ปริสาย อรหตฺตูปนิสฺสยํ โคตมตาปสสฺส จ ‘‘อหํ อนาคเต อุปฺปชฺชมานกพุทฺธสฺส สาสเน ธมฺมกถิกภิกฺขูนํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนภาวญฺจ ทิสฺวา ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา อตฺตโน ปตฺตจีวรํ สยเมว คเหตฺวา อญฺญาตกเวเสน โคตมตาปสสฺส อเนฺตวาสิเกสุ วนมูลผลาผลตฺถาย คเตสุ คนฺตฺวา โคตมสฺส ปณฺณสาลาทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ โคตโม พุทฺธานํ อุปฺปนฺนภาวํ อชานโนฺตปิ ทูรโตว ทสพลํ ทิสฺวา ‘‘อยํ ปุริโส โลกโต มุโตฺต หุตฺวา ปญฺญายติ, ยถา อสฺส สรีรนิปฺผตฺติ เยหิ จ ลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต อคารมเชฺฌ วา ติฎฺฐโนฺต จกฺกวตฺตี ราชา โหติ, ปพฺพชโนฺต วา วิวฎฺฎจฺฉโท สพฺพญฺญุพุโทฺธ โหตี’’ติ ญตฺวา ปฐมทสฺสเนเนว ทสพลํ อภิวาเทตฺวา ‘‘อิโต เอถ ภควา’’ติ พุทฺธาสนํ ปญฺญาเปตฺวา อทาสิฯ ตถาคโต ตาปสสฺส ธมฺมํ เทสยมาโน นิสีทิฯ

    Addhāne atikkante tassa gotamatāpasassa mahallakakāle padumuttaradasabalo paṭhamābhisambodhiṃ patvā pavattitavaradhammacakko bhikkhusatasahassaparivāro haṃsavatīnagaraṃ upanissāya vihāsi. So ekadivasaṃ paccūsasamaye lokaṃ olokento gotamatāpasassa parisāya arahattūpanissayaṃ gotamatāpasassa ca ‘‘ahaṃ anāgate uppajjamānakabuddhassa sāsane dhammakathikabhikkhūnaṃ aggo bhaveyya’’nti patthanabhāvañca disvā pātova sarīrapaṭijagganaṃ katvā attano pattacīvaraṃ sayameva gahetvā aññātakavesena gotamatāpasassa antevāsikesu vanamūlaphalāphalatthāya gatesu gantvā gotamassa paṇṇasālādvāre aṭṭhāsi. Gotamo buddhānaṃ uppannabhāvaṃ ajānantopi dūratova dasabalaṃ disvā ‘‘ayaṃ puriso lokato mutto hutvā paññāyati, yathā assa sarīranipphatti yehi ca lakkhaṇehi samannāgato agāramajjhe vā tiṭṭhanto cakkavattī rājā hoti, pabbajanto vā vivaṭṭacchado sabbaññubuddho hotī’’ti ñatvā paṭhamadassaneneva dasabalaṃ abhivādetvā ‘‘ito etha bhagavā’’ti buddhāsanaṃ paññāpetvā adāsi. Tathāgato tāpasassa dhammaṃ desayamāno nisīdi.

    ตสฺมิํ สมเย เต ชฎิลา ‘‘ปณีตปณีตํ วนมูลผลาผลํ อาจริยสฺส ทตฺวา เสสกํ ปริภุญฺชิสฺสามา’’ติ อาคจฺฉนฺตา ทสพลํ อุจฺจาสเน, อาจริยํ ปน นีจาสเน นิสินฺนํ ทิสฺวา ‘‘ปสฺสถ, มยํ ‘อิมสฺมิํ โลเก อมฺหากํ อาจริเยน อุตฺตริตโร นตฺถี’ติ วิจรามฯ อิทานิ ปน โน อาจริยํ นีจาสเน นิสีทาเปตฺวา อุจฺจาสเน นิสินฺนโก เอโก ปญฺญายติ, มหโนฺต วตายํ ปุริโส ภวิสฺสตี’’ติ ปิฎกานิ คเหตฺวา อาคจฺฉนฺติฯ โคตมตาปโส ‘‘อิเม มํ ทสพลสฺส สนฺติเก วเนฺทยฺยุ’’นฺติ ภีโต ทูรโต อาห – ‘‘ตาตา, มา มํ วนฺทิตฺถ, สเทวเก โลเก อคฺคปุคฺคโล สเพฺพสํ วนฺทนารโห ปุริโส อิธ นิสิโนฺน, เอตํ วนฺทถา’’ติฯ ตาปสา ‘‘น อชานิตฺวา อาจริโย กเถสฺสตี’’ติ สเพฺพว ตถาคตสฺส ปาเท วนฺทิํสุฯ ‘‘ตาตา, อมฺหากํ อญฺญํ ทสพลสฺส ทาตพฺพยุตฺตกํ โภชนํ นตฺถิ, อิมํ วนมูลผลาผลํ ทสฺสามา’’ติ ปณีตปณีตํ พุทฺธานํ ปเตฺต ปติฎฺฐาเปสิฯ สตฺถา วนมูลผลาผลํ ปริภุญฺชิฯ ตทนนฺตรํ ตาปโสปิ สทฺธิํ อเนฺตวาสิเกหิ ปริภุญฺชิฯ สตฺถา ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ‘‘เทฺว อคฺคสาวกา ภิกฺขุสตสหสฺสํ คเหตฺวา อาคจฺฉนฺตู’’ติ จิเนฺตสิฯ ตสฺมิํ ขเณ อคฺคสาวโก มหาเทวลเตฺถโร ‘‘กหํ นุ โข สตฺถา คโต’’ติ อาวเชฺชโนฺต ‘‘สตฺถา อมฺหากํ อาคมนํ ปจฺจาสีสตี’’ติ ภิกฺขุสตสหสฺสํ คเหตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา นมสฺสมาโน อฎฺฐาสิฯ

    Tasmiṃ samaye te jaṭilā ‘‘paṇītapaṇītaṃ vanamūlaphalāphalaṃ ācariyassa datvā sesakaṃ paribhuñjissāmā’’ti āgacchantā dasabalaṃ uccāsane, ācariyaṃ pana nīcāsane nisinnaṃ disvā ‘‘passatha, mayaṃ ‘imasmiṃ loke amhākaṃ ācariyena uttaritaro natthī’ti vicarāma. Idāni pana no ācariyaṃ nīcāsane nisīdāpetvā uccāsane nisinnako eko paññāyati, mahanto vatāyaṃ puriso bhavissatī’’ti piṭakāni gahetvā āgacchanti. Gotamatāpaso ‘‘ime maṃ dasabalassa santike vandeyyu’’nti bhīto dūrato āha – ‘‘tātā, mā maṃ vandittha, sadevake loke aggapuggalo sabbesaṃ vandanāraho puriso idha nisinno, etaṃ vandathā’’ti. Tāpasā ‘‘na ajānitvā ācariyo kathessatī’’ti sabbeva tathāgatassa pāde vandiṃsu. ‘‘Tātā, amhākaṃ aññaṃ dasabalassa dātabbayuttakaṃ bhojanaṃ natthi, imaṃ vanamūlaphalāphalaṃ dassāmā’’ti paṇītapaṇītaṃ buddhānaṃ patte patiṭṭhāpesi. Satthā vanamūlaphalāphalaṃ paribhuñji. Tadanantaraṃ tāpasopi saddhiṃ antevāsikehi paribhuñji. Satthā bhattakiccaṃ katvā ‘‘dve aggasāvakā bhikkhusatasahassaṃ gahetvā āgacchantū’’ti cintesi. Tasmiṃ khaṇe aggasāvako mahādevalatthero ‘‘kahaṃ nu kho satthā gato’’ti āvajjento ‘‘satthā amhākaṃ āgamanaṃ paccāsīsatī’’ti bhikkhusatasahassaṃ gahetvā satthu santikaṃ gantvā vanditvā namassamāno aṭṭhāsi.

    โคตโม อเนฺตวาสิเก อาห – ‘‘ตาตา, อมฺหากํ อโญฺญ สกฺกาโร นตฺถิ, ภิกฺขุสโงฺฆ ทุเกฺขน ฐิโตฯ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปุปฺผาสนํ ปญฺญาเปสฺสาม, ชลชถลชปุปฺผานิ อาหรถา’’ติฯ เต ตาวเทว ปพฺพตปาทโต วณฺณคนฺธสมฺปนฺนานิ ปุปฺผานิ อิทฺธิยา อาหริตฺวา สาริปุตฺตเตฺถรสฺส วตฺถุมฺหิ วุตฺตนเยเนว อาสนานิ ปญฺญาปยิํสุฯ นิโรธสมาปตฺติสมาปชฺชนมฺปิ ฉตฺตธารณมฺปิ สพฺพํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Gotamo antevāsike āha – ‘‘tātā, amhākaṃ añño sakkāro natthi, bhikkhusaṅgho dukkhena ṭhito. Buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa pupphāsanaṃ paññāpessāma, jalajathalajapupphāni āharathā’’ti. Te tāvadeva pabbatapādato vaṇṇagandhasampannāni pupphāni iddhiyā āharitvā sāriputtattherassa vatthumhi vuttanayeneva āsanāni paññāpayiṃsu. Nirodhasamāpattisamāpajjanampi chattadhāraṇampi sabbaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ.

    สตฺถา สตฺตเม ทิวเส นิโรธโต วุฎฺฐาย ปริวาเรตฺวา ฐิเต ตาปเส ทิสฺวา ธมฺมกถิกภาเว เอตทคฺคปฺปตฺตํ สาวกํ อามเนฺตสิ – ‘‘อิมินา ภิกฺขุ อิสิคเณน มหาสกฺกาโร กโต, เอเตสํ ปุปฺผาสนานุโมทนํ กโรหี’’ติฯ โส สตฺถุ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตีณิ ปิฎกานิ สมฺมสิตฺวา อนุโมทนํ อกาสิฯ ตสฺส เทสนาปริโยสาเน สตฺถา สยํ พฺรหฺมโฆสํ นิจฺฉาเรตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน ฐเปตฺวา โคตมตาปสํ เสสา อฎฺฐารส สหสฺสชฎิลา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ

    Satthā sattame divase nirodhato vuṭṭhāya parivāretvā ṭhite tāpase disvā dhammakathikabhāve etadaggappattaṃ sāvakaṃ āmantesi – ‘‘iminā bhikkhu isigaṇena mahāsakkāro kato, etesaṃ pupphāsanānumodanaṃ karohī’’ti. So satthu vacanaṃ sampaṭicchitvā tīṇi piṭakāni sammasitvā anumodanaṃ akāsi. Tassa desanāpariyosāne satthā sayaṃ brahmaghosaṃ nicchāretvā dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne ṭhapetvā gotamatāpasaṃ sesā aṭṭhārasa sahassajaṭilā arahattaṃ pāpuṇiṃsu.

    โคตโม ปน เตนตฺตภาเวน ปฎิเวธํ กาตุํ อสโกฺกโนฺต ภควนฺตํ อาห – ‘‘ภควา เยน ภิกฺขุนา ปฐมํ ธโมฺม เทสิโต, โก นาม อยํ ตุมฺหากํ สาสเน’’ติ? อยํ โคตม มยฺหํ สาสเน ธมฺมกถิกานํ อโคฺคติฯ ‘‘อหมฺปิ, ภเนฺต, อิมสฺส สตฺต ทิวสานิ กตสฺส อธิการสฺส ผเลน อยํ ภิกฺขุ วิย อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน ธมฺมกถิกานํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ กตฺวา ปาทมูเล นิปชฺชิฯ

    Gotamo pana tenattabhāvena paṭivedhaṃ kātuṃ asakkonto bhagavantaṃ āha – ‘‘bhagavā yena bhikkhunā paṭhamaṃ dhammo desito, ko nāma ayaṃ tumhākaṃ sāsane’’ti? Ayaṃ gotama mayhaṃ sāsane dhammakathikānaṃ aggoti. ‘‘Ahampi, bhante, imassa satta divasāni katassa adhikārassa phalena ayaṃ bhikkhu viya anāgate ekassa buddhassa sāsane dhammakathikānaṃ aggo bhaveyya’’nti patthanaṃ katvā pādamūle nipajji.

    สตฺถา อนาคตํ โอโลเกตฺวา อนนฺตราเยนสฺส ปตฺถนาย สมิชฺฌนภาวํ ญตฺวา ‘‘อนาคเต กปฺปสตสหสฺสาวสาเน โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตฺวํ ตสฺส สาสเน ธมฺมกถิกานํ อโคฺค ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากริตฺวา เต อรหตฺตปฺปเตฺต ตาปเส ‘‘เอถ ภิกฺขโว’’ติ อาหฯ สเพฺพ อนฺตรหิตเกสมสฺสู อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรา วสฺสสฎฺฐิกเตฺถรสทิสา อเหสุํฯ สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆมาทาย วิหารํ คโตฯ

    Satthā anāgataṃ oloketvā anantarāyenassa patthanāya samijjhanabhāvaṃ ñatvā ‘‘anāgate kappasatasahassāvasāne gotamo nāma buddho uppajjissati, tvaṃ tassa sāsane dhammakathikānaṃ aggo bhavissasī’’ti byākaritvā te arahattappatte tāpase ‘‘etha bhikkhavo’’ti āha. Sabbe antarahitakesamassū iddhimayapattacīvaradharā vassasaṭṭhikattherasadisā ahesuṃ. Satthā bhikkhusaṅghamādāya vihāraṃ gato.

    โคตโมปิ ยาวชีวํ ตถาคตํ ปริจริตฺวา ยถาพลํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา กปฺปสตสหสฺสํ เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสริตฺวา อมฺหากํ ภควโต กาเล กปิลวตฺถุนครสฺส อวิทูเร โทณวตฺถุพฺราหฺมณคาเม พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติฯ ตสฺส นามคฺคหณทิวเส ปุณฺณมาณโวติ นามํ อกํสุฯ สตฺถริ อภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจเกฺก อนุปุเพฺพน อาคนฺตฺวา ราชคหํ อุปนิสฺสาย วิหรเนฺต อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถโร กปิลวตฺถุํ คนฺตฺวา อตฺตโน ภาคิเนยฺยํ ปุณฺณมาณวํ ปพฺพาเชตฺวา ปุนทิวเส ทสพลสฺส สนฺติกํ อาคนฺตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อาปุจฺฉิตฺวา นิวาสตฺถาย ฉทฺทนฺตทหํ คโตฯ ปุโณฺณปิ มนฺตาณิปุโตฺต มาตุเลน อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถเรน สทฺธิํ ทสพลสฺส สนฺติกํ อคนฺตฺวา ‘‘มยฺหํ ปพฺพชิตกิจฺจํ มตฺถกํ ปาเปตฺวาว ทสพลสฺส สนฺติกํ คมิสฺสามี’’ติ กปิลวตฺถุสฺมิํเยว โอหีโน โยนิโสมนสิกาเร กมฺมํ กโรโนฺต นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตกุลปุตฺตาปิ ปญฺจสตา อเหสุํฯ เถโร สยํ ทสกถาวตฺถุลาภิตาย เตปิ ทสหิ กถาวตฺถูหิ โอวทติฯ เต ตสฺส โอวาเท ฐตฺวา สเพฺพว อรหตฺตํ ปตฺตาฯ

    Gotamopi yāvajīvaṃ tathāgataṃ paricaritvā yathābalaṃ kalyāṇakammaṃ katvā kappasatasahassaṃ devesu ca manussesu ca saṃsaritvā amhākaṃ bhagavato kāle kapilavatthunagarassa avidūre doṇavatthubrāhmaṇagāme brāhmaṇamahāsālakule nibbatti. Tassa nāmaggahaṇadivase puṇṇamāṇavoti nāmaṃ akaṃsu. Satthari abhisambodhiṃ patvā pavattitavaradhammacakke anupubbena āgantvā rājagahaṃ upanissāya viharante aññāsikoṇḍaññatthero kapilavatthuṃ gantvā attano bhāgineyyaṃ puṇṇamāṇavaṃ pabbājetvā punadivase dasabalassa santikaṃ āgantvā bhagavantaṃ vanditvā āpucchitvā nivāsatthāya chaddantadahaṃ gato. Puṇṇopi mantāṇiputto mātulena aññāsikoṇḍaññattherena saddhiṃ dasabalassa santikaṃ agantvā ‘‘mayhaṃ pabbajitakiccaṃ matthakaṃ pāpetvāva dasabalassa santikaṃ gamissāmī’’ti kapilavatthusmiṃyeva ohīno yonisomanasikāre kammaṃ karonto nacirasseva arahattaṃ pāpuṇi. Tassa santike pabbajitakulaputtāpi pañcasatā ahesuṃ. Thero sayaṃ dasakathāvatthulābhitāya tepi dasahi kathāvatthūhi ovadati. Te tassa ovāde ṭhatvā sabbeva arahattaṃ pattā.

    เต อตฺตโน ปพฺพชิตกิจฺจํ มตฺถกํ ปตฺตํ ญตฺวา อุปชฺฌายํ อุปสงฺกมิตฺวา อาหํสุ – ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ กิจฺจํ มตฺถกํ ปตฺตํ, ทสนฺนญฺจ มหากถาวตฺถูนํ ลาภิโน, สมโย โน ทสพลํ ปสฺสิตุ’’นฺติฯ เถโร เตสํ กถํ สุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มม ทสกถาวตฺถุลาภิตํ สตฺถา ชานาติ, อหํ ธมฺมํ เทเสโนฺต ทส กถาวตฺถูนิ อมุญฺจโนฺตว เทเสมิฯ มยิ คจฺฉเนฺต สเพฺพปิเม ภิกฺขู ปริวาเรตฺวา คจฺฉิสฺสนฺติ, เอวํ คณสงฺคณิกาย คนฺตฺวา ปน อยุตฺตํ มยฺหํ ทสพลํ ปสฺสิตุํ, อิเม ตาว คนฺตฺวา ปสฺสนฺตู’’ติ เต ภิกฺขู อาห – ‘‘อาวุโส, ตุเมฺห ปุรโต คนฺตฺวา ตถาคตํ ปสฺสถ, มม วจเนน ทสพลสฺส ปาเท วนฺทถ, อหมฺปิ ตุมฺหากํ คตมเคฺคน คมิสฺสามี’’ติฯ

    Te attano pabbajitakiccaṃ matthakaṃ pattaṃ ñatvā upajjhāyaṃ upasaṅkamitvā āhaṃsu – ‘‘bhante, amhākaṃ kiccaṃ matthakaṃ pattaṃ, dasannañca mahākathāvatthūnaṃ lābhino, samayo no dasabalaṃ passitu’’nti. Thero tesaṃ kathaṃ sutvā cintesi – ‘‘mama dasakathāvatthulābhitaṃ satthā jānāti, ahaṃ dhammaṃ desento dasa kathāvatthūni amuñcantova desemi. Mayi gacchante sabbepime bhikkhū parivāretvā gacchissanti, evaṃ gaṇasaṅgaṇikāya gantvā pana ayuttaṃ mayhaṃ dasabalaṃ passituṃ, ime tāva gantvā passantū’’ti te bhikkhū āha – ‘‘āvuso, tumhe purato gantvā tathāgataṃ passatha, mama vacanena dasabalassa pāde vandatha, ahampi tumhākaṃ gatamaggena gamissāmī’’ti.

    เต เถรา สเพฺพปิ ทสพลสฺส ชาติภูมิรฎฺฐวาสิโน สเพฺพ ขีณาสวา สเพฺพ ทสกถาวตฺถุลาภิโน อตฺตโน อุปชฺฌายสฺส โอวาทํ อภินฺทิตฺวา อนุปุเพฺพน จาริกํ จรนฺตา สฎฺฐิโยชนมคฺคํ อติกฺกมฺม ราชคเห เวฬุวนมหาวิหารํ คนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาเท วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ อาจิณฺณํ โข ปเนตํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ อาคนฺตุเกหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ปฎิสโมฺมทิตุนฺติ ภควา เตหิ สทฺธิํ ‘‘กจฺจิ, ภิกฺขเว, ขมนีย’’นฺติอาทินา นเยน มธุรปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘กุโต จ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อาคจฺฉถา’’ติ ปุจฺฉิฯ เตหิ ‘‘ชาติภูมิโต’’ติ วุเตฺต ‘‘โก นุ โข, ภิกฺขเว, ชาติภูมิยํ ชาติภูมกานํ ภิกฺขูนํ สพฺรหฺมจารีหิ เอวํ สมฺภาวิโต อตฺตนา จ อปฺปิโจฺฉ อปฺปิจฺฉกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา’’ติ ทสกถาวตฺถุลาภิํ ภิกฺขุํ ปุจฺฉิฯ เตปิ ‘‘ปุโณฺณ นาม, ภเนฺต, อายสฺมา มนฺตาณิปุโตฺต’’ติ อาโรจยิํสุฯ ตํ กถํ สุตฺวา อายสฺมา สาริปุโตฺต เถรสฺส ทสฺสนกาโม อโหสิฯ

    Te therā sabbepi dasabalassa jātibhūmiraṭṭhavāsino sabbe khīṇāsavā sabbe dasakathāvatthulābhino attano upajjhāyassa ovādaṃ abhinditvā anupubbena cārikaṃ carantā saṭṭhiyojanamaggaṃ atikkamma rājagahe veḷuvanamahāvihāraṃ gantvā dasabalassa pāde vanditvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Āciṇṇaṃ kho panetaṃ buddhānaṃ bhagavantānaṃ āgantukehi bhikkhūhi saddhiṃ paṭisammoditunti bhagavā tehi saddhiṃ ‘‘kacci, bhikkhave, khamanīya’’ntiādinā nayena madhurapaṭisanthāraṃ katvā ‘‘kuto ca tumhe, bhikkhave, āgacchathā’’ti pucchi. Tehi ‘‘jātibhūmito’’ti vutte ‘‘ko nu kho, bhikkhave, jātibhūmiyaṃ jātibhūmakānaṃ bhikkhūnaṃ sabrahmacārīhi evaṃ sambhāvito attanā ca appiccho appicchakathañca bhikkhūnaṃ kattā’’ti dasakathāvatthulābhiṃ bhikkhuṃ pucchi. Tepi ‘‘puṇṇo nāma, bhante, āyasmā mantāṇiputto’’ti ārocayiṃsu. Taṃ kathaṃ sutvā āyasmā sāriputto therassa dassanakāmo ahosi.

    อถ สตฺถา ราชคหโต สาวตฺถิํ อคมาสิฯ ปุณฺณเตฺถโร ทสพลสฺส ตตฺถ อาคตภาวํ สุตฺวา ‘‘สตฺถารํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา อโนฺตคนฺธกุฎิยํเยว ตถาคตํ สมฺปาปุณิฯ สตฺถา ตสฺส ธมฺมํ เทเสสิฯ เถโร ธมฺมํ สุตฺวา ทสพลํ วนฺทิตฺวา ปฎิสลฺลานตฺถาย อนฺธวนํ คนฺตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสีทิฯ สาริปุตฺตเตฺถโรปิ ตสฺส คมนํ สุตฺวา สีสานุโลกิโก คนฺตฺวา โอกาสํ สลฺลเกฺขตฺวา ตํ รุกฺขมูลํ อุปสงฺกมิตฺวา เถเรน สทฺธิํ สโมฺมทิตฺวา สตฺตวิสุทฺธิกฺกมํ ปุจฺฉิฯ เถโรปิสฺส ปุจฺฉิตํ ปุจฺฉิตํ พฺยากาสิฯ เต อญฺญมญฺญสฺส สุภาสิตํ สมนุโมทิํสุฯ อถ สตฺถา อปรภาเค ภิกฺขุสงฺฆมเชฺฌ นิสิโนฺน เถรํ ธมฺมกถิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Atha satthā rājagahato sāvatthiṃ agamāsi. Puṇṇatthero dasabalassa tattha āgatabhāvaṃ sutvā ‘‘satthāraṃ passissāmī’’ti gantvā antogandhakuṭiyaṃyeva tathāgataṃ sampāpuṇi. Satthā tassa dhammaṃ desesi. Thero dhammaṃ sutvā dasabalaṃ vanditvā paṭisallānatthāya andhavanaṃ gantvā aññatarasmiṃ rukkhamūle divāvihāraṃ nisīdi. Sāriputtattheropi tassa gamanaṃ sutvā sīsānulokiko gantvā okāsaṃ sallakkhetvā taṃ rukkhamūlaṃ upasaṅkamitvā therena saddhiṃ sammoditvā sattavisuddhikkamaṃ pucchi. Theropissa pucchitaṃ pucchitaṃ byākāsi. Te aññamaññassa subhāsitaṃ samanumodiṃsu. Atha satthā aparabhāge bhikkhusaṅghamajjhe nisinno theraṃ dhammakathikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    มหากจฺจานเตฺถรวตฺถุ

    Mahākaccānattheravatthu

    ๑๙๗. ทสเม สํขิเตฺตน ภาสิตสฺสาติ สํขิเตฺตน กถิตธมฺมสฺสฯ วิตฺถาเรน อตฺถํ วิภชนฺตานนฺติ ตํ เทสนํ วิตฺถาเรตฺวา อตฺถํ วิภชมานานํฯ อเญฺญ กิร ตถาคตสฺส สเงฺขปวจนํ อตฺถวเสน วา ปูเรตุํ สโกฺกนฺติ พฺยญฺชนวเสน วา, อยํ ปน เถโร อุภยวเสนปิ สโกฺกติฯ ตสฺมา อโคฺคติ วุโตฺตฯ ปุพฺพปตฺถนาปิ จสฺส เอวรูปาวฯ

    197. Dasame saṃkhittena bhāsitassāti saṃkhittena kathitadhammassa. Vitthārena atthaṃ vibhajantānanti taṃ desanaṃ vitthāretvā atthaṃ vibhajamānānaṃ. Aññe kira tathāgatassa saṅkhepavacanaṃ atthavasena vā pūretuṃ sakkonti byañjanavasena vā, ayaṃ pana thero ubhayavasenapi sakkoti. Tasmā aggoti vutto. Pubbapatthanāpi cassa evarūpāva.

    อยํ ปนสฺส ปญฺหกเมฺม อนุปุพฺพิกถา – อยํ กิร ปทุมุตฺตรสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล คหปติมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วุทฺธิปฺปโตฺต เอกทิวสํ วุตฺตนเยเนว วิหารํ คนฺตฺวา ปริสปริยเนฺต ฐิโต ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ อตฺตนา สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ วิภชนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ เอกํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา ‘‘มหโนฺต วตายํ ภิกฺขุ, ยํ สตฺถา เอวํ วเณฺณติ, มยาปิ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน เอวรูเปน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา วุตฺตนเยเนว สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อหํ อิมสฺส สกฺการสฺส ผเลน น อญฺญํ สมฺปตฺติํ ปเตฺถมิ, อนาคเต ปน เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อิโต สตฺตทิวสมตฺถเก ตุเมฺหหิ ฐานนฺตเร ฐปิตภิกฺขุ วิย อหมฺปิ ตํ ฐานนฺตรํ ลเภยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ กตฺวา ปาทมูเล นิปชฺชิฯ สตฺถา อนาคตํ โอโลเกโนฺต ‘‘สมิชฺฌิสฺสติ อิมสฺส กุลปุตฺตสฺส ปตฺถนา’’ติ ทิสฺวา ‘‘อโมฺภ, กุลปุตฺต, อนาคเต กปฺปสตสหสฺสาวสาเน โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตฺวํ ตสฺส สาสเน สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ วิภชนฺตานํ อโคฺค ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากริตฺวา อนุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ

    Ayaṃ panassa pañhakamme anupubbikathā – ayaṃ kira padumuttarasammāsambuddhakāle gahapatimahāsālakule nibbattitvā vuddhippatto ekadivasaṃ vuttanayeneva vihāraṃ gantvā parisapariyante ṭhito dhammaṃ suṇanto satthāraṃ attanā saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ vibhajantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ ekaṃ bhikkhuṃ disvā ‘‘mahanto vatāyaṃ bhikkhu, yaṃ satthā evaṃ vaṇṇeti, mayāpi anāgate ekassa buddhassa sāsane evarūpena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti satthāraṃ nimantetvā vuttanayeneva sattāhaṃ mahādānaṃ datvā, ‘‘bhante, ahaṃ imassa sakkārassa phalena na aññaṃ sampattiṃ patthemi, anāgate pana ekassa buddhassa sāsane ito sattadivasamatthake tumhehi ṭhānantare ṭhapitabhikkhu viya ahampi taṃ ṭhānantaraṃ labheyya’’nti patthanaṃ katvā pādamūle nipajji. Satthā anāgataṃ olokento ‘‘samijjhissati imassa kulaputtassa patthanā’’ti disvā ‘‘ambho, kulaputta, anāgate kappasatasahassāvasāne gotamo nāma buddho uppajjissati, tvaṃ tassa sāsane saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ vibhajantānaṃ aggo bhavissasī’’ti byākaritvā anumodanaṃ katvā pakkāmi.

    โสปิ กุลปุโตฺต ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา กสฺสปพุทฺธกาเล พาราณสิยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา สตฺถริ ปรินิพฺพุเต สุวณฺณเจติยกรณฎฺฐานํ คนฺตฺวา สตสหสฺสคฺฆนิกาย สุวณฺณิฎฺฐกาย ปูชํ กตฺวา ‘‘ภควา มยฺหํ นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน สรีรํ สุวณฺณวณฺณํ โหตู’’ติ ปตฺถนํ อกาสิฯ ตโต ยาวชีวํ กุสลกมฺมํ กตฺวา เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อมฺหากํ ทสพลสฺส อุปฺปตฺติกาเล อุเชฺชนินคเร ปุโรหิตสฺส เคเห นิพฺพตฺติฯ ตสฺส นามคฺคหณทิวเส ‘‘มยฺหํ ปุโตฺต สุวณฺณวณฺณสรีโร อตฺตนาว อตฺตโน นามํ คเหตฺวา อาคโต’’ติ กญฺจนมาณโวเตวสฺส นามํ อกํสุ ฯ โส วุทฺธิมนฺวาย ตโย เวเท อุคฺคณฺหิตฺวา ปิตุ อจฺจเยน ปุโรหิตฎฺฐานํ ลภิฯ โส โคตฺตวเสน กจฺจาโน นาม ชาโตฯ

    Sopi kulaputto yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā kassapabuddhakāle bārāṇasiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gahetvā satthari parinibbute suvaṇṇacetiyakaraṇaṭṭhānaṃ gantvā satasahassagghanikāya suvaṇṇiṭṭhakāya pūjaṃ katvā ‘‘bhagavā mayhaṃ nibbattanibbattaṭṭhāne sarīraṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ hotū’’ti patthanaṃ akāsi. Tato yāvajīvaṃ kusalakammaṃ katvā ekaṃ buddhantaraṃ devamanussesu saṃsaritvā amhākaṃ dasabalassa uppattikāle ujjeninagare purohitassa gehe nibbatti. Tassa nāmaggahaṇadivase ‘‘mayhaṃ putto suvaṇṇavaṇṇasarīro attanāva attano nāmaṃ gahetvā āgato’’ti kañcanamāṇavotevassa nāmaṃ akaṃsu . So vuddhimanvāya tayo vede uggaṇhitvā pitu accayena purohitaṭṭhānaṃ labhi. So gottavasena kaccāno nāma jāto.

    จณฺฑปโชฺชตราชา อมเจฺจ สนฺนิปาเตตฺวา อาห – ‘‘พุโทฺธ โลเก นิพฺพโตฺต, ตํ อาเนตุํ สมตฺถา คนฺตฺวา อาเนถ ตาตา’’ติฯ เทว, อโญฺญ ทสพลํ อาเนตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, อาจริโย กจฺจานพฺราหฺมโณว สมโตฺถ, ตํ ปหิณถาติฯ ราชา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา, ‘‘ตาต, ทสพลสฺส สนฺติกํ คจฺฉาหี’’ติ อาหฯ คนฺตฺวา ปพฺพชิตุํ ลภโนฺต คมิสฺสามิ, มหาราชาติฯ ยํกิญฺจิ กตฺวา ตถาคตํ อาเนหิ, ตาตาติฯ โส ‘‘พุทฺธานํ สนฺติกํ คจฺฉนฺตสฺส มหาปริสาย กมฺมํ นตฺถี’’ติ อตฺตฎฺฐโม อคมาสิฯ อถสฺส สตฺถา ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน สทฺธิํ สตฺตหิ ชเนหิ สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ สตฺถา ‘‘เอถ ภิกฺขโว’’ติ หตฺถํ ปสาเรสิฯ ตํขณํเยว สเพฺพว อนฺตรหิตเกสมสฺสู อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรา วสฺสสฎฺฐิกเตฺถรา วิย ชาตาฯ

    Caṇḍapajjotarājā amacce sannipātetvā āha – ‘‘buddho loke nibbatto, taṃ ānetuṃ samatthā gantvā ānetha tātā’’ti. Deva, añño dasabalaṃ ānetuṃ samattho nāma natthi, ācariyo kaccānabrāhmaṇova samattho, taṃ pahiṇathāti. Rājā taṃ pakkosāpetvā, ‘‘tāta, dasabalassa santikaṃ gacchāhī’’ti āha. Gantvā pabbajituṃ labhanto gamissāmi, mahārājāti. Yaṃkiñci katvā tathāgataṃ ānehi, tātāti. So ‘‘buddhānaṃ santikaṃ gacchantassa mahāparisāya kammaṃ natthī’’ti attaṭṭhamo agamāsi. Athassa satthā dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne saddhiṃ sattahi janehi saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Satthā ‘‘etha bhikkhavo’’ti hatthaṃ pasāresi. Taṃkhaṇaṃyeva sabbeva antarahitakesamassū iddhimayapattacīvaradharā vassasaṭṭhikattherā viya jātā.

    เถโร อตฺตโน กิเจฺจ มตฺถกํ ปเตฺต ตุณฺหีภาเวน อนิสีทิตฺวา กาฬุทายิเตฺถโร วิย สตฺถุ อุเชฺชนิคมนตฺถาย คมนวณฺณํ กเถสิฯ สตฺถา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘กจฺจาโน อตฺตโน ชาติภูมิยํ มม คมนํ ปจฺจาสีสตี’’ติ อญฺญาสิฯ พุทฺธา จ นาม เอกํ การณํ ปฎิจฺจ คนฺตุํ อยุตฺตฎฺฐานํ น คจฺฉนฺติฯ ตสฺมา เถรํ อาห – ‘‘ตฺวํเยว ภิกฺขุ คจฺฉ, ตยิ คเตปิ ราชา ปสีทิสฺสตี’’ติฯ เถโร ‘‘พุทฺธานํ เทฺว กถา นาม นตฺถี’’ติ ตถาคตํ วนฺทิตฺวา อตฺตนา สทฺธิํ อาคเตหิ สตฺตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ อุเชฺชนิํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค เตลปนาฬิ นาม นิคโม, ตตฺถ ปิณฺฑาย จริฯ ตสฺมิํ จ นิคเม เทฺว เสฎฺฐิธีตโรฯ ตาสุ เอกา ปริชิณฺณกุเล นิพฺพตฺตา ทุคฺคตา มาตาปิตูนํ อจฺจเยน ธาติํ นิสฺสาย ชีวติฯ อตฺตภาโว ปนสฺสา สมิโทฺธ, เกสา อญฺญาหิ อติวิย ทีฆาฯ ตสฺมิํเยว นิคเม อญฺญา อิสฺสรเสฎฺฐิกุลสฺส ธีตา นิเกฺกสิกาฯ สา ตโต ปุเพฺพ ตสฺสา สมีปํ เปเสตฺวา ‘‘สตํ วา สหสฺสํ วา ทสฺสามี’’ติ วตฺวาปิ เกเส อาหราเปตุํ นาสกฺขิฯ

    Thero attano kicce matthakaṃ patte tuṇhībhāvena anisīditvā kāḷudāyitthero viya satthu ujjenigamanatthāya gamanavaṇṇaṃ kathesi. Satthā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘kaccāno attano jātibhūmiyaṃ mama gamanaṃ paccāsīsatī’’ti aññāsi. Buddhā ca nāma ekaṃ kāraṇaṃ paṭicca gantuṃ ayuttaṭṭhānaṃ na gacchanti. Tasmā theraṃ āha – ‘‘tvaṃyeva bhikkhu gaccha, tayi gatepi rājā pasīdissatī’’ti. Thero ‘‘buddhānaṃ dve kathā nāma natthī’’ti tathāgataṃ vanditvā attanā saddhiṃ āgatehi sattahi bhikkhūhi saddhiṃ ujjeniṃ gacchanto antarāmagge telapanāḷi nāma nigamo, tattha piṇḍāya cari. Tasmiṃ ca nigame dve seṭṭhidhītaro. Tāsu ekā parijiṇṇakule nibbattā duggatā mātāpitūnaṃ accayena dhātiṃ nissāya jīvati. Attabhāvo panassā samiddho, kesā aññāhi ativiya dīghā. Tasmiṃyeva nigame aññā issaraseṭṭhikulassa dhītā nikkesikā. Sā tato pubbe tassā samīpaṃ pesetvā ‘‘sataṃ vā sahassaṃ vā dassāmī’’ti vatvāpi kese āharāpetuṃ nāsakkhi.

    ตสฺมิํ ปน ทิวเส สา เสฎฺฐิธีตา มหากจฺจานเตฺถรํ สตฺตหิ ภิกฺขูหิ ปริวุตํ ตุจฺฉปตฺตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ สุวณฺณวโณฺณ เอโก พฺรหฺมพนฺธุภิกฺขุ ยถาโธเตเนว ปเตฺตน อาคจฺฉติ, มยฺหญฺจ อญฺญํ ธนํ นตฺถิฯ อสุกเสฎฺฐิธีตา ปน อิเมสํ เกสานํ อตฺถาย เปเสสิฯ อิทานิ อิโต ลทฺธอุปฺปาเทน สกฺกา เถรสฺส เทยฺยธมฺมํ ทาตุ’’นฺติ ธาติํ เปเสตฺวา เถเร นิมเนฺตตฺวา อโนฺตเคเห นิสีทาเปสิฯ เถรานํ นิสินฺนกาเล คพฺภํ ปวิสิตฺวา ธาติยา อตฺตโน เกเส กปฺปาเปตฺวา, ‘‘อมฺม , อิเม เกเส อสุกาย นาม เสฎฺฐิธีตาย ทตฺวา ยํ สา เทติ, ตํ อาหร, อยฺยานํ ปิณฺฑปาตํ ทสฺสามา’’ติฯ ธาติ ปิฎฺฐิหเตฺถน อสฺสูนิ ปุญฺฉิตฺวา เอเกน หเตฺถน หทยมํสํ สนฺธาเรตฺวา เถรานํ สนฺติเก ปฎิจฺฉาเทตฺวา เต เกเส อาทาย ตสฺสา เสฎฺฐิธีตาย สนฺติกํ คตาฯ

    Tasmiṃ pana divase sā seṭṭhidhītā mahākaccānattheraṃ sattahi bhikkhūhi parivutaṃ tucchapattaṃ āgacchantaṃ disvā ‘‘ayaṃ suvaṇṇavaṇṇo eko brahmabandhubhikkhu yathādhoteneva pattena āgacchati, mayhañca aññaṃ dhanaṃ natthi. Asukaseṭṭhidhītā pana imesaṃ kesānaṃ atthāya pesesi. Idāni ito laddhauppādena sakkā therassa deyyadhammaṃ dātu’’nti dhātiṃ pesetvā there nimantetvā antogehe nisīdāpesi. Therānaṃ nisinnakāle gabbhaṃ pavisitvā dhātiyā attano kese kappāpetvā, ‘‘amma , ime kese asukāya nāma seṭṭhidhītāya datvā yaṃ sā deti, taṃ āhara, ayyānaṃ piṇḍapātaṃ dassāmā’’ti. Dhāti piṭṭhihatthena assūni puñchitvā ekena hatthena hadayamaṃsaṃ sandhāretvā therānaṃ santike paṭicchādetvā te kese ādāya tassā seṭṭhidhītāya santikaṃ gatā.

    ปณิยํ นาม สารวนฺตมฺปิ สยํ อุปนีตํ คารวํ น ชเนติ, ตสฺมา สา เสฎฺฐิธีตา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ ปุเพฺพ พหุนาปิ ธเนน อิเม เกเส อาหราเปตุํ นาสกฺขิํ, อิทานิ ปน ฉินฺนกาลโต ปฎฺฐาย น ยถามูลเมว ลภิสฺสตี’’ติ ฯ ธาติํ อาห – ‘‘อหํ ปุเพฺพ ตว สามินิํ พหุนาปิ ธเนน เกเส อาหราเปตุํ นาสกฺขิํ, ยตฺถ กตฺถจิ วินิปาตา ปน นิชฺชีวเกสา นาม อฎฺฐ กหาปเณ อคฺฆนฺตี’’ติ อเฎฺฐว กหาปเณ อทาสิฯ ธาติ กหาปเณ อาหริตฺวา เสฎฺฐิธีตาย อทาสิฯ เสฎฺฐิธีตา เอเกกํ ปิณฺฑปาตํ เอเกกกหาปณคฺฆนกํ กตฺวา เถรานํ ทาเปสิฯ เถโร อาวชฺชิตฺวา เสฎฺฐิธีตาย อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา ‘‘กหํ เสฎฺฐิธีตา’’ติ ปุจฺฉิฯ คเพฺภ, อยฺยาติฯ ปโกฺกสถ นนฺติฯ สา จ เถเรสุ คารเวน เอกวจเนเนว อาคนฺตฺวา เถเร วนฺทิตฺวา พลวสทฺธํ อุปฺปาเทสิฯ สุเขเตฺต ปติฎฺฐิตปิณฺฑปาโต ทิเฎฺฐว ธเมฺม วิปากํ เทตีติ สห เถรานํ วนฺทเนน เกสา ปกติภาเวเยว อฎฺฐํสุฯ เถราปิ ตํ ปิณฺฑปาตํ คเหตฺวา ปสฺสนฺติยาเยว เสฎฺฐิธีตาย เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา กญฺจนวนุยฺยาเน โอตริํสุฯ

    Paṇiyaṃ nāma sāravantampi sayaṃ upanītaṃ gāravaṃ na janeti, tasmā sā seṭṭhidhītā cintesi – ‘‘ahaṃ pubbe bahunāpi dhanena ime kese āharāpetuṃ nāsakkhiṃ, idāni pana chinnakālato paṭṭhāya na yathāmūlameva labhissatī’’ti . Dhātiṃ āha – ‘‘ahaṃ pubbe tava sāminiṃ bahunāpi dhanena kese āharāpetuṃ nāsakkhiṃ, yattha katthaci vinipātā pana nijjīvakesā nāma aṭṭha kahāpaṇe agghantī’’ti aṭṭheva kahāpaṇe adāsi. Dhāti kahāpaṇe āharitvā seṭṭhidhītāya adāsi. Seṭṭhidhītā ekekaṃ piṇḍapātaṃ ekekakahāpaṇagghanakaṃ katvā therānaṃ dāpesi. Thero āvajjitvā seṭṭhidhītāya upanissayaṃ disvā ‘‘kahaṃ seṭṭhidhītā’’ti pucchi. Gabbhe, ayyāti. Pakkosatha nanti. Sā ca theresu gāravena ekavacaneneva āgantvā there vanditvā balavasaddhaṃ uppādesi. Sukhette patiṭṭhitapiṇḍapāto diṭṭheva dhamme vipākaṃ detīti saha therānaṃ vandanena kesā pakatibhāveyeva aṭṭhaṃsu. Therāpi taṃ piṇḍapātaṃ gahetvā passantiyāyeva seṭṭhidhītāya vehāsaṃ abbhuggantvā kañcanavanuyyāne otariṃsu.

    อุยฺยานปาโล เถรํ ทิสฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เทว, เม อโยฺย ปุโรหิโต กจฺจาโน ปพฺพชิตฺวา อุยฺยานมาคโต’’ติ อาหฯ ราชา จณฺฑปโชฺชโต อุยฺยานํ คนฺตฺวา กตภตฺตกิจฺจํ เถรํ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ‘‘กหํ, ภเนฺต, ภควา’’ติ ปุจฺฉิฯ สตฺถา สยํ อนาคนฺตฺวา มํ เปเสสิ มหาราชาติฯ กหํ, ภเนฺต, อชฺช ภิกฺขํ อลตฺถาติ? เถโร รโญฺญ ปุจฺฉาสภาเคน สพฺพํ เสฎฺฐิธีตาย กตํ ทุกฺกรํ อาโรเจสิฯ ราชา เถรสฺส วสนฎฺฐานํ ปฎิยาเทตฺวา เถรํ นิมเนฺตตฺวา นิเวสนํ คนฺตฺวา เสฎฺฐิธีตรํ อาณาเปตฺวา อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปสิฯ อิมิสฺสา อิตฺถิยา ทิฎฺฐธมฺมิโกว ยสปฎิลาโภ อโหสิฯ

    Uyyānapālo theraṃ disvā rañño santikaṃ gantvā ‘‘deva, me ayyo purohito kaccāno pabbajitvā uyyānamāgato’’ti āha. Rājā caṇḍapajjoto uyyānaṃ gantvā katabhattakiccaṃ theraṃ pañcapatiṭṭhitena vanditvā ekamantaṃ nisinno ‘‘kahaṃ, bhante, bhagavā’’ti pucchi. Satthā sayaṃ anāgantvā maṃ pesesi mahārājāti. Kahaṃ, bhante, ajja bhikkhaṃ alatthāti? Thero rañño pucchāsabhāgena sabbaṃ seṭṭhidhītāya kataṃ dukkaraṃ ārocesi. Rājā therassa vasanaṭṭhānaṃ paṭiyādetvā theraṃ nimantetvā nivesanaṃ gantvā seṭṭhidhītaraṃ āṇāpetvā aggamahesiṭṭhāne ṭhapesi. Imissā itthiyā diṭṭhadhammikova yasapaṭilābho ahosi.

    ตโต ปฎฺฐาย ราชา เถรสฺส มหาสกฺการํ กโรติฯ เถรสฺส ธมฺมกถาย ปสีทิตฺวา มหาชโน เถรสฺส สนฺติเก ปพฺพชิฯ ตโต ปฎฺฐาย สกลนครํ เอกกาสาวปโชฺชตํ อิสิวาตปฎิวาตํ อโหสิฯ สาปิ เทวี คพฺภํ ลภิตฺวา ทสมาสจฺจเยน ปุตฺตํ วิชายิฯ ตสฺส นามคฺคหณทิวเส โคปาลกุมาโรติ มาตามหเสฎฺฐิโน นามํ อกํสุฯ สา ปุตฺตสฺส นามวเสน โคปาลมาตา นาม เทวี ชาตาฯ สา เทวี เถเร อติวิย ปสีทิตฺวา ราชานํ สมฺปฎิจฺฉาเปตฺวา กญฺจนวนุยฺยาเน เถรสฺส วิหารํ กาเรสิฯ เถโร อุเชฺชนินครํ ปสาเทตฺวา ปุน สตฺถุ สนฺติกํ คโตฯ อถ สตฺถา อปรภาเค เชตวเน วิหรโนฺต มธุปิณฺฑิกสุตฺตํ (ม. นิ. ๑.๑๙๙ อาทโย) กจฺจานเปยฺยาลํ (ม. นิ. ๓.๒๗๙ อาทโย) ปารายนสุตฺตนฺติ อิเม ตโย สุตฺตเนฺต อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เถรํ สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ วิภชนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Tato paṭṭhāya rājā therassa mahāsakkāraṃ karoti. Therassa dhammakathāya pasīditvā mahājano therassa santike pabbaji. Tato paṭṭhāya sakalanagaraṃ ekakāsāvapajjotaṃ isivātapaṭivātaṃ ahosi. Sāpi devī gabbhaṃ labhitvā dasamāsaccayena puttaṃ vijāyi. Tassa nāmaggahaṇadivase gopālakumāroti mātāmahaseṭṭhino nāmaṃ akaṃsu. Sā puttassa nāmavasena gopālamātā nāma devī jātā. Sā devī there ativiya pasīditvā rājānaṃ sampaṭicchāpetvā kañcanavanuyyāne therassa vihāraṃ kāresi. Thero ujjeninagaraṃ pasādetvā puna satthu santikaṃ gato. Atha satthā aparabhāge jetavane viharanto madhupiṇḍikasuttaṃ (ma. ni. 1.199 ādayo) kaccānapeyyālaṃ (ma. ni. 3.279 ādayo) pārāyanasuttanti ime tayo suttante aṭṭhuppattiṃ katvā theraṃ saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ vibhajantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ปฐมวคฺควณฺณนาฯ

    Paṭhamavaggavaṇṇanā.

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๒. ทุติยเอตทคฺควโคฺค

    (14) 2. Dutiyaetadaggavaggo

    จูฬปนฺถกเตฺถรวตฺถุ

    Cūḷapanthakattheravatthu

    ๑๙๘-๒๐๐. ทุติยสฺส ปฐเม มโนมยนฺติ มเนน นิพฺพตฺติตํฯ ‘‘มโนมเยน กาเยน, อิทฺธิยา อุปสงฺกมี’’ติ (เถรคา. ๙๐๑) วุตฺตฎฺฐานสฺมิญฺหิ มเนน กตกาโย มโนมยกาโย นาม ชาโตฯ ‘‘อญฺญตรํ มโนมยํ กายํ อุปปชฺชตี’’ติ (จูฬว. ๓๓๓) วุตฺตฎฺฐาเน มเนน นิพฺพตฺติตกาโย มโนมยกาโย นาม ชาโตฯ อยมิธ อธิเปฺปโตฯ ตตฺถ อเญฺญ ภิกฺขู มโนมยํ กายํ นิพฺพเตฺตนฺตา ตโย วา จตฺตาโร วา นิพฺพเตฺตนฺติ, น พหุเกฯ เอกสทิเสเยว จ กตฺวา นิพฺพเตฺตนฺติ เอกวิธเมว กมฺมํ กุรุมาเนฯ จูฬปนฺถกเตฺถโร ปน เอกาวชฺชเนน สมณสหสฺสํ มาเปสิฯ เทฺวปิ จ ชเน น เอกสทิเส อกาสิ น เอกวิธํ กมฺมํ กุรุมาเนฯ ตสฺมา มโนมยํ กายํ อภินิมฺมินนฺตานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    198-200. Dutiyassa paṭhame manomayanti manena nibbattitaṃ. ‘‘Manomayena kāyena, iddhiyā upasaṅkamī’’ti (theragā. 901) vuttaṭṭhānasmiñhi manena katakāyo manomayakāyo nāma jāto. ‘‘Aññataraṃ manomayaṃ kāyaṃ upapajjatī’’ti (cūḷava. 333) vuttaṭṭhāne manena nibbattitakāyo manomayakāyo nāma jāto. Ayamidha adhippeto. Tattha aññe bhikkhū manomayaṃ kāyaṃ nibbattentā tayo vā cattāro vā nibbattenti, na bahuke. Ekasadiseyeva ca katvā nibbattenti ekavidhameva kammaṃ kurumāne. Cūḷapanthakatthero pana ekāvajjanena samaṇasahassaṃ māpesi. Dvepi ca jane na ekasadise akāsi na ekavidhaṃ kammaṃ kurumāne. Tasmā manomayaṃ kāyaṃ abhinimminantānaṃ aggo nāma jāto.

    เจโตวิวฎฺฎกุสลานมฺปิ จูฬปนฺถโกว อโคฺค, สญฺญาวิวฎฺฎกุสลานํ ปน มหาปนฺถกเตฺถโร อโคฺคติ วุโตฺตฯ ตตฺถ จูฬปนฺถกเตฺถโร จตุนฺนํ รูปาวจรชฺฌานานํ ลาภิตาย ‘‘เจโตวิวฎฺฎกุสโล’’ติ วุโตฺต, มหาปนฺถกเตฺถโร จตุนฺนํ อรูปาวจรชฺฌานานํ ลาภิตาย ‘‘สญฺญาวิวฎฺฎกุสโล’’ติ วุโตฺตฯ จูฬปนฺถโก จ สมาธิกุสลตาย เจโตวิวฎฺฎกุสโล นาม, มหาปนฺถโก วิปสฺสนากุสลตาย สญฺญาวิวฎฺฎกุสโล นามฯ เอโก เจตฺถ สมาธิลกฺขเณ เฉโก, เอโก วิปสฺสนาลกฺขเณฯ ตถา เอโก สมาธิคาโฬฺห, เอโก วิปสฺสนาคาโฬฺหฯ เอโก เจตฺถ องฺคสํขิเตฺต เฉโก, เอโก อารมฺมณสํขิเตฺตฯ ตถา เอโก องฺคววตฺถาเน เฉโก, เอโก อารมฺมณววตฺถาเนติ เอวเมตฺถ โยชนา กาตพฺพาฯ

    Cetovivaṭṭakusalānampi cūḷapanthakova aggo, saññāvivaṭṭakusalānaṃ pana mahāpanthakatthero aggoti vutto. Tattha cūḷapanthakatthero catunnaṃ rūpāvacarajjhānānaṃ lābhitāya ‘‘cetovivaṭṭakusalo’’ti vutto, mahāpanthakatthero catunnaṃ arūpāvacarajjhānānaṃ lābhitāya ‘‘saññāvivaṭṭakusalo’’ti vutto. Cūḷapanthako ca samādhikusalatāya cetovivaṭṭakusalo nāma, mahāpanthako vipassanākusalatāya saññāvivaṭṭakusalo nāma. Eko cettha samādhilakkhaṇe cheko, eko vipassanālakkhaṇe. Tathā eko samādhigāḷho, eko vipassanāgāḷho. Eko cettha aṅgasaṃkhitte cheko, eko ārammaṇasaṃkhitte. Tathā eko aṅgavavatthāne cheko, eko ārammaṇavavatthāneti evamettha yojanā kātabbā.

    อปิจ จูฬปนฺถกเตฺถโร รูปาวจรชฺฌานลาภี หุตฺวา ฌานเงฺคหิ วุฎฺฐาย อรหตฺตํ ปโตฺตติ เจโตวิวฎฺฎกุสโล, มหาปนฺถโก อรูปาวจรชฺฌานลาภี หุตฺวา ฌานเงฺคหิ วุฎฺฐาย อรหตฺตํ ปโตฺตติ สญฺญาวิวฎฺฎกุสโลฯ อุโภปิ ปเนฺถ ชาตตฺตา ปนฺถกา นาม ชาตาฯ เตสํ ปฐมชาโต มหาปนฺถโก นาม, ปจฺฉาชาโต จูฬปนฺถโก นามฯ

    Apica cūḷapanthakatthero rūpāvacarajjhānalābhī hutvā jhānaṅgehi vuṭṭhāya arahattaṃ pattoti cetovivaṭṭakusalo, mahāpanthako arūpāvacarajjhānalābhī hutvā jhānaṅgehi vuṭṭhāya arahattaṃ pattoti saññāvivaṭṭakusalo. Ubhopi panthe jātattā panthakā nāma jātā. Tesaṃ paṭhamajāto mahāpanthako nāma, pacchājāto cūḷapanthako nāma.

    อิเมสํ ปน อุภินฺนมฺปิ ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อตีเต กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนครวาสิโน เทฺว ภาติกา กุฎุมฺพิกา สทฺธา ปสนฺนา นิพทฺธํ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุณนฺติฯ เตสุ เอกทิวสํ กนิโฎฺฐ สตฺถารํ ทฺวีหเงฺคหิ สมนฺนาคตํ เอกํ ภิกฺขุํ ‘‘มม สาสเน มโนมยํ กายํ อภินิมฺมินนฺตานํ เจโตวิวฎฺฎกุสลานญฺจ อยํ ภิกฺขุ อโคฺค’’ติ เอตทคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มหา วตายํ ภิกฺขุ เอโก หุตฺวา เทฺว องฺคานิ ปริปูเรตฺวา จรติ, มยาปิ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน องฺคทฺวยปูรเกน หุตฺวา วิจริตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส ปุริมนเยเนว สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา เอวมาห – ‘‘ยํ, ภเนฺต, ภิกฺขุํ ตุเมฺห อิโต สตฺตทิวสมตฺถเก มโนมยเงฺคน จ เจโตวิวฎฺฎกุสลเงฺคน จ ‘อยํ มม สาสเน อโคฺค’ติ เอตทเคฺค ฐปยิตฺถ, อหมฺปิ อิมสฺส อธิการกมฺมสฺส ผเลน โส ภิกฺขุ วิย องฺคทฺวยปูรโก ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ

    Imesaṃ pana ubhinnampi pañhakamme ayamanupubbikathā – atīte kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagaravāsino dve bhātikā kuṭumbikā saddhā pasannā nibaddhaṃ satthu santikaṃ gantvā dhammaṃ suṇanti. Tesu ekadivasaṃ kaniṭṭho satthāraṃ dvīhaṅgehi samannāgataṃ ekaṃ bhikkhuṃ ‘‘mama sāsane manomayaṃ kāyaṃ abhinimminantānaṃ cetovivaṭṭakusalānañca ayaṃ bhikkhu aggo’’ti etadaggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā cintesi – ‘‘mahā vatāyaṃ bhikkhu eko hutvā dve aṅgāni paripūretvā carati, mayāpi anāgate ekassa buddhassa sāsane aṅgadvayapūrakena hutvā vicarituṃ vaṭṭatī’’ti. So purimanayeneva satthāraṃ nimantetvā sattāhaṃ mahādānaṃ datvā evamāha – ‘‘yaṃ, bhante, bhikkhuṃ tumhe ito sattadivasamatthake manomayaṅgena ca cetovivaṭṭakusalaṅgena ca ‘ayaṃ mama sāsane aggo’ti etadagge ṭhapayittha, ahampi imassa adhikārakammassa phalena so bhikkhu viya aṅgadvayapūrako bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi.

    สตฺถา อนาคตํ โอโลเกตฺวา อนนฺตราเยนสฺส ปตฺถนาย สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา ‘‘อนาคเต กปฺปสตสหสฺสาวสาเน โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, โส ตํ อิมสฺมิํ ฐานทฺวเย ฐเปสฺสตี’’ติ พฺยากริตฺวา อนุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ ภาตาปิสฺส เอกทิวสํ สตฺถารํ สญฺญาวิวฎฺฎกุสลํ ภิกฺขุํ เอตทคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ตเถว อธิการํ กตฺวา ปตฺถนํ อกาสิ, สตฺถาปิ ตํ พฺยากาสิฯ

    Satthā anāgataṃ oloketvā anantarāyenassa patthanāya samijjhanabhāvaṃ disvā ‘‘anāgate kappasatasahassāvasāne gotamo nāma buddho uppajjissati, so taṃ imasmiṃ ṭhānadvaye ṭhapessatī’’ti byākaritvā anumodanaṃ katvā pakkāmi. Bhātāpissa ekadivasaṃ satthāraṃ saññāvivaṭṭakusalaṃ bhikkhuṃ etadaggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā tatheva adhikāraṃ katvā patthanaṃ akāsi, satthāpi taṃ byākāsi.

    เต อุโภปิ ชนา สตฺถริ ธรมาเน กุสลกมฺมํ กริตฺวา สตฺถุ ปรินิพฺพุตกาเล สรีรเจติเย สุวณฺณปูชํ กตฺวา ตโต จุตา เทวโลเก นิพฺพตฺตาฯ เตสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสรนฺตานํเยว กปฺปสตสหสฺสํ อติกฺกนฺตํฯ ตตฺถ มหาปนฺถกสฺส อนฺตรา กตกลฺยาณกมฺมํ น กถิยติ, จูฬปนฺถโก ปน กสฺสปภควโต สาสเน ปพฺพชิตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ โอทาตกสิณกมฺมํ กตฺวา เทวปุเร นิพฺพตฺติฯ อถ อมฺหากํ สตฺถา อภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก ราชคหํ อุปนิสฺสาย เวฬุวนมหาวิหาเร ปฎิวสติฯ

    Te ubhopi janā satthari dharamāne kusalakammaṃ karitvā satthu parinibbutakāle sarīracetiye suvaṇṇapūjaṃ katvā tato cutā devaloke nibbattā. Tesaṃ devamanussesu saṃsarantānaṃyeva kappasatasahassaṃ atikkantaṃ. Tattha mahāpanthakassa antarā katakalyāṇakammaṃ na kathiyati, cūḷapanthako pana kassapabhagavato sāsane pabbajitvā vīsati vassasahassāni odātakasiṇakammaṃ katvā devapure nibbatti. Atha amhākaṃ satthā abhisambodhiṃ patvā pavattitavaradhammacakko rājagahaṃ upanissāya veḷuvanamahāvihāre paṭivasati.

    อิมสฺมิํ ฐาเน ฐตฺวา อิเมสํ ทฺวินฺนํ นิพฺพตฺติํ กเถตุํ วฎฺฎติฯ ราชคเห กิร ธนเสฎฺฐิกุลสฺส ธีตา อตฺตโน ทาเสเนว สทฺธิํ สนฺถวํ กตฺวา ‘‘อเญฺญปิ เม อิมํ กมฺมํ ชาเนยฺยุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา เอวมาห – ‘‘อเมฺหหิ อิมสฺมิํ ฐาเน วสิตุํ น สกฺกา, สเจ เม มาตาปิตโร อิมํ โทสํ ชานิสฺสนฺติ, ขณฺฑาขณฺฑํ กริสฺสนฺติ, วิเทสํ คนฺตฺวา วสิสฺสามา’’ติ หตฺถสารํ คเหตฺวา อคฺคทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา ‘‘ยตฺถ วา ตตฺถ วา อเญฺญหิ อชานนฎฺฐานํ คนฺตฺวา วสิสฺสามา’’ติ อุโภปิ อคมํสุฯ

    Imasmiṃ ṭhāne ṭhatvā imesaṃ dvinnaṃ nibbattiṃ kathetuṃ vaṭṭati. Rājagahe kira dhanaseṭṭhikulassa dhītā attano dāseneva saddhiṃ santhavaṃ katvā ‘‘aññepi me imaṃ kammaṃ jāneyyu’’nti cintetvā evamāha – ‘‘amhehi imasmiṃ ṭhāne vasituṃ na sakkā, sace me mātāpitaro imaṃ dosaṃ jānissanti, khaṇḍākhaṇḍaṃ karissanti, videsaṃ gantvā vasissāmā’’ti hatthasāraṃ gahetvā aggadvārena nikkhamitvā ‘‘yattha vā tattha vā aññehi ajānanaṭṭhānaṃ gantvā vasissāmā’’ti ubhopi agamaṃsu.

    เตสํ เอกสฺมิํ ฐาเน วสนฺตานํ สํวาสมนฺวาย ตสฺสา กุจฺฉิยํ คโพฺภ ปติฎฺฐาสิฯ สา คพฺภสฺส ปริปากํ อาคมฺม สามิเกน สทฺธิํ มเนฺตสิ – ‘‘คโพฺภ เม ปริปากํ คโต, ญาติมิตฺตาทิวิรหิเต ฐาเน คพฺภวุฎฺฐานํ นาม อุภินฺนมฺปิ อมฺหากํ ทุกฺขเมว, กุลเคหเมว คจฺฉามา’’ติฯ โส ‘‘อชฺช คจฺฉาม, เสฺว คจฺฉามา’’ติ ทิวเส อติกฺกมาเปสิฯ สา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ พาโล อตฺตโน โทสมหนฺตาย คนฺตุํ น อุสฺสหติ, มาตาปิตโร จ นาม เอกนฺตหิตา, อยํ คจฺฉตุ วา มา วา, มยา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ตสฺมิํ เคหา นิกฺขเนฺต สา เคเห ปริกฺขารํ ปฎิสาเมตฺวา อตฺตโน กุลฆรํ คตภาวํ อนนฺตรเคหวาสีนํ อาโรเจตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ

    Tesaṃ ekasmiṃ ṭhāne vasantānaṃ saṃvāsamanvāya tassā kucchiyaṃ gabbho patiṭṭhāsi. Sā gabbhassa paripākaṃ āgamma sāmikena saddhiṃ mantesi – ‘‘gabbho me paripākaṃ gato, ñātimittādivirahite ṭhāne gabbhavuṭṭhānaṃ nāma ubhinnampi amhākaṃ dukkhameva, kulagehameva gacchāmā’’ti. So ‘‘ajja gacchāma, sve gacchāmā’’ti divase atikkamāpesi. Sā cintesi – ‘‘ayaṃ bālo attano dosamahantāya gantuṃ na ussahati, mātāpitaro ca nāma ekantahitā, ayaṃ gacchatu vā mā vā, mayā gantuṃ vaṭṭatī’’ti. Tasmiṃ gehā nikkhante sā gehe parikkhāraṃ paṭisāmetvā attano kulagharaṃ gatabhāvaṃ anantaragehavāsīnaṃ ārocetvā maggaṃ paṭipajji.

    อถ โส ปุริโส ฆรํ อาคโต ตํ อทิสฺวา ปฎิวิสฺสเก ปุจฺฉิตฺวา ‘‘กุลฆรํ คตา’’ติ สุตฺวา เวเคน อนุพนฺธิตฺวา อนฺตรามเคฺค สมฺปาปุณิฯ ตสฺสาปิ ตเตฺถว คพฺภวุฎฺฐานํ อโหสิฯ โส ‘‘กิํ อิทํ ภเทฺท’’ติ ปุจฺฉิฯ สามิ เอโก ปุโตฺต ชาโตติฯ อิทานิ กิํ กริสฺสามาติ? ยสฺส อตฺถาย มยํ กุลฆรํ คจฺฉาม, ตํ กมฺมํ อนฺตราว นิปฺผนฺนํ, ตตฺถ คนฺตฺวา กิํ กริสฺสาม, นิวตฺตามาติ เทฺวปิ เอกจิตฺตา หุตฺวา นิวตฺติํสุฯ ตสฺส ทารกสฺส จ ปเนฺถ ชาตตฺตา ปนฺถโกติ นามํ อกํสุฯ ตสฺสา นจิรเสฺสว อปโรปิ คโพฺภ ปติฎฺฐหิฯ สพฺพํ ปุริมนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ ตสฺสปิ ทารกสฺส ปเนฺถ ชาตตฺตา ปฐมชาตสฺส มหาปนฺถโกติ นามํ กตฺวา ปจฺฉาชาตสฺส จูฬปนฺถโกติ นามํ อกํสุฯ

    Atha so puriso gharaṃ āgato taṃ adisvā paṭivissake pucchitvā ‘‘kulagharaṃ gatā’’ti sutvā vegena anubandhitvā antarāmagge sampāpuṇi. Tassāpi tattheva gabbhavuṭṭhānaṃ ahosi. So ‘‘kiṃ idaṃ bhadde’’ti pucchi. Sāmi eko putto jātoti. Idāni kiṃ karissāmāti? Yassa atthāya mayaṃ kulagharaṃ gacchāma, taṃ kammaṃ antarāva nipphannaṃ, tattha gantvā kiṃ karissāma, nivattāmāti dvepi ekacittā hutvā nivattiṃsu. Tassa dārakassa ca panthe jātattā panthakoti nāmaṃ akaṃsu. Tassā nacirasseva aparopi gabbho patiṭṭhahi. Sabbaṃ purimanayeneva vitthāretabbaṃ. Tassapi dārakassa panthe jātattā paṭhamajātassa mahāpanthakoti nāmaṃ katvā pacchājātassa cūḷapanthakoti nāmaṃ akaṃsu.

    เต เทฺวปิ ทารเก คเหตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คตาฯ เตสํ ตตฺถ วสนฺตานํ อยํ มหาปนฺถกทารโก อเญฺญ ทารกชเน ‘‘จูฬปิตา มหาปิตา อยฺยโก อยฺยิกา’’ติ วทเนฺต สุตฺวา มาตรํ ปฎิปุจฺฉิ – ‘‘อมฺม, อเญฺญ ทารกา กเถนฺติ ‘อยฺยโก อยฺยิกา’ติ, กิํ อมฺหากํ ญาตกา นตฺถี’’ติ? อาม, ตาต, ตุมฺหากํ เอตฺถ ญาตกา นตฺถิ, ราชคหนคเร ปน โว ธนเสฎฺฐิ นาม อยฺยโก, ตตฺถ ตุมฺหากํ พหู ญาตกาติฯ กสฺมา ตตฺถ น คจฺฉถ อมฺมาติ? สา อตฺตโน อคมนการณํ ปุตฺตสฺส อกเถตฺวา ปุเตฺตสุ ปุนปฺปุนํ กเถเนฺตสุ สามิกมาห – ‘‘อิเม ทารกา อติวิย มํ กิลเมนฺติ, กิํ โน มาตาปิตโร ทิสฺวา มํสํ ขาทิสฺสนฺติ, เอหิ ทารกานํ อยฺยกกุลํ ทเสฺสมา’’ติฯ อหํ สมฺมุขา ภวิตุํ น สกฺขิสฺสามิ, ตํ ปน นยิสฺสามีติฯ ‘‘สาธุ สามิ, เยน เกนจิ อุปาเยน ทารกานํ อยฺยกกุลเมว ทฎฺฐุํ วฎฺฎตี’’ติ เทฺวปิ ชนา ทารเก อาทาย อนุปุเพฺพน ราชคหํ ปตฺวา นครทฺวาเร เอกิสฺสา สาลาย นิวาสํ กตฺวา ทารกมาตา เทฺว ทารเก คเหตฺวา อาคตภาวํ มาตาปิตูนํ อาโรจาเปสิฯ

    Te dvepi dārake gahetvā attano vasanaṭṭhānameva gatā. Tesaṃ tattha vasantānaṃ ayaṃ mahāpanthakadārako aññe dārakajane ‘‘cūḷapitā mahāpitā ayyako ayyikā’’ti vadante sutvā mātaraṃ paṭipucchi – ‘‘amma, aññe dārakā kathenti ‘ayyako ayyikā’ti, kiṃ amhākaṃ ñātakā natthī’’ti? Āma, tāta, tumhākaṃ ettha ñātakā natthi, rājagahanagare pana vo dhanaseṭṭhi nāma ayyako, tattha tumhākaṃ bahū ñātakāti. Kasmā tattha na gacchatha ammāti? Sā attano agamanakāraṇaṃ puttassa akathetvā puttesu punappunaṃ kathentesu sāmikamāha – ‘‘ime dārakā ativiya maṃ kilamenti, kiṃ no mātāpitaro disvā maṃsaṃ khādissanti, ehi dārakānaṃ ayyakakulaṃ dassemā’’ti. Ahaṃ sammukhā bhavituṃ na sakkhissāmi, taṃ pana nayissāmīti. ‘‘Sādhu sāmi, yena kenaci upāyena dārakānaṃ ayyakakulameva daṭṭhuṃ vaṭṭatī’’ti dvepi janā dārake ādāya anupubbena rājagahaṃ patvā nagaradvāre ekissā sālāya nivāsaṃ katvā dārakamātā dve dārake gahetvā āgatabhāvaṃ mātāpitūnaṃ ārocāpesi.

    เต ตํ สาสนํ สุตฺวา สํสาเร สํสรนฺตานํ น ปุโตฺต น ธีตา นาม นตฺถิ, เต อมฺหากํ มหาปราธิกา, น สกฺกา เตหิ อมฺหากํ จกฺขุปเถ ฐาตุํฯ เอตฺตกํ ปน ธนํ คเหตฺวา เทฺวปิ ชนา ผาสุกฎฺฐานํ คนฺตฺวา ชีวนฺตุ, ทารเก ปน อิธ เปเสนฺตูติฯ เสฎฺฐิธีตา มาตาปิตูหิ เปสิตํ ธนํ คเหตฺวา ทารเก อาคตทูตานํ หเตฺถเยว ทตฺวา เปเสสิ ฯ ทารกา อยฺยกกุเล วฑฺฒนฺติฯ เตสุ จูฬปนฺถโก อติทหโร, มหาปนฺถโก ปน อยฺยเกน สทฺธิํ ทสพลสฺส ธมฺมกถํ โสตุํ คจฺฉติฯ ตสฺส นิจฺจํ สตฺถุ สมฺมุเข ธมฺมํ สุณนฺตสฺส ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ นมิฯ โส อยฺยกํ อาห – ‘‘สเจ ตุเมฺห อนุชาเนยฺยาถ, อหํ ปพฺพเชฺชยฺย’’นฺติฯ ‘‘กิํ วเทสิ, ตาต, มยฺหํ สกลโลกสฺสปิ ปพฺพชฺชโต ตเวว ปพฺพชฺชา ภทฺทิกาฯ สเจ สโกฺกสิ, ปพฺพช, ตาตา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คโตฯ สตฺถา ‘‘กิํ, มหาเสฎฺฐิ, ทารโก เต ลโทฺธ’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต, อยํ ทารโก มยฺหํ นตฺตา, ตุมฺหากํ สนฺติเก ปพฺพชามีติ วทตี’’ติ อาหฯ

    Te taṃ sāsanaṃ sutvā saṃsāre saṃsarantānaṃ na putto na dhītā nāma natthi, te amhākaṃ mahāparādhikā, na sakkā tehi amhākaṃ cakkhupathe ṭhātuṃ. Ettakaṃ pana dhanaṃ gahetvā dvepi janā phāsukaṭṭhānaṃ gantvā jīvantu, dārake pana idha pesentūti. Seṭṭhidhītā mātāpitūhi pesitaṃ dhanaṃ gahetvā dārake āgatadūtānaṃ hattheyeva datvā pesesi . Dārakā ayyakakule vaḍḍhanti. Tesu cūḷapanthako atidaharo, mahāpanthako pana ayyakena saddhiṃ dasabalassa dhammakathaṃ sotuṃ gacchati. Tassa niccaṃ satthu sammukhe dhammaṃ suṇantassa pabbajjāya cittaṃ nami. So ayyakaṃ āha – ‘‘sace tumhe anujāneyyātha, ahaṃ pabbajjeyya’’nti. ‘‘Kiṃ vadesi, tāta, mayhaṃ sakalalokassapi pabbajjato taveva pabbajjā bhaddikā. Sace sakkosi, pabbaja, tātā’’ti sampaṭicchitvā satthu santikaṃ gato. Satthā ‘‘kiṃ, mahāseṭṭhi, dārako te laddho’’ti? ‘‘Āma, bhante, ayaṃ dārako mayhaṃ nattā, tumhākaṃ santike pabbajāmīti vadatī’’ti āha.

    สตฺถา อญฺญตรํ ปิณฺฑจาริกํ ‘‘อิมํ ทารกํ ปพฺพาเชหี’’ติ อาณาเปสิฯ เถโร ตสฺส ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิตฺวา ปพฺพาเชสิฯ โส พหุํ พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา ปริปุณฺณวโสฺส อุปสมฺปทํ ลภิฯ อุปสมฺปโนฺน หุตฺวา โยนิโสมนสิกาเร กมฺมํ กโรโนฺต จตุนฺนํ อรูปาวจรชฺฌานานํ ลาภี หุตฺวา ฌานเงฺคหิ วุฎฺฐาย อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อิติ โส สญฺญาวิวฎฺฎกุสลานํ อโคฺค ชาโตฯ โส ฌานสุเขน ผลสุเขน วีตินาเมโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘สกฺกา นุ โข อิมํ สุขํ จูฬปนฺถกสฺส ทาตุ’’นฺติฯ ตโต อยฺยกเสฎฺฐิสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘มหาเสฎฺฐิ สเจ ตุเมฺห สมฺปฎิจฺฉถ, อหํ จูฬปนฺถกํ ปพฺพาเชยฺย’’นฺติ อาหฯ ปพฺพาเชถ, ภเนฺตติ ฯ เถโร จูฬปนฺถกทารกํ ปพฺพาเชตฺวา ทสสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาเปสิฯ จูฬปนฺถกสามเณโร ภาติกสฺส สนฺติเกฯ

    Satthā aññataraṃ piṇḍacārikaṃ ‘‘imaṃ dārakaṃ pabbājehī’’ti āṇāpesi. Thero tassa tacapañcakakammaṭṭhānaṃ ācikkhitvā pabbājesi. So bahuṃ buddhavacanaṃ uggaṇhitvā paripuṇṇavasso upasampadaṃ labhi. Upasampanno hutvā yonisomanasikāre kammaṃ karonto catunnaṃ arūpāvacarajjhānānaṃ lābhī hutvā jhānaṅgehi vuṭṭhāya arahattaṃ pāpuṇi. Iti so saññāvivaṭṭakusalānaṃ aggo jāto. So jhānasukhena phalasukhena vītināmento cintesi – ‘‘sakkā nu kho imaṃ sukhaṃ cūḷapanthakassa dātu’’nti. Tato ayyakaseṭṭhissa santikaṃ gantvā ‘‘mahāseṭṭhi sace tumhe sampaṭicchatha, ahaṃ cūḷapanthakaṃ pabbājeyya’’nti āha. Pabbājetha, bhanteti . Thero cūḷapanthakadārakaṃ pabbājetvā dasasu sīlesu patiṭṭhāpesi. Cūḷapanthakasāmaṇero bhātikassa santike.

    ‘‘ปทุมํ ยถา โกกนทํ สุคนฺธํ,

    ‘‘Padumaṃ yathā kokanadaṃ sugandhaṃ,

    ปาโต สิยา ผุลฺลมวีตคนฺธํ;

    Pāto siyā phullamavītagandhaṃ;

    องฺคีรสํ ปสฺส วิโรจมานํ,

    Aṅgīrasaṃ passa virocamānaṃ,

    ตปนฺตมาทิจฺจมิวนฺตลิเกฺข’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๒๓; อ. นิ. ๕.๑๙๕) –

    Tapantamādiccamivantalikkhe’’ti. (saṃ. ni. 1.123; a. ni. 5.195) –

    อิมํ คาถํ คณฺหาติฯ คหิตคหิตปทํ อุปรูปริปทํ คณฺหนฺตสฺส นสฺสติฯ ตสฺส อิมํ คาถํ คเหตุํ วายมนฺตเสฺสว จตฺตาโร มาสา อติกฺกนฺตาฯ อถ นํ มหาปนฺถโก อาห – ‘‘จูฬปนฺถก, ตฺวํ อิมสฺมิํ สาสเน อภโพฺพ, จตูหิ มาเสหิ เอกคาถมฺปิ คเหตุํ น สโกฺกสิ, ปพฺพชิตกิจฺจํ ปน ตฺวํ กถํ มตฺถกํ ปาเปสฺสสิ, นิกฺขม อิโต’’ติฯ โส เถเรน ปณามิโต วิหารปจฺจเนฺต โรทมาโน อฎฺฐาสิฯ

    Imaṃ gāthaṃ gaṇhāti. Gahitagahitapadaṃ uparūparipadaṃ gaṇhantassa nassati. Tassa imaṃ gāthaṃ gahetuṃ vāyamantasseva cattāro māsā atikkantā. Atha naṃ mahāpanthako āha – ‘‘cūḷapanthaka, tvaṃ imasmiṃ sāsane abhabbo, catūhi māsehi ekagāthampi gahetuṃ na sakkosi, pabbajitakiccaṃ pana tvaṃ kathaṃ matthakaṃ pāpessasi, nikkhama ito’’ti. So therena paṇāmito vihārapaccante rodamāno aṭṭhāsi.

    เตน สมเยน สตฺถา ราชคหํ อุปนิสฺสาย ชีวกมฺพวเน วิหรติฯ ตสฺมิํ สมเย ชีวโก ปุริสํ เปเสสิ ‘‘ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ สตฺถารํ นิมเนฺตหี’’ติฯ เตน โข ปน สมเยน มหาปนฺถโก ภตฺตุเทฺทสโก โหติฯ โส ‘‘ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ ภิกฺขํ สมฺปฎิจฺฉถ, ภเนฺต’’ติ วุโตฺต ‘‘จูฬปนฺถกํ ฐเปตฺวา เสสานํ สมฺปฎิจฺฉามี’’ติ อาหฯ จูฬปนฺถโก ตํ กถํ สุตฺวา ภิโยฺยโสมตฺตาย โทมนสฺสปฺปโตฺต อโหสิฯ สตฺถา จูฬปนฺถกสฺส เขทํ ทิสฺวา ‘‘จูฬปนฺถโก มยิ คเต พุชฺฌิสฺสตี’’ติ คนฺตฺวา อวิทูเร ฐาเน อตฺตานํ ทเสฺสตฺวา ‘‘กิํ ตฺวํ, ปนฺถก, โรทสี’’ติ อาหฯ ภาตา มํ, ภเนฺต, ปณาเมตีติฯ ปนฺถก, ตุยฺหํ ภาติกสฺส ปรปุคฺคลานํ อาสยานุสยญาณํ นตฺถิ, ตฺวํ พุทฺธเวเนยฺยปุคฺคโล นามาติ อิทฺธิยา อภิสงฺขริตฺวา สุทฺธํ โจฬขณฺฑํ อทาสิ ‘‘อิมํ คเหตฺวา ‘รโชหรณํ รโชหรณ’นฺติ วตฺวา ภาเวหิ ปนฺถกา’’ติฯ

    Tena samayena satthā rājagahaṃ upanissāya jīvakambavane viharati. Tasmiṃ samaye jīvako purisaṃ pesesi ‘‘pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ satthāraṃ nimantehī’’ti. Tena kho pana samayena mahāpanthako bhattuddesako hoti. So ‘‘pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ bhikkhaṃ sampaṭicchatha, bhante’’ti vutto ‘‘cūḷapanthakaṃ ṭhapetvā sesānaṃ sampaṭicchāmī’’ti āha. Cūḷapanthako taṃ kathaṃ sutvā bhiyyosomattāya domanassappatto ahosi. Satthā cūḷapanthakassa khedaṃ disvā ‘‘cūḷapanthako mayi gate bujjhissatī’’ti gantvā avidūre ṭhāne attānaṃ dassetvā ‘‘kiṃ tvaṃ, panthaka, rodasī’’ti āha. Bhātā maṃ, bhante, paṇāmetīti. Panthaka, tuyhaṃ bhātikassa parapuggalānaṃ āsayānusayañāṇaṃ natthi, tvaṃ buddhaveneyyapuggalo nāmāti iddhiyā abhisaṅkharitvā suddhaṃ coḷakhaṇḍaṃ adāsi ‘‘imaṃ gahetvā ‘rajoharaṇaṃ rajoharaṇa’nti vatvā bhāvehi panthakā’’ti.

    โส สตฺถารา ทินฺนํ โจฬขณฺฑํ ‘‘รโชหรณํ รโชหรณ’’นฺติ หเตฺถน ปริมชฺชโนฺต นิสีทิฯ ตสฺส ปริมชฺชนฺตสฺส โลมานิ กิลิฎฺฐธาตุกานิ ชาตานิฯ ปุน ปริมชฺชนฺตสฺส อุกฺขลิปริปุญฺฉนสทิสํ ชาตํฯ โส ญาณปริปากํ อาคมฺม ตตฺถ ขยวยํ ปฎฺฐเปตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อิทํ โจฬขณฺฑํ ปกติยา ปณฺฑรํ ปริสุทฺธํ, อุปาทินฺนกสรีรํ นิสฺสาย กิลิฎฺฐํ ชาตํ, อิทํ จิตฺตมฺปิ เอวํคติกเมวา’’ติฯ สมาธิํ ภาเวตฺวา จตฺตาริ รูปาวจรชฺฌานานิ ปาทกานิ กตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ โส มโนมยชฺฌานลาภี หุตฺวา เอโก หุตฺวา พหุธา, พหุธา หุตฺวา เอโก ภวิตุํ สมโตฺถ อโหสิฯ อรหตฺตมเคฺคเนว จสฺส เตปิฎกญฺจ ฉ อภิญฺญา จ อาคมิํสุฯ

    So satthārā dinnaṃ coḷakhaṇḍaṃ ‘‘rajoharaṇaṃ rajoharaṇa’’nti hatthena parimajjanto nisīdi. Tassa parimajjantassa lomāni kiliṭṭhadhātukāni jātāni. Puna parimajjantassa ukkhaliparipuñchanasadisaṃ jātaṃ. So ñāṇaparipākaṃ āgamma tattha khayavayaṃ paṭṭhapetvā cintesi – ‘‘idaṃ coḷakhaṇḍaṃ pakatiyā paṇḍaraṃ parisuddhaṃ, upādinnakasarīraṃ nissāya kiliṭṭhaṃ jātaṃ, idaṃ cittampi evaṃgatikamevā’’ti. Samādhiṃ bhāvetvā cattāri rūpāvacarajjhānāni pādakāni katvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. So manomayajjhānalābhī hutvā eko hutvā bahudhā, bahudhā hutvā eko bhavituṃ samattho ahosi. Arahattamaggeneva cassa tepiṭakañca cha abhiññā ca āgamiṃsu.

    ปุนทิวเส สตฺถา เอกูเนหิ ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ คนฺตฺวา ชีวกสฺส นิเวสเน นิสีทิฯ จูฬปนฺถโก ปน อตฺตโน ภิกฺขาย อสมฺปฎิจฺฉิตตฺตาเยว น คโตฯ ชีวโก ยาคุํ ทาตุํ อารภิ, สตฺถา หเตฺถน ปตฺตํ ปิทหิฯ กสฺมา, ภเนฺต, น คณฺหถาติ? วิหาเร เอโก ภิกฺขุ อตฺถิ ชีวกาติ ฯ โส ปุริสํ ปหิณิ ‘‘คจฺฉ, ภเณ, วิหาเร นิสินฺนํ อยฺยํ คเหตฺวา เอหี’’ติฯ จูฬปนฺถกเตฺถโรปิ ตสฺส ปุริสสฺส ปุเร อาคมนาเยว ภิกฺขุสหสฺสํ นิมฺมินิตฺวา เอกมฺปิ เอเกน อสทิสํ, เอกสฺสปิ จ จีวรวิจารณาทิสมณกมฺมํ อเญฺญน อสทิสํ อกาสิฯ โส ปุริโส วิหาเร ภิกฺขูนํ พหุภาวํ ทิสฺวา คนฺตฺวา ชีวกสฺส กเถสิ – ‘‘ภเนฺต, อิมสฺมิํ วิหาเร ภิกฺขุสโงฺฆ พหุตโร, ตโต ปโกฺกสิตพฺพํ ภทนฺตํ น ชานามี’’ติฯ ชีวโก สตฺถารํ ปฎิปุจฺฉิ – ‘‘โกนาโม, ภเนฺต, วิหาเร นิสินฺนภิกฺขู’’ติ? จูฬปนฺถโก นาม ชีวกาติฯ คจฺฉ โภ ‘‘จูฬปนฺถโก นาม กตโร’’ติ ปุจฺฉิตฺวา อาเนหีติฯ โส วิหารํ คนฺตฺวา ‘‘จูฬปนฺถโก นาม, ภเนฺต, กตโร’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อหํ จูฬปนฺถโก อหํ จูฬปนฺถโก’’ติ ภิกฺขุสหสฺสมฺปิ กเถสิฯ โส ปุนาคนฺตฺวา ชีวกสฺส กเถสิ ‘‘สหสฺสมตฺตา ภิกฺขู สเพฺพปิ ‘อหํ จูฬปนฺถโก อหํ จูฬปนฺถโก’ติ กเถนฺติ, อหํ ‘อสุโก นาม ปโกฺกสิตโพฺพ’ติ น ชานามี’’ติฯ ชีวโกปิ ปฎิวิทฺธสจฺจตาย ‘‘อิทฺธิมา ภิกฺขู’’ติ นยโต ญตฺวา ‘‘ปฐมํ กถนภิกฺขุเมว ‘ตุเมฺห สตฺถา ปโกฺกสตี’ติ วตฺวา จีวรกเณฺณ คณฺห ตาตา’’ติ อาหฯ โส วิหารํ คนฺตฺวา ตถา อกาสิ, ตาวเทว สหสฺสมตฺตา ภิกฺขู อนฺตรธายิํสุฯ โส เถรํ คเหตฺวา อคมาสิฯ สตฺถา ตสฺมิํ ขเณ ยาคุํ คณฺหิฯ

    Punadivase satthā ekūnehi pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ gantvā jīvakassa nivesane nisīdi. Cūḷapanthako pana attano bhikkhāya asampaṭicchitattāyeva na gato. Jīvako yāguṃ dātuṃ ārabhi, satthā hatthena pattaṃ pidahi. Kasmā, bhante, na gaṇhathāti? Vihāre eko bhikkhu atthi jīvakāti . So purisaṃ pahiṇi ‘‘gaccha, bhaṇe, vihāre nisinnaṃ ayyaṃ gahetvā ehī’’ti. Cūḷapanthakattheropi tassa purisassa pure āgamanāyeva bhikkhusahassaṃ nimminitvā ekampi ekena asadisaṃ, ekassapi ca cīvaravicāraṇādisamaṇakammaṃ aññena asadisaṃ akāsi. So puriso vihāre bhikkhūnaṃ bahubhāvaṃ disvā gantvā jīvakassa kathesi – ‘‘bhante, imasmiṃ vihāre bhikkhusaṅgho bahutaro, tato pakkositabbaṃ bhadantaṃ na jānāmī’’ti. Jīvako satthāraṃ paṭipucchi – ‘‘konāmo, bhante, vihāre nisinnabhikkhū’’ti? Cūḷapanthako nāma jīvakāti. Gaccha bho ‘‘cūḷapanthako nāma kataro’’ti pucchitvā ānehīti. So vihāraṃ gantvā ‘‘cūḷapanthako nāma, bhante, kataro’’ti pucchi. ‘‘Ahaṃ cūḷapanthako ahaṃ cūḷapanthako’’ti bhikkhusahassampi kathesi. So punāgantvā jīvakassa kathesi ‘‘sahassamattā bhikkhū sabbepi ‘ahaṃ cūḷapanthako ahaṃ cūḷapanthako’ti kathenti, ahaṃ ‘asuko nāma pakkositabbo’ti na jānāmī’’ti. Jīvakopi paṭividdhasaccatāya ‘‘iddhimā bhikkhū’’ti nayato ñatvā ‘‘paṭhamaṃ kathanabhikkhumeva ‘tumhe satthā pakkosatī’ti vatvā cīvarakaṇṇe gaṇha tātā’’ti āha. So vihāraṃ gantvā tathā akāsi, tāvadeva sahassamattā bhikkhū antaradhāyiṃsu. So theraṃ gahetvā agamāsi. Satthā tasmiṃ khaṇe yāguṃ gaṇhi.

    ทสพเล ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา วิหารํ คเต ธมฺมสภายํ กถา อุทปาทิ ‘‘ยาว มหนฺตา วต พุทฺธา นาม จตฺตาโร มาเส เอกคาถํ คณฺหิตุํ อสโกฺกนฺตํ ภิกฺขุํ เอวํมหิทฺธิกํ อกํสู’’ติฯ สตฺถา เตสํ ภิกฺขูนํ จิตฺตาจารํ ญตฺวา คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสชฺช ‘‘กิํ วเทถ, ภิกฺขเว’’ติ ปุจฺฉิฯ น ภควา อญฺญํ กิญฺจิ กเถม, จูฬปนฺถเกน ตุมฺหากํ สนฺติกา มหาลาโภ ลโทฺธติ ตุมฺหากํเยว คุณํ กเถมาติฯ อนจฺฉริยํ, ภิกฺขเว, อิทานิ มยฺหํ โอวาทํ กตฺวา โลกุตฺตรทายชฺชลาโภ, อยํ อตีเตปิ อปริปกฺกญาเณ ฐิตสฺส มยฺหํ โอวาทํ กตฺวา โลกิยทายชฺชํ ลภีติฯ ภิกฺขู ‘‘กทา, ภเนฺต’’ติ อายาจิํสุฯ สตฺถา เตสํ ภิกฺขูนํ อตีตํ อาหริตฺวา ทเสฺสสิฯ

    Dasabale bhattakiccaṃ katvā vihāraṃ gate dhammasabhāyaṃ kathā udapādi ‘‘yāva mahantā vata buddhā nāma cattāro māse ekagāthaṃ gaṇhituṃ asakkontaṃ bhikkhuṃ evaṃmahiddhikaṃ akaṃsū’’ti. Satthā tesaṃ bhikkhūnaṃ cittācāraṃ ñatvā gantvā paññattāsane nisajja ‘‘kiṃ vadetha, bhikkhave’’ti pucchi. Na bhagavā aññaṃ kiñci kathema, cūḷapanthakena tumhākaṃ santikā mahālābho laddhoti tumhākaṃyeva guṇaṃ kathemāti. Anacchariyaṃ, bhikkhave, idāni mayhaṃ ovādaṃ katvā lokuttaradāyajjalābho, ayaṃ atītepi aparipakkañāṇe ṭhitassa mayhaṃ ovādaṃ katvā lokiyadāyajjaṃ labhīti. Bhikkhū ‘‘kadā, bhante’’ti āyāciṃsu. Satthā tesaṃ bhikkhūnaṃ atītaṃ āharitvā dassesi.

    ภิกฺขเว, อตีเต พาราณสีนคเร พฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺมิํ สมเย จูฬกเสฎฺฐิ นาม ปณฺฑิโต พฺยโตฺต สพฺพนิมิตฺตานิ ชานาติฯ โส เอกทิวสํ ราชูปฎฺฐานํ คจฺฉโนฺต อนฺตรวีถิยํ มตมูสิกํ ทิสฺวา ตสฺมิํ ขเณ นกฺขตฺตํ สมาเนตฺวา อิทมาห – ‘‘สกฺกา จกฺขุมตา กุลปุเตฺตน อิมํ อุนฺทูรํ คเหตฺวา ทารภรณญฺจ กาตุํ กมฺมเนฺต จ ปโยเชตุ’’นฺติฯ อญฺญตโร ทุคฺคตกุลปุโตฺต ตํ เสฎฺฐิสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘นายํ อชานิตฺวา กเถสฺสตี’’ติ มูสิกํ คเหตฺวา เอกสฺมิํ อาปเณ พิฬารสฺสตฺถาย ทตฺวา กากณิกํ ลภิฯ ตาย กากณิกาย ผาณิตํ กิณิตฺวา เอเกน กุเฎน ปานียํ คณฺหิตฺวา อรญฺญโต อาคจฺฉเนฺต มาลากาเร ทิสฺวา โถกํ โถกํ ผาณิตขณฺฑํ ทตฺวา อุฬุเงฺกน ปานียํ อทาสิฯ เต ตสฺส เอเกกํ ปุปฺผมุฎฺฐิํ อทํสุฯ โส เตน ปุปฺผมูเลน ปุนทิวเสปิ ผาณิตญฺจ ปานียฆฎญฺจ คเหตฺวา ปุปฺผารามเมว คโตฯ ตสฺส ตํทิวสํ มาลาการา อฑฺฒโอจิตเก ปุปฺผคเจฺฉ ทตฺวา อคมํสุฯ โส นจิรเสฺสว อิมินา อุปาเยน อฎฺฐ กหาปเณ ลภิฯ

    Bhikkhave, atīte bārāṇasīnagare brahmadatto nāma rājā rajjaṃ kāresi. Tasmiṃ samaye cūḷakaseṭṭhi nāma paṇḍito byatto sabbanimittāni jānāti. So ekadivasaṃ rājūpaṭṭhānaṃ gacchanto antaravīthiyaṃ matamūsikaṃ disvā tasmiṃ khaṇe nakkhattaṃ samānetvā idamāha – ‘‘sakkā cakkhumatā kulaputtena imaṃ undūraṃ gahetvā dārabharaṇañca kātuṃ kammante ca payojetu’’nti. Aññataro duggatakulaputto taṃ seṭṭhissa vacanaṃ sutvā ‘‘nāyaṃ ajānitvā kathessatī’’ti mūsikaṃ gahetvā ekasmiṃ āpaṇe biḷārassatthāya datvā kākaṇikaṃ labhi. Tāya kākaṇikāya phāṇitaṃ kiṇitvā ekena kuṭena pānīyaṃ gaṇhitvā araññato āgacchante mālākāre disvā thokaṃ thokaṃ phāṇitakhaṇḍaṃ datvā uḷuṅkena pānīyaṃ adāsi. Te tassa ekekaṃ pupphamuṭṭhiṃ adaṃsu. So tena pupphamūlena punadivasepi phāṇitañca pānīyaghaṭañca gahetvā pupphārāmameva gato. Tassa taṃdivasaṃ mālākārā aḍḍhaocitake pupphagacche datvā agamaṃsu. So nacirasseva iminā upāyena aṭṭha kahāpaṇe labhi.

    ปุน เอกสฺมิํ วาตวุฎฺฐิทิวเส ฉฑฺฑิตอุยฺยานํ คนฺตฺวา ปติตทารูนํ ราสิํ กตฺวา นิสิโนฺน ราชกุมฺภการสฺส สนฺติกา โสฬส กหาปเณ ลภิฯ โส จตุวีสติยา กหาปเณสุ ชาเตสุ ‘‘อตฺถิ อยํ อุปาโย มยฺห’’นฺติ นครทฺวารโต อวิทูเร ฐาเน เอกํ ปานียจาฎิํ ฐเปตฺวา ปญฺจสเต ติณหารเก ปานีเยน อุปฎฺฐหิฯ เต อาหํสุ – ‘‘ตฺวํ, สมฺม, อมฺหากํ พหุปกาโร, กิํ เต กโรมา’’ติ? โสปิ ‘‘มยฺหํ กิเจฺจ อุปฺปเนฺน กริสฺสถา’’ติ วตฺวา อิโต จิโต จ วิจรโนฺต ถลปถกมฺมิเกน จ ชลปถกมฺมิเกน จ สทฺธิํ มิตฺตสนฺถวํ อกาสิฯ ตสฺส ถลปถกมฺมิโก ‘‘เสฺว อิมํ นครํ อสฺสวาณิชโก ปญฺจ อสฺสสตานิ คเหตฺวา อาคมิสฺสตี’’ติ อาจิกฺขิฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ติณหารกานํ สญฺญํ ทตฺวา เอเกกํ ติณกลาปํ ทิคุณํ กตฺวา อาหราเปสิฯ อถ โส อสฺสานํ นครํ ปวิฎฺฐเวลาย ติณกลาปสหสฺสํ อนฺตรทฺวาเร ราสิํ กตฺวา นิสีทิฯ อสฺสวาณิโช สกลนคเร อสฺสานํ จาริํ อลภิตฺวา ตสฺส สหสฺสํ ทตฺวา ตํ ติณํ คณฺหิฯ

    Puna ekasmiṃ vātavuṭṭhidivase chaḍḍitauyyānaṃ gantvā patitadārūnaṃ rāsiṃ katvā nisinno rājakumbhakārassa santikā soḷasa kahāpaṇe labhi. So catuvīsatiyā kahāpaṇesu jātesu ‘‘atthi ayaṃ upāyo mayha’’nti nagaradvārato avidūre ṭhāne ekaṃ pānīyacāṭiṃ ṭhapetvā pañcasate tiṇahārake pānīyena upaṭṭhahi. Te āhaṃsu – ‘‘tvaṃ, samma, amhākaṃ bahupakāro, kiṃ te karomā’’ti? Sopi ‘‘mayhaṃ kicce uppanne karissathā’’ti vatvā ito cito ca vicaranto thalapathakammikena ca jalapathakammikena ca saddhiṃ mittasanthavaṃ akāsi. Tassa thalapathakammiko ‘‘sve imaṃ nagaraṃ assavāṇijako pañca assasatāni gahetvā āgamissatī’’ti ācikkhi. So tassa vacanaṃ sutvā tiṇahārakānaṃ saññaṃ datvā ekekaṃ tiṇakalāpaṃ diguṇaṃ katvā āharāpesi. Atha so assānaṃ nagaraṃ paviṭṭhavelāya tiṇakalāpasahassaṃ antaradvāre rāsiṃ katvā nisīdi. Assavāṇijo sakalanagare assānaṃ cāriṃ alabhitvā tassa sahassaṃ datvā taṃ tiṇaṃ gaṇhi.

    ตโต กติปาหจฺจเยนสฺส สมุทฺทกมฺมิกสหายโก อาโรเจสิ ‘‘ปฎฺฎนํ มหานาวา อาคตา’’ติฯ โส ‘‘อตฺถิ อยํ อุปาโย’’ติ อฎฺฐหิ กหาปเณหิ สพฺพปริวารสมฺปนฺนํ ตาวกาลิกํ รถํ คเหตฺวา นาวาปฎฺฎนํ คนฺตฺวา เอกํ องฺคุลิมุทฺทิกํ นาวิกสฺส สจฺจการํ ทตฺวา อวิทูเร ฐาเน สาณิํ ปริกฺขิปาเปตฺวา ตตฺถ นิสิโนฺน ปุริเส อาณาเปสิ ‘‘พาหิรเกสุ วาณิเชสุ อาคเตสุ ตติเยน ปฎิหาเรน อาโรเจถา’’ติฯ ‘‘นาวา อาคตา’’ติ สุตฺวา พาราณสิโต สตมตฺตา วาณิชา ‘‘ภณฺฑํ คณฺหามา’’ติ อาคมํสุฯ ภณฺฑํ ตุเมฺห น ลภิสฺสถ, อสุกฎฺฐาเน นาม มหาวาณิเชน สจฺจกาโร ทิโนฺนติฯ เต เตสํ สุตฺวา ตสฺส สนฺติกํ อาคตา, ปาทมูลิกปุริสา ปุริมสญฺญาวเสน ตติเยน ปาฎิหาเรน เตสํ อาคตภาวํ อาโรเจสุํฯ เต สตมตฺตาปิ วาณิชา เอเกกํ สหสฺสํ ทตฺวา เตน สทฺธิํ นาวาย ปตฺติกา หุตฺวา ปุน เอเกกํ สหสฺสํ ทตฺวา ปตฺติํ วิสฺสชฺชาเปตฺวา ภณฺฑํ อตฺตโน สนฺตกํ อกํสุฯ โส ปุริโส เทฺว สตสหสฺสานิ คเหตฺวา พาราณสิํ อาคนฺตฺวา ‘‘กตญฺญุนา ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ เอกํ สตสหสฺสํ คเหตฺวา จูฬเสฎฺฐิสฺส สนฺติกํ คโตฯ

    Tato katipāhaccayenassa samuddakammikasahāyako ārocesi ‘‘paṭṭanaṃ mahānāvā āgatā’’ti. So ‘‘atthi ayaṃ upāyo’’ti aṭṭhahi kahāpaṇehi sabbaparivārasampannaṃ tāvakālikaṃ rathaṃ gahetvā nāvāpaṭṭanaṃ gantvā ekaṃ aṅgulimuddikaṃ nāvikassa saccakāraṃ datvā avidūre ṭhāne sāṇiṃ parikkhipāpetvā tattha nisinno purise āṇāpesi ‘‘bāhirakesu vāṇijesu āgatesu tatiyena paṭihārena ārocethā’’ti. ‘‘Nāvā āgatā’’ti sutvā bārāṇasito satamattā vāṇijā ‘‘bhaṇḍaṃ gaṇhāmā’’ti āgamaṃsu. Bhaṇḍaṃ tumhe na labhissatha, asukaṭṭhāne nāma mahāvāṇijena saccakāro dinnoti. Te tesaṃ sutvā tassa santikaṃ āgatā, pādamūlikapurisā purimasaññāvasena tatiyena pāṭihārena tesaṃ āgatabhāvaṃ ārocesuṃ. Te satamattāpi vāṇijā ekekaṃ sahassaṃ datvā tena saddhiṃ nāvāya pattikā hutvā puna ekekaṃ sahassaṃ datvā pattiṃ vissajjāpetvā bhaṇḍaṃ attano santakaṃ akaṃsu. So puriso dve satasahassāni gahetvā bārāṇasiṃ āgantvā ‘‘kataññunā bhavituṃ vaṭṭatī’’ti ekaṃ satasahassaṃ gahetvā cūḷaseṭṭhissa santikaṃ gato.

    อถ ตํ จูฬเสฎฺฐิ ‘‘กิํ เต, ตาต, กตฺวา อิทํ ธนํ ลทฺธ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘ตุเมฺหหิ กถิตอุปาเย ฐตฺวา จตุมาสพฺภนฺตเรเยว ลทฺธ’’นฺติ อาหฯ เสฎฺฐิ ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อิทานิ เอวรูปํ ทารกํ ปรสนฺตกํ กาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วยปฺปตฺตํ ธีตรํ ทตฺวา สกลกุฎุมฺพสฺส สามิกํ อกาสิฯ โสปิ กุลปุโตฺต เสฎฺฐิโน อจฺจเยน ตสฺมิํ นคเร เสฎฺฐิฎฺฐานํ คเหตฺวา ยาวตายุกํ ฐตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ สตฺถา เทฺว วตฺถูนิ กเถตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา อภิสมฺพุทฺธกาเล อิมํ คาถมาห –

    Atha taṃ cūḷaseṭṭhi ‘‘kiṃ te, tāta, katvā idaṃ dhanaṃ laddha’’nti pucchi. So ‘‘tumhehi kathitaupāye ṭhatvā catumāsabbhantareyeva laddha’’nti āha. Seṭṭhi tassa vacanaṃ sutvā ‘‘idāni evarūpaṃ dārakaṃ parasantakaṃ kātuṃ na vaṭṭatī’’ti vayappattaṃ dhītaraṃ datvā sakalakuṭumbassa sāmikaṃ akāsi. Sopi kulaputto seṭṭhino accayena tasmiṃ nagare seṭṭhiṭṭhānaṃ gahetvā yāvatāyukaṃ ṭhatvā yathākammaṃ gato. Satthā dve vatthūni kathetvā anusandhiṃ ghaṭetvā abhisambuddhakāle imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อปฺปเกนปิ เมธาวี, ปาภเตน วิจกฺขโณ;

    ‘‘Appakenapi medhāvī, pābhatena vicakkhaṇo;

    สมุฎฺฐาเปติ อตฺตานํ, อณุํ อคฺคิํว สนฺธม’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑.๔);

    Samuṭṭhāpeti attānaṃ, aṇuṃ aggiṃva sandhama’’nti. (jā. 1.1.4);

    อิติ สตฺถา ธมฺมสภายํ สนฺนิสินฺนานํ อิมํ การณํ ทเสฺสสิฯ อยํ ทฺวินฺนมฺปิ มหาสาวกานํ ปุพฺพปตฺถนโต ปฎฺฐาย อนุปุพฺพิกถาฯ อปรภาเค ปน สตฺถา อริยคณปริวุโต ธมฺมาสเน นิสิโนฺน มโนมยํ กายํ อภินิมฺมินนฺตานํ เจโตวิวฎฺฎกุสลานญฺจ จูฬปนฺถกเตฺถรํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิ, สญฺญาวิวฎฺฎกุสลานํ มหาปนฺถกนฺติฯ

    Iti satthā dhammasabhāyaṃ sannisinnānaṃ imaṃ kāraṇaṃ dassesi. Ayaṃ dvinnampi mahāsāvakānaṃ pubbapatthanato paṭṭhāya anupubbikathā. Aparabhāge pana satthā ariyagaṇaparivuto dhammāsane nisinno manomayaṃ kāyaṃ abhinimminantānaṃ cetovivaṭṭakusalānañca cūḷapanthakattheraṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi, saññāvivaṭṭakusalānaṃ mahāpanthakanti.

    สุภูติเตฺถรวตฺถุ

    Subhūtittheravatthu

    ๒๐๑. ตติเย อรณวิหารีนนฺติ นิกฺกิเลสวิหารีนํฯ รณนฺติ หิ ราคาทโย กิเลสา วุจฺจนฺติ, เตสํ อภาเวน นิกฺกิเลสวิหาโร อรณวิหาโร นามฯ โส เยสํ อตฺถิ, เต อรณวิหาริโนฯ เตสํ อรณวิหารีนํ สุภูติเตฺถโร อโคฺคติฯ กิญฺจาปิ หิ อเญฺญปิ ขีณาสวา อรณวิหาริโนว, เถเรน ปน ธมฺมเทสนาย เอตํ นามํ ลทฺธํฯ อเญฺญ หิ ภิกฺขู ธมฺมํ เทเสโนฺต อุทฺทิสฺสกํ กตฺวา วณฺณํ วา อวณฺณํ วา กเถนฺติ, เถโร ปน ธมฺมํ เทเสโนฺต สตฺถารา เทสิตนิยามโต อโนกฺกมิตฺวา เทเสติ, ตสฺมา อรณวิหารีนํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    201. Tatiye araṇavihārīnanti nikkilesavihārīnaṃ. Raṇanti hi rāgādayo kilesā vuccanti, tesaṃ abhāvena nikkilesavihāro araṇavihāro nāma. So yesaṃ atthi, te araṇavihārino. Tesaṃ araṇavihārīnaṃ subhūtitthero aggoti. Kiñcāpi hi aññepi khīṇāsavā araṇavihārinova, therena pana dhammadesanāya etaṃ nāmaṃ laddhaṃ. Aññe hi bhikkhū dhammaṃ desento uddissakaṃ katvā vaṇṇaṃ vā avaṇṇaṃ vā kathenti, thero pana dhammaṃ desento satthārā desitaniyāmato anokkamitvā deseti, tasmā araṇavihārīnaṃ aggo nāma jāto.

    ๒๐๒. จตุเตฺถ ทกฺขิเณยฺยานนฺติ ทกฺขิณารหานํฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ อเญฺญปิ ขีณาสวา อคฺคทกฺขิเณยฺยา, เถโร ปน ปิณฺฑาย จรโนฺต ฆเร ฆเร เมตฺตาฌานํ สมาปชฺชิตฺวา สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ภิกฺขํ คณฺหาติ ‘‘เอวํ ภิกฺขาทายกานํ มหปฺผลํ ภวิสฺสตี’’ติฯ ตสฺมา ทกฺขิเณยฺยานํ อโคฺคติ วุโตฺตฯ อตฺตภาโว ปนสฺส สุสมิโทฺธ, อลงฺกตโตรณํ วิย จิตฺตปโฎ วิย จ อติวิย วิโรจติฯ ตสฺมา สุภูตีติ วุจฺจติฯ

    202. Catutthe dakkhiṇeyyānanti dakkhiṇārahānaṃ. Tattha kiñcāpi aññepi khīṇāsavā aggadakkhiṇeyyā, thero pana piṇḍāya caranto ghare ghare mettājhānaṃ samāpajjitvā samāpattito vuṭṭhāya bhikkhaṃ gaṇhāti ‘‘evaṃ bhikkhādāyakānaṃ mahapphalaṃ bhavissatī’’ti. Tasmā dakkhiṇeyyānaṃ aggoti vutto. Attabhāvo panassa susamiddho, alaṅkatatoraṇaṃ viya cittapaṭo viya ca ativiya virocati. Tasmā subhūtīti vuccati.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยํ กิร ปทุมุตฺตเร ภควติ อนุปฺปเนฺนเยว หํสวตีนคเร พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติ, นนฺทมาณโวติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตโย เวเท อุคฺคณฺหิตฺวา ตตฺถ สารํ อปสฺสโนฺต อตฺตโน ปริวาเรหิ จตุจตฺตาลีสาย มาณวกสหเสฺสหิ สทฺธิํ ปพฺพตปาเท อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ปญฺจ อภิญฺญา อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตสิ, อเนฺตวาสิเกปิ ฌานลาภิโน อกาสิฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayaṃ kira padumuttare bhagavati anuppanneyeva haṃsavatīnagare brāhmaṇamahāsālakule nibbatti, nandamāṇavotissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto tayo vede uggaṇhitvā tattha sāraṃ apassanto attano parivārehi catucattālīsāya māṇavakasahassehi saddhiṃ pabbatapāde isipabbajjaṃ pabbajitvā pañca abhiññā aṭṭha samāpattiyo nibbattesi, antevāsikepi jhānalābhino akāsi.

    ตสฺมิํ สมเย ปทุมุตฺตโร ภควา โลเก นิพฺพตฺติตฺวา หํสวตีนครํ อุปนิสฺสาย วิหรโนฺต เอกทิวสํ ปจฺจูสสมเย โลกํ โอโลเกโนฺต นนฺทตาปสสฺส อเนฺตวาสิกานํ ชฎิลานํ อรหตฺตูปนิสฺสยํ นนฺทตาปสสฺส จ ทฺวีหเงฺคหิ สมนฺนาคตสฺส สาวกสฺส ฐานนฺตรปตฺถนํ ทิสฺวา ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา ปุพฺพณฺหสมยํ ปตฺตจีวรมาทาย สาริปุตฺตเตฺถรสฺส วตฺถุมฺหิ วุตฺตนเยเนว นนฺทตาปสสฺส อสฺสมํ อคมาสิฯ ตตฺถ ผลาผลทานญฺจ ปุปฺผาสนปญฺญาปนญฺจ นิโรธสมาปตฺติสมาปชฺชนญฺจ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Tasmiṃ samaye padumuttaro bhagavā loke nibbattitvā haṃsavatīnagaraṃ upanissāya viharanto ekadivasaṃ paccūsasamaye lokaṃ olokento nandatāpasassa antevāsikānaṃ jaṭilānaṃ arahattūpanissayaṃ nandatāpasassa ca dvīhaṅgehi samannāgatassa sāvakassa ṭhānantarapatthanaṃ disvā pātova sarīrapaṭijagganaṃ katvā pubbaṇhasamayaṃ pattacīvaramādāya sāriputtattherassa vatthumhi vuttanayeneva nandatāpasassa assamaṃ agamāsi. Tattha phalāphaladānañca pupphāsanapaññāpanañca nirodhasamāpattisamāpajjanañca vuttanayeneva veditabbaṃ.

    สตฺถา ปน นิโรธา วุฎฺฐิโต อรณวิหาริอเงฺคน จ ทกฺขิเณยฺยเงฺคน จาติ ทฺวีหเงฺคหิ สมนฺนาคตํ เอกํ สาวกํ ‘‘อิสิคณสฺส ปุปฺผาสนานุโมทนํ กโรหี’’ติ อาณาเปสิฯ โส อตฺตโน วิสเย ฐตฺวา เตปิฎกํ สมฺมสิตฺวา อนุโมทนํ อกาสิฯ ตสฺส เทสนาวสาเน สตฺถา สยํ ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน สเพฺพ จตุจตฺตาลีสสหสฺสาปิ ตาปสา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ นนฺทตาปโส ปน อนุโมทกสฺส ภิกฺขุโน นิมิตฺตํ คณฺหิตฺวา สตฺถุ เทสนานุสาเรน ญาณํ เปเสตุํ นาสกฺขิฯ สตฺถา ‘‘เอถ, ภิกฺขโว’’ติ เสสภิกฺขูนํ หตฺถํ ปสาเรสิฯ สเพฺพปิ อนฺตรหิตเกสมสฺสู อิทฺธิมยปริกฺขารา วสฺสสฎฺฐิกเตฺถรา วิย อเหสุํฯ

    Satthā pana nirodhā vuṭṭhito araṇavihāriaṅgena ca dakkhiṇeyyaṅgena cāti dvīhaṅgehi samannāgataṃ ekaṃ sāvakaṃ ‘‘isigaṇassa pupphāsanānumodanaṃ karohī’’ti āṇāpesi. So attano visaye ṭhatvā tepiṭakaṃ sammasitvā anumodanaṃ akāsi. Tassa desanāvasāne satthā sayaṃ dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne sabbe catucattālīsasahassāpi tāpasā arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Nandatāpaso pana anumodakassa bhikkhuno nimittaṃ gaṇhitvā satthu desanānusārena ñāṇaṃ pesetuṃ nāsakkhi. Satthā ‘‘etha, bhikkhavo’’ti sesabhikkhūnaṃ hatthaṃ pasāresi. Sabbepi antarahitakesamassū iddhimayaparikkhārā vassasaṭṭhikattherā viya ahesuṃ.

    นนฺทตาปโส ตถาคตํ วนฺทิตฺวา สมฺมุเข ฐิโต อาห – ‘‘ภเนฺต, เยน ภิกฺขุนา อิสิคณสฺส ปุปฺผาสนานุโมทนา กตา, โก นาโมยํ ตุมฺหากํ สาสเน’’ติ? อรณวิหาริอเงฺคน จ ทกฺขิเณยฺยเงฺคน จ เอตทคฺคํ ปโตฺต เอโสติฯ ‘‘ภเนฺต, อหมฺปิ อิมินา สตฺตาหกเตน อธิการกเมฺมน อญฺญํ สมฺปตฺติํ น ปเตฺถมิ, อนาคเต ปนาหํ เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อยํ เถโร วิย ทฺวีหเงฺคหิ สมนฺนาคโต ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา อนนฺตรายํ ทิสฺวา พฺยากริตฺวา ปกฺกามิฯ นนฺทตาปโสปิ กาเลน กาลํ ทสพลสฺส สนฺติเก ธมฺมํ สุตฺวา อปริหีนชฺฌาโน พฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺตฯ อิทมสฺส กลฺยาณกมฺมํฯ อนฺตรา ปน กมฺมํ น กถิยติฯ

    Nandatāpaso tathāgataṃ vanditvā sammukhe ṭhito āha – ‘‘bhante, yena bhikkhunā isigaṇassa pupphāsanānumodanā katā, ko nāmoyaṃ tumhākaṃ sāsane’’ti? Araṇavihāriaṅgena ca dakkhiṇeyyaṅgena ca etadaggaṃ patto esoti. ‘‘Bhante, ahampi iminā sattāhakatena adhikārakammena aññaṃ sampattiṃ na patthemi, anāgate panāhaṃ ekassa buddhassa sāsane ayaṃ thero viya dvīhaṅgehi samannāgato bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi. Satthā anantarāyaṃ disvā byākaritvā pakkāmi. Nandatāpasopi kālena kālaṃ dasabalassa santike dhammaṃ sutvā aparihīnajjhāno brahmaloke nibbatto. Idamassa kalyāṇakammaṃ. Antarā pana kammaṃ na kathiyati.

    โส กปฺปสตสหสฺสํ อติกฺกมิตฺวา สาวตฺถิยํ สุมนเสฎฺฐิสฺส เคเห นิพฺพตฺติ, สุภูตีติสฺส นามํ อกํสุฯ อปรภาเค อมฺหากํ สตฺถา โลเก นิพฺพโตฺต ราชคหํ อุปนิสฺสาย วิหรติฯ ตทา อนาถปิณฺฑิโก เสฎฺฐิ สาวตฺถิยํ อุฎฺฐานกภณฺฑํ คเหตฺวา อตฺตโน สหายกสฺส ราชคหเสฎฺฐิโน ฆรํ คโต สตฺถุ อุปฺปนฺนภาวํ ญตฺวา สตฺถารํ สีตวเน วิหรนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปฐมทสฺสเนเนว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย สตฺถารํ สาวตฺถิํ อาคมนตฺถาย ยาจิตฺวา ปญฺจจตฺตาลีสโยชเน มเคฺค โยชเน โยชเน สตสหสฺสปริจฺจาเคน วิหาเร ปติฎฺฐาเปตฺวา สาวตฺถิยํ ราชมาเนน อฎฺฐกรีสปฺปมาณํ เชตราชกุมารสฺส อุยฺยานภูมิํ โกฎิสนฺถาเรน กิณิตฺวา ตตฺถ ภควโต วิหารํ กาเรตฺวา อทาสิฯ วิหารมหทิวเส อยํ สุภูติกุฎิมฺพิโก อนาถปิณฺฑิกเสฎฺฐินา สทฺธิํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุณโนฺต สทฺธํ ปฎิลภิตฺวา ปพฺพชิฯ โส อุปสมฺปโนฺน เทฺว มาติกา ปคุณํ กตฺวา กมฺมฎฺฐานํ กถาเปตฺวา อรเญฺญ สมณธมฺมํ กโรโนฺต วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา เมตฺตาฌานํ ปาทกํ กตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ธมฺมํ เทเสโนฺต วุตฺตนเยเนว ธมฺมํ กเถติ, ปิณฺฑาย จรโนฺต วุตฺตนเยเนว เมตฺตาฌานโต วุฎฺฐาย ภิกฺขํ คณฺหาติฯ อถ นํ สตฺถา อิมํ การณทฺวยํ ปฎิจฺจ อรณวิหารีนญฺจ ทกฺขิเณยฺยานญฺจ ภิกฺขูนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    So kappasatasahassaṃ atikkamitvā sāvatthiyaṃ sumanaseṭṭhissa gehe nibbatti, subhūtītissa nāmaṃ akaṃsu. Aparabhāge amhākaṃ satthā loke nibbatto rājagahaṃ upanissāya viharati. Tadā anāthapiṇḍiko seṭṭhi sāvatthiyaṃ uṭṭhānakabhaṇḍaṃ gahetvā attano sahāyakassa rājagahaseṭṭhino gharaṃ gato satthu uppannabhāvaṃ ñatvā satthāraṃ sītavane viharantaṃ upasaṅkamitvā paṭhamadassaneneva sotāpattiphale patiṭṭhāya satthāraṃ sāvatthiṃ āgamanatthāya yācitvā pañcacattālīsayojane magge yojane yojane satasahassapariccāgena vihāre patiṭṭhāpetvā sāvatthiyaṃ rājamānena aṭṭhakarīsappamāṇaṃ jetarājakumārassa uyyānabhūmiṃ koṭisanthārena kiṇitvā tattha bhagavato vihāraṃ kāretvā adāsi. Vihāramahadivase ayaṃ subhūtikuṭimbiko anāthapiṇḍikaseṭṭhinā saddhiṃ gantvā dhammaṃ suṇanto saddhaṃ paṭilabhitvā pabbaji. So upasampanno dve mātikā paguṇaṃ katvā kammaṭṭhānaṃ kathāpetvā araññe samaṇadhammaṃ karonto vipassanaṃ vaḍḍhetvā mettājhānaṃ pādakaṃ katvā arahattaṃ pāpuṇi. Dhammaṃ desento vuttanayeneva dhammaṃ katheti, piṇḍāya caranto vuttanayeneva mettājhānato vuṭṭhāya bhikkhaṃ gaṇhāti. Atha naṃ satthā imaṃ kāraṇadvayaṃ paṭicca araṇavihārīnañca dakkhiṇeyyānañca bhikkhūnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ขทิรวนิยเรวตเตฺถรวตฺถุ

    Khadiravaniyarevatattheravatthu

    ๒๐๓. ปญฺจเม อารญฺญกานนฺติ อรญฺญวาสีนํฯ เรวโต ขทิรวนิโยติ ธมฺมเสนาปติเตฺถรสฺส กนิฎฺฐภาติโกฯ โส ยถา อเญฺญ เถรา อรเญฺญ วสมานา วนสภาคํ อุทกสภาคํ ภิกฺขาจารสภาคญฺจ สลฺลเกฺขตฺวา อรเญฺญ วสนฺติ, น เอวํ วสิฯ เอตานิ ปน สภาคานิ อนาทิยิตฺวา อุชฺชงฺคลสกฺขรปาสาณวิสเม ขทิรวเน ปฎิวสติฯ ตสฺมา อารญฺญกานํ อโคฺคติ วุโตฺตฯ

    203. Pañcame āraññakānanti araññavāsīnaṃ. Revato khadiravaniyoti dhammasenāpatittherassa kaniṭṭhabhātiko. So yathā aññe therā araññe vasamānā vanasabhāgaṃ udakasabhāgaṃ bhikkhācārasabhāgañca sallakkhetvā araññe vasanti, na evaṃ vasi. Etāni pana sabhāgāni anādiyitvā ujjaṅgalasakkharapāsāṇavisame khadiravane paṭivasati. Tasmā āraññakānaṃ aggoti vutto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยํ กิร อตีเต ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร นิพฺพโตฺต มหาคงฺคาย ปยาคปติฎฺฐานติเตฺถ นาวากมฺมํ กโรโนฺต ปฎิวสติฯ ตสฺมิํ สมเย สตฺถา สตสหสฺสภิกฺขุปริวาโร จาริกํ จรโนฺต ปยาคปติฎฺฐานติตฺถํ สมฺปาปุณิฯ โส ทสพลํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ กาเลน กาลํ พุทฺธทสฺสนํ นาม นตฺถิ, อยํ เม กลฺยาณกมฺมายูหนกฺขโณ’’ติ นาวาสงฺฆาฎํ พนฺธาเปตฺวา อุปริ เจลวิตานํ กาเรตฺวา คนฺธมาลาทามานิ โอสาเรตฺวา เหฎฺฐา วรโปตฺถกํ จิตฺตตฺถรณํ อตฺถราเปตฺวา สปริวารํ สตฺถารํ ปรตีรํ ตาเรสิฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayaṃ kira atīte padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare nibbatto mahāgaṅgāya payāgapatiṭṭhānatitthe nāvākammaṃ karonto paṭivasati. Tasmiṃ samaye satthā satasahassabhikkhuparivāro cārikaṃ caranto payāgapatiṭṭhānatitthaṃ sampāpuṇi. So dasabalaṃ disvā cintesi – ‘‘mayhaṃ kālena kālaṃ buddhadassanaṃ nāma natthi, ayaṃ me kalyāṇakammāyūhanakkhaṇo’’ti nāvāsaṅghāṭaṃ bandhāpetvā upari celavitānaṃ kāretvā gandhamālādāmāni osāretvā heṭṭhā varapotthakaṃ cittattharaṇaṃ attharāpetvā saparivāraṃ satthāraṃ paratīraṃ tāresi.

    ตสฺมิํ สมเย สตฺถา เอกํ อารญฺญกํ ภิกฺขุํ เอตทเคฺค ฐเปสิฯ โส นาวิโก ตํ ทิสฺวา ‘‘มยาปิ เอวเมวํ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อารญฺญกานํ อเคฺคน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺหหิ เอตทเคฺค ฐปิโต โส ภิกฺขุ วิย อหมฺปิ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อารญฺญกานํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา อนนฺตรายํ ทิสฺวา ‘‘อนาคเต โคตมพุทฺธสฺส สาสเน ตฺวํ อารญฺญกานํ อโคฺค ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากริตฺวา ปกฺกามิฯ อนฺตรา ปน อญฺญํ กมฺมํ น กถิยติฯ

    Tasmiṃ samaye satthā ekaṃ āraññakaṃ bhikkhuṃ etadagge ṭhapesi. So nāviko taṃ disvā ‘‘mayāpi evamevaṃ anāgate ekassa buddhassa sāsane āraññakānaṃ aggena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti satthāraṃ nimantetvā sattāhaṃ mahādānaṃ datvā satthu pādamūle nipajjitvā, ‘‘bhante, tumhehi etadagge ṭhapito so bhikkhu viya ahampi anāgate ekassa buddhassa sāsane āraññakānaṃ aggo bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi. Satthā anantarāyaṃ disvā ‘‘anāgate gotamabuddhassa sāsane tvaṃ āraññakānaṃ aggo bhavissasī’’ti byākaritvā pakkāmi. Antarā pana aññaṃ kammaṃ na kathiyati.

    โส ยาวชีวํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท มคธเกฺขเตฺต นาลกพฺราหฺมณคาเม สารีพฺราหฺมณิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา ติณฺณํ ภาติกานํ ติสฺสนฺนญฺจ ภคินีนํ สพฺพกนิโฎฺฐ หุตฺวา นิพฺพตฺติ, เรวโตติสฺส นามํ อกํสุฯ อถสฺส มาตาปิตโร จิเนฺตสุํ – ‘‘วฑฺฒิตวฑฺฒิเต ทารเก สมณา สกฺยปุตฺติยา เนตฺวา ปพฺพาเชนฺติ, อมฺหากํ ปุตฺตํ เรวตํ ทหรเมว ฆรพนฺธเนน พนฺธิสฺสามา’’ติ สมานกุลโต ทาริกํ อาเนตฺวา เรวตสฺส อยฺยิกํ วนฺทาเปตฺวา, ‘‘อมฺม, ตว อยฺยิกาย มหลฺลกตรา โหหี’’ติ อาหํสุฯ เรวโต เตสํ กถํ สุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ทาริกา ทหรา ปฐมวเย ฐิตา, อิมิสฺสา กิร เอวํวิธํ รูปํ มม อยฺยิกาย รูปสทิสํ ภวิสฺสติ, ปุจฺฉิสฺสามิ ตาว เนสํ อธิปฺปาย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อาห – ‘‘ตุเมฺห กิํ กเถถา’’ติ? ตาต, ‘‘อยํ ทาริกา อยฺยิกา วิย เต ชรํ ปาปุณาตู’’ติ วทามาติฯ โส ‘‘อิมิสฺสา รูปํ เอวํวิธํ ภวิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ตาต, กิํ วเทสิ, มหาปุญฺญา เอวํวิธา โหนฺตีติฯ

    So yāvajīvaṃ kalyāṇakammaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde magadhakkhette nālakabrāhmaṇagāme sārībrāhmaṇiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gahetvā tiṇṇaṃ bhātikānaṃ tissannañca bhaginīnaṃ sabbakaniṭṭho hutvā nibbatti, revatotissa nāmaṃ akaṃsu. Athassa mātāpitaro cintesuṃ – ‘‘vaḍḍhitavaḍḍhite dārake samaṇā sakyaputtiyā netvā pabbājenti, amhākaṃ puttaṃ revataṃ daharameva gharabandhanena bandhissāmā’’ti samānakulato dārikaṃ ānetvā revatassa ayyikaṃ vandāpetvā, ‘‘amma, tava ayyikāya mahallakatarā hohī’’ti āhaṃsu. Revato tesaṃ kathaṃ sutvā cintesi – ‘‘ayaṃ dārikā daharā paṭhamavaye ṭhitā, imissā kira evaṃvidhaṃ rūpaṃ mama ayyikāya rūpasadisaṃ bhavissati, pucchissāmi tāva nesaṃ adhippāya’’nti cintetvā āha – ‘‘tumhe kiṃ kathethā’’ti? Tāta, ‘‘ayaṃ dārikā ayyikā viya te jaraṃ pāpuṇātū’’ti vadāmāti. So ‘‘imissā rūpaṃ evaṃvidhaṃ bhavissatī’’ti pucchi. Tāta, kiṃ vadesi, mahāpuññā evaṃvidhā hontīti.

    โส จิเนฺตสิ – ‘‘อิทํ กิร รูปํ อิมินา นิยาเมน วลิตฺตจํ ภวิสฺสติ ปลิตเกสํ ขณฺฑทนฺตํ, อหํ เอวรูเป รูเป รชฺชิตฺวา กิํ กริสฺสามิ, มม ภาติกานํ คตมคฺคเมว คมิสฺสามี’’ติ กีฬโนฺต วิย หุตฺวา สมวเย ตรุณทารเก อาห – ‘‘เอถ, โภ, วิธาวนิกํ กริสฺสามา’’ติ นิกฺขมิฯ ตาต, มงฺคลทิวเส มา พหิ คจฺฉาติฯ โส ทารเกหิ สทฺธิํ กีฬโนฺต วิย อตฺตโน ธาวนวาเร สมฺปเตฺต โถกํ คนฺตฺวา ปปเญฺจตฺวา อาคจฺฉติ ฯ ปุน ทุติยวาเร สมฺปเตฺต ตโต ตุริตํ วิย คนฺตฺวา อาคโต, ตติยวาเร สมฺปเตฺต ‘‘อยํ เม กาโล’’ติ ญตฺวา สมฺมุขฎฺฐาเนเนว ปลายิตฺวา ปํสุกูลิกภิกฺขูนํ นิวาสฎฺฐานํ อรญฺญํ คนฺตฺวา เถเร อภิวาเทตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ สปฺปุริส มยํ ตํ น ชานาม ‘‘กสฺสาสิ ปุโตฺต’’ติ, ตฺวญฺจ อลงฺกตนิยาเมเนว อาคโต, โก ตํ ปพฺพาเชตุํ อุสฺสหิสฺสตีติฯ โส อุโภ พาหา ปคฺคยฺห ‘‘วิลุมฺปนฺติ มํ วิลุมฺปนฺติ ม’’นฺติ มหารวํ วิรวิฯ อิโต จิโต จ ภิกฺขู สนฺนิปติตฺวา ‘‘สปฺปุริส, อิมสฺมิํ ฐาเน ตว วตฺถํ วา ปิฬนฺธนํ วา โกจิ คณฺหโนฺต นาม นตฺถิ, ตฺวญฺจ ‘วิลุมฺปนฺตี’ติ วทสิ, กิํ สนฺธาย วทสี’’ติ? ภเนฺต, นาหํ วตฺถาลงฺการํ สนฺธาย วทามิ, ติสฺสนฺนํ ปน เม สมฺปตฺตีนํ วิโลโป วตฺตติ, ตํ สนฺธาย วทามิฯ มํ ตาว ตุเมฺห มา ปพฺพาชยิตฺถ, ภาตรํ ปน เม ชานาถาติฯ โกนาโม ปน เต ภาตาติ? คิหิกาเล อุปติโสฺส นาม, อิทานิ ปน สาริปุโตฺต นาม ชาโตติ วทนฺตีติฯ ‘‘อาวุโส, เอวํ สเนฺต อยํ กุลปุโตฺต อมฺหากํ กนิฎฺฐภาติโก นาม โหติ, เชฎฺฐภาติโก โน ธมฺมเสนาปติ ปุเรตรํเยว อาห – ‘อมฺหากํ ญาตกา สเพฺพว มิจฺฉาทิฎฺฐิกา, โย โกจิ อมฺหากํ ญาตีติ อาคจฺฉติ, ตํ เยน เตนุปาเยน ปพฺพาเชยฺยถา’ติฯ อยํ ปน เถรสฺส อชฺฌตฺตภาติโก, ปพฺพาเชถ น’’นฺติ วตฺวา ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิตฺวา ปพฺพาชยิํสุฯ อถ นํ ปริปุณฺณวสฺสํ อุปสมฺปาเทตฺวา กมฺมฎฺฐาเน โยชยิํสุฯ

    So cintesi – ‘‘idaṃ kira rūpaṃ iminā niyāmena valittacaṃ bhavissati palitakesaṃ khaṇḍadantaṃ, ahaṃ evarūpe rūpe rajjitvā kiṃ karissāmi, mama bhātikānaṃ gatamaggameva gamissāmī’’ti kīḷanto viya hutvā samavaye taruṇadārake āha – ‘‘etha, bho, vidhāvanikaṃ karissāmā’’ti nikkhami. Tāta, maṅgaladivase mā bahi gacchāti. So dārakehi saddhiṃ kīḷanto viya attano dhāvanavāre sampatte thokaṃ gantvā papañcetvā āgacchati . Puna dutiyavāre sampatte tato turitaṃ viya gantvā āgato, tatiyavāre sampatte ‘‘ayaṃ me kālo’’ti ñatvā sammukhaṭṭhāneneva palāyitvā paṃsukūlikabhikkhūnaṃ nivāsaṭṭhānaṃ araññaṃ gantvā there abhivādetvā pabbajjaṃ yāci. Sappurisa mayaṃ taṃ na jānāma ‘‘kassāsi putto’’ti, tvañca alaṅkataniyāmeneva āgato, ko taṃ pabbājetuṃ ussahissatīti. So ubho bāhā paggayha ‘‘vilumpanti maṃ vilumpanti ma’’nti mahāravaṃ viravi. Ito cito ca bhikkhū sannipatitvā ‘‘sappurisa, imasmiṃ ṭhāne tava vatthaṃ vā piḷandhanaṃ vā koci gaṇhanto nāma natthi, tvañca ‘vilumpantī’ti vadasi, kiṃ sandhāya vadasī’’ti? Bhante, nāhaṃ vatthālaṅkāraṃ sandhāya vadāmi, tissannaṃ pana me sampattīnaṃ vilopo vattati, taṃ sandhāya vadāmi. Maṃ tāva tumhe mā pabbājayittha, bhātaraṃ pana me jānāthāti. Konāmo pana te bhātāti? Gihikāle upatisso nāma, idāni pana sāriputto nāma jātoti vadantīti. ‘‘Āvuso, evaṃ sante ayaṃ kulaputto amhākaṃ kaniṭṭhabhātiko nāma hoti, jeṭṭhabhātiko no dhammasenāpati puretaraṃyeva āha – ‘amhākaṃ ñātakā sabbeva micchādiṭṭhikā, yo koci amhākaṃ ñātīti āgacchati, taṃ yena tenupāyena pabbājeyyathā’ti. Ayaṃ pana therassa ajjhattabhātiko, pabbājetha na’’nti vatvā tacapañcakakammaṭṭhānaṃ ācikkhitvā pabbājayiṃsu. Atha naṃ paripuṇṇavassaṃ upasampādetvā kammaṭṭhāne yojayiṃsu.

    เถโร กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา อาจริยุปชฺฌายานํ อวิทูเร ฐาเน วุตฺตปฺปการํ ขทิรวนํ ปวิสิตฺวา สมณธมฺมํ กโรติฯ ตสฺส ‘‘อรหตฺตํ อปฺปตฺวา ทสพลํ วา ภาติกเตฺถรํ วา น ปสฺสิสฺสามี’’ติ วายมนฺตเสฺสว ตโย มาสา อติกฺกนฺตา, สุขุมาลกุลปุตฺตสฺส ลูขโภชนํ ภุญฺชนฺตสฺส จิตฺตํ วลีตํ นาม โหติ, กมฺมฎฺฐานํ วิโมกฺขํ น คตํฯ โส เตมาสจฺจเยน ปวาเรตฺวา วุตฺถวโสฺส หุตฺวา ตสฺมิํเยว ฐาเน สมณธมฺมํ กโรติฯ ตสฺส สมณธมฺมํ กโรนฺตสฺส จิตฺตํ เอกคฺคํ อโหสิ, โส วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ

    Thero kammaṭṭhānaṃ gahetvā ācariyupajjhāyānaṃ avidūre ṭhāne vuttappakāraṃ khadiravanaṃ pavisitvā samaṇadhammaṃ karoti. Tassa ‘‘arahattaṃ appatvā dasabalaṃ vā bhātikattheraṃ vā na passissāmī’’ti vāyamantasseva tayo māsā atikkantā, sukhumālakulaputtassa lūkhabhojanaṃ bhuñjantassa cittaṃ valītaṃ nāma hoti, kammaṭṭhānaṃ vimokkhaṃ na gataṃ. So temāsaccayena pavāretvā vutthavasso hutvā tasmiṃyeva ṭhāne samaṇadhammaṃ karoti. Tassa samaṇadhammaṃ karontassa cittaṃ ekaggaṃ ahosi, so vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi.

    อถายสฺมา สาริปุโตฺต สตฺถารํ อาห – ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ กิร กนิฎฺฐภาตา เรวโต ปพฺพชิโต, โส อภิรเมยฺย วา น วา, คนฺตฺวา นํ ปสฺสิสฺสามี’’ติฯ ภควา เรวตสฺส อารทฺธวิปสฺสกภาวํ ญตฺวา เทฺว วาเร ปฎิกฺขิปิตฺวา ตติยวาเร ยาจิโต อรหตฺตํ ปตฺตภาวํ ญตฺวา, ‘‘สาริปุตฺต, อหมฺปิ คมิสฺสามิ, ภิกฺขูนํ อาโรเจหี’’ติฯ เถโร ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาเตตฺวา, ‘‘อาวุโส, สตฺถา จาริกํ จริตุกาโม, คนฺตุกามา อาคจฺฉนฺตู’’ติ สเพฺพสํเยว อาโรเจสิฯ ทสพลสฺส จาริกตฺถาย คมนกาเล โอหีนกภิกฺขู นาม อปฺปกา โหนฺติ, ‘‘สตฺถุ สุวณฺณวณฺณํ สรีรํ ปสฺสิสฺสาม, มธุรธมฺมกถํ วา สุณิสฺสามา’’ติ เยภุเยฺยน คนฺตุกามาว พหุกา โหนฺติฯ อิติ สตฺถา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร ‘‘เรวตํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ นิกฺขโนฺตฯ

    Athāyasmā sāriputto satthāraṃ āha – ‘‘bhante, mayhaṃ kira kaniṭṭhabhātā revato pabbajito, so abhirameyya vā na vā, gantvā naṃ passissāmī’’ti. Bhagavā revatassa āraddhavipassakabhāvaṃ ñatvā dve vāre paṭikkhipitvā tatiyavāre yācito arahattaṃ pattabhāvaṃ ñatvā, ‘‘sāriputta, ahampi gamissāmi, bhikkhūnaṃ ārocehī’’ti. Thero bhikkhusaṅghaṃ sannipātetvā, ‘‘āvuso, satthā cārikaṃ caritukāmo, gantukāmā āgacchantū’’ti sabbesaṃyeva ārocesi. Dasabalassa cārikatthāya gamanakāle ohīnakabhikkhū nāma appakā honti, ‘‘satthu suvaṇṇavaṇṇaṃ sarīraṃ passissāma, madhuradhammakathaṃ vā suṇissāmā’’ti yebhuyyena gantukāmāva bahukā honti. Iti satthā mahābhikkhusaṅghaparivāro ‘‘revataṃ passissāmī’’ti nikkhanto.

    อเถกสฺมิํ ปเทเส อานนฺทเตฺถโร เทฺวธาปถํ ปตฺวา ภควนฺตํ ปุจฺฉิ – ‘‘ภเนฺต, อิมสฺมิํ ฐาเน เทฺว มคฺคา, กตรมเคฺคน สโงฺฆ คจฺฉตู’’ติฯ กตรมโคฺค, อานนฺท, อุชุโกติ? ภเนฺต, อุชุมโคฺค ติํสโยชโน อมนุสฺสปโถ, ปริหารมโคฺค ปน สฎฺฐิโยชนิโก เขโม สุภิโกฺขติฯ อานนฺท , สีวลิ อเมฺหหิ สทฺธิํ อาคโตติ? อาม, ภเนฺต, อาคโตติฯ เตน หิ สโงฺฆ อุชุมคฺคเมว คณฺหตุ, สีวลิสฺส ปุญฺญํ วีมํสิสฺสามาติฯ สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร สีวลิเตฺถรสฺส ปุญฺญวีมํสนตฺถํ อฎวิมคฺคํ อภิรุหิฯ มคฺคํ อภิรุหนฎฺฐานโต ปฎฺฐาย เทวสโงฺฆ โยชเน โยชเน ฐาเน นครํ มาเปตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส วสนตฺถาย วิหาเร ปฎิยาเทสิฯ เทวปุตฺตา รญฺญา เปสิตกมฺมการา วิย หุตฺวา ยาคุขชฺชกาทีนิ คเหตฺวา ‘‘กหํ อโยฺย สีวลิ, กหํ อโยฺย สีวลี’’ติ ปุจฺฉนฺตา คจฺฉนฺติฯ เถโร ตํ สกฺการสมฺมานํ คณฺหาเปตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คจฺฉติฯ สตฺถา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ ปริภุญฺชิฯ

    Athekasmiṃ padese ānandatthero dvedhāpathaṃ patvā bhagavantaṃ pucchi – ‘‘bhante, imasmiṃ ṭhāne dve maggā, kataramaggena saṅgho gacchatū’’ti. Kataramaggo, ānanda, ujukoti? Bhante, ujumaggo tiṃsayojano amanussapatho, parihāramaggo pana saṭṭhiyojaniko khemo subhikkhoti. Ānanda , sīvali amhehi saddhiṃ āgatoti? Āma, bhante, āgatoti. Tena hi saṅgho ujumaggameva gaṇhatu, sīvalissa puññaṃ vīmaṃsissāmāti. Satthā bhikkhusaṅghaparivāro sīvalittherassa puññavīmaṃsanatthaṃ aṭavimaggaṃ abhiruhi. Maggaṃ abhiruhanaṭṭhānato paṭṭhāya devasaṅgho yojane yojane ṭhāne nagaraṃ māpetvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa vasanatthāya vihāre paṭiyādesi. Devaputtā raññā pesitakammakārā viya hutvā yāgukhajjakādīni gahetvā ‘‘kahaṃ ayyo sīvali, kahaṃ ayyo sīvalī’’ti pucchantā gacchanti. Thero taṃ sakkārasammānaṃ gaṇhāpetvā satthu santikaṃ gacchati. Satthā bhikkhusaṅghena saddhiṃ paribhuñji.

    อิมินาว นิยาเมน สตฺถา สกฺการสมฺมานํ อนุภวโนฺต เทวสิกํ โยชนปรมํ คนฺตฺวา ติํสโยชนิกํ กนฺตารํ อติกฺกมฺม ขทิรวนิยเตฺถรสฺส สภาคฎฺฐานํ ปโตฺตฯ เถโร สตฺถุ อาคมนํ ญตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐาเน พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปโหนกวิหาเร ทสพลสฺส คนฺธกุฎิํ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานาทีนิ จ อิทฺธิยา มาเปตฺวา ตถาคตสฺส ปจฺจุคฺคมนํ คโตฯ สตฺถา อลงฺกตปฎิยเตฺตน มเคฺคน วิหารํ ปาวิสิฯ อถ ตถาคเต คนฺธกุฎิํ ปวิเฎฺฐ ภิกฺขู วสฺสเคฺคน ปตฺตเสนาสนานิ ปวิสิํสุฯ เทวตา ‘‘อกาโล อาหารสฺสา’’ติ อฎฺฐวิธํ ปานกํ อาหริํสุฯ สตฺถา สเงฺฆน สทฺธิํ ปานกํ ปิวิฯ อิมินาว นิยาเมน ตถาคตสฺส สกฺการสมฺมานํ อนุภวนฺตเสฺสว อทฺธมาโส อติกฺกโนฺตฯ

    Imināva niyāmena satthā sakkārasammānaṃ anubhavanto devasikaṃ yojanaparamaṃ gantvā tiṃsayojanikaṃ kantāraṃ atikkamma khadiravaniyattherassa sabhāgaṭṭhānaṃ patto. Thero satthu āgamanaṃ ñatvā attano vasanaṭṭhāne buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa pahonakavihāre dasabalassa gandhakuṭiṃ rattiṭṭhānadivāṭṭhānādīni ca iddhiyā māpetvā tathāgatassa paccuggamanaṃ gato. Satthā alaṅkatapaṭiyattena maggena vihāraṃ pāvisi. Atha tathāgate gandhakuṭiṃ paviṭṭhe bhikkhū vassaggena pattasenāsanāni pavisiṃsu. Devatā ‘‘akālo āhārassā’’ti aṭṭhavidhaṃ pānakaṃ āhariṃsu. Satthā saṅghena saddhiṃ pānakaṃ pivi. Imināva niyāmena tathāgatassa sakkārasammānaṃ anubhavantasseva addhamāso atikkanto.

    อเถกเจฺจ อุกฺกณฺฐิตภิกฺขู เอกสฺมิํ ฐาเน นิสีทิตฺวา กถํ อุปฺปาทยิํสุ ‘‘สตฺถา ทสพโล ‘มยฺหํ อคฺคสาวกสฺส กนิฎฺฐภาตา’ติ วตฺวา เอวรูปํ นวกมฺมิกภิกฺขุํ ปสฺสิตุํ อาคโต, อิมสฺส วิหารสฺส สนฺติเก เชตวนมหาวิหาโร วา เวฬุวนวิหาราทโย วา กิํ กริสฺสนฺติฯ อยมฺปิ ภิกฺขุ เอวรูปสฺส นวกมฺมสฺส การโก, กิํ นาม สมณธมฺมํ กริสฺสตี’’ติ? อถ สตฺถา จิเนฺตสิ – ‘‘มยิ จิรํ วสเนฺต อิทํ ฐานํ อากิณฺณํ ภวิสฺสติ, อารญฺญกา ภิกฺขู นาม ปวิเวกตฺถิกา โหนฺติ, เรวตสฺส อผาสุวิหาโร ภวิสฺสตี’’ติ ตโต เรวตสฺส ทิวาฎฺฐานํ คโตฯ เถโร เอกโกว จงฺกมนโกฎิยํ อาลมฺพนผลกํ นิสฺสาย ปาสาณผลเก นิสิโนฺน สตฺถารํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา วนฺทิฯ

    Athekacce ukkaṇṭhitabhikkhū ekasmiṃ ṭhāne nisīditvā kathaṃ uppādayiṃsu ‘‘satthā dasabalo ‘mayhaṃ aggasāvakassa kaniṭṭhabhātā’ti vatvā evarūpaṃ navakammikabhikkhuṃ passituṃ āgato, imassa vihārassa santike jetavanamahāvihāro vā veḷuvanavihārādayo vā kiṃ karissanti. Ayampi bhikkhu evarūpassa navakammassa kārako, kiṃ nāma samaṇadhammaṃ karissatī’’ti? Atha satthā cintesi – ‘‘mayi ciraṃ vasante idaṃ ṭhānaṃ ākiṇṇaṃ bhavissati, āraññakā bhikkhū nāma pavivekatthikā honti, revatassa aphāsuvihāro bhavissatī’’ti tato revatassa divāṭṭhānaṃ gato. Thero ekakova caṅkamanakoṭiyaṃ ālambanaphalakaṃ nissāya pāsāṇaphalake nisinno satthāraṃ dūratova āgacchantaṃ disvā paccuggantvā vandi.

    อถ นํ สตฺถา ปุจฺฉิ – ‘‘เรวต, อิมํ วาฬมิคฎฺฐานํ , จณฺฑานํ หตฺถิอสฺสาทีนํ สทฺทํ สุตฺวา กินฺติ กโรสี’’ติ? เตสํ เม, ภเนฺต, สทฺทํ สุณโต อรญฺญรติ นาม อุปฺปชฺชตีติฯ สตฺถา ตสฺมิํ ฐาเน เรวตเตฺถรสฺส ปญฺจหิ คาถาสเตหิ อรเญฺญ นิวาสานิสํสํ นาม กเถตฺวา ปุนทิวเส อวิทูเร ฐาเน ปิณฺฑาย จริตฺวา เรวตเตฺถรํ นิวเตฺตตฺวา เยหิ ภิกฺขูหิ เถรสฺส อวโณฺณ กถิโต, เตสํ กตฺตรยฎฺฐิอุปาหนาเตลนาฬิฉตฺตานํ ปมุสฺสนภาวํ อกาสิฯ เต อตฺตโน ปริกฺขารตฺถาย นิวตฺตา อาคตมเคฺคเนว คจฺฉนฺตาปิ ตํ ฐานํ สลฺลเกฺขตุํ น สโกฺกนฺติฯ ปฐมํ หิ เต อลงฺกตปฎิยเตฺตน มเคฺคน คนฺตฺวา ตํทิวสํ ปน วิสมมเคฺคน คจฺฉนฺตา ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน อุกฺกุฎิกํ นิสีทนฺติ, ชาณุเกน คจฺฉนฺติฯ เต คุเมฺพ จ คเจฺฉ จ กณฺฎเก จ มทฺทนฺตา อตฺตโน วสิตสภาคฎฺฐานํ คนฺตฺวา ตสฺมิํ ตสฺมิํ ขทิรขาณุเก อตฺตโน ฉตฺตํ สญฺชานนฺติ, อุปาหนํ กตฺตรยฎฺฐิํ เตลนาฬิํ สญฺชานนฺติฯ เต ตสฺมิํ สมเย ‘‘อิทฺธิมา อยํ ภิกฺขู’’ติ ญตฺวา อตฺตโน ปริกฺขาเร อาทาย ‘‘ทสพลสฺส ปฎิยตฺตสกฺกาโร นาม เอวรูโป โหตี’’ติ วทนฺตา อาคมํสุฯ

    Atha naṃ satthā pucchi – ‘‘revata, imaṃ vāḷamigaṭṭhānaṃ , caṇḍānaṃ hatthiassādīnaṃ saddaṃ sutvā kinti karosī’’ti? Tesaṃ me, bhante, saddaṃ suṇato araññarati nāma uppajjatīti. Satthā tasmiṃ ṭhāne revatattherassa pañcahi gāthāsatehi araññe nivāsānisaṃsaṃ nāma kathetvā punadivase avidūre ṭhāne piṇḍāya caritvā revatattheraṃ nivattetvā yehi bhikkhūhi therassa avaṇṇo kathito, tesaṃ kattarayaṭṭhiupāhanātelanāḷichattānaṃ pamussanabhāvaṃ akāsi. Te attano parikkhāratthāya nivattā āgatamaggeneva gacchantāpi taṃ ṭhānaṃ sallakkhetuṃ na sakkonti. Paṭhamaṃ hi te alaṅkatapaṭiyattena maggena gantvā taṃdivasaṃ pana visamamaggena gacchantā tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne ukkuṭikaṃ nisīdanti, jāṇukena gacchanti. Te gumbe ca gacche ca kaṇṭake ca maddantā attano vasitasabhāgaṭṭhānaṃ gantvā tasmiṃ tasmiṃ khadirakhāṇuke attano chattaṃ sañjānanti, upāhanaṃ kattarayaṭṭhiṃ telanāḷiṃ sañjānanti. Te tasmiṃ samaye ‘‘iddhimā ayaṃ bhikkhū’’ti ñatvā attano parikkhāre ādāya ‘‘dasabalassa paṭiyattasakkāro nāma evarūpo hotī’’ti vadantā āgamaṃsu.

    ปุรโต คตภิกฺขู, วิสาขา อุปาสิกา, อตฺตโน เคเห นิสินฺนกาเล ปุจฺฉติ – ‘‘มนาปํ นุ โข, ภเนฺต, เรวตเตฺถรสฺส วสนฎฺฐาน’’นฺติ? มนาปํ อุปาสิเก นนฺทนวนจิตฺตลตาทิปฎิภาคํ ตํ เสนาสนนฺติฯ อถ เนสํ สพฺพปจฺฉโต อาคตภิกฺขู ปุจฺฉิ – ‘‘มนาปํ, อยฺยา, เรวตเตฺถรสฺส วสนฎฺฐาน’’นฺติฯ มา ปุจฺฉ อุปาสิเก, กเถตุํ อยุตฺตฎฺฐานเมตํ, อุชฺชงฺคลํ สกฺขรปาสาณวิสมํ ขทิรวนํ เอตํ, ตตฺถ โส ภิกฺขุ วิหรตีติฯ วิสาขา, ปุริมานญฺจ ปจฺฉิมานญฺจ ภิกฺขูนํ กถํ สุตฺวา ‘‘เกสํ นุ โข กถา สจฺจา’’ติ ปจฺฉาภเตฺต คนฺธมาลํ อาทาย ทสพลสฺส อุปฎฺฐานํ คนฺตฺวา, วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสินฺนา สตฺถารํ ปุจฺฉิ – ‘‘ภเนฺต, เรวตเตฺถรสฺส วสนฎฺฐานํ เอกเจฺจ, อยฺยา, วเณฺณนฺติ, เอกเจฺจ นินฺทนฺติ, กิํ นาเมตํ, ภเนฺต’’ติ? วิสาเข รมณียํ วา โหตุ มา วา, ยสฺมิํ ฐาเน อริยานํ จิตฺตํ รมติ, ตเทว ฐานํ รมณียํ นามาติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Purato gatabhikkhū, visākhā upāsikā, attano gehe nisinnakāle pucchati – ‘‘manāpaṃ nu kho, bhante, revatattherassa vasanaṭṭhāna’’nti? Manāpaṃ upāsike nandanavanacittalatādipaṭibhāgaṃ taṃ senāsananti. Atha nesaṃ sabbapacchato āgatabhikkhū pucchi – ‘‘manāpaṃ, ayyā, revatattherassa vasanaṭṭhāna’’nti. Mā puccha upāsike, kathetuṃ ayuttaṭṭhānametaṃ, ujjaṅgalaṃ sakkharapāsāṇavisamaṃ khadiravanaṃ etaṃ, tattha so bhikkhu viharatīti. Visākhā, purimānañca pacchimānañca bhikkhūnaṃ kathaṃ sutvā ‘‘kesaṃ nu kho kathā saccā’’ti pacchābhatte gandhamālaṃ ādāya dasabalassa upaṭṭhānaṃ gantvā, vanditvā ekamantaṃ nisinnā satthāraṃ pucchi – ‘‘bhante, revatattherassa vasanaṭṭhānaṃ ekacce, ayyā, vaṇṇenti, ekacce nindanti, kiṃ nāmetaṃ, bhante’’ti? Visākhe ramaṇīyaṃ vā hotu mā vā, yasmiṃ ṭhāne ariyānaṃ cittaṃ ramati, tadeva ṭhānaṃ ramaṇīyaṃ nāmāti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘คาเม วา ยทิ วารเญฺญ, นิเนฺน วา ยทิ วา ถเล;

    ‘‘Gāme vā yadi vāraññe, ninne vā yadi vā thale;

    ยตฺถ อรหโนฺต วิหรนฺติ, ตํ ภูมิรามเณยฺยก’’นฺติฯ (ธ. ป. ๙๘; สํ. นิ. ๑.๒๖๑);

    Yattha arahanto viharanti, taṃ bhūmirāmaṇeyyaka’’nti. (dha. pa. 98; saṃ. ni. 1.261);

    อถ สตฺถา อปรภาเค เชตวนมหาวิหาเร อริยคณมเชฺฌ นิสิโนฺน เถรํ อารญฺญกานํ ภิกฺขูนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Atha satthā aparabhāge jetavanamahāvihāre ariyagaṇamajjhe nisinno theraṃ āraññakānaṃ bhikkhūnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    กงฺขาเรวตเตฺถรวตฺถุ

    Kaṅkhārevatattheravatthu

    ๒๐๔. ฉเฎฺฐ ฌายีนนฺติ ฌานลาภีนํ ฌานาภิรตานํฯ โส กิร เถโร ยา ฌานสมาปตฺติโย ทสพโล สมาปชฺชติ, ตโต อปฺปตรํ ฐเปตฺวา พหุตรา สมาปชฺชติฯ ตสฺมา ฌายีนํ อโคฺค นาม ชาโตฯ กงฺขายนภาเวน กงฺขาเรวโตติ วุจฺจติฯ กงฺขา นาม กุกฺกุจฺจํ, กุกฺกุจฺจโกติ อโตฺถฯ กิํ ปน อเญฺญ กุกฺกุจฺจกา นตฺถีติ? อตฺถิ, อยํ ปน เถโร กปฺปิเยปิ กุกฺกุจฺจํ อุปฺปาเทสิฯ เตนสฺส กุกฺกุจฺจกตา อติปากฎา ชาตาติ กงฺขาเรวโตเตฺวว สงฺขํ คโตฯ

    204. Chaṭṭhe jhāyīnanti jhānalābhīnaṃ jhānābhiratānaṃ. So kira thero yā jhānasamāpattiyo dasabalo samāpajjati, tato appataraṃ ṭhapetvā bahutarā samāpajjati. Tasmā jhāyīnaṃ aggo nāma jāto. Kaṅkhāyanabhāvena kaṅkhārevatoti vuccati. Kaṅkhā nāma kukkuccaṃ, kukkuccakoti attho. Kiṃ pana aññe kukkuccakā natthīti? Atthi, ayaṃ pana thero kappiyepi kukkuccaṃ uppādesi. Tenassa kukkuccakatā atipākaṭā jātāti kaṅkhārevatotveva saṅkhaṃ gato.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยํ กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล ปุริมนเยเนว มหาชเนน สทฺธิํ วิหารํ คนฺตฺวา ปริสปริยเนฺต ฐิโต ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ฌานาภิรตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยาปิ อนาคเต เอวรูเปน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ เทสนาวสาเน สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา ปุริมนเยเนว สตฺตาหํ มหาสกฺการํ กตฺวา ภควนฺตํ อาห – ‘‘ภเนฺต, อหํ อิมินา อธิการกเมฺมน น อญฺญํ สมฺปตฺติํ ปเตฺถมิ, ยถา ปน โส ตุเมฺหหิ อิโต สตฺตทิวสมตฺถเก ภิกฺขุ ฌายีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐปิโต, เอวํ อหมฺปิ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน ฌายีนํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา อนาคตํ โอโลเกตฺวา สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา ‘‘อนาคเต กปฺปสตสหสฺสาวสาเน โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺส สาสเน ตฺวํ ฌายีนํ อโคฺค ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากริตฺวา ปกฺกามิฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayaṃ kira padumuttarabuddhakāle purimanayeneva mahājanena saddhiṃ vihāraṃ gantvā parisapariyante ṭhito dhammaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ jhānābhiratānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā ‘‘mayāpi anāgate evarūpena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti desanāvasāne satthāraṃ nimantetvā purimanayeneva sattāhaṃ mahāsakkāraṃ katvā bhagavantaṃ āha – ‘‘bhante, ahaṃ iminā adhikārakammena na aññaṃ sampattiṃ patthemi, yathā pana so tumhehi ito sattadivasamatthake bhikkhu jhāyīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapito, evaṃ ahampi anāgate ekassa buddhassa sāsane jhāyīnaṃ aggo bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi. Satthā anāgataṃ oloketvā samijjhanabhāvaṃ disvā ‘‘anāgate kappasatasahassāvasāne gotamo nāma buddho uppajjissati, tassa sāsane tvaṃ jhāyīnaṃ aggo bhavissasī’’ti byākaritvā pakkāmi.

    โส ยาวชีวํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อมฺหากํ ภควโต กาเล สาวตฺถินคเร มหาโภคกุเล นิพฺพโตฺต ปจฺฉาภตฺตํ ธมฺมสฺสวนตฺถํ คจฺฉเนฺตน มหาชเนน สทฺธิํ วิหารํ คนฺตฺวา ปริสปริยเนฺต ฐิโต ทสพลสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา สทฺธํ ปฎิลภิตฺวา ปพฺพชิโต อุปสมฺปทํ ลภิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ กถาเปตฺวา ฌานปริกมฺมํ กโรโนฺต ฌานลาภี หุตฺวา ฌานเมว ปาทกํ กตฺวา อรหตฺตผลํ ปาปุณิฯ โส ทสพเลน สมาปชฺชิตพฺพสมาปตฺตีนํ อปฺปตรา ฐเปตฺวา พหุตรา สมาปชฺชโนฺต อโหรตฺตํ ฌาเนสุ จิณฺณวสี อโหสิฯ อถ นํ อปรภาเค สตฺถา อิมํ คุณํ คเหตฺวา ฌายีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ ‘‘อกปฺปิโย, อาวุโส คุโฬ, อกปฺปิยา มุคฺคา’’ติ (มหาว. ๒๗๒) เอวํ ปน กปฺปิเยเสฺวว วตฺถูสุ กุกฺกุจฺจสฺส อุปฺปาทิตตาย กุกฺกุจฺจสงฺขาตาย กงฺขาย ภาเวน กงฺขาเรวโตติ สงฺขํ คโตติฯ

    So yāvajīvaṃ kalyāṇakammaṃ katvā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā amhākaṃ bhagavato kāle sāvatthinagare mahābhogakule nibbatto pacchābhattaṃ dhammassavanatthaṃ gacchantena mahājanena saddhiṃ vihāraṃ gantvā parisapariyante ṭhito dasabalassa dhammakathaṃ sutvā saddhaṃ paṭilabhitvā pabbajito upasampadaṃ labhitvā kammaṭṭhānaṃ kathāpetvā jhānaparikammaṃ karonto jhānalābhī hutvā jhānameva pādakaṃ katvā arahattaphalaṃ pāpuṇi. So dasabalena samāpajjitabbasamāpattīnaṃ appatarā ṭhapetvā bahutarā samāpajjanto ahorattaṃ jhānesu ciṇṇavasī ahosi. Atha naṃ aparabhāge satthā imaṃ guṇaṃ gahetvā jhāyīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi. ‘‘Akappiyo, āvuso guḷo, akappiyā muggā’’ti (mahāva. 272) evaṃ pana kappiyesveva vatthūsu kukkuccassa uppāditatāya kukkuccasaṅkhātāya kaṅkhāya bhāvena kaṅkhārevatoti saṅkhaṃ gatoti.

    โสณโกฬิวิสเตฺถรวตฺถุ

    Soṇakoḷivisattheravatthu

    ๒๐๕. สตฺตเม อารทฺธวีริยานนฺติ ปคฺคหิตวีริยานํ ปริปุณฺณวีริยานํฯ โสโณ โกฬิวิโสติ โสโณติ ตสฺส นามํ, โกฬิวิโสติ โคตฺตํฯ โกฎิเวโสฺสติ วา อโตฺถ, อิสฺสริเยน โกฎิปฺปตฺตสฺส เวสฺสกุลสฺส ทารโกติ อธิปฺปาโยฯ ยสฺมา ปน อเญฺญสํ ภิกฺขูนํ วีริยํ นาม วเฑฺฒตพฺพํ โหติ, เถรสฺส ปน หาเปตพฺพเมว อโหสิฯ ตสฺมา เอส อารทฺธวีริยานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    205. Sattame āraddhavīriyānanti paggahitavīriyānaṃ paripuṇṇavīriyānaṃ. Soṇo koḷivisoti soṇoti tassa nāmaṃ, koḷivisoti gottaṃ. Koṭivessoti vā attho, issariyena koṭippattassa vessakulassa dārakoti adhippāyo. Yasmā pana aññesaṃ bhikkhūnaṃ vīriyaṃ nāma vaḍḍhetabbaṃ hoti, therassa pana hāpetabbameva ahosi. Tasmā esa āraddhavīriyānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยํ กิร อตีเต ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล เสฎฺฐิกุเล นิพฺพตฺติ, สิริวฑฺฒกุมาโรติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ปุริมนเยเนว วิหารํ คนฺตฺวา ปริสปริยเนฺต ฐิโต ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ อารทฺธวีริยานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยาปิ อนาคเต เอวรูเปน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ เทสนาปริโยสาเน ทสพลํ นิมเนฺตตฺวา สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา วุตฺตนเยเนว ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา ตสฺส ปตฺถนาย สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา ปุริมนเยเนว พฺยากริตฺวา วิหารํ คโตฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayaṃ kira atīte padumuttarabuddhakāle seṭṭhikule nibbatti, sirivaḍḍhakumārotissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto purimanayeneva vihāraṃ gantvā parisapariyante ṭhito dhammaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ āraddhavīriyānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā ‘‘mayāpi anāgate evarūpena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti desanāpariyosāne dasabalaṃ nimantetvā sattāhaṃ mahādānaṃ datvā vuttanayeneva patthanaṃ akāsi. Satthā tassa patthanāya samijjhanabhāvaṃ disvā purimanayeneva byākaritvā vihāraṃ gato.

    โสปิ สิริวฑฺฒเสฎฺฐิ ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต กปฺปสตสหสฺสํ อติกฺกมิตฺวา อิมสฺมิํ กเปฺป ปรินิพฺพุเต กสฺสปทสพเล อนุปฺปเนฺน อมฺหากํ ภควติ พาราณสิยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ โส อตฺตโน สหายเกหิ สทฺธิํ คงฺคายํ กีฬติฯ ตสฺมิํ สมเย เอโก ชิณฺณจีวริโก ปเจฺจกพุโทฺธ ‘‘พาราณสิํ อุปนิสฺสาย คงฺคาตีเร ปณฺณสาลํ กตฺวา วสฺสํ อุปคจฺฉิสฺสามี’’ติ อุทเกน สมุปพฺยูเฬฺห ทณฺฑเก จ วลฺลิโย จ สํกฑฺฒติฯ อยํ กุมาโร สหายเกหิ สทฺธิํ คนฺตฺวา อภิวาเทตฺวา ฐิโต, ‘‘ภเนฺต, กิํ กโรถา’’ติ ปุจฺฉิฯ กุมาร อุปกเฎฺฐ อโนฺตวเสฺส ปพฺพชิตานํ วสนฎฺฐานํ นาม ลทฺธุํ วฎฺฎตีติฯ ‘‘ภเนฺต, อเชฺชว เอกทิวสํ อโยฺย ยถา ตถา อาคเมตุ, อหํ เสฺว อยฺยสฺส วสนฎฺฐานํ กริสฺสามี’’ติ อาหฯ ปเจฺจกพุโทฺธ ‘‘ตเสฺสว กุมารสฺส สงฺคหํ กริสฺสามี’’ติ อาคตตฺตา อธิวาเสสิฯ โส ตสฺส อธิวาสนํ วิทิตฺวา คโต ปุนทิวเส สกฺการสมฺมานํ สเชฺชตฺวา ปเจฺจกพุทฺธสฺส อาคมนํ โอโลเกโนฺต อฎฺฐาสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธปิ ‘‘กหํ นุ โข อชฺช ภิกฺขาจารํ ลภิสฺสามี’’ติ อาวเชฺชโนฺต ญตฺวา ตเสฺสว เคหทฺวารํ อคมาสิฯ

    Sopi sirivaḍḍhaseṭṭhi yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto kappasatasahassaṃ atikkamitvā imasmiṃ kappe parinibbute kassapadasabale anuppanne amhākaṃ bhagavati bārāṇasiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gaṇhi. So attano sahāyakehi saddhiṃ gaṅgāyaṃ kīḷati. Tasmiṃ samaye eko jiṇṇacīvariko paccekabuddho ‘‘bārāṇasiṃ upanissāya gaṅgātīre paṇṇasālaṃ katvā vassaṃ upagacchissāmī’’ti udakena samupabyūḷhe daṇḍake ca valliyo ca saṃkaḍḍhati. Ayaṃ kumāro sahāyakehi saddhiṃ gantvā abhivādetvā ṭhito, ‘‘bhante, kiṃ karothā’’ti pucchi. Kumāra upakaṭṭhe antovasse pabbajitānaṃ vasanaṭṭhānaṃ nāma laddhuṃ vaṭṭatīti. ‘‘Bhante, ajjeva ekadivasaṃ ayyo yathā tathā āgametu, ahaṃ sve ayyassa vasanaṭṭhānaṃ karissāmī’’ti āha. Paccekabuddho ‘‘tasseva kumārassa saṅgahaṃ karissāmī’’ti āgatattā adhivāsesi. So tassa adhivāsanaṃ viditvā gato punadivase sakkārasammānaṃ sajjetvā paccekabuddhassa āgamanaṃ olokento aṭṭhāsi. Paccekabuddhopi ‘‘kahaṃ nu kho ajja bhikkhācāraṃ labhissāmī’’ti āvajjento ñatvā tasseva gehadvāraṃ agamāsi.

    กุมาโร ปเจฺจกพุทฺธํ ทิสฺวา สมฺปิยายมาโน ปตฺตํ อาทาย ภิกฺขํ ทตฺวา ‘‘อิมํ อโนฺตวสฺสํ มยฺหํ เคหทฺวารเมว อาคจฺฉถ, ภเนฺต’’ติ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา ปเจฺจกพุเทฺธ ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ปกฺกเนฺต อตฺตโน สหายเกหิ สทฺธิํ คนฺตฺวา เอกทิวเสเนว ปเจฺจกพุทฺธสฺส วสนปณฺณสาลญฺจ จงฺกมนญฺจ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานานิ จ การาเปตฺวา อทาสิฯ ตเสฺสว ปณฺณสาลํ ปวิสนเวลาย หริตูปลิตฺตาย ภูมิยา ‘‘ปาเทสุ กลลํ มา ลคฺคี’’ติ อตฺตโน ปารุปนํ สตสหสฺสคฺฆนกํ รตฺตกมฺพลํ ภูมตฺถรณํ สนฺถริตฺวา กมฺพลสฺส วเณฺณน สทฺธิํ ปเจฺจกพุทฺธสฺส สรีรปฺปภํ เอกสทิสํ ทิสฺวา อติวิย ปสโนฺน หุตฺวา อาห – ‘‘ยถา ตุเมฺหหิ อกฺกนฺตกาลโต ปฎฺฐาย อิมสฺส กมฺพลสฺส อติวิย ปภา วิโรจติ, เอวเมว มยฺหมฺปิ นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน หตฺถปาทานํ วโณฺณ พนฺธุชีวกปุปฺผวโณฺณ โหตุ, สตกฺขตฺตุํ วิหตกปฺปาสปฎลผสฺสสทิโสว ผโสฺส โหตู’’ติฯ โส เตมาสํ ปเจฺจกพุทฺธํ อุปฎฺฐหิตฺวา ปวาริตกาเล ติจีวรํ อทาสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ ปริปุณฺณปตฺตจีวโร คนฺธมาทนเมว คโตฯ

    Kumāro paccekabuddhaṃ disvā sampiyāyamāno pattaṃ ādāya bhikkhaṃ datvā ‘‘imaṃ antovassaṃ mayhaṃ gehadvārameva āgacchatha, bhante’’ti paṭiññaṃ gahetvā paccekabuddhe bhattakiccaṃ katvā pakkante attano sahāyakehi saddhiṃ gantvā ekadivaseneva paccekabuddhassa vasanapaṇṇasālañca caṅkamanañca rattiṭṭhānadivāṭṭhānāni ca kārāpetvā adāsi. Tasseva paṇṇasālaṃ pavisanavelāya haritūpalittāya bhūmiyā ‘‘pādesu kalalaṃ mā laggī’’ti attano pārupanaṃ satasahassagghanakaṃ rattakambalaṃ bhūmattharaṇaṃ santharitvā kambalassa vaṇṇena saddhiṃ paccekabuddhassa sarīrappabhaṃ ekasadisaṃ disvā ativiya pasanno hutvā āha – ‘‘yathā tumhehi akkantakālato paṭṭhāya imassa kambalassa ativiya pabhā virocati, evameva mayhampi nibbattanibbattaṭṭhāne hatthapādānaṃ vaṇṇo bandhujīvakapupphavaṇṇo hotu, satakkhattuṃ vihatakappāsapaṭalaphassasadisova phasso hotū’’ti. So temāsaṃ paccekabuddhaṃ upaṭṭhahitvā pavāritakāle ticīvaraṃ adāsi. Paccekabuddho paripuṇṇapattacīvaro gandhamādanameva gato.

    โสปิ กุลปุโตฺต เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อมฺหากํ ภควโต กาเล กาฬจมฺปานคเร อุปเสฎฺฐิสฺส ฆเร ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตสฺส ปฎิสนฺธิคฺคหณกาลโต ปฎฺฐาย เสฎฺฐิกุลํ อเนกานิ ปณฺณาการสหสฺสานิ อาคจฺฉนฺติฯ ชาตทิวเส จ สกลนครํ เอกสกฺการสมฺมานํ อโหสิฯ อถสฺส นามคฺคหณทิวเส มาตาปิตโร ‘‘อมฺหากํ ปุโตฺต อตฺตโน นามํ คณฺหิตฺวาว อาคโต, รตฺตสุวณฺณรสปริสิตฺตา วิยสฺส สรีรจฺฉวี’’ติ โสณกุมาโรเตฺววสฺส นามํ อกํสุฯ

    Sopi kulaputto devamanussesu saṃsaranto amhākaṃ bhagavato kāle kāḷacampānagare upaseṭṭhissa ghare paṭisandhiṃ gaṇhi. Tassa paṭisandhiggahaṇakālato paṭṭhāya seṭṭhikulaṃ anekāni paṇṇākārasahassāni āgacchanti. Jātadivase ca sakalanagaraṃ ekasakkārasammānaṃ ahosi. Athassa nāmaggahaṇadivase mātāpitaro ‘‘amhākaṃ putto attano nāmaṃ gaṇhitvāva āgato, rattasuvaṇṇarasaparisittā viyassa sarīracchavī’’ti soṇakumārotvevassa nāmaṃ akaṃsu.

    อถสฺส สฎฺฐิ ธาติโย อุปเนตฺวา เทวกุมารํ วิย นํ สุเขน วเฑฺฒสุํฯ ตสฺส เอวรูปํ อาหารวิธานํ อโหสิ – สฎฺฐิกรีสมตฺตํ ฐานํ กสิตฺวา ติวิเธน อุทเกน โปเสนฺติฯ เกทาเร ปวิสนฺตีสุ อุทกมาติกาสุ ขีโรทกสฺส จ คโนฺธทกสฺส จ อเนกานิ จาฎิสหสฺสานิ อาสิญฺจนฺติฯ สาลิสีสานํ ขีรคฺคหณกาเล สุกาทีนํ ปาณานํ อุจฺฉิฎฺฐกรณนิวารณตฺถํ วีหิคพฺภานํ สุขุมาลภาวตฺถญฺจ ปริยนฺตปริเกฺขเป จ อนฺตรนฺตรา จ ถเมฺภ นิขนิตฺวา อุปริ ทณฺฑเก ทตฺวา กิลเญฺชหิ ฉาเทตฺวา สมนฺตา สาณิยา ปริกฺขิปิตฺวา สพฺพปริยเนฺต อารกฺขํ คณฺหนฺติฯ สเสฺส นิปฺผเนฺน โกเฎฺฐ จตุชาติคเนฺธหิ ปริภณฺฑํ กตฺวา อุปริ อุตฺตมคเนฺธหิ ปริภาเวนฺติ ฯ อเนกสหสฺสปุริสา เขตฺตํ โอรุยฺห สาลิสีสานิ วเณฺฎสุ ฉินฺทิตฺวา มุฎฺฐิมุฎฺฐิโย กตฺวา รชฺชุเกหิ พนฺธิตฺวา สุกฺขาเปนฺติฯ ตโต โกฎฺฐกสฺส เหฎฺฐิมตเล คเนฺธ สนฺถริตฺวา อุปริ สาลิสีสานิ สนฺถรนฺติฯ เอวํ เอกนฺตริกํ กตฺวา สนฺถรนฺตา โกฎฺฐกํ ปูเรตฺวา ทฺวารํ ปิทหนฺติ , ติวสฺสสมฺปตฺตกาเล โกฎฺฐกํ วิวรนฺติฯ วิวฎกาเล สกลนครํ สุคนฺธคนฺธิกํ โหติฯ สาลิมฺหิ ปหเต ธุตฺตา ถุเส กิณิตฺวา คณฺหนฺติ, กุณฺฑกํ ปน จูฬุปฎฺฐากา ลภนฺติฯ มุสลฆฎฺฎิตเก สาลิตณฺฑุเล วิจินิตฺวา คณฺหนฺติ ฯ เต สุวณฺณหีรกปจฺฉิยํ ปกฺขิปิตฺวา สตกาลํ ปริสฺสาเวตฺวา คหิเต ปกฺกุถิตชาติรเส เอกวารํ ปกฺขิปิตฺวา อุทฺธรนฺติ, ปมุขฎฺฐานํ สุมนปุปฺผสทิสํ โหติฯ ตํ โภชนํ สุวณฺณสรเก ปกฺขิปิตฺวา ปกฺกุถิตอโปฺปทกมธุปายาสปูริตสฺส รชตถาลสฺส อุปริ กตฺวา อาทาย คนฺตฺวา เสฎฺฐิปุตฺตสฺส ปุรโต ฐเปนฺติฯ

    Athassa saṭṭhi dhātiyo upanetvā devakumāraṃ viya naṃ sukhena vaḍḍhesuṃ. Tassa evarūpaṃ āhāravidhānaṃ ahosi – saṭṭhikarīsamattaṃ ṭhānaṃ kasitvā tividhena udakena posenti. Kedāre pavisantīsu udakamātikāsu khīrodakassa ca gandhodakassa ca anekāni cāṭisahassāni āsiñcanti. Sālisīsānaṃ khīraggahaṇakāle sukādīnaṃ pāṇānaṃ ucchiṭṭhakaraṇanivāraṇatthaṃ vīhigabbhānaṃ sukhumālabhāvatthañca pariyantaparikkhepe ca antarantarā ca thambhe nikhanitvā upari daṇḍake datvā kilañjehi chādetvā samantā sāṇiyā parikkhipitvā sabbapariyante ārakkhaṃ gaṇhanti. Sasse nipphanne koṭṭhe catujātigandhehi paribhaṇḍaṃ katvā upari uttamagandhehi paribhāventi . Anekasahassapurisā khettaṃ oruyha sālisīsāni vaṇṭesu chinditvā muṭṭhimuṭṭhiyo katvā rajjukehi bandhitvā sukkhāpenti. Tato koṭṭhakassa heṭṭhimatale gandhe santharitvā upari sālisīsāni santharanti. Evaṃ ekantarikaṃ katvā santharantā koṭṭhakaṃ pūretvā dvāraṃ pidahanti , tivassasampattakāle koṭṭhakaṃ vivaranti. Vivaṭakāle sakalanagaraṃ sugandhagandhikaṃ hoti. Sālimhi pahate dhuttā thuse kiṇitvā gaṇhanti, kuṇḍakaṃ pana cūḷupaṭṭhākā labhanti. Musalaghaṭṭitake sālitaṇḍule vicinitvā gaṇhanti . Te suvaṇṇahīrakapacchiyaṃ pakkhipitvā satakālaṃ parissāvetvā gahite pakkuthitajātirase ekavāraṃ pakkhipitvā uddharanti, pamukhaṭṭhānaṃ sumanapupphasadisaṃ hoti. Taṃ bhojanaṃ suvaṇṇasarake pakkhipitvā pakkuthitaappodakamadhupāyāsapūritassa rajatathālassa upari katvā ādāya gantvā seṭṭhiputtassa purato ṭhapenti.

    โส อตฺตโน ยาปนมตฺตํ ภุญฺชิตฺวา คนฺธวาสิเตน อุทเกน มุขํ วิกฺขาเลตฺวา หตฺถปาเท โธวติฯ อถสฺส โธตหตฺถปาทสฺส นานปฺปการํ มุขวาสํ อุปเนนฺติฯ ตสฺส อกฺกมนฎฺฐาเน วรโปตฺถกจิตฺตตฺถรณํ อตฺถรนฺติฯ หตฺถปาทตลานิสฺส พนฺธุชีวกปุปฺผวณฺณานิ โหนฺติ, สตกาลวิหตกปฺปาสสฺส วิย ผโสฺส, ปาทตเลสุ มณิกุณฺฑลาวตฺตวณฺณานิ โลมานิ ชายิํสุฯ โส กสฺสจิเทว กุชฺฌิตฺวา ‘‘อาชานาหิ ภูมิํ อกฺกมิสฺสามี’’ติ วทติฯ ตสฺส วยปฺปตฺตสฺส ติณฺณํ อุตูนํ อนุจฺฉวิเก ตโย ปาสาเท กาเรตฺวา นาฎกานิ จ อุปฎฺฐาเปสุํฯ โส มหาสมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต เทโว มเญฺญ ปฎิวสติฯ

    So attano yāpanamattaṃ bhuñjitvā gandhavāsitena udakena mukhaṃ vikkhāletvā hatthapāde dhovati. Athassa dhotahatthapādassa nānappakāraṃ mukhavāsaṃ upanenti. Tassa akkamanaṭṭhāne varapotthakacittattharaṇaṃ attharanti. Hatthapādatalānissa bandhujīvakapupphavaṇṇāni honti, satakālavihatakappāsassa viya phasso, pādatalesu maṇikuṇḍalāvattavaṇṇāni lomāni jāyiṃsu. So kassacideva kujjhitvā ‘‘ājānāhi bhūmiṃ akkamissāmī’’ti vadati. Tassa vayappattassa tiṇṇaṃ utūnaṃ anucchavike tayo pāsāde kāretvā nāṭakāni ca upaṭṭhāpesuṃ. So mahāsampattiṃ anubhavanto devo maññe paṭivasati.

    อถ อมฺหากํ สตฺถริ สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจเกฺก ราชคหํ อุปนิสฺสาย วิหรเนฺต ปาทโลมทสฺสนตฺถํ รญฺญา มาคเธน ปโกฺกสาเปตฺวา อสีติยา คามิยสหเสฺสหิ สทฺธิํ สตฺถุ สนฺติกํ ปหิโต ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ สตฺถารํ ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ อถ นํ ภควา ‘‘อนุญฺญาโตสิ มาตาปิตูหี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา อนนุญฺญาตภาวํ สุตฺวา ‘‘น โข, โสณ, ตถาคตา มาตาปิตูหิ อนนุญฺญาตํ ปุตฺตํ ปพฺพาเชนฺตี’’ติ ปฎิกฺขิปิฯ โส ‘‘สาธุ ภควา’’ติ ตถาคตสฺส วจนํ สิรสา สมฺปฎิจฺฉิตฺวา มาตาปิตูนํ สนฺติกํ คนฺตฺวา อนุชานาเปตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ อาคมฺม อญฺญตรสฺส ภิกฺขุโน สนฺติเก ปพฺพชิฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปนสฺส ปพฺพชฺชาวิธานํ ปาฬิยํ (มหาว. ๒๔๓) อาคตเมวฯ

    Atha amhākaṃ satthari sabbaññutaṃ patvā pavattitavaradhammacakke rājagahaṃ upanissāya viharante pādalomadassanatthaṃ raññā māgadhena pakkosāpetvā asītiyā gāmiyasahassehi saddhiṃ satthu santikaṃ pahito dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddho satthāraṃ pabbajjaṃ yāci. Atha naṃ bhagavā ‘‘anuññātosi mātāpitūhī’’ti pucchitvā ananuññātabhāvaṃ sutvā ‘‘na kho, soṇa, tathāgatā mātāpitūhi ananuññātaṃ puttaṃ pabbājentī’’ti paṭikkhipi. So ‘‘sādhu bhagavā’’ti tathāgatassa vacanaṃ sirasā sampaṭicchitvā mātāpitūnaṃ santikaṃ gantvā anujānāpetvā satthu santikaṃ āgamma aññatarassa bhikkhuno santike pabbaji. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato panassa pabbajjāvidhānaṃ pāḷiyaṃ (mahāva. 243) āgatameva.

    ตสฺส ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ลภิตฺวา ราชคเห วิหรนฺตสฺส สมฺพหุลา ญาติสาโลหิตา จ สนฺทิฎฺฐสมฺภตฺตา จ สกฺการสมฺมานํ อาหรนฺติ, รูปนิปฺผตฺติยา วณฺณํ กเถนฺติ, อเญฺญปิ ชนา ปสฺสิตุํ อาคจฺฉนฺติฯ เถโร จิเนฺตสิ – ‘‘มม สนฺติกํ พหู ชนา อาคจฺฉนฺติ, กมฺมฎฺฐาเน วา วิปสฺสนาย วา กมฺมํ กาตุํ กถํ สกฺขิสฺสามิ, ยํนูนาหํ สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ กถาเปตฺวา สีตวนสุสานํ คนฺตฺวา สมณธมฺมํ กเรยฺยํฯ ตตฺร หิ สุสานนฺติ ชิคุจฺฉิตฺวา พหู ชนา นาคมิสฺสนฺติ, เอวํสเนฺต มม กิจฺจํ มตฺถกํ ปาปุณิสฺสตี’’ติ สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ กถาเปตฺวา สีตวนํ คนฺตฺวา สมณธมฺมํ กาตุํ อารภิฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ สรีรํ ปรมสุขุมาลํ, น โข ปน สกฺกา สุเขเนว สุขํ ปาปุณิตุํ, กายํ กิลเมตฺวาปิ สมณธมฺมํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ตโต ฐานจงฺกมเมว อธิฎฺฐาย ปธานมกาสิฯ ตสฺส สุขุมาลานํ ปาทตลานํ อนฺตเนฺตหิ โผฎา อุฎฺฐาย ภิชฺชิํสุ, จงฺกโม เอกโลหิโตว อโหสิฯ ปาเทสุ อวหเนฺตสุ ชณฺณุเกหิปิ หเตฺถหิปิ วายมิตฺวา จงฺกมติฯ เอวํ วีริยํ ทฬฺหํ กโรโนฺตปิ โอภาสมตฺตมฺปิ นิพฺพเตฺตตุํ อสโกฺกโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ อโญฺญปิ อารทฺธวีริโย ภเวยฺย, มาทิโสว ภเวยฺยฯ อหํ โข ปน เอวํ วายมโนฺตปิ มคฺคํ วา ผลํ วา อุปฺปาเทตุํ น สโกฺกมิ, อทฺธา เนวาหํ อุคฺฆฎิตญฺญู, น วิปญฺจิตญฺญู, น เนโยฺย, ปทปรเมน มยา ภวิตพฺพํฯ กิํ เม ปพฺพชฺชาย, หีนายาวตฺติตฺวา โภเค จ ภุญฺชิสฺสามิ ปุญฺญานิ จ กริสฺสามี’’ติฯ

    Tassa pabbajjañca upasampadañca labhitvā rājagahe viharantassa sambahulā ñātisālohitā ca sandiṭṭhasambhattā ca sakkārasammānaṃ āharanti, rūpanipphattiyā vaṇṇaṃ kathenti, aññepi janā passituṃ āgacchanti. Thero cintesi – ‘‘mama santikaṃ bahū janā āgacchanti, kammaṭṭhāne vā vipassanāya vā kammaṃ kātuṃ kathaṃ sakkhissāmi, yaṃnūnāhaṃ satthu santike kammaṭṭhānaṃ kathāpetvā sītavanasusānaṃ gantvā samaṇadhammaṃ kareyyaṃ. Tatra hi susānanti jigucchitvā bahū janā nāgamissanti, evaṃsante mama kiccaṃ matthakaṃ pāpuṇissatī’’ti satthu santike kammaṭṭhānaṃ kathāpetvā sītavanaṃ gantvā samaṇadhammaṃ kātuṃ ārabhi. So cintesi – ‘‘mayhaṃ sarīraṃ paramasukhumālaṃ, na kho pana sakkā sukheneva sukhaṃ pāpuṇituṃ, kāyaṃ kilametvāpi samaṇadhammaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti. Tato ṭhānacaṅkamameva adhiṭṭhāya padhānamakāsi. Tassa sukhumālānaṃ pādatalānaṃ antantehi phoṭā uṭṭhāya bhijjiṃsu, caṅkamo ekalohitova ahosi. Pādesu avahantesu jaṇṇukehipi hatthehipi vāyamitvā caṅkamati. Evaṃ vīriyaṃ daḷhaṃ karontopi obhāsamattampi nibbattetuṃ asakkonto cintesi – ‘‘sace aññopi āraddhavīriyo bhaveyya, mādisova bhaveyya. Ahaṃ kho pana evaṃ vāyamantopi maggaṃ vā phalaṃ vā uppādetuṃ na sakkomi, addhā nevāhaṃ ugghaṭitaññū, na vipañcitaññū, na neyyo, padaparamena mayā bhavitabbaṃ. Kiṃ me pabbajjāya, hīnāyāvattitvā bhoge ca bhuñjissāmi puññāni ca karissāmī’’ti.

    ตสฺมิํ สมเย สตฺถา เถรสฺส วิตกฺกํ ญตฺวา สายนฺหสมเย ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ตตฺถ คนฺตฺวา โลหิเตน ผุฎฺฐํ จงฺกมํ ทิสฺวา เถรํ วีโณวาเทน (มหาว. ๒๔๓) โอวทิตฺวา วีริยสมถโยชนตฺถาย ตสฺส กมฺมฎฺฐานํ กเถตฺวา คิชฺฌกูฎเมว คโตฯ โสณเตฺถโรปิ ทสพลสฺส สมฺมุขา โอวาทํ ลภิตฺวา นจิรเสฺสว อรหเตฺต ปติฎฺฐาสิฯ อถ สตฺถา อปรภาเค เชตวเน ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ธมฺมํ เทเสโนฺต เถรํ อารทฺธวีริยานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Tasmiṃ samaye satthā therassa vitakkaṃ ñatvā sāyanhasamaye bhikkhusaṅghaparivuto tattha gantvā lohitena phuṭṭhaṃ caṅkamaṃ disvā theraṃ vīṇovādena (mahāva. 243) ovaditvā vīriyasamathayojanatthāya tassa kammaṭṭhānaṃ kathetvā gijjhakūṭameva gato. Soṇattheropi dasabalassa sammukhā ovādaṃ labhitvā nacirasseva arahatte patiṭṭhāsi. Atha satthā aparabhāge jetavane bhikkhusaṅghaparivuto dhammaṃ desento theraṃ āraddhavīriyānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    โสณกุฎิกณฺณเตฺถรวตฺถุ

    Soṇakuṭikaṇṇattheravatthu

    ๒๐๖. อฎฺฐเม กลฺยาณวากฺกรณานนฺติ วากฺกรณํ วุจฺจติ วจนกิริยา, มธุรวจนานนฺติ อโตฺถฯ อยญฺหิ เถโร ทสพเลน สทฺธิํ เอกคนฺธกุฎิยา ตถาคตสฺส มธุเรน สเรน ธมฺมกถํ กเถสิฯ อถสฺส สตฺถา สาธุการํ อทาสิฯ ตสฺมา โส กลฺยาณวากฺกรณานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ โสโณติ ตสฺส นามํ, โกฎิอคฺฆนกํ ปน กณฺณปิฬนฺธนํ ธาเรสิฯ ตสฺมา กุฎิกโณฺณติ วุจฺจติ, โกฎิกโณฺณติ อโตฺถฯ

    206. Aṭṭhame kalyāṇavākkaraṇānanti vākkaraṇaṃ vuccati vacanakiriyā, madhuravacanānanti attho. Ayañhi thero dasabalena saddhiṃ ekagandhakuṭiyā tathāgatassa madhurena sarena dhammakathaṃ kathesi. Athassa satthā sādhukāraṃ adāsi. Tasmā so kalyāṇavākkaraṇānaṃ aggo nāma jāto. Soṇoti tassa nāmaṃ, koṭiagghanakaṃ pana kaṇṇapiḷandhanaṃ dhāresi. Tasmā kuṭikaṇṇoti vuccati, koṭikaṇṇoti attho.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล ปุริมนเยเนว มหาชเนน สทฺธิํ วิหารํ คนฺตฺวา ปริสปริยเนฺต ฐตฺวา สตฺถุ ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ กลฺยาณวากฺกรณานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยาปิ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน กลฺยาณวากฺกรณานํ อเคฺคน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ทสพลํ นิมเนฺตตฺวา สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ยํ ภิกฺขุํ ตุเมฺห อิโต สตฺตทิวสมตฺถเก กลฺยาณวากฺกรณานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐปยิตฺถ, อหมฺปิ อิมสฺส อธิการกมฺมสฺส ผเลน อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน ตถารูโป ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา ตสฺส อนนฺตรายํ ทิสฺวา ‘‘อนาคเต โคตมพุทฺธสฺส สาสเน กลฺยาณวากฺกรณานํ อโคฺค ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากริตฺวา ปกฺกามิฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi padumuttarabuddhakāle purimanayeneva mahājanena saddhiṃ vihāraṃ gantvā parisapariyante ṭhatvā satthu dhammaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ kalyāṇavākkaraṇānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā ‘‘mayāpi anāgate ekassa buddhassa sāsane kalyāṇavākkaraṇānaṃ aggena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā dasabalaṃ nimantetvā sattāhaṃ mahādānaṃ datvā, ‘‘bhante, yaṃ bhikkhuṃ tumhe ito sattadivasamatthake kalyāṇavākkaraṇānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapayittha, ahampi imassa adhikārakammassa phalena anāgate ekassa buddhassa sāsane tathārūpo bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi. Satthā tassa anantarāyaṃ disvā ‘‘anāgate gotamabuddhassa sāsane kalyāṇavākkaraṇānaṃ aggo bhavissasī’’ti byākaritvā pakkāmi.

    โสปิ ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา กปฺปสตสหสฺสํ เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสรโนฺต อมฺหากํ ทสพลสฺส อุปฺปตฺติโต ปุเรตรเมว เทวโลกา จวิตฺวา กาฬิยา นาม กุรรฆริกาย อุปาสิกาย กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ สา ปริปเกฺก คเพฺภ ราชคหนคเร อตฺตโน กุลนิเวสนํ อาคตาฯ

    Sopi yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā kappasatasahassaṃ devesu ca manussesu ca saṃsaranto amhākaṃ dasabalassa uppattito puretarameva devalokā cavitvā kāḷiyā nāma kuraragharikāya upāsikāya kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Sā paripakke gabbhe rājagahanagare attano kulanivesanaṃ āgatā.

    ตสฺมิํ สมเย อมฺหากํ สตฺถา สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต อิสิปตเน ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตสิฯ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตา สนฺนิปติํสุฯ ตตฺถ เอโก อฎฺฐวีสติยา ยกฺขเสนาปตีนํ อพฺภนฺตเร สาตาคิโร นาม ยโกฺข ทสพลสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย จิเนฺตสิ – ‘‘กิํ นุ โข อยํ เอวํ มธุรธมฺมกถา มม สหาเยน เหมวเตน สุตา น สุตา’’ติ? โส เทวสงฺฆสฺส อนฺตเร โอโลเกโนฺต ตํ อปสฺสิตฺวา ‘‘อทฺธา มม สหาโย ติณฺณํ รตนานํ อุปฺปนฺนภาวํ น ชานาติ, คจฺฉามิ ทสพลสฺส เจว วณฺณํ กเถสฺสามิ, ปฎิวิทฺธธมฺมญฺจ อาโรเจสฺสามี’’ติ อตฺตโน ปริสาย สทฺธิํ ราชคหมตฺถเกน ตสฺส สนฺติกํ ปายาสิฯ

    Tasmiṃ samaye amhākaṃ satthā sabbaññutaṃ patto isipatane dhammacakkaṃ pavattesi. Dhammacakkappavattane dasasahassacakkavāḷadevatā sannipatiṃsu. Tattha eko aṭṭhavīsatiyā yakkhasenāpatīnaṃ abbhantare sātāgiro nāma yakkho dasabalassa dhammakathaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhāya cintesi – ‘‘kiṃ nu kho ayaṃ evaṃ madhuradhammakathā mama sahāyena hemavatena sutā na sutā’’ti? So devasaṅghassa antare olokento taṃ apassitvā ‘‘addhā mama sahāyo tiṇṇaṃ ratanānaṃ uppannabhāvaṃ na jānāti, gacchāmi dasabalassa ceva vaṇṇaṃ kathessāmi, paṭividdhadhammañca ārocessāmī’’ti attano parisāya saddhiṃ rājagahamatthakena tassa santikaṃ pāyāsi.

    เหมวโตปิ ติโยชนสหสฺสํ หิมวนฺตํ อกาลปุปฺผิตํ ทิสฺวา ‘‘มม สหาเยน สาตาคิเรน สทฺธิํ หิมวนฺตกีฬิตํ กีฬิสฺสามี’’ติ อตฺตโน ปริสาย สทฺธิํ ราชคหมตฺถเกเนว ปายาสิฯ เตสํ ทฺวินฺนมฺปิ อคฺคพลกายา กุลฆริกาย กาฬิอุปาสิกาย นิเวสนมตฺถเก สมาคนฺตฺวา ‘‘ตุเมฺห กสฺส ปริสา, มยํ สาตาคิรสฺสฯ ตุเมฺห กสฺส ปริสา, มยํ เหมวตสฺสา’’ติ อาหํสุฯ เต หฎฺฐตุฎฺฐาว คนฺตฺวา เตสํ ยกฺขเสนาปตีนํ อาโรจยิํสุฯ เตปิ ตํขณเญฺญว อุปาสิกาย นิเวสนมตฺถเก สมาคจฺฉิํสุฯ สาตาคิโร เหมวตํ อาห – ‘‘กหํ, สมฺม, คจฺฉสี’’ติ? ตว สนฺติกํ สมฺมาติฯ กิํการณาติ? หิมวนฺตํ ปุปฺผิตํ ทิสฺวา ตยา สทฺธิํ ตตฺถ กีฬิสฺสามีติฯ ตฺวํ ปน, สมฺม, กหํ คจฺฉสีติ? ตว สนฺติกํ, สมฺมาติฯ กิํการณาติ? ตฺวํ หิมวนฺตสฺส เกน ปุปฺผิตภาวํ ชานาสีติ? น ชานามิ, สมฺมาติฯ สุโทฺธทนมหาราชสฺส ปุโตฺต สิทฺธตฺถกุมาโร ทสสหสฺสิโลกธาตุํ กเมฺปตฺวา ปฎิวิทฺธสพฺพญฺญุตญฺญาโณ ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตานํ มเชฺฌ อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตสิฯ ตสฺส ปวตฺติตภาวํ น ชานาสีติ? น ชานามิ, สมฺมาติฯ ตฺวํ เอตฺตกเมว ฐานํ ปุปฺผิตนฺติ อญฺญาสิ, ตสฺส ปน ปุริสสฺส สกฺการตฺถาย สกลทสสหสฺสจกฺกวาฬํ เอกมาลาคุฬสทิสํ อชฺช ชาตํ สมฺมาติฯ มาลา ตาว ปุปฺผนฺตุ, ตยา โส สตฺถา อกฺขีนิ ปูเรตฺวา ทิโฎฺฐติฯ อาม, สมฺม, สตฺถา จ เม ทิโฎฺฐ, ธโมฺม จ สุโต, อมตญฺจ ปีตํฯ อหํ ‘‘เอตํ อมตธมฺมํ ตมฺปิ ชานาเปสฺสามี’’ติ ตว สนฺติกํ อาคโตสฺมิ, สมฺมาติฯ เตสํ อญฺญมญฺญํ กเถนฺตานํเยว อุปาสิกา สิริสยนโต อุฎฺฐาย นิสินฺนา ตํ กถาสลฺลาปํ สุตฺวา สเทฺท นิมิตฺตํ คณฺหิฯ ‘‘อยํ สโทฺท อุทฺธํ, น เหฎฺฐา, อมนุสฺสภาสิโต, โน มนุสฺสภาสิโต’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา โอหิตโสตา ปคฺคหิตมานสา หุตฺวา นิสีทิฯ ตโต –

    Hemavatopi tiyojanasahassaṃ himavantaṃ akālapupphitaṃ disvā ‘‘mama sahāyena sātāgirena saddhiṃ himavantakīḷitaṃ kīḷissāmī’’ti attano parisāya saddhiṃ rājagahamatthakeneva pāyāsi. Tesaṃ dvinnampi aggabalakāyā kulagharikāya kāḷiupāsikāya nivesanamatthake samāgantvā ‘‘tumhe kassa parisā, mayaṃ sātāgirassa. Tumhe kassa parisā, mayaṃ hemavatassā’’ti āhaṃsu. Te haṭṭhatuṭṭhāva gantvā tesaṃ yakkhasenāpatīnaṃ ārocayiṃsu. Tepi taṃkhaṇaññeva upāsikāya nivesanamatthake samāgacchiṃsu. Sātāgiro hemavataṃ āha – ‘‘kahaṃ, samma, gacchasī’’ti? Tava santikaṃ sammāti. Kiṃkāraṇāti? Himavantaṃ pupphitaṃ disvā tayā saddhiṃ tattha kīḷissāmīti. Tvaṃ pana, samma, kahaṃ gacchasīti? Tava santikaṃ, sammāti. Kiṃkāraṇāti? Tvaṃ himavantassa kena pupphitabhāvaṃ jānāsīti? Na jānāmi, sammāti. Suddhodanamahārājassa putto siddhatthakumāro dasasahassilokadhātuṃ kampetvā paṭividdhasabbaññutaññāṇo dasasahassacakkavāḷadevatānaṃ majjhe anuttaraṃ dhammacakkaṃ pavattesi. Tassa pavattitabhāvaṃ na jānāsīti? Na jānāmi, sammāti. Tvaṃ ettakameva ṭhānaṃ pupphitanti aññāsi, tassa pana purisassa sakkāratthāya sakaladasasahassacakkavāḷaṃ ekamālāguḷasadisaṃ ajja jātaṃ sammāti. Mālā tāva pupphantu, tayā so satthā akkhīni pūretvā diṭṭhoti. Āma, samma, satthā ca me diṭṭho, dhammo ca suto, amatañca pītaṃ. Ahaṃ ‘‘etaṃ amatadhammaṃ tampi jānāpessāmī’’ti tava santikaṃ āgatosmi, sammāti. Tesaṃ aññamaññaṃ kathentānaṃyeva upāsikā sirisayanato uṭṭhāya nisinnā taṃ kathāsallāpaṃ sutvā sadde nimittaṃ gaṇhi. ‘‘Ayaṃ saddo uddhaṃ, na heṭṭhā, amanussabhāsito, no manussabhāsito’’ti sallakkhetvā ohitasotā paggahitamānasā hutvā nisīdi. Tato –

    ‘‘อชฺช ปนฺนรโส อุโปสโถ (อิติ สาตาคิโร ยโกฺข),

    ‘‘Ajja pannaraso uposatho (iti sātāgiro yakkho),

    ทิพฺพา รตฺติ อุปฎฺฐิตา;

    Dibbā ratti upaṭṭhitā;

    อโนมนามํ สตฺถารํ,

    Anomanāmaṃ satthāraṃ,

    หนฺท ปสฺสาม โคตม’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๑๕๓) –

    Handa passāma gotama’’nti. (su. ni. 153) –

    เอวํ สาตาคิเรน วุเตฺต –

    Evaṃ sātāgirena vutte –

    ‘‘กจฺจิ มโน สุปณิหิโต (อิติ เหมวโต ยโกฺข),

    ‘‘Kacci mano supaṇihito (iti hemavato yakkho),

    สพฺพภูเตสุ ตาทิโน;

    Sabbabhūtesu tādino;

    กจฺจิ อิเฎฺฐ อนิเฎฺฐ จ,

    Kacci iṭṭhe aniṭṭhe ca,

    สงฺกปฺปสฺส วสีกตา’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๕๔);

    Saṅkappassa vasīkatā’’ti. (su. ni. 154);

    เอวํ เหมวโต สตฺถุ กายสมาจารญฺจ อาชีวญฺจ มโนสมาจารญฺจ ปุจฺฉิฯ ปุจฺฉิตํ ปุจฺฉิตํ สาตาคิโร วิสฺสเชฺชสิฯ เอวํ สตฺถุ สรีรวณฺณคุณวณฺณกถนวเสน เหมวตสุตฺตเนฺต นิฎฺฐิเต เหมวโต สหายกสฺส ธมฺมเทสนานุสาเรน ญาณํ เปเสตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ

    Evaṃ hemavato satthu kāyasamācārañca ājīvañca manosamācārañca pucchi. Pucchitaṃ pucchitaṃ sātāgiro vissajjesi. Evaṃ satthu sarīravaṇṇaguṇavaṇṇakathanavasena hemavatasuttante niṭṭhite hemavato sahāyakassa dhammadesanānusārena ñāṇaṃ pesetvā sotāpattiphale patiṭṭhahi.

    อถ, กาฬี อุปาสิกา, ปรสฺส ธเมฺม เทสียมาเน ตถาคตํ อทิฎฺฐปุพฺพาว หุตฺวา อนุสฺสวปฺปสาทํ อุปฺปาเทตฺวา ปรสฺส วฑฺฒิตํ โภชนํ ภุญฺชมานา วิย โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ สา สพฺพมาตุคามานํ อนฺตเร ปฐมกโสตาปนฺนา สพฺพเชฎฺฐิกา อโหสิฯ ตสฺสา สห โสตาปตฺติภาเวน ตเมว รตฺติํ คพฺภวุฎฺฐานํ ชาตํ, ปฎิลทฺธทารกสฺส นามคฺคหณทิวเส โสโณติ นามํ อกาสิฯ สา ยถารุจิยา กุลเคเห วสิตฺวา กุลฆรเมว อคมาสิฯ

    Atha, kāḷī upāsikā, parassa dhamme desīyamāne tathāgataṃ adiṭṭhapubbāva hutvā anussavappasādaṃ uppādetvā parassa vaḍḍhitaṃ bhojanaṃ bhuñjamānā viya sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Sā sabbamātugāmānaṃ antare paṭhamakasotāpannā sabbajeṭṭhikā ahosi. Tassā saha sotāpattibhāvena tameva rattiṃ gabbhavuṭṭhānaṃ jātaṃ, paṭiladdhadārakassa nāmaggahaṇadivase soṇoti nāmaṃ akāsi. Sā yathāruciyā kulagehe vasitvā kulagharameva agamāsi.

    ตสฺมิํ สมเย มหากจฺจานเตฺถโร ตํ นครํ อุปนิสฺสาย อุปวเตฺต ปพฺพเต ปฎิวสติฯ อุปาสิกา เถรํ อุปฎฺฐาติฯ เถโร นิพทฺธํ ตสฺสา นิเวสนํ คจฺฉติฯ โสณทารโกปิ นิพทฺธํ เถรสฺส สนฺติเก วิจรโนฺต วิสฺสาสิโก อโหสิฯ โส อปเรน สมเยน เถรสฺส สนฺติเก ปพฺพชิฯ เถโร ตํ อุปสมฺปาเทตุกาโม ตีณิ วสฺสานิ คณํ ปริเยสิตฺวา อุปสมฺปาเทสิฯ โส อุปสมฺปโนฺน กมฺมฎฺฐานํ กถาเปตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา เถรเสฺสว สนฺติเก สุตฺตนิปาตํ อุคฺคณฺหิตฺวา วุตฺถวโสฺส ปวาเรตฺวา สตฺถารํ ปสฺสิตุกาโม หุตฺวา อุปชฺฌายํ อาปุจฺฉิฯ เถโร อาห – ‘‘โสณ, ตยิ คเต สตฺถา ตํ เอกคนฺธกุฎิยํ วสาเปตฺวา ธมฺมํ อเชฺฌสิสฺสติ, ตฺวํ ธมฺมํ กเถสฺสสิฯ สตฺถา ตว ธมฺมกถาย ปสีทิตฺวา ตุยฺหํ วรํ ทสฺสติฯ ตฺวํ วรํ คณฺหโนฺต อิมญฺจ อิมญฺจ คณฺหาหิ, มม วจเนน ทสพลสฺส ปาเท วนฺทาหี’’ติฯ โส อุปชฺฌาเยน อนุญฺญาโต มาตุอุปาสิกาย เคหํ คนฺตฺวา อาโรเจสิฯ สาปิ ‘‘สาธุ , ตาต, ตฺวํ ทสพลํ ปสฺสิตุํ คจฺฉโนฺต อิมํ กมฺพลํ อาหริตฺวา สตฺถุ วสนคนฺธกุฎิยา ภูมตฺถรณํ กตฺวา อตฺถราหี’’ติ กมฺพลํ อทาสิฯ โสณเตฺถโร ตํ อาทาย เสนาสนํ สํสาเมตฺวา อนุปุเพฺพน สตฺถุ วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ทสพลสฺส พุทฺธาสเน นิสินฺนเวลายเมว อุปสงฺกมิตฺวา อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ สตฺถา เตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา อานนฺทเตฺถรํ อามเนฺตสิ – ‘‘อานนฺท, อิมสฺส ภิกฺขุสฺส เสนาสนํ ชานาหี’’ติฯ เถโร สตฺถุ อธิปฺปายํ ญตฺวา อโนฺตคนฺธกุฎิยํเยว ภูมตฺถรณํ อุสฺสาเรโนฺต วิย อตฺถริฯ

    Tasmiṃ samaye mahākaccānatthero taṃ nagaraṃ upanissāya upavatte pabbate paṭivasati. Upāsikā theraṃ upaṭṭhāti. Thero nibaddhaṃ tassā nivesanaṃ gacchati. Soṇadārakopi nibaddhaṃ therassa santike vicaranto vissāsiko ahosi. So aparena samayena therassa santike pabbaji. Thero taṃ upasampādetukāmo tīṇi vassāni gaṇaṃ pariyesitvā upasampādesi. So upasampanno kammaṭṭhānaṃ kathāpetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ patvā therasseva santike suttanipātaṃ uggaṇhitvā vutthavasso pavāretvā satthāraṃ passitukāmo hutvā upajjhāyaṃ āpucchi. Thero āha – ‘‘soṇa, tayi gate satthā taṃ ekagandhakuṭiyaṃ vasāpetvā dhammaṃ ajjhesissati, tvaṃ dhammaṃ kathessasi. Satthā tava dhammakathāya pasīditvā tuyhaṃ varaṃ dassati. Tvaṃ varaṃ gaṇhanto imañca imañca gaṇhāhi, mama vacanena dasabalassa pāde vandāhī’’ti. So upajjhāyena anuññāto mātuupāsikāya gehaṃ gantvā ārocesi. Sāpi ‘‘sādhu , tāta, tvaṃ dasabalaṃ passituṃ gacchanto imaṃ kambalaṃ āharitvā satthu vasanagandhakuṭiyā bhūmattharaṇaṃ katvā attharāhī’’ti kambalaṃ adāsi. Soṇatthero taṃ ādāya senāsanaṃ saṃsāmetvā anupubbena satthu vasanaṭṭhānaṃ gantvā dasabalassa buddhāsane nisinnavelāyameva upasaṅkamitvā abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Satthā tena saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā ānandattheraṃ āmantesi – ‘‘ānanda, imassa bhikkhussa senāsanaṃ jānāhī’’ti. Thero satthu adhippāyaṃ ñatvā antogandhakuṭiyaṃyeva bhūmattharaṇaṃ ussārento viya atthari.

    อถ โข ภควา พหุเทวรตฺติํ อโชฺฌกาเส วีตินาเมตฺวา วิหารํ ปาวิสิ, อายสฺมาปิ โข โสโณ พหุเทวรตฺติํ อโชฺฌกาเส วีตินาเมตฺวา วิหารํ ปาวิสิฯ สตฺถา ปจฺฉิมยาเม สีหเสยฺยํ กเปฺปตฺวา ปจฺจูสสมเย วุฎฺฐาย นิสีทิตฺวา ‘‘เอตฺตเกน กาเลน โสณสฺส กายทรโถ ปฎิปฺปสฺสโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา อายสฺมนฺตํ โสณํ อเชฺฌสิ – ‘‘ปฎิภาตุ ตํ ภิกฺขุ ธโมฺม ภาสิตุ’’นฺติฯ โสณเตฺถโร มธุรสฺสเรน เอกพฺยญฺชนมฺปิ อวินาเสโนฺต อฎฺฐกวคฺคิยานิ สุตฺตานิ (สุ. นิ. ๗๗๒ อาทโย) อภาสิฯ กถาปริโยสาเน ภควา สาธุการํ ทตฺวา ‘‘สุคฺคหิโต เต ภิกฺขุ ธโมฺม, มยา เทสิตกาเล จ อชฺช จ เอกสทิสาว เทสนา, กิญฺจิ อูนํ วา อธิกํ วา นตฺถี’’ติ ปสนฺนภาวํ ปกาเสสิฯ โสณเตฺถโรปิ ‘‘อยํ โอกาโส’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา อุปชฺฌายสฺส วจเนน ทสพลํ วนฺทิตฺวา วินยธรปญฺจเมน คเณน อุปสมฺปทํ อาทิํ กตฺวา สเพฺพ วเร ยาจิ, สตฺถา อทาสิฯ ปุน เถโร มาตุอุปาสิกาย วจเนน วนฺทิตฺวา ‘‘อยํ, ภเนฺต, อุปาสิกาย ตุมฺหากํ วสนคนฺธกุฎิยํ ภูมตฺถรณตฺถํ กมฺพโล ปหิโต’’ติ กมฺพลํ ทตฺวา อุฎฺฐายาสนา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปน เถรสฺส ปพฺพชฺชํ อาทิํ กตฺวา สพฺพํ สุเตฺต อาคตเมวฯ

    Atha kho bhagavā bahudevarattiṃ ajjhokāse vītināmetvā vihāraṃ pāvisi, āyasmāpi kho soṇo bahudevarattiṃ ajjhokāse vītināmetvā vihāraṃ pāvisi. Satthā pacchimayāme sīhaseyyaṃ kappetvā paccūsasamaye vuṭṭhāya nisīditvā ‘‘ettakena kālena soṇassa kāyadaratho paṭippassaddho bhavissatī’’ti ñatvā āyasmantaṃ soṇaṃ ajjhesi – ‘‘paṭibhātu taṃ bhikkhu dhammo bhāsitu’’nti. Soṇatthero madhurassarena ekabyañjanampi avināsento aṭṭhakavaggiyāni suttāni (su. ni. 772 ādayo) abhāsi. Kathāpariyosāne bhagavā sādhukāraṃ datvā ‘‘suggahito te bhikkhu dhammo, mayā desitakāle ca ajja ca ekasadisāva desanā, kiñci ūnaṃ vā adhikaṃ vā natthī’’ti pasannabhāvaṃ pakāsesi. Soṇattheropi ‘‘ayaṃ okāso’’ti sallakkhetvā upajjhāyassa vacanena dasabalaṃ vanditvā vinayadharapañcamena gaṇena upasampadaṃ ādiṃ katvā sabbe vare yāci, satthā adāsi. Puna thero mātuupāsikāya vacanena vanditvā ‘‘ayaṃ, bhante, upāsikāya tumhākaṃ vasanagandhakuṭiyaṃ bhūmattharaṇatthaṃ kambalo pahito’’ti kambalaṃ datvā uṭṭhāyāsanā satthāraṃ vanditvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmi. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato pana therassa pabbajjaṃ ādiṃ katvā sabbaṃ sutte āgatameva.

    อิติ เถโร สตฺถุ สนฺติกา อฎฺฐ วเร ลภิตฺวา อุปชฺฌายสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา สพฺพํ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ ปุนทิวเส มาตุอุปาสิกาย นิเวสนทฺวารํ คนฺตฺวา ภิกฺขาย อฎฺฐาสิฯ อุปาสิกา ‘‘ปุโตฺต กิร เม ทฺวาเร ฐิโต’’ติ สุตฺวา เวเคน อาคนฺตฺวา อภิวาเทตฺวา หตฺถโต ปตฺตํ คเหตฺวา อโนฺตนิเวสเน นิสีทาเปตฺวา โภชนํ อทาสิฯ อถ นํ ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน อาห – ‘‘ทิโฎฺฐ เต, ตาต, ทสพโล’’ติ? อาม อุปาสิเกติฯ วนฺทิโต เต มม วจเนนาติ? อาม วนฺทิโต, โสปิ จ เม กมฺพโล ตถาคตสฺส วสนฎฺฐาเน ภูมตฺถรณํ กตฺวา อตฺถโตติฯ กิํ, ตาต, ตยา กิร สตฺถุ ธมฺมกถา กถิตา, สตฺถารา จ เต สาธุกาโร ทิโนฺนติ? ตยา กถํ ญาตํ อุปาสิเกติ? ตาต, มยฺหํ เคเห อธิวตฺถา เทวตา ทสพเลน ตุยฺหํ สาธุการํ ทินฺนทิวเส ‘‘สกลทสสหสฺสจกฺกวาเฬ เทวตา สาธุการํ อทํสู’’ติ อาห – ตาต, ตยา กถิตธมฺมกถํ พุทฺธานํ กถิตนิยาเมเนว มยฺหมฺปิ กเถตุํ ปจฺจาสีสามีติฯ เถโร มาตุ กถํ สมฺปฎิจฺฉิฯ สา ตสฺส อธิวาสนํ วิทิตฺวา ทฺวาเร มณฺฑปํ กาเรตฺวา ทสพลสฺส กถิตนิยาเมเนว อตฺตโน ธมฺมกถํ กถาเปสีติ วตฺถุ เอตฺถ สมุฎฺฐิตํฯ สตฺถา อปรภาเค อริยคณมเชฺฌ นิสิโนฺน เถรํ กลฺยาณวากฺกรณานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Iti thero satthu santikā aṭṭha vare labhitvā upajjhāyassa santikaṃ gantvā sabbaṃ taṃ pavattiṃ ārocesi. Punadivase mātuupāsikāya nivesanadvāraṃ gantvā bhikkhāya aṭṭhāsi. Upāsikā ‘‘putto kira me dvāre ṭhito’’ti sutvā vegena āgantvā abhivādetvā hatthato pattaṃ gahetvā antonivesane nisīdāpetvā bhojanaṃ adāsi. Atha naṃ bhattakiccapariyosāne āha – ‘‘diṭṭho te, tāta, dasabalo’’ti? Āma upāsiketi. Vandito te mama vacanenāti? Āma vandito, sopi ca me kambalo tathāgatassa vasanaṭṭhāne bhūmattharaṇaṃ katvā atthatoti. Kiṃ, tāta, tayā kira satthu dhammakathā kathitā, satthārā ca te sādhukāro dinnoti? Tayā kathaṃ ñātaṃ upāsiketi? Tāta, mayhaṃ gehe adhivatthā devatā dasabalena tuyhaṃ sādhukāraṃ dinnadivase ‘‘sakaladasasahassacakkavāḷe devatā sādhukāraṃ adaṃsū’’ti āha – tāta, tayā kathitadhammakathaṃ buddhānaṃ kathitaniyāmeneva mayhampi kathetuṃ paccāsīsāmīti. Thero mātu kathaṃ sampaṭicchi. Sā tassa adhivāsanaṃ viditvā dvāre maṇḍapaṃ kāretvā dasabalassa kathitaniyāmeneva attano dhammakathaṃ kathāpesīti vatthu ettha samuṭṭhitaṃ. Satthā aparabhāge ariyagaṇamajjhe nisinno theraṃ kalyāṇavākkaraṇānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    สีวลิเตฺถรวตฺถุ

    Sīvalittheravatthu

    ๒๐๗. นวเม ลาภีนํ ยทิทํ สีวลีติ ฐเปตฺวา ตถาคตํ ลาภีนํ ภิกฺขูนํ สีวลิเตฺถโร อโคฺคติ ทเสฺสติฯ ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ อตีเต ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล วุตฺตนเยเนว วิหารํ คนฺตฺวา ปริสปริยเนฺต ฐิโต ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ลาภีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยาปิ อนาคเต เอวรูเปน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ทสพลํ นิมเนฺตตฺวา ปุริมนเยเนว สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา ‘‘ภควา อหมฺปิ อิมินา อธิการกเมฺมน อญฺญํ สมฺปตฺติํ น ปเตฺถมิ, อนาคเต ปน เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อหมฺปิ ตุเมฺหหิ โส เอตทเคฺค ฐปิตภิกฺขุ วิย ลาภีนํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา อนนฺตรายํ ทิสฺวา ‘‘อยํ เต ปตฺถนา อนาคเต โคตมสฺส พุทฺธสฺส สาสเน สมิชฺฌิสฺสตี’’ติ พฺยากริตฺวา ปกฺกามิฯ

    207. Navame lābhīnaṃ yadidaṃ sīvalīti ṭhapetvā tathāgataṃ lābhīnaṃ bhikkhūnaṃ sīvalitthero aggoti dasseti. Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi atīte padumuttarabuddhakāle vuttanayeneva vihāraṃ gantvā parisapariyante ṭhito dhammaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ lābhīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā ‘‘mayāpi anāgate evarūpena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti dasabalaṃ nimantetvā purimanayeneva sattāhaṃ mahādānaṃ datvā ‘‘bhagavā ahampi iminā adhikārakammena aññaṃ sampattiṃ na patthemi, anāgate pana ekassa buddhassa sāsane ahampi tumhehi so etadagge ṭhapitabhikkhu viya lābhīnaṃ aggo bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi. Satthā anantarāyaṃ disvā ‘‘ayaṃ te patthanā anāgate gotamassa buddhassa sāsane samijjhissatī’’ti byākaritvā pakkāmi.

    โสปิ กุลปุโตฺต ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต วิปสฺสีพุทฺธกาเล พนฺธุมตีนครโต อวิทูเร เอกสฺมิํ คาเม ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตสฺมิํ สมเย พนฺธุมตีนครวาสิโน รญฺญา สทฺธิํ สากจฺฉิตฺวา สากจฺฉิตฺวา ทสพลสฺส ทานํ เทนฺติฯ เต เอกทิวสํ สเพฺพว เอกโต หุตฺวา ทานํ เทนฺตา ‘‘กิํ นุ โข อมฺหากํ ทานมุเข นตฺถี’’ติ มธุญฺจ คุฬทธิญฺจ น อทฺทสํสุฯ เต ‘‘ยโต กุโตจิ อาหริสฺสามา’’ติ ชนปทโต นครํ ปวิสนมเคฺค ปุริสํ ฐเปสุํฯ ตทา เอส กุลปุโตฺต อตฺตโน คามโต คุฬทธิวารกํ คเหตฺวา ‘‘กิญฺจิเทว อาหริสฺสามี’’ติ นครํ คจฺฉโนฺต มุขํ โธวิตฺวา ‘‘โธตหตฺถปาโท ปวิสิสฺสามี’’ติ ผาสุกฎฺฐานํ โอโลเกโนฺต นงฺคลสีสมตฺตํ นิมฺมกฺขิกํ ทณฺฑกมธุํ ทิสฺวา ‘‘ปุเญฺญน เม อิทํ อุปฺปนฺน’’นฺติ คเหตฺวา นครํ ปวิสติฯ นาคเรหิ ฐปิตปุริโส ตํ ทิสฺวา, ‘‘โภ ปุริส, กสฺสิมํ อาหรสี’’ติ ปุจฺฉิฯ น กสฺสจิ สามิ, วิกฺกิณิตุํ ปน เม อิทํ อานีตนฺติฯ เตน หิ, โภ ปุริส, อิมํ กหาปณํ คเหตฺวา เอตํ มธุญฺจ คุฬทธิญฺจ เทหีติฯ

    Sopi kulaputto yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto vipassībuddhakāle bandhumatīnagarato avidūre ekasmiṃ gāme paṭisandhiṃ gaṇhi. Tasmiṃ samaye bandhumatīnagaravāsino raññā saddhiṃ sākacchitvā sākacchitvā dasabalassa dānaṃ denti. Te ekadivasaṃ sabbeva ekato hutvā dānaṃ dentā ‘‘kiṃ nu kho amhākaṃ dānamukhe natthī’’ti madhuñca guḷadadhiñca na addasaṃsu. Te ‘‘yato kutoci āharissāmā’’ti janapadato nagaraṃ pavisanamagge purisaṃ ṭhapesuṃ. Tadā esa kulaputto attano gāmato guḷadadhivārakaṃ gahetvā ‘‘kiñcideva āharissāmī’’ti nagaraṃ gacchanto mukhaṃ dhovitvā ‘‘dhotahatthapādo pavisissāmī’’ti phāsukaṭṭhānaṃ olokento naṅgalasīsamattaṃ nimmakkhikaṃ daṇḍakamadhuṃ disvā ‘‘puññena me idaṃ uppanna’’nti gahetvā nagaraṃ pavisati. Nāgarehi ṭhapitapuriso taṃ disvā, ‘‘bho purisa, kassimaṃ āharasī’’ti pucchi. Na kassaci sāmi, vikkiṇituṃ pana me idaṃ ānītanti. Tena hi, bho purisa, imaṃ kahāpaṇaṃ gahetvā etaṃ madhuñca guḷadadhiñca dehīti.

    โส จิเนฺตสิ – ‘‘อิทํ น พหุมูลํ, อยญฺจ เอกปฺปหาเรเนว พหุํ เทติ, วีมํสิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ฯ ตโต นํ ‘‘นาหํ เอกกหาปเณน เทมี’’ติ อาหฯ ยทิ เอวํ, เทฺว คเหตฺวา เทหีติฯ ทฺวีหิปิ น เทมีติฯ เอเตนุปาเยน วฑฺฒนฺตํ วฑฺฒนฺตํ สหสฺสํ ปาปุณิฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘อติอญฺฉิตุํ น วฎฺฎติ, โหตุ ตาว, อิมสฺส กตฺตพฺพกิจฺจํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติฯ อถ นํ อาห – ‘‘อิทํ น พหุอคฺฆนกํ, ตฺวญฺจ พหุํ เทสิ, เกน กเมฺมน อิทํ คณฺหาสี’’ติ? อิธ, โภ, นครวาสิโน รญฺญา สทฺธิํ ปฎิวิรุชฺฌิตฺวา วิปสฺสีทสพลสฺส ทานํ เทนฺตา อิทํ ทฺวยํ ทานมุเข อปสฺสนฺตา ปริเยสนฺติฯ สเจ อิทํ ทฺวยํ น ลภิสฺสนฺติ, นาครานํ ปราชโย ภวิสฺสติฯ ตสฺมา สหสฺสํ ทตฺวา คณฺหามีติฯ กิํ ปเนตํ นาครานเมว วฎฺฎติ, น อเญฺญสํ ทาตุํ วฎฺฎตีติ? ยสฺส กสฺสจิ ทาตุํ อวาริตเมตนฺติฯ อตฺถิ ปน เต โกจิ นาครานํ ทาเน เอกทิวสํ สหสฺสํ ทาตาติ? นตฺถิ สมฺมาติฯ อิเมสํ ปน ทฺวินฺนํ สหสฺสคฺฆนกภาวํ ชานาสีติ? อาม ชานามีติฯ เตน หิ คจฺฉ, นาครานํ อาจิกฺข – ‘‘เอโก ปุริโส อิมานิ เทฺว มูเลน น เทติ, สหเตฺถเนว ทาตุกาโม, ตุเมฺห อิเมสํ ทฺวินฺนํ การณา นิรุสฺสุกฺกา โหถา’’ติฯ ตฺวํ ปน เม อิมสฺมิํ ทานมุเข เชฎฺฐกภาวสฺส กายสกฺขี โหหีติฯ

    So cintesi – ‘‘idaṃ na bahumūlaṃ, ayañca ekappahāreneva bahuṃ deti, vīmaṃsituṃ vaṭṭatī’’ti . Tato naṃ ‘‘nāhaṃ ekakahāpaṇena demī’’ti āha. Yadi evaṃ, dve gahetvā dehīti. Dvīhipi na demīti. Etenupāyena vaḍḍhantaṃ vaḍḍhantaṃ sahassaṃ pāpuṇi. So cintesi – ‘‘atiañchituṃ na vaṭṭati, hotu tāva, imassa kattabbakiccaṃ pucchissāmī’’ti. Atha naṃ āha – ‘‘idaṃ na bahuagghanakaṃ, tvañca bahuṃ desi, kena kammena idaṃ gaṇhāsī’’ti? Idha, bho, nagaravāsino raññā saddhiṃ paṭivirujjhitvā vipassīdasabalassa dānaṃ dentā idaṃ dvayaṃ dānamukhe apassantā pariyesanti. Sace idaṃ dvayaṃ na labhissanti, nāgarānaṃ parājayo bhavissati. Tasmā sahassaṃ datvā gaṇhāmīti. Kiṃ panetaṃ nāgarānameva vaṭṭati, na aññesaṃ dātuṃ vaṭṭatīti? Yassa kassaci dātuṃ avāritametanti. Atthi pana te koci nāgarānaṃ dāne ekadivasaṃ sahassaṃ dātāti? Natthi sammāti. Imesaṃ pana dvinnaṃ sahassagghanakabhāvaṃ jānāsīti? Āma jānāmīti. Tena hi gaccha, nāgarānaṃ ācikkha – ‘‘eko puriso imāni dve mūlena na deti, sahattheneva dātukāmo, tumhe imesaṃ dvinnaṃ kāraṇā nirussukkā hothā’’ti. Tvaṃ pana me imasmiṃ dānamukhe jeṭṭhakabhāvassa kāyasakkhī hohīti.

    โส คามวาสี ปริพฺพยตฺถํ คหิตมาสเกน ปญฺจกฎุกํ คเหตฺวา จุณฺณํ กตฺวา ทธิโต กญฺชิยํ วาเหตฺวา ตตฺถ มธุปฎลํ ปีเฬตฺวา ปญฺจกฎุกจุเณฺณน โยเชตฺวา เอกสฺมิํ ปทุมินิปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา ตํ สํวิทหิตฺวา อาทาย ทสพลสฺส อวิทูเร ฐาเน นิสีทิฯ มหาชเนน อาหริยมานสฺส สกฺการสฺส อนฺตเร อตฺตโน ปตฺตวารํ โอโลกยมาโน โอกาสํ ญตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ภควา อยํ มยฺหํ ทุคฺคตปณฺณากาโร, อิมํ เม อนุกมฺปํ ปฎิจฺจ คณฺหถา’’ติฯ สตฺถา ตสฺส อนุกมฺปํ ปฎิจฺจ จตุมหาราชทตฺติเยน เสลมเยน ปเตฺตน ตํ ปฎิคฺคเหตฺวา ยถา อฎฺฐสฎฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสสฺส ทิยฺยมานํ น ขียติ, เอวํ อธิฎฺฐาสิฯ โสปิ กุลปุโตฺต นิฎฺฐิตภตฺตกิจฺจํ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต อาห – ‘‘ทิโฎฺฐ เม ภควา อชฺช พนฺธุมตีนครวาสิเกหิ ตุมฺหากํ สกฺกาโร อาหริยมาโน, อหมฺปิ อิมสฺส กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตภเว ลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต ภเวยฺย’’นฺติฯ สตฺถา ‘‘เอวํ โหตุ กุลปุตฺตา’’ติ วตฺวา ตสฺส จ นครวาสีนญฺจ ภตฺตานุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ

    So gāmavāsī paribbayatthaṃ gahitamāsakena pañcakaṭukaṃ gahetvā cuṇṇaṃ katvā dadhito kañjiyaṃ vāhetvā tattha madhupaṭalaṃ pīḷetvā pañcakaṭukacuṇṇena yojetvā ekasmiṃ paduminipatte pakkhipitvā taṃ saṃvidahitvā ādāya dasabalassa avidūre ṭhāne nisīdi. Mahājanena āhariyamānassa sakkārassa antare attano pattavāraṃ olokayamāno okāsaṃ ñatvā satthu santikaṃ gantvā ‘‘bhagavā ayaṃ mayhaṃ duggatapaṇṇākāro, imaṃ me anukampaṃ paṭicca gaṇhathā’’ti. Satthā tassa anukampaṃ paṭicca catumahārājadattiyena selamayena pattena taṃ paṭiggahetvā yathā aṭṭhasaṭṭhibhikkhusatasahassassa diyyamānaṃ na khīyati, evaṃ adhiṭṭhāsi. Sopi kulaputto niṭṭhitabhattakiccaṃ bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ ṭhito āha – ‘‘diṭṭho me bhagavā ajja bandhumatīnagaravāsikehi tumhākaṃ sakkāro āhariyamāno, ahampi imassa kammassa nissandena nibbattanibbattabhave lābhaggayasaggappatto bhaveyya’’nti. Satthā ‘‘evaṃ hotu kulaputtā’’ti vatvā tassa ca nagaravāsīnañca bhattānumodanaṃ katvā pakkāmi.

    โสปิ กุลปุโตฺต ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สุปฺปวาสาย ราชธีตาย กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ปฎิสนฺธิคฺคหณโต ปฎฺฐาย สายํ ปาตญฺจ ปณฺณาการสตานิ ปาปุณนฺติ, สุปฺปวาสา สมฺปตฺติํ คจฺฉติฯ อถ นํ ปุญฺญวีมํสนตฺถํ หเตฺถน พีชปจฺฉิํ ผุสาเปนฺติ, เอเกกพีชโต สลากสตมฺปิ สลากสหสฺสมฺปิ นิคจฺฉติฯ เอกกรีสเขตฺตโต ปญฺญาสมฺปิ สฎฺฐิปิ สกฎานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ โกฎฺฐปูรณกาเลปิ โกฎฺฐทฺวารํ หเตฺถน ผุสาเปนฺติ, ราชธีตาย ปุเญฺญน คณฺหนฺตานํ คหิตคหิตฎฺฐานํ ปุน ปูรติฯ ปริปุณฺณภตฺตกุมฺภิโตปิ ‘‘ราชธีตาย ปุญฺญ’’นฺติ วตฺวา ยสฺส กสฺสจิ เทนฺตานํ ยาว น อุกฺกฑฺฒนฺติ, น ตาว ภตฺตํ ขียติฯ ทารเก กุจฺฉิคเตเยว สตฺต วสฺสานิ อติกฺกมิํสุฯ

    Sopi kulaputto yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde suppavāsāya rājadhītāya kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Paṭisandhiggahaṇato paṭṭhāya sāyaṃ pātañca paṇṇākārasatāni pāpuṇanti, suppavāsā sampattiṃ gacchati. Atha naṃ puññavīmaṃsanatthaṃ hatthena bījapacchiṃ phusāpenti, ekekabījato salākasatampi salākasahassampi nigacchati. Ekakarīsakhettato paññāsampi saṭṭhipi sakaṭāni uppajjanti. Koṭṭhapūraṇakālepi koṭṭhadvāraṃ hatthena phusāpenti, rājadhītāya puññena gaṇhantānaṃ gahitagahitaṭṭhānaṃ puna pūrati. Paripuṇṇabhattakumbhitopi ‘‘rājadhītāya puñña’’nti vatvā yassa kassaci dentānaṃ yāva na ukkaḍḍhanti, na tāva bhattaṃ khīyati. Dārake kucchigateyeva satta vassāni atikkamiṃsu.

    คเพฺภ ปน ปริปเกฺก สตฺตาหํ มหาทุกฺขํ อนุโภสิฯ สา สามิกํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ปุเร มรณา ชีวมานาว ทานํ ทสฺสามี’’ติ สตฺถุ สนฺติกํ เปเสสิ – ‘‘คจฺฉ อิมํ ปวตฺติํ สตฺถุ อาโรเจตฺวา สตฺถารํ นิมเนฺตหิ, ยญฺจ สตฺถา วเทติ, ตํ สาธุกํ อุปลเกฺขตฺวา อาคนฺตฺวา มยฺหํ กเถหี’’ติฯ โส คนฺตฺวา ตสฺสา สาสนํ ภควโต อาโรเจสิฯ สตฺถา ‘‘สุขินี โหตุ สุปฺปวาสา โกลิยธีตา, สุขินี อโรคา อโรคํ ปุตฺตํ วิชายตู’’ติ อาหฯ ราชา ตํ สุตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา อโนฺตคามาภิมุโข ปายาสิฯ ตสฺส ปุเร อาคมนาเยว สุปฺปวาสาย กุจฺฉิโต ธมกรณา อุทกํ วิย คโพฺภ นิกฺขมิ, ปริวาเรตฺวา นิสินฺนชโน อสฺสุมุโขว หสิตุํ อารโทฺธฯ หฎฺฐตุโฎฺฐ มหาชโน รโญฺญ ปุตฺตสาสนํ อาโรเจตุํ อคมาสิฯ

    Gabbhe pana paripakke sattāhaṃ mahādukkhaṃ anubhosi. Sā sāmikaṃ āmantetvā ‘‘pure maraṇā jīvamānāva dānaṃ dassāmī’’ti satthu santikaṃ pesesi – ‘‘gaccha imaṃ pavattiṃ satthu ārocetvā satthāraṃ nimantehi, yañca satthā vadeti, taṃ sādhukaṃ upalakkhetvā āgantvā mayhaṃ kathehī’’ti. So gantvā tassā sāsanaṃ bhagavato ārocesi. Satthā ‘‘sukhinī hotu suppavāsā koliyadhītā, sukhinī arogā arogaṃ puttaṃ vijāyatū’’ti āha. Rājā taṃ sutvā bhagavantaṃ abhivādetvā antogāmābhimukho pāyāsi. Tassa pure āgamanāyeva suppavāsāya kucchito dhamakaraṇā udakaṃ viya gabbho nikkhami, parivāretvā nisinnajano assumukhova hasituṃ āraddho. Haṭṭhatuṭṭho mahājano rañño puttasāsanaṃ ārocetuṃ agamāsi.

    ราชา เตสํ อิงฺคิตํ ทิสฺวาว ‘‘ทสพเลน กถิตกถา นิปฺผนฺนา มเญฺญ’’ติ จิเนฺตสิฯ โส อาคนฺตฺวา สตฺถุ สาสนํ ราชธีตาย อาโรเจสิฯ ราชธีตา ‘‘ตยา นิมนฺติตํ ชีวิตภตฺตเมว มงฺคลภตฺตํ ภวิสฺสติ, คจฺฉ สตฺตาหํ ทสพลํ นิมเนฺตหี’’ติฯ ราชา ตถา อกาสิฯ สตฺตาหํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ปวตฺตยิํสุฯ ทารโก สเพฺพสํ ญาตีนํ สนฺตตฺตจิตฺตํ นิพฺพาเปโนฺต ชาโตติ สีวลิทารโกเตฺววสฺส นามํ อกํสุฯ โส สตฺต วสฺสานิ คเพฺภ วสิตตฺตา ชาตกาลโต ปฎฺฐาย สพฺพกมฺมกฺขโม อโหสิฯ ธมฺมเสนาปติ สาริปุโตฺต สตฺตเม ทิวเส เตน สทฺธิํ กถาสลฺลาปํ อกาสิฯ สตฺถาปิ ธมฺมปเท คาถํ อภาสิ –

    Rājā tesaṃ iṅgitaṃ disvāva ‘‘dasabalena kathitakathā nipphannā maññe’’ti cintesi. So āgantvā satthu sāsanaṃ rājadhītāya ārocesi. Rājadhītā ‘‘tayā nimantitaṃ jīvitabhattameva maṅgalabhattaṃ bhavissati, gaccha sattāhaṃ dasabalaṃ nimantehī’’ti. Rājā tathā akāsi. Sattāhaṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ pavattayiṃsu. Dārako sabbesaṃ ñātīnaṃ santattacittaṃ nibbāpento jātoti sīvalidārakotvevassa nāmaṃ akaṃsu. So satta vassāni gabbhe vasitattā jātakālato paṭṭhāya sabbakammakkhamo ahosi. Dhammasenāpati sāriputto sattame divase tena saddhiṃ kathāsallāpaṃ akāsi. Satthāpi dhammapade gāthaṃ abhāsi –

    ‘‘โยมํ ปลิปถํ ทุคฺคํ, สํสารํ โมหมจฺจคา;

    ‘‘Yomaṃ palipathaṃ duggaṃ, saṃsāraṃ mohamaccagā;

    ติโณฺณ ปารงฺคโต ฌายี, อเนโช อกถํกถี;

    Tiṇṇo pāraṅgato jhāyī, anejo akathaṃkathī;

    อนุปาทาย นิพฺพุโต, ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณ’’นฺติฯ (ธ. ป. ๔๑๔);

    Anupādāya nibbuto, tamahaṃ brūmi brāhmaṇa’’nti. (dha. pa. 414);

    อถ นํ เถโร เอวมาห – ‘‘กิํ ปน ตยา เอวรูปํ ทุกฺขราสิํ อนุภวิตฺวา ปพฺพชิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ? ลภมาโน ปพฺพเชยฺยํ, ภเนฺตติฯ สุปฺปวาสา ตํ ทารกํ เถเรน สทฺธิํ กเถนฺตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข เม ปุโตฺต ธมฺมเสนาปตินา สทฺธิํ กเถตี’’ติ เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘มยฺหํ ปุโตฺต ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กิํ กเถติ, ภทเนฺต’’ติ? อตฺตนา อนุภูตํ คพฺภวาสทุกฺขํ กเถตฺวา ตุเมฺหหิ อนุญฺญาโต ปพฺพชิสฺสามีติ วทตีติฯ สาธุ, ภเนฺต, ปพฺพาเชถ นนฺติฯ เถโร ตํ วิหารํ เนตฺวา ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ ทตฺวา ปพฺพาเชโนฺต, ‘‘สีวลิ, น ตุยฺหํ อเญฺญน โอวาเทน กมฺมํ อตฺถิ, ตยา สตฺต วสฺสานิ อนุภูตทุกฺขเมว ปจฺจเวกฺขาหี’’ติฯ ภเนฺต, ปพฺพาชนเมว ตุมฺหากํ ภาโร, ยํ ปน มยา กาตุํ สกฺกา, ตมหํ ชานิสฺสามีติฯ โส ปฐมเกสวฎฺฎิยา โอหาริตกฺขเณเยว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิ, ทุติยาย โอหาริตกฺขเณ สกทาคามิผเล, ตติยาย อนาคามิผเลฯ สเพฺพสํเยว ปน เกสานํ โอโรปนญฺจ อรหตฺตสจฺฉิกิริยา จ อปจฺฉา อปุริมา อโหสิฯ ตสฺส ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ภิกฺขุสงฺฆสฺส จตฺตาโร ปจฺจยา ยทิจฺฉกํ อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวํ เอตฺถ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ

    Atha naṃ thero evamāha – ‘‘kiṃ pana tayā evarūpaṃ dukkharāsiṃ anubhavitvā pabbajituṃ na vaṭṭatī’’ti? Labhamāno pabbajeyyaṃ, bhanteti. Suppavāsā taṃ dārakaṃ therena saddhiṃ kathentaṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho me putto dhammasenāpatinā saddhiṃ kathetī’’ti theraṃ upasaṅkamitvā pucchi – ‘‘mayhaṃ putto tumhehi saddhiṃ kiṃ katheti, bhadante’’ti? Attanā anubhūtaṃ gabbhavāsadukkhaṃ kathetvā tumhehi anuññāto pabbajissāmīti vadatīti. Sādhu, bhante, pabbājetha nanti. Thero taṃ vihāraṃ netvā tacapañcakakammaṭṭhānaṃ datvā pabbājento, ‘‘sīvali, na tuyhaṃ aññena ovādena kammaṃ atthi, tayā satta vassāni anubhūtadukkhameva paccavekkhāhī’’ti. Bhante, pabbājanameva tumhākaṃ bhāro, yaṃ pana mayā kātuṃ sakkā, tamahaṃ jānissāmīti. So paṭhamakesavaṭṭiyā ohāritakkhaṇeyeva sotāpattiphale patiṭṭhāsi, dutiyāya ohāritakkhaṇe sakadāgāmiphale, tatiyāya anāgāmiphale. Sabbesaṃyeva pana kesānaṃ oropanañca arahattasacchikiriyā ca apacchā apurimā ahosi. Tassa pabbajitadivasato paṭṭhāya bhikkhusaṅghassa cattāro paccayā yadicchakaṃ uppajjanti. Evaṃ ettha vatthu samuṭṭhitaṃ.

    อปรภาเค สตฺถา สาวตฺถิํ อคมาสิฯ เถโร สตฺถารํ อภิวาเทตฺวา, ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ ปุญฺญํ วีมํสิสฺสามิ, ปญฺจ เม ภิกฺขุสตานิ เทถา’’ติ อาห ฯ คณฺห, สีวลีติฯ โส ปญฺจสเต ภิกฺขู คเหตฺวา หิมวนฺตาภิมุขํ คจฺฉโนฺต อฎวิมคฺคํ คจฺฉติฯ ตสฺส ปฐมํ ทิฎฺฐา นิโคฺรเธ อธิวตฺถา เทวตา สตฺต ทิวสานิ ทานํ อทาสิฯ อิติ โส –

    Aparabhāge satthā sāvatthiṃ agamāsi. Thero satthāraṃ abhivādetvā, ‘‘bhante, mayhaṃ puññaṃ vīmaṃsissāmi, pañca me bhikkhusatāni dethā’’ti āha . Gaṇha, sīvalīti. So pañcasate bhikkhū gahetvā himavantābhimukhaṃ gacchanto aṭavimaggaṃ gacchati. Tassa paṭhamaṃ diṭṭhā nigrodhe adhivatthā devatā satta divasāni dānaṃ adāsi. Iti so –

    ‘‘นิโคฺรธํ ปฐมํ ปสฺสิ, ทุติยํ ปณฺฑวปพฺพตํ;

    ‘‘Nigrodhaṃ paṭhamaṃ passi, dutiyaṃ paṇḍavapabbataṃ;

    ตติยํ อจิรวติยํ, จตุตฺถํ วรสาครํฯ

    Tatiyaṃ aciravatiyaṃ, catutthaṃ varasāgaraṃ.

    ‘‘ปญฺจมํ หิมวนฺตํ โส, ฉฎฺฐํ ฉทฺทนฺตุปาคมิ;

    ‘‘Pañcamaṃ himavantaṃ so, chaṭṭhaṃ chaddantupāgami;

    สตฺตมํ คนฺธมาทนํ, อฎฺฐมํ อถ เรวต’’นฺติฯ

    Sattamaṃ gandhamādanaṃ, aṭṭhamaṃ atha revata’’nti.

    สพฺพฎฺฐาเนสุ สตฺต สตฺต ทิวสาเนว ทานํ อทํสุฯ คนฺธมาทนปพฺพเต ปน นาคทตฺตเทวราชา นาม สตฺตทิวเสสุ เอกทิวสํ ขีรปิณฺฑปาตํ อทาสิ, เอกทิวสํ สปฺปิปิณฺฑปาตํ อทาสิฯ ภิกฺขุสโงฺฆ อาห – ‘‘อาวุโส, อิมสฺส เทวรโญฺญ เนว เธนุโย ทุยฺหมานา ปญฺญายนฺติ, น ทธินิมฺมถนํ, กุโต เต, เทวราช, อิมํ อุปฺปชฺชตี’’ติ? ‘‘ภเนฺต, กสฺสปทสพลสฺส กาเล ขีรสลากภตฺตทานเสฺสตํ ผล’’นฺติ เทวราชา อาหฯ อปรภาเค สตฺถา ขทิรวนิยเรวตสฺส ปจฺจุคฺคมนํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เถรํ อตฺตโน สาสเน ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Sabbaṭṭhānesu satta satta divasāneva dānaṃ adaṃsu. Gandhamādanapabbate pana nāgadattadevarājā nāma sattadivasesu ekadivasaṃ khīrapiṇḍapātaṃ adāsi, ekadivasaṃ sappipiṇḍapātaṃ adāsi. Bhikkhusaṅgho āha – ‘‘āvuso, imassa devarañño neva dhenuyo duyhamānā paññāyanti, na dadhinimmathanaṃ, kuto te, devarāja, imaṃ uppajjatī’’ti? ‘‘Bhante, kassapadasabalassa kāle khīrasalākabhattadānassetaṃ phala’’nti devarājā āha. Aparabhāge satthā khadiravaniyarevatassa paccuggamanaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā theraṃ attano sāsane lābhaggayasaggappattānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    วกฺกลิเตฺถรวตฺถุ

    Vakkalittheravatthu

    ๒๐๘. ทสเม สทฺธาธิมุตฺตานนฺติ สทฺธาย อธิมุตฺตานํ, พลวสทฺธานํ ภิกฺขูนํ วกฺกลิเตฺถโร อโคฺคติ ทเสฺสติฯ อเญฺญสํ หิ สทฺธา วเฑฺฒตพฺพา โหติ, เถรสฺส ปน หาเปตพฺพา ชาตาฯ ตสฺมา โส สทฺธาธิมุตฺตานํ อโคฺคติ วุโตฺตฯ วกฺกลีติ ปนสฺส นามํฯ

    208. Dasame saddhādhimuttānanti saddhāya adhimuttānaṃ, balavasaddhānaṃ bhikkhūnaṃ vakkalitthero aggoti dasseti. Aññesaṃ hi saddhā vaḍḍhetabbā hoti, therassa pana hāpetabbā jātā. Tasmā so saddhādhimuttānaṃ aggoti vutto. Vakkalīti panassa nāmaṃ.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ อตีเต ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล วุตฺตนเยเนว วิหารํ คนฺตฺวา ปริสปริยเนฺต ฐิโต ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ สทฺธาธิมุตฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยาปิ อนาคเต เอวรูเปน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตนเยเนว สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา ทสพลํ วนฺทิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อหมฺปิ อิมินา อธิการกเมฺมน ตุเมฺหหิ สทฺธาธิมุตฺตานํ เอตทเคฺค ฐปิตภิกฺขุ วิย อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน สทฺธาธิมุตฺตานํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา ตสฺส อนนฺตรายํ ทิสฺวา พฺยากริตฺวา ปกฺกามิฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi hi atīte padumuttarabuddhakāle vuttanayeneva vihāraṃ gantvā parisapariyante ṭhito dhammaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ saddhādhimuttānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā ‘‘mayāpi anāgate evarūpena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti vuttanayeneva satthāraṃ nimantetvā sattāhaṃ mahādānaṃ datvā dasabalaṃ vanditvā, ‘‘bhante, ahampi iminā adhikārakammena tumhehi saddhādhimuttānaṃ etadagge ṭhapitabhikkhu viya anāgate ekassa buddhassa sāsane saddhādhimuttānaṃ aggo bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi. Satthā tassa anantarāyaṃ disvā byākaritvā pakkāmi.

    โสปิ ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อมฺหากํ สตฺถุกาเล สาวตฺถิยํ พฺราหฺมณกุเล ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, วกฺกลีติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วุทฺธิปฺปโตฺต ตโย เวเท อุคฺคณฺหิตฺวา ทสพลํ ภิกฺขุสงฺฆปริวุตํ สาวตฺถิยํ จรนฺตํ ทิสฺวา สตฺถุ สรีรสมฺปตฺติํ โอโลเกโนฺต สรีรสมฺปตฺติทสฺสเนน อติโตฺต ทสพเลน สทฺธิํเยว วิจรติฯ วิหารํ คจฺฉเนฺตน สทฺธิํ วิหารํ คนฺตฺวา สรีรนิปฺผตฺติํ โอโลเกโนฺตว ติฎฺฐติฯ ธมฺมสภายํ นิสีทิตฺวา ธมฺมํ กเถนฺตสฺส สมฺมุขฎฺฐาเน ฐิโต ธมฺมํ สุณาติฯ โส สทฺธํ ปฎิลภิตฺวา ‘‘อคารมเชฺฌ วสโนฺต นิพทฺธํ ทสพลสฺส ทสฺสนํ น ลภิสฺสามี’’ติ ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิฯ

    Sopi yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto amhākaṃ satthukāle sāvatthiyaṃ brāhmaṇakule paṭisandhiṃ gaṇhi, vakkalītissa nāmaṃ akaṃsu. So vuddhippatto tayo vede uggaṇhitvā dasabalaṃ bhikkhusaṅghaparivutaṃ sāvatthiyaṃ carantaṃ disvā satthu sarīrasampattiṃ olokento sarīrasampattidassanena atitto dasabalena saddhiṃyeva vicarati. Vihāraṃ gacchantena saddhiṃ vihāraṃ gantvā sarīranipphattiṃ olokentova tiṭṭhati. Dhammasabhāyaṃ nisīditvā dhammaṃ kathentassa sammukhaṭṭhāne ṭhito dhammaṃ suṇāti. So saddhaṃ paṭilabhitvā ‘‘agāramajjhe vasanto nibaddhaṃ dasabalassa dassanaṃ na labhissāmī’’ti pabbajjaṃ yācitvā satthu santike pabbaji.

    ตโต ปฎฺฐาย ฐเปตฺวา อาหารกรณเวลํ อวเสสกาเล ยตฺถ ฐิเตน สกฺกา ทสพลํ ปสฺสิตุํ, ตตฺถ ฐิโต โยนิโสมนสิการํ ปหาย ทสพลํ โอโลเกโนฺตว วิหรติฯ สตฺถา ตสฺส ญาณปริปากํ อาคเมโนฺต ทีฆมฺปิ อทฺธานํ ตสฺมิํ รูปทสฺสนวเสเนว วิจรเนฺต กิญฺจิ อวตฺวา ‘‘อิทานิสฺส ญาณํ ปริปากคตํ, สกฺกา เอตํ โพเธตุ’’นฺติ ญตฺวา เอวมาห – ‘‘กิํ เต, วกฺกลิ, อิมินา ปูติกาเยน ทิเฎฺฐน, โย โข, วกฺกลิ, ธมฺมํ ปสฺสติ, โส มํ ปสฺสติฯ โย มํ ปสฺสติ, โส ธมฺมํ ปสฺสติฯ ธมฺมญฺหิ, วกฺกลิ , ปสฺสโนฺต มํ ปสฺสติ, มํ ปสฺสโนฺต ธมฺมํ ปสฺสตี’’ติฯ

    Tato paṭṭhāya ṭhapetvā āhārakaraṇavelaṃ avasesakāle yattha ṭhitena sakkā dasabalaṃ passituṃ, tattha ṭhito yonisomanasikāraṃ pahāya dasabalaṃ olokentova viharati. Satthā tassa ñāṇaparipākaṃ āgamento dīghampi addhānaṃ tasmiṃ rūpadassanavaseneva vicarante kiñci avatvā ‘‘idānissa ñāṇaṃ paripākagataṃ, sakkā etaṃ bodhetu’’nti ñatvā evamāha – ‘‘kiṃ te, vakkali, iminā pūtikāyena diṭṭhena, yo kho, vakkali, dhammaṃ passati, so maṃ passati. Yo maṃ passati, so dhammaṃ passati. Dhammañhi, vakkali , passanto maṃ passati, maṃ passanto dhammaṃ passatī’’ti.

    สตฺถริ เอวํ โอวทเนฺตปิ เถโร ทสพลสฺส ทสฺสนํ ปหาย เนว อญฺญตฺถ คนฺตุํ สโกฺกติฯ ตโต สตฺถา ‘‘นายํ ภิกฺขุ สํเวคํ อลภิตฺวา พุชฺฌิสฺสตี’’ติ อุปกฎฺฐาย วสฺสูปนายิกาย ราชคหํ คนฺตฺวา วสฺสูปนายิกทิวเส ‘‘อเปหิ, วกฺกลี’’ติ เถรํ ปณาเมติฯ พุทฺธา จ นาม อาเทยฺยวจนา โหนฺติ, ตสฺมา เถโร สตฺถารํ ปฎิปฺผริตฺวา ฐาตุํ อสโกฺกโนฺต เตมาสํ ทสพลสฺส สมฺมุเข อาคนฺตุํ อวิสหโนฺต ‘‘กิํ ทานิ สกฺกา กาตุํ, ตถาคเตนมฺหิ ปณามิโต, สมฺมุขีภาวํ น ลภามิ, กิํ มยฺหํ ชีวิเตนา’’ติ คิชฺฌกูฎปพฺพเต ปปาตฎฺฐานํ อภิรุหิฯ สตฺถา ตสฺส กิลมนภาวํ ญตฺวา ‘‘อยํ ภิกฺขุ มม สนฺติกา อสฺสาสํ อลภโนฺต มคฺคผลานํ อุปนิสฺสยํ นาเสยฺยา’’ติ อตฺตานํ ทเสฺสตุํ โอภาสํ วิสฺสเชฺชสิฯ อถสฺส สตฺถุ ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย เอว มหนฺตํ โสกสลฺลํ ปหีนํฯ สตฺถา สุกฺขตฬาเก โอฆํ อาหรโนฺต วิย วกฺกลิเตฺถรสฺส พลวปีติโสมนสฺสํ อุปฺปาเทตุํ ธมฺมปเท อิมํ คาถมาห –

    Satthari evaṃ ovadantepi thero dasabalassa dassanaṃ pahāya neva aññattha gantuṃ sakkoti. Tato satthā ‘‘nāyaṃ bhikkhu saṃvegaṃ alabhitvā bujjhissatī’’ti upakaṭṭhāya vassūpanāyikāya rājagahaṃ gantvā vassūpanāyikadivase ‘‘apehi, vakkalī’’ti theraṃ paṇāmeti. Buddhā ca nāma ādeyyavacanā honti, tasmā thero satthāraṃ paṭippharitvā ṭhātuṃ asakkonto temāsaṃ dasabalassa sammukhe āgantuṃ avisahanto ‘‘kiṃ dāni sakkā kātuṃ, tathāgatenamhi paṇāmito, sammukhībhāvaṃ na labhāmi, kiṃ mayhaṃ jīvitenā’’ti gijjhakūṭapabbate papātaṭṭhānaṃ abhiruhi. Satthā tassa kilamanabhāvaṃ ñatvā ‘‘ayaṃ bhikkhu mama santikā assāsaṃ alabhanto maggaphalānaṃ upanissayaṃ nāseyyā’’ti attānaṃ dassetuṃ obhāsaṃ vissajjesi. Athassa satthu diṭṭhakālato paṭṭhāya eva mahantaṃ sokasallaṃ pahīnaṃ. Satthā sukkhataḷāke oghaṃ āharanto viya vakkalittherassa balavapītisomanassaṃ uppādetuṃ dhammapade imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ปาโมชฺชพหุโล ภิกฺขุ, ปสโนฺน พุทฺธสาสเน;

    ‘‘Pāmojjabahulo bhikkhu, pasanno buddhasāsane;

    อธิคเจฺฉ ปทํ สนฺตํ, สงฺขารูปสมํ สุข’’นฺติฯ (ธ. ป. ๓๘๑);

    Adhigacche padaṃ santaṃ, saṅkhārūpasamaṃ sukha’’nti. (dha. pa. 381);

    วกฺกลิเตฺถรสฺส จ ‘‘เอหิ, วกฺกลี’’ติ หตฺถํ ปสาเรสิฯ เถโร ‘‘ทสพโล เม ทิโฎฺฐ, เอหีติ อวฺหายนมฺปิ ลทฺธ’’นฺติ พลวปีติํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘กุโต คจฺฉามี’’ติ อตฺตโน คมนภาวํ อชานิตฺวาว ทสพลสฺส สมฺมุเข อากาเส ปกฺขนฺทิตฺวา ปฐมปาเทน ปพฺพเต ฐิโตเยว สตฺถารา วุตฺตคาถํ อาวเชฺชโนฺต อากาเสเยว ปีติํ วิกฺขเมฺภตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺวา ตถาคตํ วนฺทมาโนว โอตริฯ อปรภาเค สตฺถา อริยคณมเชฺฌ นิสิโนฺน เถรํ สทฺธาธิมุตฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Vakkalittherassa ca ‘‘ehi, vakkalī’’ti hatthaṃ pasāresi. Thero ‘‘dasabalo me diṭṭho, ehīti avhāyanampi laddha’’nti balavapītiṃ uppādetvā ‘‘kuto gacchāmī’’ti attano gamanabhāvaṃ ajānitvāva dasabalassa sammukhe ākāse pakkhanditvā paṭhamapādena pabbate ṭhitoyeva satthārā vuttagāthaṃ āvajjento ākāseyeva pītiṃ vikkhambhetvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patvā tathāgataṃ vandamānova otari. Aparabhāge satthā ariyagaṇamajjhe nisinno theraṃ saddhādhimuttānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ทุติยวคฺควณฺณนาฯ

    Dutiyavaggavaṇṇanā.

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๓. ตติยเอตทคฺควโคฺค

    (14) 3. Tatiyaetadaggavaggo

    ๒๐๙. ตติยวคฺคสฺส ปฐเม สิกฺขากามานนฺติ ติโสฺส สิกฺขา กามยมานานํ สมฺปิยายิตฺวา สิกฺขนฺตานนฺติ อโตฺถฯ ราหุโลติ อตฺตโน ปุตฺตํ ราหุลเตฺถรํ ทเสฺสติฯ เถโร กิร ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ปาโตว อุฎฺฐหโนฺต หตฺถปูรํ วาลิกํ อุกฺขิปิตฺวา ‘‘อโห วตาหํ อชฺช ทสพลสฺส เจว อาจริยุปชฺฌายานญฺจ สนฺติกา เอตฺตกํ โอวาทเญฺจว อนุสาสนิญฺจ ลเภยฺย’’นฺติ ปเตฺถติฯ ตสฺมา สิกฺขากามานํ อโคฺค นาม ชาโตติฯ

    209. Tatiyavaggassa paṭhame sikkhākāmānanti tisso sikkhā kāmayamānānaṃ sampiyāyitvā sikkhantānanti attho. Rāhuloti attano puttaṃ rāhulattheraṃ dasseti. Thero kira pabbajitadivasato paṭṭhāya pātova uṭṭhahanto hatthapūraṃ vālikaṃ ukkhipitvā ‘‘aho vatāhaṃ ajja dasabalassa ceva ācariyupajjhāyānañca santikā ettakaṃ ovādañceva anusāsaniñca labheyya’’nti pattheti. Tasmā sikkhākāmānaṃ aggo nāma jātoti.

    ๒๑๐. ทุติเย สทฺธาปพฺพชิตานนฺติ สทฺธาย ปพฺพชิตานํฯ รฎฺฐปาโลติ รฎฺฐํ ปาเลตุํ สมโตฺถ, ภินฺนํ วา รฎฺฐํ สนฺธาเรตุํ สมเตฺถ กุเล ชาโตติปิ รฎฺฐปาโลติ สงฺขํ คโตฯ โส หิ สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ จุทฺทสภตฺตเจฺฉเท กตฺวา มาตาปิตโร ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปตฺวา ปพฺพชิโตฯ ตสฺมา สทฺธาปพฺพชิตานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    210. Dutiye saddhāpabbajitānanti saddhāya pabbajitānaṃ. Raṭṭhapāloti raṭṭhaṃ pāletuṃ samattho, bhinnaṃ vā raṭṭhaṃ sandhāretuṃ samatthe kule jātotipi raṭṭhapāloti saṅkhaṃ gato. So hi satthu dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddho cuddasabhattacchede katvā mātāpitaro pabbajjaṃ anujānāpetvā pabbajito. Tasmā saddhāpabbajitānaṃ aggo nāma jāto.

    ราหุล-รฎฺฐปาลเตฺถรวตฺถุ

    Rāhula-raṭṭhapālattheravatthu

    อิเมสํ ปน อุภินฺนมฺปิ เถรานํ ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – เอเต กิร เทฺวปิ อตีเต ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร คหปติมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติํสุฯ เตสํ ทหรกาเล นามํ วา โคตฺตํ วา น กถิยติฯ วยปฺปตฺตา ปน ฆราวาเส ปติฎฺฐาย อตฺตโน อตฺตโน ปิตุ อจฺจเยน อุโภปิ อตฺตโน อตฺตโน รตนโกฎฺฐาคารกมฺมิเก ปโกฺกสาเปตฺวา อปริมาณํ ธนํ ทิสฺวา – ‘‘อิมํ เอตฺตกํ ธนราสิํ อยฺยกปยฺยกาทโย อตฺตนา สทฺธิํ คเหตฺวา คนฺตุํ นาสกฺขิํสุ, อเมฺหหิ ทานิ เยน เกนจิ อุปาเยน อิมํ ธนํ คเหตฺวา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ เต อุโภปิ ชนา จตูสุ ฐาเนสุ กปณทฺธิกาทีนํ มหาทานํ ทาตุํ อารทฺธาฯ เอโก อตฺตโน ทานเคฺค อาคตาคตชนํ ปุจฺฉิตฺวา ยาคุขชฺชกาทีสุ ยสฺส ยํ ปฎิภาติ, ตสฺส ตํ อทาสิ, ตสฺส เตเนว การเณน อาคตปาโกติ นามํ ชาตํฯ อิตโร อปุจฺฉิตฺวาว คหิตคหิตภาชนํ ปูเรตฺวา ปูเรตฺวา เทติ, ตสฺสปิ เตเนว การเณน อนคฺคปาโกติ นามํ ชาตํ, อปฺปมาณปาโกติ อโตฺถฯ

    Imesaṃ pana ubhinnampi therānaṃ pañhakamme ayamanupubbikathā – ete kira dvepi atīte padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare gahapatimahāsālakule nibbattiṃsu. Tesaṃ daharakāle nāmaṃ vā gottaṃ vā na kathiyati. Vayappattā pana gharāvāse patiṭṭhāya attano attano pitu accayena ubhopi attano attano ratanakoṭṭhāgārakammike pakkosāpetvā aparimāṇaṃ dhanaṃ disvā – ‘‘imaṃ ettakaṃ dhanarāsiṃ ayyakapayyakādayo attanā saddhiṃ gahetvā gantuṃ nāsakkhiṃsu, amhehi dāni yena kenaci upāyena imaṃ dhanaṃ gahetvā gantuṃ vaṭṭatī’’ti te ubhopi janā catūsu ṭhānesu kapaṇaddhikādīnaṃ mahādānaṃ dātuṃ āraddhā. Eko attano dānagge āgatāgatajanaṃ pucchitvā yāgukhajjakādīsu yassa yaṃ paṭibhāti, tassa taṃ adāsi, tassa teneva kāraṇena āgatapākoti nāmaṃ jātaṃ. Itaro apucchitvāva gahitagahitabhājanaṃ pūretvā pūretvā deti, tassapi teneva kāraṇena anaggapākoti nāmaṃ jātaṃ, appamāṇapākoti attho.

    เต อุโภปิ เอกทิวสํ ปาโตว มุขโธวนตฺถํ พหิคามํ อคมํสุฯ ตสฺมิํ สมเย หิมวนฺตโต เทฺว มหิทฺธิกา ตาปสา ภิกฺขาจารตฺถาย อากาเสน อาคนฺตฺวา เตสํ สหายกานํ อวิทูเร โอตริตฺวา ‘‘มา โน เอเต ปสฺสิํสู’’ติ เอกปเสฺส อฎฺฐํสุฯ เต อุโภปิ ชนา เตสํ ลาพุภาชนาทิปริกฺขารํ สํวิธาย อโนฺตคามํ สนฺธาย ภิกฺขาย คตานํ สนฺติกํ อาคมฺม วนฺทิํสุฯ อถ เน ตาปสา ‘‘กาย เวลาย อาคตตฺถ มหาปุญฺญา’’ติ อาหํสุฯ เต ‘‘อธุนาว, ภเนฺต’’ติ วตฺวา เตสํ หตฺถโต ลาพุภาชนํ คเหตฺวา อตฺตโน อตฺตโน เคหํ เนตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน นิพทฺธํ ภิกฺขาคหณตฺถํ ปฎิญฺญํ คณฺหิํสุฯ

    Te ubhopi ekadivasaṃ pātova mukhadhovanatthaṃ bahigāmaṃ agamaṃsu. Tasmiṃ samaye himavantato dve mahiddhikā tāpasā bhikkhācāratthāya ākāsena āgantvā tesaṃ sahāyakānaṃ avidūre otaritvā ‘‘mā no ete passiṃsū’’ti ekapasse aṭṭhaṃsu. Te ubhopi janā tesaṃ lābubhājanādiparikkhāraṃ saṃvidhāya antogāmaṃ sandhāya bhikkhāya gatānaṃ santikaṃ āgamma vandiṃsu. Atha ne tāpasā ‘‘kāya velāya āgatattha mahāpuññā’’ti āhaṃsu. Te ‘‘adhunāva, bhante’’ti vatvā tesaṃ hatthato lābubhājanaṃ gahetvā attano attano gehaṃ netvā bhattakiccapariyosāne nibaddhaṃ bhikkhāgahaṇatthaṃ paṭiññaṃ gaṇhiṃsu.

    เตสุ เอโก ตาปโส สปริฬาหกายธาตุโก โหติฯ โส อตฺตโน อานุภาเวน มหาสมุทฺทอุทกํ เทฺวธา กตฺวา ปถวินฺธรนาคราชสฺส ภวนํ คนฺตฺวา ทิวาวิหารํ นิสีทติฯ โส อุตุสปฺปายํ คเหตฺวา ปจฺจาคนฺตฺวา อตฺตโน อุปฎฺฐากสฺส เคเห ภตฺตานุโมทนํ กโรโนฺต ‘‘ปถวินฺธรนาคภวนํ วิย โหตู’’ติ วทติฯ อถ นํ เอกทิวสํ อุปฎฺฐาโก ปุจฺฉิ – ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห อนุโมทนํ กโรนฺตา ‘ปถวินฺธรนาคภวนํ วิย โหตู’ติ วทถ, มยมสฺส อตฺถํ น ชานาม, กิํ วุตฺตํ โหติ อิทํ, ภเนฺต’’ติ? อาม, กุฎุมฺพิย อหํ ‘‘ตุมฺหากํ สมฺปตฺติ ปถวินฺธรนาคราชสมฺปตฺติสทิสา โหตู’’ติ วทามีติฯ กุฎุมฺพิโก ตโต ปฎฺฐาย ปถวินฺธรนาคราชภวเน จิตฺตํ ฐเปสิฯ

    Tesu eko tāpaso sapariḷāhakāyadhātuko hoti. So attano ānubhāvena mahāsamuddaudakaṃ dvedhā katvā pathavindharanāgarājassa bhavanaṃ gantvā divāvihāraṃ nisīdati. So utusappāyaṃ gahetvā paccāgantvā attano upaṭṭhākassa gehe bhattānumodanaṃ karonto ‘‘pathavindharanāgabhavanaṃ viya hotū’’ti vadati. Atha naṃ ekadivasaṃ upaṭṭhāko pucchi – ‘‘bhante, tumhe anumodanaṃ karontā ‘pathavindharanāgabhavanaṃ viya hotū’ti vadatha, mayamassa atthaṃ na jānāma, kiṃ vuttaṃ hoti idaṃ, bhante’’ti? Āma, kuṭumbiya ahaṃ ‘‘tumhākaṃ sampatti pathavindharanāgarājasampattisadisā hotū’’ti vadāmīti. Kuṭumbiko tato paṭṭhāya pathavindharanāgarājabhavane cittaṃ ṭhapesi.

    อิตโร ตาปโส ตาวติํสภวนํ คนฺตฺวา สุเญฺญ เสริสกวิมาเน ทิวาวิหารํ กโรติฯ โส อาคจฺฉโนฺต คจฺฉโนฺต จ สกฺกสฺส เทวราชสฺส สมฺปตฺติํ ทิสฺวา อตฺตโน อุปฎฺฐากสฺส อนุโมทนํ กโรโนฺต ‘‘สกฺกวิมานํ วิย โหตู’’ติ วทติฯ อถ นํ โสปิ กุฎุมฺพิโย อิตโร สหายโก ตํ ตาปสํ วิย ปุจฺฉิฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา สกฺกภวเน จิตฺตํ ฐเปสิฯ เต อุโภปิ ปตฺถิตฎฺฐาเนสุเยว นิพฺพตฺตาฯ

    Itaro tāpaso tāvatiṃsabhavanaṃ gantvā suññe serisakavimāne divāvihāraṃ karoti. So āgacchanto gacchanto ca sakkassa devarājassa sampattiṃ disvā attano upaṭṭhākassa anumodanaṃ karonto ‘‘sakkavimānaṃ viya hotū’’ti vadati. Atha naṃ sopi kuṭumbiyo itaro sahāyako taṃ tāpasaṃ viya pucchi. So tassa vacanaṃ sutvā sakkabhavane cittaṃ ṭhapesi. Te ubhopi patthitaṭṭhānesuyeva nibbattā.

    ปถวินฺธรภวเน นิพฺพโตฺต ปถวินฺธรนาคราชา นาม ชาโตฯ โส นิพฺพตฺตกฺขเณ อตฺตโน อตฺตภาวํ ทิสฺวา ‘‘อมนาปสฺส วต เม ฐานสฺส กุลุปกตาปโส วณฺณํ กเถสิ, อุเรน ปริสกฺกิตฺวา วิจรณฎฺฐานเมตํ, นูน โส อญฺญํ ฐานํ น ชานาตี’’ติ วิปฺปฎิสารี อโหสิฯ อถสฺส ตํขเณเยว อลงฺกตปฎิยตฺตานิ นาคนาฎกานิ สพฺพทิสาสุ ตูริยานิ ปคฺคณฺหิํสุฯ โส ตสฺมิํเยว ขเณ ตํ อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา มาณวกวณฺณี อโหสิฯ อนฺวทฺธมาสญฺจ จตฺตาโร มหาราชาโน สกฺกสฺส อุปฎฺฐานํ คจฺฉนฺติฯ ตสฺมา โสปิ วิรูปเกฺขน นาครญฺญา สทฺธิํ สกฺกสฺส อุปฎฺฐานํ คโตฯ สโกฺก ตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา สญฺชานิฯ อถ นํ สมีเป อาคนฺตฺวา ฐิตกาเล ‘‘กหํ นิพฺพโตฺตสิ สมฺมา’’ติ ปุจฺฉิฯ มา กเถสิ, มหาราช, อุเรน ปริสกฺกนฎฺฐาเน นิพฺพโตฺตมฺหิ, ตุเมฺห ปน กลฺยาณมิตฺตํ ลภิตฺถาติฯ สมฺม, ตฺวํ ‘‘อฎฺฐาเน นิพฺพโตฺตมฺหี’’ติ มา วิตกฺกยิ , ปทุมุตฺตรทสพโล โลเก นิพฺพโตฺต, ตสฺส อธิการกมฺมํ กตฺวา อิมํเยว ฐานํ ปเตฺถหิ, อุโภ สุขํ วสิสฺสามาติฯ โส ‘‘เอวํ, เทว, กริสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา ปทุมุตฺตรทสพลํ นิมเนฺตตฺวา อตฺตโน นาคภวเน นาคปริสาย สทฺธิํ สพฺพรตฺติํ สกฺการสมฺมานํ สเชฺชสิฯ

    Pathavindharabhavane nibbatto pathavindharanāgarājā nāma jāto. So nibbattakkhaṇe attano attabhāvaṃ disvā ‘‘amanāpassa vata me ṭhānassa kulupakatāpaso vaṇṇaṃ kathesi, urena parisakkitvā vicaraṇaṭṭhānametaṃ, nūna so aññaṃ ṭhānaṃ na jānātī’’ti vippaṭisārī ahosi. Athassa taṃkhaṇeyeva alaṅkatapaṭiyattāni nāganāṭakāni sabbadisāsu tūriyāni paggaṇhiṃsu. So tasmiṃyeva khaṇe taṃ attabhāvaṃ vijahitvā māṇavakavaṇṇī ahosi. Anvaddhamāsañca cattāro mahārājāno sakkassa upaṭṭhānaṃ gacchanti. Tasmā sopi virūpakkhena nāgaraññā saddhiṃ sakkassa upaṭṭhānaṃ gato. Sakko taṃ dūratova āgacchantaṃ disvā sañjāni. Atha naṃ samīpe āgantvā ṭhitakāle ‘‘kahaṃ nibbattosi sammā’’ti pucchi. Mā kathesi, mahārāja, urena parisakkanaṭṭhāne nibbattomhi, tumhe pana kalyāṇamittaṃ labhitthāti. Samma, tvaṃ ‘‘aṭṭhāne nibbattomhī’’ti mā vitakkayi , padumuttaradasabalo loke nibbatto, tassa adhikārakammaṃ katvā imaṃyeva ṭhānaṃ patthehi, ubho sukhaṃ vasissāmāti. So ‘‘evaṃ, deva, karissāmī’’ti gantvā padumuttaradasabalaṃ nimantetvā attano nāgabhavane nāgaparisāya saddhiṃ sabbarattiṃ sakkārasammānaṃ sajjesi.

    สตฺถา ปุนทิวเส อุฎฺฐิเต อรุเณ อตฺตโน อุปฎฺฐากํ สุมนเตฺถรํ อามเนฺตสิ – ‘‘สุมน, อชฺช ตถาคโต ทูรํ ภิกฺขาจารํ คมิสฺสติ, มา ปุถุชฺชนภิกฺขู อาคจฺฉนฺตุ, เตปิฎกา ปฎิสมฺภิทาปฺปตฺตา ฉฬภิญฺญาว อาคจฺฉนฺตู’’ติฯ เถโร สตฺถุ วจนํ สุตฺวา สเพฺพสํ อาโรเจสิฯ สตฺถารา สทฺธิํ สตสหสฺสา ภิกฺขู อากาสํ ปกฺขนฺทิํสุฯ ปถวินฺธโร นาคปริสาย สทฺธิํ ทสพลสฺส ปจฺจุคฺคมนํ อาคโต สตฺถารํ ปริวาเรตฺวา สมุทฺทมตฺถเก มณิวณฺณา อูมิโย มทฺทมานํ ภิกฺขุสงฺฆํ โอโลเกตฺวา อาทิโต สตฺถารํ, ปริโยสาเน สงฺฆนวกํ ตถาคตสฺส ปุตฺตํ อุปเรวตสามเณรํ นาม โอโลเกโนฺต ‘‘อนจฺฉริโย เสสสาวกานํ เอวรูโป อิทฺธานุภาโว, อิมสฺส ปน ตรุณพาลทารกสฺส เอวรูโป อิทฺธานุภาโว อติวิย อจฺฉริโย’’ติ ปีติปาโมชฺชํ อุปฺปาเทสิฯ

    Satthā punadivase uṭṭhite aruṇe attano upaṭṭhākaṃ sumanattheraṃ āmantesi – ‘‘sumana, ajja tathāgato dūraṃ bhikkhācāraṃ gamissati, mā puthujjanabhikkhū āgacchantu, tepiṭakā paṭisambhidāppattā chaḷabhiññāva āgacchantū’’ti. Thero satthu vacanaṃ sutvā sabbesaṃ ārocesi. Satthārā saddhiṃ satasahassā bhikkhū ākāsaṃ pakkhandiṃsu. Pathavindharo nāgaparisāya saddhiṃ dasabalassa paccuggamanaṃ āgato satthāraṃ parivāretvā samuddamatthake maṇivaṇṇā ūmiyo maddamānaṃ bhikkhusaṅghaṃ oloketvā ādito satthāraṃ, pariyosāne saṅghanavakaṃ tathāgatassa puttaṃ uparevatasāmaṇeraṃ nāma olokento ‘‘anacchariyo sesasāvakānaṃ evarūpo iddhānubhāvo, imassa pana taruṇabāladārakassa evarūpo iddhānubhāvo ativiya acchariyo’’ti pītipāmojjaṃ uppādesi.

    อถสฺส ภวเน ทสพเล นิสิเนฺน เสสภิกฺขูสุ โกฎิโต ปฎฺฐาย นิสีทเนฺตสุ สตฺถุ สมฺมุขฎฺฐาเนเยว อุปเรวตสามเณรสฺส อาสนํ ปาปุณิฯ นาคราชา ยาคุํ เทโนฺตปิ ขชฺชกํ เทโนฺตปิ สกิํ ทสพลํ โอโลเกติ, สกิํ อุปเรวตสามเณรํฯ ตสฺส กิร สรีเร สตฺถุ สรีเร วิย ทฺวตฺติํส มหาปุริสลกฺขณานิ ปญฺญายนฺติฯ ตโต นาคราชา ‘‘อยํ สามเณโร พุทฺธานํ สทิโส ปญฺญายติ, กิํ นุ โข โหตี’’ติ อวิทูเร นิสินฺนํ อญฺญตรํ ภิกฺขุํ ปุจฺฉิ – ‘‘อยํ, ภเนฺต, สามเณโร ทสพลสฺส กิํ โหตี’’ติ? ปุโตฺต, มหาราชาติฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘มหา วตายํ ภิกฺขุ, เอวรูปสฺส โสภคฺคปฺปตฺตสฺส ตถาคตสฺส ปุตฺตภาวํ ลภิฯ สรีรมฺปิสฺส เอกเทเสน พุทฺธานํ สรีรสทิสํ ปญฺญายติ, มยาปิ อนาคเต เอวรูเปน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อหํ อิมสฺส อธิการกมฺมสฺสานุภาเวน อยํ อุปเรวโต วิย อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส ปุโตฺต ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา อนนฺตรายํ ทิสฺวา ‘‘อนาคเต โคตมพุทฺธสฺส ปุโตฺต ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากริตฺวา ปกฺกามิฯ

    Athassa bhavane dasabale nisinne sesabhikkhūsu koṭito paṭṭhāya nisīdantesu satthu sammukhaṭṭhāneyeva uparevatasāmaṇerassa āsanaṃ pāpuṇi. Nāgarājā yāguṃ dentopi khajjakaṃ dentopi sakiṃ dasabalaṃ oloketi, sakiṃ uparevatasāmaṇeraṃ. Tassa kira sarīre satthu sarīre viya dvattiṃsa mahāpurisalakkhaṇāni paññāyanti. Tato nāgarājā ‘‘ayaṃ sāmaṇero buddhānaṃ sadiso paññāyati, kiṃ nu kho hotī’’ti avidūre nisinnaṃ aññataraṃ bhikkhuṃ pucchi – ‘‘ayaṃ, bhante, sāmaṇero dasabalassa kiṃ hotī’’ti? Putto, mahārājāti. So cintesi – ‘‘mahā vatāyaṃ bhikkhu, evarūpassa sobhaggappattassa tathāgatassa puttabhāvaṃ labhi. Sarīrampissa ekadesena buddhānaṃ sarīrasadisaṃ paññāyati, mayāpi anāgate evarūpena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti sattāhaṃ mahādānaṃ datvā, ‘‘bhante, ahaṃ imassa adhikārakammassānubhāvena ayaṃ uparevato viya anāgate ekassa buddhassa putto bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi. Satthā anantarāyaṃ disvā ‘‘anāgate gotamabuddhassa putto bhavissasī’’ti byākaritvā pakkāmi.

    ปถวินฺธโรปิ ปุน อทฺธมาเส สมฺปเตฺต วิรูปเกฺขน สทฺธิํ สกฺกสฺส อุปฎฺฐานํ คโตฯ อถ นํ สมีเป ฐิตํ สโกฺก ปุจฺฉิ – ‘‘ปตฺถิโต เต, สมฺม, อยํ เทวโลโก’’ติ? น ปตฺถิโต มหาราชาติฯ กิํ โทสํ อทฺทสาติ? โทโส นตฺถิ, มหาราช, อหํ ปน ทสพลสฺส ปุตฺตํ อุปเรวตสามเณรํ ปสฺสิํฯ ตสฺส เม ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย อญฺญตฺถ จิตฺตํ น นมิ, สฺวาหํ ‘‘อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส เอวรูโป ปุโตฺต ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิํฯ ตฺวมฺปิ, มหาราช, เอกํ ปตฺถนํ กโรหิ, เต มยํ นิพฺพตฺตฎฺฐาเน น วินา ภวิสฺสามาติฯ สโกฺก ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เอกํ มหานุภาวํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา ‘‘กตรกุลา นุ โข นิกฺขมิตฺวา อยํ กุลปุโตฺต ปพฺพชิโต’’ติ อาวเชฺชโนฺต ‘‘อยํ ภินฺนํ รฎฺฐํ สนฺธาเรตุํ สมตฺถสฺส กุลสฺส ปุโตฺต หุตฺวา จุทฺทส ภตฺตเจฺฉเท กตฺวา มาตาปิตโร ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปตฺวา ปพฺพชิโต’’ติ อญฺญาสิฯ ญตฺวา จ ปน อชานโนฺต วิย ทสพลํ ปุจฺฉิตฺวา สตฺตาหํ มหาสกฺการํ กตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อหํ อิมสฺส กลฺยาณกมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน ตุมฺหากํ สาสเน อยํ กุลปุโตฺต วิย อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน สทฺธาปพฺพชิตานํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา อนนฺตรายํ ทิสฺวา ‘‘ตฺวํ, มหาราช, อนาคเต โคตมสฺส พุทฺธสฺส สาสเน สทฺธาปพฺพชิตานํ อโคฺค ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากริตฺวา ปกฺกามิฯ สโกฺกปิ อตฺตโน เทวปุรเมว คโตฯ

    Pathavindharopi puna addhamāse sampatte virūpakkhena saddhiṃ sakkassa upaṭṭhānaṃ gato. Atha naṃ samīpe ṭhitaṃ sakko pucchi – ‘‘patthito te, samma, ayaṃ devaloko’’ti? Na patthito mahārājāti. Kiṃ dosaṃ addasāti? Doso natthi, mahārāja, ahaṃ pana dasabalassa puttaṃ uparevatasāmaṇeraṃ passiṃ. Tassa me diṭṭhakālato paṭṭhāya aññattha cittaṃ na nami, svāhaṃ ‘‘anāgate ekassa buddhassa evarūpo putto bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsiṃ. Tvampi, mahārāja, ekaṃ patthanaṃ karohi, te mayaṃ nibbattaṭṭhāne na vinā bhavissāmāti. Sakko tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā ekaṃ mahānubhāvaṃ bhikkhuṃ disvā ‘‘katarakulā nu kho nikkhamitvā ayaṃ kulaputto pabbajito’’ti āvajjento ‘‘ayaṃ bhinnaṃ raṭṭhaṃ sandhāretuṃ samatthassa kulassa putto hutvā cuddasa bhattacchede katvā mātāpitaro pabbajjaṃ anujānāpetvā pabbajito’’ti aññāsi. Ñatvā ca pana ajānanto viya dasabalaṃ pucchitvā sattāhaṃ mahāsakkāraṃ katvā, ‘‘bhante, ahaṃ imassa kalyāṇakammassa nissandena tumhākaṃ sāsane ayaṃ kulaputto viya anāgate ekassa buddhassa sāsane saddhāpabbajitānaṃ aggo bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi. Satthā anantarāyaṃ disvā ‘‘tvaṃ, mahārāja, anāgate gotamassa buddhassa sāsane saddhāpabbajitānaṃ aggo bhavissasī’’ti byākaritvā pakkāmi. Sakkopi attano devapurameva gato.

    เต อุโภปิ นิพฺพตฺตฎฺฐานโต จวิตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรนฺตา อเนกสหสฺสกเปฺป อติกฺกมิํสุฯ อิโต ปน ทฺวานวุติกปฺปมตฺถเก ผุโสฺส นาม พุโทฺธ โลเก อุทปาทิฯ ตสฺส ปิตา มหิโนฺท นาม ราชา อโหสิ, เวมาติกา ตโย กนิฎฺฐภาตโรฯ ราชา ทิวเส ทิวเส ‘‘มยฺหํเยว พุโทฺธ มยฺหํ ธโมฺม มยฺหํ สโงฺฆ’’ติ มมายโนฺต สยเมว ทสพลํ นิพทฺธํ โภชนํ โภเชติฯ

    Te ubhopi nibbattaṭṭhānato cavitvā devamanussesu saṃsarantā anekasahassakappe atikkamiṃsu. Ito pana dvānavutikappamatthake phusso nāma buddho loke udapādi. Tassa pitā mahindo nāma rājā ahosi, vemātikā tayo kaniṭṭhabhātaro. Rājā divase divase ‘‘mayhaṃyeva buddho mayhaṃ dhammo mayhaṃ saṅgho’’ti mamāyanto sayameva dasabalaṃ nibaddhaṃ bhojanaṃ bhojeti.

    อถสฺส เอกทิวสํ ปจฺจโนฺต กุปิโตฯ โส ปุเตฺต อามเนฺตสิ – ‘‘ตาตา, ปจฺจโนฺต กุปิโต , ตุเมฺหหิ วา มยา วา คนฺตพฺพํฯ ยทิ อหํ คจฺฉามิ, ตุเมฺหหิ อิมินา นิยาเมน ทสพโล ปริจริตโพฺพ’’ติฯ เต ตโยปิ เอกปฺปหาเรเนว อาหํสุ – ‘‘ตาต, ตุมฺหากํ คมนกิจฺจํ นตฺถิ, มยํ โจเร วิธมิสฺสามา’’ติ ปิตรํ วนฺทิตฺวา ปจฺจนฺตํ คนฺตฺวา โจเร วิธมิตฺวา วิชิตสงฺคามา หุตฺวา นิวตฺติํสุฯ เต อนฺตรามเคฺค ปาทมูลิเกหิ สทฺธิํ มนฺตยิํสุ – ‘‘ตาตา, อมฺหากํ คตกฺขเณเยว ปิตา วรํ ทสฺสติ, กตรํ วรํ คณฺหามา’’ติ? อยฺยา, ตุมฺหากํ ปิตุ อจฺจเยน ทุลฺลภํ นาม นตฺถิ, ตุมฺหากํ ปน เชฎฺฐภาติกํ ผุสฺสพุทฺธํ ปฎิชคฺคนวรํ คณฺหถา’’ติ อาหํสุฯ เต ‘‘กลฺยาณํ ตุเมฺหหิ วุตฺต’’นฺติ สเพฺพปิ เอกจิตฺตา หุตฺวา คนฺตฺวา ปิตรํ อทฺทสํสุฯ ตทา ปิตา เตสํ ปสีทิตฺวา วรํ อทาสิฯ เต ‘‘เตมาสํ ตถาคตํ ปฎิชคฺคิสฺสามา’’ติ วรํ ยาจิํสุฯ ราชา ‘‘อยํ ทาตุํ น สกฺกา, อญฺญํ วรํ คณฺหถา’’ติ อาหฯ ตาต, อมฺหากํ อเญฺญน วเรน กิจฺจํ นตฺถิ, สเจ ตุเมฺห ทาตุกามา, เอตํเยว โน วรํ เทถาติฯ ราชา เตสุ ปุนปฺปุนํ กเถเนฺตสุ อตฺตนา ปฎิญฺญาตตฺตา ‘‘น สกฺกา น ทาตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อาห – ‘‘ตาตา, อหํ ตุมฺหากํ วรํ เทมิ, อปิจ โข ปน พุทฺธา นาม ทุราสทา โหนฺติ สีหา วิย เอกจรา, ทสพลํ ปฎิชคฺคนฺตา อปฺปมตฺตา ภเวยฺยาถา’’ติฯ

    Athassa ekadivasaṃ paccanto kupito. So putte āmantesi – ‘‘tātā, paccanto kupito , tumhehi vā mayā vā gantabbaṃ. Yadi ahaṃ gacchāmi, tumhehi iminā niyāmena dasabalo paricaritabbo’’ti. Te tayopi ekappahāreneva āhaṃsu – ‘‘tāta, tumhākaṃ gamanakiccaṃ natthi, mayaṃ core vidhamissāmā’’ti pitaraṃ vanditvā paccantaṃ gantvā core vidhamitvā vijitasaṅgāmā hutvā nivattiṃsu. Te antarāmagge pādamūlikehi saddhiṃ mantayiṃsu – ‘‘tātā, amhākaṃ gatakkhaṇeyeva pitā varaṃ dassati, kataraṃ varaṃ gaṇhāmā’’ti? Ayyā, tumhākaṃ pitu accayena dullabhaṃ nāma natthi, tumhākaṃ pana jeṭṭhabhātikaṃ phussabuddhaṃ paṭijagganavaraṃ gaṇhathā’’ti āhaṃsu. Te ‘‘kalyāṇaṃ tumhehi vutta’’nti sabbepi ekacittā hutvā gantvā pitaraṃ addasaṃsu. Tadā pitā tesaṃ pasīditvā varaṃ adāsi. Te ‘‘temāsaṃ tathāgataṃ paṭijaggissāmā’’ti varaṃ yāciṃsu. Rājā ‘‘ayaṃ dātuṃ na sakkā, aññaṃ varaṃ gaṇhathā’’ti āha. Tāta, amhākaṃ aññena varena kiccaṃ natthi, sace tumhe dātukāmā, etaṃyeva no varaṃ dethāti. Rājā tesu punappunaṃ kathentesu attanā paṭiññātattā ‘‘na sakkā na dātu’’nti cintetvā āha – ‘‘tātā, ahaṃ tumhākaṃ varaṃ demi, apica kho pana buddhā nāma durāsadā honti sīhā viya ekacarā, dasabalaṃ paṭijaggantā appamattā bhaveyyāthā’’ti.

    เต จินฺตยิํสุ – ‘‘อเมฺหหิ ตถาคตํ ปฎิชคฺคเนฺตหิ อนุจฺฉวิกํ กตฺวา ปฎิชคฺคิตุํ วฎฺฎตี’’ติ สเพฺพปิ เอกจิตฺตา หุตฺวา ทสสีลานิ สมาทาย นิรามคนฺธา หุตฺวา สตฺถุ ทานคฺคปริวหนเก ตโย ปุริเส ฐปยิํสุฯ เตสุ เอโก ธนธญฺญุปฺปาทโก อโหสิ, เอโก มาปโก, เอโก ทานสํวิธายโกฯ เตสุ ธนธญฺญุปฺปาทโก ปจฺจุปฺปเนฺน พิมฺพิสาโร มหาราชา ชาโต, มาปโก วิสาโข อุปาสโก, ทานสํวิธายโก รฎฺฐปาลเตฺถโรติฯ โส ตตฺถ ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวปุเร นิพฺพโตฺตฯ อยํ ปน ราหุลเตฺถโร นาม กสฺสปทสพลสฺส กาเล กิกิสฺส กาสิรโญฺญ เชฎฺฐปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, ปถวินฺธรกุมาโรติสฺส นามํ อกํสุฯ ตสฺส สตฺต ภคินิโย อเหสุํฯ ตา ทสพลสฺส สตฺต ปริเวณานิ การยิํสุฯ ปถวินฺธโร โอปรชฺชํ ลภิฯ โส ตา ภคินิโย อาห – ‘‘ตุเมฺหหิ การิตปริเวเณสุ มยฺหมฺปิ เอกํ เทถา’’ติฯ ภาติก, ตุเมฺห อุปราชฎฺฐาเน ฐิตา, ตุเมฺหหิ นาม อมฺหากํ ทาตพฺพํ, ตุเมฺห อญฺญํ ปริเวณํ กโรถาติฯ โส ตาสํ วจนํ สุตฺวา ปญฺจ วิหารสตานิ กาเรสิฯ ปญฺจ ปริเวณสตานีติปิ วทนฺติฯ โส ตตฺถ ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวปุเร นิพฺพตฺติฯ อิมสฺมิํ ปน พุทฺธุปฺปาเท ปถวินฺธรกุมาโร อมฺหากํ โพธิสตฺตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, ตสฺส สหายโก กุรุรเฎฺฐ ถุลฺลโกฎฺฐิตนิคเม รฎฺฐปาลเสฎฺฐิเคเห นิพฺพตฺติฯ

    Te cintayiṃsu – ‘‘amhehi tathāgataṃ paṭijaggantehi anucchavikaṃ katvā paṭijaggituṃ vaṭṭatī’’ti sabbepi ekacittā hutvā dasasīlāni samādāya nirāmagandhā hutvā satthu dānaggaparivahanake tayo purise ṭhapayiṃsu. Tesu eko dhanadhaññuppādako ahosi, eko māpako, eko dānasaṃvidhāyako. Tesu dhanadhaññuppādako paccuppanne bimbisāro mahārājā jāto, māpako visākho upāsako, dānasaṃvidhāyako raṭṭhapālattheroti. So tattha yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devapure nibbatto. Ayaṃ pana rāhulatthero nāma kassapadasabalassa kāle kikissa kāsirañño jeṭṭhaputto hutvā nibbatti, pathavindharakumārotissa nāmaṃ akaṃsu. Tassa satta bhaginiyo ahesuṃ. Tā dasabalassa satta pariveṇāni kārayiṃsu. Pathavindharo oparajjaṃ labhi. So tā bhaginiyo āha – ‘‘tumhehi kāritapariveṇesu mayhampi ekaṃ dethā’’ti. Bhātika, tumhe uparājaṭṭhāne ṭhitā, tumhehi nāma amhākaṃ dātabbaṃ, tumhe aññaṃ pariveṇaṃ karothāti. So tāsaṃ vacanaṃ sutvā pañca vihārasatāni kāresi. Pañca pariveṇasatānītipi vadanti. So tattha yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devapure nibbatti. Imasmiṃ pana buddhuppāde pathavindharakumāro amhākaṃ bodhisattassa aggamahesiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhi, tassa sahāyako kururaṭṭhe thullakoṭṭhitanigame raṭṭhapālaseṭṭhigehe nibbatti.

    อถ อมฺหากํ ทสพโล อภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก อนุปุเพฺพน กปิลวตฺถุํ อาคนฺตฺวา ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชสิฯ ตสฺส ปพฺพชฺชาวิธานํ ปาฬิยํ (มหาว. ๑๐๕) อาคตเมวฯ เอวํ ปพฺพชิตสฺส ปนสฺส สตฺถา อภิณฺหโอวาทวเสน ราหุโลวาทสุตฺตํ อภาสิฯ ราหุโลปิ ปาโตว วุฎฺฐาย หเตฺถน วาลุกํ อุกฺขิปิตฺวา ‘‘ทสพลสฺส เจว อาจริยุปชฺฌายานญฺจ สนฺติกา อชฺช เอตฺตกํ โอวาทํ ลเภยฺย’’นฺติ วทติฯ ภิกฺขุสงฺฆมเชฺฌ กถา อุทปาทิ ‘‘โอวาทกฺขโม วต ราหุลสามเณโร ปิตุ อนุจฺฉวิโก ปุโตฺต’’ติฯ สตฺถา ภิกฺขูนํ จิตฺตาจารํ ญตฺวา ‘‘มยิ คเต เอกา ธมฺมเทสนา จ วฑฺฒิสฺสติ, ราหุลสฺส จ คุโณ ปากโฎ ภวิสฺสตี’’ติ คนฺตฺวา ธมฺมสภายํ พุทฺธาสาเน นิสิโนฺน ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติฯ ราหุลสามเณรสฺส โอวาทกฺขมภาวํ กเถม ภควาติฯ สตฺถา อิมสฺมิํ ฐาเน ฐตฺวา ราหุลสฺส คุณทีปนตฺถํ มิคชาตกํ อาหริตฺวา กเถสิ –

    Atha amhākaṃ dasabalo abhisambodhiṃ patvā pavattitavaradhammacakko anupubbena kapilavatthuṃ āgantvā rāhulakumāraṃ pabbājesi. Tassa pabbajjāvidhānaṃ pāḷiyaṃ (mahāva. 105) āgatameva. Evaṃ pabbajitassa panassa satthā abhiṇhaovādavasena rāhulovādasuttaṃ abhāsi. Rāhulopi pātova vuṭṭhāya hatthena vālukaṃ ukkhipitvā ‘‘dasabalassa ceva ācariyupajjhāyānañca santikā ajja ettakaṃ ovādaṃ labheyya’’nti vadati. Bhikkhusaṅghamajjhe kathā udapādi ‘‘ovādakkhamo vata rāhulasāmaṇero pitu anucchaviko putto’’ti. Satthā bhikkhūnaṃ cittācāraṃ ñatvā ‘‘mayi gate ekā dhammadesanā ca vaḍḍhissati, rāhulassa ca guṇo pākaṭo bhavissatī’’ti gantvā dhammasabhāyaṃ buddhāsāne nisinno bhikkhū āmantesi – ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti. Rāhulasāmaṇerassa ovādakkhamabhāvaṃ kathema bhagavāti. Satthā imasmiṃ ṭhāne ṭhatvā rāhulassa guṇadīpanatthaṃ migajātakaṃ āharitvā kathesi –

    ‘‘มิคํ ติปลฺลตฺถมเนกมายํ,

    ‘‘Migaṃ tipallatthamanekamāyaṃ,

    อฎฺฐกฺขุรํ อฑฺฒรตฺตา ปปายิํ;

    Aṭṭhakkhuraṃ aḍḍharattā papāyiṃ;

    เอเกน โสเตน ฉมา’สฺสสโนฺต,

    Ekena sotena chamā’ssasanto,

    ฉหิ กลาหิติโภติ ภาคิเนโยฺย’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๑๖);

    Chahi kalāhitibhoti bhāgineyyo’’ti. (jā. 1.1.16);

    อถสฺส สตฺตวสฺสิกสามเณรกาเล ‘‘มา เหว โข ราหุโล ทหรภาเวน กีฬนตฺถายปิ สมฺปชานมุสา ภาเสยฺยา’’ติ อมฺพลฎฺฐิยราหุโลวาทํ (ม. นิ. ๒.๑๐๗ อาทโย) เทเสสิฯ อฎฺฐารสวสฺสิกสามเณรกาเล ตถาคตสฺส ปจฺฉโต ปิณฺฑาย ปวิสนฺตสฺส สตฺถุ เจว อตฺตโน จ รูปสมฺปตฺติํ ทิสฺวา เคหสิตํ วิตกฺกํ วิตเกฺกนฺตสฺส ‘‘ยํกิญฺจิ, ราหุล, รูป’’นฺติอาทินา นเยน มหาราหุโลวาทสุตฺตนฺตํ (ม. นิ. ๒.๑๑๓) กเถสิฯ สํยุตฺตเก (สํ. นิ. ๔.๑๒๑) ปน ราหุโลวาโทปิ องฺคุตฺตเร (อ. นิ. ๔.๑๗๗) ราหุโลวาโทปิ เถรสฺส วิปสฺสนาจาโรเยวฯ อถสฺส สตฺถา ญาณปริปากํ ญตฺวา อวสฺสิกภิกฺขุกาเล อนฺธวเน นิสิโนฺน จูฬราหุโลวาทํ (ม. นิ. ๓.๔๑๖ อาทโย) กเถสิฯ เทสนาปริโยสาเน ราหุลเตฺถโร โกฎิสตสหสฺสเทวตาหิ สทฺธิํ อรหตฺตํ ปาปุณิ, โสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามิเทวตานํ คณนา นตฺถิฯ อถ สตฺถา อปรภาเค อริยสงฺฆมเชฺฌ นิสิโนฺน เถรํ อิมสฺมิํ สาสเน สิกฺขากามานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ

    Athassa sattavassikasāmaṇerakāle ‘‘mā heva kho rāhulo daharabhāvena kīḷanatthāyapi sampajānamusā bhāseyyā’’ti ambalaṭṭhiyarāhulovādaṃ (ma. ni. 2.107 ādayo) desesi. Aṭṭhārasavassikasāmaṇerakāle tathāgatassa pacchato piṇḍāya pavisantassa satthu ceva attano ca rūpasampattiṃ disvā gehasitaṃ vitakkaṃ vitakkentassa ‘‘yaṃkiñci, rāhula, rūpa’’ntiādinā nayena mahārāhulovādasuttantaṃ (ma. ni. 2.113) kathesi. Saṃyuttake (saṃ. ni. 4.121) pana rāhulovādopi aṅguttare (a. ni. 4.177) rāhulovādopi therassa vipassanācāroyeva. Athassa satthā ñāṇaparipākaṃ ñatvā avassikabhikkhukāle andhavane nisinno cūḷarāhulovādaṃ (ma. ni. 3.416 ādayo) kathesi. Desanāpariyosāne rāhulatthero koṭisatasahassadevatāhi saddhiṃ arahattaṃ pāpuṇi, sotāpannasakadāgāmianāgāmidevatānaṃ gaṇanā natthi. Atha satthā aparabhāge ariyasaṅghamajjhe nisinno theraṃ imasmiṃ sāsane sikkhākāmānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi.

    สตฺถริ ปน กุรุรเฎฺฐ จาริกาย นิกฺขมิตฺวา ถุลฺลโกฎฺฐิตํ อนุปฺปเตฺต รฎฺฐปาโล กุลปุโตฺต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ มาตาปิตโร อนุชานาเปตฺวา ทสพลํ อุปสงฺกมิตฺวา สตฺถุ อาณตฺติยา อญฺญตรสฺส เถรสฺส สนฺติเก ปพฺพชิฯ ตสฺส ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย เสฎฺฐิคหปติ ภิกฺขู อตฺตโน นิเวสนทฺวาเรน คจฺฉเนฺต ทิสฺวา ‘‘กิํ ตุมฺหากํ อิมสฺมิํ เคเห กมฺมํ, เอโกว ปุตฺตโก อโหสิ, ตํ คณฺหิตฺวา คตตฺถ, อิทานิ กิํ กริสฺสถา’’ติ อโกฺกสติ ปริภาสติฯ สตฺถา อทฺธมาสํ ถุลฺลโกฎฺฐิเต วสิตฺวา ปุน สาวตฺถิเมว อคมาสิฯ ตตฺถายสฺมา รฎฺฐปาโล โยนิโส มนสิกโรโนฺต กมฺมํ กตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ โส สตฺถารํ อนุชานาเปตฺวา มาตาปิตโร ทสฺสนตฺถํ ถุลฺลโกฎฺฐิตํ คนฺตฺวา ตตฺถ สปทานํ ปิณฺฑาย จรโนฺต ปิตุ นิเวสเน อาภิโทสิกํ กุมฺมาสํ ลภิตฺวา ตํ อมตํ วิย ปริภุญฺชโนฺต ปิตรา นิมนฺติโต อธิวาเสตฺวา ทุติยทิวเส ปิตุ นิเวสเน ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา อลงฺกตปฎิยเตฺต อิตฺถิชเน อสุภสญฺญํ อุปฺปาเทตฺวา ฐิตโกว ธมฺมํ เทเสตฺวา ชิยา มุโตฺต วิย นาราโจ อากาสํ อุปฺปติตฺวา โกรพฺยรโญฺญ มิคจีรํ คนฺตฺวา มงฺคลสิลาปเฎฺฎ นิสิโนฺน ทสฺสนตฺถาย อาคตสฺส รโญฺญ จตุปาริชุญฺญปฎิมณฺฑิตํ ธมฺมํ (ม. นิ. ๒.๓๐๔) เทเสตฺวา อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน ปุน สตฺถุ สนฺติกํเยว อาคโตฯ เอวเมตํ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ อถ สตฺถา อปรภาเค อริยคณมเชฺฌ นิสิโนฺน เถรํ อิมสฺมิํ สาสเน สทฺธาปพฺพชิตานํ กุลปุตฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Satthari pana kururaṭṭhe cārikāya nikkhamitvā thullakoṭṭhitaṃ anuppatte raṭṭhapālo kulaputto satthu dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddho mātāpitaro anujānāpetvā dasabalaṃ upasaṅkamitvā satthu āṇattiyā aññatarassa therassa santike pabbaji. Tassa pabbajitadivasato paṭṭhāya seṭṭhigahapati bhikkhū attano nivesanadvārena gacchante disvā ‘‘kiṃ tumhākaṃ imasmiṃ gehe kammaṃ, ekova puttako ahosi, taṃ gaṇhitvā gatattha, idāni kiṃ karissathā’’ti akkosati paribhāsati. Satthā addhamāsaṃ thullakoṭṭhite vasitvā puna sāvatthimeva agamāsi. Tatthāyasmā raṭṭhapālo yoniso manasikaronto kammaṃ katvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi. So satthāraṃ anujānāpetvā mātāpitaro dassanatthaṃ thullakoṭṭhitaṃ gantvā tattha sapadānaṃ piṇḍāya caranto pitu nivesane ābhidosikaṃ kummāsaṃ labhitvā taṃ amataṃ viya paribhuñjanto pitarā nimantito adhivāsetvā dutiyadivase pitu nivesane piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā alaṅkatapaṭiyatte itthijane asubhasaññaṃ uppādetvā ṭhitakova dhammaṃ desetvā jiyā mutto viya nārāco ākāsaṃ uppatitvā korabyarañño migacīraṃ gantvā maṅgalasilāpaṭṭe nisinno dassanatthāya āgatassa rañño catupārijuññapaṭimaṇḍitaṃ dhammaṃ (ma. ni. 2.304) desetvā anupubbena cārikaṃ caramāno puna satthu santikaṃyeva āgato. Evametaṃ vatthu samuṭṭhitaṃ. Atha satthā aparabhāge ariyagaṇamajjhe nisinno theraṃ imasmiṃ sāsane saddhāpabbajitānaṃ kulaputtānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    กุณฺฑธานเตฺถรวตฺถุ

    Kuṇḍadhānattheravatthu

    ๒๑๑. ตติเย ปฐมํ สลากํ คณฺหนฺตานนฺติ สพฺพปฐมํ สลากคาหกานํ ภิกฺขูนํ กุณฺฑธานเตฺถโร อโคฺคติ ทเสฺสติฯ โส กิร เถโร มหาสุภทฺทาย นิมนฺติตทิวเส ตถาคเต อุคฺคนครํ คจฺฉเนฺต ‘‘อชฺช สตฺถา ทูรํ ภิกฺขาจารํ คมิสฺสติ, ปุถุชฺชนา สลากํ มา คณฺหนฺตุ, ปญฺจสตา ขีณาสวาว คณฺหนฺตู’’ติ วุเตฺต ปฐมเมว สีหนาทํ นทิตฺวา สลากํ คณฺหิฯ จูฬสุภทฺทาย นิมนฺติตทิวเส ตถาคเต สาเกตํ คจฺฉเนฺตปิ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ อนฺตเร ปฐมเมว สลากํ คณฺหิ, สุนาปรนฺตชนปทํ คจฺฉเนฺตปิฯ อิเมหิ การเณหิ เถโร ปฐมํ สลากํ คณฺหนฺตานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ กุณฺฑธาโนติ ปนสฺส นามํฯ

    211. Tatiye paṭhamaṃ salākaṃ gaṇhantānanti sabbapaṭhamaṃ salākagāhakānaṃ bhikkhūnaṃ kuṇḍadhānatthero aggoti dasseti. So kira thero mahāsubhaddāya nimantitadivase tathāgate ugganagaraṃ gacchante ‘‘ajja satthā dūraṃ bhikkhācāraṃ gamissati, puthujjanā salākaṃ mā gaṇhantu, pañcasatā khīṇāsavāva gaṇhantū’’ti vutte paṭhamameva sīhanādaṃ naditvā salākaṃ gaṇhi. Cūḷasubhaddāya nimantitadivase tathāgate sāketaṃ gacchantepi pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ antare paṭhamameva salākaṃ gaṇhi, sunāparantajanapadaṃ gacchantepi. Imehi kāraṇehi thero paṭhamaṃ salākaṃ gaṇhantānaṃ aggo nāma jāto. Kuṇḍadhānoti panassa nāmaṃ.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยํ กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห นิพฺพโตฺต วุตฺตนเยเนว วิหารํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ปฐมํ สลากํ คณฺหนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา พุทฺธานํ อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถตฺวา สตฺถารา อนนฺตรายํ ทิสฺวา พฺยากโต ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสรโนฺต กสฺสปพุทฺธกาเล ภูมฎฺฐกเทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ทีฆายุกพุทฺธานญฺจ นาม น อนฺวทฺธมาสิโก อุโปสโถ โหติฯ วิปสฺสีทสพลสฺส หิ ฉพฺพสฺสนฺตเร ฉพฺพสฺสนฺตเร อุโปสโถ อโหสิ, กสฺสปทสพโล ปน ฉเฎฺฐ ฉเฎฺฐ มาเส ปาติโมกฺขํ โอสาเรสิฯ ตสฺส ปาติโมกฺขํ โอสารณกาเล ทิสาวาสิกา เทฺว สหายกา ภิกฺขู ‘‘อุโปสถํ กริสฺสามา’’ติ คจฺฉนฺติฯ อยํ ภุมฺมเทวตา จิเนฺตสิ – ‘‘อิเมสํ ทฺวินฺนํ ภิกฺขูนํ เมตฺติ อติวิย ทฬฺหา, กิํ นุ โข เภทเก สติ ภิเชฺชยฺย, น ภิเชฺชยฺยา’’ติ? เตสํ โอกาสํ โอโลกยมานา เตสํ อวิทูเรเนว คจฺฉติฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayaṃ kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare kulagehe nibbatto vuttanayeneva vihāraṃ gantvā dhammaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ paṭhamaṃ salākaṃ gaṇhantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā buddhānaṃ adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthetvā satthārā anantarāyaṃ disvā byākato yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devesu ca manussesu ca saṃsaranto kassapabuddhakāle bhūmaṭṭhakadevatā hutvā nibbatti. Dīghāyukabuddhānañca nāma na anvaddhamāsiko uposatho hoti. Vipassīdasabalassa hi chabbassantare chabbassantare uposatho ahosi, kassapadasabalo pana chaṭṭhe chaṭṭhe māse pātimokkhaṃ osāresi. Tassa pātimokkhaṃ osāraṇakāle disāvāsikā dve sahāyakā bhikkhū ‘‘uposathaṃ karissāmā’’ti gacchanti. Ayaṃ bhummadevatā cintesi – ‘‘imesaṃ dvinnaṃ bhikkhūnaṃ metti ativiya daḷhā, kiṃ nu kho bhedake sati bhijjeyya, na bhijjeyyā’’ti? Tesaṃ okāsaṃ olokayamānā tesaṃ avidūreneva gacchati.

    อเถโก เถโร เอกสฺส หเตฺถ ปตฺตจีวรํ ทตฺวา สรีรวฬญฺชนตฺถํ อุทกผาสุกฎฺฐานํ คนฺตฺวา โธตหตฺถปาโท หุตฺวา คุมฺพสภาคโต นิกฺขมติฯ ภุมฺมเทวตา ตสฺส เถรสฺส ปจฺฉโต ปจฺฉโต อุตฺตมรูปา อิตฺถี หุตฺวา เกเส วิธุนิตฺวา สํวิธาย พนฺธนฺตี วิย ปิฎฺฐิโต ปํสุํ ปุญฺฉมานา วิย สาฎกํ สํวิธาย นิวาสยมานา วิย จ หุตฺวา เถรสฺส ปทานุปทิกา หุตฺวา คุมฺพโต นิกฺขนฺตาฯ เอกมเนฺต ฐิโต สหายกเตฺถโร อิมํ การณํ ทิสฺวา โทมนสฺสชาโต ‘‘นโฎฺฐ ทานิ เม อิมินา ภิกฺขุนา สทฺธิํ ทีฆรตฺตานุคโต สิเนโหฯ สจาหํ เอวํวิธภาวํ ชาเนยฺยํ, เอตฺตกํ อทฺธานํ อิมินา สทฺธิํ วิสฺสาสํ น กเรยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อาคจฺฉนฺตเสฺสวสฺส ‘‘หนฺทาวุโส, ตุยฺหํ ปตฺตจีวรํ, ตาทิเสน ปาเปน สหาเยน สทฺธิํ เอกมคฺคํ น คจฺฉามี’’ติ อาห ฯ ตํ กถํ สุตฺวา ตสฺส ลชฺชิภิกฺขุโน หทยํ ติขิณสตฺติํ คเหตฺวา วิทฺธํ วิย อโหสิฯ ตโต นํ อาห – ‘‘อาวุโส, กิํ นาเมตํ วทสิ, อหํ เอตฺตกํ กาลํ ทุกฺกฎมตฺตมฺปิ อาปตฺติํ น ชานามิฯ ตฺวํ ปน มํ อชฺช ‘ปาโป’ติ วทสิ, กิํ เต ทิฎฺฐ’’นฺติ? กิํ อเญฺญน ทิเฎฺฐน, กิํ ตฺวํ เอวํวิเธน อลงฺกตปฎิยเตฺตน มาตุคาเมน สทฺธิํ เอกฎฺฐาเน หุตฺวา นิกฺขโนฺตติ? นเตฺถตํ, อาวุโส, มยฺหํ, นาหํ เอวรูปํ มาตุคามํ ปสฺสามีติฯ ตสฺส ยาวตติยํ กเถนฺตสฺสาปิ อิตโร เถโร กถํ อสทฺทหิตฺวา อตฺตนา ทิฎฺฐการณํเยว อตฺถํ คเหตฺวา เตน สทฺธิํ เอกมเคฺคน อคนฺตฺวา อเญฺญน มเคฺคน สตฺถุ สนฺติกํ คโตฯ อิตโรปิ อเญฺญน มเคฺคน สตฺถุ สนฺติกํเยว คโตฯ

    Atheko thero ekassa hatthe pattacīvaraṃ datvā sarīravaḷañjanatthaṃ udakaphāsukaṭṭhānaṃ gantvā dhotahatthapādo hutvā gumbasabhāgato nikkhamati. Bhummadevatā tassa therassa pacchato pacchato uttamarūpā itthī hutvā kese vidhunitvā saṃvidhāya bandhantī viya piṭṭhito paṃsuṃ puñchamānā viya sāṭakaṃ saṃvidhāya nivāsayamānā viya ca hutvā therassa padānupadikā hutvā gumbato nikkhantā. Ekamante ṭhito sahāyakatthero imaṃ kāraṇaṃ disvā domanassajāto ‘‘naṭṭho dāni me iminā bhikkhunā saddhiṃ dīgharattānugato sineho. Sacāhaṃ evaṃvidhabhāvaṃ jāneyyaṃ, ettakaṃ addhānaṃ iminā saddhiṃ vissāsaṃ na kareyya’’nti cintetvā āgacchantassevassa ‘‘handāvuso, tuyhaṃ pattacīvaraṃ, tādisena pāpena sahāyena saddhiṃ ekamaggaṃ na gacchāmī’’ti āha . Taṃ kathaṃ sutvā tassa lajjibhikkhuno hadayaṃ tikhiṇasattiṃ gahetvā viddhaṃ viya ahosi. Tato naṃ āha – ‘‘āvuso, kiṃ nāmetaṃ vadasi, ahaṃ ettakaṃ kālaṃ dukkaṭamattampi āpattiṃ na jānāmi. Tvaṃ pana maṃ ajja ‘pāpo’ti vadasi, kiṃ te diṭṭha’’nti? Kiṃ aññena diṭṭhena, kiṃ tvaṃ evaṃvidhena alaṅkatapaṭiyattena mātugāmena saddhiṃ ekaṭṭhāne hutvā nikkhantoti? Natthetaṃ, āvuso, mayhaṃ, nāhaṃ evarūpaṃ mātugāmaṃ passāmīti. Tassa yāvatatiyaṃ kathentassāpi itaro thero kathaṃ asaddahitvā attanā diṭṭhakāraṇaṃyeva atthaṃ gahetvā tena saddhiṃ ekamaggena agantvā aññena maggena satthu santikaṃ gato. Itaropi aññena maggena satthu santikaṃyeva gato.

    ตโต ภิกฺขุสงฺฆสฺส อุโปสถาคารํ ปวิสนเวลาย โส ภิกฺขุ ตํ ภิกฺขุํ อุโปสถเคฺค สญฺชานิตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ อุโปสถเคฺค เอวรูโป นาม ปาปภิกฺขุ อตฺถิ, นาหํ เตน สทฺธิํ อุโปสถํ กริสฺสามี’’ติ นิกฺขมิตฺวา พหิ อฎฺฐาสิฯ ภุมฺมเทวตา ‘‘ภาริยํ มยา กมฺมํ กต’’นฺติ มหลฺลกอุปาสกวเณฺณน ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, อโยฺย อิมสฺมิํ ฐาเน ฐิโต’’ติ อาหฯ อุปาสก, อิมํ อุโปสถคฺคํ เอโก ปาปภิกฺขุ ปวิโฎฺฐ, อหํ เตน สทฺธิํ อุโปสถํ น กโรมีติ วตฺวา นิกฺขมิตฺวา พหิ ฐิโตมฺหีติฯ ภเนฺต, มา เอวํ คณฺหถ, ปริสุทฺธสีโล เอส ภิกฺขุฯ ตุเมฺหหิ ทิฎฺฐมาตุคาโม นาม อหํ, มยา ตุมฺหากํ วีมํสนตฺถาย ‘‘ทฬฺหา นุ โข อิเมสํ เถรานํ เมตฺติ, โน ทฬฺหา’’ติ ลชฺชิอลชฺชิภาวํ โอโลเกเนฺตน ตํ กมฺมํ กตนฺติฯ โก ปน ตฺวํ สปฺปุริสาติ? อหํ เอกา ภุมฺมเทวตา, ภเนฺตติฯ เทวปุโตฺต กเถโนฺตว ทิพฺพานุภาเวน ฐตฺวา เถรสฺส ปาเทสุ ปติตฺวา ‘‘มยฺหํ, ภเนฺต, ขมถ, เอตํ โทสํ เถโร น ชานาติ, อุโปสถํ กโรถา’’ติ เถรํ ยาจิตฺวา อุโปสถคฺคํ ปเวเสสิฯ โส เถโร อุโปสถํ ตาว เอกฎฺฐาเน อกาสิ, มิตฺตสนฺถววเสน น ปุน เตน สทฺธิํ เอกฎฺฐาเน อโหสีติฯ อิมสฺส เถรสฺส กมฺมํ น กถิยติ, จุทิตกเตฺถโร ปน อปราปรํ วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณิฯ

    Tato bhikkhusaṅghassa uposathāgāraṃ pavisanavelāya so bhikkhu taṃ bhikkhuṃ uposathagge sañjānitvā ‘‘imasmiṃ uposathagge evarūpo nāma pāpabhikkhu atthi, nāhaṃ tena saddhiṃ uposathaṃ karissāmī’’ti nikkhamitvā bahi aṭṭhāsi. Bhummadevatā ‘‘bhāriyaṃ mayā kammaṃ kata’’nti mahallakaupāsakavaṇṇena tassa santikaṃ gantvā ‘‘kasmā, bhante, ayyo imasmiṃ ṭhāne ṭhito’’ti āha. Upāsaka, imaṃ uposathaggaṃ eko pāpabhikkhu paviṭṭho, ahaṃ tena saddhiṃ uposathaṃ na karomīti vatvā nikkhamitvā bahi ṭhitomhīti. Bhante, mā evaṃ gaṇhatha, parisuddhasīlo esa bhikkhu. Tumhehi diṭṭhamātugāmo nāma ahaṃ, mayā tumhākaṃ vīmaṃsanatthāya ‘‘daḷhā nu kho imesaṃ therānaṃ metti, no daḷhā’’ti lajjialajjibhāvaṃ olokentena taṃ kammaṃ katanti. Ko pana tvaṃ sappurisāti? Ahaṃ ekā bhummadevatā, bhanteti. Devaputto kathentova dibbānubhāvena ṭhatvā therassa pādesu patitvā ‘‘mayhaṃ, bhante, khamatha, etaṃ dosaṃ thero na jānāti, uposathaṃ karothā’’ti theraṃ yācitvā uposathaggaṃ pavesesi. So thero uposathaṃ tāva ekaṭṭhāne akāsi, mittasanthavavasena na puna tena saddhiṃ ekaṭṭhāne ahosīti. Imassa therassa kammaṃ na kathiyati, cuditakatthero pana aparāparaṃ vipassanāya kammaṃ karonto arahattaṃ pāpuṇi.

    ภุมฺมเทวตา ตสฺส กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน เอกํ พุทฺธนฺตรํ อปายโต น มุจฺจิตฺถฯ สเจ ปน กาเลน กาลํ มนุสฺสตฺตํ อาคจฺฉติ, อเญฺญน เยน เกนจิ กโต โทโส ตเสฺสว อุปริ ปตติฯ โส อมฺหากํ ภควโต กาเล สาวตฺถิยํ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติ, ธานมาณโวติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตโย เวเท อุคฺคณฺหิตฺวา มหลฺลกกาเล สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิ, ตสฺส อุปสมฺปนฺนทิวสโต ปฎฺฐาย เอกา อลงฺกตปฎิยตฺตา อิตฺถี ตสฺมิํ คามํ ปวิสเนฺต สทฺธิํเยว คามํ ปวิสติ, นิกฺขมเนฺต นิกฺขมติฯ วิหารํ ปวิสเนฺตปิ ปวิสติ, ติฎฺฐเนฺตปิ ติฎฺฐตีติ เอวํ นิจฺจานุพนฺธา ปญฺญายติฯ เถโร ตํ น ปสฺสติ, ตสฺส ปน ปุริมสฺส กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน สา อเญฺญสํ อุปฎฺฐาติฯ

    Bhummadevatā tassa kammassa nissandena ekaṃ buddhantaraṃ apāyato na muccittha. Sace pana kālena kālaṃ manussattaṃ āgacchati, aññena yena kenaci kato doso tasseva upari patati. So amhākaṃ bhagavato kāle sāvatthiyaṃ brāhmaṇakule nibbatti, dhānamāṇavotissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto tayo vede uggaṇhitvā mahallakakāle satthu dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbaji, tassa upasampannadivasato paṭṭhāya ekā alaṅkatapaṭiyattā itthī tasmiṃ gāmaṃ pavisante saddhiṃyeva gāmaṃ pavisati, nikkhamante nikkhamati. Vihāraṃ pavisantepi pavisati, tiṭṭhantepi tiṭṭhatīti evaṃ niccānubandhā paññāyati. Thero taṃ na passati, tassa pana purimassa kammassa nissandena sā aññesaṃ upaṭṭhāti.

    คาเม ยาคุภิกฺขํ ททมานา อิตฺถิโย, ‘‘ภเนฺต, อยํ เอโก ยาคุอุฬุโงฺก ตุมฺหากํ, เอโก อิมิสฺสา อมฺหากํ สหายิกายา’’ติ ปริหาสํ กโรนฺติฯ เถรสฺส มหตี วิเหสา โหติฯ วิหารํ คตมฺปิ นํ สามเณรา เจว ทหรภิกฺขู จ ปริวาเรตฺวา ‘‘ธาโน โกโณฺฑ ชาโต’’ติ ปริหาสํ กโรนฺติฯ อถสฺส เตเนว การเณน กุณฺฑธานเตฺถโรติ นามํ ชาตํ ฯ โส อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย เตหิ กยิรมานํ เกฬิํ สหิตุํ อสโกฺกโนฺต อุมฺมาทํ คเหตฺวา ‘‘ตุเมฺห โกณฺฑา, ตุมฺหากํ อุปชฺฌายา โกณฺฑา , อาจริยา โกณฺฑา’’ติ วทติฯ อถ นํ สตฺถุ อาโรเจสุํ – ‘‘กุณฺฑธาโน ทหรสามเณเรหิ สทฺธิํ เอวํ ผรุสวาจํ วทตี’’ติฯ สตฺถา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ ภิกฺขู’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ ภควา’’ติ วุเตฺต ‘‘กสฺมา เอวํ วเทสี’’ติ อาหฯ ภเนฺต, นิพทฺธํ วิเหสํ อสหโนฺต เอวํ กเถมีติฯ ‘‘ตฺวํ ปุเพฺพ กตกมฺมํ ยาวชฺชทิวสา ชีราเปตุํ น สโกฺกสิ, ปุน เอวรูปํ ผรุสํ มา วท ภิกฺขู’’ติ วตฺวา อาห –

    Gāme yāgubhikkhaṃ dadamānā itthiyo, ‘‘bhante, ayaṃ eko yāguuḷuṅko tumhākaṃ, eko imissā amhākaṃ sahāyikāyā’’ti parihāsaṃ karonti. Therassa mahatī vihesā hoti. Vihāraṃ gatampi naṃ sāmaṇerā ceva daharabhikkhū ca parivāretvā ‘‘dhāno koṇḍo jāto’’ti parihāsaṃ karonti. Athassa teneva kāraṇena kuṇḍadhānattheroti nāmaṃ jātaṃ . So uṭṭhāya samuṭṭhāya tehi kayiramānaṃ keḷiṃ sahituṃ asakkonto ummādaṃ gahetvā ‘‘tumhe koṇḍā, tumhākaṃ upajjhāyā koṇḍā , ācariyā koṇḍā’’ti vadati. Atha naṃ satthu ārocesuṃ – ‘‘kuṇḍadhāno daharasāmaṇerehi saddhiṃ evaṃ pharusavācaṃ vadatī’’ti. Satthā taṃ pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ bhikkhū’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ bhagavā’’ti vutte ‘‘kasmā evaṃ vadesī’’ti āha. Bhante, nibaddhaṃ vihesaṃ asahanto evaṃ kathemīti. ‘‘Tvaṃ pubbe katakammaṃ yāvajjadivasā jīrāpetuṃ na sakkosi, puna evarūpaṃ pharusaṃ mā vada bhikkhū’’ti vatvā āha –

    ‘‘มาโวจ ผรุสํ กญฺจิ, วุตฺตา ปฎิวเทยฺยุ ตํ;

    ‘‘Māvoca pharusaṃ kañci, vuttā paṭivadeyyu taṃ;

    ทุกฺขา หิ สารมฺภกถา, ปฎิทณฺฑา ผุเสยฺยุ ตํฯ

    Dukkhā hi sārambhakathā, paṭidaṇḍā phuseyyu taṃ.

    ‘‘สเจ เนเรสิ อตฺตานํ, กํโส อุปหโต ยถา;

    ‘‘Sace neresi attānaṃ, kaṃso upahato yathā;

    เอส ปโตฺตสิ นิพฺพานํ, สารโมฺภ เต น วิชฺชตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๓๓-๑๓๔);

    Esa pattosi nibbānaṃ, sārambho te na vijjatī’’ti. (dha. pa. 133-134);

    อิมญฺจ ปน ตสฺส เถรสฺส มาตุคาเมน สทฺธิํ วิจรณภาวํ โกสลรโญฺญปิ กถยิํสุฯ ราชา ‘‘คจฺฉถ, ภเณ, วีมํสถา’’ติ เปเสตฺวา สยมฺปิ มเนฺทเนว ปริวาเรน สทฺธิํ เถรสฺส วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา เอกมเนฺต โอโลเกโนฺต อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ เถโร สูจิกมฺมํ กโรโนฺต นิสิโนฺน โหติ, สาปิสฺส อิตฺถี อวิทูเร ฐาเน ฐิตา วิย ปญฺญายติฯ

    Imañca pana tassa therassa mātugāmena saddhiṃ vicaraṇabhāvaṃ kosalaraññopi kathayiṃsu. Rājā ‘‘gacchatha, bhaṇe, vīmaṃsathā’’ti pesetvā sayampi mandeneva parivārena saddhiṃ therassa vasanaṭṭhānaṃ gantvā ekamante olokento aṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe thero sūcikammaṃ karonto nisinno hoti, sāpissa itthī avidūre ṭhāne ṭhitā viya paññāyati.

    ราชา ตํ ทิสฺวา ‘‘อตฺถิทํ การณ’’นฺติ ตสฺสา ฐิตฎฺฐานํ อคมาสิฯ สา ตสฺมิํ อาคจฺฉเนฺต เถรสฺส วสนปณฺณสาลํ ปวิฎฺฐา วิย อโหสิฯ ราชาปิ ตาย สทฺธิํเยว ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา สพฺพตฺถ โอโลเกโนฺต อทิสฺวา ‘‘นายํ มาตุคาโม, เถรสฺส เอโก กมฺมวิปาโก’’ติ สญฺญํ กตฺวา ปฐมํ เถรสฺส สมีเปน คจฺฉโนฺตปิ เถรํ อวนฺทิตฺวา ตสฺส การณสฺส อภูตภาวํ ญตฺวา อาคมฺม เถรํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ‘‘กจฺจิ, ภเนฺต, ปิณฺฑเกน น กิลมถา’’ติ ปุจฺฉิฯ เถโร ‘‘วฎฺฎติ มหาราชา’’ติ อาหฯ ‘‘ชานามิ, ภเนฺต, อยฺยสฺส กถํ, เอวรูเปน จ ปริกฺกิเลเสน สทฺธิํ จรนฺตานํ ตุมฺหากํ เก นาม ปสีทิสฺสนฺติ, อิโต ปฎฺฐาย โว กตฺถจิ คมนกิจฺจํ นตฺถิ, อหํ จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหิสฺสามิ, ตุเมฺห โยนิโสมนสิกาเร มา ปมชฺชิตฺถา’’ติ นิพทฺธํ ภิกฺขํ ปฎฺฐเปสิฯ เถโร ราชานํ อุปตฺถมฺภกํ ลภิตฺวา โภชนสปฺปาเยน เอกคฺคจิโตฺต หุตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ตโต ปฎฺฐาย สา อิตฺถี อนฺตรธายิฯ

    Rājā taṃ disvā ‘‘atthidaṃ kāraṇa’’nti tassā ṭhitaṭṭhānaṃ agamāsi. Sā tasmiṃ āgacchante therassa vasanapaṇṇasālaṃ paviṭṭhā viya ahosi. Rājāpi tāya saddhiṃyeva paṇṇasālaṃ pavisitvā sabbattha olokento adisvā ‘‘nāyaṃ mātugāmo, therassa eko kammavipāko’’ti saññaṃ katvā paṭhamaṃ therassa samīpena gacchantopi theraṃ avanditvā tassa kāraṇassa abhūtabhāvaṃ ñatvā āgamma theraṃ vanditvā ekamantaṃ nisinno ‘‘kacci, bhante, piṇḍakena na kilamathā’’ti pucchi. Thero ‘‘vaṭṭati mahārājā’’ti āha. ‘‘Jānāmi, bhante, ayyassa kathaṃ, evarūpena ca parikkilesena saddhiṃ carantānaṃ tumhākaṃ ke nāma pasīdissanti, ito paṭṭhāya vo katthaci gamanakiccaṃ natthi, ahaṃ catūhi paccayehi upaṭṭhahissāmi, tumhe yonisomanasikāre mā pamajjitthā’’ti nibaddhaṃ bhikkhaṃ paṭṭhapesi. Thero rājānaṃ upatthambhakaṃ labhitvā bhojanasappāyena ekaggacitto hutvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi. Tato paṭṭhāya sā itthī antaradhāyi.

    มหาสุภทฺทา อุคฺคนคเร มิจฺฉาทิฎฺฐิกุเล วสมานา ‘‘สตฺถา มํ อนุกมฺปตู’’ติ อุโปสถํ อธิฎฺฐาย นิรามคนฺธา หุตฺวา อุปริปาสาทตเล ฐิตา ‘‘อิมานิ ปุปฺผานิ อนฺตเร อฎฺฐตฺวา ทสพลสฺส มตฺถเก วิตานํ หุตฺวา ติฎฺฐนฺตุ, ทสพโล อิมาย สญฺญาย เสฺว ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหตู’’ติ สจฺจกิริยํ กตฺวา อฎฺฐ สุมนปุปฺผมุฎฺฐิโย วิสฺสเชฺชสิฯ ปุปฺผานิ คนฺตฺวา ธมฺมเทสนาเวลาย สตฺถุ มตฺถเก วิตานํ หุตฺวา อฎฺฐํสุฯ สตฺถา ตํ สุมนปุปฺผวิตานํ ทิสฺวา จิเตฺตเนว สุภทฺทาย ภิกฺขํ อธิวาเสตฺวา ปุนทิวเส อรุเณ อุฎฺฐิเต อานนฺทเตฺถรํ อาห – ‘‘อานนฺท, มยํ อชฺช ทูรํ ภิกฺขาจารํ คมิสฺสาม, ปุถุชฺชนานํ อทตฺวา อริยานํเยว สลากํ เทหี’’ติฯ เถโร ภิกฺขูนํ อาโรเจสิ – ‘‘อาวุโส, สตฺถา อชฺช ทูรํ ภิกฺขาจารํ คมิสฺสติ, ปุถุชฺชนา มา คณฺหนฺตุ, อริยาว สลากํ คณฺหนฺตู’’ติฯ กุณฺฑธานเตฺถโร ‘‘อาหราวุโส, สลาก’’นฺติ ปฐมํเยว หตฺถํ ปสาเรสิฯ อานนฺทา ‘‘สตฺถา ตาทิสานํ ภิกฺขูนํ สลากํ น ทาเปติ, อริยานํเยว ทาเปตี’’ติ วิตกฺกํ อุปฺปาเทตฺวา คนฺตฺวา สตฺถุ อาโรเจสิฯ สตฺถา ‘‘อาหราเปนฺตสฺส สลากํ เทหี’’ติ อาหฯ เถโร จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ กุณฺฑธานสฺส สลากา ทาตุํ น ยุตฺตา อสฺส, อถ สตฺถา ปฎิพาเหยฺย, ภวิสฺสติ เอกํ การณ’’นฺติฯ ‘‘กุณฺฑธานสฺส สลากํ ทสฺสามี’’ติ คมนํ อภินีหริฯ กุณฺฑธานเตฺถโร ตสฺส ปุเร อาคมนาว อภิญฺญาปาทกํ จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา อิทฺธิยา อากาเส ฐตฺวา ‘‘อาหราวุโส อานนฺท, สตฺถา มํ ชานาติ, มาทิสํ ภิกฺขุํ ปฐมํ สลากํ คณฺหนฺตํ น สตฺถา วาเรตี’’ติ หตฺถํ ปสาเรตฺวา สลากํ คณฺหิฯ สตฺถา ตํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เถรํ อิมสฺมิํ สาสเน ปฐมํ สลากํ คณฺหนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Mahāsubhaddā ugganagare micchādiṭṭhikule vasamānā ‘‘satthā maṃ anukampatū’’ti uposathaṃ adhiṭṭhāya nirāmagandhā hutvā uparipāsādatale ṭhitā ‘‘imāni pupphāni antare aṭṭhatvā dasabalassa matthake vitānaṃ hutvā tiṭṭhantu, dasabalo imāya saññāya sve pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ mayhaṃ bhikkhaṃ gaṇhatū’’ti saccakiriyaṃ katvā aṭṭha sumanapupphamuṭṭhiyo vissajjesi. Pupphāni gantvā dhammadesanāvelāya satthu matthake vitānaṃ hutvā aṭṭhaṃsu. Satthā taṃ sumanapupphavitānaṃ disvā citteneva subhaddāya bhikkhaṃ adhivāsetvā punadivase aruṇe uṭṭhite ānandattheraṃ āha – ‘‘ānanda, mayaṃ ajja dūraṃ bhikkhācāraṃ gamissāma, puthujjanānaṃ adatvā ariyānaṃyeva salākaṃ dehī’’ti. Thero bhikkhūnaṃ ārocesi – ‘‘āvuso, satthā ajja dūraṃ bhikkhācāraṃ gamissati, puthujjanā mā gaṇhantu, ariyāva salākaṃ gaṇhantū’’ti. Kuṇḍadhānatthero ‘‘āharāvuso, salāka’’nti paṭhamaṃyeva hatthaṃ pasāresi. Ānandā ‘‘satthā tādisānaṃ bhikkhūnaṃ salākaṃ na dāpeti, ariyānaṃyeva dāpetī’’ti vitakkaṃ uppādetvā gantvā satthu ārocesi. Satthā ‘‘āharāpentassa salākaṃ dehī’’ti āha. Thero cintesi – ‘‘sace kuṇḍadhānassa salākā dātuṃ na yuttā assa, atha satthā paṭibāheyya, bhavissati ekaṃ kāraṇa’’nti. ‘‘Kuṇḍadhānassa salākaṃ dassāmī’’ti gamanaṃ abhinīhari. Kuṇḍadhānatthero tassa pure āgamanāva abhiññāpādakaṃ catutthajjhānaṃ samāpajjitvā iddhiyā ākāse ṭhatvā ‘‘āharāvuso ānanda, satthā maṃ jānāti, mādisaṃ bhikkhuṃ paṭhamaṃ salākaṃ gaṇhantaṃ na satthā vāretī’’ti hatthaṃ pasāretvā salākaṃ gaṇhi. Satthā taṃ aṭṭhuppattiṃ katvā theraṃ imasmiṃ sāsane paṭhamaṃ salākaṃ gaṇhantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    วงฺคีสเตฺถรวตฺถุ

    Vaṅgīsattheravatthu

    ๒๑๒. จตุเตฺถ ปฎิภานวนฺตานนฺติ สมฺปนฺนปฎิภานานํ วงฺคีสเตฺถโร อโคฺคติ ทเสฺสติฯ อยํ กิร เถโร ทสพลสฺส สนฺติกํ อุปสงฺกมโนฺต จกฺขุปถโต ปฎฺฐาย จเนฺทน สทฺธิํ อุปเมตฺวา, สูริเยน, อากาเสน, มหาสมุเทฺทน, หตฺถินาเคน, สีเหน มิครญฺญา สทฺธิํ อุปเมตฺวาปิ อเนเกหิ ปทสเตหิ ปทสหเสฺสหิ สตฺถุ วณฺณํ วทโนฺตเยว อุปสงฺกมติฯ ตสฺมา ปฎิภานวนฺตานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    212. Catutthe paṭibhānavantānanti sampannapaṭibhānānaṃ vaṅgīsatthero aggoti dasseti. Ayaṃ kira thero dasabalassa santikaṃ upasaṅkamanto cakkhupathato paṭṭhāya candena saddhiṃ upametvā, sūriyena, ākāsena, mahāsamuddena, hatthināgena, sīhena migaraññā saddhiṃ upametvāpi anekehi padasatehi padasahassehi satthu vaṇṇaṃ vadantoyeva upasaṅkamati. Tasmā paṭibhānavantānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร มหาโภคกุเล ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา ปุริมนเยเนว วิหารํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ปฎิภานวนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา สตฺถุ อธิการกมฺมํ กตฺวา ‘‘อหมฺปิ อนาคเต ปฎิภานวนฺตานํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ กตฺวา สตฺถารา พฺยากโต ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติฯ วงฺคีสมาณโวติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตโย เวเท อุคฺคณฺหโนฺต อาจริยํ อาราเธตฺวา ฉวสีสมนฺตํ นาม สิกฺขิตฺวา ฉวสีสํ นเขน อาโกเฎตฺวา ‘‘อยํ สโตฺต อสุกโยนิยํ นาม นิพฺพโตฺต’’ติ ชานาติฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare mahābhogakule paṭisandhiṃ gaṇhitvā purimanayeneva vihāraṃ gantvā dhammaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ paṭibhānavantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā satthu adhikārakammaṃ katvā ‘‘ahampi anāgate paṭibhānavantānaṃ aggo bhaveyya’’nti patthanaṃ katvā satthārā byākato yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ brāhmaṇakule nibbatti. Vaṅgīsamāṇavotissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto tayo vede uggaṇhanto ācariyaṃ ārādhetvā chavasīsamantaṃ nāma sikkhitvā chavasīsaṃ nakhena ākoṭetvā ‘‘ayaṃ satto asukayoniyaṃ nāma nibbatto’’ti jānāti.

    พฺราหฺมณา ‘‘อยํ อมฺหากํ ชีวิกมโคฺค’’ติ ญตฺวา วงฺคีสมาณวํ ปฎิจฺฉนฺนยาเน นิสีทาเปตฺวา คามนิคมราชธานิโย จรนฺตา นครทฺวาเร วา นิคมทฺวาเร วา ฐเปตฺวา มหาชนสฺส ราสิภูตภาวํ ญตฺวา ‘‘โย วงฺคีสํ ปสฺสติ, โส ธนํ วา ลภติ, ยสํ วา ลภติ, สคฺคํ วา คจฺฉตี’’ติ วทนฺติฯ เตสํ กถํ สุตฺวา พหู ชนา ลญฺชํ ทตฺวา ปสฺสิตุกามา โหนฺติฯ ราชราชมหามตฺตา เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘โก อาจริยสฺส ชานวิเสโส’’ติ ปุจฺฉนฺติฯ ตุเมฺห น ชานาถ, สกลชมฺพุทีเป อมฺหากํ อาจริยสทิโส อโญฺญ ปณฺฑิโต นาม นตฺถิ, ติวสฺสมตฺถเก มตกานํ สีสํ อาหราเปตฺวา นเขน อาโกเฎตฺวา ‘‘อยํ สโตฺต อสุกโยนิยํ นิพฺพโตฺต’’ติ ชานาติฯ วงฺคีโสปิ มหาชนสฺส กงฺขเฉทนตฺถํ เต เต ชเน อาวาเหตฺวา อตฺตโน อตฺตโน คติํ กถาเปติฯ ตํ นิสฺสาย มหาชนสฺส หตฺถโต สตมฺปิ สหสฺสมฺปิ ลภติฯ

    Brāhmaṇā ‘‘ayaṃ amhākaṃ jīvikamaggo’’ti ñatvā vaṅgīsamāṇavaṃ paṭicchannayāne nisīdāpetvā gāmanigamarājadhāniyo carantā nagaradvāre vā nigamadvāre vā ṭhapetvā mahājanassa rāsibhūtabhāvaṃ ñatvā ‘‘yo vaṅgīsaṃ passati, so dhanaṃ vā labhati, yasaṃ vā labhati, saggaṃ vā gacchatī’’ti vadanti. Tesaṃ kathaṃ sutvā bahū janā lañjaṃ datvā passitukāmā honti. Rājarājamahāmattā tesaṃ santikaṃ gantvā ‘‘ko ācariyassa jānaviseso’’ti pucchanti. Tumhe na jānātha, sakalajambudīpe amhākaṃ ācariyasadiso añño paṇḍito nāma natthi, tivassamatthake matakānaṃ sīsaṃ āharāpetvā nakhena ākoṭetvā ‘‘ayaṃ satto asukayoniyaṃ nibbatto’’ti jānāti. Vaṅgīsopi mahājanassa kaṅkhachedanatthaṃ te te jane āvāhetvā attano attano gatiṃ kathāpeti. Taṃ nissāya mahājanassa hatthato satampi sahassampi labhati.

    พฺราหฺมณา วงฺคีสมาณวํ อาทาย ยถารุจิํ วิจริตฺวา ปุน สาวตฺถิํ อาคมํสุฯ วงฺคีโส เชตวนมหาวิหารสฺส อวิทูรฎฺฐาเน ฐิโต จิเนฺตสิ – ‘‘สมโณ โคตโม ปณฺฑิโตติ วทนฺติ, น โข ปน สพฺพกาลํ มยา อิเมสํเยว วจนํ กโรเนฺตน จริตุํ วฎฺฎติ, ปณฺฑิตานมฺปิ สนฺติกํ คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส พฺราหฺมเณ อาห – ‘‘ตุเมฺห คจฺฉถ, อหํ น พหุเกหิ สทฺธิํ คนฺตฺวา สมณํ โคตมํ ปสฺสิสฺสามี’’ติฯ เต อาหํสุ – ‘‘วงฺคีส, มา เต รุจฺจิ สมณํ โคตมํ ปสฺสิตุํ ฯ โย หิ นํ ปสฺสติ, ตํ โส มายาย อาวเฎฺฎตี’’ติฯ วงฺคีโส เตสํ กถํ อนาทิยิตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา มธุรปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ

    Brāhmaṇā vaṅgīsamāṇavaṃ ādāya yathāruciṃ vicaritvā puna sāvatthiṃ āgamaṃsu. Vaṅgīso jetavanamahāvihārassa avidūraṭṭhāne ṭhito cintesi – ‘‘samaṇo gotamo paṇḍitoti vadanti, na kho pana sabbakālaṃ mayā imesaṃyeva vacanaṃ karontena carituṃ vaṭṭati, paṇḍitānampi santikaṃ gantuṃ vaṭṭatī’’ti. So brāhmaṇe āha – ‘‘tumhe gacchatha, ahaṃ na bahukehi saddhiṃ gantvā samaṇaṃ gotamaṃ passissāmī’’ti. Te āhaṃsu – ‘‘vaṅgīsa, mā te rucci samaṇaṃ gotamaṃ passituṃ . Yo hi naṃ passati, taṃ so māyāya āvaṭṭetī’’ti. Vaṅgīso tesaṃ kathaṃ anādiyitvā satthu santikaṃ gantvā madhurapaṭisanthāraṃ katvā ekamantaṃ nisīdi.

    อถ นํ สตฺถา ปุจฺฉิ – ‘‘วงฺคีส, กิญฺจิ สิปฺปํ ชานาสี’’ติฯ อาม, โภ โคตม, ฉวสีสมนฺตํ นาเมกํ ชานามีติฯ กิํ โส มโนฺต กโรตีติ? ติวสฺสมตฺถเก มตานมฺปิ ตํ มนฺตํ ชปฺปิตฺวา สีสํ นเขน อาโกเฎตฺวา นิพฺพตฺตฎฺฐานํ ชานามีติฯ สตฺถา ตสฺส เอกํ นิรเย อุปฺปนฺนสฺส สีสํ ทเสฺสสิ, เอกํ มนุเสฺสสุ อุปฺปนฺนสฺส, เอกํ เทเวสุ, เอกํ ปรินิพฺพุตสฺส สีสํ ทเสฺสสิฯ โส ปฐมํ สีสํ อาโกเฎตฺวา, ‘‘โภ โคตม, อยํ สโตฺต นิรยํ คโต’’ติ อาหฯ สาธุ สาธุ, วงฺคีส, สุทิฎฺฐํ ตยา, อยํ สโตฺต กหํ คโตติ ปุจฺฉิฯ มนุสฺสโลกํ, โภ โคตมาติฯ อยํ สโตฺต กหํ คโตติ? เทวโลกํ, โภ โคตมาติ ติณฺณมฺปิ คตฎฺฐานํ กเถสิฯ ปรินิพฺพุตสฺส ปน สีสํ นเขน อาโกเฎโนฺต เนว อนฺตํ น โกฎิํ ปสฺสติฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘น สโกฺกสิ ตฺวํ, วงฺคีสา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปสฺสถ, โภ โคตม, อุปปริกฺขามิ ตาวา’’ติ ปุนปฺปุนํ ปริวเตฺตติฯ พาหิรกมเนฺตน ขีณาสวสฺส คติํ กถํ ชานิสฺสติ, อถสฺส มตฺถกโต เสโท มุจฺจิฯ โส ลชฺชิตฺวา ตุณฺหีภูโต อฎฺฐาสิฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘กิลมสิ, วงฺคีสา’’ติ อาหฯ อาม, โภ โคตม, อิมสฺส สตฺตสฺส คตฎฺฐานํ ชานิตุํ น สโกฺกมิฯ สเจ ตุเมฺห ชานาถ, กเถถาติฯ ‘‘วงฺคีส, อหํ เอตมฺปิ ชานามิ อิโต อุตฺตริตรมฺปี’’ติ วตฺวา ธมฺมปเท อิมา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Atha naṃ satthā pucchi – ‘‘vaṅgīsa, kiñci sippaṃ jānāsī’’ti. Āma, bho gotama, chavasīsamantaṃ nāmekaṃ jānāmīti. Kiṃ so manto karotīti? Tivassamatthake matānampi taṃ mantaṃ jappitvā sīsaṃ nakhena ākoṭetvā nibbattaṭṭhānaṃ jānāmīti. Satthā tassa ekaṃ niraye uppannassa sīsaṃ dassesi, ekaṃ manussesu uppannassa, ekaṃ devesu, ekaṃ parinibbutassa sīsaṃ dassesi. So paṭhamaṃ sīsaṃ ākoṭetvā, ‘‘bho gotama, ayaṃ satto nirayaṃ gato’’ti āha. Sādhu sādhu, vaṅgīsa, sudiṭṭhaṃ tayā, ayaṃ satto kahaṃ gatoti pucchi. Manussalokaṃ, bho gotamāti. Ayaṃ satto kahaṃ gatoti? Devalokaṃ, bho gotamāti tiṇṇampi gataṭṭhānaṃ kathesi. Parinibbutassa pana sīsaṃ nakhena ākoṭento neva antaṃ na koṭiṃ passati. Atha naṃ satthā ‘‘na sakkosi tvaṃ, vaṅgīsā’’ti pucchi. ‘‘Passatha, bho gotama, upaparikkhāmi tāvā’’ti punappunaṃ parivatteti. Bāhirakamantena khīṇāsavassa gatiṃ kathaṃ jānissati, athassa matthakato sedo mucci. So lajjitvā tuṇhībhūto aṭṭhāsi. Atha naṃ satthā ‘‘kilamasi, vaṅgīsā’’ti āha. Āma, bho gotama, imassa sattassa gataṭṭhānaṃ jānituṃ na sakkomi. Sace tumhe jānātha, kathethāti. ‘‘Vaṅgīsa, ahaṃ etampi jānāmi ito uttaritarampī’’ti vatvā dhammapade imā dve gāthā abhāsi –

    ‘‘จุติํ โย เวทิ สตฺตานํ, อุปปตฺติํ จ สพฺพโส;

    ‘‘Cutiṃ yo vedi sattānaṃ, upapattiṃ ca sabbaso;

    อสตฺตํ สุคตํ พุทฺธํ, ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํฯ

    Asattaṃ sugataṃ buddhaṃ, tamahaṃ brūmi brāhmaṇaṃ.

    ‘‘ยสฺส คติํ น ชานนฺติ, เทวา คนฺธพฺพมานุสา;

    ‘‘Yassa gatiṃ na jānanti, devā gandhabbamānusā;

    ขีณาสวํ อรหนฺตํ, ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณ’’นฺติฯ (ธ. ป. ๔๑๙-๔๒๐);

    Khīṇāsavaṃ arahantaṃ, tamahaṃ brūmi brāhmaṇa’’nti. (dha. pa. 419-420);

    ตโต วงฺคีโส อาห – ‘‘โภ โคตม, วิชฺชาย วิชฺชํ เทนฺตสฺส นาม ปริหานิ นตฺถิ, อหํ อตฺตนา ชานนกํ มนฺตํ ตุมฺหากํ ทสฺสามิ, ตุเมฺห เอตํ มนฺตํ มยฺหํ เทถา’’ติฯ วงฺคีส, น มยํ มเนฺตน มนฺตํ เทม, เอวเมว เทมาติฯ ‘‘สาธุ, โภ โคตม, เทถ เม มนฺต’’นฺติ อปจิติํ ทเสฺสตฺวา หตฺถกจฺฉปกํ กตฺวา นิสีทิฯ กิํ, วงฺคีส, ตุมฺหากํ สมเย มหคฺฆมนฺตํ วา กิญฺจิ วา คณฺหนฺตานํ ปริวาโส นาม น โหตีติ? โหติ, โภ โคตมาติฯ อมฺหากํ ปน มโนฺต นิปฺปริวาโสติ สญฺญํ กโรสีติ? พฺราหฺมณา นาม มเนฺตหิ อติตฺตา โหนฺติ, ตสฺมา โส ภควนฺตํ อาห – ‘‘โภ โคตม, ตุเมฺหหิ กถิตนิยามํ กริสฺสามี’’ติฯ ภควา อาห – ‘‘วงฺคีส, มยํ อิมํ มนฺตํ เทนฺตา อเมฺหหิ สมานลิงฺคสฺส เทมา’’ติฯ วงฺคีโส ‘‘ยํกิญฺจิ กตฺวา มยา อิมํ มนฺตํ คณฺหิตฺวา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ พฺราหฺมเณ อาหฯ ตุเมฺห มยิ ปพฺพชเนฺต มา จินฺตยิตฺถ, อหํ อิมํ มนฺตํ คณฺหิตฺวา สกลชมฺพุทีเป เชฎฺฐโก ภวิสฺสามิฯ เอวํ สเนฺต ตุมฺหากมฺปิ ภทฺทกํ ภวิสฺสตี’’ติ มนฺตตฺถาย สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิฯ สตฺถา ‘‘มนฺตปริวาสํ ตาว วสาหี’’ติ ทฺวตฺติํสาการํ อาจิกฺขิฯ ปญฺญวา สโตฺต ทฺวตฺติํสาการํ สชฺฌายโนฺตว ตตฺถ ขยวยํ ปฎฺฐเปตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิ ฯ

    Tato vaṅgīso āha – ‘‘bho gotama, vijjāya vijjaṃ dentassa nāma parihāni natthi, ahaṃ attanā jānanakaṃ mantaṃ tumhākaṃ dassāmi, tumhe etaṃ mantaṃ mayhaṃ dethā’’ti. Vaṅgīsa, na mayaṃ mantena mantaṃ dema, evameva demāti. ‘‘Sādhu, bho gotama, detha me manta’’nti apacitiṃ dassetvā hatthakacchapakaṃ katvā nisīdi. Kiṃ, vaṅgīsa, tumhākaṃ samaye mahagghamantaṃ vā kiñci vā gaṇhantānaṃ parivāso nāma na hotīti? Hoti, bho gotamāti. Amhākaṃ pana manto nipparivāsoti saññaṃ karosīti? Brāhmaṇā nāma mantehi atittā honti, tasmā so bhagavantaṃ āha – ‘‘bho gotama, tumhehi kathitaniyāmaṃ karissāmī’’ti. Bhagavā āha – ‘‘vaṅgīsa, mayaṃ imaṃ mantaṃ dentā amhehi samānaliṅgassa demā’’ti. Vaṅgīso ‘‘yaṃkiñci katvā mayā imaṃ mantaṃ gaṇhitvā gantuṃ vaṭṭatī’’ti brāhmaṇe āha. Tumhe mayi pabbajante mā cintayittha, ahaṃ imaṃ mantaṃ gaṇhitvā sakalajambudīpe jeṭṭhako bhavissāmi. Evaṃ sante tumhākampi bhaddakaṃ bhavissatī’’ti mantatthāya satthu santike pabbaji. Satthā ‘‘mantaparivāsaṃ tāva vasāhī’’ti dvattiṃsākāraṃ ācikkhi. Paññavā satto dvattiṃsākāraṃ sajjhāyantova tattha khayavayaṃ paṭṭhapetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi .

    ตสฺมิํ อรหตฺตํ ปเตฺต พฺราหฺมณา ‘‘กา นุ โข วงฺคีสสฺส ปวตฺติ, ปสฺสิสฺสาม น’’นฺติ ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘กิํ, โภ วงฺคีส, สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติเก สิปฺปํ สิกฺขิต’’นฺติ ปุจฺฉิํสุฯ อาม, สิกฺขิตนฺติฯ เตน หิ เอหิ คมิสฺสามาติฯ คจฺฉถ ตุเมฺห, ตุเมฺหหิ สทฺธิํ คนฺตพฺพกิจฺจํ มยฺหํ นิฎฺฐิตนฺติฯ ปฐมเมว อเมฺหหิ ตุยฺหํ กถิตํ ‘‘สมโณ โคตโม อตฺตานํ ปสฺสิตุํ อาคเต มายาย อาวเฎฺฎตี’’ติฯ ตฺวํ หิ อิทานิ สมณสฺส โคตมสฺส วสํ อาปโนฺน, กิํ มยํ ตว สนฺติเก กริสฺสามาติ อาคตมเคฺคเนว ปกฺกมิํสุฯ วงฺคีสเตฺถโรปิ ยํ ยํ เวลํ ทสพลํ ปสฺสิตุํ คจฺฉติ, เอกํ ถุติํ กโรโนฺตว คจฺฉติฯ เตน ตํ สตฺถา สงฺฆมเชฺฌ นิสิโนฺน ปฎิภานวนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Tasmiṃ arahattaṃ patte brāhmaṇā ‘‘kā nu kho vaṅgīsassa pavatti, passissāma na’’nti tassa santikaṃ gantvā ‘‘kiṃ, bho vaṅgīsa, samaṇassa gotamassa santike sippaṃ sikkhita’’nti pucchiṃsu. Āma, sikkhitanti. Tena hi ehi gamissāmāti. Gacchatha tumhe, tumhehi saddhiṃ gantabbakiccaṃ mayhaṃ niṭṭhitanti. Paṭhamameva amhehi tuyhaṃ kathitaṃ ‘‘samaṇo gotamo attānaṃ passituṃ āgate māyāya āvaṭṭetī’’ti. Tvaṃ hi idāni samaṇassa gotamassa vasaṃ āpanno, kiṃ mayaṃ tava santike karissāmāti āgatamaggeneva pakkamiṃsu. Vaṅgīsattheropi yaṃ yaṃ velaṃ dasabalaṃ passituṃ gacchati, ekaṃ thutiṃ karontova gacchati. Tena taṃ satthā saṅghamajjhe nisinno paṭibhānavantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    อุปเสนวงฺคนฺตปุตฺตเตฺถรวตฺถุ

    Upasenavaṅgantaputtattheravatthu

    ๒๑๓. ปญฺจเม สมนฺตปาสาทิกานนฺติ สพฺพปาสาทิกานํฯ อุปเสโนติ ตสฺส เถรสฺส นามํฯ วงฺคนฺตพฺราหฺมณสฺส ปน โส ปุโตฺต, ตสฺมา วงฺคนฺตปุโตฺตติ วุจฺจติฯ อยํ ปน เถโร น เกวลํ อตฺตนาว ปาสาทิโก, ปริสาปิสฺส ปาสาทิกา, อิติ ปริสํ นิสฺสาย ลทฺธนามวเสน สมนฺตปาสาทิกานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    213. Pañcame samantapāsādikānanti sabbapāsādikānaṃ. Upasenoti tassa therassa nāmaṃ. Vaṅgantabrāhmaṇassa pana so putto, tasmā vaṅgantaputtoti vuccati. Ayaṃ pana thero na kevalaṃ attanāva pāsādiko, parisāpissa pāsādikā, iti parisaṃ nissāya laddhanāmavasena samantapāsādikānaṃ aggo nāma jāto.

    ปญฺหกเมฺม ปนสฺส อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห นิพฺพโตฺต วยํ อาคมฺม ปุริมนเยเนว สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุณมาโน สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ สมนฺตปาสาทิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา สตฺถุ อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถตฺวา ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท นาลกพฺราหฺมณคาเม สาริพฺราหฺมณิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, อุปเสนทารโกติสฺส นามํ อกํสุฯ

    Pañhakamme panassa ayamanupubbikathā – ayampi hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare kulagehe nibbatto vayaṃ āgamma purimanayeneva satthu santikaṃ gantvā dhammaṃ suṇamāno satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ samantapāsādikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā satthu adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthetvā yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde nālakabrāhmaṇagāme sāribrāhmaṇiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhi, upasenadārakotissa nāmaṃ akaṃsu.

    โส วยปฺปโตฺต ตโย เวเท อุคฺคณฺหิตฺวา ทสพลสฺส สนฺติเก ธมฺมํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิฯ โส อุปสมฺปทาย เอกวสฺสิโก หุตฺวา ‘‘อริยคพฺภํ วเฑฺฒมี’’ติ เอกํ กุลปุตฺตํ อตฺตโน สนฺติเก ปพฺพาเชตฺวา อุปสมฺปาเทสิฯ โส ปวาเรตฺวา สทฺธิวิหาริกสฺส เอกวสฺสิกกาเล อตฺตนา ทุวโสฺส ‘‘ทสพโล มํ ปสฺสิตฺวา ตุสิสฺสตี’’ติ สทฺธิวิหาริกํ อาทาย ทสพลํ ปสฺสิตุํ อาคโตฯ สตฺถา ตํ วนฺทิตฺวา เอกมเนฺต นิสินฺนํ ปุจฺฉิ – ‘‘กติวโสฺสสิ ตฺวํ ภิกฺขู’’ติ? ทุวโสฺส อหํ ภควาติฯ อยํ ปน ภิกฺขุ กติวโสฺสติ? เอกวโสฺส ภควาติฯ กินฺตายํ ภิกฺขุ โหตีติ? สทฺธิวิหาริโก เม ภควาติฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘อติลหุํ โข ตฺวํ, โมฆปุริส, พาหุลฺลาย อาวโตฺต’’ติ วตฺวา อเนกปริยาเยน วิครหิฯ เถโร สตฺถุ สนฺติกา ครหํ ลภิตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ‘‘อิมินาว ปุณฺณจนฺทสสฺสิริเกน มุเขน สตฺถารํ ปริสเมว นิสฺสาย สาธุการํ ทาเปสฺสามี’’ติ ตํทิวเสเยว เอกํ ฐานํ คนฺตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กตฺวา นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ

    So vayappatto tayo vede uggaṇhitvā dasabalassa santike dhammaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbaji. So upasampadāya ekavassiko hutvā ‘‘ariyagabbhaṃ vaḍḍhemī’’ti ekaṃ kulaputtaṃ attano santike pabbājetvā upasampādesi. So pavāretvā saddhivihārikassa ekavassikakāle attanā duvasso ‘‘dasabalo maṃ passitvā tusissatī’’ti saddhivihārikaṃ ādāya dasabalaṃ passituṃ āgato. Satthā taṃ vanditvā ekamante nisinnaṃ pucchi – ‘‘kativassosi tvaṃ bhikkhū’’ti? Duvasso ahaṃ bhagavāti. Ayaṃ pana bhikkhu kativassoti? Ekavasso bhagavāti. Kintāyaṃ bhikkhu hotīti? Saddhivihāriko me bhagavāti. Atha naṃ satthā ‘‘atilahuṃ kho tvaṃ, moghapurisa, bāhullāya āvatto’’ti vatvā anekapariyāyena vigarahi. Thero satthu santikā garahaṃ labhitvā bhagavantaṃ vanditvā ‘‘imināva puṇṇacandasassirikena mukhena satthāraṃ parisameva nissāya sādhukāraṃ dāpessāmī’’ti taṃdivaseyeva ekaṃ ṭhānaṃ gantvā vipassanāya kammaṃ katvā nacirasseva arahattaṃ pāpuṇi.

    ตโต ยสฺมา เถโร มหากุลโต นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิโต ปถวิฆุฎฺฐธมฺมกถิโกว, ตสฺมา ตสฺส ธมฺมกถาย เจว ปสีทิตฺวา มิตฺตามจฺจญาติกุเลหิ จ นิกฺขมิตฺวา พหู กุลทารกา เถรสฺส สนฺติเก ปพฺพชนฺติฯ ‘‘อหํ อารญฺญโก, ตุเมฺหปิ อารญฺญกา ภวิตุํ สโกฺกนฺตา ปพฺพชถา’’ติ เตรส ธุตงฺคานิ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘สกฺขิสฺสาม, ภเนฺต’’ติ วทเนฺต ปพฺพาเชติฯ เต อตฺตโน พเลน ตํ ตํ ธุตงฺคํ อธิฎฺฐหนฺติฯ เถโร อตฺตโน ทสวสฺสกาเล วินยํ ปคุณํ กตฺวา สเพฺพว อุปสมฺปาเทสิฯ เอวํ อุปสมฺปนฺนา จสฺส ปญฺจสตมตฺตา ภิกฺขู ปริวารา อเหสุํฯ

    Tato yasmā thero mahākulato nikkhamitvā pabbajito pathavighuṭṭhadhammakathikova, tasmā tassa dhammakathāya ceva pasīditvā mittāmaccañātikulehi ca nikkhamitvā bahū kuladārakā therassa santike pabbajanti. ‘‘Ahaṃ āraññako, tumhepi āraññakā bhavituṃ sakkontā pabbajathā’’ti terasa dhutaṅgāni ācikkhitvā ‘‘sakkhissāma, bhante’’ti vadante pabbājeti. Te attano balena taṃ taṃ dhutaṅgaṃ adhiṭṭhahanti. Thero attano dasavassakāle vinayaṃ paguṇaṃ katvā sabbeva upasampādesi. Evaṃ upasampannā cassa pañcasatamattā bhikkhū parivārā ahesuṃ.

    ตสฺมิํ สมเย สตฺถา เชตวนมหาวิหาเร วสโนฺต ‘‘อิจฺฉามหํ, ภิกฺขเว, อทฺธมาสํ ปฎิสลฺลียิตุ’’นฺติ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อาโรเจตฺวา เอกวิหารี โหติฯ ภิกฺขุสโงฺฆปิ ‘‘โย ภควนฺตํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมติ, โส ปาจิตฺติยํ เทสาเปตโพฺพ’’ติ กติกํ อกาสิฯ ตทา อุปเสนเตฺถโร ‘‘ภควนฺตํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ อตฺตโน ปริสาย สทฺธิํ เชตวนํ คนฺตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ สตฺถา กถาสมุฎฺฐาปนตฺถํ อญฺญตรํ เถรสฺส สทฺธิวิหาริกํ อามเนฺตสิ – ‘‘มนาปานิ เต ภิกฺขุ ปํสุกูลานี’’ติฯ ‘‘น โข เม, ภเนฺต, มนาปานิ ปํสุกูลานี’’ติ วตฺวา อุปชฺฌาเย คารเวน ปํสุกูลิกภาวํ อาโรเจสิฯ อิมสฺมิํ ฐาเน สตฺถา ‘‘สาธุ สาธุ, อุปเสนา’’ติ เถรสฺส สาธุการํ ทตฺวา อเนกปริยาเยน คุณกถํ กเถสิฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปน อิทํ วตฺถุ ปาฬิยํ (ปารา. ๕๖๕) อาคตเมวฯ อถ สตฺถา อปรภาเค อริยคณมเชฺฌ นิสิโนฺน อิมสฺมิํ สาสเน เถรํ สมนฺตปาสาทิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Tasmiṃ samaye satthā jetavanamahāvihāre vasanto ‘‘icchāmahaṃ, bhikkhave, addhamāsaṃ paṭisallīyitu’’nti bhikkhusaṅghassa ārocetvā ekavihārī hoti. Bhikkhusaṅghopi ‘‘yo bhagavantaṃ dassanāya upasaṅkamati, so pācittiyaṃ desāpetabbo’’ti katikaṃ akāsi. Tadā upasenatthero ‘‘bhagavantaṃ passissāmī’’ti attano parisāya saddhiṃ jetavanaṃ gantvā satthāraṃ upasaṅkamitvā abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Satthā kathāsamuṭṭhāpanatthaṃ aññataraṃ therassa saddhivihārikaṃ āmantesi – ‘‘manāpāni te bhikkhu paṃsukūlānī’’ti. ‘‘Na kho me, bhante, manāpāni paṃsukūlānī’’ti vatvā upajjhāye gāravena paṃsukūlikabhāvaṃ ārocesi. Imasmiṃ ṭhāne satthā ‘‘sādhu sādhu, upasenā’’ti therassa sādhukāraṃ datvā anekapariyāyena guṇakathaṃ kathesi. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato pana idaṃ vatthu pāḷiyaṃ (pārā. 565) āgatameva. Atha satthā aparabhāge ariyagaṇamajjhe nisinno imasmiṃ sāsane theraṃ samantapāsādikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ทพฺพเตฺถรวตฺถุ

    Dabbattheravatthu

    ๒๑๔. ฉเฎฺฐ เสนาสนปญฺญาปกานนฺติ เสนาสนํ ปญฺญาเปนฺตานํฯ เถรสฺส กิร เสนาสนปญฺญาปนกาเล อฎฺฐารสสุ มหาวิหาเรสุ อสมฺมฎฺฐํ ปริเวณํ วา อปฎิชคฺคิตํ เสนาสนํ วา อโสธิตํ มญฺจปีฐํ วา อนุปฎฺฐิตํ ปานียปริโภชนียํ วา นาโหสิฯ ตสฺมา เสนาสนปญฺญาปกานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ ทโพฺพติสฺส นามํฯ มลฺลราชกุเล ปน อุปฺปนฺนตฺตา มลฺลปุโตฺต นาม ชาโตฯ

    214. Chaṭṭhe senāsanapaññāpakānanti senāsanaṃ paññāpentānaṃ. Therassa kira senāsanapaññāpanakāle aṭṭhārasasu mahāvihāresu asammaṭṭhaṃ pariveṇaṃ vā apaṭijaggitaṃ senāsanaṃ vā asodhitaṃ mañcapīṭhaṃ vā anupaṭṭhitaṃ pānīyaparibhojanīyaṃ vā nāhosi. Tasmā senāsanapaññāpakānaṃ aggo nāma jāto. Dabbotissa nāmaṃ. Mallarājakule pana uppannattā mallaputto nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยญฺหิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต วุตฺตนเยเนว วิหารํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ เสนาสนปญฺญาปกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถตฺวา สตฺถารา พฺยากโต ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา กสฺสปทสพลสฺส สาสนสฺส โอสกฺกนกาเล ปพฺพชิ, ตทา เตน สทฺธิํ อปเร ฉ ชนาติ สตฺต ภิกฺขู เอกจิตฺตา หุตฺวา อเญฺญ สาสเน อคารวํ กโรเนฺต ทิสฺวา ‘‘อิธ กิํ กโรม, เอกมเนฺต สมณธมฺมํ กตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสามา’’ติ นิเสฺสณิํ พนฺธิตฺวา อุจฺจปพฺพตสิขรํ อภิรุหิตฺวา ‘‘อตฺตโน จิตฺตพลํ ชานนฺตา นิเสฺสณิํ ปาเตนฺตุ, ชีวิเต สาลยา โอตรนฺตุ, มา ปจฺฉานุตาปิโน อหุวตฺถา’’ติ วตฺวา สเพฺพ เอกจิตฺตา หุตฺวา นิเสฺสณิํ ปาเตตฺวา ‘‘อปฺปมตฺตา โหถ, อาวุโส’’ติ อญฺญมญฺญํ โอวทิตฺวา จิตฺตรุจิเยสุ ฐาเนสุ นิสีทิตฺวา สมณธมฺมํ กาตุํ อารภิํสุฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayañhi padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare kulagehe nibbattitvā vayappatto vuttanayeneva vihāraṃ gantvā dhammaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ senāsanapaññāpakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthetvā satthārā byākato yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaritvā kassapadasabalassa sāsanassa osakkanakāle pabbaji, tadā tena saddhiṃ apare cha janāti satta bhikkhū ekacittā hutvā aññe sāsane agāravaṃ karonte disvā ‘‘idha kiṃ karoma, ekamante samaṇadhammaṃ katvā dukkhassantaṃ karissāmā’’ti nisseṇiṃ bandhitvā uccapabbatasikharaṃ abhiruhitvā ‘‘attano cittabalaṃ jānantā nisseṇiṃ pātentu, jīvite sālayā otarantu, mā pacchānutāpino ahuvatthā’’ti vatvā sabbe ekacittā hutvā nisseṇiṃ pātetvā ‘‘appamattā hotha, āvuso’’ti aññamaññaṃ ovaditvā cittaruciyesu ṭhānesu nisīditvā samaṇadhammaṃ kātuṃ ārabhiṃsu.

    ตเตฺรโก เถโร ปญฺจเม ทิวเส อรหตฺตํ ปตฺวา ‘‘มม กิจฺจํ นิปฺผนฺนํ, อหํ อิมสฺมิํ ฐาเน กิํ กริสฺสามี’’ติ อิทฺธิยา อุตฺตรกุรุโต ปิณฺฑปาตํ อาหริตฺวา, ‘‘อาวุโส, อิมํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชถ , ภิกฺขาจารกิจฺจํ มมายตฺตํ โหตุ, ตุเมฺห อตฺตโน กมฺมํ กโรถา’’ติ อาหฯ กิํ นุ โข มยํ, อาวุโส, นิเสฺสณิํ ปาเตนฺตา เอวํ อโวจุมฺหา ‘‘โย ปฐมํ ธมฺมํ สจฺฉิกโรติ, โส ภิกฺขํ อาหรตุ, เตน อาภตํ เสสา ปริภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ นตฺถิ, อาวุโสติฯ ตุเมฺห อตฺตโน ปุพฺพเหตุนา ลภิตฺถ, มยมฺปิ สโกฺกนฺตา วฎฺฎสฺสนฺตํ กริสฺสาม, คจฺฉถ ตุเมฺหติ ฯ เถโร เต สญฺญาเปตุํ อสโกฺกโนฺต ผาสุกฎฺฐาเน ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา คโตฯ อปโร เถโร สตฺตเม ทิวเส อนาคามิผลํ ปตฺวา ตโต จุโต สุทฺธาวาสพฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺตฯ

    Tatreko thero pañcame divase arahattaṃ patvā ‘‘mama kiccaṃ nipphannaṃ, ahaṃ imasmiṃ ṭhāne kiṃ karissāmī’’ti iddhiyā uttarakuruto piṇḍapātaṃ āharitvā, ‘‘āvuso, imaṃ piṇḍapātaṃ paribhuñjatha , bhikkhācārakiccaṃ mamāyattaṃ hotu, tumhe attano kammaṃ karothā’’ti āha. Kiṃ nu kho mayaṃ, āvuso, nisseṇiṃ pātentā evaṃ avocumhā ‘‘yo paṭhamaṃ dhammaṃ sacchikaroti, so bhikkhaṃ āharatu, tena ābhataṃ sesā paribhuñjitvā samaṇadhammaṃ karissantī’’ti. Natthi, āvusoti. Tumhe attano pubbahetunā labhittha, mayampi sakkontā vaṭṭassantaṃ karissāma, gacchatha tumheti . Thero te saññāpetuṃ asakkonto phāsukaṭṭhāne piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā gato. Aparo thero sattame divase anāgāmiphalaṃ patvā tato cuto suddhāvāsabrahmaloke nibbatto.

    อิตเรปิ เถรา ตโต จุตา เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท เตสุ เตสุ กุเลสุ นิพฺพตฺตาฯ เอโก คนฺธารรเฎฺฐ ตกฺกสิลนคเร ราชเคเห นิพฺพโตฺต, เอโก ปพฺพเตยฺยรเฎฺฐ ปริพฺพาชิกาย กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพโตฺต, เอโก พาหิยรเฎฺฐ กุฎุมฺพิกเคเห นิพฺพโตฺต, เอโก ราชคเห กุฎุมฺพิกเคเห นิพฺพโตฺตฯ อยํ ปน ทพฺพเตฺถโร มลฺลรเฎฺฐ อนุปิยนคเร เอกสฺส มลฺลรโญฺญ เคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตสฺส มาตา อุปวิชญฺญกาเล กาลมกาสิ, มตสรีรํ สุสานํ เนตฺวา ทารุจิตกํ อาโรเปตฺวา อคฺคิํ อทํสุฯ ตสฺสา อคฺคิเวคสนฺตตฺตํ อุทรปฎลํ เทฺวธา อโหสิฯ ทารโก อตฺตโน ปุญฺญพเลน อุปฺปติตฺวา เอกสฺมิํ ทพฺพตฺถเมฺภ นิปติฯ ตํ ทารกํ คเหตฺวา อยฺยิกาย อทํสุฯ สา ตสฺส นามํ คณฺหนฺตี ทพฺพตฺถเมฺภ นิปติตฺวา ลทฺธชีวิตตฺตา ทโพฺพติสฺส นามํ อกาสิฯ

    Itarepi therā tato cutā ekaṃ buddhantaraṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde tesu tesu kulesu nibbattā. Eko gandhāraraṭṭhe takkasilanagare rājagehe nibbatto, eko pabbateyyaraṭṭhe paribbājikāya kucchimhi nibbatto, eko bāhiyaraṭṭhe kuṭumbikagehe nibbatto, eko rājagahe kuṭumbikagehe nibbatto. Ayaṃ pana dabbatthero mallaraṭṭhe anupiyanagare ekassa mallarañño gehe paṭisandhiṃ gaṇhi. Tassa mātā upavijaññakāle kālamakāsi, matasarīraṃ susānaṃ netvā dārucitakaṃ āropetvā aggiṃ adaṃsu. Tassā aggivegasantattaṃ udarapaṭalaṃ dvedhā ahosi. Dārako attano puññabalena uppatitvā ekasmiṃ dabbatthambhe nipati. Taṃ dārakaṃ gahetvā ayyikāya adaṃsu. Sā tassa nāmaṃ gaṇhantī dabbatthambhe nipatitvā laddhajīvitattā dabbotissa nāmaṃ akāsi.

    ตสฺส สตฺตวสฺสิกกาเล สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร มลฺลรเฎฺฐ จาริกํ จรมาโน อนุปิยนิคมํ ปตฺวา อนุปิยมฺพวเน วิหรติฯ ทพฺพกุมาโร สตฺถารํ ทิสฺวา ทสฺสเนเนว ปสีทิตฺวา ปพฺพชิตุกาโม หุตฺวา ‘‘อหํ ทสพลสฺส สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามี’’ติ อยฺยิกํ อาปุจฺฉิฯ สา ‘‘สาธุ, ตาตา’’ติ ทพฺพกุมารํ อาทาย สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อิมํ กุมารํ ปพฺพาเชถา’’ติ อาหฯ สตฺถา อญฺญตรสฺส ภิกฺขุโน สญฺญํ อทาสิ ‘‘ภิกฺขุ อิมํ ทารกํ ปพฺพาเชหี’’ติฯ โส เถโร สตฺถุ วจนํ สุตฺวา ทพฺพกุมารํ ปพฺพาเชโนฺต ตจปญฺจกํ กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิฯ ปุพฺพเหตุสมฺปโนฺน กตาภินีหาโร สโตฺต ปฐมเกสวฎฺฎิยา โอโรปิยมานาย โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิ, ทุติยเกสวฎฺฎิยา โอโรปิยมานาย สกทาคามิผเล, ตติยาย อนาคามิผเลฯ สพฺพเกสานํ ปน โอโรปนญฺจ อรหตฺตผลสจฺฉิกิริยา จ อปจฺฉา อปุเร อโหสิฯ

    Tassa sattavassikakāle satthā bhikkhusaṅghaparivāro mallaraṭṭhe cārikaṃ caramāno anupiyanigamaṃ patvā anupiyambavane viharati. Dabbakumāro satthāraṃ disvā dassaneneva pasīditvā pabbajitukāmo hutvā ‘‘ahaṃ dasabalassa santike pabbajissāmī’’ti ayyikaṃ āpucchi. Sā ‘‘sādhu, tātā’’ti dabbakumāraṃ ādāya satthu santikaṃ gantvā, ‘‘bhante, imaṃ kumāraṃ pabbājethā’’ti āha. Satthā aññatarassa bhikkhuno saññaṃ adāsi ‘‘bhikkhu imaṃ dārakaṃ pabbājehī’’ti. So thero satthu vacanaṃ sutvā dabbakumāraṃ pabbājento tacapañcakaṃ kammaṭṭhānaṃ ācikkhi. Pubbahetusampanno katābhinīhāro satto paṭhamakesavaṭṭiyā oropiyamānāya sotāpattiphale patiṭṭhāsi, dutiyakesavaṭṭiyā oropiyamānāya sakadāgāmiphale, tatiyāya anāgāmiphale. Sabbakesānaṃ pana oropanañca arahattaphalasacchikiriyā ca apacchā apure ahosi.

    สตฺถา มลฺลรเฎฺฐ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา ราชคหํ คนฺตฺวา เวฬุวเน วาสํ กเปฺปสิฯ ตตฺรายสฺมา ทโพฺพ มลฺลปุโตฺต รโหคโต อตฺตโน กิจฺจนิปฺผตฺติํ โอโลเกตฺวา สงฺฆสฺส เวยฺยาวจฺจกรเณ กายํ โยเชตุกาโม จิเนฺตสิ – ‘‘ยํนูนาหํ สงฺฆสฺส เสนาสนญฺจ ปญฺญาเปยฺยํ, ภตฺตานิ จ อุทฺทิเสยฺย’’นฺติฯ โส สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา อตฺตโน ปริวิตกฺกํ อาโรเจสิฯ สตฺถา ตสฺส สาธุการํ ทตฺวา เสนาสนปญฺญาปกตฺตญฺจ ภตฺตุเทฺทสกตฺตญฺจ สมฺปฎิจฺฉิฯ อถ นํ ‘‘อยํ ทโพฺพ ทหโรว สมาโน มหนฺตฎฺฐาเน ฐิโต’’ติ สตฺตวสฺสิกกาเลเยว อุปสมฺปาเทสิฯ เถโร อุปสมฺปนฺนกาลโตเยว ปฎฺฐาย ราชคหํ อุปนิสฺสาย วิหรนฺตานํ สพฺพภิกฺขูนํ เสนาสนานิ จ ปญฺญาเปติ, ภิกฺขญฺจ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อุทฺทิสติฯ ตสฺส เสนาสนปญฺญาปกภาโว สพฺพทิสาสุ ปากโฎ อโหสิ – ‘‘ทโพฺพ กิร มลฺลปุโตฺต สภาคสภาคานํ ภิกฺขูนํ เอกฎฺฐาเน เสนาสนานิ ปญฺญาเปติ, ทูเรปิ เสนาสนํ ปญฺญาเปติเยวฯ คนฺตุํ อสโกฺกเนฺต อิทฺธิยา เนตีติฯ

    Satthā mallaraṭṭhe yathābhirantaṃ viharitvā rājagahaṃ gantvā veḷuvane vāsaṃ kappesi. Tatrāyasmā dabbo mallaputto rahogato attano kiccanipphattiṃ oloketvā saṅghassa veyyāvaccakaraṇe kāyaṃ yojetukāmo cintesi – ‘‘yaṃnūnāhaṃ saṅghassa senāsanañca paññāpeyyaṃ, bhattāni ca uddiseyya’’nti. So satthu santikaṃ gantvā attano parivitakkaṃ ārocesi. Satthā tassa sādhukāraṃ datvā senāsanapaññāpakattañca bhattuddesakattañca sampaṭicchi. Atha naṃ ‘‘ayaṃ dabbo daharova samāno mahantaṭṭhāne ṭhito’’ti sattavassikakāleyeva upasampādesi. Thero upasampannakālatoyeva paṭṭhāya rājagahaṃ upanissāya viharantānaṃ sabbabhikkhūnaṃ senāsanāni ca paññāpeti, bhikkhañca sampaṭicchitvā uddisati. Tassa senāsanapaññāpakabhāvo sabbadisāsu pākaṭo ahosi – ‘‘dabbo kira mallaputto sabhāgasabhāgānaṃ bhikkhūnaṃ ekaṭṭhāne senāsanāni paññāpeti, dūrepi senāsanaṃ paññāpetiyeva. Gantuṃ asakkonte iddhiyā netīti.

    อถ นํ ภิกฺขู กาเลปิ วิกาเลปิ ‘‘อมฺหากํ, อาวุโส, ชีวกมฺพวเน เสนาสนํ ปญฺญาเปหิ, อมฺหากํ มทฺทกุจฺฉิสฺมิํ มิคทาเย’’ติ เอวํ เสนาสนํ อุทฺทิสาเปตฺวา ตสฺส อิทฺธิํ ปสฺสนฺตา คจฺฉนฺติฯ โสปิ อิทฺธิยา มโนมเย กาเย อภิสงฺขริตฺวา เอเกกสฺส เถรสฺส เอเกกํ อตฺตนา สทิสํ ภิกฺขุํ นิมฺมินิตฺวา องฺคุลิยา ชลมานาย ปุรโต ปุรโต คนฺตฺวา ‘‘อยํ มโญฺจ, อิทํ ปีฐ’’นฺติอาทีนิ วตฺวา เสนาสนํ ปญฺญาเปตฺวา ปุน อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว อาคจฺฉติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปนิทํ วตฺถุ ปาฬิยํ อาคตเมวฯ สตฺถา อิทเมว การณํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา อปรภาเค อริยคณมเชฺฌ นิสิโนฺน เถรํ เสนาสนปญฺญาปกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Atha naṃ bhikkhū kālepi vikālepi ‘‘amhākaṃ, āvuso, jīvakambavane senāsanaṃ paññāpehi, amhākaṃ maddakucchismiṃ migadāye’’ti evaṃ senāsanaṃ uddisāpetvā tassa iddhiṃ passantā gacchanti. Sopi iddhiyā manomaye kāye abhisaṅkharitvā ekekassa therassa ekekaṃ attanā sadisaṃ bhikkhuṃ nimminitvā aṅguliyā jalamānāya purato purato gantvā ‘‘ayaṃ mañco, idaṃ pīṭha’’ntiādīni vatvā senāsanaṃ paññāpetvā puna attano vasanaṭṭhānameva āgacchati. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato panidaṃ vatthu pāḷiyaṃ āgatameva. Satthā idameva kāraṇaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā aparabhāge ariyagaṇamajjhe nisinno theraṃ senāsanapaññāpakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ปิลินฺทวจฺฉเตฺถรวตฺถุ

    Pilindavacchattheravatthu

    ๒๑๕. สตฺตเม เทวตานํ ปิยมนาปานนฺติ เทวตานํ ปิยานเญฺจว มนาปานญฺจ ปิลินฺทวจฺฉเตฺถโร อโคฺคติ ทเสฺสติฯ โส กิร อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ จกฺกวตฺตี ราชา หุตฺวา มหาชนํ ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา สคฺคปรายณํ อกาสิฯ เยภุเยฺยน กิร ฉสุ กามสเคฺคสุ นิพฺพตฺตเทวตา ตเสฺสว โอวาทํ ลภิตฺวา นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน อตฺตโน สมฺปตฺติํ โอโลเกตฺวา ‘‘กํ นุ โข นิสฺสาย อิมํ สคฺคสมฺปตฺติํ ลภิมฺหา’’ติ อาวชฺชมานา อิมํ เถรํ ทิสฺวา ‘‘เถรํ นิสฺสาย อเมฺหหิ สมฺปติ ลทฺธา’’ติ สายํปาตํ เถรํ นมสฺสนฺติฯ ตสฺมา โส เทวตานํ ปิยมนาปานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ ปิลิโนฺทติ ปนสฺส โคตฺตํ, วโจฺฉติ นามํฯ ตทุภยํ สํสเนฺทตฺวา ปิลินฺทวโจฺฉติ วุจฺจติฯ

    215. Sattame devatānaṃ piyamanāpānanti devatānaṃ piyānañceva manāpānañca pilindavacchatthero aggoti dasseti. So kira anuppanne buddhe cakkavattī rājā hutvā mahājanaṃ pañcasu sīlesu patiṭṭhāpetvā saggaparāyaṇaṃ akāsi. Yebhuyyena kira chasu kāmasaggesu nibbattadevatā tasseva ovādaṃ labhitvā nibbattanibbattaṭṭhāne attano sampattiṃ oloketvā ‘‘kaṃ nu kho nissāya imaṃ saggasampattiṃ labhimhā’’ti āvajjamānā imaṃ theraṃ disvā ‘‘theraṃ nissāya amhehi sampati laddhā’’ti sāyaṃpātaṃ theraṃ namassanti. Tasmā so devatānaṃ piyamanāpānaṃ aggo nāma jāto. Pilindoti panassa gottaṃ, vacchoti nāmaṃ. Tadubhayaṃ saṃsandetvā pilindavacchoti vuccati.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยํ กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร มหาโภคกุเล นิพฺพโตฺต ปุริมนเยเนว สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ เทวตานํ ปิยมนาปฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถตฺวา ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติฯ ปิลินฺทวโจฺฉติสฺส นามํ อกํสุฯ โส อปเรน สมเยน สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา อุปสมฺปโนฺน วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ โส คิหีหิปิ ภิกฺขูหิปิ สทฺธิํ กเถโนฺต ‘‘เอหิ, วสล, คจฺฉ, วสล, อาหร, วสล, คณฺห, วสลา’’ติ วสลวาเทเนว สมุทาจรติฯ ตํ กถํ อาหริตฺวา ตถาคตํ ปุจฺฉิํสุ – ‘‘ภควา อริยา นาม ผรุสวาจา น โหนฺตี’’ติฯ ภิกฺขเว, อริยานํ ปรวมฺภนวเสน ผรุสวาจา นาม นตฺถิ, อปิจ โข ปน ภวนฺตเร อาจิณฺณวเสน ภเวยฺยาติฯ ภเนฺต, ปิลินฺทวจฺฉเตฺถโร อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย คิหีหิปิ ภิกฺขูหิปิ สทฺธิํ กเถโนฺต, ‘‘วสล, วสลา’’ติ กเถติ, กิเมตฺถ การณํ ภควาติฯ ภิกฺขเว, น มยฺหํ ปุตฺตสฺส เอตํ อิทาเนว อาจิณฺณํ, อตีเต ปเนส ปญฺจ ชาติสตานิ วสลวาทิพฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติฯ อิเจฺจส ภวาจิเณฺณเนว กเถสิ, น ผรุสวเสนฯ อริยานญฺหิ โวหาโร ผรุโสปิ สมาโน เจตนาย อผรุสภาเวน ปริสุโทฺธว, อปฺปมตฺตกเมฺปตฺถ ปาปํ น อุปลพฺภตีติ วตฺวา ธมฺมปเท อิมํ คาถมาห –

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayaṃ kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare mahābhogakule nibbatto purimanayeneva satthu dhammadesanaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ devatānaṃ piyamanāpaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā taṃ ṭhānantaraṃ patthetvā yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ brāhmaṇakule nibbatti. Pilindavacchotissa nāmaṃ akaṃsu. So aparena samayena satthu dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitvā upasampanno vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi. So gihīhipi bhikkhūhipi saddhiṃ kathento ‘‘ehi, vasala, gaccha, vasala, āhara, vasala, gaṇha, vasalā’’ti vasalavādeneva samudācarati. Taṃ kathaṃ āharitvā tathāgataṃ pucchiṃsu – ‘‘bhagavā ariyā nāma pharusavācā na hontī’’ti. Bhikkhave, ariyānaṃ paravambhanavasena pharusavācā nāma natthi, apica kho pana bhavantare āciṇṇavasena bhaveyyāti. Bhante, pilindavacchatthero uṭṭhāya samuṭṭhāya gihīhipi bhikkhūhipi saddhiṃ kathento, ‘‘vasala, vasalā’’ti katheti, kimettha kāraṇaṃ bhagavāti. Bhikkhave, na mayhaṃ puttassa etaṃ idāneva āciṇṇaṃ, atīte panesa pañca jātisatāni vasalavādibrāhmaṇakule nibbatti. Iccesa bhavāciṇṇeneva kathesi, na pharusavasena. Ariyānañhi vohāro pharusopi samāno cetanāya apharusabhāvena parisuddhova, appamattakampettha pāpaṃ na upalabbhatīti vatvā dhammapade imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อกกฺกสํ วิญฺญาปนิํ, คิรํ สจฺจมุทีรเย;

    ‘‘Akakkasaṃ viññāpaniṃ, giraṃ saccamudīraye;

    ยาย นาภิสเช กญฺจิ, ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณ’’นฺติฯ

    Yāya nābhisaje kañci, tamahaṃ brūmi brāhmaṇa’’nti.

    อเถกทิวสํ เถโร ราชคหํ ปิณฺฑาย ปวิสโนฺต เอกํ ปุริสํ ปิปฺปลีนํ ภาชนํ ปูเรตฺวา อาทาย อโนฺตนครํ ปวิสนฺตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ เต, วสล, ภาชเน’’ติ อาหฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ สมโณ มยา สทฺธิํ ปาโตว ผรุสกถํ กเถสิ, อิมสฺส อนุจฺฉวิกเมว วตฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ ‘‘มูสิกวจฺจํ เม, ภเนฺต, ภาชเน’’ติ อาหฯ เอวํ ภวิสฺสติ, วสลาติฯ ตสฺส เถรสฺส ทสฺสนํ วิชหนฺตสฺส สพฺพํ มูสิกวจฺจเมว อโหสิฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘อิมา ปิปฺปลิโย มูสิกวจฺจสทิสา ปญฺญายนฺติ, สภาโว นุ โข โน’’ติ วีมํสโนฺต หเตฺถน อุปฺปีเฬสิ ฯ อถสฺส อุนฺทูรวจฺจภาวํ ญตฺวา พลวโทมนสฺสํ อุปฺปชฺชิฯ โส ‘‘อิมาเยว นุ โข เอวรูปา, อุทาหุ สกเฎปี’’ติ คนฺตฺวา โอโลเกโนฺต สพฺพาปิ ปิปฺปลิโย ตาทิสาว ทิสฺวา หทยํ หเตฺถน สนฺธาเรตฺวา ‘‘อิทํ น อญฺญสฺส กมฺมํ, มยา ปาโตว ทิฎฺฐภิกฺขุเสฺสตํ กมฺมํ, อทฺธา เอกํ อุปายํ ภวิสฺสติ, ตสฺส คตฎฺฐานํ อนุวิจินิตฺวา เอตํ การณํ ชานิสฺสามี’’ติ เถรสฺส คตมคฺคํ ปุจฺฉิตฺวา ปายาสิฯ

    Athekadivasaṃ thero rājagahaṃ piṇḍāya pavisanto ekaṃ purisaṃ pippalīnaṃ bhājanaṃ pūretvā ādāya antonagaraṃ pavisantaṃ disvā ‘‘kiṃ te, vasala, bhājane’’ti āha. So cintesi – ‘‘ayaṃ samaṇo mayā saddhiṃ pātova pharusakathaṃ kathesi, imassa anucchavikameva vattuṃ vaṭṭatī’’ti ‘‘mūsikavaccaṃ me, bhante, bhājane’’ti āha. Evaṃ bhavissati, vasalāti. Tassa therassa dassanaṃ vijahantassa sabbaṃ mūsikavaccameva ahosi. So cintesi – ‘‘imā pippaliyo mūsikavaccasadisā paññāyanti, sabhāvo nu kho no’’ti vīmaṃsanto hatthena uppīḷesi . Athassa undūravaccabhāvaṃ ñatvā balavadomanassaṃ uppajji. So ‘‘imāyeva nu kho evarūpā, udāhu sakaṭepī’’ti gantvā olokento sabbāpi pippaliyo tādisāva disvā hadayaṃ hatthena sandhāretvā ‘‘idaṃ na aññassa kammaṃ, mayā pātova diṭṭhabhikkhussetaṃ kammaṃ, addhā ekaṃ upāyaṃ bhavissati, tassa gataṭṭhānaṃ anuvicinitvā etaṃ kāraṇaṃ jānissāmī’’ti therassa gatamaggaṃ pucchitvā pāyāsi.

    อเถโก ปุริโส ตํ อติวิย จณฺฑิกตํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา, ‘‘โภ ปุริส, ตฺวํ อติวิย จณฺฑิกโตว คจฺฉสิ, เกน กเมฺมน คจฺฉสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตสฺส ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ โส ตสฺส กถํ สุตฺวา เอวมาห – ‘‘โภ, มา จินฺตยิ, มยฺหํ อโยฺย ปิลินฺทวโจฺฉ ภวิสฺสติ, ตฺวํ เอตเทว ภาชนํ ปูเรตฺวา อาทาย คนฺตฺวา เถรสฺส ปุรโต ติฎฺฐฯ ‘กิํ นาเมตํ, วสลา’ติ วุตฺตกาเล จ ‘ปิปฺปลิโย, ภเนฺต’ติ วท, เถโร ‘เอวํ ภวิสฺสติ, วสลา’ติ วกฺขติฯ ปุน สพฺพาปิ ปิปฺปลิโย ภวิสฺสนฺตี’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ สพฺพา ปิปฺปลิโย ปฎิปากติกา อเหสุํฯ อิทเมตฺตกํ วตฺถุฯ อปรภาเค ปน สตฺถา เทวตานํ ปิยมนาปการณเมว วตฺถุํ กตฺวา เถรํ เทวตานํ ปิยมนาปานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Atheko puriso taṃ ativiya caṇḍikataṃ gacchantaṃ disvā, ‘‘bho purisa, tvaṃ ativiya caṇḍikatova gacchasi, kena kammena gacchasī’’ti pucchi. So tassa taṃ pavattiṃ ārocesi. So tassa kathaṃ sutvā evamāha – ‘‘bho, mā cintayi, mayhaṃ ayyo pilindavaccho bhavissati, tvaṃ etadeva bhājanaṃ pūretvā ādāya gantvā therassa purato tiṭṭha. ‘Kiṃ nāmetaṃ, vasalā’ti vuttakāle ca ‘pippaliyo, bhante’ti vada, thero ‘evaṃ bhavissati, vasalā’ti vakkhati. Puna sabbāpi pippaliyo bhavissantī’’ti. So tathā akāsi. Sabbā pippaliyo paṭipākatikā ahesuṃ. Idamettakaṃ vatthu. Aparabhāge pana satthā devatānaṃ piyamanāpakāraṇameva vatthuṃ katvā theraṃ devatānaṃ piyamanāpānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    พาหิยทารุจีริยเตฺถรวตฺถุ

    Bāhiyadārucīriyattheravatthu

    ๒๑๖. อฎฺฐเม ขิปฺปาภิญฺญานนฺติ ขิปฺปํ อธิคตอภิญฺญานํ ทารุจีริยเตฺถโร อโคฺคติ ทเสฺสติฯ อยญฺหิ เถโร สํขิตฺตธมฺมเทสนาปริโยสาเน อรหตฺตํ ปาปุณิ, มคฺคผลานํ ปริกมฺมกิจฺจํ นาโหสิฯ ตสฺมา ขิปฺปาภิญฺญานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ พาหิยรเฎฺฐ ปน ชาตตฺตา พาหิโยติสฺส นามํ อโหสิฯ โส อปรภาเค ทารุจีรํ นิวาเสสิฯ ตสฺมา ทารุจีริโย นาม ชาโตฯ

    216. Aṭṭhame khippābhiññānanti khippaṃ adhigataabhiññānaṃ dārucīriyatthero aggoti dasseti. Ayañhi thero saṃkhittadhammadesanāpariyosāne arahattaṃ pāpuṇi, maggaphalānaṃ parikammakiccaṃ nāhosi. Tasmā khippābhiññānaṃ aggo nāma jāto. Bāhiyaraṭṭhe pana jātattā bāhiyotissa nāmaṃ ahosi. So aparabhāge dārucīraṃ nivāsesi. Tasmā dārucīriyo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห นิพฺพโตฺต ทสพลสฺส ธมฺมเทสนํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ขิปฺปาภิญฺญานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถตฺวา ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต กสฺสปทสพลสฺส สาสนสฺส โอสกฺกนกาเล เหฎฺฐา วุเตฺตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สมณธมฺมํ กตฺวา ปริปุณฺณสีโล ชีวิตกฺขยํ ปตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare kulagehe nibbatto dasabalassa dhammadesanaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ khippābhiññānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthetvā yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto kassapadasabalassa sāsanassa osakkanakāle heṭṭhā vuttehi bhikkhūhi saddhiṃ samaṇadhammaṃ katvā paripuṇṇasīlo jīvitakkhayaṃ patvā devaloke nibbatti.

    โส เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวโลเก วสิตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท พาหิยรเฎฺฐ กุลเคเห นิพฺพโตฺตฯ วยํ อาคมฺม ฆราวาสํ วสโนฺต ‘‘โวหารํ กริสฺสามี’’ติ สุวณฺณภูมิคมนียํ นาวํ อภิรุหิฯ นาวา อิจฺฉิตํ เทสํ อปฺปตฺวาว สมุทฺทมเชฺฌ ภินฺนา, มหาชโน มจฺฉกจฺฉปภโกฺข อโหสิฯ อยํ ปน เอกํ ทารุขณฺฑํ คเหตฺวา สตฺตเม ทิวเส สุปฺปารกปฎฺฎเน อุตฺติโณฺณ มนุสฺสาวาสํ ปตฺวา ‘‘อเจลกนิยาเมน มนุเสฺส อุปสงฺกมิตุํ อยุตฺต’’นฺติ อวิทูเร ฐาเน เอกํ มหาตฬากา เสวาลํ คเหตฺวา สรีรํ เวเฐตฺวา เอกสฺมิํ ฐาเน ปติตํ เอกํ กปาลํ อาทาย ภิกฺขาย ปาวิสิฯ

    So ekaṃ buddhantaraṃ devaloke vasitvā imasmiṃ buddhuppāde bāhiyaraṭṭhe kulagehe nibbatto. Vayaṃ āgamma gharāvāsaṃ vasanto ‘‘vohāraṃ karissāmī’’ti suvaṇṇabhūmigamanīyaṃ nāvaṃ abhiruhi. Nāvā icchitaṃ desaṃ appatvāva samuddamajjhe bhinnā, mahājano macchakacchapabhakkho ahosi. Ayaṃ pana ekaṃ dārukhaṇḍaṃ gahetvā sattame divase suppārakapaṭṭane uttiṇṇo manussāvāsaṃ patvā ‘‘acelakaniyāmena manusse upasaṅkamituṃ ayutta’’nti avidūre ṭhāne ekaṃ mahātaḷākā sevālaṃ gahetvā sarīraṃ veṭhetvā ekasmiṃ ṭhāne patitaṃ ekaṃ kapālaṃ ādāya bhikkhāya pāvisi.

    มนุสฺสา ตํ ทิสฺวา จิเนฺตสุํ – ‘‘สเจ โลเก อรหนฺตา นาม อตฺถิ, เอวํวิเธหิ ภวิตพฺพํฯ กิํ นุ โข อโยฺย อุกฺกฎฺฐภาเวน วตฺถํ น คณฺหาติ, อุทาหุ ทิยฺยมานํ คเณฺหยฺยา’’ติ วีมํสนฺตา นานาทิสาหิ วตฺถานิ อาหริํสุฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘สจาหํ น อิมินา นิยาเมน อาคมิสฺสํ, น เม เอเต ปสีเทยฺยุํ, ยํกิญฺจิ กตฺวา อิเม วเญฺจตฺวา ชีวิกุปายํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺถานิ น ปฎิคฺคณฺหิฯ มนุสฺสา ภิโยฺยโสมตฺตาย ปสนฺนา มหาสกฺการํ กริํสุฯ โสปิ ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา อวิทูรฎฺฐาเน เทวกุลํ คโตฯ มหาชโน เตน สทฺธิํเยว คนฺตฺวา เทวกุลํ ปฎิชคฺคิตฺวา อทาสิฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม มยฺหํ เสวาเล นิวาสนมเตฺต ปสีทิตฺวา เอวํวิธํ สกฺการํ กโรนฺติ, เอเตสํ มยา อุกฺกเฎฺฐเนว ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ สลฺลหุกานิ รุกฺขผลกานิ คเหตฺวา ตเจฺฉตฺวา วาเกสุ อาวุณิตฺวา จีรํ กตฺวา นิวาเสตฺวา ปารุปิตฺวา ชีวิกํ กเปฺปโนฺต วสิฯ

    Manussā taṃ disvā cintesuṃ – ‘‘sace loke arahantā nāma atthi, evaṃvidhehi bhavitabbaṃ. Kiṃ nu kho ayyo ukkaṭṭhabhāvena vatthaṃ na gaṇhāti, udāhu diyyamānaṃ gaṇheyyā’’ti vīmaṃsantā nānādisāhi vatthāni āhariṃsu. So cintesi – ‘‘sacāhaṃ na iminā niyāmena āgamissaṃ, na me ete pasīdeyyuṃ, yaṃkiñci katvā ime vañcetvā jīvikupāyaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti vatthāni na paṭiggaṇhi. Manussā bhiyyosomattāya pasannā mahāsakkāraṃ kariṃsu. Sopi bhattakiccaṃ katvā avidūraṭṭhāne devakulaṃ gato. Mahājano tena saddhiṃyeva gantvā devakulaṃ paṭijaggitvā adāsi. So cintesi – ‘‘ime mayhaṃ sevāle nivāsanamatte pasīditvā evaṃvidhaṃ sakkāraṃ karonti, etesaṃ mayā ukkaṭṭheneva bhavituṃ vaṭṭatī’’ti sallahukāni rukkhaphalakāni gahetvā tacchetvā vākesu āvuṇitvā cīraṃ katvā nivāsetvā pārupitvā jīvikaṃ kappento vasi.

    อถ โย โส กสฺสปพุทฺธกาเล สตฺตสุ ชเนสุ สมณธมฺมํ กโรเนฺตสุ เอโก ภิกฺขุ สุทฺธาวาสพฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺตฯ โส นิพฺพตฺตสมนนฺตรเมว อตฺตโน พฺรหฺมสมฺปตฺติํ โอโลเกตฺวา อาคตฎฺฐานํ อาวเชฺชโนฺต สตฺตนฺนํ ชนานํ ปพฺพตํ อารุยฺห สมณธมฺมกรณฎฺฐานํ ทิสฺวา เสสานํ ฉนฺนํ นิพฺพตฺตฎฺฐานํ อาวเชฺชโนฺต เอกสฺส ปรินิพฺพุตภาวํ อิตเรสํ ปญฺจนฺนํ กามาวจรเทวโลเก นิพฺพตฺตภาวํ ญตฺวา กาลานุกาลํ เต ปญฺจ ชเน อาวเชฺชติ ฯ อิมสฺมิํ ปน กาเล ‘‘กหํ นุ โข’’ติ อาวเชฺชโนฺต ทารุจีริยํ สุปฺปารกปฎฺฎนํ อุปนิสฺสาย กุหนกเมฺมน ชีวิกํ กเปฺปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘นโฎฺฐ วตายํ พาโล, ปุเพฺพ สมณธมฺมํ กโรโนฺต อติอุกฺกฎฺฐภาเวน อรหตาปิ อาภตํ ปิณฺฑปาตํ อปริภุญฺชิตฺวา อิทานิ อุทรตฺถาย อนรหาว อรหตฺตํ ปฎิชานิตฺวา โลกํ วเญฺจโนฺต วิจรติ, ทสพลสฺส จ นิพฺพตฺตภาวํ น ชานาติ, คจฺฉามิ นํ สํเวเชตฺวา ทสพลสฺส นิพฺพตฺตภาวํ ชานาเปมี’’ติ ตํขณํเยว พฺรหฺมโลกโต สุปฺปารกปฎฺฎเน รตฺติภาคสมนนฺตเร ทารุจีริยสฺส สมฺมุเข ปาตุรโหสิฯ

    Atha yo so kassapabuddhakāle sattasu janesu samaṇadhammaṃ karontesu eko bhikkhu suddhāvāsabrahmaloke nibbatto. So nibbattasamanantarameva attano brahmasampattiṃ oloketvā āgataṭṭhānaṃ āvajjento sattannaṃ janānaṃ pabbataṃ āruyha samaṇadhammakaraṇaṭṭhānaṃ disvā sesānaṃ channaṃ nibbattaṭṭhānaṃ āvajjento ekassa parinibbutabhāvaṃ itaresaṃ pañcannaṃ kāmāvacaradevaloke nibbattabhāvaṃ ñatvā kālānukālaṃ te pañca jane āvajjeti . Imasmiṃ pana kāle ‘‘kahaṃ nu kho’’ti āvajjento dārucīriyaṃ suppārakapaṭṭanaṃ upanissāya kuhanakammena jīvikaṃ kappentaṃ disvā ‘‘naṭṭho vatāyaṃ bālo, pubbe samaṇadhammaṃ karonto atiukkaṭṭhabhāvena arahatāpi ābhataṃ piṇḍapātaṃ aparibhuñjitvā idāni udaratthāya anarahāva arahattaṃ paṭijānitvā lokaṃ vañcento vicarati, dasabalassa ca nibbattabhāvaṃ na jānāti, gacchāmi naṃ saṃvejetvā dasabalassa nibbattabhāvaṃ jānāpemī’’ti taṃkhaṇaṃyeva brahmalokato suppārakapaṭṭane rattibhāgasamanantare dārucīriyassa sammukhe pāturahosi.

    โส อตฺตโน วสนฎฺฐาเน โอภาสํ ทิสฺวา พหิ นิกฺขมิตฺวา ฐิโต มหาพฺรหฺมํ โอโลเกตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ‘‘เก ตุเมฺห’’ติ ปุจฺฉิฯ อหํ ตุยฺหํ โปราณกสหาโย อนาคามิผลํ ปตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพโตฺตฯ อมฺหากํ ปน สพฺพเชฎฺฐโก อรหตฺตํ ปตฺวา ปรินิพฺพุโต, ตุเมฺห ปญฺจ ชนา เทวโลเก นิพฺพตฺตาฯ สฺวาหํ ตํ อิมสฺมิํ ฐาเน กุหนกเมฺมน ชีวนฺตํ ทิสฺวา ทเมตุํ อาคโตติ วตฺวา อิทํ การณมาห – ‘‘น โข ตฺวํ, พาหิย อรหา, นปิ อรหตฺตมคฺคํ สมาปโนฺน, สาปิ เต ปฎิปทา นตฺถิ, ยาย ตฺวํ อรหา วา อสฺส อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปโนฺน’’ติฯ อถสฺส สตฺถุ อุปฺปนฺนภาวํ สาวตฺถิยํ วสนภาวญฺจ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘สตฺถุ สนฺติกํ คจฺฉาหี’’ติ ตํ อุโยฺยเชตฺวา พฺรหฺมโลกเมว อคมาสิฯ

    So attano vasanaṭṭhāne obhāsaṃ disvā bahi nikkhamitvā ṭhito mahābrahmaṃ oloketvā añjaliṃ paggayha ‘‘ke tumhe’’ti pucchi. Ahaṃ tuyhaṃ porāṇakasahāyo anāgāmiphalaṃ patvā brahmaloke nibbatto. Amhākaṃ pana sabbajeṭṭhako arahattaṃ patvā parinibbuto, tumhe pañca janā devaloke nibbattā. Svāhaṃ taṃ imasmiṃ ṭhāne kuhanakammena jīvantaṃ disvā dametuṃ āgatoti vatvā idaṃ kāraṇamāha – ‘‘na kho tvaṃ, bāhiya arahā, napi arahattamaggaṃ samāpanno, sāpi te paṭipadā natthi, yāya tvaṃ arahā vā assa arahattamaggaṃ vā samāpanno’’ti. Athassa satthu uppannabhāvaṃ sāvatthiyaṃ vasanabhāvañca ācikkhitvā ‘‘satthu santikaṃ gacchāhī’’ti taṃ uyyojetvā brahmalokameva agamāsi.

    ทารุจีริโย มหาพฺรหฺมุนา สํเวชิโต ‘‘โมกฺขมคฺคํ คเวสิสฺสามี’’ติ วีสโยชนสตํ มคฺคํ เอกรตฺติวาเสน คนฺตฺวา สตฺถารํ ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐํ อนฺตรฆเร สมฺปาปุณิตฺวา สตฺถุ ปาเทสุ นิปติตฺวา ‘‘เทเสตุ เม, ภเนฺต, ภควา ธมฺมํ, เทเสตุ สุคโต ธมฺม’’นฺติ ยาวตติยํ ยาจิฯ สตฺถา ‘‘เอตฺตาวตา พาหิยสฺส ญาณํ ปริปากํ คต’’นฺติ ญตฺวา ‘‘ตสฺมาติห เต, พาหิย, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐมตฺตํ ภวิสฺสตี’’ติ (อุทา. ๑๐) อิมินา โอวาเทน โอวทิ ฯ โสปิ เทสนาปริโยสาเน อนฺตรวีถิยํ ฐิโตว เทสนานุสาเรน ญาณํ เปเสตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ

    Dārucīriyo mahābrahmunā saṃvejito ‘‘mokkhamaggaṃ gavesissāmī’’ti vīsayojanasataṃ maggaṃ ekarattivāsena gantvā satthāraṃ piṇḍāya paviṭṭhaṃ antaraghare sampāpuṇitvā satthu pādesu nipatitvā ‘‘desetu me, bhante, bhagavā dhammaṃ, desetu sugato dhamma’’nti yāvatatiyaṃ yāci. Satthā ‘‘ettāvatā bāhiyassa ñāṇaṃ paripākaṃ gata’’nti ñatvā ‘‘tasmātiha te, bāhiya, evaṃ sikkhitabbaṃ diṭṭhe diṭṭhamattaṃ bhavissatī’’ti (udā. 10) iminā ovādena ovadi . Sopi desanāpariyosāne antaravīthiyaṃ ṭhitova desanānusārena ñāṇaṃ pesetvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi.

    โส อตฺตโน กิจฺจํ มตฺถกปฺปตฺตํ ญตฺวา ภควนฺตํ ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา อปริปุณฺณปตฺตจีวรตาย ปตฺตจีวรํ ปริเยสโนฺต สงฺการฎฺฐานโต โจฬกฺขณฺฑานิ สํกฑฺฒติฯ อถ นํ ปุพฺพเวริโก อมนุโสฺส เอกิสฺสา ตรุณวจฺฉาย คาวิยา สรีเร อธิมุจฺจิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสิฯ สตฺถา สาวตฺถิโต นิกฺขมโนฺต อนฺตรวีถิยํ พาหิยํ สงฺการฎฺฐาเน ปติตํ ทิสฺวา ‘‘คณฺหถ, ภิกฺขเว, พาหิยสฺส ทารุจีริยสฺส สรีร’’นฺติ นีหราเปตฺวา สรีรกิจฺจํ กาเรตฺวา จาตุมหาปเถ เจติยํ การาเปสิฯ ตโต สงฺฆมเชฺฌ กถา อุทปาทิ – ‘‘ตถาคโต ภิกฺขุสเงฺฆน พาหิยสฺส สรีรชฺฌาปนกิจฺจํ กาเรสิ, ธาตุโย คเหตฺวา เจติยํ กาเรสิ, กตรมโคฺค นุ โข เตน สจฺฉิกโต, สามเณโร นุ โข โส, ภิกฺขุ นุ โข’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาทยิํสุ ฯ สตฺถา ตํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา ‘‘ปณฺฑิโต, ภิกฺขเว, พาหิโย’’ติ อุปริ ธมฺมเทสนํ วเฑฺฒตฺวา ตสฺส ปรินิพฺพุตภาวํ ปกาเสสิฯ ปุน สงฺฆมเชฺฌ กถา อุทปาทิ ‘‘น จ สตฺถารา พาหิยสฺส พหุ ธโมฺม เทสิโต, อรหตฺตํ ปโตฺตติ จ วเทติฯ กิํ นาเมต’’นฺติ? สตฺถา ‘‘ธโมฺม มโนฺท พหูติ อการณํ, วิสปีตกสฺส อคโท วิย เจโส’’ติ วตฺวา ธมฺมปเท คาถมาห –

    So attano kiccaṃ matthakappattaṃ ñatvā bhagavantaṃ pabbajjaṃ yācitvā aparipuṇṇapattacīvaratāya pattacīvaraṃ pariyesanto saṅkāraṭṭhānato coḷakkhaṇḍāni saṃkaḍḍhati. Atha naṃ pubbaveriko amanusso ekissā taruṇavacchāya gāviyā sarīre adhimuccitvā jīvitakkhayaṃ pāpesi. Satthā sāvatthito nikkhamanto antaravīthiyaṃ bāhiyaṃ saṅkāraṭṭhāne patitaṃ disvā ‘‘gaṇhatha, bhikkhave, bāhiyassa dārucīriyassa sarīra’’nti nīharāpetvā sarīrakiccaṃ kāretvā cātumahāpathe cetiyaṃ kārāpesi. Tato saṅghamajjhe kathā udapādi – ‘‘tathāgato bhikkhusaṅghena bāhiyassa sarīrajjhāpanakiccaṃ kāresi, dhātuyo gahetvā cetiyaṃ kāresi, kataramaggo nu kho tena sacchikato, sāmaṇero nu kho so, bhikkhu nu kho’’ti cittaṃ uppādayiṃsu . Satthā taṃ aṭṭhuppattiṃ katvā ‘‘paṇḍito, bhikkhave, bāhiyo’’ti upari dhammadesanaṃ vaḍḍhetvā tassa parinibbutabhāvaṃ pakāsesi. Puna saṅghamajjhe kathā udapādi ‘‘na ca satthārā bāhiyassa bahu dhammo desito, arahattaṃ pattoti ca vadeti. Kiṃ nāmeta’’nti? Satthā ‘‘dhammo mando bahūti akāraṇaṃ, visapītakassa agado viya ceso’’ti vatvā dhammapade gāthamāha –

    ‘‘สหสฺสมปิ เจ คาถา, อนตฺถปทสํหิตา;

    ‘‘Sahassamapi ce gāthā, anatthapadasaṃhitā;

    เอกํ คาถาปทํ เสโยฺย, ยํ สุตฺวา อุปสมฺมตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๐๐);

    Ekaṃ gāthāpadaṃ seyyo, yaṃ sutvā upasammatī’’ti. (dha. pa. 100);

    เทสนาปริโยสาเน จตุราสีติ ปาณสหสฺสานิ อมตปานํ ปิวิํสุฯ อิทญฺจ ปน พาหิยเตฺถรสฺส วตฺถุ สุเตฺต (อุทา. ๑๐) อาคตตฺตา วิตฺถาเรน น กถิตํฯ อปรภาเค ปน สตฺถา สงฺฆมเชฺฌ นิสิโนฺน พาหิยเตฺถรํ ขิปฺปาภิญฺญานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Desanāpariyosāne caturāsīti pāṇasahassāni amatapānaṃ piviṃsu. Idañca pana bāhiyattherassa vatthu sutte (udā. 10) āgatattā vitthārena na kathitaṃ. Aparabhāge pana satthā saṅghamajjhe nisinno bāhiyattheraṃ khippābhiññānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    กุมารกสฺสปเตฺถรวตฺถุ

    Kumārakassapattheravatthu

    ๒๑๗. นวเม จิตฺตกถิกานนฺติ วิจิตฺตํ กตฺวา ธมฺมํ กเถนฺตานํฯ เถโร กิร เอกสฺสปิ ทฺวินฺนมฺปิ ธมฺมํ กเถโนฺต พหูหิ อุปมาหิ จ การเณหิ จ มณฺฑยิตฺวา โพเธโนฺต กเถติฯ ตสฺมา จิตฺตกถิกานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    217. Navame cittakathikānanti vicittaṃ katvā dhammaṃ kathentānaṃ. Thero kira ekassapi dvinnampi dhammaṃ kathento bahūhi upamāhi ca kāraṇehi ca maṇḍayitvā bodhento katheti. Tasmā cittakathikānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา วยปฺปโตฺต ทสพลสฺส ธมฺมกถํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ จิตฺตกถิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต กสฺสปพุทฺธสาสโนสกฺกนกาเล สตฺตนฺนํ ภิกฺขูนํ อพฺภนฺตโร หุตฺวา ปพฺพตมตฺถเก สมณธมฺมํ กตฺวา อปริหีนสีโล ตโต จุโต เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา เอกํ พุทฺธนฺตรํ สมฺปตฺติํ อนุภวมาโน อมฺหากํ สตฺถุ กาเล ราชคเห เอกิสฺสา กุลทาริกาย กุจฺฉิมฺหิ อุปฺปโนฺนฯ สา จ ปฐมํ มาตาปิตโร ยาจิตฺวา ปพฺพชฺชํ อลภมานา กุลฆรํ คตา คพฺภํ คณฺหิฯ ตมฺปิ อชานนฺตี สามิกํ อาราเธตฺวา เตน อนุญฺญาตา ภิกฺขุนีสุ ปพฺพชิตาฯ ตสฺสา คพฺภนิมิตฺตํ ทิสฺวา ภิกฺขุนิโย เทวทตฺตํ ปุจฺฉิํสุ, โส ‘‘อสฺสมณี’’ติ อาหฯ ทสพลํ ปุจฺฉิํสุ, สตฺถา อุปาลิเตฺถรํ ปฎิจฺฉาเปสิฯ เถโร สาวตฺถินครวาสีนิ กุลานิ วิสาขญฺจ อุปาสิกํ ปโกฺกสาเปตฺวา โสเธโนฺต ‘‘ปุเร ลโทฺธ คโพฺภ, ปพฺพชฺชา อโรคา’’ติ อาหฯ สตฺถา ‘‘สุวินิจฺฉิตํ อธิกรณ’’นฺติ เถรสฺส สาธุการํ อทาสิฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare kulagehe paṭisandhiṃ gaṇhitvā vayappatto dasabalassa dhammakathaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ cittakathikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthetvā devamanussesu saṃsaranto kassapabuddhasāsanosakkanakāle sattannaṃ bhikkhūnaṃ abbhantaro hutvā pabbatamatthake samaṇadhammaṃ katvā aparihīnasīlo tato cuto devaloke nibbattitvā ekaṃ buddhantaraṃ sampattiṃ anubhavamāno amhākaṃ satthu kāle rājagahe ekissā kuladārikāya kucchimhi uppanno. Sā ca paṭhamaṃ mātāpitaro yācitvā pabbajjaṃ alabhamānā kulagharaṃ gatā gabbhaṃ gaṇhi. Tampi ajānantī sāmikaṃ ārādhetvā tena anuññātā bhikkhunīsu pabbajitā. Tassā gabbhanimittaṃ disvā bhikkhuniyo devadattaṃ pucchiṃsu, so ‘‘assamaṇī’’ti āha. Dasabalaṃ pucchiṃsu, satthā upālittheraṃ paṭicchāpesi. Thero sāvatthinagaravāsīni kulāni visākhañca upāsikaṃ pakkosāpetvā sodhento ‘‘pure laddho gabbho, pabbajjā arogā’’ti āha. Satthā ‘‘suvinicchitaṃ adhikaraṇa’’nti therassa sādhukāraṃ adāsi.

    สา ภิกฺขุนี สุวณฺณพิมฺพสทิสํ ปุตฺตํ วิชายิฯ ตํ คเหตฺวา ราชา ปเสนทิโกสโล โปสาเปสิ, กสฺสโปติ จสฺส นามํ กตฺวา อปรภาเค อลงฺกริตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ เนตฺวา ปพฺพาเชสิฯ กุมารกาเล ปน ปพฺพชิตตฺตา ภควตา ‘‘กสฺสปํ ปโกฺกสถ, อิทํ ผลํ วา ขาทนียํ วา กสฺสปสฺส เทถา’’ติ วุเตฺต ‘‘กตรกสฺสปสฺสาติฯ กุมารกสฺสปสฺสา’’ติ เอวํ คหิตนามตฺตา ตโต ปฎฺฐาย วุฑฺฒกาเลปิ กุมารกสฺสโปเตฺวว วุจฺจติฯ อปิจ รโญฺญ โปสาวนิกปุตฺตตฺตาปิ กุมารกสฺสโปติ ตํ สญฺชานิํสุฯ

    Sā bhikkhunī suvaṇṇabimbasadisaṃ puttaṃ vijāyi. Taṃ gahetvā rājā pasenadikosalo posāpesi, kassapoti cassa nāmaṃ katvā aparabhāge alaṅkaritvā satthu santikaṃ netvā pabbājesi. Kumārakāle pana pabbajitattā bhagavatā ‘‘kassapaṃ pakkosatha, idaṃ phalaṃ vā khādanīyaṃ vā kassapassa dethā’’ti vutte ‘‘katarakassapassāti. Kumārakassapassā’’ti evaṃ gahitanāmattā tato paṭṭhāya vuḍḍhakālepi kumārakassapotveva vuccati. Apica rañño posāvanikaputtattāpi kumārakassapoti taṃ sañjāniṃsu.

    โส ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย วิปสฺสนาย เจว กมฺมํ กโรติ, พุทฺธวจนญฺจ คณฺหาติฯ อถ โส เตน สทฺธิํ ปพฺพตมตฺถเก สมณธมฺมํ กตฺวา อนาคามิผลํ ปตฺวา สุทฺธาวาเส นิพฺพโตฺต มหาพฺรหฺมา ตสฺมิํ สมเย อาวเชฺชโนฺต กุมารกสฺสปํ ทิสฺวา ‘‘สหายโก เม วิปสฺสนาย กิลมติ, คนฺตฺวา ตสฺส วิปสฺสนาย นยมุขํ ทเสฺสตฺวา มคฺคผลปตฺติยา อุปายํ กริสฺสามี’’ติ พฺรหฺมโลเก ฐิโตว ปญฺจทส ปเญฺห อภิสงฺขริตฺวา รตฺติภาคสมนนฺตเร กุมารกสฺสปเตฺถรสฺส วสนฎฺฐาเน อนฺธวเน ปาตุรโหสิฯ เถโร อาโลกํ ทิสฺวา ‘‘โก เอตฺถา’’ติ อาหฯ ‘‘อหํ ปุเพฺพ ตยา สทฺธิํ สมณธมฺมํ กตฺวา อนาคามิผลํ ปตฺวา สุทฺธาวาเส นิพฺพตฺตพฺรหฺมา’’ติ อาหฯ เกน กเมฺมน อาคตตฺถาติ? มหาพฺรหฺมา อตฺตโน อาคตการณํ ทีเปตุํ เต ปเญฺห อาจิกฺขิตฺวา ‘‘ตฺวํ อิเม ปเญฺห อุคฺคณฺหิตฺวา อรุเณ อุฎฺฐิเต ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉ, ฐเปตฺวา หิ ตถาคตํ อโญฺญ อิเม ปเญฺห กเถตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถี’’ติ วตฺวา พฺรหฺมโลกเมว คโตฯ

    So pabbajitakālato paṭṭhāya vipassanāya ceva kammaṃ karoti, buddhavacanañca gaṇhāti. Atha so tena saddhiṃ pabbatamatthake samaṇadhammaṃ katvā anāgāmiphalaṃ patvā suddhāvāse nibbatto mahābrahmā tasmiṃ samaye āvajjento kumārakassapaṃ disvā ‘‘sahāyako me vipassanāya kilamati, gantvā tassa vipassanāya nayamukhaṃ dassetvā maggaphalapattiyā upāyaṃ karissāmī’’ti brahmaloke ṭhitova pañcadasa pañhe abhisaṅkharitvā rattibhāgasamanantare kumārakassapattherassa vasanaṭṭhāne andhavane pāturahosi. Thero ālokaṃ disvā ‘‘ko etthā’’ti āha. ‘‘Ahaṃ pubbe tayā saddhiṃ samaṇadhammaṃ katvā anāgāmiphalaṃ patvā suddhāvāse nibbattabrahmā’’ti āha. Kena kammena āgatatthāti? Mahābrahmā attano āgatakāraṇaṃ dīpetuṃ te pañhe ācikkhitvā ‘‘tvaṃ ime pañhe uggaṇhitvā aruṇe uṭṭhite tathāgataṃ upasaṅkamitvā puccha, ṭhapetvā hi tathāgataṃ añño ime pañhe kathetuṃ samattho nāma natthī’’ti vatvā brahmalokameva gato.

    เถโรปิ ปุนทิวเส สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา มหาพฺรหฺมุนา กถิตนิยาเมเนว ปเญฺห ปุจฺฉิฯ สตฺถา กุมารกสฺสปเตฺถรสฺส อรหตฺตํ ปาเปตฺวา ปเญฺห กเถสิฯ เถโร สตฺถารา กถิตนิยาเมเนว อุคฺคณฺหิตฺวา อนฺธวนํ คนฺตฺวา วิปสฺสนํ คพฺภํ คาหาเปตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ตโต ปฎฺฐาย จตุนฺนํ ปริสานํ ธมฺมกถํ กเถโนฺต พหุกาหิ อุปมาหิ จ การเณหิ จ มเณฺฑตฺวา จิตฺตกถเมว กเถติฯ อถ นํ สตฺถา ปายาสิรโญฺญ ปญฺจทสหิ ปเญฺหหิ ปฎิมเณฺฑตฺวา สุตฺตเนฺต (ที. นิ. ๒.๔๐๖ อาทโย) เทสิเต ตํ สุตฺตนฺตํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา อิมสฺมิํ สาสเน จิตฺตกถิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Theropi punadivase satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā mahābrahmunā kathitaniyāmeneva pañhe pucchi. Satthā kumārakassapattherassa arahattaṃ pāpetvā pañhe kathesi. Thero satthārā kathitaniyāmeneva uggaṇhitvā andhavanaṃ gantvā vipassanaṃ gabbhaṃ gāhāpetvā arahattaṃ pāpuṇi. Tato paṭṭhāya catunnaṃ parisānaṃ dhammakathaṃ kathento bahukāhi upamāhi ca kāraṇehi ca maṇḍetvā cittakathameva katheti. Atha naṃ satthā pāyāsirañño pañcadasahi pañhehi paṭimaṇḍetvā suttante (dī. ni. 2.406 ādayo) desite taṃ suttantaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā imasmiṃ sāsane cittakathikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    มหาโกฎฺฐิตเตฺถรวตฺถุ

    Mahākoṭṭhitattheravatthu

    ๒๑๘. ทสเม ปฎิสมฺภิทาปตฺตานนฺติ จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา ปตฺวา ฐิตานํ มหาโกฎฺฐิตเตฺถโร อโคฺคติ ทเสฺสติฯ อยํ หิ เถโร อตฺตโน ปฎิสมฺภิทาสุ จิณฺณวสิภาเวน อภิญฺญาเต อภิญฺญาเต มหาสาวเก อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉโนฺตปิ ทสพลํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉโนฺตปิ ปฎิสมฺภิทาสุเยว ปญฺหํ ปุจฺฉติฯ อิติ อิมินา จิณฺณวสิภาเวน ปฎิสมฺภิทาปตฺตานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    218. Dasame paṭisambhidāpattānanti catasso paṭisambhidā patvā ṭhitānaṃ mahākoṭṭhitatthero aggoti dasseti. Ayaṃ hi thero attano paṭisambhidāsu ciṇṇavasibhāvena abhiññāte abhiññāte mahāsāvake upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchantopi dasabalaṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchantopi paṭisambhidāsuyeva pañhaṃ pucchati. Iti iminā ciṇṇavasibhāvena paṭisambhidāpattānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร มหาโภคกุเล นิพฺพโตฺต อปเรน สมเยน สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ปฎิสมฺภิทาปตฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติฯ โกฎฺฐิตมาณโวติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตโย เวเท อุคฺคณฺหิตฺวา เอกทิวสํ สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิฯ โส อุปสมฺปนฺนกาลโต ปฎฺฐาย วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺวา นิจฺจกาลํ ปฎิสมฺภิทาสุ จิณฺณวสี หุตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉโนฺต ปฎิสมฺภิทาสุเยว ปุจฺฉติฯ อถ นํ สตฺถา อปรภาเค มหาเวทลฺลสุตฺตํ (ม. นิ. ๑.๔๔๙ อาทโย) อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา ปฎิสมฺภิทาปตฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare mahābhogakule nibbatto aparena samayena satthu dhammakathaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ paṭisambhidāpattānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ brāhmaṇakule nibbatti. Koṭṭhitamāṇavotissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto tayo vede uggaṇhitvā ekadivasaṃ satthu dhammakathaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbaji. So upasampannakālato paṭṭhāya vipassanāya kammaṃ karonto saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patvā niccakālaṃ paṭisambhidāsu ciṇṇavasī hutvā pañhaṃ pucchanto paṭisambhidāsuyeva pucchati. Atha naṃ satthā aparabhāge mahāvedallasuttaṃ (ma. ni. 1.449 ādayo) aṭṭhuppattiṃ katvā paṭisambhidāpattānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ตติยวคฺควณฺณนาฯ

    Tatiyavaggavaṇṇanā.

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๔. จตุตฺถเอตทคฺควโคฺค

    (14) 4. Catutthaetadaggavaggo

    อานนฺทเตฺถรวตฺถุ

    Ānandattheravatthu

    ๒๑๙-๒๒๓. จตุตฺถสฺส ปฐเม พหุสฺสุตานนฺติอาทีสุ อเญฺญปิ เถรา พหุสฺสุตา สติมนฺตา คติมนฺตา ธิติมนฺตา อุปฎฺฐากา จ อตฺถิฯ อยํ ปนายสฺมา พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหโนฺต ทสพลสฺส สาสเน ภณฺฑาคาริกปริยตฺติยํ ฐตฺวา คณฺหิฯ ตสฺมา พหุสฺสุตานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ อิมเสฺสว จ เถรสฺส พุทฺธวจนํ คเหตฺวา ธารณกสติ อเญฺญหิ เถเรหิ พลวตรา อโหสิ, ตสฺมา สติมนฺตานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ อยเมว จายสฺมา เอกปเท ฐตฺวา สฎฺฐิ ปทสหสฺสานิ คณฺหโนฺต สตฺถารา กถิตนิยาเมเนว สพฺพปทานิ ชานาติ, ตสฺมา คติมนฺตานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ ตเสฺสว จายสฺมโต พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหนวีริยํ สชฺฌายนวีริยญฺจ ธารณวีริยญฺจ สตฺถุ อุปฎฺฐานวีริยญฺจ อเญฺญหิ อสทิสํ อโหสิ, ตสฺมา ธิติมนฺตานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ ตถาคตํ อุปฎฺฐหโนฺต เจส น อเญฺญสํ อุปฎฺฐากภิกฺขูนํ อุปฎฺฐานากาเรน อุปฎฺฐหิ, อเญฺญ หิ ตถาคตํ อุปฎฺฐหนฺตา น จิรํ อุปฎฺฐหิํสุ, น จ พุทฺธานํ มนํ คเหตฺวา อุปฎฺฐหิํสุฯ อยํ เถโร ปน อุปฎฺฐากฎฺฐานํ ลทฺธทิวสโต ปฎฺฐาย อารทฺธวีริโย หุตฺวา ตถาคตสฺส มนํ คเหตฺวา อุปฎฺฐหิฯ ตสฺมา อุปฎฺฐากานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    219-223. Catutthassa paṭhame bahussutānantiādīsu aññepi therā bahussutā satimantā gatimantā dhitimantā upaṭṭhākā ca atthi. Ayaṃ panāyasmā buddhavacanaṃ uggaṇhanto dasabalassa sāsane bhaṇḍāgārikapariyattiyaṃ ṭhatvā gaṇhi. Tasmā bahussutānaṃ aggo nāma jāto. Imasseva ca therassa buddhavacanaṃ gahetvā dhāraṇakasati aññehi therehi balavatarā ahosi, tasmā satimantānaṃ aggo nāma jāto. Ayameva cāyasmā ekapade ṭhatvā saṭṭhi padasahassāni gaṇhanto satthārā kathitaniyāmeneva sabbapadāni jānāti, tasmā gatimantānaṃ aggo nāma jāto. Tasseva cāyasmato buddhavacanaṃ uggaṇhanavīriyaṃ sajjhāyanavīriyañca dhāraṇavīriyañca satthu upaṭṭhānavīriyañca aññehi asadisaṃ ahosi, tasmā dhitimantānaṃ aggo nāma jāto. Tathāgataṃ upaṭṭhahanto cesa na aññesaṃ upaṭṭhākabhikkhūnaṃ upaṭṭhānākārena upaṭṭhahi, aññe hi tathāgataṃ upaṭṭhahantā na ciraṃ upaṭṭhahiṃsu, na ca buddhānaṃ manaṃ gahetvā upaṭṭhahiṃsu. Ayaṃ thero pana upaṭṭhākaṭṭhānaṃ laddhadivasato paṭṭhāya āraddhavīriyo hutvā tathāgatassa manaṃ gahetvā upaṭṭhahi. Tasmā upaṭṭhākānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อิโต กิร สตสหสฺสมตฺถเก กเปฺป ปทุมุตฺตโร นาม สตฺถา โลเก อุปฺปชฺชิฯ ตสฺส หํสวตี นาม นครํ อโหสิ, นโนฺท นาม ราชา ปิตา, สุเมธา นาม เทวี มาตา, โพธิสโตฺต อุตฺตรกุมาโร นาม อโหสิฯ โส ปุตฺตสฺส ชาตทิวเส มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมฺม ปพฺพชิตฺวา ปธานมนุยุโตฺต อนุกฺกเมน สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา ‘‘อเนกชาติสํสาร’’นฺติ อุทานํ อุทาเนตฺวา สตฺตาหํ โพธิปลฺลเงฺก วีตินาเมตฺวา ‘‘ปถวิยํ ฐเปสฺสามี’’ติ ปาทํ อภินีหริฯ อถ ปถวิํ ภินฺทิตฺวา เหฎฺฐา วุตฺตปฺปมาณํ ปทุมํ อุฎฺฐาสิฯ ตทุปาทาย ภควา ปทุมุตฺตโรเตว ปญฺญายิตฺถฯ ตสฺส เทวโล จ สุชาโต จ เทฺว อคฺคสาวกา อเหสุํ , อมิตา จ อสมา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, สุมโน นาม อุปฎฺฐาโกฯ ปทุมุตฺตโร ภควา ปิตุ สงฺคหํ กุรุมาโน ภิกฺขุสตสหสฺสปริวาโร หํสวติยา ราชธานิยา วสติฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ito kira satasahassamatthake kappe padumuttaro nāma satthā loke uppajji. Tassa haṃsavatī nāma nagaraṃ ahosi, nando nāma rājā pitā, sumedhā nāma devī mātā, bodhisatto uttarakumāro nāma ahosi. So puttassa jātadivase mahābhinikkhamanaṃ nikkhamma pabbajitvā padhānamanuyutto anukkamena sabbaññutaṃ patvā ‘‘anekajātisaṃsāra’’nti udānaṃ udānetvā sattāhaṃ bodhipallaṅke vītināmetvā ‘‘pathaviyaṃ ṭhapessāmī’’ti pādaṃ abhinīhari. Atha pathaviṃ bhinditvā heṭṭhā vuttappamāṇaṃ padumaṃ uṭṭhāsi. Tadupādāya bhagavā padumuttaroteva paññāyittha. Tassa devalo ca sujāto ca dve aggasāvakā ahesuṃ , amitā ca asamā ca dve aggasāvikā, sumano nāma upaṭṭhāko. Padumuttaro bhagavā pitu saṅgahaṃ kurumāno bhikkhusatasahassaparivāro haṃsavatiyā rājadhāniyā vasati.

    กนิฎฺฐภาตา ปนสฺส สุมนกุมาโร นามฯ ตสฺส ราชา หํสวติโต วีสโยชนสเต โภคคามํ อทาสิฯ โส กทาจิ กทาจิ อาคนฺตฺวา ปิตรญฺจ สตฺถารญฺจ ปสฺสติฯ อเถกทิวสํ ปจฺจโนฺต กุปิโต สุมโน รโญฺญ เปเสสิฯ ราชา ‘‘ตฺวํ มยา ตตฺถ กสฺมา ฐปิโต’’ติ ปฎิเปเสสิฯ โส โจเร วูปสเมตฺวา ‘‘อุปสโนฺต, เทว, ชนปโท’’ติ รโญฺญ เปเสสิฯ ราชา ตุโฎฺฐ ‘‘สีฆํ มม ปุโตฺต อาคจฺฉตู’’ติ อาหฯ ตสฺส สหสฺสมตฺตา อมจฺจา โหนฺติฯ โส เตหิ สทฺธิํ อนฺตรามเคฺค มเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ ปิตา ตุโฎฺฐ สเจ เม วรํ เทติ, กิํ คณฺหามี’’ติ? อถ นํ เอกเจฺจ ‘‘หตฺถิํ คณฺหถ, อสฺสํ คณฺหถ, ชนปทํ คณฺหถ, สตฺต รตนานิ คณฺหถา’’ติ อาหํสุฯ อปเร ‘‘ตุเมฺห ปถวิสฺสรสฺส ปุตฺตา, น ตุมฺหากํ ธนํ ทุลฺลภํ, ลทฺธมฺปิ เจตํ สพฺพํ ปหาย คมนียํ, ปุญฺญเมว เอกํ อาทาย คมนียํฯ ตสฺมา เทเว วรํ ททมาเน เตมาสํ ปทุมุตฺตรภควนฺตํ อุปฎฺฐาตุํ วรํ คณฺหถา’’ติ อาหํสุฯ โส ‘‘ตุเมฺห มยฺหํ กลฺยาณมิตฺตา, น เมตํ จิตฺตํ อตฺถิ, ตุเมฺหหิ ปน อุปฺปาทิตํ, เอวํ กริสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา ปิตรํ วนฺทิตฺวา ปิตรา อาลิเงฺคตฺวา มตฺถเก จุเมฺพตฺวา ‘‘วรํ เต ปุตฺต เทมี’’ติ วุเตฺต ‘‘อิจฺฉามหํ, มหาราช, ภควนฺตํ เตมาสํ จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหโนฺต ชีวิตํ อวญฺฌํ กาตุํ, อิมํ เม เทว วรํ เทหี’’ติ อาหฯ น สกฺกา, ตาต, อญฺญํ วเรหีติฯ เทว, ขตฺติยานํ นาม เทฺว กถา นตฺถิ, เอตเทว เม วรํ เทหิ, น มม อเญฺญน อโตฺถติฯ ตาต, พุทฺธานํ นาม จิตฺตํ ทุชฺชานํ, สเจ ภควา น อิจฺฉิสฺสติ, มยา ทิเนฺนปิ กิํ ภวิสฺสตีติ? ‘‘สาธุ, เทว, อหํ ภควโต จิตฺตํ ชานิสฺสามี’’ติ วิหารํ คโตฯ

    Kaniṭṭhabhātā panassa sumanakumāro nāma. Tassa rājā haṃsavatito vīsayojanasate bhogagāmaṃ adāsi. So kadāci kadāci āgantvā pitarañca satthārañca passati. Athekadivasaṃ paccanto kupito sumano rañño pesesi. Rājā ‘‘tvaṃ mayā tattha kasmā ṭhapito’’ti paṭipesesi. So core vūpasametvā ‘‘upasanto, deva, janapado’’ti rañño pesesi. Rājā tuṭṭho ‘‘sīghaṃ mama putto āgacchatū’’ti āha. Tassa sahassamattā amaccā honti. So tehi saddhiṃ antarāmagge mantesi – ‘‘mayhaṃ pitā tuṭṭho sace me varaṃ deti, kiṃ gaṇhāmī’’ti? Atha naṃ ekacce ‘‘hatthiṃ gaṇhatha, assaṃ gaṇhatha, janapadaṃ gaṇhatha, satta ratanāni gaṇhathā’’ti āhaṃsu. Apare ‘‘tumhe pathavissarassa puttā, na tumhākaṃ dhanaṃ dullabhaṃ, laddhampi cetaṃ sabbaṃ pahāya gamanīyaṃ, puññameva ekaṃ ādāya gamanīyaṃ. Tasmā deve varaṃ dadamāne temāsaṃ padumuttarabhagavantaṃ upaṭṭhātuṃ varaṃ gaṇhathā’’ti āhaṃsu. So ‘‘tumhe mayhaṃ kalyāṇamittā, na metaṃ cittaṃ atthi, tumhehi pana uppāditaṃ, evaṃ karissāmī’’ti gantvā pitaraṃ vanditvā pitarā āliṅgetvā matthake cumbetvā ‘‘varaṃ te putta demī’’ti vutte ‘‘icchāmahaṃ, mahārāja, bhagavantaṃ temāsaṃ catūhi paccayehi upaṭṭhahanto jīvitaṃ avañjhaṃ kātuṃ, imaṃ me deva varaṃ dehī’’ti āha. Na sakkā, tāta, aññaṃ varehīti. Deva, khattiyānaṃ nāma dve kathā natthi, etadeva me varaṃ dehi, na mama aññena atthoti. Tāta, buddhānaṃ nāma cittaṃ dujjānaṃ, sace bhagavā na icchissati, mayā dinnepi kiṃ bhavissatīti? ‘‘Sādhu, deva, ahaṃ bhagavato cittaṃ jānissāmī’’ti vihāraṃ gato.

    เตน จ สมเยน ภตฺตกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา ภควา คนฺธกุฎิํ ปวิโฎฺฐ โหติ, โส มณฺฑลมาเฬ สนฺนิปติตานํ ภิกฺขูนํ สนฺติกํ อคมาสิฯ เต นํ อาหํสุ – ‘‘ราชปุตฺต, กสฺมา อาคโตสี’’ติ? ภควนฺตํ ทสฺสนาย, ทเสฺสถ เม ภควนฺตนฺติฯ น มยํ, ราชปุตฺต, อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ สตฺถารํ ทฎฺฐุํ ลภามาติฯ โก ปน, ภเนฺต, ลภตีติ? สุมนเตฺถโร นาม ราชปุตฺตาติฯ โส ‘‘กุหิํ, ภเนฺต, เถโร’’ติ? เถรสฺส นิสินฺนฎฺฐานํ ปุจฺฉิตฺวา คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘อิจฺฉามหํ, ภเนฺต, ภควนฺตํ ปสฺสิตุํ, ทเสฺสถ เม ภควนฺต’’นฺติ อาหฯ เถโร ปสฺสนฺตเสฺสว ราชกุมารสฺส อาโปกสิณชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา มหาปถวิํ อุทกํ อธิฎฺฐาย ปถวิยํ นิมุชฺชิตฺวา สตฺถุ คนฺธกุฎิยํเยว ปาตุรโหสิฯ อถ นํ ภควา ‘‘สุมน กสฺมา อาคโตสี’’ติ อาหฯ ราชปุโตฺต, ภเนฺต, ภควนฺตํ ทสฺสนาย อาคโตติฯ เตน หิ ภิกฺขุ อาสนํ ปญฺญาเปหีติฯ ปุน เถโร ปสฺสนฺตเสฺสว ราชกุมารสฺส พุทฺธาสนํ คเหตฺวา อโนฺตคนฺธกุฎิยํ นิมุชฺชิตฺวา พหิปริเวเณ ปาตุภวิตฺวา ปริเวเณ อาสนํ ปญฺญาเปสิฯ ราชกุมาโร อิมานิ เทฺว อจฺฉริยาการานิ ทิสฺวา ‘‘มหโนฺต วตายํ ภิกฺขู’’ติ จิเนฺตสิฯ

    Tena ca samayena bhattakiccaṃ niṭṭhāpetvā bhagavā gandhakuṭiṃ paviṭṭho hoti, so maṇḍalamāḷe sannipatitānaṃ bhikkhūnaṃ santikaṃ agamāsi. Te naṃ āhaṃsu – ‘‘rājaputta, kasmā āgatosī’’ti? Bhagavantaṃ dassanāya, dassetha me bhagavantanti. Na mayaṃ, rājaputta, icchiticchitakkhaṇe satthāraṃ daṭṭhuṃ labhāmāti. Ko pana, bhante, labhatīti? Sumanatthero nāma rājaputtāti. So ‘‘kuhiṃ, bhante, thero’’ti? Therassa nisinnaṭṭhānaṃ pucchitvā gantvā vanditvā ‘‘icchāmahaṃ, bhante, bhagavantaṃ passituṃ, dassetha me bhagavanta’’nti āha. Thero passantasseva rājakumārassa āpokasiṇajjhānaṃ samāpajjitvā mahāpathaviṃ udakaṃ adhiṭṭhāya pathaviyaṃ nimujjitvā satthu gandhakuṭiyaṃyeva pāturahosi. Atha naṃ bhagavā ‘‘sumana kasmā āgatosī’’ti āha. Rājaputto, bhante, bhagavantaṃ dassanāya āgatoti. Tena hi bhikkhu āsanaṃ paññāpehīti. Puna thero passantasseva rājakumārassa buddhāsanaṃ gahetvā antogandhakuṭiyaṃ nimujjitvā bahipariveṇe pātubhavitvā pariveṇe āsanaṃ paññāpesi. Rājakumāro imāni dve acchariyākārāni disvā ‘‘mahanto vatāyaṃ bhikkhū’’ti cintesi.

    ภควาปิ คนฺธกุฎิโต นิกฺขมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ ราชปุโตฺต ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปฎิสนฺถารํ อกาสิฯ ‘‘กทา อาคโตสิ ราชปุตฺตา’’ติ วุเตฺต, ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺหสุ คนฺธกุฎิํ ปวิเฎฺฐสุ, ภิกฺขู ปน ‘น มยํ อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ ภควนฺตํ ทฎฺฐุํ ลภามา’ติ มํ เถรสฺส สนฺติกํ ปาเหสุํฯ เถโร ปน เอกวจเนเนว ทเสฺสติ, เถโร, ภเนฺต, ตุมฺหากํ สาสเน วลฺลโภ มเญฺญ’’ติฯ อาม ราชกุมาร, วลฺลโภ เอส ภิกฺขุ มยฺหํ สาสเนติฯ ภเนฺต, พุทฺธานํ สาสเน กิํ กตฺวา วลฺลภา โหนฺตีติ? ทานํ ทตฺวา สีลํ สมาทิยิตฺวา อุโปสถกมฺมํ กตฺวา กุมาราติฯ ภควา อหํ เถโร วิย พุทฺธสาสเน วลฺลโภ โหตุกาโม, เสฺว มยฺหํ ภิกฺขํ อธิวาเสถาติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวน ฯ ราชกุมาโร อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา สพฺพรตฺติํ มหาสกฺการํ สเชฺชตฺวา สตฺต ทิวสานิ ขนฺธาวารภตฺตํ นาม อทาสิฯ

    Bhagavāpi gandhakuṭito nikkhamitvā paññatte āsane nisīdi. Rājaputto bhagavantaṃ vanditvā paṭisanthāraṃ akāsi. ‘‘Kadā āgatosi rājaputtā’’ti vutte, ‘‘bhante, tumhesu gandhakuṭiṃ paviṭṭhesu, bhikkhū pana ‘na mayaṃ icchiticchitakkhaṇe bhagavantaṃ daṭṭhuṃ labhāmā’ti maṃ therassa santikaṃ pāhesuṃ. Thero pana ekavacaneneva dasseti, thero, bhante, tumhākaṃ sāsane vallabho maññe’’ti. Āma rājakumāra, vallabho esa bhikkhu mayhaṃ sāsaneti. Bhante, buddhānaṃ sāsane kiṃ katvā vallabhā hontīti? Dānaṃ datvā sīlaṃ samādiyitvā uposathakammaṃ katvā kumārāti. Bhagavā ahaṃ thero viya buddhasāsane vallabho hotukāmo, sve mayhaṃ bhikkhaṃ adhivāsethāti. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvena . Rājakumāro attano vasanaṭṭhānaṃ gantvā sabbarattiṃ mahāsakkāraṃ sajjetvā satta divasāni khandhāvārabhattaṃ nāma adāsi.

    สตฺตเม ทิวเส สตฺถารํ วนฺทิตฺวา, ภเนฺต, มยา ปิตุ สนฺติกา เตมาสํ อโนฺตวสฺสํ ตุมฺหากํ ปฎิชคฺคนวโร ลโทฺธ, เตมาสํ เม วสฺสาวาสํ อธิวาเสถาติฯ ภควา ‘‘อตฺถิ นุ โข ตตฺถ คเตน อโตฺถ’’ติ โอโลเกตฺวา ‘‘อตฺถี’’ติ ทิสฺวา ‘‘สุญฺญาคาเร โข, ราชกุมาร, ตถาคตา อภิรมนฺตี’’ติ อาหฯ กุมาโร ‘‘อญฺญาตํ ภควา อญฺญาตํ สุคตา’’ติ วตฺวา ‘‘อหํ, ภเนฺต, ปุริมตรํ คนฺตฺวา วิหารํ กาเรมิ, มยา เปสิเต ภิกฺขุสตสหเสฺสน สทฺธิํ อาคจฺฉถา’’ติ ภควนฺตํ ปฎิญฺญํ คาหาเปตฺวา ปิตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ทินฺนา เม, เทว, ภควตา ปฎิญฺญา, มยา ปหิเต ภควนฺตํ เปเสยฺยถา’’ติ วตฺวา ปิตรํ วนฺทิตฺวา นิกฺขมิตฺวา โยชเน โยชเน วิหารํ กาเรโนฺต วีสโยชนสตํ อทฺธานํ คโตฯ คนฺตฺวา จ อตฺตโน นคเร วิหารฎฺฐานํ วิจินโนฺต โสภนนามสฺส กุฎุมฺพิกสฺส อุยฺยานํ ทิสฺวา สตสหเสฺสน กิณิตฺวา สตสหสฺสํ วิสฺสเชฺชตฺวา วิหารํ กาเรสิฯ ตตฺถ ภควโต คนฺธกุฎิํ เสสภิกฺขูนญฺจ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานตฺถาย กุฎิเลณมณฺฑเป กาเรตฺวา ปาการปริเกฺขปํ ทฺวารโกฎฺฐกญฺจ นิฎฺฐาเปตฺวา ปิตุ สนฺติกํ เปเสสิ – ‘‘นิฎฺฐิตํ มยฺหํ กิจฺจํ, สตฺถารํ ปหิณถา’’ติฯ

    Sattame divase satthāraṃ vanditvā, bhante, mayā pitu santikā temāsaṃ antovassaṃ tumhākaṃ paṭijagganavaro laddho, temāsaṃ me vassāvāsaṃ adhivāsethāti. Bhagavā ‘‘atthi nu kho tattha gatena attho’’ti oloketvā ‘‘atthī’’ti disvā ‘‘suññāgāre kho, rājakumāra, tathāgatā abhiramantī’’ti āha. Kumāro ‘‘aññātaṃ bhagavā aññātaṃ sugatā’’ti vatvā ‘‘ahaṃ, bhante, purimataraṃ gantvā vihāraṃ kāremi, mayā pesite bhikkhusatasahassena saddhiṃ āgacchathā’’ti bhagavantaṃ paṭiññaṃ gāhāpetvā pitu santikaṃ gantvā ‘‘dinnā me, deva, bhagavatā paṭiññā, mayā pahite bhagavantaṃ peseyyathā’’ti vatvā pitaraṃ vanditvā nikkhamitvā yojane yojane vihāraṃ kārento vīsayojanasataṃ addhānaṃ gato. Gantvā ca attano nagare vihāraṭṭhānaṃ vicinanto sobhananāmassa kuṭumbikassa uyyānaṃ disvā satasahassena kiṇitvā satasahassaṃ vissajjetvā vihāraṃ kāresi. Tattha bhagavato gandhakuṭiṃ sesabhikkhūnañca rattiṭṭhānadivāṭṭhānatthāya kuṭileṇamaṇḍape kāretvā pākāraparikkhepaṃ dvārakoṭṭhakañca niṭṭhāpetvā pitu santikaṃ pesesi – ‘‘niṭṭhitaṃ mayhaṃ kiccaṃ, satthāraṃ pahiṇathā’’ti.

    ราชา ภควนฺตํ โภเชตฺวา ‘‘ภควา สุมนสฺส กิจฺจํ นิฎฺฐิตํ, ตุมฺหากํ คมนํ ปจฺจาสีสตี’’ติ อาหฯ ภควา ภิกฺขุสตสหสฺสปริวุโต โยชเน โยชเน วิหาเรสุ วสมาโน อคมาสิฯ กุมาโร ‘‘สตฺถา อาคจฺฉตี’’ติ สุตฺวา โยชนํ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา คนฺธมาลาทีหิ ปูชยมาโน วิหารํ ปเวเสตฺวา –

    Rājā bhagavantaṃ bhojetvā ‘‘bhagavā sumanassa kiccaṃ niṭṭhitaṃ, tumhākaṃ gamanaṃ paccāsīsatī’’ti āha. Bhagavā bhikkhusatasahassaparivuto yojane yojane vihāresu vasamāno agamāsi. Kumāro ‘‘satthā āgacchatī’’ti sutvā yojanaṃ paccuggantvā gandhamālādīhi pūjayamāno vihāraṃ pavesetvā –

    ‘‘สตสหเสฺสน เม กีตํ, สตสหเสฺสน มาปิตํ;

    ‘‘Satasahassena me kītaṃ, satasahassena māpitaṃ;

    โสภนํ นาม อุยฺยานํ, ปฎิคฺคณฺห มหามุนี’’ติฯ –

    Sobhanaṃ nāma uyyānaṃ, paṭiggaṇha mahāmunī’’ti. –

    วิหารํ นิยฺยาเทสิฯ โส วสฺสูปนายิกาทิวเส ทานํ ทตฺวา อตฺตโน ปุตฺตทาเร จ อมเจฺจ จ ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘สตฺถา อมฺหากํ สนฺติกํ ทูรโตว อาคโต, พุทฺธา จ นาม ธมฺมครุกา น อามิสจกฺขุกา ฯ ตสฺมา อหํ อิมํ เตมาสํ เทฺว สาฎเก นิวาเสตฺวา ทส สีลานิ สมาทิยิตฺวา อิเธว วสิสฺสามิ, ตุเมฺห ขีณาสวสตสหสฺสสฺส อิมินาว นีหาเรน เตมาสํ ทานํ ทเทยฺยาถา’’ติฯ

    Vihāraṃ niyyādesi. So vassūpanāyikādivase dānaṃ datvā attano puttadāre ca amacce ca pakkosāpetvā āha – ‘‘satthā amhākaṃ santikaṃ dūratova āgato, buddhā ca nāma dhammagarukā na āmisacakkhukā . Tasmā ahaṃ imaṃ temāsaṃ dve sāṭake nivāsetvā dasa sīlāni samādiyitvā idheva vasissāmi, tumhe khīṇāsavasatasahassassa imināva nīhārena temāsaṃ dānaṃ dadeyyāthā’’ti.

    โส สุมนเตฺถรสฺส วสนฎฺฐานสภาเคเยว ฐาเน วสโนฺต ยํ เถโร ภควโต วตฺตํ กโรติ, ตํ สพฺพํ ทิสฺวา ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน เอกนฺตวลฺลโภ เอส เถโร, เอตเสฺสว เม ฐานนฺตรํ ปเตฺถตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อุปกฎฺฐาย ปวารณาย คามํ ปวิสิตฺวา สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา สตฺตเม ทิวเส ภิกฺขุสตสหสฺสสฺส ปาทมูเล ติจีวรํ ฐเปตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ยเทตํ มยา สตฺตาหํ ขนฺธาวารทานโต ปฎฺฐาย ปุญฺญํ กตํ, ตํ เนว สกฺกสมฺปตฺติํ, น มารพฺรหฺมสมฺปตฺติํ ปตฺถยเนฺตน, พุทฺธสฺส ปน อุปฎฺฐากภาวํ ปเตฺถเนฺตน กตํฯ ตสฺมา อหมฺปิ ภควา อนาคเต สุมนเตฺถโร วิย เอกสฺส พุทฺธสฺส อุปฎฺฐาโก โหมี’’ติ ปญฺจปติฎฺฐิเตน ปติฎฺฐหิตฺวา วนฺทิฯ สตฺถา ตสฺส อนนฺตรายํ ทิสฺวา พฺยากริตฺวา ปกฺกามิฯ กุมาโร ตํ สุตฺวา ‘‘พุทฺธา จ นาม อเทฺวชฺฌกถา โหนฺตี’’ติ ทุติยทิวเส โคตมพุทฺธสฺส ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต คจฺฉโนฺต วิย อโหสิฯ

    So sumanattherassa vasanaṭṭhānasabhāgeyeva ṭhāne vasanto yaṃ thero bhagavato vattaṃ karoti, taṃ sabbaṃ disvā ‘‘imasmiṃ ṭhāne ekantavallabho esa thero, etasseva me ṭhānantaraṃ patthetuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā upakaṭṭhāya pavāraṇāya gāmaṃ pavisitvā sattāhaṃ mahādānaṃ datvā sattame divase bhikkhusatasahassassa pādamūle ticīvaraṃ ṭhapetvā bhagavantaṃ vanditvā, ‘‘bhante, yadetaṃ mayā sattāhaṃ khandhāvāradānato paṭṭhāya puññaṃ kataṃ, taṃ neva sakkasampattiṃ, na mārabrahmasampattiṃ patthayantena, buddhassa pana upaṭṭhākabhāvaṃ patthentena kataṃ. Tasmā ahampi bhagavā anāgate sumanatthero viya ekassa buddhassa upaṭṭhāko homī’’ti pañcapatiṭṭhitena patiṭṭhahitvā vandi. Satthā tassa anantarāyaṃ disvā byākaritvā pakkāmi. Kumāro taṃ sutvā ‘‘buddhā ca nāma advejjhakathā hontī’’ti dutiyadivase gotamabuddhassa pattacīvaraṃ gahetvā piṭṭhito piṭṭhito gacchanto viya ahosi.

    โส ตสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท วสฺสสตสหสฺสํ ทานํ ทตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา กสฺสปพุทฺธกาเล ปิณฺฑาย จรโต เถรสฺส ปตฺตคฺคหณตฺถํ อุตฺตริสาฎกํ ทตฺวา ปูชํ อกาสิฯ ปุน สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา ตโต จุโต พาราณสิราชา หุตฺวา อุปริปาสาทวรคโต คนฺธมาทนโต อากาเสน อาคจฺฉเนฺต อฎฺฐ ปเจฺจกพุเทฺธ ทิสฺวา นิมนฺตาเปตฺวา โภเชตฺวา อตฺตโน มงฺคลอุยฺยาเน เตสํ อฎฺฐ ปณฺณสาลาโย กาเรตฺวา เตสํ นิสีทนตฺถาย อตฺตโน นิเวสเน อฎฺฐ สพฺพรตนมยานิ ปีฐานิ เจว มณิอาธารเก จ ปฎิยาเทตฺวา ทส วสฺสสหสฺสานิ อุปฎฺฐานํ อกาสิฯ เอตานิ ปากฎฎฺฐานานิฯ

    So tasmiṃ buddhuppāde vassasatasahassaṃ dānaṃ datvā sagge nibbattitvā kassapabuddhakāle piṇḍāya carato therassa pattaggahaṇatthaṃ uttarisāṭakaṃ datvā pūjaṃ akāsi. Puna sagge nibbattitvā tato cuto bārāṇasirājā hutvā uparipāsādavaragato gandhamādanato ākāsena āgacchante aṭṭha paccekabuddhe disvā nimantāpetvā bhojetvā attano maṅgalauyyāne tesaṃ aṭṭha paṇṇasālāyo kāretvā tesaṃ nisīdanatthāya attano nivesane aṭṭha sabbaratanamayāni pīṭhāni ceva maṇiādhārake ca paṭiyādetvā dasa vassasahassāni upaṭṭhānaṃ akāsi. Etāni pākaṭaṭṭhānāni.

    กปฺปสตสหสฺสํ ปน ทานํ ททมาโนว อมฺหากํ โพธิสเตฺตน สทฺธิํ ตุสิตปุเร นิพฺพตฺติตฺวา ตโต จุโต อมิโตทนสกฺกสฺส เคเห นิพฺพตฺติฯ อถสฺส สเพฺพว ญาตเก อานนฺทิเต ปมุทิเต กโรโนฺต ชาโตติ อานโนฺทเตฺวว นามํ อกํสุฯ โส อนุปุเพฺพน กตาภินิกฺขมเน สมฺมาสโมฺพธิํ ปตฺวา ปฐมคมเนน กปิลวตฺถุํ อาคนฺตฺวา ตโต นิกฺขเนฺต ภควติ ภควโต ปริวารตฺถํ ราชกุมาเรสุ ปพฺพชเนฺตสุ ภทฺทิยาทีหิ สทฺธิํ นิกฺขมิตฺวา ภควโต สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา นจิรเสฺสว อายสฺมโต ปุณฺณสฺส มนฺตาณิปุตฺตสฺส สนฺติเก ธมฺมกถํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ

    Kappasatasahassaṃ pana dānaṃ dadamānova amhākaṃ bodhisattena saddhiṃ tusitapure nibbattitvā tato cuto amitodanasakkassa gehe nibbatti. Athassa sabbeva ñātake ānandite pamudite karonto jātoti ānandotveva nāmaṃ akaṃsu. So anupubbena katābhinikkhamane sammāsambodhiṃ patvā paṭhamagamanena kapilavatthuṃ āgantvā tato nikkhante bhagavati bhagavato parivāratthaṃ rājakumāresu pabbajantesu bhaddiyādīhi saddhiṃ nikkhamitvā bhagavato santike pabbajitvā nacirasseva āyasmato puṇṇassa mantāṇiputtassa santike dhammakathaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhahi.

    เตน โข ปน สมเยน ภควโต ปฐมโพธิยํ วีสติ วสฺสานิ อนิพทฺธา อุปฎฺฐากา อเหสุํฯ เอกทา นาคสมาโล ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา วิจริ เอกทา นาคิโต, เอกทา อุปวาโน, เอกทา สุนกฺขโตฺต, เอกทา จุโนฺท สมณุเทฺทโส , เอกทา สาคโต, เอกทา ราโธ, เอกทา เมฆิโยฯ ตตฺถ เอกทา ภควา นาคสมาลเตฺถเรน สทฺธิํ อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺน เทฺวธาปถํ ปโตฺตฯ เถโร มคฺคา โอกฺกมฺม ‘‘ภควา อหํ อิมินา มเคฺคน คจฺฉามี’’ติ อาหฯ อถ นํ ภควา ‘‘เอหิ ภิกฺขุ, อิมินา มเคฺคน คจฺฉามา’’ติ อาหฯ โส ‘‘หนฺท ภควา ตุมฺหากํ ปตฺตจีวรํ คณฺหถ, อหํ อิมินา มเคฺคน คจฺฉามี’’ติ วตฺวา ปตฺตจีวรํ ภูมิยํ ฐเปตุํ อารโทฺธฯ อถ นํ ภควา ‘‘อาหร ภิกฺขู’’ติ วตฺวา ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา คโตฯ ตสฺสปิ ภิกฺขุโน อิตเรน มเคฺคน คจฺฉโต โจรา ปตฺตจีวรเญฺจว หริํสุ, สีสญฺจ ภินฺทิํสุฯ โส ‘‘ภควา อิทานิ เม ปฎิสรณํ, น อโญฺญ’’ติ จิเนฺตตฺวา โลหิเตน คลเนฺตน ภควโต สนฺติกํ อาคมิฯ ‘‘กิมิทํ ภิกฺขู’’ติ จ วุเตฺต ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ อถ นํ ภควา ‘‘มา จิเนฺตยิ ภิกฺขุ, เอตสฺส การณาเยว ตํ นิวารยิมฺหา’’ติ วตฺวา สมสฺสาเสสิฯ

    Tena kho pana samayena bhagavato paṭhamabodhiyaṃ vīsati vassāni anibaddhā upaṭṭhākā ahesuṃ. Ekadā nāgasamālo pattacīvaraṃ gahetvā vicari ekadā nāgito, ekadā upavāno, ekadā sunakkhatto, ekadā cundo samaṇuddeso , ekadā sāgato, ekadā rādho, ekadā meghiyo. Tattha ekadā bhagavā nāgasamālattherena saddhiṃ addhānamaggappaṭipanno dvedhāpathaṃ patto. Thero maggā okkamma ‘‘bhagavā ahaṃ iminā maggena gacchāmī’’ti āha. Atha naṃ bhagavā ‘‘ehi bhikkhu, iminā maggena gacchāmā’’ti āha. So ‘‘handa bhagavā tumhākaṃ pattacīvaraṃ gaṇhatha, ahaṃ iminā maggena gacchāmī’’ti vatvā pattacīvaraṃ bhūmiyaṃ ṭhapetuṃ āraddho. Atha naṃ bhagavā ‘‘āhara bhikkhū’’ti vatvā pattacīvaraṃ gahetvā gato. Tassapi bhikkhuno itarena maggena gacchato corā pattacīvarañceva hariṃsu, sīsañca bhindiṃsu. So ‘‘bhagavā idāni me paṭisaraṇaṃ, na añño’’ti cintetvā lohitena galantena bhagavato santikaṃ āgami. ‘‘Kimidaṃ bhikkhū’’ti ca vutte taṃ pavattiṃ ārocesi. Atha naṃ bhagavā ‘‘mā cinteyi bhikkhu, etassa kāraṇāyeva taṃ nivārayimhā’’ti vatvā samassāsesi.

    เอกทา ปน ภควา เมฆิยเตฺถเรน สทฺธิํ ปาจีนวํเส มิคทาเย ชนฺตุคามํ อคมาสิฯ ตตฺราปิ เมฆิโย ชนฺตุคาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา นทีตีเร ปาสาทิกํ อมฺพวนํ ทิสฺวา ‘‘ภควา ตุมฺหากํ ปตฺตจีวรํ คณฺหถ, อหํ ตสฺมิํ อมฺพวเน สมณธมฺมํ กโรมี’’ติ วตฺวา ภควตา ติกฺขตฺตุํ นิวาริยมาโนปิ คนฺตฺวา อกุสลวิตเกฺกหิ อนฺวาสโตฺต ปจฺจาคนฺตฺวา ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ ตมฺปิ ภควา ‘‘อิมเมว เต การณํ สลฺลเกฺขตฺวา นิวารยิมฺหา’’ติ วตฺวา อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ อคมาสิฯ ตตฺถ คนฺธกุฎิปริเวเณ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสิโนฺน ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ภิกฺขเว, อิทานิมฺหิ มหลฺลโก, ‘เอกเจฺจ ภิกฺขู อิมินา มเคฺคน คจฺฉามา’ติ วุเตฺต อเญฺญน คจฺฉนฺติ, เอกเจฺจ มยฺหํ ปตฺตจีวรํ ภูมิยํ นิกฺขิปนฺติ, มยฺหํ นิพทฺธุปฎฺฐากํ เอกํ ภิกฺขุํ ชานาถา’’ติ ฯ ภิกฺขูนํ ธมฺมสํเวโค อุทปาทิฯ อถายสฺมา สาริปุโตฺต อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ‘‘อหํ, ภเนฺต, ตุเมฺหเยว ปตฺถยมาโน สตสหสฺสกปฺปาธิกํ อสเงฺขฺยยฺยํ ปารมิโย ปูรยิํ, นนุ มาทิโส มหาปโญฺญ อุปฎฺฐาโก นาม วฎฺฎติ, อหํ อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ อาหฯ ตํ ภควา ‘‘อลํ, สาริปุตฺต, ยสฺสํ ทิสายํ ตฺวํ วิหรสิ, อสุญฺญา เว สา ทิสา, ตว หิ โอวาโท พุทฺธานํ โอวาทสทิโส, เตน เม ตยา อุปฎฺฐากกิจฺจํ อตฺถี’’ติ ปฎิกฺขิปิฯ เอเตเนว อุปาเยน มหาโมคฺคลฺลานํ อาทิํ กตฺวา อสีติ มหาสาวกา อุฎฺฐหิํสุฯ เต สเพฺพ ภควา ปฎิกฺขิปิฯ

    Ekadā pana bhagavā meghiyattherena saddhiṃ pācīnavaṃse migadāye jantugāmaṃ agamāsi. Tatrāpi meghiyo jantugāme piṇḍāya caritvā nadītīre pāsādikaṃ ambavanaṃ disvā ‘‘bhagavā tumhākaṃ pattacīvaraṃ gaṇhatha, ahaṃ tasmiṃ ambavane samaṇadhammaṃ karomī’’ti vatvā bhagavatā tikkhattuṃ nivāriyamānopi gantvā akusalavitakkehi anvāsatto paccāgantvā taṃ pavattiṃ ārocesi. Tampi bhagavā ‘‘imameva te kāraṇaṃ sallakkhetvā nivārayimhā’’ti vatvā anupubbena sāvatthiṃ agamāsi. Tattha gandhakuṭipariveṇe paññattavarabuddhāsane nisinno bhikkhusaṅghaparivuto bhikkhū āmantesi – ‘‘bhikkhave, idānimhi mahallako, ‘ekacce bhikkhū iminā maggena gacchāmā’ti vutte aññena gacchanti, ekacce mayhaṃ pattacīvaraṃ bhūmiyaṃ nikkhipanti, mayhaṃ nibaddhupaṭṭhākaṃ ekaṃ bhikkhuṃ jānāthā’’ti . Bhikkhūnaṃ dhammasaṃvego udapādi. Athāyasmā sāriputto uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ vanditvā ‘‘ahaṃ, bhante, tumheyeva patthayamāno satasahassakappādhikaṃ asaṅkhyeyyaṃ pāramiyo pūrayiṃ, nanu mādiso mahāpañño upaṭṭhāko nāma vaṭṭati, ahaṃ upaṭṭhahissāmī’’ti āha. Taṃ bhagavā ‘‘alaṃ, sāriputta, yassaṃ disāyaṃ tvaṃ viharasi, asuññā ve sā disā, tava hi ovādo buddhānaṃ ovādasadiso, tena me tayā upaṭṭhākakiccaṃ atthī’’ti paṭikkhipi. Eteneva upāyena mahāmoggallānaṃ ādiṃ katvā asīti mahāsāvakā uṭṭhahiṃsu. Te sabbe bhagavā paṭikkhipi.

    อานนฺทเตฺถโร ปน ตุณฺหีเยว นิสีทิฯ อถ นํ ภิกฺขู อาหํสุ – ‘‘อาวุโส อานนฺท, ภิกฺขุสโงฺฆ อุปฎฺฐากฎฺฐานํ ยาจติ, ตฺวมฺปิ ยาจาหี’’ติฯ ยาจิตฺวา ลทฺธฎฺฐานํ นาม, อาวุโส, กีทิสํ โหติ, กิํ มํ สตฺถา น ปสฺสติ? สเจ สตฺถา โรจิสฺสติ, ‘‘อานโนฺท มํ อุปฎฺฐหตู’’ติ วกฺขตีติฯ อถ ภควา ‘‘น, ภิกฺขเว, อานโนฺท อเญฺญหิ อุสฺสาเหตโพฺพ, สยเมว ชานิตฺวา มํ อุปฎฺฐหิสฺสตี’’ติ อาหฯ ตโต ภิกฺขู ‘‘อุเฎฺฐหิ, อาวุโส อานนฺท, อุเฎฺฐหิ, อาวุโส อานนฺท, ทสพลํ อุปฎฺฐากฎฺฐานํ ยาจาหี’’ติ อาหํสุฯ เถโร อุฎฺฐหิตฺวา จตฺตาโร ปฎิเกฺขปา จตโสฺส จ อายาจนาติ อฎฺฐ วเร ยาจิฯ

    Ānandatthero pana tuṇhīyeva nisīdi. Atha naṃ bhikkhū āhaṃsu – ‘‘āvuso ānanda, bhikkhusaṅgho upaṭṭhākaṭṭhānaṃ yācati, tvampi yācāhī’’ti. Yācitvā laddhaṭṭhānaṃ nāma, āvuso, kīdisaṃ hoti, kiṃ maṃ satthā na passati? Sace satthā rocissati, ‘‘ānando maṃ upaṭṭhahatū’’ti vakkhatīti. Atha bhagavā ‘‘na, bhikkhave, ānando aññehi ussāhetabbo, sayameva jānitvā maṃ upaṭṭhahissatī’’ti āha. Tato bhikkhū ‘‘uṭṭhehi, āvuso ānanda, uṭṭhehi, āvuso ānanda, dasabalaṃ upaṭṭhākaṭṭhānaṃ yācāhī’’ti āhaṃsu. Thero uṭṭhahitvā cattāro paṭikkhepā catasso ca āyācanāti aṭṭha vare yāci.

    จตฺตาโร ปฎิเกฺขปา นาม – ‘‘สเจ เม, ภเนฺต, ภควา อตฺตนา ลทฺธํ ปณีตํ จีวรํ น ทสฺสติ, ปิณฺฑปาตํ น ทสฺสติ, เอกคนฺธกุฎิยํ วสิตุํ น ทสฺสติ, นิมนฺตนํ คเหตฺวา น คมิสฺสติ, เอวาหํ ภควนฺตํ อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ วตฺวา ‘‘กํ ปเนตฺถ, อานนฺท, อาทีนวํ อทฺทสา’’ติ วุเตฺต อาห – ‘‘สจาหํ, ภเนฺต, อิมานิ วตฺถูนิ ลภิสฺสามิ, ภวิสฺสนฺติ วตฺตาโร ‘อานโนฺท ทสพเลน ลทฺธํ ปณีตํ จีวรํ ปริภุญฺชติ, ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชติ, เอกคนฺธกุฎิยํ วสติ , เอกโต นิมนฺตนํ คจฺฉติฯ เอตํ ลาภํ ลภโนฺต ตถาคตํ อุปฎฺฐาติ, โก เอวํ อุปฎฺฐหโต ภาโร’’’ติ? อิเม จตฺตาโร ปฎิเกฺขเป ยาจิฯ

    Cattāro paṭikkhepā nāma – ‘‘sace me, bhante, bhagavā attanā laddhaṃ paṇītaṃ cīvaraṃ na dassati, piṇḍapātaṃ na dassati, ekagandhakuṭiyaṃ vasituṃ na dassati, nimantanaṃ gahetvā na gamissati, evāhaṃ bhagavantaṃ upaṭṭhahissāmī’’ti vatvā ‘‘kaṃ panettha, ānanda, ādīnavaṃ addasā’’ti vutte āha – ‘‘sacāhaṃ, bhante, imāni vatthūni labhissāmi, bhavissanti vattāro ‘ānando dasabalena laddhaṃ paṇītaṃ cīvaraṃ paribhuñjati, piṇḍapātaṃ paribhuñjati, ekagandhakuṭiyaṃ vasati , ekato nimantanaṃ gacchati. Etaṃ lābhaṃ labhanto tathāgataṃ upaṭṭhāti, ko evaṃ upaṭṭhahato bhāro’’’ti? Ime cattāro paṭikkhepe yāci.

    จตโสฺส อายาจนา นาม – ‘‘สเจ, ภเนฺต, ภควา มยา คหิตนิมนฺตนํ คมิสฺสติ, สจาหํ ติโรรฎฺฐา ติโรชนปทา ภควนฺตํ ทฎฺฐุํ อาคตํ ปริสํ อาคตกฺขเณเยว ภควนฺตํ ทเสฺสตุํ ลจฺฉามิ, ยทา เม กงฺขา อุปฺปชฺชติ, ตสฺมิํเยว ขเณ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตุํ ลจฺฉามิ, ตถา ยํ ภควา มยฺหํ ปรมฺมุเข ธมฺมํ เทเสติ, ตํ อาคนฺตฺวา มยฺหํ กเถสฺสติ, เอวาหํ ภควนฺตํ อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ วตฺวา ‘‘กํ ปเนตฺถ, อานนฺท, อานิสํสํ ปสฺสสี’’ติ วุเตฺต อาห – ‘‘อิธ, ภเนฺต, สทฺธา กุลปุตฺตา ภควโต โอกาสํ อลภนฺตา มํ เอวํ วทนฺติ ‘เสฺว, ภเนฺต อานนฺท, ภควตา สทฺธิํ อมฺหากํ ฆเร ภิกฺขํ คเณฺหยฺยาถา’ติฯ สเจ ภควา ตตฺถ น คมิสฺสติ, อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณเยว ปริสํ ทเสฺสตุํ, กงฺขญฺจ วิโนเทตุํ โอกาสํ น ลจฺฉามิ, ภวิสฺสนฺติ วตฺตาโร ‘กิํ อานโนฺท ทสพลํ อุปฎฺฐาติ ฯ เอตฺตกมฺปิสฺส ภควา อนุคฺคหํ น กโรตี’ติฯ ภควโต จ ปรมฺมุขา มํ ปุจฺฉิสฺสนฺติ ‘อยํ, อาวุโส อานนฺท, คาถา, อิทํ สุตฺตํ, อิทํ ชาตกํ กตฺถ เทสิต’นฺติฯ สจาหํ ตํ น สมฺปาทยิสฺสามิ, ภวิสฺสนฺติ วตฺตาโร – ‘เอตฺตกมฺปิ, อาวุโส, น ชานาสิ, กสฺมา ตฺวํ ฉายา วิย ภควนฺตํ อวิชหโนฺต ทีฆรตฺตํ วิจรสี’ติฯ เตนาหํ ปรมฺมุขา เทสิตสฺสปิ ธมฺมสฺส ปุน กถนํ อิจฺฉามี’’ติฯ อิมา จตโสฺส อายาจนา ยาจิฯ ภควาปิสฺส อทาสิฯ

    Catasso āyācanā nāma – ‘‘sace, bhante, bhagavā mayā gahitanimantanaṃ gamissati, sacāhaṃ tiroraṭṭhā tirojanapadā bhagavantaṃ daṭṭhuṃ āgataṃ parisaṃ āgatakkhaṇeyeva bhagavantaṃ dassetuṃ lacchāmi, yadā me kaṅkhā uppajjati, tasmiṃyeva khaṇe bhagavantaṃ upasaṅkamituṃ lacchāmi, tathā yaṃ bhagavā mayhaṃ parammukhe dhammaṃ deseti, taṃ āgantvā mayhaṃ kathessati, evāhaṃ bhagavantaṃ upaṭṭhahissāmī’’ti vatvā ‘‘kaṃ panettha, ānanda, ānisaṃsaṃ passasī’’ti vutte āha – ‘‘idha, bhante, saddhā kulaputtā bhagavato okāsaṃ alabhantā maṃ evaṃ vadanti ‘sve, bhante ānanda, bhagavatā saddhiṃ amhākaṃ ghare bhikkhaṃ gaṇheyyāthā’ti. Sace bhagavā tattha na gamissati, icchiticchitakkhaṇeyeva parisaṃ dassetuṃ, kaṅkhañca vinodetuṃ okāsaṃ na lacchāmi, bhavissanti vattāro ‘kiṃ ānando dasabalaṃ upaṭṭhāti . Ettakampissa bhagavā anuggahaṃ na karotī’ti. Bhagavato ca parammukhā maṃ pucchissanti ‘ayaṃ, āvuso ānanda, gāthā, idaṃ suttaṃ, idaṃ jātakaṃ kattha desita’nti. Sacāhaṃ taṃ na sampādayissāmi, bhavissanti vattāro – ‘ettakampi, āvuso, na jānāsi, kasmā tvaṃ chāyā viya bhagavantaṃ avijahanto dīgharattaṃ vicarasī’ti. Tenāhaṃ parammukhā desitassapi dhammassa puna kathanaṃ icchāmī’’ti. Imā catasso āyācanā yāci. Bhagavāpissa adāsi.

    เอวํ อิเม อฎฺฐ วเร คเหตฺวา นิพทฺธุปฎฺฐาโก อโหสิฯ ตเสฺสว ฐานนฺตรสฺส อตฺถาย กปฺปสตสหสฺสํ ปูริตานํ ปารมีนํ ผลํ ปาปุณิฯ โส อุปฎฺฐากฎฺฐานํ ลทฺธทิวสโต ปฎฺฐาย ทสพลสฺส ทุวิเธน อุทเกน ติวิเธน ทนฺตกเฎฺฐน หตฺถปาทปริกเมฺมน ปิฎฺฐิปริกเมฺมน คนฺธกุฎิปริเวณํ สมฺมชฺชเนนาติ เอวมาทีหิ กิเจฺจหิ อุปฎฺฐหโนฺต ‘‘อิมาย นาม เวลาย สตฺถุ อิมํ นาม ลทฺธุํ วฎฺฎติ, อิทํ นาม กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ ทิวสภาคํ สนฺติกาวจโร หุตฺวา รตฺติภาคสมนนฺตเร ทณฺฑทีปิกํ คเหตฺวา เอกรตฺติํ คนฺธกุฎิปริเวณํ นว วาเร อนุปริยายติฯ เอวญฺหิสฺส อโหสิ – ‘‘สเจ เม ถินมิทฺธํ โอกฺกเมยฺย, ทสพเล ปโกฺกสเนฺต ปฎิวจนํ ทาตุํ น สกฺกุเณยฺย’’นฺติฯ ตสฺมา สพฺพรตฺติํ ทณฺฑทีปิกํ หเตฺถน น มุญฺจติฯ อิทเมตฺตกํ วตฺถุฯ อปรภาเค ปน สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อเนกปริยาเยน ธมฺมภณฺฑาคาริกอานนฺทเตฺถรสฺส วณฺณํ กเถตฺวา เถรํ อิมสฺมิํ สาสเน พหุสฺสุตานํ สติมนฺตานํ คติมนฺตานํ ธิติมนฺตานํ อุปฎฺฐากานญฺจ ภิกฺขูนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Evaṃ ime aṭṭha vare gahetvā nibaddhupaṭṭhāko ahosi. Tasseva ṭhānantarassa atthāya kappasatasahassaṃ pūritānaṃ pāramīnaṃ phalaṃ pāpuṇi. So upaṭṭhākaṭṭhānaṃ laddhadivasato paṭṭhāya dasabalassa duvidhena udakena tividhena dantakaṭṭhena hatthapādaparikammena piṭṭhiparikammena gandhakuṭipariveṇaṃ sammajjanenāti evamādīhi kiccehi upaṭṭhahanto ‘‘imāya nāma velāya satthu imaṃ nāma laddhuṃ vaṭṭati, idaṃ nāma kātuṃ vaṭṭatī’’ti divasabhāgaṃ santikāvacaro hutvā rattibhāgasamanantare daṇḍadīpikaṃ gahetvā ekarattiṃ gandhakuṭipariveṇaṃ nava vāre anupariyāyati. Evañhissa ahosi – ‘‘sace me thinamiddhaṃ okkameyya, dasabale pakkosante paṭivacanaṃ dātuṃ na sakkuṇeyya’’nti. Tasmā sabbarattiṃ daṇḍadīpikaṃ hatthena na muñcati. Idamettakaṃ vatthu. Aparabhāge pana satthā jetavane viharanto anekapariyāyena dhammabhaṇḍāgārikaānandattherassa vaṇṇaṃ kathetvā theraṃ imasmiṃ sāsane bahussutānaṃ satimantānaṃ gatimantānaṃ dhitimantānaṃ upaṭṭhākānañca bhikkhūnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    อุรุเวลกสฺสปเตฺถรวตฺถุ

    Uruvelakassapattheravatthu

    ๒๒๔. ทุติเย มหาปริสานนฺติ มหาปริวารานํ อุรุเวลกสฺสโป อโคฺคติ ทเสฺสติฯ อเญฺญสญฺหิ เถรานํ กญฺจิ กาลํ ปริวาโร มหา โหติ กญฺจิ กาลํ อโปฺป, อิมสฺส ปน เถรสฺส ทฺวีหิ ภาติเกหิ สทฺธิํ เอกํ สมณสหสฺสํ นิพทฺธปริวาโรว อโหสิฯ เตสุ เอเกกสฺมิํ เอเกกํ ปพฺพาเชเนฺต เทฺว สมณสหสฺสานิ โหนฺติ, เทฺว เทฺว ปพฺพาเชเนฺต ตีณิ สหสฺสานิ โหนฺติฯ ตสฺมา โส มหาปริวารานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ กสฺสโปติ ปนสฺส โคตฺตํฯ อุรุเวลายํ ปพฺพชิตตฺตา อุรุเวลกสฺสโปติ ปญฺญายิตฺถฯ

    224. Dutiye mahāparisānanti mahāparivārānaṃ uruvelakassapo aggoti dasseti. Aññesañhi therānaṃ kañci kālaṃ parivāro mahā hoti kañci kālaṃ appo, imassa pana therassa dvīhi bhātikehi saddhiṃ ekaṃ samaṇasahassaṃ nibaddhaparivārova ahosi. Tesu ekekasmiṃ ekekaṃ pabbājente dve samaṇasahassāni honti, dve dve pabbājente tīṇi sahassāni honti. Tasmā so mahāparivārānaṃ aggo nāma jāto. Kassapoti panassa gottaṃ. Uruvelāyaṃ pabbajitattā uruvelakassapoti paññāyittha.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา วยปฺปโตฺต สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ มหาปริสานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยาปิ อนาคเต เอวรูเปน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ สตฺตาหํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา ติจีวเรน อจฺฉาเทตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา มหาปริสานํ อคฺคภาวตฺถํ ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา อนนฺตรายํ ทิสฺวา อนาคเต โคตมพุทฺธสฺส สาสเน มหาปริสานํ อโคฺค ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากริตฺวา ปกฺกามิฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare kulagehe paṭisandhiṃ gahetvā vayappatto satthu dhammakathaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ mahāparisānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā ‘‘mayāpi anāgate evarūpena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti sattāhaṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā ticīvarena acchādetvā satthāraṃ vanditvā mahāparisānaṃ aggabhāvatthaṃ patthanaṃ akāsi. Satthā anantarāyaṃ disvā anāgate gotamabuddhassa sāsane mahāparisānaṃ aggo bhavissatī’’ti byākaritvā pakkāmi.

    โสปิ กุลปุโตฺต ยาวชีวํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิโต เทฺวนวุติกปฺปมตฺถเก ผุสฺสพุทฺธสฺส เวมาติกกนิฎฺฐภาตา หุตฺวา นิพฺพโตฺต, ปิตา มหินฺทราชา นามฯ อปเร ปนสฺส เทฺว กนิฎฺฐภาตโร อเหสุํฯ เอวํ เต ตโย ภาตโร วิสุํ วิสุํ ฐานนฺตรํ ลภิํสุฯ เต เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว กุปิตํ ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา ปิตุ สนฺติกา วรํ ลภิตฺวา ‘‘เตมาสํ ทสพลํ ปฎิชคฺคิสฺสามา’’ติ วรํ คณฺหิํสุฯ อถ เนสํ เอตทโหสิ – ‘‘อเมฺหหิ ทสพลํ ปฎิชคฺคเนฺตหิ อนุจฺฉวิกํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ เอกํ อมจฺจํ อุปฺปาทกฎฺฐาเน ฐเปตฺวา เอกํ อายวยชานนกํ กตฺวา เอกํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปริเวสกฎฺฐาเน ฐเปตฺวา อตฺตนา ทส สีลานิ สมาทาย เตมาสํ สิกฺขาปทานิ รกฺขิํสุฯ เต ตโย อมจฺจา เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท พิมฺพิสารวิสาขรฎฺฐปาลา ชาตาฯ

    Sopi kulaputto yāvajīvaṃ kalyāṇakammaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto ito dvenavutikappamatthake phussabuddhassa vemātikakaniṭṭhabhātā hutvā nibbatto, pitā mahindarājā nāma. Apare panassa dve kaniṭṭhabhātaro ahesuṃ. Evaṃ te tayo bhātaro visuṃ visuṃ ṭhānantaraṃ labhiṃsu. Te heṭṭhā vuttanayeneva kupitaṃ paccantaṃ vūpasametvā pitu santikā varaṃ labhitvā ‘‘temāsaṃ dasabalaṃ paṭijaggissāmā’’ti varaṃ gaṇhiṃsu. Atha nesaṃ etadahosi – ‘‘amhehi dasabalaṃ paṭijaggantehi anucchavikaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti ekaṃ amaccaṃ uppādakaṭṭhāne ṭhapetvā ekaṃ āyavayajānanakaṃ katvā ekaṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa parivesakaṭṭhāne ṭhapetvā attanā dasa sīlāni samādāya temāsaṃ sikkhāpadāni rakkhiṃsu. Te tayo amaccā heṭṭhā vuttanayeneva imasmiṃ buddhuppāde bimbisāravisākharaṭṭhapālā jātā.

    เต ปน ราชกุมารา วุตฺถวเสฺส ทสพเล สหตฺถา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปจฺจยปูชาย ปูเชตฺวา ยาวชีวํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา อมฺหากํ ทสพลสฺส นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว พฺราหมณกุเล นิพฺพตฺติตฺวา อตฺตโน โคตฺตวเสน ตโยปิ ชนา กสฺสปา เอว นาม ชาตาฯ เต วยปฺปตฺตา ตโย เวเท อุคฺคณฺหิํสุฯ เตสํ เชฎฺฐภาติกสฺส ปญฺจ มาณวกสตานิ ปริวาโร อโหสิ, มชฺฌิมสฺส ตีณิ, กนิฎฺฐสฺส เทฺวฯ เต อตฺตโน คเนฺถ สารํ โอโลเกนฺตา ทิฎฺฐธมฺมิกเมว ปสฺสิํสุ, น สมฺปรายิกํฯ อถ เนสํ เชฎฺฐภาตา อตฺตโน ปริวาเรน สทฺธิํ อุรุเวลํ คนฺตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา อุรุเวลกสฺสโป นาม ชาโต, มหาคงฺคานทีวเงฺก ปพฺพชิโต นทีกสฺสโป นาม ชาโต, คยาสีเส ปพฺพชิโต คยากสฺสโป นาม ชาโตฯ

    Te pana rājakumārā vutthavasse dasabale sahatthā buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ paccayapūjāya pūjetvā yāvajīvaṃ kalyāṇakammaṃ katvā amhākaṃ dasabalassa nibbattito puretarameva brāhamaṇakule nibbattitvā attano gottavasena tayopi janā kassapā eva nāma jātā. Te vayappattā tayo vede uggaṇhiṃsu. Tesaṃ jeṭṭhabhātikassa pañca māṇavakasatāni parivāro ahosi, majjhimassa tīṇi, kaniṭṭhassa dve. Te attano ganthe sāraṃ olokentā diṭṭhadhammikameva passiṃsu, na samparāyikaṃ. Atha nesaṃ jeṭṭhabhātā attano parivārena saddhiṃ uruvelaṃ gantvā isipabbajjaṃ pabbajitvā uruvelakassapo nāma jāto, mahāgaṅgānadīvaṅke pabbajito nadīkassapo nāma jāto, gayāsīse pabbajito gayākassapo nāma jāto.

    เอวํ เตสุ อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ตตฺถ วสเนฺตสุ พหูนํ ทิวสานํ อจฺจเยน อมฺหากํ โพธิสโตฺต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา ปฎิวิทฺธสพฺพญฺญุตญฺญาโณ อนุกฺกเมน ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตฺวา ปญฺจวคฺคิเย เถเร อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปตฺวา ยสทารกปฺปมุเข ปญฺจปญฺญาส สหายเกปิ วิเนตฺวา สฎฺฐิ อรหเนฺต ‘‘จรถ, ภิกฺขเว , จาริก’’นฺติ พหุชนหิตาย จาริกํ เปเสตฺวา ภทฺทวคฺคิเย วิเนตฺวา อุรุเวลกสฺสปสฺส เหตุํ ทิสฺวา ‘‘มยิ คเต ตโย ภาติกา สปริวารา อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสนฺตี’’ติ ญตฺวา เอกโก อทุติโย อุรุเวลกสฺสปสฺส วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา วสนตฺถาย อคฺยาคารํ ยาจิตฺวา ตตฺถ กตํ นาคทมนํ อาทิํ กตฺวา อฑฺฒุฑฺฒสหเสฺสหิ ปาฎิหาริเยหิ อุรุเวลกสฺสปํ สปริวารํ วิเนตฺวา ปพฺพาเชสิฯ ตสฺส ปพฺพชิตภาวํ ญตฺวา อิตเรปิ เทฺว ภาตโร สปริวารา อาคนฺตฺวา ปพฺพชิํสุ, สเพฺพปิ เอหิภิกฺขู อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรา อเหสุํฯ

    Evaṃ tesu isipabbajjaṃ pabbajitvā tattha vasantesu bahūnaṃ divasānaṃ accayena amhākaṃ bodhisatto mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā paṭividdhasabbaññutaññāṇo anukkamena dhammacakkaṃ pavattetvā pañcavaggiye there arahatte patiṭṭhāpetvā yasadārakappamukhe pañcapaññāsa sahāyakepi vinetvā saṭṭhi arahante ‘‘caratha, bhikkhave , cārika’’nti bahujanahitāya cārikaṃ pesetvā bhaddavaggiye vinetvā uruvelakassapassa hetuṃ disvā ‘‘mayi gate tayo bhātikā saparivārā arahattaṃ pāpuṇissantī’’ti ñatvā ekako adutiyo uruvelakassapassa vasanaṭṭhānaṃ gantvā vasanatthāya agyāgāraṃ yācitvā tattha kataṃ nāgadamanaṃ ādiṃ katvā aḍḍhuḍḍhasahassehi pāṭihāriyehi uruvelakassapaṃ saparivāraṃ vinetvā pabbājesi. Tassa pabbajitabhāvaṃ ñatvā itarepi dve bhātaro saparivārā āgantvā pabbajiṃsu, sabbepi ehibhikkhū iddhimayapattacīvaradharā ahesuṃ.

    สตฺถา ตํ สมณสหสฺสํ อาทาย คยาสีสํ คนฺตฺวา ปิฎฺฐิปาสาเณ นิสิโนฺน ‘‘กถํรูปา นุ โข เอเตสํ ธมฺมเทสนา สปฺปายา’’ติ โอโลเกโนฺต ‘‘อิเม อคฺคิํ ปริจรนฺตา วิจริํสุ, อิเมสํ ตโย ภเว อาทิตฺตาคารสทิเส กตฺวา ทเสฺสตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาทิตฺตปริยายสุตฺตํ (มหาว. ๕๔) เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน สเพฺพว อรหตฺตํ ปตฺตาฯ สตฺถา เตหิ ปริวุโต ปุเพฺพ พิมฺพิสารรโญฺญ ทินฺนปฎิญฺญตฺตา ราชคหนคเร ลฎฺฐิวนุยฺยานํ อคมาสิฯ ราชา ทสพลสฺส อาคตภาวํ สุตฺวา ทฺวาทสนหุเตหิ พฺราหฺมณคหปติเกหิ สทฺธิํ สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ สตฺถา สพฺพาวนฺตํ ปริสํ โอโลเกตฺวา มหาชนํ อุรุเวลกสฺสปสฺส นิปจฺจการํ กโรนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อิเม มยฺหํ วา กสฺสปสฺส วา มหนฺตภาวํ น ชานนฺติ, สวิตกฺกา จ นาม เทสนํ สมฺปฎิจฺฉิตุํ น สโกฺกนฺตี’’ติ จิเนฺตตฺวา, ‘‘กสฺสป, ตุยฺหํ อุปฎฺฐากานํ วิตกฺกํ ฉินฺทา’’ติ เถรสฺส สญฺญํ อทาสิฯ เถโร สตฺถุ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อุฎฺฐายาสนา สตฺถารํ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ตาลปฺปมาณํ อากาสํ อุปฺปติตฺวา อิทฺธิวิกุพฺพนํ ทเสฺสตฺวา ‘‘สตฺถา เม, ภเนฺต, ภควา, สาวโกหมสฺมิ, สตฺถา เม, ภเนฺต, ภควา, สาวโกหมสฺมี’’ติ วตฺวา โอรุยฺห ทสพลสฺส ปาเท วนฺทิฯ เอเตนุปาเยน สตฺตเม วาเร สตฺตตาลปฺปมาณํ อากาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปุน อาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาเท วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ

    Satthā taṃ samaṇasahassaṃ ādāya gayāsīsaṃ gantvā piṭṭhipāsāṇe nisinno ‘‘kathaṃrūpā nu kho etesaṃ dhammadesanā sappāyā’’ti olokento ‘‘ime aggiṃ paricarantā vicariṃsu, imesaṃ tayo bhave ādittāgārasadise katvā dassetuṃ vaṭṭatī’’ti ādittapariyāyasuttaṃ (mahāva. 54) desesi. Desanāpariyosāne sabbeva arahattaṃ pattā. Satthā tehi parivuto pubbe bimbisārarañño dinnapaṭiññattā rājagahanagare laṭṭhivanuyyānaṃ agamāsi. Rājā dasabalassa āgatabhāvaṃ sutvā dvādasanahutehi brāhmaṇagahapatikehi saddhiṃ satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Satthā sabbāvantaṃ parisaṃ oloketvā mahājanaṃ uruvelakassapassa nipaccakāraṃ karontaṃ disvā ‘‘ime mayhaṃ vā kassapassa vā mahantabhāvaṃ na jānanti, savitakkā ca nāma desanaṃ sampaṭicchituṃ na sakkontī’’ti cintetvā, ‘‘kassapa, tuyhaṃ upaṭṭhākānaṃ vitakkaṃ chindā’’ti therassa saññaṃ adāsi. Thero satthu vacanaṃ sampaṭicchitvā uṭṭhāyāsanā satthāraṃ pañcapatiṭṭhitena vanditvā tālappamāṇaṃ ākāsaṃ uppatitvā iddhivikubbanaṃ dassetvā ‘‘satthā me, bhante, bhagavā, sāvakohamasmi, satthā me, bhante, bhagavā, sāvakohamasmī’’ti vatvā oruyha dasabalassa pāde vandi. Etenupāyena sattame vāre sattatālappamāṇaṃ ākāsaṃ abbhuggantvā puna āgantvā dasabalassa pāde vanditvā ekamantaṃ nisīdi.

    ตสฺมิํ กาเล มหาชโน ‘‘อยํ โลเก มหาสมโณ’’ติ สตฺถริ นิพฺพิตโกฺก ชาโต, อถสฺส สตฺถา ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน ราชา เอกาทสนหุเตหิ พฺราหฺมณคหปติเกหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิโต, เอกนหุตํ อุปาสกตฺตํ ปฎิเวเทสิฯ เตปิ อุรุเวลกสฺสปสฺส ปริวารา สหสฺสมตฺตา ภิกฺขู อตฺตโน อาเสวนวเสน จิเนฺตสุํ – ‘‘อมฺหากํ ปพฺพชิตกิจฺจํ มตฺถกํ ปตฺตํ, พหิ คนฺตฺวา กิํ กริสฺสามา’’ติ อุรุเวลกสฺสปเตฺถรํเยว ปริวาเรตฺวา วิจริํสุฯ เตสุ เอเกกสฺมิํ เอเกกํ นิสฺสิตกํ คณฺหเนฺต เทฺว สหสฺสานิ โหนฺติ, เทฺว เทฺว คณฺหเนฺต ตีณิ สหสฺสานิ โหนฺติฯ ตโต ปฎฺฐาย ยตฺตกา เตสํ นิสฺสิตกา, ตตฺตเก กเถตุํ วฎฺฎตีติฯ อิทเมตฺถ วตฺถุฯ อปรภาเค ปน สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เถรํ มหาปริสานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Tasmiṃ kāle mahājano ‘‘ayaṃ loke mahāsamaṇo’’ti satthari nibbitakko jāto, athassa satthā dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne rājā ekādasanahutehi brāhmaṇagahapatikehi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhito, ekanahutaṃ upāsakattaṃ paṭivedesi. Tepi uruvelakassapassa parivārā sahassamattā bhikkhū attano āsevanavasena cintesuṃ – ‘‘amhākaṃ pabbajitakiccaṃ matthakaṃ pattaṃ, bahi gantvā kiṃ karissāmā’’ti uruvelakassapattheraṃyeva parivāretvā vicariṃsu. Tesu ekekasmiṃ ekekaṃ nissitakaṃ gaṇhante dve sahassāni honti, dve dve gaṇhante tīṇi sahassāni honti. Tato paṭṭhāya yattakā tesaṃ nissitakā, tattake kathetuṃ vaṭṭatīti. Idamettha vatthu. Aparabhāge pana satthā jetavane viharanto theraṃ mahāparisānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    กาฬุทายิเตฺถรวตฺถุ

    Kāḷudāyittheravatthu

    ๒๒๕. ตติเย กุลปฺปสาทกานนฺติ กุลํ ปสาเทนฺตานํฯ อยํ หิ เถโร อทิฎฺฐพุทฺธทสฺสนํเยว สุโทฺธทนมหาราชสฺส นิเวสนํ ปสาเทสิ, ตสฺมา กุลปฺปสาทกานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    225. Tatiye kulappasādakānanti kulaṃ pasādentānaṃ. Ayaṃ hi thero adiṭṭhabuddhadassanaṃyeva suddhodanamahārājassa nivesanaṃ pasādesi, tasmā kulappasādakānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห นิพฺพโตฺต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ กุลปฺปสาทกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อมฺหากํ โพธิสตฺตสฺส มาตุกุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิคฺคหณทิวเส กปิลวตฺถุสฺมิํเยว อมจฺจเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ชาตทิวเส โพธิสเตฺตน สทฺธิํเยว ชาโตติ ตํทิวสํเยว ตํ ทุกูลจุมฺพุฎเก นิปชฺชาเปตฺวา โพธิสตฺตสฺส อุปฎฺฐานตฺถาย นยิํสุฯ โพธิสเตฺตน หิ สทฺธิํ โพธิรุโกฺข ราหุลมาตา จตโสฺส นิธิกุมฺภิโย อาโรหนิยหตฺถี กณฺฑโก ฉโนฺน กาฬุทายีติ อิเม สตฺต เอกทิวเส ชาตตฺตา สหชาตา นาม อเหสุํฯ อถสฺส นามคฺคหณทิวเส สกลนครสฺส อุทคฺคจิตฺตทิวเส ชาโตติ อุทายีเตฺวว นามํ อกํสุฯ โถกํ กาฬธาตุกตฺตา ปน กาฬุทายี นาม ชาโตฯ โส โพธิสเตฺตน สทฺธิํ กุมารกีฬํ กีฬโนฺต วุทฺธิํ อคมาสิฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare kulagehe nibbatto satthu dhammadesanaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ kulappasādakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto amhākaṃ bodhisattassa mātukucchiyaṃ paṭisandhiggahaṇadivase kapilavatthusmiṃyeva amaccagehe paṭisandhiṃ gaṇhi. Jātadivase bodhisattena saddhiṃyeva jātoti taṃdivasaṃyeva taṃ dukūlacumbuṭake nipajjāpetvā bodhisattassa upaṭṭhānatthāya nayiṃsu. Bodhisattena hi saddhiṃ bodhirukkho rāhulamātā catasso nidhikumbhiyo ārohaniyahatthī kaṇḍako channo kāḷudāyīti ime satta ekadivase jātattā sahajātā nāma ahesuṃ. Athassa nāmaggahaṇadivase sakalanagarassa udaggacittadivase jātoti udāyītveva nāmaṃ akaṃsu. Thokaṃ kāḷadhātukattā pana kāḷudāyī nāma jāto. So bodhisattena saddhiṃ kumārakīḷaṃ kīḷanto vuddhiṃ agamāsi.

    อปรภาเค โพธิสโตฺต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา อนุกฺกเมน สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก โลกานุคฺคหํ กโรโนฺต ราชคหํ อุปนิสฺสาย วิหรติฯ ตสฺมิํ สมเย สุโทฺธทนมหาราชา ‘‘สิทฺธตฺถกุมาโร อภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ราชคหํ อุปนิสฺสาย เวฬุวเน วิหรตี’’ติ สุตฺวา ปุริสสหสฺสปริวารํ เอกํ อมจฺจํ ‘‘ปุตฺตํ เม อิธ อาเนหี’’ติ เปเสสิฯ โส สฎฺฐิโยชนมคฺคํ คนฺตฺวา ทสพลสฺส จตุปริสมเชฺฌ นิสีทิตฺวา ธมฺมเทสนาเวลาย วิหารํ ปาวิสิฯ โส ‘‘ติฎฺฐตุ ตาว รญฺญา ปหิตสาสน’’นฺติ ปริสปริยเนฺต ฐิโต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ยถาฐิโตว สทฺธิํ ปุริสสหเสฺสหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถ เนสํ สตฺถา ‘‘เอถ ภิกฺขโว’’ติ หตฺถํ ปสาเรสิ, สเพฺพ ตํขณํเยว อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรา วสฺสสฎฺฐิกเตฺถรา วิย อเหสุํฯ อรหตฺตํ ปตฺตกาลโต ปฎฺฐาย ปน อริยา นาม มชฺฌตฺตาว โหนฺตีติ รญฺญา ปหิตสาสนํ ทสพลสฺส น กเถสิฯ ราชา ‘‘เนว คโต อาคจฺฉติ, น สาสนํ สุยฺยตี’’ติ ‘‘เอหิ, ตาต, ตฺวํ คจฺฉา’’ติ เตเนว นิยาเมน อญฺญํ อมจฺจํ เปเสสิฯ โสปิ คนฺตฺวา ปุริมนเยเนว สทฺธิํ ปริสาย อรหตฺตํ ปตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ เอวํ นวหิ อมเจฺจหิ สทฺธิํ นว ปุริสสหสฺสานิ เปเสสิฯ สเพฺพ อตฺตโน กิจฺจํ นิฎฺฐาเปตฺวา ตุณฺหี อเหสุํฯ

    Aparabhāge bodhisatto mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā anukkamena sabbaññutaṃ patvā pavattitavaradhammacakko lokānuggahaṃ karonto rājagahaṃ upanissāya viharati. Tasmiṃ samaye suddhodanamahārājā ‘‘siddhatthakumāro abhisambodhiṃ patvā rājagahaṃ upanissāya veḷuvane viharatī’’ti sutvā purisasahassaparivāraṃ ekaṃ amaccaṃ ‘‘puttaṃ me idha ānehī’’ti pesesi. So saṭṭhiyojanamaggaṃ gantvā dasabalassa catuparisamajjhe nisīditvā dhammadesanāvelāya vihāraṃ pāvisi. So ‘‘tiṭṭhatu tāva raññā pahitasāsana’’nti parisapariyante ṭhito satthu dhammadesanaṃ sutvā yathāṭhitova saddhiṃ purisasahassehi arahattaṃ pāpuṇi. Atha nesaṃ satthā ‘‘etha bhikkhavo’’ti hatthaṃ pasāresi, sabbe taṃkhaṇaṃyeva iddhimayapattacīvaradharā vassasaṭṭhikattherā viya ahesuṃ. Arahattaṃ pattakālato paṭṭhāya pana ariyā nāma majjhattāva hontīti raññā pahitasāsanaṃ dasabalassa na kathesi. Rājā ‘‘neva gato āgacchati, na sāsanaṃ suyyatī’’ti ‘‘ehi, tāta, tvaṃ gacchā’’ti teneva niyāmena aññaṃ amaccaṃ pesesi. Sopi gantvā purimanayeneva saddhiṃ parisāya arahattaṃ patvā tuṇhī ahosi. Evaṃ navahi amaccehi saddhiṃ nava purisasahassāni pesesi. Sabbe attano kiccaṃ niṭṭhāpetvā tuṇhī ahesuṃ.

    อถ ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘เอตฺตกา ชนา มยิ สิเนหาภาเวน ทสพลสฺส อิธาคมนตฺถาย น กิญฺจิ กถยิํสุ, อเญฺญ คนฺตฺวาปิ ทสพลํ อาเนตุํ น สกฺขิสฺสนฺติฯ มยฺหํ โข ปน ปุโตฺต อุทายี ทสพเลน สทฺธิํ เอกวโย สหปํสุกีฬิโก, มยิ จสฺส สิเนโห อตฺถี’’ติ กาฬุทายิํ ปโกฺกสาเปตฺวา, ‘‘ตาต, ปุริสสหสฺสปริวาโร คนฺตฺวา ทสพลํ อาเนหี’’ติ อาหฯ ปฐมํ คตปุริสา วิย ปพฺพชิตุํ ลภโนฺต อาเนสฺสามิ, เทวาติฯ ยํกิญฺจิ กตฺวา มม ปุตฺตํ ทเสฺสหีติฯ ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ รโญฺญ สาสนํ อาทาย ราชคหํ คนฺตฺวา สตฺถุ ธมฺมเทสนาเวลาย ปริสปริยเนฺต ฐิโต ธมฺมํ สุตฺวา สปริวาโร อรหตฺตผลํ ปตฺวา เอหิภิกฺขุภาเว ปติฎฺฐาสิฯ ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘น ตาว ทสพลสฺส กุลนครํ คนฺตุํ เอส กาโล, วสนฺตสมเย สุปุปฺผิเตสุ วนสเณฺฑสุ หริตติณสญฺฉนฺนาย ปถวิยา เอส กาโล ภวิสฺสตี’’ติ กาลํ ปฎิมาเนโนฺต ตสฺส กาลสฺส อาคตภาวํ ญตฺวา –

    Atha rājā cintesi – ‘‘ettakā janā mayi sinehābhāvena dasabalassa idhāgamanatthāya na kiñci kathayiṃsu, aññe gantvāpi dasabalaṃ ānetuṃ na sakkhissanti. Mayhaṃ kho pana putto udāyī dasabalena saddhiṃ ekavayo sahapaṃsukīḷiko, mayi cassa sineho atthī’’ti kāḷudāyiṃ pakkosāpetvā, ‘‘tāta, purisasahassaparivāro gantvā dasabalaṃ ānehī’’ti āha. Paṭhamaṃ gatapurisā viya pabbajituṃ labhanto ānessāmi, devāti. Yaṃkiñci katvā mama puttaṃ dassehīti. ‘‘Sādhu, devā’’ti rañño sāsanaṃ ādāya rājagahaṃ gantvā satthu dhammadesanāvelāya parisapariyante ṭhito dhammaṃ sutvā saparivāro arahattaphalaṃ patvā ehibhikkhubhāve patiṭṭhāsi. Tato cintesi – ‘‘na tāva dasabalassa kulanagaraṃ gantuṃ esa kālo, vasantasamaye supupphitesu vanasaṇḍesu haritatiṇasañchannāya pathaviyā esa kālo bhavissatī’’ti kālaṃ paṭimānento tassa kālassa āgatabhāvaṃ ñatvā –

    ‘‘นาติสีตํ นาติอุณฺหํ, นาติทุพฺภิกฺขฉาตกํ;

    ‘‘Nātisītaṃ nātiuṇhaṃ, nātidubbhikkhachātakaṃ;

    สทฺทลา หริตา ภูมิ, เอส กาโล มหามุนี’’ติฯ –

    Saddalā haritā bhūmi, esa kālo mahāmunī’’ti. –

    สฎฺฐิมตฺตาหิ คาถาหิ ทสพลสฺส กุลนครํ คมนตฺถาย คมนวณฺณํ วเณฺณสิฯ สตฺถา ‘‘อุทายี คมนวณฺณํ กเถติ, กปิลวตฺถุนครํ คนฺตุํ เอส กาโล’’ติ วีสติสหสฺสภิกฺขุปริวาโร อตุริตคมเนน จาริกํ นิกฺขมิฯ

    Saṭṭhimattāhi gāthāhi dasabalassa kulanagaraṃ gamanatthāya gamanavaṇṇaṃ vaṇṇesi. Satthā ‘‘udāyī gamanavaṇṇaṃ katheti, kapilavatthunagaraṃ gantuṃ esa kālo’’ti vīsatisahassabhikkhuparivāro aturitagamanena cārikaṃ nikkhami.

    อุทายิเตฺถโร สตฺถุ นิกฺขนฺตภาวํ ญตฺวา ‘‘ปิตุ มหาราชสฺส สญฺญํ ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา รโญฺญ นิเวสเน ปาตุรโหสิฯ สุโทฺธทนมหาราชา เถรํ ทิสฺวา ตุฎฺฐจิโตฺต มหารเห ปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา อตฺตโน ปฎิยาทิตสฺส นานคฺครสโภชนสฺส ปตฺตํ ปูเรตฺวา อทาสิฯ เถโร อุฎฺฐาย คมนากปฺปํ ทเสฺสสิฯ นิสีทิตฺวาว ภุญฺช, ตาตาติฯ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ภุญฺชิสฺสามิ, มหาราชาติฯ กหํ ปน, ตาต, สตฺถาติ? วีสติสหสฺสภิกฺขุปริวาโร ตุมฺหากํ ทสฺสนตฺถาย จาริกํ นิกฺขโนฺต, มหาราชาติฯ ตุเมฺห อิมํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา ยาว มม ปุโตฺต อิมํ นครํ สมฺปาปุณาติ, ตาวสฺส อิโตว ปิณฺฑปาตํ หรถาติฯ เถโร ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ทสพลสฺส อาหริตพฺพํ ภตฺตํ คเหตฺวา ธมฺมกถํ กเถตฺวา ทสพลสฺส อทสฺสเนเนว สกลราชนิเวสนํ สทฺธาปฎิลาภํ ลภาเปตฺวา สเพฺพสํ ปสฺสนฺตานเญฺญว ปตฺตํ อากาเส วิสฺสเชฺชตฺวา สยมฺปิ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปิณฺฑปาตํ อาทาย สตฺถุ หเตฺถ ฐเปสิ, สตฺถา ตํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิฯ เถโร สฎฺฐิโยชนมคฺคํ โยชนปรมํ คจฺฉนฺตสฺส สตฺถุโน ทิวเส ทิวเส ราชเคหโต ภตฺตํ อาหริตฺวา อทาสิฯ เอวํ วตฺถุ เวทิตพฺพํฯ อถ อปรภาเค สตฺถา ‘‘มยฺหํ ปิตุ มหาราชสฺส สกลนิเวสนํ ปสาเทสี’’ติ เถรํ กุลปฺปสาทกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Udāyitthero satthu nikkhantabhāvaṃ ñatvā ‘‘pitu mahārājassa saññaṃ dātuṃ vaṭṭatī’’ti vehāsaṃ abbhuggantvā rañño nivesane pāturahosi. Suddhodanamahārājā theraṃ disvā tuṭṭhacitto mahārahe pallaṅke nisīdāpetvā attano paṭiyāditassa nānaggarasabhojanassa pattaṃ pūretvā adāsi. Thero uṭṭhāya gamanākappaṃ dassesi. Nisīditvāva bhuñja, tātāti. Satthu santikaṃ gantvā bhuñjissāmi, mahārājāti. Kahaṃ pana, tāta, satthāti? Vīsatisahassabhikkhuparivāro tumhākaṃ dassanatthāya cārikaṃ nikkhanto, mahārājāti. Tumhe imaṃ piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā yāva mama putto imaṃ nagaraṃ sampāpuṇāti, tāvassa itova piṇḍapātaṃ harathāti. Thero bhattakiccaṃ katvā dasabalassa āharitabbaṃ bhattaṃ gahetvā dhammakathaṃ kathetvā dasabalassa adassaneneva sakalarājanivesanaṃ saddhāpaṭilābhaṃ labhāpetvā sabbesaṃ passantānaññeva pattaṃ ākāse vissajjetvā sayampi vehāsaṃ abbhuggantvā piṇḍapātaṃ ādāya satthu hatthe ṭhapesi, satthā taṃ piṇḍapātaṃ paribhuñji. Thero saṭṭhiyojanamaggaṃ yojanaparamaṃ gacchantassa satthuno divase divase rājagehato bhattaṃ āharitvā adāsi. Evaṃ vatthu veditabbaṃ. Atha aparabhāge satthā ‘‘mayhaṃ pitu mahārājassa sakalanivesanaṃ pasādesī’’ti theraṃ kulappasādakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    พากุลเตฺถรวตฺถุ

    Bākulattheravatthu

    ๒๒๖. จตุเตฺถ อปฺปาพาธานนฺติ นิราพาธานํฯ พากุโลติ ทฺวีสุ กุเลสุ วฑฺฒิตตฺตา เอวํลทฺธนาโม เถโรฯ

    226. Catutthe appābādhānanti nirābādhānaṃ. Bākuloti dvīsu kulesu vaḍḍhitattā evaṃladdhanāmo thero.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยํ กิร อตีเต อิโต กปฺปสตสหสฺสาธิเก อสเงฺขฺยยฺยมตฺถเก อโนมทสฺสิทสพลสฺส นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว พฺราหฺมณกุเล ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา วยํ อาคมฺม อุคฺคหิตเวโท เวทตฺตเย สารํ อปสฺสโนฺต ‘‘สมฺปรายิกตฺถํ คเวสิสฺสามี’’ติ ปพฺพตปาเท อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ปญฺจาภิญฺญา-อฎฺฐสมาปตฺติลาภี หุตฺวา ฌานกีฬิตาย วีตินาเมสิฯ ตสฺมิํ สมเย อโนมทสฺสี โพธิสโตฺต สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา อริยคณปริวุโต จาริกํ จรติฯ ตาปโส ‘‘ตีณิ รตนานิ อุปฺปนฺนานี’’ติ สุตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา เทสนาปริโยสาเน สรเณสุ ปติฎฺฐิโต, อตฺตโน ฐานํ ปน วิชหิตุํ นาสกฺขิฯ โส กาเลน กาลํ สตฺถุ ทสฺสนาย เจว คจฺฉติ, ธมฺมญฺจ สุณาติฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayaṃ kira atīte ito kappasatasahassādhike asaṅkhyeyyamatthake anomadassidasabalassa nibbattito puretarameva brāhmaṇakule paṭisandhiṃ gaṇhitvā vayaṃ āgamma uggahitavedo vedattaye sāraṃ apassanto ‘‘samparāyikatthaṃ gavesissāmī’’ti pabbatapāde isipabbajjaṃ pabbajitvā pañcābhiññā-aṭṭhasamāpattilābhī hutvā jhānakīḷitāya vītināmesi. Tasmiṃ samaye anomadassī bodhisatto sabbaññutaṃ patvā ariyagaṇaparivuto cārikaṃ carati. Tāpaso ‘‘tīṇi ratanāni uppannānī’’ti sutvā satthu santikaṃ gantvā dhammaṃ sutvā desanāpariyosāne saraṇesu patiṭṭhito, attano ṭhānaṃ pana vijahituṃ nāsakkhi. So kālena kālaṃ satthu dassanāya ceva gacchati, dhammañca suṇāti.

    อเถกสฺมิํ สมเย ตถาคตสฺส อุทรวาโต อุปฺปชฺชิฯ ตาปโส สตฺถุ ทสฺสนตฺถาย อาคโต ‘‘สตฺถา คิลาโน’’ติ สุตฺวา ‘‘โก, ภเนฺต, อาพาโธ’’ติฯ ‘‘อุทรวาโต’’ติ วุเตฺต ‘‘อยํ กาโล มยฺหํ ปุญฺญํ กาตุ’’นฺติ ปพฺพตปาทํ คนฺตฺวา นานาวิธานิ เภสชฺชานิ สโมธาเนตฺวา ‘‘อิทํ เภสชฺชํ สตฺถุ อุปเนถา’’ติ อุปฎฺฐากเตฺถรสฺส อทาสิฯ สห เภสชฺชสฺส อุปโยเคน อุทรวาโต ปฎิปฺปสฺสมฺภิฯ โส สตฺถุ ผาสุกกาเล คนฺตฺวา เอวมาห – ‘‘ภเนฺต, ยทิทํ มม เภสเชฺชน ตถาคตสฺส ผาสุกํ ชาตํ, ตสฺส เม นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตภเว คทฺทูหนมตฺตมฺปิ สรีเร พฺยาธิ นาม มา โหตู’’ติฯ อิทมสฺส ตสฺมิํ อตฺตภาเว กลฺยาณกมฺมํฯ

    Athekasmiṃ samaye tathāgatassa udaravāto uppajji. Tāpaso satthu dassanatthāya āgato ‘‘satthā gilāno’’ti sutvā ‘‘ko, bhante, ābādho’’ti. ‘‘Udaravāto’’ti vutte ‘‘ayaṃ kālo mayhaṃ puññaṃ kātu’’nti pabbatapādaṃ gantvā nānāvidhāni bhesajjāni samodhānetvā ‘‘idaṃ bhesajjaṃ satthu upanethā’’ti upaṭṭhākattherassa adāsi. Saha bhesajjassa upayogena udaravāto paṭippassambhi. So satthu phāsukakāle gantvā evamāha – ‘‘bhante, yadidaṃ mama bhesajjena tathāgatassa phāsukaṃ jātaṃ, tassa me nissandena nibbattanibbattabhave gaddūhanamattampi sarīre byādhi nāma mā hotū’’ti. Idamassa tasmiṃ attabhāve kalyāṇakammaṃ.

    โส ตโต จุโต พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติตฺวา เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ อปฺปาพาธานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส ยาวตายุกํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต วิปสฺสีทสพลสฺส นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว พนฺธุมตีนคเร พฺราหฺมณกุเล นิพฺพโตฺต ปุริมนเยเนว อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ฌานลาภี หุตฺวา ปพฺพตปาเท วสติฯ

    So tato cuto brahmaloke nibbattitvā ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ devamanussesu saṃsaranto padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare kulagehe paṭisandhiṃ gahetvā satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ appābādhānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So yāvatāyukaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto vipassīdasabalassa nibbattito puretarameva bandhumatīnagare brāhmaṇakule nibbatto purimanayeneva isipabbajjaṃ pabbajitvā jhānalābhī hutvā pabbatapāde vasati.

    วิปสฺสีโพธิสโตฺตปิ สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา อฎฺฐสฎฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสปริวาโร พนฺธุมตีนครํ อุปนิสฺสาย ปิตุ มหาราชสฺส สงฺคหํ กโรโนฺต เขเม มิคทาเย วิหรติฯ อถายํ ตาปโส ทสพลสฺส โลเก นิพฺพตฺตภาวํ ญตฺวา อาคนฺตฺวา สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา สรเณสุ ปติฎฺฐาสิ, อตฺตโน ปพฺพชฺชํ ชหิตุํ นาสกฺขิ, กาเลน กาลํ ปน สตฺถุ อุปฎฺฐานํ คจฺฉติฯ

    Vipassībodhisattopi sabbaññutaṃ patvā aṭṭhasaṭṭhibhikkhusatasahassaparivāro bandhumatīnagaraṃ upanissāya pitu mahārājassa saṅgahaṃ karonto kheme migadāye viharati. Athāyaṃ tāpaso dasabalassa loke nibbattabhāvaṃ ñatvā āgantvā satthu dhammakathaṃ sutvā saraṇesu patiṭṭhāsi, attano pabbajjaṃ jahituṃ nāsakkhi, kālena kālaṃ pana satthu upaṭṭhānaṃ gacchati.

    อเถกสฺมิํ สมเย ฐเปตฺวา สตฺถารเญฺจว เทฺว อคฺคสาวเก จ หิมวติ ปุปฺผิตานํ วิสรุกฺขานํ วาตสมฺผเสฺสน เสสภิกฺขูนํ มตฺถกโรโค นาม อุทปาทิฯ ตาปโส สตฺถุ อุปฎฺฐานํ อาคโต ภิกฺขู สสีสํ ปารุปิตฺวา นิปเนฺน ทิสฺวา – ‘‘กิํ, ภเนฺต, ภิกฺขุสงฺฆสฺส อผาสุก’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ภิกฺขูนํ ติณปุปฺผกโรโค, อาวุโสติฯ ตาปโส จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ กาโล มยฺหํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส กายเวยฺยาวติกกมฺมํ กตฺวา ปุญฺญํ นิพฺพเตฺตตุ’’นฺติ อตฺตโน อานุภาเวน นานาวิธานิ เภสชฺชานิ สํกฑฺฒิตฺวา โยเชตฺวา อทาสิฯ สพฺพภิกฺขูนํ โรโค ตํขณํเยว วูปสโนฺตฯ

    Athekasmiṃ samaye ṭhapetvā satthārañceva dve aggasāvake ca himavati pupphitānaṃ visarukkhānaṃ vātasamphassena sesabhikkhūnaṃ matthakarogo nāma udapādi. Tāpaso satthu upaṭṭhānaṃ āgato bhikkhū sasīsaṃ pārupitvā nipanne disvā – ‘‘kiṃ, bhante, bhikkhusaṅghassa aphāsuka’’nti pucchi. Bhikkhūnaṃ tiṇapupphakarogo, āvusoti. Tāpaso cintesi – ‘‘ayaṃ kālo mayhaṃ bhikkhusaṅghassa kāyaveyyāvatikakammaṃ katvā puññaṃ nibbattetu’’nti attano ānubhāvena nānāvidhāni bhesajjāni saṃkaḍḍhitvā yojetvā adāsi. Sabbabhikkhūnaṃ rogo taṃkhaṇaṃyeva vūpasanto.

    โส ยาวตายุกํ ฐตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติตฺวา เอกนวุติกเปฺป เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต กสฺสปพุทฺธกาเล พาราณสิยํ กุลเคเห นิพฺพโตฺต ฆราวาสํ วสโนฺต ‘‘มยฺหํ วสนเคหํ ทุพฺพลํ, ปจฺจนฺตํ คนฺตฺวา ทพฺพสมฺภารํ อาหริตฺวา เคหํ กริสฺสามี’’ติ วฑฺฒกีหิ สทฺธิํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค เอกํ ชิณฺณํ มหาวิหารํ ทิสฺวา ‘‘ติฎฺฐตุ ตาว มยฺหํ เคหกมฺมํ, น ตํ มยา สทฺธิํ คมิสฺสติ, ยํกิญฺจิ กตฺวา ปน สทฺธิํ คมนกมฺมเมว ปุเรตรํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ เตเหว วฑฺฒกีหิ ทพฺพสมฺภารํ คาหาเปตฺวา ตสฺมิํ วิหาเร อุโปสถาคารํ กาเรสิ, โภชนสาลํ อคฺคิสาลํ ทีฆจงฺกมํ ชนฺตาฆรํ กปฺปิยกุฎิํ วจฺจกุฎิํ อาโรคฺยสาลํ กาเรสิ, ยํกิญฺจิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อุปโภคปริโภคํ เภสชฺชํ นาม สพฺพํ ปฎิยาเทตฺวา ฐเปสิฯ

    So yāvatāyukaṃ ṭhatvā brahmaloke nibbattitvā ekanavutikappe devamanussesu saṃsaranto kassapabuddhakāle bārāṇasiyaṃ kulagehe nibbatto gharāvāsaṃ vasanto ‘‘mayhaṃ vasanagehaṃ dubbalaṃ, paccantaṃ gantvā dabbasambhāraṃ āharitvā gehaṃ karissāmī’’ti vaḍḍhakīhi saddhiṃ gacchanto antarāmagge ekaṃ jiṇṇaṃ mahāvihāraṃ disvā ‘‘tiṭṭhatu tāva mayhaṃ gehakammaṃ, na taṃ mayā saddhiṃ gamissati, yaṃkiñci katvā pana saddhiṃ gamanakammameva puretaraṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti teheva vaḍḍhakīhi dabbasambhāraṃ gāhāpetvā tasmiṃ vihāre uposathāgāraṃ kāresi, bhojanasālaṃ aggisālaṃ dīghacaṅkamaṃ jantāgharaṃ kappiyakuṭiṃ vaccakuṭiṃ ārogyasālaṃ kāresi, yaṃkiñci bhikkhusaṅghassa upabhogaparibhogaṃ bhesajjaṃ nāma sabbaṃ paṭiyādetvā ṭhapesi.

    โส ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อมฺหากํ ทสพลสฺส นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว โกสมฺพิยํ เสฎฺฐิเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตสฺส ปฎิสนฺธิคฺคหณทิวสโต ปฎฺฐาย ตํ เสฎฺฐิกุลํ ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตํ อโหสิฯ อถสฺส มาตา ปุตฺตํ วิชายิตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ทารโก ปุญฺญวา กตาธิกาโร, ยตฺตกํ กาลํ อโรโค ทีฆายุโก หุตฺวา ติฎฺฐติ, ตตฺตกํ อมฺหากํ สมฺปตฺติทายโก ภวิสฺสติฯ ชาตทิวเสเยว มหายมุนาย นฺหาตทารกา นิโรคา โหนฺตี’’ติ นฺหาปนตฺถาย นํ เปเสสิฯ ‘‘ปญฺจเม ทิวเส สีสํ นฺหาเปตฺวา นทีกีฬนตฺถาย นํ เปเสสี’’ติ มชฺฌิมภาณกาฯ ตตฺถ ธาติยา ทารกํ นิมุชฺชนุมฺมุชฺชนวเสน กีฬาเปนฺติยา เอโก มโจฺฉ ทารกํ ทิสฺวา ‘‘ภโกฺข เม อย’’นฺติ มญฺญมาโน มุขํ วิวริตฺวา อุปคโตฯ ธาตี ทารกํ ฉเฑฺฑตฺวา ปลาตา, มโจฺฉ ตํ คิลิฯ ปุญฺญวา สโตฺต ทุกฺขํ น ปาปุณิ, สยนคพฺภํ ปวิสิตฺวา นิปโนฺน วิย อโหสิฯ มโจฺฉ ทารกสฺส เตเชน ตตฺตผาลํ คิลิตฺวา ฑยฺหมาโน วิย เวเคน ติํสโยชนํ คนฺตฺวา พาราณสินครวาสิโน มจฺฉพนฺธสฺส ชาลํ ปาวิสิฯ มหามจฺฉา นาม ชาเลน พทฺธา มาริยมานาว มรนฺติ, อยํ ปน ทารกสฺส เตเชน ชาลโต นีหฎมโตฺตว มโตฯ มจฺฉพนฺธา จ มหามจฺฉํ ลภิตฺวา ผาเลตฺวา วิกฺกิณนฺติ, ตํ ปน ทารกสฺส อานุภาเวน อผาเลตฺวา สกลเมว กาเชน หริตฺวา ‘‘สหเสฺสน เทมา’’ติ วทนฺตา นคเร วิจริํสุ, โกจิ น คณฺหาติฯ

    So yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā ekaṃ buddhantaraṃ devamanussesu saṃsaranto amhākaṃ dasabalassa nibbattito puretarameva kosambiyaṃ seṭṭhigehe paṭisandhiṃ gaṇhi. Tassa paṭisandhiggahaṇadivasato paṭṭhāya taṃ seṭṭhikulaṃ lābhaggayasaggappattaṃ ahosi. Athassa mātā puttaṃ vijāyitvā cintesi – ‘‘ayaṃ dārako puññavā katādhikāro, yattakaṃ kālaṃ arogo dīghāyuko hutvā tiṭṭhati, tattakaṃ amhākaṃ sampattidāyako bhavissati. Jātadivaseyeva mahāyamunāya nhātadārakā nirogā hontī’’ti nhāpanatthāya naṃ pesesi. ‘‘Pañcame divase sīsaṃ nhāpetvā nadīkīḷanatthāya naṃ pesesī’’ti majjhimabhāṇakā. Tattha dhātiyā dārakaṃ nimujjanummujjanavasena kīḷāpentiyā eko maccho dārakaṃ disvā ‘‘bhakkho me aya’’nti maññamāno mukhaṃ vivaritvā upagato. Dhātī dārakaṃ chaḍḍetvā palātā, maccho taṃ gili. Puññavā satto dukkhaṃ na pāpuṇi, sayanagabbhaṃ pavisitvā nipanno viya ahosi. Maccho dārakassa tejena tattaphālaṃ gilitvā ḍayhamāno viya vegena tiṃsayojanaṃ gantvā bārāṇasinagaravāsino macchabandhassa jālaṃ pāvisi. Mahāmacchā nāma jālena baddhā māriyamānāva maranti, ayaṃ pana dārakassa tejena jālato nīhaṭamattova mato. Macchabandhā ca mahāmacchaṃ labhitvā phāletvā vikkiṇanti, taṃ pana dārakassa ānubhāvena aphāletvā sakalameva kājena haritvā ‘‘sahassena demā’’ti vadantā nagare vicariṃsu, koci na gaṇhāti.

    ตสฺมิํ ปน นคเร อปุตฺตกํ อสีติโกฎิวิภวํ เสฎฺฐิกุลํ อตฺถิฯ ตสฺส ทฺวารมูลํ ปตฺวา ‘‘กิํ คเหตฺวา เทถา’’ติ วุตฺตา ‘‘กหาปณ’’นฺติ อาหํสุฯ เตหิ กหาปณํ ทตฺวา คหิโตฯ เสฎฺฐิภริยาปิ อเญฺญสุ ทิวเสสุ มเจฺฉ น เกฬายติ, ตํทิวสํ ปน มจฺฉํ ผลเก ฐเปตฺวา สยเมว ผาเลสิฯ มจฺฉญฺจ นาม กุจฺฉิโต ผาเลนฺติ, สา ปน ปิฎฺฐิโต ผาเลนฺตี มจฺฉกุจฺฉิยํ สุวณฺณวณฺณํ ทารกํ ทิสฺวา ‘‘มจฺฉกุจฺฉิยํ เม ปุโตฺต ลโทฺธ’’ติ นาทํ นทิตฺวา ทารกํ อาทาย สามิกสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ เสฎฺฐิ ตาวเทว เภริํ จราเปตฺวา ทารกมาทาย รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘มจฺฉกุจฺฉิยํ เม, เทว, ทารโก ลโทฺธ, กิํ กโรมา’’ติ อาหฯ ปุญฺญวา เอส, โย มจฺฉกุจฺฉิยํ อาโรโค วสิ, โปเสหิ นนฺติ ฯ

    Tasmiṃ pana nagare aputtakaṃ asītikoṭivibhavaṃ seṭṭhikulaṃ atthi. Tassa dvāramūlaṃ patvā ‘‘kiṃ gahetvā dethā’’ti vuttā ‘‘kahāpaṇa’’nti āhaṃsu. Tehi kahāpaṇaṃ datvā gahito. Seṭṭhibhariyāpi aññesu divasesu macche na keḷāyati, taṃdivasaṃ pana macchaṃ phalake ṭhapetvā sayameva phālesi. Macchañca nāma kucchito phālenti, sā pana piṭṭhito phālentī macchakucchiyaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ dārakaṃ disvā ‘‘macchakucchiyaṃ me putto laddho’’ti nādaṃ naditvā dārakaṃ ādāya sāmikassa santikaṃ agamāsi. Seṭṭhi tāvadeva bheriṃ carāpetvā dārakamādāya rañño santikaṃ gantvā ‘‘macchakucchiyaṃ me, deva, dārako laddho, kiṃ karomā’’ti āha. Puññavā esa, yo macchakucchiyaṃ ārogo vasi, posehi nanti .

    อโสฺสสิ โข อิตรํ กุลํ ‘‘พาราณสิยํ กิร เอกํ เสฎฺฐิกุลํ มจฺฉกุจฺฉิยํ ทารกํ ลภี’’ติฯ เต ตตฺถ อคมํสุฯ อถสฺส มาตา ทารกํ อลงฺกริตฺวา กีฬาปิยมานํ ทิสฺวา ‘‘มนาโป วตายํ ทารโก’’ติ คเหตฺวา ปกติํ อาจิกฺขิฯ อิตรา ‘‘มยฺหํ ปุโตฺต’’ติ อาหฯ กหํ เต ลโทฺธติฯ มจฺฉกุจฺฉิยนฺติฯ น ตุยฺหํ ปุโตฺต, มยฺหํ ปุโตฺตติฯ กหํ เต ลโทฺธติฯ มยา ทส มาเส กุจฺฉิยา ธาริโต, อถ นํ นทิยา กีฬาปิยมานํ มโจฺฉ คิลีติฯ ตุยฺหํ ปุโตฺต อเญฺญน มเจฺฉน คิลิโต ภวิสฺสติ, อยํ ปน มยา มจฺฉกุจฺฉิยํ ลโทฺธติ อุโภปิ ราชกุลํ อคมํสุฯ ราชา อาห – ‘‘อยํ ทส มาเส กุจฺฉิยา ธาริตตฺตา อมาตา กาตุํ น สกฺกา, มจฺฉํ คณฺหนฺตาปิ วกฺกยกนาทีนิ พหิ กตฺวา คณฺหนฺตา นาม นตฺถีติ มจฺฉกุจฺฉิยํ ลทฺธตฺตา อยมฺปิ อมาตา กาตุํ น สกฺกา, ทารโก อุภินฺนมฺปิ กุลานํ ทายาโท โหตู’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย เทฺวปิ กุลานิ อติวิย ลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺตานิ อเหสุํฯ ตสฺส ทฺวีหิ กุเลหิ วฑฺฒิตตฺตา พากุลกุมาโรติ นามํ กริํสุฯ

    Assosi kho itaraṃ kulaṃ ‘‘bārāṇasiyaṃ kira ekaṃ seṭṭhikulaṃ macchakucchiyaṃ dārakaṃ labhī’’ti. Te tattha agamaṃsu. Athassa mātā dārakaṃ alaṅkaritvā kīḷāpiyamānaṃ disvā ‘‘manāpo vatāyaṃ dārako’’ti gahetvā pakatiṃ ācikkhi. Itarā ‘‘mayhaṃ putto’’ti āha. Kahaṃ te laddhoti. Macchakucchiyanti. Na tuyhaṃ putto, mayhaṃ puttoti. Kahaṃ te laddhoti. Mayā dasa māse kucchiyā dhārito, atha naṃ nadiyā kīḷāpiyamānaṃ maccho gilīti. Tuyhaṃ putto aññena macchena gilito bhavissati, ayaṃ pana mayā macchakucchiyaṃ laddhoti ubhopi rājakulaṃ agamaṃsu. Rājā āha – ‘‘ayaṃ dasa māse kucchiyā dhāritattā amātā kātuṃ na sakkā, macchaṃ gaṇhantāpi vakkayakanādīni bahi katvā gaṇhantā nāma natthīti macchakucchiyaṃ laddhattā ayampi amātā kātuṃ na sakkā, dārako ubhinnampi kulānaṃ dāyādo hotū’’ti. Tato paṭṭhāya dvepi kulāni ativiya lābhaggayasaggappattāni ahesuṃ. Tassa dvīhi kulehi vaḍḍhitattā bākulakumāroti nāmaṃ kariṃsu.

    ตสฺส วิญฺญุตํ ปตฺตสฺส ทฺวีสุปิ นคเรสุ ตโย ตโย ปาสาเท กาเรตฺวา นาฎกานิ ปจฺจุปฎฺฐเปสุํฯ เอเกกสฺมิํ นคเร จตฺตาโร จตฺตาโร มาเส วสติฯ เอกสฺมิํ นคเร จตฺตาโร มาเส วุตฺถสฺส สงฺฆาฎนาวาสุ มณฺฑปํ กาเรตฺวา ตตฺถ นํ สทฺธิํ นาฎเกหิ อาโรเปนฺติฯ โส สมฺปตฺติํ อนุภวมาโน จตูหิ มาเสหิ อิตรํ นครํ คจฺฉติฯ ตํนครวาสีนิ นาฎกานิ ‘‘ทฺวีหิ มาเสหิ อุปฑฺฒมคฺคํ อาคโต ภวิสฺสตี’’ติ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ตํ ปริวาเรตฺวา ทฺวีหิ มาเสหิ อตฺตโน นครํ เนนฺติ, อิตรานิ นาฎกานิ นิวตฺติตฺวา อตฺตโน นครเมว คจฺฉนฺติฯ ตตฺถ จตฺตาโร มาเส วสิตฺวา เตเนว นิยาเมน ปุน อิตรํ นครํ คจฺฉติฯ เอวมสฺส สมฺปตฺติํ อนุภวนฺตสฺส อสีติ วสฺสานิ ปริปุณฺณานิฯ

    Tassa viññutaṃ pattassa dvīsupi nagaresu tayo tayo pāsāde kāretvā nāṭakāni paccupaṭṭhapesuṃ. Ekekasmiṃ nagare cattāro cattāro māse vasati. Ekasmiṃ nagare cattāro māse vutthassa saṅghāṭanāvāsu maṇḍapaṃ kāretvā tattha naṃ saddhiṃ nāṭakehi āropenti. So sampattiṃ anubhavamāno catūhi māsehi itaraṃ nagaraṃ gacchati. Taṃnagaravāsīni nāṭakāni ‘‘dvīhi māsehi upaḍḍhamaggaṃ āgato bhavissatī’’ti paccuggantvā taṃ parivāretvā dvīhi māsehi attano nagaraṃ nenti, itarāni nāṭakāni nivattitvā attano nagarameva gacchanti. Tattha cattāro māse vasitvā teneva niyāmena puna itaraṃ nagaraṃ gacchati. Evamassa sampattiṃ anubhavantassa asīti vassāni paripuṇṇāni.

    ตสฺมิํ สมเย อมฺหากํ โพธิสโตฺต สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก อนุกฺกเมน จาริกํ จรมาโน โกสมฺพิํ ปาปุณิ, พาราณสินฺติ มชฺฌิมภาณกาฯ พากุโล เสฎฺฐิปิ โข ‘‘ทสพโล อาคโต’’ติ สุตฺวา พหุํ คนฺธมาลํ อาทาย สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมกถํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิฯ โส สตฺตาหเมว ปุถุชฺชโน หุตฺวา อฎฺฐเม อรุเณ สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถสฺส ทฺวีสุ นคเรสุ คิหิกาเล ปริจาริกมาตุคามา อตฺตโน กุลฆรานิ อาคนฺตฺวา ตตฺถ วสมานา จีวรานิ กตฺวา ปหิณิํสุฯ เถโร เอกํ อทฺธมาสํ โกสมฺพิวาสิเกหิ ปหิตํ จีวรํ ภุญฺชติ, เอกํ อทฺธมาสํ พาราณสิวาสิเกหีติฯ เอเตเนว นิยาเมน ทฺวีสุปิ นคเรสุ ยํ ยํ อุตฺตมํ, ตํ ตํ เถรเสฺสว อาหริยติฯ เถรสฺส อสีติ วสฺสานิ อคารมเชฺฌ วสนฺตสฺส ทฺวีหงฺคุเลหิ คนฺธปิณฺฑํ คเหตฺวา อุปสิงฺฆนมตฺตมฺปิ กาลํ น โกจิ อาพาโธ นาม อโหสิฯ อาสีติเม วเสฺส สุเขเนว ปพฺพชฺชํ อุปคโตฯ ปพฺพชิตสฺสาปิสฺส อปฺปมตฺตโกปิ อาพาโธ วา จตูหิ ปจฺจเยหิ เวกลฺลํ วา นาโหสิฯ โส ปจฺฉิเม กาเล ปรินิพฺพานสมเยปิ ปุราณคิหิสหายกสฺส อเจลกสฺสปสฺส อตฺตโน กายิกเจตสิกสุขทีปนวเสเนว สกลํ พากุลสุตฺตํ (ม. นิ. ๓.๒๐๙ อาทโย) กเถตฺวา อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ เอวํ อฎฺฐุปฺปตฺติ สมุฎฺฐิตาฯ สตฺถา ปน เถรสฺส ธรมานกาเลเยว เถเร ยถา ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต พากุลเตฺถรํ อิมสฺมิํ สาสเน อปฺปาพาธานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Tasmiṃ samaye amhākaṃ bodhisatto sabbaññutaṃ patvā pavattitavaradhammacakko anukkamena cārikaṃ caramāno kosambiṃ pāpuṇi, bārāṇasinti majjhimabhāṇakā. Bākulo seṭṭhipi kho ‘‘dasabalo āgato’’ti sutvā bahuṃ gandhamālaṃ ādāya satthu santikaṃ gantvā dhammakathaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbaji. So sattāhameva puthujjano hutvā aṭṭhame aruṇe saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Athassa dvīsu nagaresu gihikāle paricārikamātugāmā attano kulagharāni āgantvā tattha vasamānā cīvarāni katvā pahiṇiṃsu. Thero ekaṃ addhamāsaṃ kosambivāsikehi pahitaṃ cīvaraṃ bhuñjati, ekaṃ addhamāsaṃ bārāṇasivāsikehīti. Eteneva niyāmena dvīsupi nagaresu yaṃ yaṃ uttamaṃ, taṃ taṃ therasseva āhariyati. Therassa asīti vassāni agāramajjhe vasantassa dvīhaṅgulehi gandhapiṇḍaṃ gahetvā upasiṅghanamattampi kālaṃ na koci ābādho nāma ahosi. Āsītime vasse sukheneva pabbajjaṃ upagato. Pabbajitassāpissa appamattakopi ābādho vā catūhi paccayehi vekallaṃ vā nāhosi. So pacchime kāle parinibbānasamayepi purāṇagihisahāyakassa acelakassapassa attano kāyikacetasikasukhadīpanavaseneva sakalaṃ bākulasuttaṃ (ma. ni. 3.209 ādayo) kathetvā anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi. Evaṃ aṭṭhuppatti samuṭṭhitā. Satthā pana therassa dharamānakāleyeva there yathā paṭipāṭiyā ṭhānantare ṭhapento bākulattheraṃ imasmiṃ sāsane appābādhānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    โสภิตเตฺถรวตฺถุ

    Sobhitattheravatthu

    ๒๒๗. ปญฺจเม ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรนฺตานนฺติ ปุเพฺพ นิวุตฺถกฺขนฺธสนฺตานํ อนุสฺสรณสมตฺถานํ โสภิตเตฺถโร อโคฺคติ ทเสฺสติฯ โส กิร ปุเพฺพนิวาสํ อนุปฎิปาฎิยา อนุสฺสรมาโน ปญฺจ กปฺปสตานิ อสญฺญิภเว อจิตฺตกปฎิสนฺธิํ นยโต อคฺคเหสิ อากาเส ปทํ ทเสฺสโนฺต วิยฯ ตสฺมา ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรนฺตานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    227. Pañcame pubbenivāsaṃ anussarantānanti pubbe nivutthakkhandhasantānaṃ anussaraṇasamatthānaṃ sobhitatthero aggoti dasseti. So kira pubbenivāsaṃ anupaṭipāṭiyā anussaramāno pañca kappasatāni asaññibhave acittakapaṭisandhiṃ nayato aggahesi ākāse padaṃ dassento viya. Tasmā pubbenivāsaṃ anussarantānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา วยปฺปโตฺต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ปุเพฺพนิวาสญาณลาภีนํ ภิกฺขูนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส ยาวชีวํ กุสลกมฺมํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติ, โสภิโตติสฺส นามํ อกํสุฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare kulagehe paṭisandhiṃ gaṇhitvā vayappatto satthu dhammadesanaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ pubbenivāsañāṇalābhīnaṃ bhikkhūnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So yāvajīvaṃ kusalakammaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ brāhmaṇakule nibbatti, sobhitotissa nāmaṃ akaṃsu.

    โส อปเรน สมเยน สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา ปุเพฺพนิวาสญาเณ จิณฺณวสี อโหสิฯ โส อนุปฎิปาฎิยา อตฺตโน นิพฺพตฺตฎฺฐานํ อนุสฺสรโนฺต ยาว อสญฺญิภเว อจิตฺตกปฎิสนฺธิ, ตาว ปฎิสนฺธิํ อทฺทสฯ ตโต ปรํ อนฺตเร ปญฺจ กปฺปสตานิ ปวตฺติํ อทิสฺวา อวสาเน จุติํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นาเมต’’นฺติ อาวชฺชมาโน นยวเสน ‘‘อสญฺญิภโว ภวิสฺสตี’’ติ นิฎฺฐํ อคมาสิฯ สตฺถา อิมํ การณํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เถรํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    So aparena samayena satthu dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ patvā pubbenivāsañāṇe ciṇṇavasī ahosi. So anupaṭipāṭiyā attano nibbattaṭṭhānaṃ anussaranto yāva asaññibhave acittakapaṭisandhi, tāva paṭisandhiṃ addasa. Tato paraṃ antare pañca kappasatāni pavattiṃ adisvā avasāne cutiṃ disvā ‘‘kiṃ nāmeta’’nti āvajjamāno nayavasena ‘‘asaññibhavo bhavissatī’’ti niṭṭhaṃ agamāsi. Satthā imaṃ kāraṇaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā theraṃ pubbenivāsaṃ anussarantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    อุปาลิเตฺถรวตฺถุ

    Upālittheravatthu

    ๒๒๘. ฉเฎฺฐ วินยธรานํ ยทิทํ อุปาลีติ วินยธรานํ ภิกฺขูนํ อุปาลิเตฺถโร อโคฺคติ ทเสฺสติฯ เถโร กิร ตถาคตเสฺสว สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ตถาคตเสฺสว สนฺติเก วินยปิฎกํ อุคฺคณฺหิตฺวา ภารุกจฺฉกวตฺถุํ, อชฺชุกวตฺถุํ, (ปารา. ๑๕๘) กุมารกสฺสปวตฺถุนฺติ อิมานิ ตีณิ วตฺถูนิ สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สทฺธิํ สํสเนฺทตฺวา กเถสิฯ ตสฺมา วินยธรานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    228. Chaṭṭhe vinayadharānaṃ yadidaṃ upālīti vinayadharānaṃ bhikkhūnaṃ upālitthero aggoti dasseti. Thero kira tathāgatasseva santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi. Tathāgatasseva santike vinayapiṭakaṃ uggaṇhitvā bhārukacchakavatthuṃ, ajjukavatthuṃ, (pārā. 158) kumārakassapavatthunti imāni tīṇi vatthūni sabbaññutaññāṇena saddhiṃ saṃsandetvā kathesi. Tasmā vinayadharānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล กิเรส หํสวติยํ กุลฆเร นิพฺพโตฺต เอกทิวสํ สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ วินยธรานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท กปฺปกเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ , อุปาลิทารโกติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ฉนฺนํ ขตฺติยานํ ปสาธโก หุตฺวา ตถาคเต อนุปิยมฺพวเน วิหรเนฺต ปพฺพชฺชตฺถาย นิกฺขมเนฺตหิ เตติ ฉหิ ขตฺติเยหิ สทฺธิํ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิฯ ตสฺส ปพฺพชฺชาวิธานํ ปาฬิยํ (จูฬว. ๓๓๐) อาคตเมวฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – padumuttarabuddhakāle kiresa haṃsavatiyaṃ kulaghare nibbatto ekadivasaṃ satthu dhammakathaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ vinayadharānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde kappakagehe paṭisandhiṃ gaṇhi , upālidārakotissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto channaṃ khattiyānaṃ pasādhako hutvā tathāgate anupiyambavane viharante pabbajjatthāya nikkhamantehi teti chahi khattiyehi saddhiṃ nikkhamitvā pabbaji. Tassa pabbajjāvidhānaṃ pāḷiyaṃ (cūḷava. 330) āgatameva.

    โส ปพฺพชิตฺวา อุปสมฺปโนฺน สตฺถารํ กมฺมฎฺฐานํ กถาเปตฺวา ‘‘มยฺหํ, ภเนฺต, อรญฺญวาสํ อนุชานาถา’’ติ อาหฯ ภิกฺขุ ตว อรเญฺญ วสนฺตสฺส เอกเมว ธุรํ วฑฺฒิสฺสติ, อมฺหากํ ปน สนฺติเก วสนฺตสฺส วิปสฺสนาธุรญฺจ คนฺถธุรญฺจ ปริปูเรสฺสตีติฯ เถโร สตฺถุ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถ นํ สตฺถา สยเมว สกลํ วินยปิฎกํ อุคฺคณฺหาเปสิฯ โส อปรภาเค เหฎฺฐา วุตฺตานิ ตีณิ วตฺถูนิ วินิจฺฉินิฯ สตฺถา เอเกกสฺมิํ วินิจฺฉิเต สาธุการํ ทตฺวา ตโยปิ วินิจฺฉเย อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เถรํ วินยธรานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    So pabbajitvā upasampanno satthāraṃ kammaṭṭhānaṃ kathāpetvā ‘‘mayhaṃ, bhante, araññavāsaṃ anujānāthā’’ti āha. Bhikkhu tava araññe vasantassa ekameva dhuraṃ vaḍḍhissati, amhākaṃ pana santike vasantassa vipassanādhurañca ganthadhurañca paripūressatīti. Thero satthu vacanaṃ sampaṭicchitvā vipassanāya kammaṃ karonto nacirasseva arahattaṃ pāpuṇi. Atha naṃ satthā sayameva sakalaṃ vinayapiṭakaṃ uggaṇhāpesi. So aparabhāge heṭṭhā vuttāni tīṇi vatthūni vinicchini. Satthā ekekasmiṃ vinicchite sādhukāraṃ datvā tayopi vinicchaye aṭṭhuppattiṃ katvā theraṃ vinayadharānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    นนฺทกเตฺถรวตฺถุ

    Nandakattheravatthu

    ๒๒๙. สตฺตเม ภิกฺขุโนวาทกานํ ยทิทํ นนฺทโกติ อยํ หิ เถโร ธมฺมกถํ กเถโนฺต เอกสโมธาเน ปญฺจ ภิกฺขุนีสตานิ อรหตฺตํ ปาเปสิฯ ตสฺมา ภิกฺขุโนวาทกานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    229. Sattame bhikkhunovādakānaṃ yadidaṃ nandakoti ayaṃ hi thero dhammakathaṃ kathento ekasamodhāne pañca bhikkhunīsatāni arahattaṃ pāpesi. Tasmā bhikkhunovādakānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยญฺหิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห นิพฺพโตฺต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ภิกฺขุโนวาทกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา วยปฺปโตฺต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิ, ปุเพฺพนิวาสญาเณ จ จิณฺณวสี อโหสิฯ โส จตูสุ ปริสาสุ สมฺปตฺตาสุ ‘‘สเพฺพสํเยว มนํ คเหตฺวา กเถตุํ สโกฺกตี’’ติ ธมฺมกถิกนนฺทโก นาม ชาโตฯ ตถาคโตปิ โข โรหิณีนทีตีเร จุมฺพฎกกลเห นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิตานํ ปญฺจนฺนํ สากิยกุมารสตานํ อนภิรติยา อุปฺปนฺนาย เต ภิกฺขู อาทาย กุณาลทหํ คนฺตฺวา กุณาลชาตกกถาย (ชา. ๒.๒๑.กุณาลชาตก) เนสํ สํวิคฺคภาวํ ญตฺวา จตุสจฺจกถํ กเถตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปสิฯ อปรภาเค มหาสมยสุตฺตํ (ที. นิ. ๒.๓๓๑ อาทโย) กเถตฺวา อคฺคผลํ อรหตฺตํ ปาเปสิฯ เตสํ เถรานํ ปุราณทุติยิกา ‘‘อเมฺห ทานิ อิธ กิํ กริสฺสามา’’ติ วตฺวา สพฺพาว เอกจิตฺตา หุตฺวา มหาปชาปติํ อุปสงฺกมิตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิํสุฯ ตาปิ ปญฺจสตา เถริยา สนฺติเก ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ลภิํสุฯ อตีตานนฺตราย ปน ชาติยา สพฺพาว ตา นนฺทกเตฺถรสฺส ราชปุตฺตภาเว ฐิตสฺส ปาทปริจาริกา อเหสุํฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayañhi padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare kulagehe nibbatto satthu dhammadesanaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ bhikkhunovādakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gahetvā vayappatto satthu dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddho satthu santike pabbajitvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi, pubbenivāsañāṇe ca ciṇṇavasī ahosi. So catūsu parisāsu sampattāsu ‘‘sabbesaṃyeva manaṃ gahetvā kathetuṃ sakkotī’’ti dhammakathikanandako nāma jāto. Tathāgatopi kho rohiṇīnadītīre cumbaṭakakalahe nikkhamitvā pabbajitānaṃ pañcannaṃ sākiyakumārasatānaṃ anabhiratiyā uppannāya te bhikkhū ādāya kuṇāladahaṃ gantvā kuṇālajātakakathāya (jā. 2.21.kuṇālajātaka) nesaṃ saṃviggabhāvaṃ ñatvā catusaccakathaṃ kathetvā sotāpattiphale patiṭṭhāpesi. Aparabhāge mahāsamayasuttaṃ (dī. ni. 2.331 ādayo) kathetvā aggaphalaṃ arahattaṃ pāpesi. Tesaṃ therānaṃ purāṇadutiyikā ‘‘amhe dāni idha kiṃ karissāmā’’ti vatvā sabbāva ekacittā hutvā mahāpajāpatiṃ upasaṅkamitvā pabbajjaṃ yāciṃsu. Tāpi pañcasatā theriyā santike pabbajjañca upasampadañca labhiṃsu. Atītānantarāya pana jātiyā sabbāva tā nandakattherassa rājaputtabhāve ṭhitassa pādaparicārikā ahesuṃ.

    เตน สมเยน สตฺถา ‘‘ภิกฺขู ภิกฺขุนิโย โอวทนฺตู’’ติ อาหฯ เถโร อตฺตโน วาเร สมฺปเตฺต ตาสํ ปุริมภเว อตฺตโน ปาทปริจาริกภาวํ ญตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มํ อิมสฺส ภิกฺขุนีสงฺฆสฺส มเชฺฌ นิสินฺนํ อุปมาโย จ การณานิ จ อาหริตฺวา ธมฺมํ กถยมานํ ทิสฺวา อโญฺญ ปุเพฺพนิวาสญาณลาภี ภิกฺขุ อิมํ การณํ โอโลเกตฺวา ‘อายสฺมา นนฺทโก ยาวชฺชทิวสา โอโรเธ น วิสฺสเชฺชติ, โสภตายมายสฺมา โอโรธปริวุโต’ติ วตฺตพฺพํ มเญฺญยฺยา’’ติฯ ตสฺมา สยํ อคนฺตฺวา อญฺญํ ภิกฺขุํ เปเสสิฯ ตา ปน ปญฺจสตา ภิกฺขุนิโย เถรเสฺสว โอวาทํ ปจฺจาสีสนฺติฯ อิมินา การเณน ภควา ‘‘อตฺตโน วาเร สมฺปเตฺต อญฺญํ อเปเสตฺวา สยเมว คนฺตฺวา ภิกฺขุนีสงฺฆํ โอวทาหี’’ติ เถรํ อาหฯ โส สตฺถุ กถํ ปฎิพาหิตุํ อสโกฺกโนฺต อตฺตโน วาเร สมฺปเตฺต จาตุทฺทเส ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส โอวาทํ ทตฺวา สพฺพาว ตา ภิกฺขุนิโย สฬายตนปฎิมณฺฑิตาย ธมฺมเทสนาย โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปสิฯ

    Tena samayena satthā ‘‘bhikkhū bhikkhuniyo ovadantū’’ti āha. Thero attano vāre sampatte tāsaṃ purimabhave attano pādaparicārikabhāvaṃ ñatvā cintesi – ‘‘maṃ imassa bhikkhunīsaṅghassa majjhe nisinnaṃ upamāyo ca kāraṇāni ca āharitvā dhammaṃ kathayamānaṃ disvā añño pubbenivāsañāṇalābhī bhikkhu imaṃ kāraṇaṃ oloketvā ‘āyasmā nandako yāvajjadivasā orodhe na vissajjeti, sobhatāyamāyasmā orodhaparivuto’ti vattabbaṃ maññeyyā’’ti. Tasmā sayaṃ agantvā aññaṃ bhikkhuṃ pesesi. Tā pana pañcasatā bhikkhuniyo therasseva ovādaṃ paccāsīsanti. Iminā kāraṇena bhagavā ‘‘attano vāre sampatte aññaṃ apesetvā sayameva gantvā bhikkhunīsaṅghaṃ ovadāhī’’ti theraṃ āha. So satthu kathaṃ paṭibāhituṃ asakkonto attano vāre sampatte cātuddase bhikkhunisaṅghassa ovādaṃ datvā sabbāva tā bhikkhuniyo saḷāyatanapaṭimaṇḍitāya dhammadesanāya sotāpattiphale patiṭṭhāpesi.

    ตา ภิกฺขุนิโย เถรสฺส ธมฺมเทสนาย อตฺตมนา หุตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา อตฺตโน ปฎิวิทฺธคุณํ อาโรเจสุํฯ สตฺถา ‘‘กสฺมิํ นุ โข ธมฺมํ เทเสเนฺต อิมา ภิกฺขุนิโย อุปริมคฺคผลานิ ปาปุเณยฺยุ’’นฺติ อาวเชฺชโนฺต ปุน ‘‘ตํเยว นนฺทกสฺส ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปญฺจสตาปิ เอตา อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสนฺตี’’ติ ทิสฺวา ปุนทิวเสปิ เถรเสฺสว สนฺติกํ ธมฺมสฺสวนตฺถาย เปเสสิฯ ตา ปุนทิวเส ธมฺมํ สุตฺวา สพฺพาว อรหตฺตํ ปตฺตาฯ ตํทิวสํ ภควา ตาสํ ภิกฺขุนีนํ อตฺตโน สนฺติกํ อาคตกาเล ธมฺมเทสนาย สผลภาวํ ญตฺวา ‘‘หิโยฺย นนฺทกสฺส ธมฺมเทสนา จาตุทฺทสิยํ จนฺทสทิสี อโหสิ, อชฺช ปนฺนรสิยํ จนฺทสทิสี’’ติ วตฺวา เถรสฺส สาธุการํ ทตฺวา ตเทว จ การณํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เถรํ ภิกฺขุโนวาทกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Tā bhikkhuniyo therassa dhammadesanāya attamanā hutvā satthu santikaṃ gantvā attano paṭividdhaguṇaṃ ārocesuṃ. Satthā ‘‘kasmiṃ nu kho dhammaṃ desente imā bhikkhuniyo uparimaggaphalāni pāpuṇeyyu’’nti āvajjento puna ‘‘taṃyeva nandakassa dhammadesanaṃ sutvā pañcasatāpi etā arahattaṃ pāpuṇissantī’’ti disvā punadivasepi therasseva santikaṃ dhammassavanatthāya pesesi. Tā punadivase dhammaṃ sutvā sabbāva arahattaṃ pattā. Taṃdivasaṃ bhagavā tāsaṃ bhikkhunīnaṃ attano santikaṃ āgatakāle dhammadesanāya saphalabhāvaṃ ñatvā ‘‘hiyyo nandakassa dhammadesanā cātuddasiyaṃ candasadisī ahosi, ajja pannarasiyaṃ candasadisī’’ti vatvā therassa sādhukāraṃ datvā tadeva ca kāraṇaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā theraṃ bhikkhunovādakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    นนฺทเตฺถรวตฺถุ

    Nandattheravatthu

    ๒๓๐. อฎฺฐเม อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารานนฺติ ฉสุ อินฺทฺริเยสุ ปิหิตทฺวารานํ นนฺทเตฺถโร อโคฺคติ ทเสฺสติฯ กิญฺจาปิ หิ สตฺถุสาวกา อคุตฺตทฺวารา นาม นตฺถิ, นนฺทเตฺถโร ปน ทสสุ ทิสาสุ ยํ ยํ ทิสํ โอโลเกตุกาโม โหติ, น ตํ จตุสมฺปชญฺญวเสน อปริจฺฉินฺทิตฺวา โอโลเกติฯ ตสฺมา อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    230. Aṭṭhame indriyesu guttadvārānanti chasu indriyesu pihitadvārānaṃ nandatthero aggoti dasseti. Kiñcāpi hi satthusāvakā aguttadvārā nāma natthi, nandatthero pana dasasu disāsu yaṃ yaṃ disaṃ oloketukāmo hoti, na taṃ catusampajaññavasena aparicchinditvā oloketi. Tasmā indriyesu guttadvārānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา วยปฺปโตฺต สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต กปิลวตฺถุปุเร มหาปชาปติโคตมิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ อถสฺส นามคฺคหณทิวเส ญาติสงฺฆํ นนฺทยโนฺต โตเสโนฺต ชาโตติ นนฺทกุมาโรเตว นามํ อกํสุฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare kulagehe paṭisandhiṃ gahetvā vayappatto satthu santike dhammaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ indriyesu guttadvārānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto kapilavatthupure mahāpajāpatigotamiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Athassa nāmaggahaṇadivase ñātisaṅghaṃ nandayanto tosento jātoti nandakumāroteva nāmaṃ akaṃsu.

    มหาสโตฺตปิ สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก โลกานุคฺคหํ กโรโนฺต ราชคหโต กปิลวตฺถุปุรํ คนฺตฺวา ปฐมทสฺสเนเนว ปิตรํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปสิฯ ปุนทิวเส ปิตุ นิเวสนํ คนฺตฺวา ราหุลมาตาย โอวาทํ ทตฺวา เสสชนสฺสปิ ธมฺมํ กเถสิฯ ปุนทิวเส นนฺทกุมารสฺส อภิเสกเคหปเวสนอาวาหมงฺคเลสุ วตฺตมาเนสุ ตสฺส นิเวสนํ คนฺตฺวา กุมารํ ปตฺตํ คาหาเปตฺวา ปพฺพาเชตุํ วิหาราภิมุโข ปายาสิฯ นนฺทกุมารํ อภิเสกมงฺคลํ น ตถา ปีเฬสิ, ปตฺตํ อาทาย คมนกาเล ปน ชนปทกลฺยาณี อุปริปาสาทวรคตา สีหปญฺชรํ อุคฺฆาเฎตฺวา ‘‘ตุวฎํ โข, อยฺยปุตฺต, อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติ ยํ วาจํ นิจฺฉาเรสิฯ ตํ สุตฺวา เคหสิตฉนฺทราควเสน โอโลเกโนฺต ปเนส สตฺถริ คารเวน ยถารุจิยา นิมิตฺตํ คเหตุํ นาสกฺขิ, เตนสฺส จิตฺตสนฺตาโป อโหสิฯ อถ นํ ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน นิวเตฺตสฺสติ, อิมสฺมิํ ฐาเน นิวเตฺตสฺสตี’’ติ จิเนฺตนฺตเมว สตฺถา วิหารํ เนตฺวา ปพฺพาเชสิฯ ปพฺพชิโตปิ ปฎิพาหิตุํ อสโกฺกโนฺต ตุณฺหี อโหสิฯ ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ปน ชนปทกลฺยาณิยา วุตฺตวจนเมว สรติฯ อถสฺส สา อาคนฺตฺวา อวิทูเร ฐิตา วิย อโหสิฯ โส อนภิรติยา ปีฬิโต โถกํ ฐานํ คจฺฉติ, ตสฺส คุมฺพํ วา คจฺฉํ วา อติกฺกมนฺตเสฺสว ทสพโล ปุรโต ฐิตโก วิย อโหสิฯ โส อคฺคิมฺหิ ปกฺขิตฺตํ กุกฺกุฎปตฺตํ วิย ปฎินิวตฺติตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว ปวิสติฯ

    Mahāsattopi sabbaññutaṃ patvā pavattitavaradhammacakko lokānuggahaṃ karonto rājagahato kapilavatthupuraṃ gantvā paṭhamadassaneneva pitaraṃ sotāpattiphale patiṭṭhāpesi. Punadivase pitu nivesanaṃ gantvā rāhulamātāya ovādaṃ datvā sesajanassapi dhammaṃ kathesi. Punadivase nandakumārassa abhisekagehapavesanaāvāhamaṅgalesu vattamānesu tassa nivesanaṃ gantvā kumāraṃ pattaṃ gāhāpetvā pabbājetuṃ vihārābhimukho pāyāsi. Nandakumāraṃ abhisekamaṅgalaṃ na tathā pīḷesi, pattaṃ ādāya gamanakāle pana janapadakalyāṇī uparipāsādavaragatā sīhapañjaraṃ ugghāṭetvā ‘‘tuvaṭaṃ kho, ayyaputta, āgaccheyyāsī’’ti yaṃ vācaṃ nicchāresi. Taṃ sutvā gehasitachandarāgavasena olokento panesa satthari gāravena yathāruciyā nimittaṃ gahetuṃ nāsakkhi, tenassa cittasantāpo ahosi. Atha naṃ ‘‘imasmiṃ ṭhāne nivattessati, imasmiṃ ṭhāne nivattessatī’’ti cintentameva satthā vihāraṃ netvā pabbājesi. Pabbajitopi paṭibāhituṃ asakkonto tuṇhī ahosi. Pabbajitadivasato paṭṭhāya pana janapadakalyāṇiyā vuttavacanameva sarati. Athassa sā āgantvā avidūre ṭhitā viya ahosi. So anabhiratiyā pīḷito thokaṃ ṭhānaṃ gacchati, tassa gumbaṃ vā gacchaṃ vā atikkamantasseva dasabalo purato ṭhitako viya ahosi. So aggimhi pakkhittaṃ kukkuṭapattaṃ viya paṭinivattitvā attano vasanaṭṭhānameva pavisati.

    สตฺถา จิเนฺตสิ – ‘‘นโนฺท อติวิย ปมโตฺต วิหรติ, อนภิรติํ วูปสเมตุํ น สโกฺกติ, เอตสฺส จิตฺตนิพฺพาปนํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ตโต นํ อาห – ‘‘เอหิ, นนฺท, เทวจาริกํ คจฺฉิสฺสามา’’ติฯ ภควา กถาหํ อิทฺธิมเนฺตหิ คนฺตพฺพฎฺฐานํ คมิสฺสามีติฯ ตฺวํ เกวลํ คมนจิตฺตํ อุปฺปาเทหิ, คนฺตฺวา ปสฺสิสฺสสีติฯ โส ทสพลสฺส อานุภาเวน ตถาคเตเนว สทฺธิํ เทวจาริกํ คนฺตฺวา สกฺกสฺส เทวรโญฺญ นิเวสนํ โอโลเกตฺวา ปญฺจ อจฺฉราสตานิ อทฺทสฯ สตฺถา นนฺทเตฺถรํ สุภนิมิตฺตวเสน ตา โอโลเกนฺตํ ทิสฺวา, ‘‘นนฺท, อิมา นุ โข อจฺฉรา มนาปา, อถ ชนปทกลฺยาณี’’ติ ปุจฺฉิฯ ภเนฺต, ชนปทกลฺยาณี อิมา อจฺฉรา อุปนิธาย กณฺณนาสจฺฉินฺนกา มกฺกฎี วิย ขายตีติฯ นนฺท, เอวรูปา อจฺฉรา สมณธมฺมํ กโรนฺตานํ น ทุลฺลภาติฯ สเจ เม, ภเนฺต ภควา, ปาฎิโภโค โหติ, อหํ สมณธมฺมํ กริสฺสามีติฯ วิสฺสโตฺถ ตฺวํ, นนฺท, สมณธมฺมํ กโรหิฯ สเจ เต สปฺปฎิสนฺธิกา กาลกิริยา ภวิสฺสติ, อหํ เอตาสํ ปฎิลาภตฺถาย ปาฎิโภโคติฯ อิติ สตฺถา ยถารุจิยา เทวจาริกํ จริตฺวา เชตวนเมว ปจฺจาคญฺฉิฯ

    Satthā cintesi – ‘‘nando ativiya pamatto viharati, anabhiratiṃ vūpasametuṃ na sakkoti, etassa cittanibbāpanaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti. Tato naṃ āha – ‘‘ehi, nanda, devacārikaṃ gacchissāmā’’ti. Bhagavā kathāhaṃ iddhimantehi gantabbaṭṭhānaṃ gamissāmīti. Tvaṃ kevalaṃ gamanacittaṃ uppādehi, gantvā passissasīti. So dasabalassa ānubhāvena tathāgateneva saddhiṃ devacārikaṃ gantvā sakkassa devarañño nivesanaṃ oloketvā pañca accharāsatāni addasa. Satthā nandattheraṃ subhanimittavasena tā olokentaṃ disvā, ‘‘nanda, imā nu kho accharā manāpā, atha janapadakalyāṇī’’ti pucchi. Bhante, janapadakalyāṇī imā accharā upanidhāya kaṇṇanāsacchinnakā makkaṭī viya khāyatīti. Nanda, evarūpā accharā samaṇadhammaṃ karontānaṃ na dullabhāti. Sace me, bhante bhagavā, pāṭibhogo hoti, ahaṃ samaṇadhammaṃ karissāmīti. Vissattho tvaṃ, nanda, samaṇadhammaṃ karohi. Sace te sappaṭisandhikā kālakiriyā bhavissati, ahaṃ etāsaṃ paṭilābhatthāya pāṭibhogoti. Iti satthā yathāruciyā devacārikaṃ caritvā jetavanameva paccāgañchi.

    ตโต ปฎฺฐาย นนฺทเตฺถโร อจฺฉรานํ เหตุ รตฺตินฺทิวํ สมณธมฺมํ กโรติฯ สตฺถา ภิกฺขู อาณาเปสิ – ‘‘ตุเมฺห นนฺทสฺส วสนฎฺฐาเน ‘เอโก กิร ภิกฺขุ ทสพลํ ปาฎิโภคํ กตฺวา อจฺฉรานํ เหตุ สมณธมฺมํ กโรตี’ติ ตตฺถ ตตฺถ กเถนฺตา วิจรถา’’ติฯ เต สตฺถุ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘ภตโก กิรายสฺมา นโนฺท, อุปกฺกิตโก กิรายสฺมา นโนฺท, อจฺฉรานํ เหตุ พฺรหฺมจริยํ จรติ, ภควา กิรสฺส ปาฎิโภโค ปญฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ ปฎิลาภาย กกุฎปาทีน’’นฺติ เถรสฺส สวนูปจาเร กเถนฺตา วิจรนฺติฯ นนฺทเตฺถโร ตํ กถํ สุตฺวา ‘‘อิเม ภิกฺขู น อญฺญํ กเถนฺติ, มํ อารพฺภ กเถนฺติ, อยุตฺตํ มม กมฺม’’นฺติ ปฎิสงฺขานํ อุปฺปาเทตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถสฺส อรหตฺตปตฺตกฺขเณเยว อญฺญตรา เทวตา ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสิ, สยมฺปิ ภควา อญฺญาสิเยวฯ ปุนทิวเส นนฺทเตฺถโร ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาห – ‘‘ยํ เม, ภเนฺต ภควา , ปาฎิโภโค ปญฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ ปฎิลาภาย กกุฎปาทีนํ, มุญฺจามหํ, ภเนฺต, ภควนฺตํ เอตสฺมา ปฎิสฺสวา’’ติฯ เอวํ วตฺถุ (อุทา. ๒๒) สมุฎฺฐิตํ ฯ สตฺถา อปรภาเค เชตวนวิหาเร วิหรโนฺต เถรํ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Tato paṭṭhāya nandatthero accharānaṃ hetu rattindivaṃ samaṇadhammaṃ karoti. Satthā bhikkhū āṇāpesi – ‘‘tumhe nandassa vasanaṭṭhāne ‘eko kira bhikkhu dasabalaṃ pāṭibhogaṃ katvā accharānaṃ hetu samaṇadhammaṃ karotī’ti tattha tattha kathentā vicarathā’’ti. Te satthu vacanaṃ sampaṭicchitvā ‘‘bhatako kirāyasmā nando, upakkitako kirāyasmā nando, accharānaṃ hetu brahmacariyaṃ carati, bhagavā kirassa pāṭibhogo pañcannaṃ accharāsatānaṃ paṭilābhāya kakuṭapādīna’’nti therassa savanūpacāre kathentā vicaranti. Nandatthero taṃ kathaṃ sutvā ‘‘ime bhikkhū na aññaṃ kathenti, maṃ ārabbha kathenti, ayuttaṃ mama kamma’’nti paṭisaṅkhānaṃ uppādetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi. Athassa arahattapattakkhaṇeyeva aññatarā devatā bhagavato etamatthaṃ ārocesi, sayampi bhagavā aññāsiyeva. Punadivase nandatthero bhagavantaṃ upasaṅkamitvā evamāha – ‘‘yaṃ me, bhante bhagavā , pāṭibhogo pañcannaṃ accharāsatānaṃ paṭilābhāya kakuṭapādīnaṃ, muñcāmahaṃ, bhante, bhagavantaṃ etasmā paṭissavā’’ti. Evaṃ vatthu (udā. 22) samuṭṭhitaṃ . Satthā aparabhāge jetavanavihāre viharanto theraṃ indriyesu guttadvārānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    มหากปฺปินเตฺถรวตฺถุ

    Mahākappinattheravatthu

    ๒๓๑. นวเม ภิกฺขุโอวาทกานนฺติ ภิกฺขู โอวทนฺตานํ มหากปฺปินเตฺถโร อโคฺคติ ทเสฺสติฯ อยํ กิร เถโร เอกสโมธานสฺมิํเยว ธมฺมกถํ กเถโนฺต ภิกฺขุสหสฺสํ อรหตฺตํ ปาเปสิฯ ตสฺมา ภิกฺขุโอวาทกานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    231. Navame bhikkhuovādakānanti bhikkhū ovadantānaṃ mahākappinatthero aggoti dasseti. Ayaṃ kira thero ekasamodhānasmiṃyeva dhammakathaṃ kathento bhikkhusahassaṃ arahattaṃ pāpesi. Tasmā bhikkhuovādakānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลฆเร นิพฺพตฺติตฺวา อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ภิกฺขุโอวาทกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล พาราณสิยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา ปุริสสหสฺสสฺส คณเชฎฺฐโก หุตฺวา คพฺภสหสฺสปฎิมณฺฑิตํ มหาปริเวณํ กาเรสิฯ เต สเพฺพปิ ชนา ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา กปฺปินอุปาสกํ เชฎฺฐกํ กตฺวา สปุตฺตทารา เทวโลเก นิพฺพตฺตาฯ เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริํสุฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulaghare nibbattitvā aparabhāge satthu dhammakathaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ bhikkhuovādakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto kassapasammāsambuddhakāle bārāṇasiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gahetvā purisasahassassa gaṇajeṭṭhako hutvā gabbhasahassapaṭimaṇḍitaṃ mahāpariveṇaṃ kāresi. Te sabbepi janā yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā kappinaupāsakaṃ jeṭṭhakaṃ katvā saputtadārā devaloke nibbattā. Ekaṃ buddhantaraṃ devamanussesu saṃsariṃsu.

    อถ อมฺหากํ สตฺถุ นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว อยํ กปฺปิโน ปจฺจนฺตเทเส กุกฺกุฎวตีนคเร ราชเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, เสสปุริสา ตสฺมิํเยว นคเร อมจฺจกุเลสุ นิพฺพตฺติํสุฯ เตสุ กปฺปินกุมาโร ปิตุ อจฺจเยน ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา มหากปฺปินราชา นาม ชาโตฯ ปุเพฺพ กลฺยาณกมฺมกรณกาเล ตสฺส ฆรสามินี อิตฺถี สมานชาติเก ราชกุเล นิพฺพตฺติตฺวา มหากปฺปินรโญฺญ อคฺคมเหสี ชาตา, อโนชาปุปฺผสทิสวณฺณตาย ปนสฺสา อโนชาเทวีเตฺวว นามํ อโหสิฯ มหากปฺปินราชาปิ สุตวิตฺตโก อโหสิฯ โส ปาโตว อุฎฺฐาย จตูหิ ทฺวาเรหิ สีฆํ ทูเต เปเสสิ – ‘‘ยตฺถ พหุสฺสุเต สุตธเร ปสฺสถ, ตโต นิวตฺติตฺวา มยฺหํ อาโรเจถา’’ติฯ

    Atha amhākaṃ satthu nibbattito puretarameva ayaṃ kappino paccantadese kukkuṭavatīnagare rājagehe paṭisandhiṃ gaṇhi, sesapurisā tasmiṃyeva nagare amaccakulesu nibbattiṃsu. Tesu kappinakumāro pitu accayena chattaṃ ussāpetvā mahākappinarājā nāma jāto. Pubbe kalyāṇakammakaraṇakāle tassa gharasāminī itthī samānajātike rājakule nibbattitvā mahākappinarañño aggamahesī jātā, anojāpupphasadisavaṇṇatāya panassā anojādevītveva nāmaṃ ahosi. Mahākappinarājāpi sutavittako ahosi. So pātova uṭṭhāya catūhi dvārehi sīghaṃ dūte pesesi – ‘‘yattha bahussute sutadhare passatha, tato nivattitvā mayhaṃ ārocethā’’ti.

    เตน โข ปน สมเยน อมฺหากํ สตฺถา โลเก นิพฺพตฺติตฺวา สาวตฺถิํ อุปนิสฺสาย ปฎิวสติฯ ตสฺมิํ กาเล สาวตฺถินครวาสิโน วาณิชา สาวตฺถิยํ อุฎฺฐานกภณฺฑํ คเหตฺวา, ตํ นครํ คนฺตฺวา, ภณฺฑํ ปฎิสาเมตฺวา, ‘‘ราชานํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ ปณฺณาการํ คเหตฺวา, ราชกุลทฺวารํ คนฺตฺวา, ‘‘ราชา อุยฺยานํ คโต’’ติ สุตฺวา, อุยฺยานํ คนฺตฺวา, ทฺวาเร ฐิตา ปฎิหารกสฺส อาโรจยิํสุฯ อถ รโญฺญ นิเวทิ, เต ราชา ปโกฺกสาเปตฺวา นิยฺยาติตปณฺณากาเร วนฺทิตฺวา ฐิเต, ‘‘ตาตา, กุโต อาคจฺฉถา’’ติ ปุจฺฉิฯ สาวตฺถิโต, เทวาติฯ กจฺจิ โว รฎฺฐํ สุภิกฺขํ, ธมฺมิโก ราชาติ? อาม, เทวาติฯ อตฺถิ ปน ตุมฺหากํ เทเส กิญฺจิ สาสนนฺติ? อตฺถิ เทว, น ปน สกฺกา อุจฺฉิฎฺฐมุเขหิ กเถตุนฺติฯ ราชา สุวณฺณภิงฺคาเรน อุทกํ ทาเปสิฯ เต มุขํ วิกฺขาเลตฺวา ทสพลาภิมุขา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา, ‘‘เทว, อมฺหากํ เทเส พุทฺธรตนํ นาม อุปฺปนฺน’’นฺติ อาหํสุฯ รโญฺญ ‘‘พุโทฺธ’’ติ วจเน สุตมเตฺตเยว สกลสรีรํ ผรมานา ปีติ อุปฺปชฺชิฯ ตโต ‘‘พุโทฺธติ, ตาตา, วทถา’’ติ อาหฯ พุโทฺธติ, เทว, วทามาติฯ เอวํ ติกฺขตฺตุํ วทาเปตฺวา ‘‘พุโทฺธติปทํ อปริมาณํ, นาสฺส สกฺกา ปริมาณํ กาตุ’’นฺติ ตสฺมิํเยว ปเท ปสโนฺน สตสหสฺสํ ทตฺวา ‘‘อปรํ กิํ สาสน’’นฺติ ปุจฺฉิฯ เทว ธมฺมรตนํ นาม อุปฺปนฺนนฺติฯ ตมฺปิ สุตฺวา ตเถว ติกฺขตฺตุํ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา อปรมฺปิ สตสหสฺสํ ทตฺวา ปุน ‘‘อญฺญํ กิํ สาสน’’นฺติ ปุจฺฉิฯ สงฺฆรตนํ เทว อุปฺปนฺนนฺติฯ ตมฺปิ สุตฺวา ตเถว ปฎิญฺญํ คเหตฺวา อปรมฺปิ สตสหสฺสํ ทตฺวา ทินฺนภาวํ ปเณฺณ ลิขิตฺวา, ‘‘ตาตา, เทวิยา สนฺติกํ คจฺฉถา’’ติ เปเสสิฯ เตสุ คเตสุ อมเจฺจ ปุจฺฉิ – ‘‘ตาตา, พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน, ตุเมฺห กิํ กริสฺสถา’’ติ? เทว ตุเมฺห กิํ กตฺตุกามาติ? อหํ ปพฺพชิสฺสามีติฯ มยมฺปิ ปพฺพชิสฺสามาติฯ เต สเพฺพปิ ฆรํ วา กุฎุมฺพํ วา อนปโลเกตฺวา เย อเสฺส อารุยฺห คตา เตเหว นิกฺขมิํสุฯ

    Tena kho pana samayena amhākaṃ satthā loke nibbattitvā sāvatthiṃ upanissāya paṭivasati. Tasmiṃ kāle sāvatthinagaravāsino vāṇijā sāvatthiyaṃ uṭṭhānakabhaṇḍaṃ gahetvā, taṃ nagaraṃ gantvā, bhaṇḍaṃ paṭisāmetvā, ‘‘rājānaṃ passissāmā’’ti paṇṇākāraṃ gahetvā, rājakuladvāraṃ gantvā, ‘‘rājā uyyānaṃ gato’’ti sutvā, uyyānaṃ gantvā, dvāre ṭhitā paṭihārakassa ārocayiṃsu. Atha rañño nivedi, te rājā pakkosāpetvā niyyātitapaṇṇākāre vanditvā ṭhite, ‘‘tātā, kuto āgacchathā’’ti pucchi. Sāvatthito, devāti. Kacci vo raṭṭhaṃ subhikkhaṃ, dhammiko rājāti? Āma, devāti. Atthi pana tumhākaṃ dese kiñci sāsananti? Atthi deva, na pana sakkā ucchiṭṭhamukhehi kathetunti. Rājā suvaṇṇabhiṅgārena udakaṃ dāpesi. Te mukhaṃ vikkhāletvā dasabalābhimukhā añjaliṃ paggahetvā, ‘‘deva, amhākaṃ dese buddharatanaṃ nāma uppanna’’nti āhaṃsu. Rañño ‘‘buddho’’ti vacane sutamatteyeva sakalasarīraṃ pharamānā pīti uppajji. Tato ‘‘buddhoti, tātā, vadathā’’ti āha. Buddhoti, deva, vadāmāti. Evaṃ tikkhattuṃ vadāpetvā ‘‘buddhotipadaṃ aparimāṇaṃ, nāssa sakkā parimāṇaṃ kātu’’nti tasmiṃyeva pade pasanno satasahassaṃ datvā ‘‘aparaṃ kiṃ sāsana’’nti pucchi. Deva dhammaratanaṃ nāma uppannanti. Tampi sutvā tatheva tikkhattuṃ paṭiññaṃ gahetvā aparampi satasahassaṃ datvā puna ‘‘aññaṃ kiṃ sāsana’’nti pucchi. Saṅgharatanaṃ deva uppannanti. Tampi sutvā tatheva paṭiññaṃ gahetvā aparampi satasahassaṃ datvā dinnabhāvaṃ paṇṇe likhitvā, ‘‘tātā, deviyā santikaṃ gacchathā’’ti pesesi. Tesu gatesu amacce pucchi – ‘‘tātā, buddho loke uppanno, tumhe kiṃ karissathā’’ti? Deva tumhe kiṃ kattukāmāti? Ahaṃ pabbajissāmīti. Mayampi pabbajissāmāti. Te sabbepi gharaṃ vā kuṭumbaṃ vā anapaloketvā ye asse āruyha gatā teheva nikkhamiṃsu.

    วาณิชา อโนชาเทวิยา สนฺติกํ คนฺตฺวา ปณฺณํ ทเสฺสสุํฯ สา ตํ วาเจตฺวา ‘‘รญฺญา ตุมฺหากํ พหู กหาปณา ทินฺนา, กิํ ตุเมฺหหิ กตํ, ตาตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ปิยสาสนํ, เทวิ, อานีตนฺติฯ อเมฺหปิ สกฺกา, ตาตา, สุณาเปตุนฺติ? สกฺกา, เทวิ, อุจฺฉิฎฺฐมุเขหิ ปน วตฺตุํ น สกฺกาติฯ สา สุวณฺณภิงฺคาเรน อุทกํ ทาเปสิฯ เต มุขํ วิกฺขาเลตฺวา รโญฺญ อาโรจิตนิยาเมเนว อาโรเจสุํฯ สาปิ ตํ สุตฺวา อุปฺปนฺนปาโมชฺชา เตเนว นเยน เอเกกสฺมิํ ปเท ติกฺขตฺตุํ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา ปฎิญฺญาคณนาย ตีณิ ตีณิ กตฺวา นว สตสหสฺสานิ อทาสิฯ วาณิชา สพฺพานิปิ ทฺวาทส สตสหสฺสานิ ลภิํสุฯ อถ เน ‘‘ราชา กหํ, ตาตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ปพฺพชิสฺสามีติ นิกฺขโนฺต, เทวีติฯ ‘‘เตน หิ, ตาตา, ตุเมฺห คจฺฉถา’’ติ เต อุโยฺยเชตฺวา รญฺญา สทฺธิํ คตานํ อมจฺจานํ มาตุคาเม ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตุเมฺห อตฺตโน สามิกานํ คตฎฺฐานํ ชานาถ อมฺมา’’ติ ปุจฺฉิฯ ชานาม, อเยฺย, รญฺญา สทฺธิํ อุยฺยานกีฬํ คตาติฯ อาม, อมฺมา คตา, ตตฺถ ปน คนฺตฺวา ‘‘พุโทฺธ อุปฺปโนฺน, ธโมฺม อุปฺปโนฺน, สโงฺฆ อุปฺปโนฺน’’ติ สุตฺวา ‘‘ทสพลสฺส สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามา’’ติ คตา, ตุเมฺห กิํ กริสฺสถาติ? ตุเมฺห ปน, อเยฺย, กิํ กตฺตุกามาติ? ‘‘อหํ ปพฺพชิสฺสามิ, น เตหิ วนฺตวมนํ ชิวฺหเคฺค ฐเปยฺยนฺติฯ ‘‘ยทิ เอวํ, มยมฺปิ ปพฺพชิสฺสามา’’ติ สพฺพาปิ รเถ โยเชตฺวา นิกฺขมิํสุฯ

    Vāṇijā anojādeviyā santikaṃ gantvā paṇṇaṃ dassesuṃ. Sā taṃ vācetvā ‘‘raññā tumhākaṃ bahū kahāpaṇā dinnā, kiṃ tumhehi kataṃ, tātā’’ti pucchi. Piyasāsanaṃ, devi, ānītanti. Amhepi sakkā, tātā, suṇāpetunti? Sakkā, devi, ucchiṭṭhamukhehi pana vattuṃ na sakkāti. Sā suvaṇṇabhiṅgārena udakaṃ dāpesi. Te mukhaṃ vikkhāletvā rañño ārocitaniyāmeneva ārocesuṃ. Sāpi taṃ sutvā uppannapāmojjā teneva nayena ekekasmiṃ pade tikkhattuṃ paṭiññaṃ gahetvā paṭiññāgaṇanāya tīṇi tīṇi katvā nava satasahassāni adāsi. Vāṇijā sabbānipi dvādasa satasahassāni labhiṃsu. Atha ne ‘‘rājā kahaṃ, tātā’’ti pucchi. Pabbajissāmīti nikkhanto, devīti. ‘‘Tena hi, tātā, tumhe gacchathā’’ti te uyyojetvā raññā saddhiṃ gatānaṃ amaccānaṃ mātugāme pakkosāpetvā ‘‘tumhe attano sāmikānaṃ gataṭṭhānaṃ jānātha ammā’’ti pucchi. Jānāma, ayye, raññā saddhiṃ uyyānakīḷaṃ gatāti. Āma, ammā gatā, tattha pana gantvā ‘‘buddho uppanno, dhammo uppanno, saṅgho uppanno’’ti sutvā ‘‘dasabalassa santike pabbajissāmā’’ti gatā, tumhe kiṃ karissathāti? Tumhe pana, ayye, kiṃ kattukāmāti? ‘‘Ahaṃ pabbajissāmi, na tehi vantavamanaṃ jivhagge ṭhapeyyanti. ‘‘Yadi evaṃ, mayampi pabbajissāmā’’ti sabbāpi rathe yojetvā nikkhamiṃsu.

    ราชาปิ อมจฺจสหเสฺสหิ สทฺธิํ คงฺคาตีรํ ปาปุณิ, ตสฺมิํ สมเย คงฺคา ปูรา โหติฯ อถ นํ ทิสฺวา ‘‘อยํ คงฺคา ปูรา โหติ จณฺฑมจฺฉากิณฺณา, อเมฺหหิ จ สทฺธิํ อาคตา ทาสา วา มนุสฺสา วา นตฺถิ, เย โน นาวํ วา อุฬุมฺปํ วา กตฺวา ทเทยฺยุํฯ เอตสฺส ปน สตฺถุ คุณา นาม เหฎฺฐา อวีจิโต อุปริ ยาว ภวคฺคา ปตฺถฎาฯ สเจ เอส สตฺถา สมฺมาสมฺพุโทฺธ, อิเมสํ อสฺสานํ ขุรปิฎฺฐานิ มา เตเมนฺตู’’ติ อุทกปิเฎฺฐน อเสฺส ปกฺขนฺทาเปสุํฯ เอกสฺส อสฺสสฺสาปิ ขุรปิฎฺฐมตฺตํ น เตมิ, ราชมเคฺคน คจฺฉนฺตา วิย ปรตีรํ ปตฺวา ปรโต อญฺญํ มหานทิํ ปาปุณิํสุฯ ‘‘ทุติยา กินฺนมา’’ติ ปุจฺฉิฯ นีลวาหินี นาม คมฺภีรโตปิ ปุถุลโตปิ อฑฺฒโยชนมตฺตา เทวาติฯ ตตฺถ อญฺญา สจฺจกิริยา นตฺถิ, ตาย เอว สจฺจกิริยาย ตมฺปิ อฑฺฒโยชนวิตฺถารํ นทิํ อติกฺกมิํสุฯ อถ ตติยํ จนฺทภาคํ นาม มหานทิํ ปตฺวา ตมฺปิ ตาย เอว สจฺจกิริยาย อติกฺกมิํสุฯ

    Rājāpi amaccasahassehi saddhiṃ gaṅgātīraṃ pāpuṇi, tasmiṃ samaye gaṅgā pūrā hoti. Atha naṃ disvā ‘‘ayaṃ gaṅgā pūrā hoti caṇḍamacchākiṇṇā, amhehi ca saddhiṃ āgatā dāsā vā manussā vā natthi, ye no nāvaṃ vā uḷumpaṃ vā katvā dadeyyuṃ. Etassa pana satthu guṇā nāma heṭṭhā avīcito upari yāva bhavaggā patthaṭā. Sace esa satthā sammāsambuddho, imesaṃ assānaṃ khurapiṭṭhāni mā tementū’’ti udakapiṭṭhena asse pakkhandāpesuṃ. Ekassa assassāpi khurapiṭṭhamattaṃ na temi, rājamaggena gacchantā viya paratīraṃ patvā parato aññaṃ mahānadiṃ pāpuṇiṃsu. ‘‘Dutiyā kinnamā’’ti pucchi. Nīlavāhinī nāma gambhīratopi puthulatopi aḍḍhayojanamattā devāti. Tattha aññā saccakiriyā natthi, tāya eva saccakiriyāya tampi aḍḍhayojanavitthāraṃ nadiṃ atikkamiṃsu. Atha tatiyaṃ candabhāgaṃ nāma mahānadiṃ patvā tampi tāya eva saccakiriyāya atikkamiṃsu.

    สตฺถาปิ ตํทิวสํ ปจฺจูสสมเย มหากรุณาสมาปตฺติโต วุฎฺฐาย โลกํ โอโลเกโนฺต ‘‘อชฺช มหากปฺปิโน ติโยชนสติกํ รชฺชํ ปหาย อมจฺจสหสฺสปริวาโร มม สนฺติเก ปพฺพชิตุํ อาคจฺฉตี’’ติ ทิสฺวา ‘‘มยา เตสํ ปจฺจุคฺคมนํ กาตุํ ยุตฺต’’นฺติ ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต สยเมว ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา อากาเส อุปฺปติตฺวา จนฺทภาคาย ตีเร เตสํ อุตฺตรณติตฺถอภิมุขฎฺฐาเน มหานิโคฺรธรุโกฺข อตฺถิ, ตตฺถ ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา ฉพฺพณฺณพุทฺธรสฺมิโย วิสฺสเชฺชสิฯ เต เตน ติเตฺถน อุตฺตรนฺตา พุทฺธรสฺมิโย อิโต จิโต จ ธาวนฺติโย โอโลเกตฺวา ทสพลสฺส ปุณฺณจนฺทสสฺสิริกํ มุขํ ทิสฺวา ‘‘ยํ สตฺถารํ อุทฺทิสฺส มยํ ปพฺพชิตา, อทฺธา โส เอโส’’ติ ทสฺสเนเนว นิฎฺฐํ คนฺตฺวา ทิฎฺฐฎฺฐานโต ปฎฺฐาย โอณมิตฺวา วนฺทมานา อาคมฺม สตฺถารํ วนฺทิํสุฯ ราชา โคปฺผเกสุ คเหตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ สทฺธิํ อมจฺจสหเสฺสนฯ สตฺถา เตสํ ธมฺมกถํ กเถสิฯ เทสนาปริโยสาเน สเพฺพว อรหเตฺต ปติฎฺฐาย สตฺถารํ ปพฺพชฺชํ ยาจิํสุฯ สตฺถา ‘‘ปุเพฺพ อิเม จีวรทานสฺส ทินฺนตฺตา อตฺตโน ปตฺตจีวรานิ คเหตฺวาว อาคตา’’ติ สุวณฺณวณฺณํ หตฺถํ ปสาเรตฺวา ‘‘เอถ ภิกฺขโว, สฺวากฺขาโต ธโมฺม, จรถ พฺรหฺมจริยํ สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยายา’’ติ อาหฯ สาว เตสํ อายสฺมนฺตานํ ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ อโหสิ, วสฺสสฎฺฐิกเตฺถรา วิย สตฺถารํ ปริวารยิํสุฯ

    Satthāpi taṃdivasaṃ paccūsasamaye mahākaruṇāsamāpattito vuṭṭhāya lokaṃ olokento ‘‘ajja mahākappino tiyojanasatikaṃ rajjaṃ pahāya amaccasahassaparivāro mama santike pabbajituṃ āgacchatī’’ti disvā ‘‘mayā tesaṃ paccuggamanaṃ kātuṃ yutta’’nti pātova sarīrapaṭijagganaṃ katvā bhikkhusaṅghaparivāro sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto sayameva pattacīvaraṃ gahetvā ākāse uppatitvā candabhāgāya tīre tesaṃ uttaraṇatitthaabhimukhaṭṭhāne mahānigrodharukkho atthi, tattha pallaṅkena nisīditvā parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvā chabbaṇṇabuddharasmiyo vissajjesi. Te tena titthena uttarantā buddharasmiyo ito cito ca dhāvantiyo oloketvā dasabalassa puṇṇacandasassirikaṃ mukhaṃ disvā ‘‘yaṃ satthāraṃ uddissa mayaṃ pabbajitā, addhā so eso’’ti dassaneneva niṭṭhaṃ gantvā diṭṭhaṭṭhānato paṭṭhāya oṇamitvā vandamānā āgamma satthāraṃ vandiṃsu. Rājā gopphakesu gahetvā satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi saddhiṃ amaccasahassena. Satthā tesaṃ dhammakathaṃ kathesi. Desanāpariyosāne sabbeva arahatte patiṭṭhāya satthāraṃ pabbajjaṃ yāciṃsu. Satthā ‘‘pubbe ime cīvaradānassa dinnattā attano pattacīvarāni gahetvāva āgatā’’ti suvaṇṇavaṇṇaṃ hatthaṃ pasāretvā ‘‘etha bhikkhavo, svākkhāto dhammo, caratha brahmacariyaṃ sammā dukkhassa antakiriyāyā’’ti āha. Sāva tesaṃ āyasmantānaṃ pabbajjā ca upasampadā ca ahosi, vassasaṭṭhikattherā viya satthāraṃ parivārayiṃsu.

    อโนชาปิ เทวี รถสหสฺสปริวารา คงฺคาตีรํ ปตฺวา รโญฺญ อตฺถาย อาภตํ นาวํ วา อุฬุมฺปํ วา อทิสฺวา อตฺตโน พฺยตฺตตาย จิเนฺตสิ – ‘‘ราชา สจฺจกิริยํ กตฺวา คโต ภวิสฺสติ, โส ปน สตฺถา น เกวลํ เตสํเยว อตฺถาย นิพฺพโตฺต, สเจ โส สตฺถา สมฺมาสมฺพุโทฺธ, อมฺหากํ รถา มา อุทเก นิมุชฺชิํสู’’ติ อุทกปิเฎฺฐน รเถ ปกฺขนฺทาเปสิฯ รถานํ เนมิวฎฺฎิมตฺตมฺปิ น เตมิฯ ทุติยนทิมฺปิ ตติยนทิมฺปิ เตเนว สจฺจกาเรน อุตฺตริฯ อุตฺตรมานา เอว จ นิโคฺรธรุกฺขมูเล สตฺถารํ อทฺทสฯ สตฺถาปิ ‘‘อิมาสํ อตฺตโน สามิเก ปสฺสนฺตีนํ ฉนฺทราโค อุปฺปชฺชิตฺวา มคฺคผลานํ อนฺตรายํ กเรยฺย, ธมฺมํ โสตุํ จ น สกฺขิสฺสนฺตี’’ติฯ ยถา อญฺญมญฺญํ น ปสฺสนฺติ, ตถา อกาสิฯ ตา สพฺพาปิ ติตฺถโต อุตฺตริตฺวา ทสพลํ วนฺทิตฺวา นิสีทิํสุฯ สตฺถา ตาสํ ธมฺมกถํ กเถสิฯ เทสนาปริโยสาเน สพฺพา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย อญฺญมญฺญํ ปสฺสิํสุฯ สตฺถา ‘‘อุปฺปลวณฺณา อาคจฺฉตู’’ติ จิเนฺตสิฯ เถรี อาคนฺตฺวา สพฺพา ปพฺพาเชตฺวา อาทาย ภิกฺขุนิอุปสฺสยํ คตา, สตฺถา ภิกฺขุสหสฺสํ คเหตฺวา อากาเสน เชตวนํ อคมาสิฯ

    Anojāpi devī rathasahassaparivārā gaṅgātīraṃ patvā rañño atthāya ābhataṃ nāvaṃ vā uḷumpaṃ vā adisvā attano byattatāya cintesi – ‘‘rājā saccakiriyaṃ katvā gato bhavissati, so pana satthā na kevalaṃ tesaṃyeva atthāya nibbatto, sace so satthā sammāsambuddho, amhākaṃ rathā mā udake nimujjiṃsū’’ti udakapiṭṭhena rathe pakkhandāpesi. Rathānaṃ nemivaṭṭimattampi na temi. Dutiyanadimpi tatiyanadimpi teneva saccakārena uttari. Uttaramānā eva ca nigrodharukkhamūle satthāraṃ addasa. Satthāpi ‘‘imāsaṃ attano sāmike passantīnaṃ chandarāgo uppajjitvā maggaphalānaṃ antarāyaṃ kareyya, dhammaṃ sotuṃ ca na sakkhissantī’’ti. Yathā aññamaññaṃ na passanti, tathā akāsi. Tā sabbāpi titthato uttaritvā dasabalaṃ vanditvā nisīdiṃsu. Satthā tāsaṃ dhammakathaṃ kathesi. Desanāpariyosāne sabbā sotāpattiphale patiṭṭhāya aññamaññaṃ passiṃsu. Satthā ‘‘uppalavaṇṇā āgacchatū’’ti cintesi. Therī āgantvā sabbā pabbājetvā ādāya bhikkhuniupassayaṃ gatā, satthā bhikkhusahassaṃ gahetvā ākāsena jetavanaṃ agamāsi.

    อถายํ มหากปฺปินเตฺถโร อตฺตโน กิจฺจํ มตฺถกปฺปตฺตํ ญตฺวา อโปฺปสฺสุโกฺก หุตฺวา ผลสมาปตฺติสุเขน วีตินาเมโนฺต อรญฺญคโตปิ รุกฺขมูลคโตปิ สุญฺญาคารคโตปิ ‘‘อโห สุขํ อโห สุข’’นฺติ อภิณฺหํ อุทานํ อุทาเนสิฯ ภิกฺขู กถํ อุปฺปาเทสุํ ‘‘กปฺปินเตฺถโร รชฺชสุขํ อนุสฺสรโนฺต อุทานํ อุทาเนตี’’ติฯ เต ตถาคตสฺส อาโรเจสุํฯ ภควา ‘‘มม ปุโตฺต มคฺคสุขํ ผลสุขํ อารพฺภ อุทานํ อุทาเนสี’’ติ วตฺวา ธมฺมปเท อิมํ คาถมาห –

    Athāyaṃ mahākappinatthero attano kiccaṃ matthakappattaṃ ñatvā appossukko hutvā phalasamāpattisukhena vītināmento araññagatopi rukkhamūlagatopi suññāgāragatopi ‘‘aho sukhaṃ aho sukha’’nti abhiṇhaṃ udānaṃ udānesi. Bhikkhū kathaṃ uppādesuṃ ‘‘kappinatthero rajjasukhaṃ anussaranto udānaṃ udānetī’’ti. Te tathāgatassa ārocesuṃ. Bhagavā ‘‘mama putto maggasukhaṃ phalasukhaṃ ārabbha udānaṃ udānesī’’ti vatvā dhammapade imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ธมฺมปีติ สุขํ เสติ, วิปฺปสเนฺนน เจตสา;

    ‘‘Dhammapīti sukhaṃ seti, vippasannena cetasā;

    อริยปฺปเวทิเต ธเมฺม, สทา รมติ ปณฺฑิโต’’ติฯ (ธ. ป. ๗๙);

    Ariyappavedite dhamme, sadā ramati paṇḍito’’ti. (dha. pa. 79);

    อเถกทิวสํ สตฺถา ตสฺส อเนฺตวาสิกภิกฺขุสหสฺสํ อามเนฺตตฺวา อาห – ‘‘กจฺจิ โว, ภิกฺขเว, อาจริโย ธมฺมํ เทเสตี’’ติฯ น ภควา เทเสติ, อโปฺปสฺสุโกฺก ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารํ อนุยุโตฺต วิหรติ, กสฺสจิ โอวาทมตฺตมฺปิ น เทตีติฯ สตฺถา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, กปฺปิน, อเนฺตวาสิกานํ โอวาทมตฺตมฺปิ น เทสี’’ติ? สจฺจํ ภควาติฯ พฺราหฺมณ, มา เอวํ กริ, อชฺช ปฎฺฐาย อเนฺตวาสิกานํ ธมฺมํ เทเสหีติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ เถโร สตฺถุ กถํ สิรวเรน สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เอกสโมธาเนเยว สมณสหสฺสสฺส ธมฺมํ เทเสตฺวา สเพฺพ อรหตฺตํ ปาเปสิฯ อปรภาเค สตฺถา สงฺฆมเชฺฌ นิสิโนฺน ปฎิปาฎิยา เถเร ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต มหากปฺปินเตฺถรํ ภิกฺขุโอวาทกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Athekadivasaṃ satthā tassa antevāsikabhikkhusahassaṃ āmantetvā āha – ‘‘kacci vo, bhikkhave, ācariyo dhammaṃ desetī’’ti. Na bhagavā deseti, appossukko diṭṭhadhammasukhavihāraṃ anuyutto viharati, kassaci ovādamattampi na detīti. Satthā taṃ pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, kappina, antevāsikānaṃ ovādamattampi na desī’’ti? Saccaṃ bhagavāti. Brāhmaṇa, mā evaṃ kari, ajja paṭṭhāya antevāsikānaṃ dhammaṃ desehīti. ‘‘Sādhu, bhante’’ti thero satthu kathaṃ siravarena sampaṭicchitvā ekasamodhāneyeva samaṇasahassassa dhammaṃ desetvā sabbe arahattaṃ pāpesi. Aparabhāge satthā saṅghamajjhe nisinno paṭipāṭiyā there ṭhānantaresu ṭhapento mahākappinattheraṃ bhikkhuovādakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    สาคตเตฺถรวตฺถุ

    Sāgatattheravatthu

    ๒๓๒. ทสเม เตโชธาตุกุสลานนฺติ เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตุํ กุสลานํ สาคตเตฺถโร อโคฺคติ ทเสฺสติฯ อยญฺหิ เถโร เตโชธาตุสมาปตฺติยา อมฺพติตฺถนาคสฺส เตชสา เตชํ ปริยาทิยิตฺวา ตํ นาคํ นิพฺพิเสวนํ อกาสิฯ ตสฺมา เตโชธาตุกุสลานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    232. Dasame tejodhātukusalānanti tejodhātuṃ samāpajjituṃ kusalānaṃ sāgatatthero aggoti dasseti. Ayañhi thero tejodhātusamāpattiyā ambatitthanāgassa tejasā tejaṃ pariyādiyitvā taṃ nāgaṃ nibbisevanaṃ akāsi. Tasmā tejodhātukusalānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อปรภาเค สตฺถุธมฺมเทสนํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ เตโชธาตุกุสลานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติ, สาคตมาณโวติสฺส นามํ อกํสุฯ โส อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา อฎฺฐ สมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา ตตฺถ วสีภาวํ ปาปุณิฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gahetvā aparabhāge satthudhammadesanaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ tejodhātukusalānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ brāhmaṇakule nibbatti, sāgatamāṇavotissa nāmaṃ akaṃsu. So aparabhāge satthu dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitvā aṭṭha samāpattiyo nibbattetvā tattha vasībhāvaṃ pāpuṇi.

    อเถกทิวสํ สตฺถา จาริกํ จรมาโน โกสมฺพินครสมีปํ อคมาสิฯ เตน จ สมเยน นทีติเตฺถ โปราณกนาวิกสฺส พหู อาคนฺตุกคมิกา เวริโน หุตฺวา ตํ โปเถตฺวา มารยิํสุฯ โส วิรุเทฺธน จิเตฺตน ปตฺถนํ ปฎฺฐเปตฺวา ตสฺมิํเยว ติเตฺถ มหานุภาโว นาคราชา หุตฺวา นิพฺพโตฺตฯ โส วิรุทฺธจิตฺตตฺตา อกาเลเยว วสฺสาเปติ, กาเล ปน น วสฺสาเปติ, สสฺสานิ น สมฺมา สมฺปชฺชนฺติฯ สกลรฎฺฐวาสิโน จ ตสฺส วูปสมนตฺถํ อนุสํวจฺฉรํ พลิกมฺมํ กโรนฺติ, วสนตฺถาย จสฺส เอกํ เคหํ อกํสุฯ สตฺถาปิ เตเนว ติเตฺถน อุตฺตริตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ‘‘ตสฺมิํเยว ปเทเส รตฺติํ วสิสฺสามี’’ติ อคมาสิฯ

    Athekadivasaṃ satthā cārikaṃ caramāno kosambinagarasamīpaṃ agamāsi. Tena ca samayena nadītitthe porāṇakanāvikassa bahū āgantukagamikā verino hutvā taṃ pothetvā mārayiṃsu. So viruddhena cittena patthanaṃ paṭṭhapetvā tasmiṃyeva titthe mahānubhāvo nāgarājā hutvā nibbatto. So viruddhacittattā akāleyeva vassāpeti, kāle pana na vassāpeti, sassāni na sammā sampajjanti. Sakalaraṭṭhavāsino ca tassa vūpasamanatthaṃ anusaṃvaccharaṃ balikammaṃ karonti, vasanatthāya cassa ekaṃ gehaṃ akaṃsu. Satthāpi teneva titthena uttaritvā bhikkhusaṅghaparivuto ‘‘tasmiṃyeva padese rattiṃ vasissāmī’’ti agamāsi.

    อถายํ เถโร ‘‘จโณฺฑ กิเรตฺถ นาคราชา’’ติ สุตฺวา ‘‘อิมํ นาคราชานํ ทเมตฺวา นิพฺพิเสวนํ กตฺวา สตฺถุ วสนฎฺฐานํ ปริยาเทตุํ วฎฺฎตี’’ติ นาคราชสฺส วสนฎฺฐานํ ปวิสิตฺวา ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสีทิฯ นาโค กุชฺฌิตฺวา ‘‘โกนามายํ มุณฺฑโก มยฺหํ วสนฎฺฐานํ ปวิสิตฺวา นิสิโนฺน’’ติ ธูปายิ, เถโร อุตฺตริตรํ ธูปายิฯ นาโค, ปชฺชลิ, เถโรปิ อุตฺตริตรํ ปชฺชลิตฺวา ตสฺส เตชํ ปริยาทิยิฯ โส ‘‘มหโนฺต วตายํ ภิกฺขู’’ติ เถรสฺส ปาทมูเล นิปติตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ สรณํ คจฺฉามี’’ติ อาหฯ มยฺหํ สรณคมนกิจฺจํ นตฺถิ, ทสพลสฺส สรณํ คจฺฉาติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สรณคโต หุตฺวา ตโต ปฎฺฐาย น กญฺจิ วิเหเฐติ, เทวมฺปิ สมฺมา วสฺสาเปติ, สสฺสานิ สมฺมา สมฺปชฺชนฺติฯ

    Athāyaṃ thero ‘‘caṇḍo kirettha nāgarājā’’ti sutvā ‘‘imaṃ nāgarājānaṃ dametvā nibbisevanaṃ katvā satthu vasanaṭṭhānaṃ pariyādetuṃ vaṭṭatī’’ti nāgarājassa vasanaṭṭhānaṃ pavisitvā pallaṅkaṃ ābhujitvā nisīdi. Nāgo kujjhitvā ‘‘konāmāyaṃ muṇḍako mayhaṃ vasanaṭṭhānaṃ pavisitvā nisinno’’ti dhūpāyi, thero uttaritaraṃ dhūpāyi. Nāgo, pajjali, theropi uttaritaraṃ pajjalitvā tassa tejaṃ pariyādiyi. So ‘‘mahanto vatāyaṃ bhikkhū’’ti therassa pādamūle nipatitvā, ‘‘bhante, tumhākaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’ti āha. Mayhaṃ saraṇagamanakiccaṃ natthi, dasabalassa saraṇaṃ gacchāti. So ‘‘sādhū’’ti saraṇagato hutvā tato paṭṭhāya na kañci viheṭheti, devampi sammā vassāpeti, sassāni sammā sampajjanti.

    โกสมฺพิวาสิโน ‘‘อเยฺยน กิร สาคเตน อมฺพติตฺถกนาโค ทมิโต’’ติ สุตฺวา สตฺถุ อาคมนํ อุทิกฺขมานา ทสพลสฺส มหาสกฺการํ สชฺชยิํสุฯ เต ทสพลสฺส มหาสกฺการํ กตฺวา ฉพฺพคฺคิยานํ วจเนน สพฺพเคเหสุ กาโปติกํ ปสนฺนํ ปฎิยาเทตฺวา ปุนทิวเส สาคตเตฺถรสฺส ปิณฺฑาย จรนฺตสฺส เคเห เคเห โถกํ โถกํ อทํสุฯ เถโร อปญฺญเตฺต สิกฺขาปเท มนุเสฺสหิ ยาจิยมาโน เคเห เคเห โถกํ โถกํ ปิวิตฺวา อวิทูรํ คนฺตฺวาว อนาหาริกภาเวน สติํ วิสฺสเชฺชตฺวา สงฺการฎฺฐาเน ปติฯ

    Kosambivāsino ‘‘ayyena kira sāgatena ambatitthakanāgo damito’’ti sutvā satthu āgamanaṃ udikkhamānā dasabalassa mahāsakkāraṃ sajjayiṃsu. Te dasabalassa mahāsakkāraṃ katvā chabbaggiyānaṃ vacanena sabbagehesu kāpotikaṃ pasannaṃ paṭiyādetvā punadivase sāgatattherassa piṇḍāya carantassa gehe gehe thokaṃ thokaṃ adaṃsu. Thero apaññatte sikkhāpade manussehi yāciyamāno gehe gehe thokaṃ thokaṃ pivitvā avidūraṃ gantvāva anāhārikabhāvena satiṃ vissajjetvā saṅkāraṭṭhāne pati.

    สตฺถา กตภตฺตกิโจฺจ นิกฺขมโนฺต ตํ ทิสฺวา คาหาเปตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา วิครหิตฺวา สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปสิฯ โส ปุนทิวเส สติํ ลภิตฺวา อตฺตนา กตการณํ สุตฺวา อจฺจยํ เทเสตฺวา ทสพลํ ขมาเปตฺวา อุปฺปนฺนสํเวโค วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เอวํ วตฺถุ วินเย สมุฎฺฐิตํฯ ตํ ตตฺถ อาคตนเยเนว วิตฺถารโต เวทิตพฺพํฯ อปรภาเค ปน สตฺถา เชตวเน มหาวิหาเร นิสีทิตฺวา ปฎิปาฎิยา เถเร ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต สาคตเตฺถรํ เตโชธาตุกุสลานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Satthā katabhattakicco nikkhamanto taṃ disvā gāhāpetvā vihāraṃ gantvā vigarahitvā sikkhāpadaṃ paññāpesi. So punadivase satiṃ labhitvā attanā katakāraṇaṃ sutvā accayaṃ desetvā dasabalaṃ khamāpetvā uppannasaṃvego vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi. Evaṃ vatthu vinaye samuṭṭhitaṃ. Taṃ tattha āgatanayeneva vitthārato veditabbaṃ. Aparabhāge pana satthā jetavane mahāvihāre nisīditvā paṭipāṭiyā there ṭhānantaresu ṭhapento sāgatattheraṃ tejodhātukusalānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ราธเตฺถรวตฺถุ

    Rādhattheravatthu

    ๒๓๓. เอกาทสเม ปฎิภาเนยฺยกานนฺติ สตฺถุ ธมฺมเทสนาปฎิภานสฺส ปจฺจยภูตานํ ปฎิภานชนกานํ ภิกฺขูนํ ราธเตฺถโร อโคฺคติ ทเสฺสติฯ เถรสฺส หิ ทิฎฺฐิสมุทาจารญฺจ โอกปฺปนิยสทฺธญฺจ อาคมฺม ทสพลสฺส นวนวา ธมฺมเทสนา ปฎิภาติฯ ตสฺมา เถโร ปฎิภาเนยฺยกานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    233. Ekādasame paṭibhāneyyakānanti satthu dhammadesanāpaṭibhānassa paccayabhūtānaṃ paṭibhānajanakānaṃ bhikkhūnaṃ rādhatthero aggoti dasseti. Therassa hi diṭṭhisamudācārañca okappaniyasaddhañca āgamma dasabalassa navanavā dhammadesanā paṭibhāti. Tasmā thero paṭibhāneyyakānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ปฎิภาเนยฺยกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส ยาวชีวํ ตถาคตํ ปริจริตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ราชคหนคเร พฺราหฺมณกุเล ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, ราธมาณโวติสฺส นามํ อกํสุฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbattitvā aparabhāge satthu dhammadesanaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ paṭibhāneyyakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So yāvajīvaṃ tathāgataṃ paricaritvā devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde rājagahanagare brāhmaṇakule paṭisandhiṃ gaṇhi, rādhamāṇavotissa nāmaṃ akaṃsu.

    โส มหลฺลกกาเล อตฺตโน ปุตฺตทาเรน อพหุมโต ‘‘ปพฺพชิตฺวา กาลํ วีตินาเมสฺสามี’’ติ วิหารํ คนฺตฺวา เถเร ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ ‘‘ชิโณฺณ มหลฺลกพฺราหฺมโณ’’ติ น โกจิ ปพฺพาเชตุํ อิจฺฉิฯ อเถกทิวสํ พฺราหฺมโณ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ สตฺถา ตสฺส อุปนิสฺสยสมฺปตฺติํ ทิสฺวา กถํ สมุฎฺฐาเปตุกาโม ‘‘กิํ, พฺราหฺมณ, ปุตฺตทารา ตํ ปฎิชคฺคนฺตี’’ติ? กุโต, โภ โคตม, ปฎิชคฺคนํ, มหลฺลโกติ มํ พหิ นีหริํสุฯ กิํ ปน เต, พฺราหฺมณ, ปพฺพชิตุํ น วฎฺฎตีติ? โก มํ, โภ โคตม, ปพฺพาเชสฺสติ, มหลฺลกภาเวน มํ น โกจิ อิจฺฉตีติฯ สตฺถา สาริปุตฺตเตฺถรสฺส สญฺญํ อทาสิฯ เถโร สตฺถุ วจนํ สิรสา สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ราธพฺราหฺมณํ ปพฺพาเชตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘สตฺถา อิมํ พฺราหฺมณํ สาทเรน ปพฺพชาเปสิ, น โข เม เอตํ อนาทเรน ปริหริตุํ วฎฺฎตี’’ติ ราธเตฺถรํ อาทาย คามกาวาสํ อคมาสิฯ ตตฺรสฺส อธุนา ปพฺพชิตตฺตา กิจฺฉลาภิสฺส เถโร อตฺตโน ปตฺตํ อาวาสํ เทติ, อตฺตโน ปตฺตํ ปณีตปิณฺฑปาตมฺปิ ตเสฺสว ทตฺวา สยํ ปิณฺฑาย จรติฯ ราธเตฺถโร เสนาสนสปฺปายญฺจ โภชนสปฺปายญฺจ ลภิตฺวา สาริปุตฺตเตฺถรสฺส สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ

    So mahallakakāle attano puttadārena abahumato ‘‘pabbajitvā kālaṃ vītināmessāmī’’ti vihāraṃ gantvā there pabbajjaṃ yāci. ‘‘Jiṇṇo mahallakabrāhmaṇo’’ti na koci pabbājetuṃ icchi. Athekadivasaṃ brāhmaṇo satthu santikaṃ gantvā paṭisanthāraṃ katvā ekamantaṃ nisīdi. Satthā tassa upanissayasampattiṃ disvā kathaṃ samuṭṭhāpetukāmo ‘‘kiṃ, brāhmaṇa, puttadārā taṃ paṭijaggantī’’ti? Kuto, bho gotama, paṭijagganaṃ, mahallakoti maṃ bahi nīhariṃsu. Kiṃ pana te, brāhmaṇa, pabbajituṃ na vaṭṭatīti? Ko maṃ, bho gotama, pabbājessati, mahallakabhāvena maṃ na koci icchatīti. Satthā sāriputtattherassa saññaṃ adāsi. Thero satthu vacanaṃ sirasā sampaṭicchitvā rādhabrāhmaṇaṃ pabbājetvā cintesi – ‘‘satthā imaṃ brāhmaṇaṃ sādarena pabbajāpesi, na kho me etaṃ anādarena pariharituṃ vaṭṭatī’’ti rādhattheraṃ ādāya gāmakāvāsaṃ agamāsi. Tatrassa adhunā pabbajitattā kicchalābhissa thero attano pattaṃ āvāsaṃ deti, attano pattaṃ paṇītapiṇḍapātampi tasseva datvā sayaṃ piṇḍāya carati. Rādhatthero senāsanasappāyañca bhojanasappāyañca labhitvā sāriputtattherassa santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā nacirasseva arahattaṃ pāpuṇi.

    อถ นํ เถโร คเหตฺวา ทสพลํ ปสฺสิตุํ อาคโตฯ สตฺถา ชานโนฺตว ปุจฺฉิ – ‘‘โย เต มยา , สาริปุตฺต, นิสฺสิตโก ทิโนฺน, กีทิสํ ตสฺส, น อุกฺกณฺฐตี’’ติ? ภเนฺต, สาสเน อภิรมิตภิกฺขุ นาม เอวรูโป ภเวยฺยาติฯ อถายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ‘‘สาริปุตฺตเตฺถโร กตญฺญู กตเวที’’ติ สงฺฆมเชฺฌ กถา อุทปาทิฯ ตํ สุตฺวา สตฺถา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘อนจฺฉริยํ, ภิกฺขเว, สาริปุตฺตสฺส อิทานิ กตญฺญูกตเวทิตา, โส อตีเต อเหตุกปฎิสนฺธิยํ นิพฺพโตฺตปิ กตญฺญูกตเวทีเยว อโหสี’’ติฯ กตรสฺมิํ กาเล ภควาติ?

    Atha naṃ thero gahetvā dasabalaṃ passituṃ āgato. Satthā jānantova pucchi – ‘‘yo te mayā , sāriputta, nissitako dinno, kīdisaṃ tassa, na ukkaṇṭhatī’’ti? Bhante, sāsane abhiramitabhikkhu nāma evarūpo bhaveyyāti. Athāyasmato sāriputtassa ‘‘sāriputtatthero kataññū katavedī’’ti saṅghamajjhe kathā udapādi. Taṃ sutvā satthā bhikkhū āmantesi – ‘‘anacchariyaṃ, bhikkhave, sāriputtassa idāni kataññūkataveditā, so atīte ahetukapaṭisandhiyaṃ nibbattopi kataññūkatavedīyeva ahosī’’ti. Katarasmiṃ kāle bhagavāti?

    อตีเต, ภิกฺขเว, ปพฺพตปาทมฺหิ ปญฺจสตมตฺตา วฑฺฒกิปุริสา มหาอรญฺญํ ปวิสิตฺวา ทพฺพสมฺภาเร ฉินฺทิตฺวา มหาอุฬุมฺปํ พนฺธิตฺวา นทิยา โอตาเรนฺติฯ อเถโก หตฺถินาโค เอกสฺมิํ วิสมฎฺฐาเน โสณฺฑาย สาขํ คณฺหโนฺต สาขาภงฺคเวคํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต ติขิณขาณุเก ปาเทน อวตฺถาสิ, ปาโท วิโทฺธ, ทุกฺขเวทนา วตฺตนฺติฯ โส คมนํ อภินีหริตุํ อสโกฺกโนฺต ตเตฺถว นิปชฺชิฯ โส กติปาหจฺจเยน เต วฑฺฒกี อตฺตโน สมีเปน คจฺฉเนฺต ทิสฺวา ‘‘อิเม นิสฺสายาหํ ชีวิตํ ลภิสฺสามี’’ติ เตสํ อนุปทํ อคมาสิฯ เต นิวตฺติตฺวา หตฺถิํ ทิสฺวา ภีตา ปลายนฺติฯ โส เตสํ ปลายนภาวํ ญตฺวา อฎฺฐาสิ, ปุน ฐิตกาเล อนุพนฺธิฯ

    Atīte, bhikkhave, pabbatapādamhi pañcasatamattā vaḍḍhakipurisā mahāaraññaṃ pavisitvā dabbasambhāre chinditvā mahāuḷumpaṃ bandhitvā nadiyā otārenti. Atheko hatthināgo ekasmiṃ visamaṭṭhāne soṇḍāya sākhaṃ gaṇhanto sākhābhaṅgavegaṃ sandhāretuṃ asakkonto tikhiṇakhāṇuke pādena avatthāsi, pādo viddho, dukkhavedanā vattanti. So gamanaṃ abhinīharituṃ asakkonto tattheva nipajji. So katipāhaccayena te vaḍḍhakī attano samīpena gacchante disvā ‘‘ime nissāyāhaṃ jīvitaṃ labhissāmī’’ti tesaṃ anupadaṃ agamāsi. Te nivattitvā hatthiṃ disvā bhītā palāyanti. So tesaṃ palāyanabhāvaṃ ñatvā aṭṭhāsi, puna ṭhitakāle anubandhi.

    วฑฺฒกิเชฎฺฐโก จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ หตฺถิ อเมฺหสุ ติฎฺฐเนฺตสุ อนุพนฺธติ, ปลายเนฺตสุ ติฎฺฐติ, ภวิสฺสติ ตตฺถ การณ’’นฺติฯ สเพฺพ ตํ ตํ รุกฺขํ อารุยฺห ตสฺส อาคมนํ ปฎิมาเนนฺตา นิสีทิํสุฯ โส เตสํ สนฺติกํ อาคนฺตฺวา อตฺตโน ปาทํ ทเสฺสโนฺต ปริวเตฺตตฺวา นิปชฺชิฯ ตทา วฑฺฒกีนํ สญฺญา อุทปาทิ – ‘‘คิลานภาเวน, โภ, เอส อาคจฺฉติ, น อเญฺญน การเณนา’’ติ ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปาเท ปวิฎฺฐขาณุกํ ทิสฺวา ‘‘อิมินา การเณน เอส อาคโต’’ติ ติขิณวาสิยา ขาณุกโกฎิยํ โอธิํ ทตฺวา ทฬฺหาย รชฺชุยา พนฺธิตฺวา กฑฺฒิตฺวา นีหริํสุฯ อถสฺส วณมุขํ ปีเฬตฺวา ปุพฺพโลหิตํ นีหริตฺวา กสาโวทเกน โธวิตฺวา อตฺตโน ชานนเภสชฺชํ มเกฺขตฺวา นจิรเสฺสว ผาสุกํ อกํสุฯ

    Vaḍḍhakijeṭṭhako cintesi – ‘‘ayaṃ hatthi amhesu tiṭṭhantesu anubandhati, palāyantesu tiṭṭhati, bhavissati tattha kāraṇa’’nti. Sabbe taṃ taṃ rukkhaṃ āruyha tassa āgamanaṃ paṭimānentā nisīdiṃsu. So tesaṃ santikaṃ āgantvā attano pādaṃ dassento parivattetvā nipajji. Tadā vaḍḍhakīnaṃ saññā udapādi – ‘‘gilānabhāvena, bho, esa āgacchati, na aññena kāraṇenā’’ti tassa santikaṃ gantvā pāde paviṭṭhakhāṇukaṃ disvā ‘‘iminā kāraṇena esa āgato’’ti tikhiṇavāsiyā khāṇukakoṭiyaṃ odhiṃ datvā daḷhāya rajjuyā bandhitvā kaḍḍhitvā nīhariṃsu. Athassa vaṇamukhaṃ pīḷetvā pubbalohitaṃ nīharitvā kasāvodakena dhovitvā attano jānanabhesajjaṃ makkhetvā nacirasseva phāsukaṃ akaṃsu.

    หตฺถินาโค คิลานา วุฎฺฐิโต จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม มยฺหํ พหุปการา, อิเม มยา นิสฺสาย ชีวิตํ ลทฺธํ, มยา อิเมสํ กตญฺญุนา กตเวทินา ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา เสตํ คนฺธหตฺถิโปตกํ อาเนสิฯ วฑฺฒกิโน หตฺถิโปตกํ ทิสฺวา ‘‘อมฺหากํ หตฺถี ปุตฺตมฺปิ คเหตฺวา อาคโต’’ติ อติวิย ตุฎฺฐจิตฺตา อเหสุํฯ หตฺถินาโค จิเนฺตสิ – ‘‘มยิ ติฎฺฐเนฺต ‘กิํ นุ โข อยํ อาคโต’ติ มม อาคตการณํ น ชานิสฺสนฺตี’’ติ ฐิตฎฺฐานโต ปกฺกามิฯ หตฺถิโปตโก ปิตุ ปจฺฉโต ปจฺฉโต อนุปายาสิฯ หตฺถินาโค ตสฺส อาคตภาวํ ญตฺวา นิวตฺตนตฺถาย สทฺทสญฺญํ อทาสิฯ โส ปิตุ กถํ สุตฺวา นิวตฺติตฺวา วฑฺฒกีนํ สนฺติกํ คโตฯ วฑฺฒกิโน ‘‘อิมํ หตฺถิโปตกํ อมฺหากํ ทาตุํ อาคโต ภวิสฺสติ เอโส’’ติ ญตฺวา ‘‘อมฺหากํ สนฺติเก ตยา กตฺตพฺพกิจฺจํ นตฺถิ, ปิตุ สนฺติกํเยว คจฺฉา’’ติ ปหิณิํสุฯ หตฺถินาโค ยาวตติยํ อตฺตโน สนฺติกํ อาคตมฺปิ ปุน วฑฺฒกีนํเยว สมีปํ เปเสสิฯ ตโต ปฎฺฐาย วฑฺฒกิโน หตฺถิโปตกํ อตฺตโน สนฺติเก กตฺวา ปฎิชคฺคนฺติฯ โภชนกาเล เอเกกํ ภตฺตปิณฺฑํ เทนฺติ, ภตฺตํ ตสฺส ยาวทตฺถํ อโหสิฯ โส วฑฺฒกีหิ อโนฺตคหเน โกฎฺฎิตํ ทพฺพสมฺภารํ อาหริตฺวา องฺคณฎฺฐาเน ราสิํ กโรติฯ เอเตเนว นิยาเมน อญฺญมฺปิ อุปการกมฺมํ กโรติฯ

    Hatthināgo gilānā vuṭṭhito cintesi – ‘‘ime mayhaṃ bahupakārā, ime mayā nissāya jīvitaṃ laddhaṃ, mayā imesaṃ kataññunā katavedinā bhavituṃ vaṭṭatī’’ti attano vasanaṭṭhānaṃ gantvā setaṃ gandhahatthipotakaṃ ānesi. Vaḍḍhakino hatthipotakaṃ disvā ‘‘amhākaṃ hatthī puttampi gahetvā āgato’’ti ativiya tuṭṭhacittā ahesuṃ. Hatthināgo cintesi – ‘‘mayi tiṭṭhante ‘kiṃ nu kho ayaṃ āgato’ti mama āgatakāraṇaṃ na jānissantī’’ti ṭhitaṭṭhānato pakkāmi. Hatthipotako pitu pacchato pacchato anupāyāsi. Hatthināgo tassa āgatabhāvaṃ ñatvā nivattanatthāya saddasaññaṃ adāsi. So pitu kathaṃ sutvā nivattitvā vaḍḍhakīnaṃ santikaṃ gato. Vaḍḍhakino ‘‘imaṃ hatthipotakaṃ amhākaṃ dātuṃ āgato bhavissati eso’’ti ñatvā ‘‘amhākaṃ santike tayā kattabbakiccaṃ natthi, pitu santikaṃyeva gacchā’’ti pahiṇiṃsu. Hatthināgo yāvatatiyaṃ attano santikaṃ āgatampi puna vaḍḍhakīnaṃyeva samīpaṃ pesesi. Tato paṭṭhāya vaḍḍhakino hatthipotakaṃ attano santike katvā paṭijagganti. Bhojanakāle ekekaṃ bhattapiṇḍaṃ denti, bhattaṃ tassa yāvadatthaṃ ahosi. So vaḍḍhakīhi antogahane koṭṭitaṃ dabbasambhāraṃ āharitvā aṅgaṇaṭṭhāne rāsiṃ karoti. Eteneva niyāmena aññampi upakārakammaṃ karoti.

    สตฺถา อิมํ การณํ อาหริตฺวา ปุเพฺพปิ สาริปุตฺตสฺส กตญฺญูกตเวทิภาวํ ทีเปติฯ สาริปุตฺตเตฺถโร หิ ตทา มหาหตฺถี อโหสิ, อฎฺฐุปฺปตฺติยํ อาคโต โอสฺสฎฺฐวีริโย ภิกฺขุ หตฺถิโปตโก อโหสิฯ สํยุตฺตนิกายํ ปน ปตฺวา สกลํ ราธสํยุตฺตํ, ธมฺมปเท จ –

    Satthā imaṃ kāraṇaṃ āharitvā pubbepi sāriputtassa kataññūkatavedibhāvaṃ dīpeti. Sāriputtatthero hi tadā mahāhatthī ahosi, aṭṭhuppattiyaṃ āgato ossaṭṭhavīriyo bhikkhu hatthipotako ahosi. Saṃyuttanikāyaṃ pana patvā sakalaṃ rādhasaṃyuttaṃ, dhammapade ca –

    ‘‘นิธีนํว ปวตฺตารํ, ยํ ปเสฺส วชฺชทสฺสินํ;

    ‘‘Nidhīnaṃva pavattāraṃ, yaṃ passe vajjadassinaṃ;

    นิคฺคยฺหวาทิํ เมธาวิํ, ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช;

    Niggayhavādiṃ medhāviṃ, tādisaṃ paṇḍitaṃ bhaje;

    ตาทิสํ ภชมานสฺส, เสโยฺย โหติ น ปาปิโย’’ติฯ (ธ. ป. ๗๖) –

    Tādisaṃ bhajamānassa, seyyo hoti na pāpiyo’’ti. (dha. pa. 76) –

    คาถา เถรสฺส ธมฺมเทสนา นามฯ อปรภาเค ปน สตฺถา ปฎิปาฎิยา เถเร ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต ราธเตฺถรํ ปฎิภาเนยฺยกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Gāthā therassa dhammadesanā nāma. Aparabhāge pana satthā paṭipāṭiyā there ṭhānantaresu ṭhapento rādhattheraṃ paṭibhāneyyakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    โมฆราชเตฺถรวตฺถุ

    Mogharājattheravatthu

    ๒๓๔. ทฺวาทสเม ลูขจีวรธรานนฺติ ลูขจีวรํ ธาเรนฺตานํ โมฆราชา อโคฺคติ ทเสฺสติฯ อยํ หิ เถโร สตฺถลูขํ สุตฺตลูขํ รชนลูขนฺติ ติวิเธนปิ ลูเขน สมนฺนาคตํ ปํสุกูลํ ธาเรสิฯ ตสฺมา ลูขจีวรธรานํ อโคฺค นาม ชาโตฯ

    234. Dvādasame lūkhacīvaradharānanti lūkhacīvaraṃ dhārentānaṃ mogharājā aggoti dasseti. Ayaṃ hi thero satthalūkhaṃ suttalūkhaṃ rajanalūkhanti tividhenapi lūkhena samannāgataṃ paṃsukūlaṃ dhāresi. Tasmā lūkhacīvaradharānaṃ aggo nāma jāto.

    ตสฺส ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถา – อยมฺปิ หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา นิพฺพตฺติ, ตโต อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ลูขจีวรธรานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต กสฺสปทสพลสฺส นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว กฎฺฐวาหนนคเร อมจฺจเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ อปรภาเค วยปฺปโตฺต กฎฺฐวาหนราชานํ อุปฎฺฐหโนฺต อมจฺจฎฺฐานํ ลภิฯ

    Tassa pañhakamme ayamanupubbikathā – ayampi hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gahetvā nibbatti, tato aparabhāge satthu dhammakathaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ lūkhacīvaradharānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto kassapadasabalassa nibbattito puretarameva kaṭṭhavāhananagare amaccagehe paṭisandhiṃ gaṇhi. Aparabhāge vayappatto kaṭṭhavāhanarājānaṃ upaṭṭhahanto amaccaṭṭhānaṃ labhi.

    ตสฺมิํ กาเล กสฺสปทสพโล โลเก อุปฺปชฺชิฯ กฎฺฐวาหนราชา ‘‘พุโทฺธ กิร โลเก อุปฺปโนฺน’’ติ สุตฺวา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘ตาต, พุโทฺธ กิร โลเก อุปฺปโนฺน, อิมํ ปจฺจนฺตนครํ เอกปฺปหาเรเนว อุโภหิ อเมฺหหิ ตุจฺฉํ กาตุํ น สกฺกา, ตฺวํ ตาว มชฺฌิมเทสํ คนฺตฺวา พุทฺธสฺส อุปฺปนฺนภาวํ ญตฺวา ทสพลํ อิมํ นครํ อาเนหี’’ติ ปุริสสหเสฺสน สทฺธิํ เปเสสิฯ โส อนุปุเพฺพน สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมกถํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ตเตฺถว ปพฺพชิตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ สมณธมฺมํ อกาสิฯ เตน สทฺธิํ คตปุริสา ปน สเพฺพปิ นิวตฺติตฺวา ปุน รโญฺญ สนฺติกํ อาคตาฯ

    Tasmiṃ kāle kassapadasabalo loke uppajji. Kaṭṭhavāhanarājā ‘‘buddho kira loke uppanno’’ti sutvā taṃ pakkosāpetvā āha – ‘‘tāta, buddho kira loke uppanno, imaṃ paccantanagaraṃ ekappahāreneva ubhohi amhehi tucchaṃ kātuṃ na sakkā, tvaṃ tāva majjhimadesaṃ gantvā buddhassa uppannabhāvaṃ ñatvā dasabalaṃ imaṃ nagaraṃ ānehī’’ti purisasahassena saddhiṃ pesesi. So anupubbena satthu santikaṃ gantvā dhammakathaṃ sutvā paṭiladdhasaddho tattheva pabbajitvā vīsati vassasahassāni samaṇadhammaṃ akāsi. Tena saddhiṃ gatapurisā pana sabbepi nivattitvā puna rañño santikaṃ āgatā.

    อยํ เถโร ปริปุณฺณสีโล กาลํ กตฺวา เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อมฺหากํ ทสพลสฺส นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว สาวตฺถิยํ พฺราหฺมณกุเล ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, โมฆราชมาณโวติสฺส นามํ อกํสุฯ กฎฺฐวาหนราชาปิ กสฺสปสฺส ภควโต อธิการกมฺมํ กตฺวา เอกํ พุทฺธนฺตรํ สปริวาโร เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อมฺหากํ ทสพลสฺส นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว สาวตฺถิยํ ปุโรหิตเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, พาวริมาณโวติสฺส นามํ อกํสุฯ โส อปเรน สมเยน ตโย เวเท อุคฺคณฺหิตฺวา โสฬสนฺนํ มาณวกสหสฺสานํ สิปฺปํ วาเจโนฺต จรติฯ อถสฺส ปเสนทิโกสลรโญฺญ กาเล ปิตุ อจฺจเยน ปุโรหิตฎฺฐานํ อทํสุฯ ตทา อยมฺปิ โมฆราชมาณโว พาวริพฺราหฺมณสฺส สนฺติเก สิปฺปํ คณฺหาติฯ

    Ayaṃ thero paripuṇṇasīlo kālaṃ katvā ekaṃ buddhantaraṃ devamanussesu saṃsaranto amhākaṃ dasabalassa nibbattito puretarameva sāvatthiyaṃ brāhmaṇakule paṭisandhiṃ gaṇhi, mogharājamāṇavotissa nāmaṃ akaṃsu. Kaṭṭhavāhanarājāpi kassapassa bhagavato adhikārakammaṃ katvā ekaṃ buddhantaraṃ saparivāro devamanussesu saṃsaritvā amhākaṃ dasabalassa nibbattito puretarameva sāvatthiyaṃ purohitagehe paṭisandhiṃ gaṇhi, bāvarimāṇavotissa nāmaṃ akaṃsu. So aparena samayena tayo vede uggaṇhitvā soḷasannaṃ māṇavakasahassānaṃ sippaṃ vācento carati. Athassa pasenadikosalarañño kāle pitu accayena purohitaṭṭhānaṃ adaṃsu. Tadā ayampi mogharājamāṇavo bāvaribrāhmaṇassa santike sippaṃ gaṇhāti.

    อเถกทิวสํ พาวริพฺราหฺมโณ รโหคโต อตฺตโน สิเปฺป สารํ โอโลเกโนฺต สมฺปรายิกํ สารํ อทิสฺวา ‘‘เอกํ ปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา สมฺปรายิกํ คเวเสสฺสามี’’ติ โกสลราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา อตฺตโน ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปสิฯ โส เตน อนุญฺญาโต โสฬสหิ มาณวกสหเสฺสหิ ปริวุโต ปพฺพชฺชตฺถาย นิกฺขมิฯ โกสลราชาปิ เตน สทฺธิํเยว เอกํ อมจฺจํ กหาปณสหสฺสํ ทตฺวา เปเสสิ – ‘‘ยสฺมิํ ฐาเน อาจริโย ปพฺพชติ, ตตฺรสฺส วสนฎฺฐานํ คเหตฺวา เทถา’’ติฯ พาวริพฺราหฺมโณ ผาสุกฎฺฐานํ โอโลเกโนฺต มชฺฌิมเทสโต ปฎิกฺกมฺม อสฺสกรโญฺญ จ มุฬฺหกรโญฺญ จ สีมนฺตเร โคธาวริตีเร อตฺตโน วสนฎฺฐานํ กาเรสิฯ

    Athekadivasaṃ bāvaribrāhmaṇo rahogato attano sippe sāraṃ olokento samparāyikaṃ sāraṃ adisvā ‘‘ekaṃ pabbajjaṃ pabbajitvā samparāyikaṃ gavesessāmī’’ti kosalarājānaṃ upasaṅkamitvā attano pabbajjaṃ anujānāpesi. So tena anuññāto soḷasahi māṇavakasahassehi parivuto pabbajjatthāya nikkhami. Kosalarājāpi tena saddhiṃyeva ekaṃ amaccaṃ kahāpaṇasahassaṃ datvā pesesi – ‘‘yasmiṃ ṭhāne ācariyo pabbajati, tatrassa vasanaṭṭhānaṃ gahetvā dethā’’ti. Bāvaribrāhmaṇo phāsukaṭṭhānaṃ olokento majjhimadesato paṭikkamma assakarañño ca muḷhakarañño ca sīmantare godhāvaritīre attano vasanaṭṭhānaṃ kāresi.

    อเถโก ปุริโส ชฎิลานํ ทสฺสนาย คโต เตสํ สนฺตเก ภูมิฎฺฐาเน เตหิ อนุญฺญาโต อตฺตโน วสนฎฺฐานํ อกาสิฯ เตน กตํ ทิสฺวา อปรํ กุลสตํ เคหสตํ กาเรสิฯ เต สเพฺพปิ สนฺนิปติตฺวา ‘‘มยํ อยฺยานํ สนฺตเก ภูมิภาเค วสาม, มุธา วสิตุํ น การณํ, สุขวาสํ โว ทสฺสามา’’ติ เอเกโก เอเกกํ กหาปณํ พาวริพฺราหฺมณสฺส วสนฎฺฐาเน ฐเปสิฯ สเพฺพหิปิ อาภตกหาปณา สตสหสฺสมตฺตา อเหสุํฯ พาวริพฺราหฺมโณ ‘‘กิมตฺถํ เอเต อาภตา’’ติ อาหฯ สุขวาสทานตฺถาย, ภเนฺตติฯ สจาหํ หิรญฺญสุวเณฺณน อตฺถิโก อสฺสํ, อหํ มหนฺตํ ธนราสิํ ปหาย น ปพฺพเชยฺยํฯ ตุมฺหากํ กหาปเณ คณฺหิตฺวา คจฺฉถาติฯ อเมฺหหิ อยฺยสฺส ปริจฺจตฺตํ น ปุน คณฺหาม, อนุสํวจฺฉรํ ปน เอเตเนว นิยาเมน อาหริสฺสาม, อิเม คเหตฺวา อโยฺย ทานํ เทตูติฯ พฺราหฺมโณ อธิวาเสตฺวา กปณทฺธิกวณิพฺพกยาจกานํ ทานมุเข นิยฺยาเตสิฯ ตสฺส อปราปรํ ทายกภาโว สกลชมฺพุทีเป ปญฺญายิตฺถฯ

    Atheko puriso jaṭilānaṃ dassanāya gato tesaṃ santake bhūmiṭṭhāne tehi anuññāto attano vasanaṭṭhānaṃ akāsi. Tena kataṃ disvā aparaṃ kulasataṃ gehasataṃ kāresi. Te sabbepi sannipatitvā ‘‘mayaṃ ayyānaṃ santake bhūmibhāge vasāma, mudhā vasituṃ na kāraṇaṃ, sukhavāsaṃ vo dassāmā’’ti ekeko ekekaṃ kahāpaṇaṃ bāvaribrāhmaṇassa vasanaṭṭhāne ṭhapesi. Sabbehipi ābhatakahāpaṇā satasahassamattā ahesuṃ. Bāvaribrāhmaṇo ‘‘kimatthaṃ ete ābhatā’’ti āha. Sukhavāsadānatthāya, bhanteti. Sacāhaṃ hiraññasuvaṇṇena atthiko assaṃ, ahaṃ mahantaṃ dhanarāsiṃ pahāya na pabbajeyyaṃ. Tumhākaṃ kahāpaṇe gaṇhitvā gacchathāti. Amhehi ayyassa pariccattaṃ na puna gaṇhāma, anusaṃvaccharaṃ pana eteneva niyāmena āharissāma, ime gahetvā ayyo dānaṃ detūti. Brāhmaṇo adhivāsetvā kapaṇaddhikavaṇibbakayācakānaṃ dānamukhe niyyātesi. Tassa aparāparaṃ dāyakabhāvo sakalajambudīpe paññāyittha.

    ตโต กาลิงฺครเฎฺฐ ทุนฺนิวิเฎฺฐ นาม คาเม ชูชกพฺราหฺมณสฺส วํเส ชาตพฺราหฺมณสฺส พฺราหฺมณี อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย พฺราหฺมณํ โจเทติ – ‘‘พาวรี, กิร ทานํ เทติ, คนฺตฺวา ตโต หิรญฺญสุวณฺณํ อาหรา’’ติฯ โส ตาย โจทิยมาโน สณฺฐาตุํ อสโกฺกโนฺต พาวริสฺส สนฺติกํ คจฺฉมาโน พาวริมฺหิ ทานํ ทตฺวา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา นิปชฺชิตฺวา ทานํ อนุสฺสรมาเน คโตฯ คนฺตฺวา จ ‘‘ทานํ เม, พฺราหฺมณ, เทหิ, ทานํ เม, พฺราหฺมณ, เทหี’’ติ อาหฯ อกาเล ตฺวํ, พฺราหฺมณ, อาคโต, สมฺปตฺตยาจกานํ เม ทินฺนํ, อิทานิ กหาปณํ นตฺถีติฯ น มยฺหํ, พฺราหฺมณ, พหูหิ กหาปเณหิ อโตฺถ, ตว เอตฺตกํ ทานํ ททนฺตสฺส น สกฺกา กหาปเณหิ วินา ภวิตุํ, มยฺหํ ปญฺจ กหาปณสตานิ เทหีติฯ พฺราหฺมณ, ปญฺจปิ สตานิ นตฺถิ, ปุน ทานกาเล สมฺปเตฺต ลภิสฺสสีติฯ กิํ ปนาหํ ตว ทานกาเล อาคมิสฺสามีติ? พาวริพฺราหฺมณสฺส ปณฺณสาลทฺวาเร วาลุกํ ถูปํ กตฺวา สมนฺตโต รตฺตวณฺณานิ ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา มนฺตํ ชเปฺปโนฺต วิย โอเฎฺฐ จาเลตฺวา จาเลตฺวา ‘‘มุทฺธา ผลตุ สตฺตธา’’ติ วทติฯ

    Tato kāliṅgaraṭṭhe dunniviṭṭhe nāma gāme jūjakabrāhmaṇassa vaṃse jātabrāhmaṇassa brāhmaṇī uṭṭhāya samuṭṭhāya brāhmaṇaṃ codeti – ‘‘bāvarī, kira dānaṃ deti, gantvā tato hiraññasuvaṇṇaṃ āharā’’ti. So tāya codiyamāno saṇṭhātuṃ asakkonto bāvarissa santikaṃ gacchamāno bāvarimhi dānaṃ datvā paṇṇasālaṃ pavisitvā nipajjitvā dānaṃ anussaramāne gato. Gantvā ca ‘‘dānaṃ me, brāhmaṇa, dehi, dānaṃ me, brāhmaṇa, dehī’’ti āha. Akāle tvaṃ, brāhmaṇa, āgato, sampattayācakānaṃ me dinnaṃ, idāni kahāpaṇaṃ natthīti. Na mayhaṃ, brāhmaṇa, bahūhi kahāpaṇehi attho, tava ettakaṃ dānaṃ dadantassa na sakkā kahāpaṇehi vinā bhavituṃ, mayhaṃ pañca kahāpaṇasatāni dehīti. Brāhmaṇa, pañcapi satāni natthi, puna dānakāle sampatte labhissasīti. Kiṃ panāhaṃ tava dānakāle āgamissāmīti? Bāvaribrāhmaṇassa paṇṇasāladvāre vālukaṃ thūpaṃ katvā samantato rattavaṇṇāni pupphāni vikiritvā mantaṃ jappento viya oṭṭhe cāletvā cāletvā ‘‘muddhā phalatu sattadhā’’ti vadati.

    พาวริพฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ มหาตโป ตปจารํ คณฺหิตฺวา จรณพฺราหฺมณโก มยฺหํ สตฺตทิวสมตฺถเก ‘สตฺตธา มุทฺธา ผาลตู’ติ วทติ, มยฺหญฺจ อิมสฺส ทาตพฺพานิ ปญฺจ กหาปณสตานิ นตฺถิ, เอกํเสน มํ เอส ฆาเตสฺสตี’’ติฯ เอวํ ตสฺมิํ โสกสลฺลสมปฺปิเต นิปเนฺน รตฺติภาคสมนนฺตเร อนนฺตรตฺตภาเว พาวริสฺส มาตา เทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ สา ปุตฺตสฺส โสกสลฺลสมปฺปิตภาวํ ทิสฺวา อาคนฺตฺวา อาห – ‘‘ตาต , เอส มุทฺธํ วา มุทฺธผาลนํ วา น ชานาติ, ตฺวมฺปิ โลเก พุทฺธานํ อุปฺปนฺนภาวํ น ชานาสิฯ สเจ เต สํสโย อตฺถิ, สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปุจฺฉ, โส เต เอตํ การณํ กเถสฺสตี’’ติฯ พฺราหฺมโณ เทวตาย กถํ สุตกาลโต ปฎฺฐาย อสฺสาสํ ลภิตฺวา ปุนทิวเส อุฎฺฐิเต อรุเณ สเพฺพว อเนฺตวาสิเก ปโกฺกสิตฺวา, ‘‘ตาตา, พุโทฺธ กิร โลเก อุปฺปโนฺน, ตุเมฺห สีฆํ คนฺตฺวา ‘พุโทฺธ วา โน วา’ติ ญตฺวา อาคนฺตฺวา มยฺหํ อาโรเจถ, อหํ สตฺถุ สนฺติกํ คมิสฺสามิฯ อปิจ โข ปน มยฺหํ มหลฺลกภาเวน ชีวิตนฺตราโย ทุชฺชาโน, ตุเมฺห ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อิมินา จ อิมินา จ นิยาเมน ปเญฺห ปุจฺฉถา’’ติ มุทฺธผาลนปญฺหํ นาม อภิสงฺขริตฺวา อทาสิฯ

    Bāvaribrāhmaṇo cintesi – ‘‘ayaṃ mahātapo tapacāraṃ gaṇhitvā caraṇabrāhmaṇako mayhaṃ sattadivasamatthake ‘sattadhā muddhā phālatū’ti vadati, mayhañca imassa dātabbāni pañca kahāpaṇasatāni natthi, ekaṃsena maṃ esa ghātessatī’’ti. Evaṃ tasmiṃ sokasallasamappite nipanne rattibhāgasamanantare anantarattabhāve bāvarissa mātā devatā hutvā nibbatti. Sā puttassa sokasallasamappitabhāvaṃ disvā āgantvā āha – ‘‘tāta , esa muddhaṃ vā muddhaphālanaṃ vā na jānāti, tvampi loke buddhānaṃ uppannabhāvaṃ na jānāsi. Sace te saṃsayo atthi, satthu santikaṃ gantvā puccha, so te etaṃ kāraṇaṃ kathessatī’’ti. Brāhmaṇo devatāya kathaṃ sutakālato paṭṭhāya assāsaṃ labhitvā punadivase uṭṭhite aruṇe sabbeva antevāsike pakkositvā, ‘‘tātā, buddho kira loke uppanno, tumhe sīghaṃ gantvā ‘buddho vā no vā’ti ñatvā āgantvā mayhaṃ ārocetha, ahaṃ satthu santikaṃ gamissāmi. Apica kho pana mayhaṃ mahallakabhāvena jīvitantarāyo dujjāno, tumhe tassa santikaṃ gantvā iminā ca iminā ca niyāmena pañhe pucchathā’’ti muddhaphālanapañhaṃ nāma abhisaṅkharitvā adāsi.

    ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘สเพฺพ อิเม มาณวา ปณฺฑิตา, สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา อตฺตโน กิเจฺจ มตฺถกํ ปเตฺต ปุน มยฺหํ สนฺติกํ อาคเจฺฉยฺยุํ วา โน วา’’ติฯ อถ อตฺตโน ภาคิเนยฺยสฺส อชิตมาณวสฺส นาม สญฺญํ อทาสิ – ‘‘ตฺวํ ปน เอกเนฺตเนว มม สนฺติกํ อาคนฺตุํ อรหสิ, ตยา ปฎิลทฺธคุณํ อาคนฺตฺวา มยฺหํ กเถยฺยาสี’’ติฯ อถ เต โสฬสสหสฺสชฎิลา อชิตมาณวํ เชฎฺฐกํ กตฺวา โสฬสหิ เชฎฺฐเนฺตวาสิเกหิ สทฺธิํ ‘‘สตฺถารํ ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามา’’ติ จาริกํ จรนฺตา คตคตฎฺฐาเน, ‘‘อยฺยา, กหํ คจฺฉถ, กหํ คจฺฉถา’’ติ ปุจฺฉิตา ‘‘ทสพลสฺส สนฺติกํ ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ คจฺฉามา’’ติ โกฎิโต ปฎฺฐาย ปริสํ สํกฑฺฒนฺตา อเนกโยชนสตํ มคฺคํ คตาฯ สตฺถา ‘‘เตสํ อาคมนทิวเส อญฺญสฺส โอกาโส น ภวิสฺสติ, อิทํ อิมิสฺสา ปริสาย อนุจฺฉวิกฎฺฐาน’’นฺติ คนฺตฺวา ปาสาณเจติเย ปิฎฺฐิปาสาเณ นิสีทิฯ โส อชิตมาณโวปิ สปริโส ตํ ปิฎฺฐิปาสาณํ อารุยฺห สตฺถุ สรีรสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘อยํ ปุริโส อิมสฺมิํ โลเก วิวฎจฺฉโท พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ อตฺตโน อาจริเยน ปหิเต ปเญฺห มนสา ปุจฺฉโนฺตว คโตฯ

    Tato cintesi – ‘‘sabbe ime māṇavā paṇḍitā, satthu dhammakathaṃ sutvā attano kicce matthakaṃ patte puna mayhaṃ santikaṃ āgaccheyyuṃ vā no vā’’ti. Atha attano bhāgineyyassa ajitamāṇavassa nāma saññaṃ adāsi – ‘‘tvaṃ pana ekanteneva mama santikaṃ āgantuṃ arahasi, tayā paṭiladdhaguṇaṃ āgantvā mayhaṃ katheyyāsī’’ti. Atha te soḷasasahassajaṭilā ajitamāṇavaṃ jeṭṭhakaṃ katvā soḷasahi jeṭṭhantevāsikehi saddhiṃ ‘‘satthāraṃ pañhaṃ pucchissāmā’’ti cārikaṃ carantā gatagataṭṭhāne, ‘‘ayyā, kahaṃ gacchatha, kahaṃ gacchathā’’ti pucchitā ‘‘dasabalassa santikaṃ pañhaṃ pucchituṃ gacchāmā’’ti koṭito paṭṭhāya parisaṃ saṃkaḍḍhantā anekayojanasataṃ maggaṃ gatā. Satthā ‘‘tesaṃ āgamanadivase aññassa okāso na bhavissati, idaṃ imissā parisāya anucchavikaṭṭhāna’’nti gantvā pāsāṇacetiye piṭṭhipāsāṇe nisīdi. So ajitamāṇavopi sapariso taṃ piṭṭhipāsāṇaṃ āruyha satthu sarīrasampattiṃ disvā ‘‘ayaṃ puriso imasmiṃ loke vivaṭacchado buddho bhavissatī’’ti attano ācariyena pahite pañhe manasā pucchantova gato.

    ตํทิวสํ ตสฺมิํ ฐาเน สมฺปตฺตปริสา ทฺวาทสโยชนิกา อโหสิฯ เตสํ โสฬสนฺนํ อเนฺตวาสิกานํ อนฺตเร โมฆราชมาณโว ‘‘อหํ สเพฺพหิ ปณฺฑิตตโร’’ติ มานตฺถโทฺธ, ตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อยํ อชิตมาณโว สเพฺพสํ เชฎฺฐโก, เอตสฺส ปฐมตรํ มม ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ น ยุตฺต’’นฺติ ฯ ตสฺส ลชฺชายโนฺต ปฐมตรํ ปญฺหํ อปุจฺฉิตฺวา เตน ปุจฺฉิเต ทุติโย หุตฺวา สตฺถารํ ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ สตฺถา ‘‘มานตฺถโทฺธ โมฆราชมาณวา, น ตาวสฺส ญาณํ ปริปากํ คจฺฉติ, อสฺส มานํ นิวาริตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห – ‘‘ติฎฺฐ ตฺวํ, โมฆราช, อเญฺญ ตาว ปเญฺห ปุจฺฉนฺตู’’ติฯ โส สตฺถุ สนฺติกา อปสาทํ ลภิตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ เอตฺตกํ กาลํ มยา ปณฺฑิตตโร นาม นตฺถีติ วิจรามิ, พุทฺธา จ นาม อชานิตฺวา น กเถนฺติฯ สตฺถารา มม ปุจฺฉาย โทโส ทิโฎฺฐ ภวิสฺสตี’’ติ ตุณฺหี อโหสิฯ โส อฎฺฐหิ ชเนหิ ปฎิปาฎิยา ปเญฺห ปุจฺฉิเต อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต นวโม หุตฺวา ปุน อุฎฺฐาสิฯ ปุนปิ นํ สตฺถา อปสาเทสิฯ

    Taṃdivasaṃ tasmiṃ ṭhāne sampattaparisā dvādasayojanikā ahosi. Tesaṃ soḷasannaṃ antevāsikānaṃ antare mogharājamāṇavo ‘‘ahaṃ sabbehi paṇḍitataro’’ti mānatthaddho, tassa etadahosi – ‘‘ayaṃ ajitamāṇavo sabbesaṃ jeṭṭhako, etassa paṭhamataraṃ mama pañhaṃ pucchituṃ na yutta’’nti . Tassa lajjāyanto paṭhamataraṃ pañhaṃ apucchitvā tena pucchite dutiyo hutvā satthāraṃ pañhaṃ pucchi. Satthā ‘‘mānatthaddho mogharājamāṇavā, na tāvassa ñāṇaṃ paripākaṃ gacchati, assa mānaṃ nivārituṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā āha – ‘‘tiṭṭha tvaṃ, mogharāja, aññe tāva pañhe pucchantū’’ti. So satthu santikā apasādaṃ labhitvā cintesi – ‘‘ahaṃ ettakaṃ kālaṃ mayā paṇḍitataro nāma natthīti vicarāmi, buddhā ca nāma ajānitvā na kathenti. Satthārā mama pucchāya doso diṭṭho bhavissatī’’ti tuṇhī ahosi. So aṭṭhahi janehi paṭipāṭiyā pañhe pucchite adhivāsetuṃ asakkonto navamo hutvā puna uṭṭhāsi. Punapi naṃ satthā apasādesi.

    โส ปุนปิ ตุณฺหี หุตฺวา ‘‘สงฺฆนวโก ทานิ ภวิตุํ น สกฺขิสฺสามี’’ติ ปญฺจทสโม หุตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ อถ สตฺถา ญาณสฺส ปริปากภาวํ ญตฺวา ปญฺหํ กเถสิฯ โส เทสนาปริโยสาเน อตฺตโน ปริวาเรน ชฎิลสหเสฺสน สทฺธิํ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อิมินาว นิยาเมน เสสานิปิ ปนฺนรส ชฎิลสหสฺสานิ อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ สเพฺพปิ อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรา เอหิภิกฺขูว อเหสุํฯ เสสชนา ปน น กถิยนฺติฯ อยํ โมฆราชเตฺถโร ตโต ปฎฺฐาย ตีหิ ลูเขหิ สมนฺนาคตํ จีวรํ ธาเรติฯ เอวํ ปารายเน (สุ. นิ. ๙๘๒ อาทโย) วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ สตฺถา ปน อปรภาเค เชตวเน นิสิโนฺน เถเร ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต โมฆราชเตฺถรํ อิมสฺมิํ สาสเน ลูขจีวรธรานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปโนฺต ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ลูขจีวรธรานํ ยทิทํ โมฆราชา’’ติ อาหฯ

    So punapi tuṇhī hutvā ‘‘saṅghanavako dāni bhavituṃ na sakkhissāmī’’ti pañcadasamo hutvā pañhaṃ pucchi. Atha satthā ñāṇassa paripākabhāvaṃ ñatvā pañhaṃ kathesi. So desanāpariyosāne attano parivārena jaṭilasahassena saddhiṃ arahattaṃ pāpuṇi. Imināva niyāmena sesānipi pannarasa jaṭilasahassāni arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Sabbepi iddhimayapattacīvaradharā ehibhikkhūva ahesuṃ. Sesajanā pana na kathiyanti. Ayaṃ mogharājatthero tato paṭṭhāya tīhi lūkhehi samannāgataṃ cīvaraṃ dhāreti. Evaṃ pārāyane (su. ni. 982 ādayo) vatthu samuṭṭhitaṃ. Satthā pana aparabhāge jetavane nisinno there paṭipāṭiyā ṭhānantaresu ṭhapento mogharājattheraṃ imasmiṃ sāsane lūkhacīvaradharānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapento ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ lūkhacīvaradharānaṃ yadidaṃ mogharājā’’ti āha.

    จตุตฺถวคฺควณฺณนาฯ

    Catutthavaggavaṇṇanā.

    เอกจตฺตาลีสสุตฺตมตฺตาย เถรปาฬิยา วณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ekacattālīsasuttamattāya therapāḷiyā vaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๕. ปญฺจมเอตทคฺควโคฺค

    (14) 5. Pañcamaetadaggavaggo

    มหาปชาปติโคตมีเถรีวตฺถุ

    Mahāpajāpatigotamītherīvatthu

    ๒๓๕. เถริปาฬิยา ปฐเม ยทิทํ มหาปชาปติโคตมีติ มหาปชาปติโคตมี เถรี รตฺตญฺญูนํ อคฺคาติ ทเสฺสติฯ

    235. Theripāḷiyā paṭhame yadidaṃ mahāpajāpatigotamīti mahāpajāpatigotamī therī rattaññūnaṃ aggāti dasseti.

    ตสฺสา ปญฺหกเมฺม ปน อยมนุปุพฺพิกถา – อยํ กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา อปเรน สมเยน สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุนิํ รตฺตญฺญูนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา ยาวชีวํ ทานํ ทตฺวา สีลํ รกฺขิตฺวา ตโต จุโต เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา ปน เอกสฺมิํ พุทฺธนฺตเร เทวโลกโต จวิตฺวา พาราณสิยํ ปญฺจนฺนํ ทาสิสตานํ เชฎฺฐกทาสี หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ อถ วสฺสูปนายิกสมเย ปญฺจ ปเจฺจกพุทฺธา นนฺทมูลกปพฺภารโต อิสิปตเน โอตริตฺวา นคเร ปิณฺฑาย จริตฺวา อิสิปตนเมว คนฺตฺวา ‘‘วสฺสูปนายิกกุฎิยา อตฺถาย หตฺถกมฺมํ ยาจิสฺสามา’’ติ จิเนฺตสุํฯ กสฺมา? วสฺสํ อุปคจฺฉเนฺตน หิ นาลกปฎิปทํ ปฎิปเนฺนนาปิ ปญฺจนฺนํ ฉทนานํ อญฺญตเรน ฉทเนน ฉเนฺน สทฺวารพเทฺธ เสนาสเน อุปคนฺตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘น, ภิกฺขเว, อเสนาสนิเกน วสฺสํ อุปคนฺตพฺพํ, โย อุปคเจฺฉยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๒๐๔)ฯ ตสฺมา วสฺสกาเล อุปกเฎฺฐ สเจ เสนาสนํ ลภติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ ลภติ, หตฺถกมฺมํ ปริเยสิตฺวาปิ กาตพฺพํฯ หตฺถกมฺมํ อลภเนฺตน สามมฺปิ กาตพฺพํ, น เตฺวว อเสนาสนิเกน วสฺสํ อุปคนฺตพฺพํฯ อยมนุธมฺมตาฯ ตสฺมา เต ปเจฺจกพุทฺธา ‘‘หตฺถกมฺมํ ยาจิสฺสามา’’ติ จีวรํ ปารุปิตฺวา สายนฺหสมเย นครํ ปวิสิตฺวา เสฎฺฐิสฺส ฆรทฺวาเร อฎฺฐํสุฯ เชฎฺฐกทาสี กุฎํ คเหตฺวา อุทกติตฺถํ คจฺฉนฺตี ปเจฺจกพุเทฺธ นครํ ปวิสเนฺต อทฺทสฯ เสฎฺฐิ เตสํ อาคตการณํ สุตฺวา ‘‘อมฺหากํ โอกาโส นตฺถิ, คจฺฉนฺตู’’ติ อาหฯ

    Tassā pañhakamme pana ayamanupubbikathā – ayaṃ kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gaṇhitvā aparena samayena satthu dhammadesanaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ bhikkhuniṃ rattaññūnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā yāvajīvaṃ dānaṃ datvā sīlaṃ rakkhitvā tato cuto devaloke nibbattitvā pana ekasmiṃ buddhantare devalokato cavitvā bārāṇasiyaṃ pañcannaṃ dāsisatānaṃ jeṭṭhakadāsī hutvā nibbatti. Atha vassūpanāyikasamaye pañca paccekabuddhā nandamūlakapabbhārato isipatane otaritvā nagare piṇḍāya caritvā isipatanameva gantvā ‘‘vassūpanāyikakuṭiyā atthāya hatthakammaṃ yācissāmā’’ti cintesuṃ. Kasmā? Vassaṃ upagacchantena hi nālakapaṭipadaṃ paṭipannenāpi pañcannaṃ chadanānaṃ aññatarena chadanena channe sadvārabaddhe senāsane upagantabbaṃ. Vuttañhetaṃ ‘‘na, bhikkhave, asenāsanikena vassaṃ upagantabbaṃ, yo upagaccheyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 204). Tasmā vassakāle upakaṭṭhe sace senāsanaṃ labhati, iccetaṃ kusalaṃ. No ce labhati, hatthakammaṃ pariyesitvāpi kātabbaṃ. Hatthakammaṃ alabhantena sāmampi kātabbaṃ, na tveva asenāsanikena vassaṃ upagantabbaṃ. Ayamanudhammatā. Tasmā te paccekabuddhā ‘‘hatthakammaṃ yācissāmā’’ti cīvaraṃ pārupitvā sāyanhasamaye nagaraṃ pavisitvā seṭṭhissa gharadvāre aṭṭhaṃsu. Jeṭṭhakadāsī kuṭaṃ gahetvā udakatitthaṃ gacchantī paccekabuddhe nagaraṃ pavisante addasa. Seṭṭhi tesaṃ āgatakāraṇaṃ sutvā ‘‘amhākaṃ okāso natthi, gacchantū’’ti āha.

    อถ เต นครา นิกฺขเนฺต เชฎฺฐกทาสี กุฎํ คเหตฺวา ปวิสนฺตี ทิสฺวา กุฎํ โอตาเรตฺวา วนฺทิตฺวา โอนมิตฺวา มุขํ อุกฺขิปิตฺวา, ‘‘อยฺยา, นครํ ปวิฎฺฐมตฺตาว นิกฺขนฺตา, กิํ นุ โข’’ติ ปุจฺฉิฯ วสฺสูปนายิกกุฎิยา หตฺถกมฺมํ ยาจิตุํ อาคตมฺหาติฯ ลทฺธํ, ภเนฺตติ? น ลทฺธํ อุปาสิเกติฯ กิํ ปเนสา กุฎิ อิสฺสเรเหว กาตพฺพา, อุทาหุ ทุคฺคเตหิปิ สกฺกา กาตุนฺติ? เยน เกนจิ สกฺกา กาตุนฺติฯ สาธุ, ภเนฺต, มยํ กริสฺสาม, เสฺว มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหถาติ นิมเนฺตตฺวา ปุน กุฎํ คเหตฺวา อาคมนติตฺถมเคฺค ฐตฺวา อาคตาคตา อวเสสทาสิโย ‘‘เอเตฺถว โหถา’’ติ วตฺวา สพฺพาสํ อาคตกาเล อาห – ‘‘อมฺมา, กิํ นิจฺจเมว ปรสฺส ทาสิกมฺมํ กริสฺสถ, อุทาหุ ทาสิภาวโต มุจฺจิตุํ อิจฺฉถา’’ติฯ อเชฺชว มุจฺจิตุํ อิจฺฉาม, อเยฺยติฯ ยทิ เอวํ, มยา ปเจฺจกพุทฺธา หตฺถกมฺมํ อลภนฺตา สฺวาตนาย นิมนฺติตา, ตุมฺหากํ สามิเกหิ เอกทิวสํ หตฺถกมฺมํ ทาเปถาติฯ ตา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สายํ อฎวิโต อาคตกาเล สามิกานํ อาโรเจสุํฯ เต ‘‘สาธู’’ติ เชฎฺฐกทาสสฺส เคหทฺวาเร สนฺนิปติํสุฯ

    Atha te nagarā nikkhante jeṭṭhakadāsī kuṭaṃ gahetvā pavisantī disvā kuṭaṃ otāretvā vanditvā onamitvā mukhaṃ ukkhipitvā, ‘‘ayyā, nagaraṃ paviṭṭhamattāva nikkhantā, kiṃ nu kho’’ti pucchi. Vassūpanāyikakuṭiyā hatthakammaṃ yācituṃ āgatamhāti. Laddhaṃ, bhanteti? Na laddhaṃ upāsiketi. Kiṃ panesā kuṭi issareheva kātabbā, udāhu duggatehipi sakkā kātunti? Yena kenaci sakkā kātunti. Sādhu, bhante, mayaṃ karissāma, sve mayhaṃ bhikkhaṃ gaṇhathāti nimantetvā puna kuṭaṃ gahetvā āgamanatitthamagge ṭhatvā āgatāgatā avasesadāsiyo ‘‘ettheva hothā’’ti vatvā sabbāsaṃ āgatakāle āha – ‘‘ammā, kiṃ niccameva parassa dāsikammaṃ karissatha, udāhu dāsibhāvato muccituṃ icchathā’’ti. Ajjeva muccituṃ icchāma, ayyeti. Yadi evaṃ, mayā paccekabuddhā hatthakammaṃ alabhantā svātanāya nimantitā, tumhākaṃ sāmikehi ekadivasaṃ hatthakammaṃ dāpethāti. Tā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā sāyaṃ aṭavito āgatakāle sāmikānaṃ ārocesuṃ. Te ‘‘sādhū’’ti jeṭṭhakadāsassa gehadvāre sannipatiṃsu.

    อถ เน เชฎฺฐกทาสี ‘‘เสฺว, ตาตา, ปเจฺจกพุทฺธานํ หตฺถกมฺมํ เทถา’’ติ อานิสํสํ อาจิกฺขิตฺวา เยปิ น กาตุกามา, เต คาเฬฺหน โอวาเทน ตเชฺชตฺวา สเพฺพปิ สมฺปฎิจฺฉาเปสิฯ สา ปุนทิวเส ปเจฺจกพุทฺธานํ ภตฺตํ ทตฺวา สเพฺพสํ ทาสปุตฺตานํ สญฺญํ อทาสิฯ เต ตาวเทว อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ทพฺพสมฺภาเร สโมธาเนตฺวา สตํ สตํ หุตฺวา เอเกกํ กุฎิํ จงฺกมนาทิปริวารํ กตฺวา มญฺจปีฐปานีย-ปริโภชนียาทีนิ ฐเปตฺวา ปเจฺจกพุทฺธานํ เตมาสํ ตเตฺถว วสนตฺถาย ปฎิญฺญํ กาเรตฺวา วารภิกฺขํ ปฎฺฐเปสุํฯ ยา อตฺตโน วารทิวเส น สโกฺกติ, ตสฺสา เชฎฺฐกทาสี สกเคหโต นีหริตฺวา เทติฯ เอวํ เตมาสํ ปฎิชคฺคิตฺวา เชฎฺฐกทาสี เอเกกํ ทาสิํ เอเกกํ สาฎกํ สชฺชาเปสิ, ปญฺจ ถูลสาฎกสตานิ อเหสุํฯ ตานิ ปริวตฺตาเปตฺวา ปญฺจนฺนํ ปเจฺจกพุทฺธานํ ติจีวรานิ กตฺวา อทาสิฯ ปเจฺจกพุทฺธา ตาสํ ปสฺสนฺตีนํเยว อากาเสน คนฺธมาทนปพฺพตํ อคมํสุฯ

    Atha ne jeṭṭhakadāsī ‘‘sve, tātā, paccekabuddhānaṃ hatthakammaṃ dethā’’ti ānisaṃsaṃ ācikkhitvā yepi na kātukāmā, te gāḷhena ovādena tajjetvā sabbepi sampaṭicchāpesi. Sā punadivase paccekabuddhānaṃ bhattaṃ datvā sabbesaṃ dāsaputtānaṃ saññaṃ adāsi. Te tāvadeva araññaṃ pavisitvā dabbasambhāre samodhānetvā sataṃ sataṃ hutvā ekekaṃ kuṭiṃ caṅkamanādiparivāraṃ katvā mañcapīṭhapānīya-paribhojanīyādīni ṭhapetvā paccekabuddhānaṃ temāsaṃ tattheva vasanatthāya paṭiññaṃ kāretvā vārabhikkhaṃ paṭṭhapesuṃ. Yā attano vāradivase na sakkoti, tassā jeṭṭhakadāsī sakagehato nīharitvā deti. Evaṃ temāsaṃ paṭijaggitvā jeṭṭhakadāsī ekekaṃ dāsiṃ ekekaṃ sāṭakaṃ sajjāpesi, pañca thūlasāṭakasatāni ahesuṃ. Tāni parivattāpetvā pañcannaṃ paccekabuddhānaṃ ticīvarāni katvā adāsi. Paccekabuddhā tāsaṃ passantīnaṃyeva ākāsena gandhamādanapabbataṃ agamaṃsu.

    ตาปิ สพฺพา ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ ตาสุ เชฎฺฐิกา ตโต จวิตฺวา พาราณสิยา อวิทูเร เปสการคาเม เปสการเชฎฺฐกสฺส เคเห นิพฺพตฺติฯ อเถกทิวสํ ปทุมวติยา ปุตฺตา ปญฺจสตา ปเจฺจกพุทฺธา พาราณสิรญฺญา นิมนฺติตา ราชทฺวารํ อาคนฺตฺวา กญฺจิ โอโลเกนฺตมฺปิ อทิสฺวา นิวตฺติตฺวา นครทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา ตํ เปสการคามํ อคมํสุ ฯ สา อิตฺถี ปเจฺจกพุเทฺธ ทิสฺวา สมฺปิยายมานา สเพฺพ วนฺทิตฺวา ภิกฺขํ อทาสิฯ เต ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา คนฺธมาทนเมว อคมํสุฯ

    Tāpi sabbā yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devaloke nibbattiṃsu. Tāsu jeṭṭhikā tato cavitvā bārāṇasiyā avidūre pesakāragāme pesakārajeṭṭhakassa gehe nibbatti. Athekadivasaṃ padumavatiyā puttā pañcasatā paccekabuddhā bārāṇasiraññā nimantitā rājadvāraṃ āgantvā kañci olokentampi adisvā nivattitvā nagaradvārena nikkhamitvā taṃ pesakāragāmaṃ agamaṃsu . Sā itthī paccekabuddhe disvā sampiyāyamānā sabbe vanditvā bhikkhaṃ adāsi. Te bhattakiccaṃ katvā gandhamādanameva agamaṃsu.

    สาปิ ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรนฺตี อมฺหากํ สตฺถุ นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว เทวทหนคเร มหาสุปฺปพุทฺธสฺส เคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, โคตมีติสฺสา นามํ อกํสุฯ มหามายาย กนิฎฺฐภคินี โหติฯ มนฺตชฺฌายกา พฺราหฺมณา ลกฺขณานิ ปริคฺคณฺหนฺตา ‘‘อิมาสํ ทฺวินฺนมฺปิ กุจฺฉิยํ วสิตทารกา จกฺกวตฺติโน ภวิสฺสนฺตี’’ติ พฺยากริํสุฯ สุโทฺธทนมหาราชา วยปฺปตฺตกาเล ตา เทฺวปิ มงฺคลํ กตฺวา อตฺตโน ฆรํ อาเนสิฯ อปรภาเค อมฺหากํ โพธิสโตฺต ตุสิตปุรา จวิตฺวา มหามายาย เทวิยา กุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ มหามายา ตสฺส ชาตทิวสโต สตฺตเม ทิวเส กาลํ กตฺวา ตุสิตปุเร นิพฺพตฺติฯ สุโทฺธทนมหาราชา มหาสตฺตสฺส มาตุจฺฉํ มหาปชาปติโคตมิํ อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปสิฯ ตสฺมิํ กาเล นนฺทกุมาโร ชาโตฯ อยํ มหาปชาปติ นนฺทกุมารํ ธาตีนํ ทตฺวา สยํ โพธิสตฺตํ ปริหริฯ

    Sāpi yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsarantī amhākaṃ satthu nibbattito puretarameva devadahanagare mahāsuppabuddhassa gehe paṭisandhiṃ gaṇhi, gotamītissā nāmaṃ akaṃsu. Mahāmāyāya kaniṭṭhabhaginī hoti. Mantajjhāyakā brāhmaṇā lakkhaṇāni pariggaṇhantā ‘‘imāsaṃ dvinnampi kucchiyaṃ vasitadārakā cakkavattino bhavissantī’’ti byākariṃsu. Suddhodanamahārājā vayappattakāle tā dvepi maṅgalaṃ katvā attano gharaṃ ānesi. Aparabhāge amhākaṃ bodhisatto tusitapurā cavitvā mahāmāyāya deviyā kucchiyaṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Mahāmāyā tassa jātadivasato sattame divase kālaṃ katvā tusitapure nibbatti. Suddhodanamahārājā mahāsattassa mātucchaṃ mahāpajāpatigotamiṃ aggamahesiṭṭhāne ṭhapesi. Tasmiṃ kāle nandakumāro jāto. Ayaṃ mahāpajāpati nandakumāraṃ dhātīnaṃ datvā sayaṃ bodhisattaṃ parihari.

    อปเรน สมเยน โพธิสโตฺต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา โลกานุคฺคหํ กโรโนฺต อนุกฺกเมน กปิลวตฺถุํ ปตฺวา นครํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถสฺส ปิตา สุโทฺธทนมหาราชา อนฺตรวีถิยํเยว ธมฺมกถํ สุตฺวา โสตาปโนฺน อโหสิฯ อถ ทุติยทิวเส นโนฺท ปพฺพชิ, สตฺตเม ทิวเส ราหุโลฯ สตฺถา อปเรน สมเยน เวสาลิํ อุปนิสฺสาย กูฎาคารสาลายํ วิหรติฯ ตสฺมิํ สมเย สุโทฺธทนมหาราชา เสตจฺฉตฺตสฺส เหฎฺฐา อรหตฺตํ สจฺฉิกตฺวา ปรินิพฺพายิฯ ตทา มหาปชาปติโคตมี ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ ตโต โรหิณีนทีตีเร กลหวิวาทสุตฺตปริโยสาเน (สุ. นิ. ๘๖๘ อาทโย) นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิตานํ ปญฺจนฺนํ กุมารสตานํ ปาทปริจาริกา สพฺพาว เอกจิตฺตา หุตฺวา ‘‘มหาปชาปติยา สนฺติกํ คนฺตฺวา สพฺพาว สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามา’’ติ มหาปชาปติํ เชฎฺฐิกํ กตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปพฺพชิตุกามา อเหสุํฯ อยญฺจ มหาปชาปติ ปฐมเมว เอกวารํ สตฺถารํ ปพฺพชฺชํ ยาจมานา นาลตฺถ, ตสฺมา กปฺปกํ ปโกฺกสาเปตฺวา เกเส ฉินฺนาเปตฺวา กาสายานิ อจฺฉาเทตฺวา สพฺพา ตา สากิยานิโย อาทาย เวสาลิํ คนฺตฺวา อานนฺทเตฺถเรน ทสพลํ ยาจาเปตฺวา อฎฺฐหิ ครุธเมฺมหิ ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ อลตฺถฯ อิตรา ปน สพฺพาปิ เอกโตว อุปสมฺปนฺนา อเหสุํฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปเนตํ วตฺถุ ปาฬิยํ (จูฬว. ๔๐๒ อาทโย) อาคตเมวฯ

    Aparena samayena bodhisatto mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā sabbaññutaṃ patvā lokānuggahaṃ karonto anukkamena kapilavatthuṃ patvā nagaraṃ piṇḍāya pāvisi. Athassa pitā suddhodanamahārājā antaravīthiyaṃyeva dhammakathaṃ sutvā sotāpanno ahosi. Atha dutiyadivase nando pabbaji, sattame divase rāhulo. Satthā aparena samayena vesāliṃ upanissāya kūṭāgārasālāyaṃ viharati. Tasmiṃ samaye suddhodanamahārājā setacchattassa heṭṭhā arahattaṃ sacchikatvā parinibbāyi. Tadā mahāpajāpatigotamī pabbajjāya cittaṃ uppādesi. Tato rohiṇīnadītīre kalahavivādasuttapariyosāne (su. ni. 868 ādayo) nikkhamitvā pabbajitānaṃ pañcannaṃ kumārasatānaṃ pādaparicārikā sabbāva ekacittā hutvā ‘‘mahāpajāpatiyā santikaṃ gantvā sabbāva satthu santike pabbajissāmā’’ti mahāpajāpatiṃ jeṭṭhikaṃ katvā satthu santikaṃ gantvā pabbajitukāmā ahesuṃ. Ayañca mahāpajāpati paṭhamameva ekavāraṃ satthāraṃ pabbajjaṃ yācamānā nālattha, tasmā kappakaṃ pakkosāpetvā kese chinnāpetvā kāsāyāni acchādetvā sabbā tā sākiyāniyo ādāya vesāliṃ gantvā ānandattherena dasabalaṃ yācāpetvā aṭṭhahi garudhammehi pabbajjañca upasampadañca alattha. Itarā pana sabbāpi ekatova upasampannā ahesuṃ. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato panetaṃ vatthu pāḷiyaṃ (cūḷava. 402 ādayo) āgatameva.

    เอวํ อุปสมฺปนฺนา ปน มหาปชาปติ สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิ, อถสฺสา สตฺถา ธมฺมํ เทเสสิฯ สา สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เสสา ปญฺจสตา ภิกฺขุนิโย นนฺทโกวาทสุตฺตปริโยสาเน (ม. นิ. ๓.๓๙๘ อาทโย) อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ เอวเมตํ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ อปรภาเค สตฺถา เชตวเน นิสิโนฺน ภิกฺขุนิโย ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต มหาปชาปติํ รตฺตญฺญูนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Evaṃ upasampannā pana mahāpajāpati satthāraṃ upasaṅkamitvā abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi, athassā satthā dhammaṃ desesi. Sā satthu santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā arahattaṃ pāpuṇi. Sesā pañcasatā bhikkhuniyo nandakovādasuttapariyosāne (ma. ni. 3.398 ādayo) arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Evametaṃ vatthu samuṭṭhitaṃ. Aparabhāge satthā jetavane nisinno bhikkhuniyo ṭhānantare ṭhapento mahāpajāpatiṃ rattaññūnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    เขมาเถรีวตฺถุ

    Khemātherīvatthu

    ๒๓๖. ทุติเย เขมาติ เอวํนามิกา ภิกฺขุนีฯ อิโต ปฎฺฐาย จ ปนสฺสา ปญฺหกเมฺม อยมนุปุพฺพิกถาติ อวตฺวา สพฺพตฺถ อภินีหารํ อาทิํ กตฺวา วตฺตพฺพเมว วกฺขามฯ

    236. Dutiye khemāti evaṃnāmikā bhikkhunī. Ito paṭṭhāya ca panassā pañhakamme ayamanupubbikathāti avatvā sabbattha abhinīhāraṃ ādiṃ katvā vattabbameva vakkhāma.

    อตีเต กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ อยํ ปรปริยาปนฺนา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ อเถกทิวสํ ตสฺส ภควโต อคฺคสาวิกํ สุชาตเตฺถริํ นาม ปิณฺฑาย จรนฺตํ ทิสฺวา ตโย โมทเก ทตฺวา ตํทิวสเมว อตฺตโน เกเส วิสฺสเชฺชตฺวา เถริยา ทานํ ทตฺวา ‘‘อนาคเต พุทฺธุปฺปาเท ตุเมฺห วิย มหาปญฺญา ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ กตฺวา ยาวชีวํ กุสลกเมฺมสุ อปฺปมตฺตา หุตฺวา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสรนฺตี กสฺสปพุทฺธกาเล กิกิสฺส กาสิรโญฺญ เคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา สตฺตนฺนํ ภคินีนํ อพฺภนฺตรา หุตฺวา วีสติวสฺสสหสฺสานิ เคเหเยว โกมาริพฺรหฺมจริยํ จริตฺวา ตาหิ ภคินีหิ สทฺธิํ ทสพลสฺส วสนปริเวณํ กาเรตฺวา เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสรนฺตี อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท มทฺทรเฎฺฐ สาคลนคเร ราชกุเล ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, เขมาติสฺสา นามํ อกํสุฯ ตสฺสา สรีรวโณฺณ สุวณฺณรสปิญฺชโร วิย อโหสิฯ สา วยปฺปตฺตา พิมฺพิสารรโญฺญ เคหํ อคมาสิฯ

    Atīte kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ ayaṃ parapariyāpannā hutvā nibbatti. Athekadivasaṃ tassa bhagavato aggasāvikaṃ sujātattheriṃ nāma piṇḍāya carantaṃ disvā tayo modake datvā taṃdivasameva attano kese vissajjetvā theriyā dānaṃ datvā ‘‘anāgate buddhuppāde tumhe viya mahāpaññā bhaveyya’’nti patthanaṃ katvā yāvajīvaṃ kusalakammesu appamattā hutvā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsarantī kassapabuddhakāle kikissa kāsirañño gehe paṭisandhiṃ gahetvā sattannaṃ bhaginīnaṃ abbhantarā hutvā vīsativassasahassāni geheyeva komāribrahmacariyaṃ caritvā tāhi bhaginīhi saddhiṃ dasabalassa vasanapariveṇaṃ kāretvā ekaṃ buddhantaraṃ devamanussesu saṃsarantī imasmiṃ buddhuppāde maddaraṭṭhe sāgalanagare rājakule paṭisandhiṃ gaṇhi, khemātissā nāmaṃ akaṃsu. Tassā sarīravaṇṇo suvaṇṇarasapiñjaro viya ahosi. Sā vayappattā bimbisārarañño gehaṃ agamāsi.

    สา ตถาคเต ราชคหํ อุปนิสฺสาย เวฬุวเน วิหรเนฺต ‘‘สตฺถา กิร รูเป โทสํ ทเสฺสตี’’ติ รูปมทมตฺตา หุตฺวา ‘‘มยฺหมฺปิ รูเป โทสํ ทเสฺสยฺยา’’ติ ภเยน ทสพลํ ทสฺสนาย น คจฺฉติฯ ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ สตฺถุ อคฺคุปฎฺฐาโก, มาทิสสฺส จ นาม อริยสาวกสฺส อคฺคมเหสี ทสพลํ ทสฺสนาย น คจฺฉติ, น เม เอตํ รุจฺจตี’’ติฯ โส กวีหิ เวฬุวนุยฺยานสฺส วณฺณํ พนฺธาเปตฺวา ‘‘เขมาย เทวิยา สวนูปจาเร คายถา’’ติ อาหฯ สา อุยฺยานสฺส วณฺณํ สุตฺวา คนฺตุกามา หุตฺวา ราชานํ ปฎิปุจฺฉิฯ ราชา ‘‘อุยฺยานํ คจฺฉ, สตฺถารํ ปน อทิสฺวา อาคนฺตุํ น ลภิสฺสสี’’ติ อาหฯ สา รโญฺญ ปฎิวจนํ อทตฺวาว มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ ราชา ตาย สทฺธิํ คจฺฉเนฺต ปุริเส อาห – ‘‘สเจ เทวี อุยฺยานโต นิวตฺตมานา ทสพลํ ปสฺสติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ สเจ น ปสฺสติ, ราชาณาย นํ ทเสฺสถา’’ติฯ อถ โข สา เทวี ทิวสภาคํ อุยฺยาเน จริตฺวา นิวตฺตนฺตี ทสพลํ อทิสฺวาว คนฺตุํ อารทฺธาฯ อถ นํ ราชปุริสา อตฺตโน อรุจิยาว เทวิํ สตฺถุ สนฺติกํ นยิํสุฯ

    Sā tathāgate rājagahaṃ upanissāya veḷuvane viharante ‘‘satthā kira rūpe dosaṃ dassetī’’ti rūpamadamattā hutvā ‘‘mayhampi rūpe dosaṃ dasseyyā’’ti bhayena dasabalaṃ dassanāya na gacchati. Rājā cintesi – ‘‘ahaṃ satthu aggupaṭṭhāko, mādisassa ca nāma ariyasāvakassa aggamahesī dasabalaṃ dassanāya na gacchati, na me etaṃ ruccatī’’ti. So kavīhi veḷuvanuyyānassa vaṇṇaṃ bandhāpetvā ‘‘khemāya deviyā savanūpacāre gāyathā’’ti āha. Sā uyyānassa vaṇṇaṃ sutvā gantukāmā hutvā rājānaṃ paṭipucchi. Rājā ‘‘uyyānaṃ gaccha, satthāraṃ pana adisvā āgantuṃ na labhissasī’’ti āha. Sā rañño paṭivacanaṃ adatvāva maggaṃ paṭipajji. Rājā tāya saddhiṃ gacchante purise āha – ‘‘sace devī uyyānato nivattamānā dasabalaṃ passati, iccetaṃ kusalaṃ. Sace na passati, rājāṇāya naṃ dassethā’’ti. Atha kho sā devī divasabhāgaṃ uyyāne caritvā nivattantī dasabalaṃ adisvāva gantuṃ āraddhā. Atha naṃ rājapurisā attano aruciyāva deviṃ satthu santikaṃ nayiṃsu.

    สตฺถา ตํ อาคจฺฉนฺติํ ทิสฺวา อิทฺธิยา เอกํ เทวจฺฉรํ นิมฺมินิตฺวา ตาลวณฺฎํ คเหตฺวา พีชมานํ วิย อกาสิฯ เขมา เทวี ตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มานมฺหิ นฎฺฐา, เอวรูปา นาม เทวจฺฉรปฺปฎิภาคา อิตฺถิโย ทสพลสฺส อวิทูเร ติฎฺฐนฺติ, อหํ เอตาสํ ปริจาริกาปิ นปฺปโหมิ, มานมทํ หิ นิสฺสาย ปาปจิตฺตสฺส วเสน นฎฺฐา’’ติ ตํ นิมิตฺตํ คเหตฺวา ตเมว อิตฺถิํ โอโลกยมานา อฎฺฐาสิฯ อถสฺสา ปสฺสนฺติยาว ตถาคตสฺส อธิฎฺฐานพเลน สา อิตฺถี ปฐมวยํ อติกฺกมฺม มชฺฌิมวเย ฐิตา วิย มชฺฌิมวยํ อติกฺกมฺม ปจฺฉิมวเย ฐิตา วิย จ วลิตฺตจา ปลิตเกสา ขณฺฑวิรฬทนฺตา อโหสิฯ ตโต ตสฺสา ปสฺสนฺติยาว สทฺธิํ ตาลวเณฺฎน ปริวตฺติตฺวา ปริปติฯ ตโต เขมา ปุพฺพเหตุสมฺปนฺนตฺตา ตสฺมิํ อารมฺมเณ อาปาถคเต เอวํ จิเนฺตสิ – ‘‘เอวํวิธมฺปิ นาม สรีรํ เอวรูปํ วิปตฺติํ ปาปุณาติ, มยฺหมฺปิ สรีรํ เอวํคติกเมว ภวิสฺสตี’’ติฯ อถสฺสา เอวํ จินฺติตกฺขเณ สตฺถา อิมํ ธมฺมปเท คาถมาห –

    Satthā taṃ āgacchantiṃ disvā iddhiyā ekaṃ devaccharaṃ nimminitvā tālavaṇṭaṃ gahetvā bījamānaṃ viya akāsi. Khemā devī taṃ disvā cintesi – ‘‘mānamhi naṭṭhā, evarūpā nāma devaccharappaṭibhāgā itthiyo dasabalassa avidūre tiṭṭhanti, ahaṃ etāsaṃ paricārikāpi nappahomi, mānamadaṃ hi nissāya pāpacittassa vasena naṭṭhā’’ti taṃ nimittaṃ gahetvā tameva itthiṃ olokayamānā aṭṭhāsi. Athassā passantiyāva tathāgatassa adhiṭṭhānabalena sā itthī paṭhamavayaṃ atikkamma majjhimavaye ṭhitā viya majjhimavayaṃ atikkamma pacchimavaye ṭhitā viya ca valittacā palitakesā khaṇḍaviraḷadantā ahosi. Tato tassā passantiyāva saddhiṃ tālavaṇṭena parivattitvā paripati. Tato khemā pubbahetusampannattā tasmiṃ ārammaṇe āpāthagate evaṃ cintesi – ‘‘evaṃvidhampi nāma sarīraṃ evarūpaṃ vipattiṃ pāpuṇāti, mayhampi sarīraṃ evaṃgatikameva bhavissatī’’ti. Athassā evaṃ cintitakkhaṇe satthā imaṃ dhammapade gāthamāha –

    ‘‘เย ราครตฺตานุปตนฺติ โสตํ,

    ‘‘Ye rāgarattānupatanti sotaṃ,

    สยํกตํ มกฺกฎโกว ชาลํ;

    Sayaṃkataṃ makkaṭakova jālaṃ;

    เอตมฺปิ เฉตฺวาน วชนฺติ ธีรา,

    Etampi chetvāna vajanti dhīrā,

    อนเปกฺขิโน สพฺพทุกฺขํ ปหายา’’ติฯ

    Anapekkhino sabbadukkhaṃ pahāyā’’ti.

    สา คาถาปริโยสาเน ฐิตปเท ฐิตาเยว สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อคารมเชฺฌ วสเนฺตน นาม อรหตฺตํ ปเตฺตน ตํทิวสเมว ปรินิพฺพายิตพฺพํ วา ปพฺพชิตพฺพํ วา โหติ, สา ปน อตฺตโน อายุสงฺขารานํ ปวตฺตนภาวํ ญตฺวา ‘‘อตฺตโน ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปสฺสามี’’ติ สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ราชนิเวสนํ คนฺตฺวา ราชานํ อนภิวาเทตฺวาว อฎฺฐาสิฯ ราชา อิงฺคิเตเนว อญฺญาสิ – ‘‘อริยธมฺมํ ปตฺตา ภวิสฺสตี’’ติฯ อถ นํ อาห – ‘‘เทวิ คตา นุ โข สตฺถุทสฺสนายา’’ติฯ มหาราช, ตุเมฺหหิ ทิฎฺฐทสฺสนํ ปริตฺตํ, อหํ ปน ทสพลํ สุทิฎฺฐมกาสิํ, ปพฺพชฺชํ เม อนุชานาถาติ ฯ ราชา ‘‘สาธุ, เทวี’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สุวณฺณสิวิกาย ภิกฺขุนิอุปสฺสยํ อุปเนตฺวา ปพฺพาเชสิฯ อถสฺสา ‘‘เขมาเถรี นาม คิหิภาเว ฐตฺวา อรหตฺตํ ปตฺตา’’ติ มหาปญฺญภาโว ปากโฎ อโหสิฯ อิทเมตฺถ วตฺถุฯ อถ สตฺถา อปรภาเค เชตวเน นิสิโนฺน ภิกฺขุนิโย ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต เขมาเถริํ มหาปญฺญานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Sā gāthāpariyosāne ṭhitapade ṭhitāyeva saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Agāramajjhe vasantena nāma arahattaṃ pattena taṃdivasameva parinibbāyitabbaṃ vā pabbajitabbaṃ vā hoti, sā pana attano āyusaṅkhārānaṃ pavattanabhāvaṃ ñatvā ‘‘attano pabbajjaṃ anujānāpessāmī’’ti satthāraṃ vanditvā rājanivesanaṃ gantvā rājānaṃ anabhivādetvāva aṭṭhāsi. Rājā iṅgiteneva aññāsi – ‘‘ariyadhammaṃ pattā bhavissatī’’ti. Atha naṃ āha – ‘‘devi gatā nu kho satthudassanāyā’’ti. Mahārāja, tumhehi diṭṭhadassanaṃ parittaṃ, ahaṃ pana dasabalaṃ sudiṭṭhamakāsiṃ, pabbajjaṃ me anujānāthāti . Rājā ‘‘sādhu, devī’’ti sampaṭicchitvā suvaṇṇasivikāya bhikkhuniupassayaṃ upanetvā pabbājesi. Athassā ‘‘khemātherī nāma gihibhāve ṭhatvā arahattaṃ pattā’’ti mahāpaññabhāvo pākaṭo ahosi. Idamettha vatthu. Atha satthā aparabhāge jetavane nisinno bhikkhuniyo paṭipāṭiyā ṭhānantare ṭhapento khemātheriṃ mahāpaññānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    อุปฺปลวณฺณาเถรีวตฺถุ

    Uppalavaṇṇātherīvatthu

    ๒๓๗. ตติเย อุปฺปลวณฺณาติ นีลุปฺปลคพฺภสทิเสเนว วเณฺณน สมนฺนาคตตฺตา เอวํลทฺธนามา เถรีฯ สา กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา อปรภาเค มหาชเนน สทฺธิํ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุนิํ อิทฺธิมนฺตีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา สตฺตาหํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรนฺตี กสฺสปพุทฺธกาเล พาราณสินคเร กิกิสฺส กาสิรโญฺญ เคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา สตฺตนฺนํ ภคินีนํ อพฺภนฺตรา หุตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ พฺรหฺมจริยํ จริตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปริเวณํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺตาฯ

    237. Tatiye uppalavaṇṇāti nīluppalagabbhasadiseneva vaṇṇena samannāgatattā evaṃladdhanāmā therī. Sā kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gaṇhitvā aparabhāge mahājanena saddhiṃ satthu santikaṃ gantvā dhammaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ bhikkhuniṃ iddhimantīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā sattāhaṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsarantī kassapabuddhakāle bārāṇasinagare kikissa kāsirañño gehe paṭisandhiṃ gaṇhitvā sattannaṃ bhaginīnaṃ abbhantarā hutvā vīsati vassasahassāni brahmacariyaṃ caritvā bhikkhusaṅghassa pariveṇaṃ katvā devaloke nibbattā.

    ตโต จวิตฺวา ปุน มนุสฺสโลกํ อาคจฺฉนฺตี เอกสฺมิํ คาเม สหตฺถา กมฺมํ กตฺวา ชีวนกฎฺฐาเน นิพฺพตฺตาฯ สา เอกทิวสํ เขตฺตกุฎิํ คจฺฉนฺตี อนฺตรามเคฺค เอกสฺมิํ สเร ปาโตว ปุปฺผิตํ ปทุมปุปฺผํ ทิสฺวา ตํ สรํ โอรุยฺห ตเญฺจว ปุปฺผํ ลาชปกฺขิปนตฺถาย ปทุมินิยา ปตฺตญฺจ คเหตฺวา เกทาเร สาลิสีสานิ ฉินฺทิตฺวา กุฎิกาย นิสินฺนา ลาเช ภชฺชิตฺวา ปญฺจ ลาชสตานิ คเณสิฯ ตสฺมิํ ขเณ คนฺธมาทนปพฺพเต นิโรธสมาปตฺติโต วุฎฺฐิโต เอโก ปเจฺจกพุโทฺธ อาคนฺตฺวา ตสฺสา อวิทูเร อฎฺฐาสิฯ สา ปเจฺจกพุทฺธํ ทิสฺวา ลาเชหิ สทฺธิํ ปทุมปุปฺผํ คเหตฺวา กุฎิโต โอรุยฺห ลาเช ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา ปทุมปุเปฺผน ปตฺตํ ปิธาย อทาสิฯ อถสฺสา ปเจฺจกพุเทฺธ โถกํ คเต เอตทโหสิ – ‘‘ปพฺพชิตา นาม ปุเปฺผน อนตฺถิกา, อหํ ปุปฺผํ คเหตฺวา ปิฬนฺธิสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา ปเจฺจกพุทฺธสฺส หตฺถโต ปุปฺผํ คเหตฺวา ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ, อโยฺย, ปุเปฺผน อนตฺถิโก อภวิสฺส, ปตฺตมตฺถเก ฐเปตุํ น อทสฺส, อทฺธา อยฺยสฺส อโตฺถ ภวิสฺสตี’’ติ ปุน คนฺตฺวา ปตฺตมตฺถเก ฐเปตฺวา ปเจฺจกพุทฺธํ ขมาเปตฺวา, ‘‘ภเนฺต , อิเมสํ เม ลาชานํ นิสฺสเนฺทน ลาชคณนาย ปุตฺตา อสฺสุ, ปทุมปุปฺผสฺส นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน เม ปเท ปเท ปทุมปุปฺผํ อุฎฺฐหตู’’ติ ปตฺถนํ อกาสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ ตสฺสา ปสฺสนฺติยาว อากาเสน คนฺธมาทนปพฺพตํ คนฺตฺวา ตํ ปทุมํ นนฺทมูลกปพฺภาเร ปเจฺจกพุทฺธานํ อกฺกมนโสปานสมีเป ปาทปุญฺฉนํ กตฺวา ฐเปสิฯ

    Tato cavitvā puna manussalokaṃ āgacchantī ekasmiṃ gāme sahatthā kammaṃ katvā jīvanakaṭṭhāne nibbattā. Sā ekadivasaṃ khettakuṭiṃ gacchantī antarāmagge ekasmiṃ sare pātova pupphitaṃ padumapupphaṃ disvā taṃ saraṃ oruyha tañceva pupphaṃ lājapakkhipanatthāya paduminiyā pattañca gahetvā kedāre sālisīsāni chinditvā kuṭikāya nisinnā lāje bhajjitvā pañca lājasatāni gaṇesi. Tasmiṃ khaṇe gandhamādanapabbate nirodhasamāpattito vuṭṭhito eko paccekabuddho āgantvā tassā avidūre aṭṭhāsi. Sā paccekabuddhaṃ disvā lājehi saddhiṃ padumapupphaṃ gahetvā kuṭito oruyha lāje paccekabuddhassa patte pakkhipitvā padumapupphena pattaṃ pidhāya adāsi. Athassā paccekabuddhe thokaṃ gate etadahosi – ‘‘pabbajitā nāma pupphena anatthikā, ahaṃ pupphaṃ gahetvā piḷandhissāmī’’ti gantvā paccekabuddhassa hatthato pupphaṃ gahetvā puna cintesi – ‘‘sace, ayyo, pupphena anatthiko abhavissa, pattamatthake ṭhapetuṃ na adassa, addhā ayyassa attho bhavissatī’’ti puna gantvā pattamatthake ṭhapetvā paccekabuddhaṃ khamāpetvā, ‘‘bhante , imesaṃ me lājānaṃ nissandena lājagaṇanāya puttā assu, padumapupphassa nissandena nibbattanibbattaṭṭhāne me pade pade padumapupphaṃ uṭṭhahatū’’ti patthanaṃ akāsi. Paccekabuddho tassā passantiyāva ākāsena gandhamādanapabbataṃ gantvā taṃ padumaṃ nandamūlakapabbhāre paccekabuddhānaṃ akkamanasopānasamīpe pādapuñchanaṃ katvā ṭhapesi.

    สาปิ ตสฺส กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน เทวโลเก ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, นิพฺพตฺตกาลโต ปฎฺฐาย จสฺสา ปเท ปเท มหาปทุมปุปฺผํ อุฎฺฐาสิฯ สา ตโต จวิตฺวา ปพฺพตปาเท เอกสฺมิํ ปทุมสฺสเร ปทุมคเพฺภ นิพฺพตฺติฯ ตํ นิสฺสาย เอโก ตาปโส วสติ, โส ปาโตว มุขโธวนตฺถาย สรํ คนฺตฺวา ตํ ปุปฺผํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อิทํ ปุปฺผํ เสเสหิ มหนฺตตรํ, เสสานิ จ ปุปฺผิตานิ, อิทํ มกุฬิตเมว, ภวิตพฺพเมตฺถ การเณนา’’ติ อุทกํ โอตริตฺวา ตํ ปุปฺผํ คณฺหิฯ ตํ เตน คหิตมตฺตเมว ปุปฺผิตํฯ ตาปโส อโนฺตปทุมคเพฺภ นิปนฺนทาริกํ อทฺทสฯ ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย จ ธีตุสิเนหํ ลภิตฺวา ปทุเมเนว สทฺธิํ ปณฺณสาลํ เนตฺวา มญฺจเก นิปชฺชาเปสิฯ อถสฺสา ปุญฺญานุภาเวน องฺคุฎฺฐเก ขีรํ นิพฺพตฺติฯ โส ตสฺมิํ ปุเปฺผ มิลาเต อญฺญํ นวปุปฺผํ อาหริตฺวา ตํ นิปชฺชาเปสิฯ อถสฺสา อาธาวนวิธาวเนน กีฬิตุํ สมตฺถกาลโต ปฎฺฐาย ปทวาเร ปทวาเร ปทุมปุปฺผํ อุฎฺฐาสิ, กุงฺกุมราสิสฺส วิยสฺสา สรีรวโณฺณ อโหสิฯ สา อปฺปตฺตา เทววณฺณํ, อติกฺกนฺตา มานุสวณฺณํ อโหสิฯ สา ปิตริ ผลาผลตฺถาย คเต ปณฺณสาลายํ โอหียติฯ

    Sāpi tassa kammassa nissandena devaloke paṭisandhiṃ gaṇhi, nibbattakālato paṭṭhāya cassā pade pade mahāpadumapupphaṃ uṭṭhāsi. Sā tato cavitvā pabbatapāde ekasmiṃ padumassare padumagabbhe nibbatti. Taṃ nissāya eko tāpaso vasati, so pātova mukhadhovanatthāya saraṃ gantvā taṃ pupphaṃ disvā cintesi – ‘‘idaṃ pupphaṃ sesehi mahantataraṃ, sesāni ca pupphitāni, idaṃ makuḷitameva, bhavitabbamettha kāraṇenā’’ti udakaṃ otaritvā taṃ pupphaṃ gaṇhi. Taṃ tena gahitamattameva pupphitaṃ. Tāpaso antopadumagabbhe nipannadārikaṃ addasa. Diṭṭhakālato paṭṭhāya ca dhītusinehaṃ labhitvā padumeneva saddhiṃ paṇṇasālaṃ netvā mañcake nipajjāpesi. Athassā puññānubhāvena aṅguṭṭhake khīraṃ nibbatti. So tasmiṃ pupphe milāte aññaṃ navapupphaṃ āharitvā taṃ nipajjāpesi. Athassā ādhāvanavidhāvanena kīḷituṃ samatthakālato paṭṭhāya padavāre padavāre padumapupphaṃ uṭṭhāsi, kuṅkumarāsissa viyassā sarīravaṇṇo ahosi. Sā appattā devavaṇṇaṃ, atikkantā mānusavaṇṇaṃ ahosi. Sā pitari phalāphalatthāya gate paṇṇasālāyaṃ ohīyati.

    อเถกทิวสํ ตสฺสา วยปฺปตฺตกาเล ปิตริ ผลาผลตฺถาย คเต เอโก วนจรโก ตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มนุสฺสานํ นาม เอวํวิธํ รูปํ นตฺถิ, วีมํสิสฺสามิ น’’นฺติ ตาปสสฺส อาคมนํ อุทิกฺขโนฺต นิสีทิฯ สา ปิตริ อาคจฺฉเนฺต ปฎิปถํ คนฺตฺวา ตสฺส หตฺถโต กาชกมณฺฑลุํ อคฺคเหสิ, อาคนฺตฺวา นิสินฺนสฺส จสฺส อตฺตนา กรณวตฺตํ ทเสฺสสิฯ ตทา โส วนจรโก มนุสฺสภาวํ ญตฺวา ตาปสํ อภิวาเทตฺวา นิสีทิฯ ตาปโส ตํ วนจรกํ วนมูลผลาผเลหิ จ ปานีเยน จ นิมเนฺตตฺวา, ‘‘โภ ปุริส, อิมสฺมิํเยว ฐาเน วสิสฺสสิ, อุทาหุ คมิสสฺสี’’ติ ปุจฺฉิฯ คมิสฺสามิ, ภเนฺต, อิธ กิํ กริสฺสามีติฯ อิทํ ตยา ทิฎฺฐการณํ เอโตฺต คนฺตฺวา อกเถตุํ สกฺขิสฺสสีติฯ สเจ, อโยฺย, น อิจฺฉติ, กิํ การณา กเถสฺสามีติ ตาปสํ วนฺทิตฺวา ปุน อาคมนกาเล มคฺคสญฺชานนตฺถํ สาขาสญฺญญฺจ รุกฺขสญฺญญฺจ กโรโนฺต ปกฺกามิฯ

    Athekadivasaṃ tassā vayappattakāle pitari phalāphalatthāya gate eko vanacarako taṃ disvā cintesi – ‘‘manussānaṃ nāma evaṃvidhaṃ rūpaṃ natthi, vīmaṃsissāmi na’’nti tāpasassa āgamanaṃ udikkhanto nisīdi. Sā pitari āgacchante paṭipathaṃ gantvā tassa hatthato kājakamaṇḍaluṃ aggahesi, āgantvā nisinnassa cassa attanā karaṇavattaṃ dassesi. Tadā so vanacarako manussabhāvaṃ ñatvā tāpasaṃ abhivādetvā nisīdi. Tāpaso taṃ vanacarakaṃ vanamūlaphalāphalehi ca pānīyena ca nimantetvā, ‘‘bho purisa, imasmiṃyeva ṭhāne vasissasi, udāhu gamisassī’’ti pucchi. Gamissāmi, bhante, idha kiṃ karissāmīti. Idaṃ tayā diṭṭhakāraṇaṃ etto gantvā akathetuṃ sakkhissasīti. Sace, ayyo, na icchati, kiṃ kāraṇā kathessāmīti tāpasaṃ vanditvā puna āgamanakāle maggasañjānanatthaṃ sākhāsaññañca rukkhasaññañca karonto pakkāmi.

    โส พาราณสิํ คนฺตฺวา ราชานํ อทฺทส, ราชา ‘‘กสฺมา อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อหํ, เทว, ตุมฺหากํ วนจรโก ปพฺพตปาเท อจฺฉริยํ อิตฺถิรตนํ ทิสฺวา อาคโตมฺหี’’ติ สพฺพํ ปวตฺติํ กเถสิฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา เวเคน ปพฺพตปาทํ คนฺตฺวา อวิทูเร ฐาเน ขนฺธาวารํ นิเวเสตฺวา วนจรเกน เจว อเญฺญหิ จ ปุริเสหิ สทฺธิํ ตาปสสฺส ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา นิสินฺนเวลาย ตตฺถ คนฺตฺวา อภิวาเทตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ราชา ตาปสสฺส ปพฺพชิตปริกฺขารภณฺฑํ ปาทมูเล ฐเปตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อิมสฺมิํ ฐาเน กิํ กโรม, คจฺฉามา’’ติ อาหฯ คจฺฉ, มหาราชาติฯ อาม, คจฺฉามิ, ภเนฺตฯ อยฺยสฺส ปน สมีเป วิสภาคปริสา อตฺถีติ อสฺสุมฺห, อสารุปฺปา เอสา ปพฺพชิตานํ, มยา สทฺธิํ คจฺฉตุ, ภเนฺตติฯ มนุสฺสานํ จิตฺตํ นาม ทุโตฺตสยํ, กถํ พหูนํ มเชฺฌ วสิสฺสตีติ ฯ อมฺหากํ รุจิตกาลโต ปฎฺฐาย เสสานํ เชฎฺฐกฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ปฎิชคฺคิสฺสามิ, ภเนฺตติฯ

    So bārāṇasiṃ gantvā rājānaṃ addasa, rājā ‘‘kasmā āgatosī’’ti pucchi. ‘‘Ahaṃ, deva, tumhākaṃ vanacarako pabbatapāde acchariyaṃ itthiratanaṃ disvā āgatomhī’’ti sabbaṃ pavattiṃ kathesi. So tassa vacanaṃ sutvā vegena pabbatapādaṃ gantvā avidūre ṭhāne khandhāvāraṃ nivesetvā vanacarakena ceva aññehi ca purisehi saddhiṃ tāpasassa bhattakiccaṃ katvā nisinnavelāya tattha gantvā abhivādetvā paṭisanthāraṃ katvā ekamantaṃ nisīdi. Rājā tāpasassa pabbajitaparikkhārabhaṇḍaṃ pādamūle ṭhapetvā, ‘‘bhante, imasmiṃ ṭhāne kiṃ karoma, gacchāmā’’ti āha. Gaccha, mahārājāti. Āma, gacchāmi, bhante. Ayyassa pana samīpe visabhāgaparisā atthīti assumha, asāruppā esā pabbajitānaṃ, mayā saddhiṃ gacchatu, bhanteti. Manussānaṃ cittaṃ nāma duttosayaṃ, kathaṃ bahūnaṃ majjhe vasissatīti . Amhākaṃ rucitakālato paṭṭhāya sesānaṃ jeṭṭhakaṭṭhāne ṭhapetvā paṭijaggissāmi, bhanteti.

    โส รโญฺญ กถํ สุตฺวา ทหรกาเล คหิตนามวเสเนว, ‘‘อมฺม, ปทุมวตี’’ติ ธีตรํ ปโกฺกสิฯ สา เอกวจเนเนว ปณฺณสาลโต นิกฺขมิตฺวา ปิตรํ อภิวาเทตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ ปิตา อาห – ‘‘ตฺวํ, อมฺม, วยปฺปตฺตา, อิมสฺมิํ ฐาเน รญฺญา ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย วสิตุํ อยุตฺตา, รญฺญา สทฺธิํ คจฺฉ, อมฺมา’’ติฯ สา ‘‘สาธุ, ตาตา’’ติ ปิตุ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อภิวาเทตฺวา ปโรทมานา อฎฺฐาสิฯ ราชา ‘‘อิมิสฺสา ปิตุ จิตฺตํ คณฺหามี’’ติ ตสฺมิํเยว ฐาเน กหาปณราสิมฺหิ ฐเปตฺวา อภิเสกํ อกาสิฯ อถ นํ คเหตฺวา อตฺตโน นครํ อาเนตฺวา อาคตกาลโต ปฎฺฐาย เสสอิตฺถิโย อโนโลเกตฺวา ตาย สทฺธิํเยว รมติฯ ตา อิตฺถิโย อิสฺสาปกตา ตํ รโญฺญ อนฺตเร ปริภินฺทิตุกามา เอวมาหํสุ – ‘‘นายํ, มหาราช, มนุสฺสชาติกา, กหํ นาม ตุเมฺหหิ มนุสฺสานํ วิจรณฎฺฐาเน ปทุมานิ อุฎฺฐหนฺตานิ ทิฎฺฐปุพฺพานิ, อทฺธา อยํ ยกฺขินี, นีหรถ นํ มหาราชา’’ติฯ ราชา ตาสํ กถํ สุตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ

    So rañño kathaṃ sutvā daharakāle gahitanāmavaseneva, ‘‘amma, padumavatī’’ti dhītaraṃ pakkosi. Sā ekavacaneneva paṇṇasālato nikkhamitvā pitaraṃ abhivādetvā aṭṭhāsi. Atha naṃ pitā āha – ‘‘tvaṃ, amma, vayappattā, imasmiṃ ṭhāne raññā diṭṭhakālato paṭṭhāya vasituṃ ayuttā, raññā saddhiṃ gaccha, ammā’’ti. Sā ‘‘sādhu, tātā’’ti pitu vacanaṃ sampaṭicchitvā abhivādetvā parodamānā aṭṭhāsi. Rājā ‘‘imissā pitu cittaṃ gaṇhāmī’’ti tasmiṃyeva ṭhāne kahāpaṇarāsimhi ṭhapetvā abhisekaṃ akāsi. Atha naṃ gahetvā attano nagaraṃ ānetvā āgatakālato paṭṭhāya sesaitthiyo anoloketvā tāya saddhiṃyeva ramati. Tā itthiyo issāpakatā taṃ rañño antare paribhinditukāmā evamāhaṃsu – ‘‘nāyaṃ, mahārāja, manussajātikā, kahaṃ nāma tumhehi manussānaṃ vicaraṇaṭṭhāne padumāni uṭṭhahantāni diṭṭhapubbāni, addhā ayaṃ yakkhinī, nīharatha naṃ mahārājā’’ti. Rājā tāsaṃ kathaṃ sutvā tuṇhī ahosi.

    อถสฺส อปเรน สมเยน ปจฺจโนฺต กุปิโตฯ โส ‘‘ครุคพฺภา ปทุมวตี’’ติ ตํ นคเร ฐเปตฺวา ปจฺจนฺตํ อคมาสิฯ อถ ตา อิตฺถิโย ตสฺสา อุปฎฺฐายิกาย ลญฺชํ ทตฺวา ‘‘อิมิสฺสา ทารกํ ชาตมตฺตเมว อปเนตฺวา เอกํ ทารุฆฎิกํ โลหิเตน มเกฺขตฺวา สนฺติเก ฐเปหี’’ติ อาหํสุฯ ปทุมวติยาปิ นจิรเสฺสว คพฺภวุฎฺฐานํ อโหสิฯ มหาปทุมกุมาโร เอกโกว กุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ อวเสสา เอกูนปญฺจสตา ทารกา มหาปทุมกุมารสฺส มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมิตฺวา นิปนฺนกาเล สํเสทชา หุตฺวา นิพฺพตฺติํสุฯ อถสฺส ‘‘น ตาวายํ สติํ ปฎิลภตี’’ติ ญตฺวา อุปฎฺฐายิกา เอกํ ทารุฆฎิกํ โลหิเตน มเกฺขตฺวา สมีเป ฐเปตฺวา ตาสํ อิตฺถีนํ สญฺญํ อทาสิฯ ตา ปญฺจสตาปิ อิตฺถิโย เอเกกา เอเกกํ ทารกํ คเหตฺวา จุนฺทการกานํ สนฺติกํ เปเสตฺวา กรณฺฑเก อาหราเปตฺวา อตฺตนา อตฺตนา คหิตทารเก ตตฺถ นิปชฺชาเปตฺวา พหิ ลญฺฉนํ กตฺวา ฐปยิํสุฯ

    Athassa aparena samayena paccanto kupito. So ‘‘garugabbhā padumavatī’’ti taṃ nagare ṭhapetvā paccantaṃ agamāsi. Atha tā itthiyo tassā upaṭṭhāyikāya lañjaṃ datvā ‘‘imissā dārakaṃ jātamattameva apanetvā ekaṃ dārughaṭikaṃ lohitena makkhetvā santike ṭhapehī’’ti āhaṃsu. Padumavatiyāpi nacirasseva gabbhavuṭṭhānaṃ ahosi. Mahāpadumakumāro ekakova kucchiyaṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Avasesā ekūnapañcasatā dārakā mahāpadumakumārassa mātukucchito nikkhamitvā nipannakāle saṃsedajā hutvā nibbattiṃsu. Athassa ‘‘na tāvāyaṃ satiṃ paṭilabhatī’’ti ñatvā upaṭṭhāyikā ekaṃ dārughaṭikaṃ lohitena makkhetvā samīpe ṭhapetvā tāsaṃ itthīnaṃ saññaṃ adāsi. Tā pañcasatāpi itthiyo ekekā ekekaṃ dārakaṃ gahetvā cundakārakānaṃ santikaṃ pesetvā karaṇḍake āharāpetvā attanā attanā gahitadārake tattha nipajjāpetvā bahi lañchanaṃ katvā ṭhapayiṃsu.

    ปทุมวตีปิ โข สญฺญํ ลภิตฺวา ตํ อุปฎฺฐายิกํ ‘‘กิํ วิชาตมฺหิ, อมฺมา’’ติ ปุจฺฉิฯ สา ตํ สนฺตเชฺชตฺวา ‘‘กุโต ตฺวํ ทารกํ ลภิสฺสสี’’ติ วตฺวา ‘‘อยํ เต กุจฺฉิโต นิกฺขนฺตทารโก’’ติ โลหิตมกฺขิตํ ทารุฆฎิกํ ปุรโต ฐเปสิฯ สา ตํ ทิสฺวา โทมนสฺสปฺปตฺตา ‘‘สีฆํ นํ ผาเลตฺวา อปเนหิ, สเจ โกจิ ปเสฺสยฺย ลชฺชิตพฺพํ ภเวยฺยา’’ติ อาหฯ สา ตสฺสา กถํ สุตฺวา อตฺถกามา วิย ทารุฆฎิกํ ผาเลตฺวา อุทฺธเน ปกฺขิปิฯ

    Padumavatīpi kho saññaṃ labhitvā taṃ upaṭṭhāyikaṃ ‘‘kiṃ vijātamhi, ammā’’ti pucchi. Sā taṃ santajjetvā ‘‘kuto tvaṃ dārakaṃ labhissasī’’ti vatvā ‘‘ayaṃ te kucchito nikkhantadārako’’ti lohitamakkhitaṃ dārughaṭikaṃ purato ṭhapesi. Sā taṃ disvā domanassappattā ‘‘sīghaṃ naṃ phāletvā apanehi, sace koci passeyya lajjitabbaṃ bhaveyyā’’ti āha. Sā tassā kathaṃ sutvā atthakāmā viya dārughaṭikaṃ phāletvā uddhane pakkhipi.

    ราชาปิ ปจฺจนฺตโต อาคนฺตฺวา นกฺขตฺตํ ปฎิมาเนโนฺต พหินคเร ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา นิสีทิฯ อถ ตา ปญฺจสตา อิตฺถิโย รโญฺญ ปจฺจุคฺคมนํ อาคนฺตฺวา อาหํสุ – ‘‘ตฺวํ, มหาราช, น อมฺหากํ สทฺทหสิ, อเมฺหหิ วุตฺตํ อการณํ วิย โหติฯ ตฺวํ มเหสิยา อุปฎฺฐายิกํ ปโกฺกสาเปตฺวา ปฎิปุจฺฉ, ทารุฆฎิกํ เต เทวี วิชาตา’’ติฯ ราชา ตํ การณํ น อุปปริกฺขิตฺวาว ‘‘อมนุสฺสชาติกา ภวิสฺสตี’’ติ ตํ เคหโต นิกฺกฑฺฒิฯ ตสฺสา ราชเคหโต สห นิกฺขมเนเนว ปทุมปุปฺผานิ อนฺตรธายิํสุ, สรีรจฺฉวิปิ วิวณฺณา อโหสิฯ สา เอกิกาว อนฺตรวีถิยา ปายาสิฯ อถ นํ เอกา วยปฺปตฺตา มหลฺลิกา อิตฺถี ทิสฺวา ธีตุสิเนหํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘กหํ คจฺฉสิ อมฺมา’’ติ อาหฯ อาคนฺตุกมฺหิ, วสนฎฺฐานํ โอโลเกนฺตี วิจรามีติฯ อิธาคจฺฉ, อมฺมาติ วสนฎฺฐานํ ทตฺวา โภชนํ ปฎิยาเทสิฯ

    Rājāpi paccantato āgantvā nakkhattaṃ paṭimānento bahinagare khandhāvāraṃ bandhitvā nisīdi. Atha tā pañcasatā itthiyo rañño paccuggamanaṃ āgantvā āhaṃsu – ‘‘tvaṃ, mahārāja, na amhākaṃ saddahasi, amhehi vuttaṃ akāraṇaṃ viya hoti. Tvaṃ mahesiyā upaṭṭhāyikaṃ pakkosāpetvā paṭipuccha, dārughaṭikaṃ te devī vijātā’’ti. Rājā taṃ kāraṇaṃ na upaparikkhitvāva ‘‘amanussajātikā bhavissatī’’ti taṃ gehato nikkaḍḍhi. Tassā rājagehato saha nikkhamaneneva padumapupphāni antaradhāyiṃsu, sarīracchavipi vivaṇṇā ahosi. Sā ekikāva antaravīthiyā pāyāsi. Atha naṃ ekā vayappattā mahallikā itthī disvā dhītusinehaṃ uppādetvā ‘‘kahaṃ gacchasi ammā’’ti āha. Āgantukamhi, vasanaṭṭhānaṃ olokentī vicarāmīti. Idhāgaccha, ammāti vasanaṭṭhānaṃ datvā bhojanaṃ paṭiyādesi.

    ตสฺสา อิมินาว นิยาเมน ตตฺถ วสมานาย ตา ปญฺจสตา อิตฺถิโย เอกจิตฺตา หุตฺวา ราชานํ อาหํสุ – ‘‘มหาราช, ตุเมฺหสุ ยุทฺธํ คเตสุ อเมฺหหิ คงฺคาเทวตาย ‘อมฺหากํ เทเว วิชิตสงฺคาเม อาคเต พลิกมฺมํ กตฺวา อุทกกีฬํ กริสฺสามา’ติ ปตฺถิตํ อตฺถิ, เอตมตฺถํ , เทว, ชานาเปมา’’ติฯ ราชา ตาสํ วจเนน ตุโฎฺฐ คงฺคายํ อุทกกีฬํ กาตุํ อคมาสิฯ ตาปิ อตฺตนา อตฺตนา คหิตํ กรณฺฑกํ ปฎิจฺฉนฺนํ กตฺวา อาทาย นทิํ คนฺตฺวา เตสํ กรณฺฑกานํ ปฎิจฺฉาทนตฺถํ ปารุปิตฺวา ปารุปิตฺวา อุทเก ปติตฺวา กรณฺฑเก วิสฺสเชฺชสุํฯ เตปิ โข กรณฺฑกา สเพฺพ สห คนฺตฺวา เหฎฺฐาโสเต ปสาริตชาลมฺหิ ลคฺคิํสุฯ ตโต อุทกกีฬํ กีฬิตฺวา รโญฺญ อุตฺติณฺณกาเล ชาลํ อุกฺขิปนฺตา เต กรณฺฑเก ทิสฺวา รโญฺญ สนฺติกํ อานยิํสุฯ ราชา กรณฺฑเก ทิสฺวา ‘‘กิํ, ตาตา, กรณฺฑเกสู’’ติ อาหฯ น ชานาม, เทวาติฯ โส เต กรณฺฑเก วิวราเปตฺวา โอโลเกโนฺต ปฐมํ มหาปทุมกุมารสฺส กรณฺฑกํ วิวราเปสิฯ เตสํ ปน สเพฺพสมฺปิ กรณฺฑเกสุ นิปชฺชาปิตทิวเสเยว ปุญฺญิทฺธิยา องฺคุฎฺฐโต ขีรํ นิพฺพตฺติฯ สโกฺก เทวราชา ตสฺส รโญฺญ นิกฺกงฺขภาวตฺถํ อโนฺตกรณฺฑเก อกฺขรานิ ลิขาเปสิ ‘‘อิเม กุมารา ปทุมวติยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺตา พาราณสิรโญฺญ ปุตฺตา, อถ เน ปทุมวติยา สปตฺติโย ปญฺจสตา อิตฺถิโย กรณฺฑเกสุ ปกฺขิปิตฺวา อุทเก ขิปิํสุ, ราชา อิมํ การณํ ชานาตู’’ติฯ กรณฺฑเก วิวริตมเตฺต ราชา อกฺขรานิ วาเจตฺวา ทารเก ทิสฺวา มหาปทุมกุมารํ อุกฺขิปิตฺวา ‘‘เวเคน รเถ โยเชถ, อเสฺส กเปฺปถ, อหํ อชฺช อโนฺตนครํ ปวิสิตฺวา เอกจฺจานํ มาตุคามานํ ปิยํ กริสฺสามี’’ติ ปาสาทํ อารุยฺห หตฺถิคีวาย สหสฺสภณฺฑิกํ ฐเปตฺวา เภริํ จราเปสิ ‘‘โย ปทุมวติํ ปสฺสติ, โส อิมํ สหสฺสํ คณฺหตู’’ติฯ

    Tassā imināva niyāmena tattha vasamānāya tā pañcasatā itthiyo ekacittā hutvā rājānaṃ āhaṃsu – ‘‘mahārāja, tumhesu yuddhaṃ gatesu amhehi gaṅgādevatāya ‘amhākaṃ deve vijitasaṅgāme āgate balikammaṃ katvā udakakīḷaṃ karissāmā’ti patthitaṃ atthi, etamatthaṃ , deva, jānāpemā’’ti. Rājā tāsaṃ vacanena tuṭṭho gaṅgāyaṃ udakakīḷaṃ kātuṃ agamāsi. Tāpi attanā attanā gahitaṃ karaṇḍakaṃ paṭicchannaṃ katvā ādāya nadiṃ gantvā tesaṃ karaṇḍakānaṃ paṭicchādanatthaṃ pārupitvā pārupitvā udake patitvā karaṇḍake vissajjesuṃ. Tepi kho karaṇḍakā sabbe saha gantvā heṭṭhāsote pasāritajālamhi laggiṃsu. Tato udakakīḷaṃ kīḷitvā rañño uttiṇṇakāle jālaṃ ukkhipantā te karaṇḍake disvā rañño santikaṃ ānayiṃsu. Rājā karaṇḍake disvā ‘‘kiṃ, tātā, karaṇḍakesū’’ti āha. Na jānāma, devāti. So te karaṇḍake vivarāpetvā olokento paṭhamaṃ mahāpadumakumārassa karaṇḍakaṃ vivarāpesi. Tesaṃ pana sabbesampi karaṇḍakesu nipajjāpitadivaseyeva puññiddhiyā aṅguṭṭhato khīraṃ nibbatti. Sakko devarājā tassa rañño nikkaṅkhabhāvatthaṃ antokaraṇḍake akkharāni likhāpesi ‘‘ime kumārā padumavatiyā kucchimhi nibbattā bārāṇasirañño puttā, atha ne padumavatiyā sapattiyo pañcasatā itthiyo karaṇḍakesu pakkhipitvā udake khipiṃsu, rājā imaṃ kāraṇaṃ jānātū’’ti. Karaṇḍake vivaritamatte rājā akkharāni vācetvā dārake disvā mahāpadumakumāraṃ ukkhipitvā ‘‘vegena rathe yojetha, asse kappetha, ahaṃ ajja antonagaraṃ pavisitvā ekaccānaṃ mātugāmānaṃ piyaṃ karissāmī’’ti pāsādaṃ āruyha hatthigīvāya sahassabhaṇḍikaṃ ṭhapetvā bheriṃ carāpesi ‘‘yo padumavatiṃ passati, so imaṃ sahassaṃ gaṇhatū’’ti.

    ตํ กถํ สุตฺวา ปทุมวตี มาตุยา สญฺญํ อทาสิ – ‘‘หตฺถิคีวโต สหสฺสํ คณฺห, อมฺมา’’ติฯ อหํ เอวรูปํ คณฺหิตุํ น วิสหามีติฯ สา ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ วุเตฺต, ‘‘กิํ วตฺวา คณฺหามิ อมฺมา’’ติ อาหฯ ‘‘มม ธีตา, ปทุมวติํ เทวิํ ปสฺสตี’’ติ วตฺวา คณฺหาหีติฯ สา ‘‘ยํ วา ตํ วา โหตู’’ติ คนฺตฺวา สหสฺสจโงฺกฎกํ คณฺหิฯ อถ นํ มนุสฺสา ปุจฺฉิํสุ – ‘‘ปทุมวติํ เทวิํ ปสฺสสิ, อมฺมา’’ติฯ ‘‘อหํ น ปสฺสามิ, ธีตา กิร เม ปสฺสตี’’ติ อาหฯ เต ‘‘กหํ ปน สา, อมฺมา’’ติ วตฺวา ตาย สทฺธิํ คนฺตฺวา ปทุมวติํ สญฺชานิตฺวา ปาเทสุ นิปติํสุฯ ตสฺมิํ กาเล สา ‘‘ปทุมวตี เทวี อย’’นฺติ ญตฺวา ‘‘ภาริยํ วต อิตฺถิยา กมฺมํ กตํ, ยา เอวํวิธสฺส รโญฺญ มเหสี สมานา เอวรูเป ฐาเน นิรารกฺขา วสี’’ติ อาหฯ เตปิ ราชปุริสา ปทุมวติยา นิเวสนํ เสตสาณีหิ ปริกฺขิปาเปตฺวา ทฺวาเร อารกฺขํ ฐเปตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา สุวณฺณสิวิกํ เปเสสิฯ สา ‘‘อหํ เอวํ น คมิสฺสามิ, มม วสนฎฺฐานโต ปฎฺฐาย ยาว ราชเคหํ เอตฺถนฺตเร วรโปตฺถกจิตฺตตฺถรเณ อตฺถราเปตฺวา อุปริ สุวณฺณตารกวิจิตฺตํ เจลวิตานํ พนฺธาเปตฺวา ปสาธนตฺถาย สพฺพาลงฺกาเรสุ ปหิเตสุ ปทสาว คมิสฺสามิ, เอวํ เม นาครา สมฺปตฺติํ ปสฺสิสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘ปทุมวติยา ยถารุจิํ กโรถา’’ติ อาหฯ ตโต ปทุมวตี สพฺพปสาธนํ ปสาเธตฺวา ‘‘ราชเคหํ คมิสฺสามี’’ติ มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ อถสฺสา อกฺกนฺตอกฺกนฺตฎฺฐาเน วรโปตฺถกจิตฺตตฺถรณานิ ภินฺทิตฺวา ปทุมปุปฺผานิ อุฎฺฐหิํสุฯ สา มหาชนสฺส อตฺตโน สมฺปตฺติํ ทเสฺสตฺวา ราชนิเวสนํ อารุยฺห สเพฺพ จิตฺตตฺถรเณ ตสฺสา มหลฺลิกาย โปสาวนิกมูลํ กตฺวา ทาเปสิฯ

    Taṃ kathaṃ sutvā padumavatī mātuyā saññaṃ adāsi – ‘‘hatthigīvato sahassaṃ gaṇha, ammā’’ti. Ahaṃ evarūpaṃ gaṇhituṃ na visahāmīti. Sā dutiyampi tatiyampi vutte, ‘‘kiṃ vatvā gaṇhāmi ammā’’ti āha. ‘‘Mama dhītā, padumavatiṃ deviṃ passatī’’ti vatvā gaṇhāhīti. Sā ‘‘yaṃ vā taṃ vā hotū’’ti gantvā sahassacaṅkoṭakaṃ gaṇhi. Atha naṃ manussā pucchiṃsu – ‘‘padumavatiṃ deviṃ passasi, ammā’’ti. ‘‘Ahaṃ na passāmi, dhītā kira me passatī’’ti āha. Te ‘‘kahaṃ pana sā, ammā’’ti vatvā tāya saddhiṃ gantvā padumavatiṃ sañjānitvā pādesu nipatiṃsu. Tasmiṃ kāle sā ‘‘padumavatī devī aya’’nti ñatvā ‘‘bhāriyaṃ vata itthiyā kammaṃ kataṃ, yā evaṃvidhassa rañño mahesī samānā evarūpe ṭhāne nirārakkhā vasī’’ti āha. Tepi rājapurisā padumavatiyā nivesanaṃ setasāṇīhi parikkhipāpetvā dvāre ārakkhaṃ ṭhapetvā rañño ārocesuṃ. Rājā suvaṇṇasivikaṃ pesesi. Sā ‘‘ahaṃ evaṃ na gamissāmi, mama vasanaṭṭhānato paṭṭhāya yāva rājagehaṃ etthantare varapotthakacittattharaṇe attharāpetvā upari suvaṇṇatārakavicittaṃ celavitānaṃ bandhāpetvā pasādhanatthāya sabbālaṅkāresu pahitesu padasāva gamissāmi, evaṃ me nāgarā sampattiṃ passissantī’’ti āha. Rājā ‘‘padumavatiyā yathāruciṃ karothā’’ti āha. Tato padumavatī sabbapasādhanaṃ pasādhetvā ‘‘rājagehaṃ gamissāmī’’ti maggaṃ paṭipajji. Athassā akkantaakkantaṭṭhāne varapotthakacittattharaṇāni bhinditvā padumapupphāni uṭṭhahiṃsu. Sā mahājanassa attano sampattiṃ dassetvā rājanivesanaṃ āruyha sabbe cittattharaṇe tassā mahallikāya posāvanikamūlaṃ katvā dāpesi.

    ราชาปิ โข ตา ปญฺจสตา อิตฺถิโย ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อิมาโย เต เทวิ ทาสิโย กตฺวา เทมี’’ติ อาหฯ สาธุ, มหาราช, เอตาสํ มยฺหํ ทินฺนภาวํ สกลนคเร ชานาเปหีติ ฯ ราชา นคเร เภริํ จราเปสิ – ‘‘ปทุมวติยา ทูพฺภิกา ปญฺจสตา อิตฺถิโย เอติสฺสา เอว ทาสิโย กตฺวา ทินฺนา’’ติฯ สา ‘‘ตาสํ สกลนคเรน ทาสิภาโว สลฺลกฺขิโต’’ติ ญตฺวา ‘‘อหํ มม ทาสิโย ภุชิสฺสา กาตุํ ลภามิ เทวา’’ติ ราชานํ ปุจฺฉิฯ ตว อิจฺฉา เทวีติฯ เอวํ สเนฺต ตเมว เภริจาริกํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ปทุมวติเทวิยา อตฺตโน ทาสิโย กตฺวา ทินฺนา ปญฺจสตา อิตฺถิโย สพฺพาว ภุชิสฺสา กตาติ ปุน เภริํ จราเปถา’’ติ อาหฯ สา ตาสํ ภุชิสฺสภาเว กเต เอกูนานิ ปญฺจสตฺตปุตฺตานิ ตาสํเยว หเตฺถ โปสนตฺถาย ทตฺวา สยํ มหาปทุมกุมารํเยว คณฺหิฯ

    Rājāpi kho tā pañcasatā itthiyo pakkosāpetvā ‘‘imāyo te devi dāsiyo katvā demī’’ti āha. Sādhu, mahārāja, etāsaṃ mayhaṃ dinnabhāvaṃ sakalanagare jānāpehīti . Rājā nagare bheriṃ carāpesi – ‘‘padumavatiyā dūbbhikā pañcasatā itthiyo etissā eva dāsiyo katvā dinnā’’ti. Sā ‘‘tāsaṃ sakalanagarena dāsibhāvo sallakkhito’’ti ñatvā ‘‘ahaṃ mama dāsiyo bhujissā kātuṃ labhāmi devā’’ti rājānaṃ pucchi. Tava icchā devīti. Evaṃ sante tameva bhericārikaṃ pakkosāpetvā ‘‘padumavatideviyā attano dāsiyo katvā dinnā pañcasatā itthiyo sabbāva bhujissā katāti puna bheriṃ carāpethā’’ti āha. Sā tāsaṃ bhujissabhāve kate ekūnāni pañcasattaputtāni tāsaṃyeva hatthe posanatthāya datvā sayaṃ mahāpadumakumāraṃyeva gaṇhi.

    อถ อปรภาเค เตสํ กุมารานํ กีฬนวเย สมฺปเตฺต ราชา อุยฺยาเน นานาวิธํ กีฬนฎฺฐานํ กาเรสิฯ เต อตฺตโน โสฬสวสฺสุเทฺทสิกกาเล สเพฺพว เอกโต หุตฺวา อุยฺยาเน ปทุมสญฺฉนฺนาย มงฺคลโปกฺขรณิยา กีฬนฺตา นวปทุมานิ ปุปฺผิตานิ ปุราณปทุมานิ จ วณฺฎโต ปตนฺตานิ ทิสฺวา ‘‘อิมสฺส ตาว อนุปาทินฺนกสฺส เอวรูปา ชรา ปาปุณาติ, กิมงฺคํ ปน อมฺหากํ สรีรสฺสฯ อิทมฺปิ หิ เอวํคติกเมว ภวิสฺสตี’’ติ อารมฺมณํ คเหตฺวา สเพฺพว ปเจฺจกโพธิญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา อุฎฺฐายุฎฺฐาย ปทุมกณฺณิกาสุ ปลฺลเงฺกน นิสีทิํสุฯ

    Atha aparabhāge tesaṃ kumārānaṃ kīḷanavaye sampatte rājā uyyāne nānāvidhaṃ kīḷanaṭṭhānaṃ kāresi. Te attano soḷasavassuddesikakāle sabbeva ekato hutvā uyyāne padumasañchannāya maṅgalapokkharaṇiyā kīḷantā navapadumāni pupphitāni purāṇapadumāni ca vaṇṭato patantāni disvā ‘‘imassa tāva anupādinnakassa evarūpā jarā pāpuṇāti, kimaṅgaṃ pana amhākaṃ sarīrassa. Idampi hi evaṃgatikameva bhavissatī’’ti ārammaṇaṃ gahetvā sabbeva paccekabodhiñāṇaṃ nibbattetvā uṭṭhāyuṭṭhāya padumakaṇṇikāsu pallaṅkena nisīdiṃsu.

    อถ เตหิ สทฺธิํ อาคตา ราชปุริสา พหุคตํ ทิวสํ ญตฺวา ‘‘อยฺยปุตฺตา ตุมฺหากํ เวลํ ชานาถา’’ติ อาหํสุฯ เต ตุณฺหี อเหสุํฯ เต ปุริสา คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํ – ‘‘กุมารา เทว, ปทุมกณฺณิกาสุ นิสินฺนา, อเมฺหสุ กเถเนฺตสุปิ วจีเภทํ น กโรนฺตี’’ติฯ ยถารุจิยา เตสํ นิสีทิตุํ เทถาติฯ เต สพฺพรตฺติํ คหิตารกฺขา ปทุมกณฺณิกาสุ นิสินฺนนิยาเมเนว อรุณํ อุฎฺฐาเปสุํฯ ปุริสา ปุนทิวเส อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทวา เวลํ ชานาถา’’ติ อาหํสุฯ น มยํ เทวา, ปเจฺจกพุทฺธา นาม มยนฺติฯ อยฺยา, ตุเมฺห ภาริยํ กถํ กเถถ, ปเจฺจกพุทฺธา นาม ตุมฺหาทิสา น โหนฺติ, ทฺวงฺคุลเกสมสฺสุธรา กาเย ปฎิมุกฺกอฎฺฐปริกฺขารา โหนฺตีติฯ เต ทกฺขิณหเตฺถน สีสํ ปรามสิํสุฯ ตาวเทว คิหิลิงฺคํ อนฺตรธายิ, อฎฺฐ ปริกฺขารา กาเย ปฎิมุกฺกาว อเหสุํฯ ตโต ปสฺสนฺตเสฺสว มหาชนสฺส อากาเสน นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมํสุฯ

    Atha tehi saddhiṃ āgatā rājapurisā bahugataṃ divasaṃ ñatvā ‘‘ayyaputtā tumhākaṃ velaṃ jānāthā’’ti āhaṃsu. Te tuṇhī ahesuṃ. Te purisā gantvā rañño ārocesuṃ – ‘‘kumārā deva, padumakaṇṇikāsu nisinnā, amhesu kathentesupi vacībhedaṃ na karontī’’ti. Yathāruciyā tesaṃ nisīdituṃ dethāti. Te sabbarattiṃ gahitārakkhā padumakaṇṇikāsu nisinnaniyāmeneva aruṇaṃ uṭṭhāpesuṃ. Purisā punadivase upasaṅkamitvā ‘‘devā velaṃ jānāthā’’ti āhaṃsu. Na mayaṃ devā, paccekabuddhā nāma mayanti. Ayyā, tumhe bhāriyaṃ kathaṃ kathetha, paccekabuddhā nāma tumhādisā na honti, dvaṅgulakesamassudharā kāye paṭimukkaaṭṭhaparikkhārā hontīti. Te dakkhiṇahatthena sīsaṃ parāmasiṃsu. Tāvadeva gihiliṅgaṃ antaradhāyi, aṭṭha parikkhārā kāye paṭimukkāva ahesuṃ. Tato passantasseva mahājanassa ākāsena nandamūlakapabbhāraṃ agamaṃsu.

    สาปิ โข, ปทุมวตี เทวี, ‘‘อหํ พหุปุตฺตา หุตฺวา นิปุตฺตา ชาตา’’ติ หทยโสกํ ปตฺวา เตเนว โสเกน กาลํ กตฺวา ราชคหนครทฺวารคามเก สหเตฺถน กมฺมํ กตฺวา ชีวนกฎฺฐาเน นิพฺพตฺติฯ อปรภาเค กุลฆรํ คนฺตฺวา เอกทิวสํ สามิกสฺส เขตฺตํ ยาคุํ หรมานา เตสํ อตฺตโน ปุตฺตานํ อนฺตเร อฎฺฐ ปเจฺจกพุเทฺธ ภิกฺขาจารเวลาย อากาเสน คจฺฉเนฺต ทิสฺวา สีฆํ สีฆํ คนฺตฺวา สามิกสฺส อาโรเจสิ – ‘‘ปสฺส, อยฺย, ปเจฺจกพุเทฺธ, เอเต นิมเนฺตตฺวา โภเชสฺสามา’’ติฯ โส อาห – ‘‘สมณสกุณา นาเมเต อญฺญตฺถาปิ เอวํ จรนฺติ, น เอเต ปเจฺจกพุทฺธา’’ติฯ เต เตสํ กเถนฺตานํเยว อวิทูเร ฐาเน โอตริํสุฯ สา อิตฺถี ตํทิวสํ อตฺตโน ภตฺตขชฺชโภชนํ เตสํ ทตฺวา ‘‘เสฺวปิ อฎฺฐ ชนา มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ อาหฯ สาธุ, อุปาสิเก, ตว สกฺกาโร เอตฺตโกว โหตุ, อาสนานิ จ อเฎฺฐว โหนฺตุ, อเญฺญปิ พหู ปเจฺจกพุเทฺธ ทิสฺวา ตว จิตฺตํ ปสาเทยฺยาสีติฯ สา ปุนทิวเส อฎฺฐ อาสนานิ ปญฺญาเปตฺวา อฎฺฐนฺนํ สกฺการสมฺมานํ ปฎิยาเทตฺวา นิสีทิฯ

    Sāpi kho, padumavatī devī, ‘‘ahaṃ bahuputtā hutvā niputtā jātā’’ti hadayasokaṃ patvā teneva sokena kālaṃ katvā rājagahanagaradvāragāmake sahatthena kammaṃ katvā jīvanakaṭṭhāne nibbatti. Aparabhāge kulagharaṃ gantvā ekadivasaṃ sāmikassa khettaṃ yāguṃ haramānā tesaṃ attano puttānaṃ antare aṭṭha paccekabuddhe bhikkhācāravelāya ākāsena gacchante disvā sīghaṃ sīghaṃ gantvā sāmikassa ārocesi – ‘‘passa, ayya, paccekabuddhe, ete nimantetvā bhojessāmā’’ti. So āha – ‘‘samaṇasakuṇā nāmete aññatthāpi evaṃ caranti, na ete paccekabuddhā’’ti. Te tesaṃ kathentānaṃyeva avidūre ṭhāne otariṃsu. Sā itthī taṃdivasaṃ attano bhattakhajjabhojanaṃ tesaṃ datvā ‘‘svepi aṭṭha janā mayhaṃ bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti āha. Sādhu, upāsike, tava sakkāro ettakova hotu, āsanāni ca aṭṭheva hontu, aññepi bahū paccekabuddhe disvā tava cittaṃ pasādeyyāsīti. Sā punadivase aṭṭha āsanāni paññāpetvā aṭṭhannaṃ sakkārasammānaṃ paṭiyādetvā nisīdi.

    นิมนฺติตปเจฺจกพุทฺธา เสสานํ สญฺญํ อทํสุ – ‘‘มาริสา, อชฺช อญฺญตฺถ อคนฺตฺวา สเพฺพว ตุมฺหากํ มาตุ สงฺคหํ กโรถา’’ติฯ เต เตสํ วจนํ สุตฺวา สเพฺพว เอกโต อากาเสน อาคนฺตฺวา มาตุ-เคหทฺวาเร ปาตุรเหสุํฯ สาปิ ปฐมํ ลทฺธสญฺญตาย พหูปิ ทิสฺวา น กมฺปิตฺถ, สเพฺพปิ เต เคหํ ปเวเสตฺวา อาสเนสุ นิสีทาเปสิฯ เตสุ ปฎิปาฎิยา นิสีทเนฺตสุ นวโม อญฺญานิ อฎฺฐ อาสนานิ มาเปตฺวา สยํ ธุราสเน นิสีทิฯ ยาว อาสนานิ วฑฺฒนฺติ, ตาว เคหํ วฑฺฒติฯ เอวํ เตสุ สเพฺพสุปิ นิสิเนฺนสุ สา อิตฺถี อฎฺฐนฺนํ ปเจฺจกพุทฺธานํ ปฎิยาทิตํ สกฺการํ ปญฺจสตานมฺปิ ยาวทตฺถํ ทตฺวา อฎฺฐ นีลุปฺปลหตฺถเก อาหริตฺวา นิมนฺติตปเจฺจกพุทฺธานํเยว ปาทมูเล ฐเปตฺวา อาห – ‘‘มยฺหํ, ภเนฺต, นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน สรีรวโณฺณ อิเมสํ นีลุปฺปลานํ อโนฺตคพฺภวโณฺณ วิย โหตู’’ติ ปตฺถนํ อกาสิฯ ปเจฺจกพุทฺธา มาตุ อนุโมทนํ กตฺวา คนฺธมาทนํเยว อคมํสุฯ

    Nimantitapaccekabuddhā sesānaṃ saññaṃ adaṃsu – ‘‘mārisā, ajja aññattha agantvā sabbeva tumhākaṃ mātu saṅgahaṃ karothā’’ti. Te tesaṃ vacanaṃ sutvā sabbeva ekato ākāsena āgantvā mātu-gehadvāre pāturahesuṃ. Sāpi paṭhamaṃ laddhasaññatāya bahūpi disvā na kampittha, sabbepi te gehaṃ pavesetvā āsanesu nisīdāpesi. Tesu paṭipāṭiyā nisīdantesu navamo aññāni aṭṭha āsanāni māpetvā sayaṃ dhurāsane nisīdi. Yāva āsanāni vaḍḍhanti, tāva gehaṃ vaḍḍhati. Evaṃ tesu sabbesupi nisinnesu sā itthī aṭṭhannaṃ paccekabuddhānaṃ paṭiyāditaṃ sakkāraṃ pañcasatānampi yāvadatthaṃ datvā aṭṭha nīluppalahatthake āharitvā nimantitapaccekabuddhānaṃyeva pādamūle ṭhapetvā āha – ‘‘mayhaṃ, bhante, nibbattanibbattaṭṭhāne sarīravaṇṇo imesaṃ nīluppalānaṃ antogabbhavaṇṇo viya hotū’’ti patthanaṃ akāsi. Paccekabuddhā mātu anumodanaṃ katvā gandhamādanaṃyeva agamaṃsu.

    สาปิ ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา ตโต จุตา เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ เสฎฺฐิกุเล ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, นีลุปฺปลคพฺภสมานวณฺณตาย จสฺสา อุปฺปลวณฺณาเตฺวว นามํ อกํสุฯ อถสฺสา วยปฺปตฺตกาเล สกลชมฺพุทีปราชาโน จ เสฎฺฐิโน จ เสฎฺฐิสฺส สนฺติกํ ปหิณิํสุ – ‘‘ธีตรํ อมฺหากํ เทตู’’ติ ฯ อปหิณโนฺต นาม นาโหสิฯ ตโต เสฎฺฐิ จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ สเพฺพสํ มนํ คเหตุํ น สกฺขิสฺสามิ, อุปายํ ปเนกํ กริสฺสามี’’ติ ธีตรํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ปพฺพชิตุํ อมฺม สกฺขิสฺสสี’’ติ อาหฯ ตสฺสา ปจฺฉิมภวิกตฺตา ปิตุวจนํ สีเส อาสิตฺตสตปากเตลํ วิย อโหสิ, ตสฺมา ปิตรํ ‘‘ปพฺพชิสฺสามิ, ตาตา’’ติ อาหฯ โส ตสฺสา สกฺการํ กตฺวา ภิกฺขุนิอุปสฺสยํ เนตฺวา ปพฺพาเชสิฯ ตสฺสา อจิรปพฺพชิตาย เอว อุโปสถาคาเร กาลวาโร ปาปุณิฯ สา ทีปํ ชาเลตฺวา อุโปสถาคารํ สมฺมชฺชิตฺวา ทีปสิขาย นิมิตฺตํ คณฺหิตฺวา ปุนปฺปุนํ โอโลกยมานา เตโชกสิณารมฺมณํ ฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตเทว ปาทกํ กตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อรหตฺตผเลน สทฺธิํเยว จ อิทฺธิวิกุพฺพเน จิณฺณวสี อโหสิฯ สา อปรภาเค สตฺถุ ยมกปาฎิหาริยกรณทิวเส ‘‘อหํ, ภเนฺต, ปาฎิหาริยํ กริสฺสามี’’ติ สีหนาทํ นทิฯ สตฺถา อิทํ การณํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เชตวนวิหาเร นิสิโนฺน ปฎิปาฎิยา ภิกฺขุนิโย ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต อิมํ เถริํ อิทฺธิมนฺตีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Sāpi yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā tato cutā devaloke nibbattitvā imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ seṭṭhikule paṭisandhiṃ gaṇhi, nīluppalagabbhasamānavaṇṇatāya cassā uppalavaṇṇātveva nāmaṃ akaṃsu. Athassā vayappattakāle sakalajambudīparājāno ca seṭṭhino ca seṭṭhissa santikaṃ pahiṇiṃsu – ‘‘dhītaraṃ amhākaṃ detū’’ti . Apahiṇanto nāma nāhosi. Tato seṭṭhi cintesi – ‘‘ahaṃ sabbesaṃ manaṃ gahetuṃ na sakkhissāmi, upāyaṃ panekaṃ karissāmī’’ti dhītaraṃ pakkosāpetvā ‘‘pabbajituṃ amma sakkhissasī’’ti āha. Tassā pacchimabhavikattā pituvacanaṃ sīse āsittasatapākatelaṃ viya ahosi, tasmā pitaraṃ ‘‘pabbajissāmi, tātā’’ti āha. So tassā sakkāraṃ katvā bhikkhuniupassayaṃ netvā pabbājesi. Tassā acirapabbajitāya eva uposathāgāre kālavāro pāpuṇi. Sā dīpaṃ jāletvā uposathāgāraṃ sammajjitvā dīpasikhāya nimittaṃ gaṇhitvā punappunaṃ olokayamānā tejokasiṇārammaṇaṃ jhānaṃ nibbattetvā tadeva pādakaṃ katvā arahattaṃ pāpuṇi. Arahattaphalena saddhiṃyeva ca iddhivikubbane ciṇṇavasī ahosi. Sā aparabhāge satthu yamakapāṭihāriyakaraṇadivase ‘‘ahaṃ, bhante, pāṭihāriyaṃ karissāmī’’ti sīhanādaṃ nadi. Satthā idaṃ kāraṇaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā jetavanavihāre nisinno paṭipāṭiyā bhikkhuniyo ṭhānantare ṭhapento imaṃ theriṃ iddhimantīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ปฎาจาราเถรีวตฺถุ

    Paṭācārātherīvatthu

    ๒๓๘. จตุเตฺถ วินยธรานํ ยทิทํ ปฎาจาราติ ปฎาจารา เถรี วินยธรานํ อคฺคาติ ทเสฺสติฯ สา กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุนิํ วินยธรานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา กสฺสปพุทฺธกาเล กิกิสฺส กาสิรโญฺญ เคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา สตฺตนฺนํ ภคินีนํ อพฺภนฺตรา หุตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ พฺรหฺมจริยํ จริตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปริเวณํ กตฺวา ปุน เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา เอกํ พุทฺธนฺตรํ สมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ เสฎฺฐิเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ

    238. Catutthe vinayadharānaṃ yadidaṃ paṭācārāti paṭācārā therī vinayadharānaṃ aggāti dasseti. Sā kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gaṇhitvā aparabhāge satthu dhammadesanaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ bhikkhuniṃ vinayadharānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaritvā kassapabuddhakāle kikissa kāsirañño gehe paṭisandhiṃ gaṇhitvā sattannaṃ bhaginīnaṃ abbhantarā hutvā vīsati vassasahassāni brahmacariyaṃ caritvā bhikkhusaṅghassa pariveṇaṃ katvā puna devaloke nibbattitvā ekaṃ buddhantaraṃ sampattiṃ anubhavitvā imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ seṭṭhigehe paṭisandhiṃ gaṇhi.

    สา อปรภาเค วยปฺปตฺตา อตฺตโน เคเห เอเกน กมฺมกาเรน สทฺธิํ สนฺถวํ กตฺวา อปรภาเค อตฺตโน สมานชาติกํ กุลํ คจฺฉนฺตี กตสนฺถวสฺส ปุริสสฺส สญฺญํ อทาสิ – ‘‘น ตฺวํ เสฺว ปฎฺฐาย มํ ปฎิหารสเตนปิ ทฎฺฐุํ ลภิสฺสสิ, สเจ เต กมฺมํ อตฺถิ, อิทานิ มํ คณฺหิตฺวา คจฺฉาหี’’ติฯ โส ‘‘เอวํ โหตู’’ติ อนุจฺฉวิกํ หตฺถสารํ คเหตฺวา ตํ อาทาย นครโต ตีณิ จตฺตาริ โยชนานิ ปฎิกฺกมิตฺวา เอกสฺมิํ คามเก วาสํ กเปฺปสิฯ

    Sā aparabhāge vayappattā attano gehe ekena kammakārena saddhiṃ santhavaṃ katvā aparabhāge attano samānajātikaṃ kulaṃ gacchantī katasanthavassa purisassa saññaṃ adāsi – ‘‘na tvaṃ sve paṭṭhāya maṃ paṭihārasatenapi daṭṭhuṃ labhissasi, sace te kammaṃ atthi, idāni maṃ gaṇhitvā gacchāhī’’ti. So ‘‘evaṃ hotū’’ti anucchavikaṃ hatthasāraṃ gahetvā taṃ ādāya nagarato tīṇi cattāri yojanāni paṭikkamitvā ekasmiṃ gāmake vāsaṃ kappesi.

    อถ อปรภาเค ตสฺสา กุจฺฉิยํ คโพฺภ ปติฎฺฐาสิฯ สา คเพฺภ ปริปเกฺก ‘‘อิทํ อมฺหากํ อนาถฎฺฐานํ, กุลเคหํ คจฺฉาม สามี’’ติ อาหฯ โส ‘‘อชฺช คจฺฉาม, เสฺว คจฺฉามา’’ติ คนฺตุํ อสโกฺกโนฺต กาลํ วีตินาเมสิฯ สา ตสฺส การณํ ญตฺวา ‘‘นายํ พาโล มํ เนสฺสตี’’ติ ตสฺมิํ พหิ คเต ‘‘เอกิกาว กุลเคหํ คมิสฺสามี’’ติ มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ โส อาคนฺตฺวา ตํ เคเห อปสฺสโนฺต ปฎิวิสฺสเก ปุจฺฉิตฺวา ‘‘กุลเคหํ คตา’’ติ สุตฺวา ‘‘มํ นิสฺสาย กุลธีตา อนาถา ชาตา’’ติ ปทานุปทิกํ คนฺตฺวา สมฺปาปุณิฯ ตสฺสา อนฺตรามเคฺคว คพฺภวุฎฺฐานํ อโหสิฯ ตโต ‘‘ยสฺสตฺถาย มยํ คเจฺฉยฺยาม, โส อโตฺถ อนฺตรามเคฺคว นิปฺผโนฺน, อิทานิ คนฺตฺวา กิํ กริสฺสามา’’ติ ปฎินิวตฺติํสุฯ ปุน ตสฺสา กุจฺฉิยํ คโพฺภ ปติฎฺฐาสีติ ปุริมนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ

    Atha aparabhāge tassā kucchiyaṃ gabbho patiṭṭhāsi. Sā gabbhe paripakke ‘‘idaṃ amhākaṃ anāthaṭṭhānaṃ, kulagehaṃ gacchāma sāmī’’ti āha. So ‘‘ajja gacchāma, sve gacchāmā’’ti gantuṃ asakkonto kālaṃ vītināmesi. Sā tassa kāraṇaṃ ñatvā ‘‘nāyaṃ bālo maṃ nessatī’’ti tasmiṃ bahi gate ‘‘ekikāva kulagehaṃ gamissāmī’’ti maggaṃ paṭipajji. So āgantvā taṃ gehe apassanto paṭivissake pucchitvā ‘‘kulagehaṃ gatā’’ti sutvā ‘‘maṃ nissāya kuladhītā anāthā jātā’’ti padānupadikaṃ gantvā sampāpuṇi. Tassā antarāmaggeva gabbhavuṭṭhānaṃ ahosi. Tato ‘‘yassatthāya mayaṃ gaccheyyāma, so attho antarāmaggeva nipphanno, idāni gantvā kiṃ karissāmā’’ti paṭinivattiṃsu. Puna tassā kucchiyaṃ gabbho patiṭṭhāsīti purimanayeneva vitthāretabbaṃ.

    อนฺตรามเคฺค ปนสฺสา คพฺภวุฎฺฐาเน ชาตมเตฺตเยว จตูสุ ทิสาสุ มหาเมโฆ อุฎฺฐหิฯ สา ตํ ปุริสํ อาห – ‘‘สามิ, อเวลาย จตูสุ ทิสาสุ เมโฆ อุฎฺฐิโต, อตฺตโน วสนฎฺฐานํ กาตุํ วายมาหี’’ติฯ โส ‘‘เอวํ กริสฺสามี’’ติ ทณฺฑเกหิ กุฎิกํ กตฺวา ‘‘ฉทนตฺถาย ติณํ อาหริสฺสามี’’ติ เอกสฺมิํ มหาวมฺมิกปาเท ติณํ ฉินฺทติฯ อถ นํ วมฺมิเก นิปโนฺน กณฺหสโปฺป ปาเท ฑํสิ, โส ตสฺมิํเยว ฐาเน ปติโตฯ สาปิ ‘‘อิทานิ อาคมิสฺสติ, อิทานิ อาคมิสฺสตี’’ติ สพฺพรตฺติํ เขเปตฺวา ‘‘อทฺธา มํ โส ‘อนาถา เอสา’ติ มเคฺค ฉเฑฺฑตฺวา คโต ภวิสฺสตี’’ติ อาโลเก สญฺชาเต ปทานุสาเรน โอโลเกนฺตี วมฺมิกปาเท ปติตํ ทิสฺวา ‘‘มํ นิสฺสาย นโฎฺฐ ปุริโส’’ติ ปริเทวิตฺวา ทหรทารกํ ปเสฺสนาทาย มหลฺลกํ องฺคุลีหิ คาหาเปตฺวา มเคฺคน คจฺฉนฺตี อนฺตรามเคฺค เอกํ อุตฺตานนทิํ ทิสฺวา ‘‘เทฺวปิ ทารเก เอกปฺปหาเรเนว อาทาย คนฺตุํ น สกฺขิสฺสามี’’ติ เชฎฺฐกํ โอริมตีเร ฐเปตฺวา ทหรํ ปรตีรํ เนตฺวา ปิโลติกจุมฺพฎเก นิปชฺชาเปตฺวา ปุน นิวตฺติตฺวา ‘‘อิตรํ คเหตฺวา คมิสฺสามี’’ติ นทิํ โอตริฯ

    Antarāmagge panassā gabbhavuṭṭhāne jātamatteyeva catūsu disāsu mahāmegho uṭṭhahi. Sā taṃ purisaṃ āha – ‘‘sāmi, avelāya catūsu disāsu megho uṭṭhito, attano vasanaṭṭhānaṃ kātuṃ vāyamāhī’’ti. So ‘‘evaṃ karissāmī’’ti daṇḍakehi kuṭikaṃ katvā ‘‘chadanatthāya tiṇaṃ āharissāmī’’ti ekasmiṃ mahāvammikapāde tiṇaṃ chindati. Atha naṃ vammike nipanno kaṇhasappo pāde ḍaṃsi, so tasmiṃyeva ṭhāne patito. Sāpi ‘‘idāni āgamissati, idāni āgamissatī’’ti sabbarattiṃ khepetvā ‘‘addhā maṃ so ‘anāthā esā’ti magge chaḍḍetvā gato bhavissatī’’ti āloke sañjāte padānusārena olokentī vammikapāde patitaṃ disvā ‘‘maṃ nissāya naṭṭho puriso’’ti paridevitvā daharadārakaṃ passenādāya mahallakaṃ aṅgulīhi gāhāpetvā maggena gacchantī antarāmagge ekaṃ uttānanadiṃ disvā ‘‘dvepi dārake ekappahāreneva ādāya gantuṃ na sakkhissāmī’’ti jeṭṭhakaṃ orimatīre ṭhapetvā daharaṃ paratīraṃ netvā pilotikacumbaṭake nipajjāpetvā puna nivattitvā ‘‘itaraṃ gahetvā gamissāmī’’ti nadiṃ otari.

    อถสฺสา นทีมชฺฌํ ปตฺตกาเล เอโก เสโน ‘‘มํสปิโณฺฑ อย’’นฺติ สญฺญาย ทารกํ วิชฺฌิตุํ อาคจฺฉติฯ สา หตฺถํ ปสาเรตฺวา เสนํ ปลาเปสิฯ ตสฺสา ตํ หตฺถวิการํ ทิสฺวา มหลฺลกทารโก ‘‘มํ ปโกฺกสตี’’ติ สญฺญาย นทิํ โอตริตฺวา โสเต ปติโต ยถาโสตํ อคมาสิ ฯ โสปิ เสโน ตสฺสา อสมฺปตฺตาย เอว ตํ ทหรทารกํ คณฺหิตฺวา อคมาสิฯ สา พลวโสกาภิภูตา อนฺตรามเคฺค อิมํ วิลาปคีตํ คายนฺตี คจฺฉติ –

    Athassā nadīmajjhaṃ pattakāle eko seno ‘‘maṃsapiṇḍo aya’’nti saññāya dārakaṃ vijjhituṃ āgacchati. Sā hatthaṃ pasāretvā senaṃ palāpesi. Tassā taṃ hatthavikāraṃ disvā mahallakadārako ‘‘maṃ pakkosatī’’ti saññāya nadiṃ otaritvā sote patito yathāsotaṃ agamāsi . Sopi seno tassā asampattāya eva taṃ daharadārakaṃ gaṇhitvā agamāsi. Sā balavasokābhibhūtā antarāmagge imaṃ vilāpagītaṃ gāyantī gacchati –

    ‘‘อุโภ ปุตฺตา กาลงฺกตา, ปเนฺถ มยฺหํ ปตี มโต’’ติฯ

    ‘‘Ubho puttā kālaṅkatā, panthe mayhaṃ patī mato’’ti.

    สา เอวํ วิลปมานาว สาวตฺถิํ ปตฺวา กุลสภาคํ คนฺตฺวาปิ โสกวเสเนว อตฺตโน เคหํ ววตฺถเปตุํ อสโกฺกนฺตี ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน เอวํวิธํ นาม กุลํ อตฺถิ, กตรํ ตํ เคห’’นฺติ ปฎิปุจฺฉิฯ ตฺวํ ตํ กุลํ ปฎิปุจฺฉิตฺวา กิํ กริสฺสสิ? เตสํ วสนเคหํ วาตปฺปหาเรน ปติตํ, ตเตฺถว เต สเพฺพปิ ชีวิตกฺขยํ ปตฺตา, อถ เน ขุทฺทกมหลฺลเก เอกจิตกสฺมิํเยว ฌาเปนฺติ, ปสฺส เอสา ธูมวฎฺฎิ ปญฺญายตีติฯ สา ตํ กถํ สุตฺวาว กิํ ตุเมฺห วทถา’’ติ อตฺตโน นิวตฺถสาฎกํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตี ชาตนิยาเมเนว พาหา ปคฺคยฺห กนฺทมานา ญาตีนํ จิตกฎฺฐานํ คนฺตฺวา ตํ วิลาปคีตํ ปริปุณฺณํ กตฺวา ปริเทวมานา –

    Sā evaṃ vilapamānāva sāvatthiṃ patvā kulasabhāgaṃ gantvāpi sokavaseneva attano gehaṃ vavatthapetuṃ asakkontī ‘‘imasmiṃ ṭhāne evaṃvidhaṃ nāma kulaṃ atthi, kataraṃ taṃ geha’’nti paṭipucchi. Tvaṃ taṃ kulaṃ paṭipucchitvā kiṃ karissasi? Tesaṃ vasanagehaṃ vātappahārena patitaṃ, tattheva te sabbepi jīvitakkhayaṃ pattā, atha ne khuddakamahallake ekacitakasmiṃyeva jhāpenti, passa esā dhūmavaṭṭi paññāyatīti. Sā taṃ kathaṃ sutvāva kiṃ tumhe vadathā’’ti attano nivatthasāṭakaṃ sandhāretuṃ asakkontī jātaniyāmeneva bāhā paggayha kandamānā ñātīnaṃ citakaṭṭhānaṃ gantvā taṃ vilāpagītaṃ paripuṇṇaṃ katvā paridevamānā –

    ‘‘อุโภ ปุตฺตา กาลงฺกตา, ปเนฺถ มยฺหํ ปตี มโต;

    ‘‘Ubho puttā kālaṅkatā, panthe mayhaṃ patī mato;

    มาตา ปิตา จ ภาตา จ, เอกจิตกสฺมิํ ฑยฺหเร’’ติฯ –

    Mātā pitā ca bhātā ca, ekacitakasmiṃ ḍayhare’’ti. –

    อาหฯ อเญฺญน ชเนน สาฎกํ ทินฺนมฺปิ ผาเลตฺวา ผาเลตฺวา ฉเฑฺฑติฯ อถ นํ ทิฎฺฐทิฎฺฐฎฺฐาเน มหาชโน ปริวาเรตฺวา จรติฯ อถสฺสา ‘‘อยํ ปฎาจารํ ปฎปริหรณํ วินา จรตี’’ติ ปฎาจาราเตว นามํ อกํสุฯ ยสฺมา จสฺสา โส นคฺคภาเวน อลชฺชีอาจาโร ปากโฎ อโหสิ, ตสฺมา ปติโต อาจาโร อสฺสาติ ปฎาจาราเตฺวว นามํ อกํสุฯ

    Āha. Aññena janena sāṭakaṃ dinnampi phāletvā phāletvā chaḍḍeti. Atha naṃ diṭṭhadiṭṭhaṭṭhāne mahājano parivāretvā carati. Athassā ‘‘ayaṃ paṭācāraṃ paṭapariharaṇaṃ vinā caratī’’ti paṭācārāteva nāmaṃ akaṃsu. Yasmā cassā so naggabhāvena alajjīācāro pākaṭo ahosi, tasmā patito ācāro assāti paṭācārātveva nāmaṃ akaṃsu.

    สา เอกทิวสํ สตฺถริ มหาชนสฺส ธมฺมํ เทเสเนฺต วิหารํ ปวิสิตฺวา ปริสปริยเนฺต อฎฺฐาสิฯ สตฺถา เมตฺตาผรเณน ผริตฺวา ‘‘สติํ ปฎิลภ, ภคินิ, สติํ ปฎิลภ, ภคินี’’ติ อาหฯ ตสฺสา สตฺถุ วจนํ สุตฺวา พลวหิโรตฺตปฺปํ อาคตํ, สา ตเตฺถว ภูมิยํ นิสีทิฯ อวิทูเร ฐิโต ปุริโส อุตฺตริสาฎกํ ขิปิตฺวา อทาสิฯ สา ตํ นิวาเสตฺวา ธมฺมํ อโสฺสสิฯ สตฺถา ตสฺสา จริยวเสน อิมา ธมฺมปเท คาถา อาห –

    Sā ekadivasaṃ satthari mahājanassa dhammaṃ desente vihāraṃ pavisitvā parisapariyante aṭṭhāsi. Satthā mettāpharaṇena pharitvā ‘‘satiṃ paṭilabha, bhagini, satiṃ paṭilabha, bhaginī’’ti āha. Tassā satthu vacanaṃ sutvā balavahirottappaṃ āgataṃ, sā tattheva bhūmiyaṃ nisīdi. Avidūre ṭhito puriso uttarisāṭakaṃ khipitvā adāsi. Sā taṃ nivāsetvā dhammaṃ assosi. Satthā tassā cariyavasena imā dhammapade gāthā āha –

    ‘‘น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย, น ปิตา นาปิ พนฺธวา;

    ‘‘Na santi puttā tāṇāya, na pitā nāpi bandhavā;

    อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส, นตฺถิ ญาตีสุ ตาณตาฯ

    Antakenādhipannassa, natthi ñātīsu tāṇatā.

    ‘‘เอตมตฺถวสํ ญตฺวา, ปณฺฑิโต สีลสํวุโต;

    ‘‘Etamatthavasaṃ ñatvā, paṇḍito sīlasaṃvuto;

    นิพฺพานคมนํ มคฺคํ, ขิปฺปเมว วิโสธเย’’ติฯ (ธ. ป. ๒๘๘-๒๘๙);

    Nibbānagamanaṃ maggaṃ, khippameva visodhaye’’ti. (dha. pa. 288-289);

    สา คาถาปริโยสาเน ยถาฐิตาว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ สตฺถา ‘‘ตสฺสา ภิกฺขุนิอุปสฺสยํ คนฺตฺวา ปพฺพชา’’ติ ปพฺพชฺชํ สมฺปฎิจฺฉิฯ สา ปพฺพชิตฺวา นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปตฺวา พุทฺธวจนํ คณฺหนฺตี วินยปิฎเก จิณฺณวสี อโหสิฯ อปรภาเค สตฺถา เชตวเน นิสิโนฺน ภิกฺขุนิโย ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต ปฎาจารํ วินยธรานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Sā gāthāpariyosāne yathāṭhitāva sotāpattiphale patiṭṭhāya satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā pabbajjaṃ yāci. Satthā ‘‘tassā bhikkhuniupassayaṃ gantvā pabbajā’’ti pabbajjaṃ sampaṭicchi. Sā pabbajitvā nacirasseva arahattaṃ patvā buddhavacanaṃ gaṇhantī vinayapiṭake ciṇṇavasī ahosi. Aparabhāge satthā jetavane nisinno bhikkhuniyo paṭipāṭiyā ṭhānantare ṭhapento paṭācāraṃ vinayadharānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ธมฺมทินฺนาเถรีวตฺถุ

    Dhammadinnātherīvatthu

    ๒๓๙. ปญฺจเม ธมฺมกถิกานนฺติ ธมฺมกถิกานํ ภิกฺขุนีนํ ธมฺมทินฺนา อคฺคาติ ทเสฺสติฯ สา กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ ปรายตฺตฎฺฐาเน นิพฺพตฺติตฺวา ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต อคฺคสาวกสฺส สุชาตเตฺถรสฺส อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺติฯ สพฺพํ เหฎฺฐา เขมาเถริยา อภินีหารวเสเนว เวทิตพฺพํฯ ผุสฺสพุทฺธกาเล ปเนสา สตฺถุ เวมาติกานํ ติณฺณํ ภาติกานํ ทานาธิกาเร ฐปิตกมฺมิกสฺส เคเห วสมานา ‘‘เอกํ เทหี’’ติ วุตฺตา เทฺว อทาสิฯ เอวํ สพฺพํ อปริหาเปนฺตี ทตฺวา เทฺวนวุติกเปฺป อติกฺกมฺม กสฺสปพุทฺธกาเล กิกิสฺส กาสิรโญฺญ เคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา สตฺตนฺนํ ภคินีนํ อพฺภนฺตรา หุตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ พฺรหฺมจริยํ จริตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส วสนปริเวณํ กาเรตฺวา เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสรนฺตี อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา อปรภาเค วิสาขเสฎฺฐิโน เคหํ คตาฯ วิสาขเสฎฺฐิ นาม พิมฺพิสารสฺส สหายโก รญฺญา สทฺธิํ ทสพลสฺส ปฐมทสฺสนํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิโต, อปรภาเค อนาคามิผลํ สจฺฉากาสิฯ

    239. Pañcame dhammakathikānanti dhammakathikānaṃ bhikkhunīnaṃ dhammadinnā aggāti dasseti. Sā kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ parāyattaṭṭhāne nibbattitvā padumuttarassa bhagavato aggasāvakassa sujātattherassa adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā sagge nibbatti. Sabbaṃ heṭṭhā khemātheriyā abhinīhāravaseneva veditabbaṃ. Phussabuddhakāle panesā satthu vemātikānaṃ tiṇṇaṃ bhātikānaṃ dānādhikāre ṭhapitakammikassa gehe vasamānā ‘‘ekaṃ dehī’’ti vuttā dve adāsi. Evaṃ sabbaṃ aparihāpentī datvā dvenavutikappe atikkamma kassapabuddhakāle kikissa kāsirañño gehe paṭisandhiṃ gaṇhitvā sattannaṃ bhaginīnaṃ abbhantarā hutvā vīsati vassasahassāni brahmacariyaṃ caritvā bhikkhusaṅghassa vasanapariveṇaṃ kāretvā ekaṃ buddhantaraṃ devamanussesu saṃsarantī imasmiṃ buddhuppāde kulagehe paṭisandhiṃ gaṇhitvā aparabhāge visākhaseṭṭhino gehaṃ gatā. Visākhaseṭṭhi nāma bimbisārassa sahāyako raññā saddhiṃ dasabalassa paṭhamadassanaṃ gantvā dhammaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhito, aparabhāge anāgāmiphalaṃ sacchākāsi.

    โส ตํทิวสํ ฆรํ คนฺตฺวา โสปานมตฺถเก ฐิตาย ธมฺมทินฺนาย หเตฺถ ปสาริเต หตฺถํ อนาลมฺพิตฺวาว ปาสาทํ อภิรุหิฯ ภุญฺชมาโนปิ ‘‘อิมํ เทถ, อิมํ หรถา’’ติ น พฺยาหริฯ ธมฺมทินฺนา กฎจฺฉุํ คเหตฺวา ปริวิสมานา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ เม หตฺถาลมฺพกํ เทนฺติยาปิ หตฺถํ น อาลมฺพิ, ภุญฺชมาโนปิ กิญฺจิ น กเถติ, โก นุ โข มยฺหํ โทโส’’ติ? อถ นํ ภุตฺตาวิํ ‘‘โก นุ โข เม, อยฺย, โทโส’’ติ ปุจฺฉิฯ ธมฺมทิเนฺน ตุยฺหํ โทโส นตฺถิ, อหํ ปน อชฺช ปฎฺฐาย สนฺถววเสน ตุมฺหากํ สนฺติเก นิสีทิตุํ วา ฐาตุํ วา อาหราเปตฺวา ขาทิตุํ วา ภุญฺชิตุํ วา อภโพฺพฯ ตฺวํ สเจ อิจฺฉสิ, อิมสฺมิํ เคเห วสฯ โน เจ อิจฺฉสิ, ยตฺตเกน เต ธเนน อโตฺถ, ตํ คณฺหิตฺวา กุลฆรํ คจฺฉาหีติฯ อยฺยปุตฺต, เอวํ สเนฺต อหํ ตุเมฺหหิ ฉฑฺฑิตเขฬํ วมิตวมนํ สีเสน อุกฺขิปิตฺวา น จริสฺสามิ, มยฺหํ ปพฺพชฺชํ อนุชานาถาติฯ วิสาโข ‘‘สาธุ, ธมฺมทิเนฺน’’ติ รโญฺญ อาโรเจตฺวา ธมฺมทินฺนํ สุวณฺณสิวิกาย ภิกฺขุนิอุปสฺสยํ ปพฺพชฺชตฺถาย เปเสสิฯ

    So taṃdivasaṃ gharaṃ gantvā sopānamatthake ṭhitāya dhammadinnāya hatthe pasārite hatthaṃ anālambitvāva pāsādaṃ abhiruhi. Bhuñjamānopi ‘‘imaṃ detha, imaṃ harathā’’ti na byāhari. Dhammadinnā kaṭacchuṃ gahetvā parivisamānā cintesi – ‘‘ayaṃ me hatthālambakaṃ dentiyāpi hatthaṃ na ālambi, bhuñjamānopi kiñci na katheti, ko nu kho mayhaṃ doso’’ti? Atha naṃ bhuttāviṃ ‘‘ko nu kho me, ayya, doso’’ti pucchi. Dhammadinne tuyhaṃ doso natthi, ahaṃ pana ajja paṭṭhāya santhavavasena tumhākaṃ santike nisīdituṃ vā ṭhātuṃ vā āharāpetvā khādituṃ vā bhuñjituṃ vā abhabbo. Tvaṃ sace icchasi, imasmiṃ gehe vasa. No ce icchasi, yattakena te dhanena attho, taṃ gaṇhitvā kulagharaṃ gacchāhīti. Ayyaputta, evaṃ sante ahaṃ tumhehi chaḍḍitakheḷaṃ vamitavamanaṃ sīsena ukkhipitvā na carissāmi, mayhaṃ pabbajjaṃ anujānāthāti. Visākho ‘‘sādhu, dhammadinne’’ti rañño ārocetvā dhammadinnaṃ suvaṇṇasivikāya bhikkhuniupassayaṃ pabbajjatthāya pesesi.

    สา ปพฺพชิตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ตาว เสฎฺฐิ ฆรมเชฺฌ ฐิโตว ทุกฺขสฺสนฺตํ อกาสิ, ปพฺพชฺชํ ลทฺธกาลโต ปฎฺฐาย ปน มยาปิ ทุกฺขสฺสนฺตํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาจริยุปชฺฌายานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘อเยฺย, มยฺหํ อากิณฺณฎฺฐาเน จิตฺตํ น รมติ, คามกาวาสํ คจฺฉามี’’ติ อาหฯ เถริโย ตสฺสา มหากุลา นิกฺขมฺม ปพฺพชิตภาเวน จิตฺตํ วาเรตุํ อสโกฺกนฺติโย ตํ คเหตฺวา คามกาวาสํ อคมํสุฯ สา อตีเต มทฺทิตสงฺขารตาย นจิรเสฺสว สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถสฺสา เอตทโหสิ – ‘‘มยฺหํ กิจฺจํ มตฺถกํ ปตฺตํ, อิธ วสิตฺวา กิํ กริสฺสามิ, ราชคหเมว คจฺฉามิ, ตตฺร มํ นิสฺสาย พหุ ญาติสโงฺฆ ปุญฺญานิ กริสฺสตี’’ติ เถริโย คเหตฺวา นครเมว ปจฺจาคตาฯ

    Sā pabbajitvā cintesi – ‘‘ayaṃ tāva seṭṭhi gharamajjhe ṭhitova dukkhassantaṃ akāsi, pabbajjaṃ laddhakālato paṭṭhāya pana mayāpi dukkhassantaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti ācariyupajjhāyānaṃ santikaṃ gantvā, ‘‘ayye, mayhaṃ ākiṇṇaṭṭhāne cittaṃ na ramati, gāmakāvāsaṃ gacchāmī’’ti āha. Theriyo tassā mahākulā nikkhamma pabbajitabhāvena cittaṃ vāretuṃ asakkontiyo taṃ gahetvā gāmakāvāsaṃ agamaṃsu. Sā atīte madditasaṅkhāratāya nacirasseva saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Athassā etadahosi – ‘‘mayhaṃ kiccaṃ matthakaṃ pattaṃ, idha vasitvā kiṃ karissāmi, rājagahameva gacchāmi, tatra maṃ nissāya bahu ñātisaṅgho puññāni karissatī’’ti theriyo gahetvā nagarameva paccāgatā.

    วิสาโข ตสฺสา อาคตภาวํ ญตฺวา ‘‘สีฆํ อาคตา อุกฺกณฺฐิตา นุ โข ภวิสฺสตี’’ติ สายนฺหสมเย ตสฺสา สนฺติกํ คนฺตฺวา อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ‘‘อุกฺกณฺฐิตภาวํ ปุจฺฉิตุํ อยุตฺต’’นฺติ ปญฺจกฺขนฺธาทิวเสน ปเญฺห ปุจฺฉิ, ธมฺมทินฺนา ขเคฺคน อุปฺปลนาลํ ฉินฺทนฺตี วิย ปุจฺฉิตํ ปุจฺฉิตํ วิสฺสเชฺชสิฯ อุปาสโก ธมฺมทินฺนาเถริยา ญาณสฺส สูรภาวํ ญตฺวา อตฺตโน อธิคตฎฺฐาเน ปฎิปาฎิยา ตีสุ มเคฺคสุ สพฺพากาเรน ปเญฺห ปุจฺฉิตฺวา อุคฺคหวเสน อรหตฺตมเคฺคปิ ปุจฺฉิฯ ธมฺมทินฺนาเถรีปิ อุปาสกสฺส ยาว อนาคามิผลาว วิสยภาวํ ญตฺวา ‘‘อิทานิ อตฺตโน วิสยํ อติกฺกมิตฺวา ธาวตี’’ติ ตํ นิวเตฺตนฺตี ‘‘อจฺจสรา, อาวุโส วิสาข, ปเญฺห, นาสกฺขิ ปญฺหานํ ปริยนฺตํ คเหตุํ, นิพฺพาโนคธญฺหิ , อาวุโส วิสาข, พฺรหฺมจริยํ นิพฺพานปรายณํ นิพฺพานปริโยสานํฯ อากงฺขมาโน จ ตฺวํ, อาวุโส วิสาข, ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตมตฺถํ ปุเจฺฉยฺยาสิฯ ยถา จ เต ภควา พฺยากโรติ, ตถา นํ ธาเรยฺยาสี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๖) อาหฯ

    Visākho tassā āgatabhāvaṃ ñatvā ‘‘sīghaṃ āgatā ukkaṇṭhitā nu kho bhavissatī’’ti sāyanhasamaye tassā santikaṃ gantvā abhivādetvā ekamantaṃ nisinno ‘‘ukkaṇṭhitabhāvaṃ pucchituṃ ayutta’’nti pañcakkhandhādivasena pañhe pucchi, dhammadinnā khaggena uppalanālaṃ chindantī viya pucchitaṃ pucchitaṃ vissajjesi. Upāsako dhammadinnātheriyā ñāṇassa sūrabhāvaṃ ñatvā attano adhigataṭṭhāne paṭipāṭiyā tīsu maggesu sabbākārena pañhe pucchitvā uggahavasena arahattamaggepi pucchi. Dhammadinnātherīpi upāsakassa yāva anāgāmiphalāva visayabhāvaṃ ñatvā ‘‘idāni attano visayaṃ atikkamitvā dhāvatī’’ti taṃ nivattentī ‘‘accasarā, āvuso visākha, pañhe, nāsakkhi pañhānaṃ pariyantaṃ gahetuṃ, nibbānogadhañhi , āvuso visākha, brahmacariyaṃ nibbānaparāyaṇaṃ nibbānapariyosānaṃ. Ākaṅkhamāno ca tvaṃ, āvuso visākha, bhagavantaṃ upasaṅkamitvā etamatthaṃ puccheyyāsi. Yathā ca te bhagavā byākaroti, tathā naṃ dhāreyyāsī’’ti (ma. ni. 1.466) āha.

    วิสาโข สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา สพฺพํ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนนยํ กเถสิฯ สตฺถา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘มม ธีตาย อตีตานาคตปจฺจุปฺปเนฺนสุ ขเนฺธสุ ตณฺหา นตฺถี’’ติ วตฺวา ธมฺมปเท อิมํ คาถมาห –

    Visākho satthu santikaṃ gantvā sabbaṃ pucchāvissajjananayaṃ kathesi. Satthā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘mama dhītāya atītānāgatapaccuppannesu khandhesu taṇhā natthī’’ti vatvā dhammapade imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ยสฺส ปุเร จ ปจฺฉา จ, มเชฺฌ จ นตฺถิ กิญฺจนํ;

    ‘‘Yassa pure ca pacchā ca, majjhe ca natthi kiñcanaṃ;

    อกิญฺจนํ อนาทานํ, ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณ’’นฺติฯ (ธ. ป. ๔๒๑);

    Akiñcanaṃ anādānaṃ, tamahaṃ brūmi brāhmaṇa’’nti. (dha. pa. 421);

    ตโต ธมฺมทินฺนาย สาธุการํ ทตฺวา วิสาขํ อุปาสกํ เอตทโวจ – ‘‘ปณฺฑิตา, วิสาข, ธมฺมทินฺนา ภิกฺขุนี, มหาปญฺญา วิสาข, ธมฺมทินฺนา ภิกฺขุนีฯ มํ เจปิ ตฺวํ, วิสาข, เอตมตฺถํ ปุเจฺฉยฺยาสิ, อหมฺปิ ตํ เอวเมว พฺยากเรยฺยํ, ยถา ตํ ธมฺมทินฺนาย ภิกฺขุนิยา พฺยากตํ, เอโส เจเวตสฺส อโตฺถ, เอวญฺจ นํ ธาเรหี’’ติฯ เอวเมตํ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ อปรภาเค สตฺถา เชตวเน นิสิโนฺน ปฎิปาฎิยา ภิกฺขุนิโย ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต อิทเมว จูฬเวทลฺลํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เถริํ อิมสฺมิํ สาสเน ธมฺมกถิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Tato dhammadinnāya sādhukāraṃ datvā visākhaṃ upāsakaṃ etadavoca – ‘‘paṇḍitā, visākha, dhammadinnā bhikkhunī, mahāpaññā visākha, dhammadinnā bhikkhunī. Maṃ cepi tvaṃ, visākha, etamatthaṃ puccheyyāsi, ahampi taṃ evameva byākareyyaṃ, yathā taṃ dhammadinnāya bhikkhuniyā byākataṃ, eso cevetassa attho, evañca naṃ dhārehī’’ti. Evametaṃ vatthu samuṭṭhitaṃ. Aparabhāge satthā jetavane nisinno paṭipāṭiyā bhikkhuniyo ṭhānantare ṭhapento idameva cūḷavedallaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā theriṃ imasmiṃ sāsane dhammakathikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    นนฺทาเถรีวตฺถุ

    Nandātherīvatthu

    ๒๔๐. ฉเฎฺฐ ฌายีนํ ยทิทํ นนฺทาติ ฌานาภิรตานํ, นนฺทา เถรี, อคฺคาติ ทเสฺสติฯ สา กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุนิํ ฌานาภิรตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา ตโต กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อมฺหากํ สตฺถุ นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว มหาปชาปติโคตมิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, นนฺทาติสฺสา นามํ อกํสุฯ รูปนนฺทาติปิ วุจฺจติฯ สา อปรภาเค อุตฺตมรูปภาเวน ชนปทกลฺยาณี นาม ชาตาฯ

    240. Chaṭṭhe jhāyīnaṃ yadidaṃ nandāti jhānābhiratānaṃ, nandā therī, aggāti dasseti. Sā kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gahetvā aparabhāge satthu dhammaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ bhikkhuniṃ jhānābhiratānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā tato kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā amhākaṃ satthu nibbattito puretarameva mahāpajāpatigotamiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi, nandātissā nāmaṃ akaṃsu. Rūpanandātipi vuccati. Sā aparabhāge uttamarūpabhāvena janapadakalyāṇī nāma jātā.

    สา อมฺหากํ ทสพเล สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา อนุปุเพฺพน กปิลวตฺถุํ อาคนฺตฺวา นนฺทญฺจ ราหุลญฺจ ปพฺพาเชตฺวา ปกฺกเนฺต สุโทฺธทนมหาราชสฺส ปรินิพฺพุตกาเล ‘‘มหาปชาปติโคตมี จ ราหุลมาตา จ นิกฺขมิตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตา’’ติ ญตฺวา ‘‘อิมาสํ ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย มยฺหํ อิธ กิํ กมฺม’’นฺติ มหาปชาปติยา สนฺติกํ คนฺตฺวา ปพฺพชิฯ ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ‘‘สตฺถา รูปํ ครหตี’’ติ สตฺถุ อุปฎฺฐานํ น คจฺฉติ, โอวาทวาเร สมฺปเตฺต อญฺญํ เปเสตฺวา โอวาทํ อาหราเปติฯ สตฺถา ตสฺสา รูปมทมตฺตภาวํ ญตฺวา ‘‘อตฺตโน โอวาทํ อตฺตนาว อาคนฺตฺวา คณฺหนฺตุ, น ภิกฺขุนีหิ อญฺญา เปเสตพฺพา’’ติ อาหฯ ตโต รูปนนฺทา อญฺญํ มคฺคํ อปสฺสนฺตี อกามา โอวาทํ อคมาสิฯ

    Sā amhākaṃ dasabale sabbaññutaṃ patvā anupubbena kapilavatthuṃ āgantvā nandañca rāhulañca pabbājetvā pakkante suddhodanamahārājassa parinibbutakāle ‘‘mahāpajāpatigotamī ca rāhulamātā ca nikkhamitvā satthu santike pabbajitā’’ti ñatvā ‘‘imāsaṃ pabbajitakālato paṭṭhāya mayhaṃ idha kiṃ kamma’’nti mahāpajāpatiyā santikaṃ gantvā pabbaji. Pabbajitadivasato paṭṭhāya ‘‘satthā rūpaṃ garahatī’’ti satthu upaṭṭhānaṃ na gacchati, ovādavāre sampatte aññaṃ pesetvā ovādaṃ āharāpeti. Satthā tassā rūpamadamattabhāvaṃ ñatvā ‘‘attano ovādaṃ attanāva āgantvā gaṇhantu, na bhikkhunīhi aññā pesetabbā’’ti āha. Tato rūpanandā aññaṃ maggaṃ apassantī akāmā ovādaṃ agamāsi.

    สตฺถา ตสฺสา จริตวเสน อิทฺธิยา เอกํ อิตฺถิรูปํ นิมฺมินิตฺวา ตาลวณฺฎํ คเหตฺวา พีชมานํ วิย อกาสิฯ รูปนนฺทา ตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ อการเณเนว ปมตฺตา หุตฺวา นาคจฺฉามิ, เอวรูปาปิ อิตฺถิโย สตฺถุ สนฺติเก วิสฺสตฺถา จรนฺติฯ มม รูปํ เอตาสํ รูปสฺส กลํ นาคฺฆติ โสฬสิํ, อชานิตฺวาว เอตฺตกํ กาลํ น อาคตมฺหี’’ติ ตเมว อิตฺถินิมิตฺตํ คณฺหิตฺวา โอโลเกนฺตี อฎฺฐาสิฯ สตฺถา ตสฺสา ปุพฺพเหตุสมฺปนฺนตาย ‘‘อฎฺฐีนํ นครํ กต’’นฺติ (ธ. ป. ๑๕๐) ธมฺมปเท คาถํ วตฺวา –

    Satthā tassā caritavasena iddhiyā ekaṃ itthirūpaṃ nimminitvā tālavaṇṭaṃ gahetvā bījamānaṃ viya akāsi. Rūpanandā taṃ disvā cintesi – ‘‘ahaṃ akāraṇeneva pamattā hutvā nāgacchāmi, evarūpāpi itthiyo satthu santike vissatthā caranti. Mama rūpaṃ etāsaṃ rūpassa kalaṃ nāgghati soḷasiṃ, ajānitvāva ettakaṃ kālaṃ na āgatamhī’’ti tameva itthinimittaṃ gaṇhitvā olokentī aṭṭhāsi. Satthā tassā pubbahetusampannatāya ‘‘aṭṭhīnaṃ nagaraṃ kata’’nti (dha. pa. 150) dhammapade gāthaṃ vatvā –

    ‘‘จรํ วา ยทิ วา ติฎฺฐํ, นิสิโนฺน อุท วา สย’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๑๙๕) –

    ‘‘Caraṃ vā yadi vā tiṭṭhaṃ, nisinno uda vā saya’’nti. (su. ni. 195) –

    สุตฺตํ อภาสิฯ สา ตสฺมิํเยว รูเป ขยวยํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อิมสฺมิํ ฐาเน อิทํ วตฺถุ เหฎฺฐา เขมาเถริยา วตฺถุนา สทิสเมวาติ น วิตฺถาริตํฯ ตโต ปฎฺฐาย, รูปนนฺทา, ฌานาภิรตานํ อนฺตเร ธุรปฺปตฺตา อโหสิฯ สตฺถา อปรภาเค เชตวเน นิสิโนฺน ปฎิปาฎิยา ภิกฺขุนิโย ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต นนฺทาเถริํ ฌายีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Suttaṃ abhāsi. Sā tasmiṃyeva rūpe khayavayaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ pāpuṇi. Imasmiṃ ṭhāne idaṃ vatthu heṭṭhā khemātheriyā vatthunā sadisamevāti na vitthāritaṃ. Tato paṭṭhāya, rūpanandā, jhānābhiratānaṃ antare dhurappattā ahosi. Satthā aparabhāge jetavane nisinno paṭipāṭiyā bhikkhuniyo ṭhānantare ṭhapento nandātheriṃ jhāyīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    โสณาเถรีวตฺถุ

    Soṇātherīvatthu

    ๒๔๑. สตฺตเม อารทฺธวีริยานนฺติ ปคฺคหิตปริปุณฺณวีริยานํ โสณา อคฺคาติ ทเสฺสติฯ อยํ กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อปรภาเค ธมฺมํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุนิํ อารทฺธวีริยานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อปรภาเค ฆราวาเส วุตฺถา พหู ปุตฺตธีตโร ลภิตฺวา สเพฺพปิ วิสุํ วิสุํ ฆราวาเส ปติฎฺฐาเปสิฯ เต ตโต ปฎฺฐาย ‘‘อยํ อมฺหากํ กิํ กริสฺสตี’’ติ ตํ อตฺตโน สนฺติกํ อาคตํ ‘‘มาตา’’ติ สญฺญมฺปิ น กริํสุฯ พหุปุตฺติกโสณา เตสํ อตฺตนิ อคารวภาวํ ญตฺวา ‘‘ฆราวาเสน กิํ กริสฺสามี’’ติ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิฯ อถ นํ ภิกฺขุนิโย ‘‘อยํ วตฺตํ น ชานาติ, อยุตฺตํ กโรตี’’ติ ทณฺฑกมฺมํ กโรนฺติฯ ปุตฺตธีตโร ตํ ทณฺฑกมฺมํ อาหรนฺติํ ทิสฺวา ‘‘อยํ ยาวชฺชทิวสา สิกฺขามตฺตมฺปิ น ชานาตี’’ติ ทิฎฺฐทิฎฺฐฎฺฐาเน อุปฺปเณฺฑสุํฯ สา เตสํ วจนํ สุตฺวา อุปฺปนฺนสํเวคา ‘‘อตฺตโน คติวิโสธนํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ นิสินฺนฎฺฐาเนปิ ฐิตฎฺฐาเนปิ ทฺวตฺติํสาการํ สชฺฌายติฯ สา ยเถว ปุเพฺพ พหุปุตฺติกโสณเตฺถรีติ ปญฺญายิตฺถ, เอวํ ปจฺฉา อารทฺธวีริยโสณเตฺถรีติ ปากฎา ชาตาฯ

    241. Sattame āraddhavīriyānanti paggahitaparipuṇṇavīriyānaṃ soṇā aggāti dasseti. Ayaṃ kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatīnagare kulagehe paṭisandhiṃ gahetvā aparabhāge dhammaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ bhikkhuniṃ āraddhavīriyānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gahetvā aparabhāge gharāvāse vutthā bahū puttadhītaro labhitvā sabbepi visuṃ visuṃ gharāvāse patiṭṭhāpesi. Te tato paṭṭhāya ‘‘ayaṃ amhākaṃ kiṃ karissatī’’ti taṃ attano santikaṃ āgataṃ ‘‘mātā’’ti saññampi na kariṃsu. Bahuputtikasoṇā tesaṃ attani agāravabhāvaṃ ñatvā ‘‘gharāvāsena kiṃ karissāmī’’ti nikkhamitvā pabbaji. Atha naṃ bhikkhuniyo ‘‘ayaṃ vattaṃ na jānāti, ayuttaṃ karotī’’ti daṇḍakammaṃ karonti. Puttadhītaro taṃ daṇḍakammaṃ āharantiṃ disvā ‘‘ayaṃ yāvajjadivasā sikkhāmattampi na jānātī’’ti diṭṭhadiṭṭhaṭṭhāne uppaṇḍesuṃ. Sā tesaṃ vacanaṃ sutvā uppannasaṃvegā ‘‘attano gativisodhanaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti nisinnaṭṭhānepi ṭhitaṭṭhānepi dvattiṃsākāraṃ sajjhāyati. Sā yatheva pubbe bahuputtikasoṇattherīti paññāyittha, evaṃ pacchā āraddhavīriyasoṇattherīti pākaṭā jātā.

    อเถกทิวสํ ภิกฺขุนิโย วิหารํ คจฺฉนฺติโย ‘‘ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส อุทกํ ตาเปยฺยาสิ, โสเณ’’ติ วตฺวา อคมํสุฯ สาปิ อุทกตาปนโต ปุเรตรเมว อคฺคิสาลาย จงฺกมิตฺวา จงฺกมิตฺวา ทฺวตฺติํสาการํ สชฺฌายนฺตี วิปสฺสนํ วเฑฺฒสิฯ สตฺถา คนฺธกุฎิยํ นิสิโนฺนว อิมํ โอภาสคาถํ อภาสิ –

    Athekadivasaṃ bhikkhuniyo vihāraṃ gacchantiyo ‘‘bhikkhunisaṅghassa udakaṃ tāpeyyāsi, soṇe’’ti vatvā agamaṃsu. Sāpi udakatāpanato puretarameva aggisālāya caṅkamitvā caṅkamitvā dvattiṃsākāraṃ sajjhāyantī vipassanaṃ vaḍḍhesi. Satthā gandhakuṭiyaṃ nisinnova imaṃ obhāsagāthaṃ abhāsi –

    ‘‘โย จ วสฺสสตํ ชีเว, อปสฺสํ ธมฺมมุตฺตมํ;

    ‘‘Yo ca vassasataṃ jīve, apassaṃ dhammamuttamaṃ;

    เอกาหํ ชีวิตํ เสโยฺย, ปสฺสโต ธมฺมมุตฺตม’’นฺติฯ (ธ. ป. ๑๑๕);

    Ekāhaṃ jīvitaṃ seyyo, passato dhammamuttama’’nti. (dha. pa. 115);

    สา คาถาปริโยสาเน อรหตฺตํ ปตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ อรหตฺตํ ปตฺตา, อาคนฺตุกชโน จ อนุปธาเรตฺวาว มยิ อวญฺญาย กิญฺจิ วตฺวา พหุํ อปุญฺญมฺปิ ปสเวยฺย, ตสฺมา สํลกฺขณการณํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ สา อุทกภาชนํ อุทฺธนํ อาโรเปตฺวา เหฎฺฐา อคฺคิํ น อกาสิฯ ภิกฺขุนิโย อาคนฺตฺวา อุทฺธนํ โอโลเกนฺติโย อคฺคิํ อทิสฺวา ‘‘อิมํ มหลฺลิกํ ‘ภิกฺขุนิสงฺฆสฺส อุทกํ ตาเปหี’ติ อโวจุมฺห, อชฺชาปิ อุทฺธเน อคฺคิมฺปิ น กโรตี’’ติ อาหํสุฯ อเยฺย, กิํ ตุมฺหากํ อคฺคินา, อุโณฺหทเกน นฺหายิตุกามา ภาชนโต อุทกํ คเหตฺวา นฺหายถาติ? ตาปิ ‘‘ภวิสฺสติ เอตฺถ การณ’’นฺติ คนฺตฺวา อุทเก หตฺถํ โอตาเรตฺวา อุณฺหภาวํ ญตฺวา เอกกุฎํ อาหริตฺวา อุทกํ คณฺหนฺติ, คหิตคหิตฎฺฐานํ ปริปูรติฯ ตทา สพฺพาว ตสฺสา อรหเตฺต ฐิตภาวํ ญตฺวา ทหรตรา ตาว ปญฺจปติฎฺฐิเตน ปาเทสุ ปติตฺวา ‘‘มยํ, อเยฺย, เอตฺตกํ กาลํ ตุเมฺห อนุปธาเรตฺวา วิเหเฐตฺวา วิเหเฐตฺวา กถยิมฺห, ขมถ โน’’ติ ขมาเปสุํฯ วุทฺธตราปิ อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา ‘‘ขม, อเยฺย’’ติ ขมาเปสุํฯ ตโต ปฎฺฐาย ‘‘มหลฺลกกาเล ปพฺพชิตฺวาปิ อารทฺธวีริยภาเวน นจิรเสฺสว อคฺคผเล ปติฎฺฐิตา’’ติ เถริยา คุโณ ปากโฎ อโหสิฯ อปรภาเค สตฺถา เชตวเน นิสีทิตฺวา ภิกฺขุนิโย ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต โสณเตฺถริํ อารทฺธวีริยานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Sā gāthāpariyosāne arahattaṃ patvā cintesi – ‘‘ahaṃ arahattaṃ pattā, āgantukajano ca anupadhāretvāva mayi avaññāya kiñci vatvā bahuṃ apuññampi pasaveyya, tasmā saṃlakkhaṇakāraṇaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti. Sā udakabhājanaṃ uddhanaṃ āropetvā heṭṭhā aggiṃ na akāsi. Bhikkhuniyo āgantvā uddhanaṃ olokentiyo aggiṃ adisvā ‘‘imaṃ mahallikaṃ ‘bhikkhunisaṅghassa udakaṃ tāpehī’ti avocumha, ajjāpi uddhane aggimpi na karotī’’ti āhaṃsu. Ayye, kiṃ tumhākaṃ agginā, uṇhodakena nhāyitukāmā bhājanato udakaṃ gahetvā nhāyathāti? Tāpi ‘‘bhavissati ettha kāraṇa’’nti gantvā udake hatthaṃ otāretvā uṇhabhāvaṃ ñatvā ekakuṭaṃ āharitvā udakaṃ gaṇhanti, gahitagahitaṭṭhānaṃ paripūrati. Tadā sabbāva tassā arahatte ṭhitabhāvaṃ ñatvā daharatarā tāva pañcapatiṭṭhitena pādesu patitvā ‘‘mayaṃ, ayye, ettakaṃ kālaṃ tumhe anupadhāretvā viheṭhetvā viheṭhetvā kathayimha, khamatha no’’ti khamāpesuṃ. Vuddhatarāpi ukkuṭikaṃ nisīditvā ‘‘khama, ayye’’ti khamāpesuṃ. Tato paṭṭhāya ‘‘mahallakakāle pabbajitvāpi āraddhavīriyabhāvena nacirasseva aggaphale patiṭṭhitā’’ti theriyā guṇo pākaṭo ahosi. Aparabhāge satthā jetavane nisīditvā bhikkhuniyo paṭipāṭiyā ṭhānantare ṭhapento soṇattheriṃ āraddhavīriyānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    พกุลาเถรีวตฺถุ

    Bakulātherīvatthu

    ๒๔๒. อฎฺฐเม ทิพฺพจกฺขุกานํ ยทิทํ พกุลาติ ทิพฺพจกฺขุกานํ, พกุลา เถรี, อคฺคาติ ทเสฺสติฯ อยํ กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุนิํ ทิพฺพจกฺขุกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสทฺธา ปพฺพชิตฺวา นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ สา ตโต ปฎฺฐาย ทิพฺพจกฺขุมฺหิ จิณฺณวสี อโหสิฯ อปรภาเค สตฺถา เชตวเน นิสิโนฺน ภิกฺขุนิโย ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต อิมํ เถริํ ทิพฺพจกฺขุกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    242. Aṭṭhame dibbacakkhukānaṃ yadidaṃ bakulāti dibbacakkhukānaṃ, bakulā therī, aggāti dasseti. Ayaṃ kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbattitvā satthu dhammakathaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ bhikkhuniṃ dibbacakkhukānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devesu ca manussesu ca saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ kulagehe nibbattitvā aparabhāge satthu dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddhā pabbajitvā nacirasseva arahattaṃ pāpuṇi. Sā tato paṭṭhāya dibbacakkhumhi ciṇṇavasī ahosi. Aparabhāge satthā jetavane nisinno bhikkhuniyo paṭipāṭiyā ṭhānantare ṭhapento imaṃ theriṃ dibbacakkhukānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    กุณฺฑลเกสาเถรีวตฺถุ

    Kuṇḍalakesātherīvatthu

    ๒๔๓. นวเม ขิปฺปาภิญฺญานนฺติ ขิปฺปาภิญฺญานํ ภิกฺขุนีนํ, ภทฺทา กุณฺฑลเกสา, อคฺคาติ ทเสฺสติฯ อยมฺปิ หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพตฺตา สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุนิํ ขิปฺปาภิญฺญานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา กสฺสปพุทฺธกาเล กิกิสฺส กาสิรโญฺญ เคเห สตฺตนฺนํ ภคินีนํ อพฺภนฺตรา หุตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ ทส สีลานิ สมาทาย โกมาริกพฺรหฺมจริยํ จรนฺตี สงฺฆสฺส วสนปริเวณํ กาเรตฺวา เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ราชคหนคเร เสฎฺฐิกุเล ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, ภทฺทาติสฺสา นามํ อกํสุฯ

    243. Navame khippābhiññānanti khippābhiññānaṃ bhikkhunīnaṃ, bhaddā kuṇḍalakesā, aggāti dasseti. Ayampi hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbattā satthu dhammakathaṃ sutvā satthāraṃ ekaṃ bhikkhuniṃ khippābhiññānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā kassapabuddhakāle kikissa kāsirañño gehe sattannaṃ bhaginīnaṃ abbhantarā hutvā vīsati vassasahassāni dasa sīlāni samādāya komārikabrahmacariyaṃ carantī saṅghassa vasanapariveṇaṃ kāretvā ekaṃ buddhantaraṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde rājagahanagare seṭṭhikule paṭisandhiṃ gaṇhi, bhaddātissā nāmaṃ akaṃsu.

    ตํทิวสํเยว จ ตสฺมิํ นคเร ปุโรหิตปุโตฺต ชาโตฯ ตสฺส ชาตเวลาย ราชนิเวสนํ อาทิํ กตฺวา สกลนคเร อาวุธานิ ปชฺชลิํสุฯ ปุโรหิโต ปาโตว ราชกุลํ คนฺตฺวา ราชานํ สุขเสยฺยํ ปุจฺฉิฯ ราชา ‘‘กุโต เม, อาจริย, สุขเสยฺยา, อชฺช สพฺพรตฺติํ ราชนิเวสเน อาวุธานิ ปชฺชลิตานิ ทิสฺวา ภยปฺปตฺตา อหุมฺหา’’ติ อาหฯ มหาราช, ตปฺปจฺจยา มา จินฺตยิตฺถ, น ตุมฺหากํเยว เคเห อาวุธานิ ปชฺชลิํสุ, สกลนคเร เอวํ อโหสีติฯ กิํ การณา, อาจริยาติ? อมฺหากํ เคเห โจรนกฺขเตฺตน ทารโก ชาโต, โส สกลนครสฺส สตฺตุ หุตฺวา อุปฺปโนฺน, ตเสฺสตํ ปุพฺพนิมิตฺตํฯ ตุมฺหากํ อุปทฺทโว นตฺถิ, สเจ ปน อิจฺฉถ, หาเรม นนฺติฯ อมฺหากํ ปีฬาย อสติยา หารณกมฺมํ นตฺถีติฯ ปุโรหิโต ‘‘มม ปุโตฺต อตฺตโน นามํ คเหตฺวาว อาคโต’’ติ สตฺตุโกเตวสฺส นามํ อกาสิฯ เสฎฺฐิเคเหปิ ภทฺทา วฑฺฒติ, ปุโรหิตเคเหปิ สตฺตุโก วฑฺฒติฯ โส อตฺตโน อาธาวนวิธาวเนน กีฬิตุํ สมตฺถกาลโต ปฎฺฐาย อตฺตโน วิจรณฎฺฐาเน ยํ ยํ ปสฺสติ, ตํ ตํ สพฺพํ อาหริตฺวา มาตาปิตูนํ เคหํ ปูเรติฯ ปิตา นํ การณสหสฺสมฺปิ วตฺวา วาเรตุํ นาสกฺขิฯ

    Taṃdivasaṃyeva ca tasmiṃ nagare purohitaputto jāto. Tassa jātavelāya rājanivesanaṃ ādiṃ katvā sakalanagare āvudhāni pajjaliṃsu. Purohito pātova rājakulaṃ gantvā rājānaṃ sukhaseyyaṃ pucchi. Rājā ‘‘kuto me, ācariya, sukhaseyyā, ajja sabbarattiṃ rājanivesane āvudhāni pajjalitāni disvā bhayappattā ahumhā’’ti āha. Mahārāja, tappaccayā mā cintayittha, na tumhākaṃyeva gehe āvudhāni pajjaliṃsu, sakalanagare evaṃ ahosīti. Kiṃ kāraṇā, ācariyāti? Amhākaṃ gehe coranakkhattena dārako jāto, so sakalanagarassa sattu hutvā uppanno, tassetaṃ pubbanimittaṃ. Tumhākaṃ upaddavo natthi, sace pana icchatha, hārema nanti. Amhākaṃ pīḷāya asatiyā hāraṇakammaṃ natthīti. Purohito ‘‘mama putto attano nāmaṃ gahetvāva āgato’’ti sattukotevassa nāmaṃ akāsi. Seṭṭhigehepi bhaddā vaḍḍhati, purohitagehepi sattuko vaḍḍhati. So attano ādhāvanavidhāvanena kīḷituṃ samatthakālato paṭṭhāya attano vicaraṇaṭṭhāne yaṃ yaṃ passati, taṃ taṃ sabbaṃ āharitvā mātāpitūnaṃ gehaṃ pūreti. Pitā naṃ kāraṇasahassampi vatvā vāretuṃ nāsakkhi.

    อปรภาเค ปนสฺส วยปฺปตฺตสฺส สพฺพากาเรนาปิ วาเรตุํ อสกฺกุเณยฺยภาวํ ญตฺวา เทฺว นีลสาฎเก ทตฺวา สนฺธิเจฺฉทนอุปกรณญฺจ สิงฺฆาฎกยนฺตญฺจ หเตฺถ ทตฺวา ‘‘ตฺวํ อิมินาว กเมฺมน ชีวาหี’’ติ นํ วิสฺสเชฺชสิฯ โส ตํทิวสโต ปฎฺฐาย สิงฺฆาฎกยนฺตํ ขิปิตฺวา กุลานํ ปาสาเท อารุยฺห สนฺธิํ ฉินฺทิตฺวา ปรกุเลสุ นิกฺขิตฺตภณฺฑํ อตฺตนา ฐปิตํ วิย คเหตฺวา คจฺฉติฯ สกลนคเร เตน อวิลุตฺตเคหํ นาม นาโหสิฯ เอกทิวสํ ราชา รเถน นคเร วิจรโนฺต สารถิํ ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ นุ โข อิมสฺมิํ นคเร ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฆเร ฉิทฺทเมว ปญฺญายตี’’ติฯ เทว อิมสฺมิํ นคเร สตฺตุโก นาม โจโร ภิตฺติํ ฉินฺทิตฺวา กุลานํ สนฺตกํ หรตีติฯ ราชา นครคุตฺติกํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ กิร นคเร เอวรูโป นาม โจโร อตฺถิ, กสฺมา นํ น คณฺหสี’’ติ อาหฯ มยํ, เทว, ตํ โจรํ สโหฑฺฒํ ปสฺสิตุํ น สโกฺกมาติฯ สเจ อชฺช นํ โจรํ คณฺหสิ, ชีวสิฯ สเจ น คณฺหสิ, ราชาณํ เต กริสฺสามีติฯ เอวํ เทวาติ นครคุตฺติโก สกลนคเร มนุเสฺส จาเรตฺวา ตํ ภิตฺติํ ฉินฺทิตฺวา ปรภณฺฑํ อวหรนฺตํ สโหฑฺฒเมว คเหตฺวา รโญฺญ ทเสฺสสิฯ ราชา ‘‘อิมํ โจรํ ทกฺขิณทฺวาเรน นีหริตฺวา ฆาเตถา’’ติ อาหฯ นครคุตฺติโก รโญฺญ ปฎิสฺสุณิตฺวา ตํ โจรํ จตุเกฺก จตุเกฺก ปหารสหเสฺสน ตาเฬโนฺต คาหาเปตฺวา ทกฺขิณทฺวารํ คจฺฉติฯ

    Aparabhāge panassa vayappattassa sabbākārenāpi vāretuṃ asakkuṇeyyabhāvaṃ ñatvā dve nīlasāṭake datvā sandhicchedanaupakaraṇañca siṅghāṭakayantañca hatthe datvā ‘‘tvaṃ imināva kammena jīvāhī’’ti naṃ vissajjesi. So taṃdivasato paṭṭhāya siṅghāṭakayantaṃ khipitvā kulānaṃ pāsāde āruyha sandhiṃ chinditvā parakulesu nikkhittabhaṇḍaṃ attanā ṭhapitaṃ viya gahetvā gacchati. Sakalanagare tena aviluttagehaṃ nāma nāhosi. Ekadivasaṃ rājā rathena nagare vicaranto sārathiṃ pucchi – ‘‘kiṃ nu kho imasmiṃ nagare tasmiṃ tasmiṃ ghare chiddameva paññāyatī’’ti. Deva imasmiṃ nagare sattuko nāma coro bhittiṃ chinditvā kulānaṃ santakaṃ haratīti. Rājā nagaraguttikaṃ pakkosāpetvā ‘‘imasmiṃ kira nagare evarūpo nāma coro atthi, kasmā naṃ na gaṇhasī’’ti āha. Mayaṃ, deva, taṃ coraṃ sahoḍḍhaṃ passituṃ na sakkomāti. Sace ajja naṃ coraṃ gaṇhasi, jīvasi. Sace na gaṇhasi, rājāṇaṃ te karissāmīti. Evaṃ devāti nagaraguttiko sakalanagare manusse cāretvā taṃ bhittiṃ chinditvā parabhaṇḍaṃ avaharantaṃ sahoḍḍhameva gahetvā rañño dassesi. Rājā ‘‘imaṃ coraṃ dakkhiṇadvārena nīharitvā ghātethā’’ti āha. Nagaraguttiko rañño paṭissuṇitvā taṃ coraṃ catukke catukke pahārasahassena tāḷento gāhāpetvā dakkhiṇadvāraṃ gacchati.

    ตสฺมิํ สมเย อยํ ภทฺทา นาม เสฎฺฐิธีตา มหาชนสฺส โกลาหลสเทฺทน สีหปญฺชรํ อุคฺฆาเฎตฺวา โอโลเกนฺตี ตํ สตฺตุกํ โจรํ ตถา นียมานํ ทิสฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ หทยํ สนฺธาเรนฺตี คนฺตฺวา สิริสยเน อโธมุขา นิปชฺชิ ฯ สา จ ตสฺส กุลสฺส เอกธีตา, เตนสฺสา ญาตกา อปฺปมตฺตกมฺปิ มุขวิการํ สหิตุํ น สโกฺกนฺติฯ อถ นํ มาตา สยเน นิปนฺนํ ทิสฺวา ‘‘กิํ กโรสิ, อมฺมา’’ติ ปุจฺฉิฯ เอตํ วชฺฌํ กตฺวา นียมานํ โจรํ อทฺทส, อมฺมาติ? อาม, อมฺมาติฯ เอตํ ลภมานา ชีวิสฺสามิ, อลภมานาย เม มรณเมวาติฯ เต ตํ นานปฺปกาเรนปิ สญฺญาเปตุํ อสโกฺกนฺตา ‘‘มรณา ชีวิตํ เสโยฺย’’ติ สลฺลเกฺขสุํฯ อถสฺสา ปิตา นครคุตฺติกสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา สหสฺสํ ลญฺชํ ทตฺวา ‘‘มยฺหํ ธีตา โจเร ปฎิพทฺธจิตฺตา, เยน เกนจิ อุปาเยน อิมํ มุญฺจา’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ เสฎฺฐิสฺส ปฎิสฺสุณิตฺวา โจรํ คเหตฺวา ยาว สูริยสฺส อตฺถงฺคมนา อิโต จิโต จ ปปญฺจาเปตฺวา สูริเย อตฺถงฺคเต จารกโต เอกํ มนุสฺสํ นีหราเปตฺวา สตฺตุกสฺส พนฺธนํ โมเจตฺวา สตฺตุกํ เสฎฺฐิเคหํ เปเสตฺวา เตน พนฺธเนน อิตรํ พนฺธิตฺวา ทกฺขิณทฺวาเรน นีหริตฺวา ฆาเตสิฯ เสฎฺฐิทาสาปิ สตฺตุกํ คเหตฺวา เสฎฺฐิโน นิเวสนํ อาคมํสุฯ ตํ ทิสฺวา เสฎฺฐิ ‘‘ธีตุ มนํ ปูเรสฺสามี’’ติ สตฺตุกํ คโนฺธทเกน นฺหาเปตฺวา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ กาเรตฺวา ปาสาทํ เปเสสิฯ ภทฺทาปิ ‘‘ปริปุโณฺณ เม สงฺกโปฺป’’ติ อเนกาลงฺกาเรน อลงฺกริตฺวา ตํ ปริจรติฯ

    Tasmiṃ samaye ayaṃ bhaddā nāma seṭṭhidhītā mahājanassa kolāhalasaddena sīhapañjaraṃ ugghāṭetvā olokentī taṃ sattukaṃ coraṃ tathā nīyamānaṃ disvā ubhohi hatthehi hadayaṃ sandhārentī gantvā sirisayane adhomukhā nipajji . Sā ca tassa kulassa ekadhītā, tenassā ñātakā appamattakampi mukhavikāraṃ sahituṃ na sakkonti. Atha naṃ mātā sayane nipannaṃ disvā ‘‘kiṃ karosi, ammā’’ti pucchi. Etaṃ vajjhaṃ katvā nīyamānaṃ coraṃ addasa, ammāti? Āma, ammāti. Etaṃ labhamānā jīvissāmi, alabhamānāya me maraṇamevāti. Te taṃ nānappakārenapi saññāpetuṃ asakkontā ‘‘maraṇā jīvitaṃ seyyo’’ti sallakkhesuṃ. Athassā pitā nagaraguttikassa santikaṃ gantvā sahassaṃ lañjaṃ datvā ‘‘mayhaṃ dhītā core paṭibaddhacittā, yena kenaci upāyena imaṃ muñcā’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti seṭṭhissa paṭissuṇitvā coraṃ gahetvā yāva sūriyassa atthaṅgamanā ito cito ca papañcāpetvā sūriye atthaṅgate cārakato ekaṃ manussaṃ nīharāpetvā sattukassa bandhanaṃ mocetvā sattukaṃ seṭṭhigehaṃ pesetvā tena bandhanena itaraṃ bandhitvā dakkhiṇadvārena nīharitvā ghātesi. Seṭṭhidāsāpi sattukaṃ gahetvā seṭṭhino nivesanaṃ āgamaṃsu. Taṃ disvā seṭṭhi ‘‘dhītu manaṃ pūressāmī’’ti sattukaṃ gandhodakena nhāpetvā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ kāretvā pāsādaṃ pesesi. Bhaddāpi ‘‘paripuṇṇo me saṅkappo’’ti anekālaṅkārena alaṅkaritvā taṃ paricarati.

    สตฺตุโก กติปาหํ วีตินาเมตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อิมิสฺสา ปสาธนภณฺฑกํ มยฺหํ ภวิสฺสติ, เกนจิ อุปาเยน อิมํ อาภรณํ คเหตุํ วฎฺฎตี’’ติ สมีเป สุเขน นิสินฺนกาเล ภทฺทํ อาห – ‘‘มยฺหํ เอกํ วจนํ วตฺตพฺพํ อตฺถี’’ติฯ เสฎฺฐิธีตา สหสฺสลาภํ ลภิตฺวา วิย ตุฎฺฐมานสา ‘‘วิสฺสตฺถํ วเทหิ, อยฺยา’’ติ อาหฯ ตฺวํ จิเนฺตสิ – ‘‘มํ นิสฺสาย อิมินา ชีวิตํ ลทฺธ’’นฺติ, อหํ ปน คหิตมโตฺตว โจรปปาตปพฺพเต อธิวตฺถาย เทวตาย ‘‘สจาหํ ชีวิตํ ลภิสฺสามิ, พลิกมฺมํ เต ทสฺสามี’’ติ อายาจิํฯ ตํ นิสฺสาย มยา ชีวิตํ ลทฺธํ , สีฆํ พลิกมฺมํ สชฺชาเปหีติฯ ภทฺทา, ‘‘อหํ ตสฺส มนํ ปูเรสฺสามี’’ติ พลิกมฺมํ สชฺชาเปตฺวา สพฺพํ ปสาธนํ ปสาเธตฺวา เอกยาเน อารุยฺห สามิเกน สทฺธิํ โจรปปาตปพฺพตํ คนฺตฺวา ‘‘ปพฺพตเทวตาย พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ อภิรุหิตุํ อารทฺธาฯ สตฺตุโก จิเนฺตสิ – ‘‘สเพฺพสุ อภิรุหเนฺตสุ มม อิมิสฺสา อาภรณํ คเหตุํ น โอกาโส ภวิสฺสตี’’ติ ตเมว พลิภาชนํ คาหาเปตฺวา ปพฺพตํ อภิรุหิฯ

    Sattuko katipāhaṃ vītināmetvā cintesi – ‘‘imissā pasādhanabhaṇḍakaṃ mayhaṃ bhavissati, kenaci upāyena imaṃ ābharaṇaṃ gahetuṃ vaṭṭatī’’ti samīpe sukhena nisinnakāle bhaddaṃ āha – ‘‘mayhaṃ ekaṃ vacanaṃ vattabbaṃ atthī’’ti. Seṭṭhidhītā sahassalābhaṃ labhitvā viya tuṭṭhamānasā ‘‘vissatthaṃ vadehi, ayyā’’ti āha. Tvaṃ cintesi – ‘‘maṃ nissāya iminā jīvitaṃ laddha’’nti, ahaṃ pana gahitamattova corapapātapabbate adhivatthāya devatāya ‘‘sacāhaṃ jīvitaṃ labhissāmi, balikammaṃ te dassāmī’’ti āyāciṃ. Taṃ nissāya mayā jīvitaṃ laddhaṃ , sīghaṃ balikammaṃ sajjāpehīti. Bhaddā, ‘‘ahaṃ tassa manaṃ pūressāmī’’ti balikammaṃ sajjāpetvā sabbaṃ pasādhanaṃ pasādhetvā ekayāne āruyha sāmikena saddhiṃ corapapātapabbataṃ gantvā ‘‘pabbatadevatāya balikammaṃ karissāmī’’ti abhiruhituṃ āraddhā. Sattuko cintesi – ‘‘sabbesu abhiruhantesu mama imissā ābharaṇaṃ gahetuṃ na okāso bhavissatī’’ti tameva balibhājanaṃ gāhāpetvā pabbataṃ abhiruhi.

    โส ภทฺทาย สทฺธิํ กเถโนฺต ปิยกถํ น กเถติฯ สา อิงฺคิเตเนว ตสฺส อธิปฺปายํ อญฺญาสิฯ อถ นํ โส อาห – ‘‘ภเทฺท, ตว อุตฺตริสาฎกํ โอมุญฺจิตฺวา กายารุฬฺหํ เต ปสาธนํ เอตฺถ ภณฺฑิกํ กโรหี’’ติฯ สามิ มยฺหํ โก อปราโธติ? กิํ ปนาหํ, พาเล, พลิกมฺมตฺถํ อาคโตติ สญฺญํ กโรสิ? อหญฺหิ อิมิสฺสา เทวตาย ยกนํ อุพฺพเฎฺฐตฺวา ทเทยฺยํ, พลิกมฺมาปเทเสน ปน ตว อาภรณํ คณฺหิตุกาโม หุตฺวา อาคโตมฺหีติฯ กสฺส ปน, อยฺย, ปสาธนํ, กสฺส อหนฺติ? มยํ เอวรูปํ น ชานาม, อญฺญํ ตว สนฺตกํ, อญฺญํ มม สนฺตกนฺติฯ สาธุ, อยฺย, เอกํ ปน เม อธิปฺปายํ ปูเรถ, อลงฺกตนิยาเมเนว เม ปุรโต จ ปจฺฉโต จ อาลิงฺคิตุํ เทถาติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ สา เตน สมฺปฎิจฺฉิตภาวํ ญตฺวา ปุรโต อาลิงฺคิตฺวา ปจฺฉโต อาลิงฺคนฺตี วิย หุตฺวา ปพฺพตปปาเต ปาเตสิฯ โส ปตโนฺต อากาเสเยว จุณฺณวิจุโณฺณ อโหสิฯ ตาย กตํ วิจิตฺรภาวํ ทิสฺวา ปพฺพเต อธิวตฺถา เทวตา คุณกิตฺตนวเสน อิมา คาถา อาห –

    So bhaddāya saddhiṃ kathento piyakathaṃ na katheti. Sā iṅgiteneva tassa adhippāyaṃ aññāsi. Atha naṃ so āha – ‘‘bhadde, tava uttarisāṭakaṃ omuñcitvā kāyāruḷhaṃ te pasādhanaṃ ettha bhaṇḍikaṃ karohī’’ti. Sāmi mayhaṃ ko aparādhoti? Kiṃ panāhaṃ, bāle, balikammatthaṃ āgatoti saññaṃ karosi? Ahañhi imissā devatāya yakanaṃ ubbaṭṭhetvā dadeyyaṃ, balikammāpadesena pana tava ābharaṇaṃ gaṇhitukāmo hutvā āgatomhīti. Kassa pana, ayya, pasādhanaṃ, kassa ahanti? Mayaṃ evarūpaṃ na jānāma, aññaṃ tava santakaṃ, aññaṃ mama santakanti. Sādhu, ayya, ekaṃ pana me adhippāyaṃ pūretha, alaṅkataniyāmeneva me purato ca pacchato ca āliṅgituṃ dethāti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Sā tena sampaṭicchitabhāvaṃ ñatvā purato āliṅgitvā pacchato āliṅgantī viya hutvā pabbatapapāte pātesi. So patanto ākāseyeva cuṇṇavicuṇṇo ahosi. Tāya kataṃ vicitrabhāvaṃ disvā pabbate adhivatthā devatā guṇakittanavasena imā gāthā āha –

    ‘‘น โส สเพฺพสุ ฐาเนสุ, ปุริโส โหติ ปณฺฑิโต;

    ‘‘Na so sabbesu ṭhānesu, puriso hoti paṇḍito;

    อิตฺถีปิ ปณฺฑิตา โหติ, ตตฺถ ตตฺถ วิจกฺขณาฯ

    Itthīpi paṇḍitā hoti, tattha tattha vicakkhaṇā.

    ‘‘น โส สเพฺพสุ ฐาเนสุ, ปุริโส โหติ ปณฺฑิโต;

    ‘‘Na so sabbesu ṭhānesu, puriso hoti paṇḍito;

    อิตฺถีปิ ปณฺฑิตา โหติ, มุหุตฺตมปิ จินฺตเย’’ติฯ (อป. เถรี ๒.๓.๓๑-๓๒);

    Itthīpi paṇḍitā hoti, muhuttamapi cintaye’’ti. (apa. therī 2.3.31-32);

    ตโต ภทฺทา จิเนฺตสิ – ‘‘น สกฺกา มยา อิมินา นิยาเมน ปุน เคหํ คนฺตุํ, อิโตว คนฺตฺวา เอกํ ปพฺพชฺชํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติ, นิคณฺฐารามํ คนฺตฺวา นิคเณฺฐ ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ อถ นํ เต อาหํสุ – ‘‘เกน นิยาเมน ปพฺพชฺชา โหตู’’ติ? ยํ ตุมฺหากํ ปพฺพชฺชาย อุตฺตมํ, ตเทว กโรถาติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ ตสฺสา ตาลฎฺฐินา เกเส ลุญฺจิตฺวา ปพฺพาเชสุํฯ เกสา ปุน วฑฺฒนฺตา ราสิราสิวเสน กุณฺฑลาวตฺตา หุตฺวา วฑฺฒิํสุฯ สา เตเนว การเณน กุณฺฑลเกสา นาม ชาตาฯ สา อตฺตโน ปพฺพชิตฎฺฐาเน สพฺพสิปฺปํ อุคฺคณฺหิตฺวา ‘‘เอเตสํ อิโต อุตฺตริ วิเสโส นตฺถี’’ติ ญตฺวา คามนิคมราชธานิโย วิจรนฺตี ยตฺถ ยตฺถ ปณฺฑิตา อตฺถิ , ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา เตสํ ชานนสิปฺปํ สพฺพเมว อุคฺคณฺหาติฯ อถสฺสา พหูสุ ฐาเนสุ สิกฺขิตภาเวน ปฎิวาทํ ทาตุํ สมตฺถา น โหนฺติฯ สา อตฺตนา สทฺธิํ กเถตุํ สมตฺถํ อทิสฺวา ยํ คามํ วา นิคมํ วา ปวิสติ, ตสฺส ทฺวาเร วาลุกราสิํ กตฺวา ตตฺถ ชมฺพุสาขํ ฐเปติฯ ‘‘โย มม วาทํ อาโรเปตุํ สโกฺกติ, โส อิมํ สาขํ มทฺทตู’’ติ สมีเป ฐิตานํ ทารกานํ สญฺญํ เทติฯ ตํ สตฺตาหมฺปิ มทฺทนฺตา น โหนฺติฯ อถ นํ คเหตฺวา ปกฺกมติฯ

    Tato bhaddā cintesi – ‘‘na sakkā mayā iminā niyāmena puna gehaṃ gantuṃ, itova gantvā ekaṃ pabbajjaṃ pabbajissāmī’’ti, nigaṇṭhārāmaṃ gantvā nigaṇṭhe pabbajjaṃ yāci. Atha naṃ te āhaṃsu – ‘‘kena niyāmena pabbajjā hotū’’ti? Yaṃ tumhākaṃ pabbajjāya uttamaṃ, tadeva karothāti. Te ‘‘sādhū’’ti tassā tālaṭṭhinā kese luñcitvā pabbājesuṃ. Kesā puna vaḍḍhantā rāsirāsivasena kuṇḍalāvattā hutvā vaḍḍhiṃsu. Sā teneva kāraṇena kuṇḍalakesā nāma jātā. Sā attano pabbajitaṭṭhāne sabbasippaṃ uggaṇhitvā ‘‘etesaṃ ito uttari viseso natthī’’ti ñatvā gāmanigamarājadhāniyo vicarantī yattha yattha paṇḍitā atthi , tattha tattha gantvā tesaṃ jānanasippaṃ sabbameva uggaṇhāti. Athassā bahūsu ṭhānesu sikkhitabhāvena paṭivādaṃ dātuṃ samatthā na honti. Sā attanā saddhiṃ kathetuṃ samatthaṃ adisvā yaṃ gāmaṃ vā nigamaṃ vā pavisati, tassa dvāre vālukarāsiṃ katvā tattha jambusākhaṃ ṭhapeti. ‘‘Yo mama vādaṃ āropetuṃ sakkoti, so imaṃ sākhaṃ maddatū’’ti samīpe ṭhitānaṃ dārakānaṃ saññaṃ deti. Taṃ sattāhampi maddantā na honti. Atha naṃ gahetvā pakkamati.

    ตสฺมิํ สมเย อมฺหากํ ภควา โลเก นิพฺพตฺติตฺวา สาวตฺถิํ อุปนิสฺสาย เชตวเน วิหรติฯ กุณฺฑลเกสาปิ โข อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ ปตฺวา อโนฺตนครํ ปวิสมานา โปราณกนิยาเมเนว วาลุการาสิมฺหิ สาขํ ฐเปตฺวา ทารกานํ สญฺญํ ทตฺวา ปาวิสิฯ ตสฺมิํ สมเย ธมฺมเสนาปติ ภิกฺขุสเงฺฆ ปวิเฎฺฐ เอกโกว นครํ ปวิสโนฺต วาลุกาถูเป ชมฺพุสาขํ ทิสฺวา ‘‘กสฺมา อยํ ฐปิตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ทารกา ตํ การณํ อปริหาเปตฺวา กเถสุํฯ เอวํ สเนฺต อิมํ คเหตฺวา มทฺทถ, ทารกาติฯ เตสุ เถรสฺส วจนํ สุตฺวา เอกเจฺจ มทฺทิตุํ น วิสหิํสุ, เอกเจฺจ ตํขเณเยว มทฺทิตฺวา จุณฺณวิจุณฺณํ อกํสุฯ กุณฺฑลเกสา ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา นิกฺขมนฺตี ตํ สาขํ มทฺทิตํ ทิสฺวา ‘‘กเสฺสตํ กมฺม’’นฺติ ปุจฺฉิฯ อถสฺสา ธมฺมเสนาปตินา การาปิตภาวํ กถยิํสุฯ สา ‘‘อตฺตโน ถามํ อชานโนฺต อิมํ สาขํ มทฺทาเปตุํ โน วิสหิสฺสติ, อทฺธา มหโนฺต เอโส ภวิสฺสติ ฯ อหมฺปิ ปน ขุทฺทิกา ภวนฺตี น โสภิสฺสามิ, อโนฺตคามเมว ปวิสิตฺวา ปริสาย สญฺญํ ทาตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตถา อกาสิฯ อสีติกุลสหสฺสนิวาเส นคเร สภาคสภาควเสน สเพฺพว สญฺชานิํสูติ เวทิตพฺพํฯ

    Tasmiṃ samaye amhākaṃ bhagavā loke nibbattitvā sāvatthiṃ upanissāya jetavane viharati. Kuṇḍalakesāpi kho anupubbena sāvatthiṃ patvā antonagaraṃ pavisamānā porāṇakaniyāmeneva vālukārāsimhi sākhaṃ ṭhapetvā dārakānaṃ saññaṃ datvā pāvisi. Tasmiṃ samaye dhammasenāpati bhikkhusaṅghe paviṭṭhe ekakova nagaraṃ pavisanto vālukāthūpe jambusākhaṃ disvā ‘‘kasmā ayaṃ ṭhapitā’’ti pucchi. Dārakā taṃ kāraṇaṃ aparihāpetvā kathesuṃ. Evaṃ sante imaṃ gahetvā maddatha, dārakāti. Tesu therassa vacanaṃ sutvā ekacce maddituṃ na visahiṃsu, ekacce taṃkhaṇeyeva madditvā cuṇṇavicuṇṇaṃ akaṃsu. Kuṇḍalakesā bhattakiccaṃ katvā nikkhamantī taṃ sākhaṃ madditaṃ disvā ‘‘kassetaṃ kamma’’nti pucchi. Athassā dhammasenāpatinā kārāpitabhāvaṃ kathayiṃsu. Sā ‘‘attano thāmaṃ ajānanto imaṃ sākhaṃ maddāpetuṃ no visahissati, addhā mahanto eso bhavissati . Ahampi pana khuddikā bhavantī na sobhissāmi, antogāmameva pavisitvā parisāya saññaṃ dātuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā tathā akāsi. Asītikulasahassanivāse nagare sabhāgasabhāgavasena sabbeva sañjāniṃsūti veditabbaṃ.

    เถโรปิ ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสีทิฯ อถายํ กุณฺฑลเกสา มหาชนปริวุตา เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ ฐตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺหหิ สาขา มทฺทาปิตา’’ติ ปุจฺฉิฯ อาม, มยา มทฺทาปิตาติฯ เอวํ สเนฺต ตุเมฺหหิ สทฺธิํ อมฺหากํ วาโท โหตุ, ภเนฺตติ ฯ โหตุ, ภเทฺทติฯ กสฺส ปุจฺฉา โหตุ, กสฺส วิสฺสชฺชนนฺติ? ปุจฺฉา นาม อมฺหากํ ปตฺตา, ตฺวํ ปน ตุยฺหํ ชานนกํ ปุจฺฉาติฯ สา เถเรน ทินฺนอนุมติยา สพฺพเมว อตฺตโน ชานนกํ วาทํ ปุจฺฉิ, เถโร สพฺพํ วิสฺสเชฺชสิฯ สา สพฺพํ ปุจฺฉิตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ อถ นํ เถโร อาห – ‘‘ตยา พหุํ ปุจฺฉิตํ, มยมฺปิ เอกํ ปญฺหํ ปุจฺฉามา’’ติฯ ปุจฺฉถ, ภเนฺตติฯ เอกํ นาม กินฺติ? กุณฺฑลเกสา ‘‘น ชานามิ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ ตฺวํ เอตฺตกมฺปิ น ชานาสิ, อญฺญํ กิํ ชานิสฺสสีติ? สา เถรสฺส ปาเทสุ ปติตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ สรณํ คจฺฉามิ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ มม สรณคมนกมฺมํ นตฺถิ, สเทวเก โลเก อคฺคปุคฺคโล ธุรวิหาเร วสติ, ตํ สรณํ คจฺฉาหีติฯ สา ‘‘เอวํ กริสฺสามิ, ภเนฺต’’ติ สายนฺหสมเย สตฺถุ ธมฺมเทสนาเวลาย สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ สตฺถา ตสฺสา มทฺทิตสงฺขาราย จริยาวเสน ธมฺมปเท อิมํ คาถมาห –

    Theropi bhattakiccaṃ katvā aññatarasmiṃ rukkhamūle nisīdi. Athāyaṃ kuṇḍalakesā mahājanaparivutā therassa santikaṃ gantvā paṭisanthāraṃ katvā ekamantaṃ ṭhatvā, ‘‘bhante, tumhehi sākhā maddāpitā’’ti pucchi. Āma, mayā maddāpitāti. Evaṃ sante tumhehi saddhiṃ amhākaṃ vādo hotu, bhanteti . Hotu, bhaddeti. Kassa pucchā hotu, kassa vissajjananti? Pucchā nāma amhākaṃ pattā, tvaṃ pana tuyhaṃ jānanakaṃ pucchāti. Sā therena dinnaanumatiyā sabbameva attano jānanakaṃ vādaṃ pucchi, thero sabbaṃ vissajjesi. Sā sabbaṃ pucchitvā tuṇhī ahosi. Atha naṃ thero āha – ‘‘tayā bahuṃ pucchitaṃ, mayampi ekaṃ pañhaṃ pucchāmā’’ti. Pucchatha, bhanteti. Ekaṃ nāma kinti? Kuṇḍalakesā ‘‘na jānāmi, bhante’’ti āha. Tvaṃ ettakampi na jānāsi, aññaṃ kiṃ jānissasīti? Sā therassa pādesu patitvā ‘‘tumhākaṃ saraṇaṃ gacchāmi, bhante’’ti āha. Mama saraṇagamanakammaṃ natthi, sadevake loke aggapuggalo dhuravihāre vasati, taṃ saraṇaṃ gacchāhīti. Sā ‘‘evaṃ karissāmi, bhante’’ti sāyanhasamaye satthu dhammadesanāvelāya satthu santikaṃ gantvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Satthā tassā madditasaṅkhārāya cariyāvasena dhammapade imaṃ gāthamāha –

    ‘‘สหสฺสมปิ เจ คาถา, อนตฺถปทสํหิตา;

    ‘‘Sahassamapi ce gāthā, anatthapadasaṃhitā;

    เอกํ คาถาปทํ เสโยฺย, ยํ สุตฺวา อุปสมฺมตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๐๑);

    Ekaṃ gāthāpadaṃ seyyo, yaṃ sutvā upasammatī’’ti. (dha. pa. 101);

    สา คาถาปริโยสาเน ยถาฐิตาว สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ สตฺถา ตสฺสา ปพฺพชฺชํ สมฺปฎิจฺฉิฯ สา ภิกฺขุนุปสฺสยํ คนฺตฺวา ปพฺพชิฯ อปรภาเค จตุปริสมเชฺฌ กถา อุทปาทิ – ‘‘มหนฺตา วตายํ ภทฺทา กุณฺฑลเกสา, ยา จตุปฺปทิกคาถาวสาเน อรหตฺตํ ปตฺตา’’ติฯ สตฺถา ตํ การณํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา เถริํ ขิปฺปาภิญฺญานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Sā gāthāpariyosāne yathāṭhitāva saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patvā pabbajjaṃ yāci. Satthā tassā pabbajjaṃ sampaṭicchi. Sā bhikkhunupassayaṃ gantvā pabbaji. Aparabhāge catuparisamajjhe kathā udapādi – ‘‘mahantā vatāyaṃ bhaddā kuṇḍalakesā, yā catuppadikagāthāvasāne arahattaṃ pattā’’ti. Satthā taṃ kāraṇaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā theriṃ khippābhiññānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ภทฺทากาปิลานีเถรีวตฺถุ

    Bhaddākāpilānītherīvatthu

    ๒๔๔. ทสเม ปุเพฺพนิวาสนฺติ ปุเพฺพ นิวุตฺถกฺขนฺธสนฺตานํ อนุสฺสรนฺตีนํ ภทฺทา กาปิลานี อคฺคาติ ทเสฺสติฯ สา กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุนิํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรนฺตีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ พาราณสิยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา อตฺตโน สามิภคินิยา สทฺธิํ กลหํ กโรนฺตี ตาย ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปิณฺฑปาเต ทิเนฺน, ‘‘อยํ อิมสฺส ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา อตฺตโน วสํ วเตฺตตี’’ติ ปเจฺจกพุทฺธสฺส หตฺถโต ปตฺตํ คณฺหิตฺวา ภตฺตํ ฉเฑฺฑตฺวา กลลสฺส ปูเรตฺวา อทาสิฯ มหาชโน ‘‘พาลา อย’’นฺติ ครหิตฺวา, ‘‘ยาย เต สทฺธิํ กลโห กโต, ตสฺสา กิญฺจิ น กโรสิ, ปเจฺจกพุโทฺธ เต กิํ อปรชฺฌตี’’ติ อาหฯ สา เตสํ วจเนน ลชฺชายมานา ปุน ปตฺตํ คเหตฺวา กลลํ หาเรตฺวา โธวิตฺวา คนฺธจุเณฺณน อุพฺพเฎฺฎตฺวา จตุมธุรสฺส ปูเรตฺวา อุปริ อาสิเตฺตน ปทุมคพฺภวเณฺณน สปฺปินา วิโชฺชตมานํ ปเจฺจกพุทฺธสฺส หเตฺถ ฐเปตฺวา ‘‘ยถา อยํ ปิณฺฑปาโต โอภาสชาโต, เอวํ โอภาสชาตํ เม สรีรํ โหตู’’ติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสีติ สพฺพํ มหากสฺสปเตฺถรสฺส วตฺถุมฺหิ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    244. Dasame pubbenivāsanti pubbe nivutthakkhandhasantānaṃ anussarantīnaṃ bhaddā kāpilānī aggāti dasseti. Sā kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbattitvā satthu dhammadesanaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ bhikkhuniṃ pubbenivāsaṃ anussarantīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā anuppanne buddhe bārāṇasiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gaṇhitvā attano sāmibhaginiyā saddhiṃ kalahaṃ karontī tāya paccekabuddhassa piṇḍapāte dinne, ‘‘ayaṃ imassa piṇḍapātaṃ datvā attano vasaṃ vattetī’’ti paccekabuddhassa hatthato pattaṃ gaṇhitvā bhattaṃ chaḍḍetvā kalalassa pūretvā adāsi. Mahājano ‘‘bālā aya’’nti garahitvā, ‘‘yāya te saddhiṃ kalaho kato, tassā kiñci na karosi, paccekabuddho te kiṃ aparajjhatī’’ti āha. Sā tesaṃ vacanena lajjāyamānā puna pattaṃ gahetvā kalalaṃ hāretvā dhovitvā gandhacuṇṇena ubbaṭṭetvā catumadhurassa pūretvā upari āsittena padumagabbhavaṇṇena sappinā vijjotamānaṃ paccekabuddhassa hatthe ṭhapetvā ‘‘yathā ayaṃ piṇḍapāto obhāsajāto, evaṃ obhāsajātaṃ me sarīraṃ hotū’’ti patthanaṃ paṭṭhapesīti sabbaṃ mahākassapattherassa vatthumhi vuttanayeneva veditabbaṃ.

    มหากสฺสปเตฺถโร ปน ทกฺขิณมคฺคํ คเหตฺวา ทสพลสฺส สนฺติกํ พหุปุตฺตกนิโคฺรธมูลํ คโต, อยํ ภทฺทา กาปิลานี วามมคฺคํ คณฺหิตฺวา มาตุคามสฺส ปพฺพชฺชาย อนนุญฺญาตภาเวน ปริพฺพาชิการามํ อคมาสิฯ ยทา ปน มหาปชาปติโคตมี ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ลภิ, ตทา สา เถรี เถริยา สนฺติเก ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ลภิตฺวา อปรภาเค วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรนฺตี อรหตฺตํ ปตฺวา ปุเพฺพนิวาสญาเณ จิณฺณวสี อโหสิฯ อถ สตฺถา เชตวเน นิสีทิตฺวา ภิกฺขุนิโย ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต อิมํ เถริํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรนฺตีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Mahākassapatthero pana dakkhiṇamaggaṃ gahetvā dasabalassa santikaṃ bahuputtakanigrodhamūlaṃ gato, ayaṃ bhaddā kāpilānī vāmamaggaṃ gaṇhitvā mātugāmassa pabbajjāya ananuññātabhāvena paribbājikārāmaṃ agamāsi. Yadā pana mahāpajāpatigotamī pabbajjañca upasampadañca labhi, tadā sā therī theriyā santike pabbajjañca upasampadañca labhitvā aparabhāge vipassanāya kammaṃ karontī arahattaṃ patvā pubbenivāsañāṇe ciṇṇavasī ahosi. Atha satthā jetavane nisīditvā bhikkhuniyo paṭipāṭiyā ṭhānantaresu ṭhapento imaṃ theriṃ pubbenivāsaṃ anussarantīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ภทฺทากจฺจานาเถรีวตฺถุ

    Bhaddākaccānātherīvatthu

    ๒๔๕. เอกาทสเม มหาภิญฺญาปฺปตฺตานนฺติ มหติโย อภิญฺญาโย ปตฺตานํ, ภทฺทา กจฺจานา, นาม อคฺคาติ ทเสฺสติฯ เอกสฺส หิ พุทฺธสฺส จตฺตาโรว ชนา มหาภิญฺญา โหนฺติ, น อวเสสสาวกาฯ อวเสสสาวกา หิ กปฺปสตสหสฺสเมว อนุสฺสริตุํ สโกฺกนฺติ, น ตโต ปรํฯ มหาภิญฺญาปฺปตฺตา ปน กปฺปสตสหสฺสาธิกํ อสเงฺขฺยยฺยํ อนุสฺสรนฺติฯ อมฺหากมฺปิ สตฺถุ สาสเน เทฺว อคฺคสาวกา พากุลเตฺถโร ภทฺทา กจฺจานาติ อิเม จตฺตาโร เอตฺตกํ อนุสฺสริตุํ สกฺขิํสุฯ ตสฺมา อยํ เถรี มหาภิญฺญาปฺปตฺตานํ อคฺคา นาม ชาตาฯ ภทฺทา กจฺจานาติ ตสฺสา นามํฯ ภทฺทกญฺจนสฺส หิ อุตฺตมสุวณฺณสฺส วิย ตสฺสา สรีรวโณฺณ อโหสิ, สา ตสฺมา ภทฺทกญฺจนาติ นามํ ลภิ, สา ปจฺฉา กจฺจานาเตฺวว สงฺขํ คตาฯ ราหุลมาตาเยตํ อธิวจนํฯ

    245. Ekādasame mahābhiññāppattānanti mahatiyo abhiññāyo pattānaṃ, bhaddā kaccānā, nāma aggāti dasseti. Ekassa hi buddhassa cattārova janā mahābhiññā honti, na avasesasāvakā. Avasesasāvakā hi kappasatasahassameva anussarituṃ sakkonti, na tato paraṃ. Mahābhiññāppattā pana kappasatasahassādhikaṃ asaṅkhyeyyaṃ anussaranti. Amhākampi satthu sāsane dve aggasāvakā bākulatthero bhaddā kaccānāti ime cattāro ettakaṃ anussarituṃ sakkhiṃsu. Tasmā ayaṃ therī mahābhiññāppattānaṃ aggā nāma jātā. Bhaddā kaccānāti tassā nāmaṃ. Bhaddakañcanassa hi uttamasuvaṇṇassa viya tassā sarīravaṇṇo ahosi, sā tasmā bhaddakañcanāti nāmaṃ labhi, sā pacchā kaccānātveva saṅkhaṃ gatā. Rāhulamātāyetaṃ adhivacanaṃ.

    สา หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุนิํ มหาภิญฺญาปฺปตฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สุปฺปพุทฺธสกฺกสฺส เคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, ภทฺทา กจฺจานาติสฺสา นามํ อกํสุฯ

    Sā hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gahetvā aparabhāge satthu dhammakathaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ bhikkhuniṃ mahābhiññāppattānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde suppabuddhasakkassa gehe paṭisandhiṃ gaṇhi, bhaddā kaccānātissā nāmaṃ akaṃsu.

    สา วยปฺปตฺตา โพธิสตฺตสฺส เคหํ อคมาสิฯ สา อปรภาเค ราหุลกุมารํ นาม ปุตฺตํ วิชายิฯ ตสฺส ชาตทิวเสว โพธิสโตฺต นิกฺขมิตฺวา โพธิมเณฺฑ สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา โลกานุคฺคหํ กโรโนฺต อนุปุเพฺพน กปิลวตฺถุํ อาคมฺม ญาตีนํ สงฺคหํ อกาสิฯ อปรภาเค ปรินิพฺพุเต สุโทฺธทนมหาราเช มหาปชาปติโคตมี ปญฺจหิ มาตุคามสเตหิ สทฺธิํ สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิฯ ราหุลมาตาปิ ชนปทกลฺยาณีปิ เถริยา สนฺติกํ คนฺตฺวา ปพฺพชิฯ สา ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย ภทฺทกจฺจานเตฺถรีเตฺวว ปากฎา อโหสิฯ สา อปรภาเค วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปตฺวา อภิญฺญาสุ จิณฺณวสี อโหสิ, เอกปลฺลเงฺกน นิสินฺนา เอกาวชฺชเนน กปฺปสตสหสฺสาธิกํ อสเงฺขฺยยฺยํ อนุสฺสรติฯ ตสฺสา ตสฺมิํ คุเณ ปากเฎ ชาเต สตฺถา เชตวเน นิสิโนฺน ภิกฺขุนิโย ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต อิมํ เถริํ มหาภิญฺญาปฺปตฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Sā vayappattā bodhisattassa gehaṃ agamāsi. Sā aparabhāge rāhulakumāraṃ nāma puttaṃ vijāyi. Tassa jātadivaseva bodhisatto nikkhamitvā bodhimaṇḍe sabbaññutaṃ patvā lokānuggahaṃ karonto anupubbena kapilavatthuṃ āgamma ñātīnaṃ saṅgahaṃ akāsi. Aparabhāge parinibbute suddhodanamahārāje mahāpajāpatigotamī pañcahi mātugāmasatehi saddhiṃ satthu santike pabbaji. Rāhulamātāpi janapadakalyāṇīpi theriyā santikaṃ gantvā pabbaji. Sā pabbajitakālato paṭṭhāya bhaddakaccānattherītveva pākaṭā ahosi. Sā aparabhāge vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ patvā abhiññāsu ciṇṇavasī ahosi, ekapallaṅkena nisinnā ekāvajjanena kappasatasahassādhikaṃ asaṅkhyeyyaṃ anussarati. Tassā tasmiṃ guṇe pākaṭe jāte satthā jetavane nisinno bhikkhuniyo paṭipāṭiyā ṭhānantare ṭhapento imaṃ theriṃ mahābhiññāppattānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    กิสาโคตมีเถรีวตฺถุ

    Kisāgotamītherīvatthu

    ๒๔๖. ทฺวาทสเม ลูขจีวรธรานนฺติ ตีหิ ลูเขหิ สมนฺนาคตํ ปํสุกูลํ ธาเรนฺตีนํ, กิสาโคตมี, อคฺคาติ ทเสฺสติฯ โคตมีติ ตสฺสา นามํ, โถกํ กิสธาตุกตฺตา ปน กิสาโคตมีติ วุจฺจติฯ อยมฺปิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุนิํ ลูขจีวรธรานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ ทุคฺคตกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปตฺตกาเล เอกํ กุลํ อคมาสิฯ ตตฺถ นํ ‘‘ทุคฺคตกุลสฺส ธีตา’’ติ ปริภวิํสุฯ

    246. Dvādasame lūkhacīvaradharānanti tīhi lūkhehi samannāgataṃ paṃsukūlaṃ dhārentīnaṃ, kisāgotamī, aggāti dasseti. Gotamīti tassā nāmaṃ, thokaṃ kisadhātukattā pana kisāgotamīti vuccati. Ayampi padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbattitvā satthu dhammadesanaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ bhikkhuniṃ lūkhacīvaradharānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ duggatakule nibbattitvā vayappattakāle ekaṃ kulaṃ agamāsi. Tattha naṃ ‘‘duggatakulassa dhītā’’ti paribhaviṃsu.

    สา อปรภาเค ปุตฺตํ วิชายิ, อถสฺสา สมฺมานมกํสุฯ โส ปนสฺสา ทารโก อาธาวิตฺวา ปริธาวิตฺวา กีฬนวเย ฐิโต กาลมกาสิ, ตสฺสา โสโก อุทปาทิฯ สา ‘‘อหํ อิมสฺมิํเยว เคเห หตลาภสกฺการา หุตฺวา ปุตฺตสฺส ชาตกาลโต ปฎฺฐาย สกฺการํ ปาปุณิํ, อิเม มยฺหํ ปุตฺตํ พหิ ฉเฑฺฑตุมฺปิ วายเมยฺยุ’’นฺติ ปุตฺตํ อเงฺกนาทาย ‘‘ปุตฺตสฺส เม เภสชฺชํ เทถา’’ติ เคหทฺวารปฎิปาฎิยา วิจรติฯ ทิฎฺฐทิฎฺฐฎฺฐาเน มนุสฺสา ‘‘กตฺถ เต มตกสฺส เภสชฺชํ ทิฎฺฐปุพฺพ’’นฺติ ปาณิํ ปหริตฺวา ปริหาสํ กโรนฺติฯ สา เตสํ กถาย เนว สญฺญตฺติํ คจฺฉติฯ อถ นํ เอโก ปณฺฑิตปุริโส ทิสฺวา, ‘‘อยํ ปุตฺตโสเกน จิตฺตวิเกฺขปํ ปตฺตา ภวิสฺสติ, เอติสฺสา ปน เภสชฺชํ น อโญฺญ ชานิสฺสติ, ทสพโลว ชานิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอวมาห – ‘‘อมฺม, ตว ปุตฺตสฺส เภสชฺชํ อโญฺญ ชานโนฺต นาม นตฺถิ, สเทวเก ปน โลเก อคฺคปุคฺคโล ทสพโล ธุรวิหาเร วสติ, ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปุจฺฉาหี’’ติฯ สา ‘‘สจฺจํ ปุริโส กเถตี’’ติ ปุตฺตมาทาย ตถาคตสฺส พุทฺธาสเน นิสินฺนเวลาย ปริสปริยเนฺต ฐตฺวา ‘‘ปุตฺตสฺส เม เภสชฺชํ เทถ ภควา’’ติ อาหฯ

    Sā aparabhāge puttaṃ vijāyi, athassā sammānamakaṃsu. So panassā dārako ādhāvitvā paridhāvitvā kīḷanavaye ṭhito kālamakāsi, tassā soko udapādi. Sā ‘‘ahaṃ imasmiṃyeva gehe hatalābhasakkārā hutvā puttassa jātakālato paṭṭhāya sakkāraṃ pāpuṇiṃ, ime mayhaṃ puttaṃ bahi chaḍḍetumpi vāyameyyu’’nti puttaṃ aṅkenādāya ‘‘puttassa me bhesajjaṃ dethā’’ti gehadvārapaṭipāṭiyā vicarati. Diṭṭhadiṭṭhaṭṭhāne manussā ‘‘kattha te matakassa bhesajjaṃ diṭṭhapubba’’nti pāṇiṃ paharitvā parihāsaṃ karonti. Sā tesaṃ kathāya neva saññattiṃ gacchati. Atha naṃ eko paṇḍitapuriso disvā, ‘‘ayaṃ puttasokena cittavikkhepaṃ pattā bhavissati, etissā pana bhesajjaṃ na añño jānissati, dasabalova jānissatī’’ti cintetvā evamāha – ‘‘amma, tava puttassa bhesajjaṃ añño jānanto nāma natthi, sadevake pana loke aggapuggalo dasabalo dhuravihāre vasati, tassa santikaṃ gantvā pucchāhī’’ti. Sā ‘‘saccaṃ puriso kathetī’’ti puttamādāya tathāgatassa buddhāsane nisinnavelāya parisapariyante ṭhatvā ‘‘puttassa me bhesajjaṃ detha bhagavā’’ti āha.

    สตฺถา ตสฺสา อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา ‘‘ภทฺทกํ เต โคตมิ กตํ เภสชฺชตฺถาย อิธาคจฺฉนฺติยา, คจฺฉ นครํ ปวิสิตฺวา โกฎิโต ปฎฺฐาย สกลนครํ จริตฺวา ยสฺมิํ เคเห โกจิ มตปุโพฺพ นตฺถิ, ตโต สิทฺธตฺถกํ อาหรา’’ติ อาหฯ สา ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ ตุฎฺฐมานสา อโนฺตนครํ ปวิสิตฺวา ปฐมเคเหเยว ‘‘ทสพโล มม ปุตฺตสฺส เภสชฺชตฺถาย สิทฺธตฺถกํ อาหราเปติ, สิทฺธตฺถกํ เม เทถา’’ติ อาหฯ ‘‘หนฺท โคตมี’’ติ นีหริตฺวา อทํสุฯ อหํ เอวํ คเหตุํ น สโกฺกมิ, อิมสฺมิํ เคเห โกจิ มตปุโพฺพ นาม นตฺถีติ? กิํ วเทสิ โคตมิ, โก อิธ มตเก คเณตุํ สโกฺกตีติ? ‘‘เตน หิ อลํ นาหํ คณฺหิสฺสามิ, ทสพโล มํ ยตฺถ มตปุโพฺพ นตฺถิ, ตโต นํ คณฺหาเปตี’’ติ อาหฯ สา อิมินาว นิยาเมน ตติยฆรํ คนฺตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘สกลนคเร อยเมว นิยาโม ภวิสฺสติ, อิทํ หิตานุกมฺปเกน พุเทฺธน ทิฎฺฐํ ภวิสฺสตี’’ติ สํเวคํ ลภิตฺวา ตโตว พหิ นิกฺขมิตฺวา อามกสุสานํ คนฺตฺวา ปุตฺตํ หเตฺถน คเหตฺวา, ‘‘ปุตฺตก, อหํ อิมํ มรณํ ตเวว อุปฺปนฺนนฺติ จิเนฺตสิํ, น ปเนตํ ตเวว, มหาชนสาธารโณ เอส ธโมฺม’’ติ วตฺวา ปุตฺตํ อามกสุสาเน ฉเฑฺฑตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Satthā tassā upanissayaṃ disvā ‘‘bhaddakaṃ te gotami kataṃ bhesajjatthāya idhāgacchantiyā, gaccha nagaraṃ pavisitvā koṭito paṭṭhāya sakalanagaraṃ caritvā yasmiṃ gehe koci matapubbo natthi, tato siddhatthakaṃ āharā’’ti āha. Sā ‘‘sādhu, bhante’’ti tuṭṭhamānasā antonagaraṃ pavisitvā paṭhamageheyeva ‘‘dasabalo mama puttassa bhesajjatthāya siddhatthakaṃ āharāpeti, siddhatthakaṃ me dethā’’ti āha. ‘‘Handa gotamī’’ti nīharitvā adaṃsu. Ahaṃ evaṃ gahetuṃ na sakkomi, imasmiṃ gehe koci matapubbo nāma natthīti? Kiṃ vadesi gotami, ko idha matake gaṇetuṃ sakkotīti? ‘‘Tena hi alaṃ nāhaṃ gaṇhissāmi, dasabalo maṃ yattha matapubbo natthi, tato naṃ gaṇhāpetī’’ti āha. Sā imināva niyāmena tatiyagharaṃ gantvā cintesi – ‘‘sakalanagare ayameva niyāmo bhavissati, idaṃ hitānukampakena buddhena diṭṭhaṃ bhavissatī’’ti saṃvegaṃ labhitvā tatova bahi nikkhamitvā āmakasusānaṃ gantvā puttaṃ hatthena gahetvā, ‘‘puttaka, ahaṃ imaṃ maraṇaṃ taveva uppannanti cintesiṃ, na panetaṃ taveva, mahājanasādhāraṇo esa dhammo’’ti vatvā puttaṃ āmakasusāne chaḍḍetvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘น คามธโมฺม โน นิคมสฺส ธโมฺม,

    ‘‘Na gāmadhammo no nigamassa dhammo,

    น จาปิยํ เอกกุลสฺส ธโมฺม;

    Na cāpiyaṃ ekakulassa dhammo;

    สพฺพสฺส โลกสฺส สเทวกสฺส,

    Sabbassa lokassa sadevakassa,

    เอเสว ธโมฺม ยทิทํ อนิจฺจตา’’ติฯ (อป. เถรี ๒.๓.๘๒);

    Eseva dhammo yadidaṃ aniccatā’’ti. (apa. therī 2.3.82);

    เอวญฺจ ปน วตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ อคมาสิฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘ลโทฺธ เต, โคตมิ, สิทฺธตฺถโก’’ติ อาหฯ นิฎฺฐิตํ, ภเนฺต, สิทฺธตฺถเกน กมฺมํ, ปติฎฺฐํ ปน เม เทถาติ อาหฯ อถสฺสา สตฺถา ธมฺมปเท อิมํ คาถมาห –

    Evañca pana vatvā satthu santikaṃ agamāsi. Atha naṃ satthā ‘‘laddho te, gotami, siddhatthako’’ti āha. Niṭṭhitaṃ, bhante, siddhatthakena kammaṃ, patiṭṭhaṃ pana me dethāti āha. Athassā satthā dhammapade imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ตํ ปุตฺตปสุสมฺมตฺตํ, พฺยาสตฺตมนสํ นรํ;

    ‘‘Taṃ puttapasusammattaṃ, byāsattamanasaṃ naraṃ;

    สุตฺตํ คามํ มโหโฆว, มจฺจุ อาทาย คจฺฉตี’’ติฯ (ธ. ป. ๒๘๗);

    Suttaṃ gāmaṃ mahoghova, maccu ādāya gacchatī’’ti. (dha. pa. 287);

    สา คาถาปริโยสาเน ยถาฐิตาว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย ปพฺพชฺชํ ยาจิ, สตฺถา ปพฺพชฺชํ อนุชานิฯ สา ติกฺขตฺตุํ สตฺถารํ ปทกฺขิณํ กตฺวา วนฺทิตฺวา ภิกฺขุนิอุปสฺสยํ คนฺตฺวา ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ลภิตฺวา นจิรเสฺสว โยนิโสมนสิกาเร กมฺมํ กโรนฺตี วิปสฺสนํ วเฑฺฒสิฯ อถสฺสา สตฺถา อิมํ โอภาสคาถมาห –

    Sā gāthāpariyosāne yathāṭhitāva sotāpattiphale patiṭṭhāya pabbajjaṃ yāci, satthā pabbajjaṃ anujāni. Sā tikkhattuṃ satthāraṃ padakkhiṇaṃ katvā vanditvā bhikkhuniupassayaṃ gantvā pabbajjañca upasampadañca labhitvā nacirasseva yonisomanasikāre kammaṃ karontī vipassanaṃ vaḍḍhesi. Athassā satthā imaṃ obhāsagāthamāha –

    ‘‘โย จ วสฺสสตํ ชีเว, อปสฺสํ อมตํ ปทํ;

    ‘‘Yo ca vassasataṃ jīve, apassaṃ amataṃ padaṃ;

    เอกาหํ ชีวิตํ เสโยฺย, ปสฺสโต อมตํ ปท’’นฺติฯ (ธ. ป. ๑๑๔);

    Ekāhaṃ jīvitaṃ seyyo, passato amataṃ pada’’nti. (dha. pa. 114);

    สา คาถาปริโยสาเน อรหตฺตํ ปตฺตา ปริกฺขารวลเญฺช ปรมุกฺกฎฺฐา หุตฺวา ตีหิ ลูเขหิ สมนฺนาคตํ จีวรํ ปารุปิตฺวา วิจริฯ อปรภาเค สตฺถา เชตวเน นิสิโนฺน ภิกฺขุนิโย ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต อิมํ เถริํ ลูขจีวรธรานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Sā gāthāpariyosāne arahattaṃ pattā parikkhāravalañje paramukkaṭṭhā hutvā tīhi lūkhehi samannāgataṃ cīvaraṃ pārupitvā vicari. Aparabhāge satthā jetavane nisinno bhikkhuniyo paṭipāṭiyā ṭhānantare ṭhapento imaṃ theriṃ lūkhacīvaradharānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    สิงฺคาลกมาตาเถรีวตฺถุ

    Siṅgālakamātātherīvatthu

    ๒๔๗. เตรสเม สทฺธาธิมุตฺตานนฺติ สทฺธาลกฺขเณ อภินิวิฎฺฐานํ, สิงฺคาลกมาตา, อคฺคาติ ทเสฺสติฯ อยํ กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลฆเร นิพฺพตฺตา สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุนิํ สทฺธาธิมุตฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ราชคหนคเร เสฎฺฐิกุเล นิพฺพตฺตา สมานชาติกํ กุลํ คนฺตฺวา เอกํ ปุตฺตํ วิชายิ, ตสฺส สิงฺคาลกกุมาโรติ นามํ อกํสุฯ สาปิ เตเนว การเณน สิงฺคาลกมาตา นาม ชาตาฯ สา เอกทิวสํ สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสทฺธา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปพฺพชิฯ ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย สทฺธินฺทฺริยํ อธิมตฺตํ ปฎิลภิฯ สา ธมฺมสฺสวนตฺถาย วิหารํ คนฺตฺวา ทสพลสฺส สรีรสมฺปตฺติํ โอโลกยมานาว ติฎฺฐติฯ สตฺถา ตสฺสา สทฺธาลกฺขเณ อภินิวิฎฺฐภาวํ ญตฺวา สปฺปายํ กตฺวา ปสาทนียเมว ธมฺมํ เทเสสิฯ สาปิ เถรี สทฺธาลกฺขณเมว ธุรํ กตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถ นํ สตฺถา อปรภาเค เชตวเน นิสีทิตฺวา ภิกฺขุนิโย ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต อิมํ เถริํ สทฺธาธิมุตฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    247. Terasame saddhādhimuttānanti saddhālakkhaṇe abhiniviṭṭhānaṃ, siṅgālakamātā, aggāti dasseti. Ayaṃ kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulaghare nibbattā satthu dhammakathaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ bhikkhuniṃ saddhādhimuttānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde rājagahanagare seṭṭhikule nibbattā samānajātikaṃ kulaṃ gantvā ekaṃ puttaṃ vijāyi, tassa siṅgālakakumāroti nāmaṃ akaṃsu. Sāpi teneva kāraṇena siṅgālakamātā nāma jātā. Sā ekadivasaṃ satthu dhammakathaṃ sutvā paṭiladdhasaddhā satthu santikaṃ gantvā pabbaji. Pabbajitakālato paṭṭhāya saddhindriyaṃ adhimattaṃ paṭilabhi. Sā dhammassavanatthāya vihāraṃ gantvā dasabalassa sarīrasampattiṃ olokayamānāva tiṭṭhati. Satthā tassā saddhālakkhaṇe abhiniviṭṭhabhāvaṃ ñatvā sappāyaṃ katvā pasādanīyameva dhammaṃ desesi. Sāpi therī saddhālakkhaṇameva dhuraṃ katvā arahattaṃ pāpuṇi. Atha naṃ satthā aparabhāge jetavane nisīditvā bhikkhuniyo paṭipāṭiyā ṭhānantare ṭhapento imaṃ theriṃ saddhādhimuttānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ปญฺจมวคฺควณฺณนาฯ

    Pañcamavaggavaṇṇanā.

    เตรสสุตฺตปฎิมณฺฑิตาย เถริปาฬิยา วณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Terasasuttapaṭimaṇḍitāya theripāḷiyā vaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๖. ฉฎฺฐเอตทคฺควโคฺค

    (14) 6. Chaṭṭhaetadaggavaggo

    ตปุสฺสภลฺลิกวตฺถุ

    Tapussabhallikavatthu

    ๒๔๘. อุปาสกปาฬิยา ปฐเม ปฐมํ สรณํ คจฺฉนฺตานนฺติ สพฺพปฐมํ สรณํ คจฺฉนฺตานํ ตปุโสฺส จ ภลฺลิโก จาติ อิเม เทฺว วาณิชา อคฺคาติ ทเสฺสติฯ อิเม กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณนฺตา สตฺถารํ เทฺว อุปาสเก ปฐมํ สรณํ คจฺฉนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปตฺถยิํสุฯ เต กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อมฺหากํ โพธิสตฺตสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาณปตฺติโต ปุเรตรเมว อสิตญฺชนนคเร กุฎุมฺพิยเคเห นิพฺพตฺติํสุฯ เชฎฺฐภาติโก ตปุโสฺส นาม อโหสิ, กนิโฎฺฐ ภลฺลิโก นามฯ

    248. Upāsakapāḷiyā paṭhame paṭhamaṃ saraṇaṃ gacchantānanti sabbapaṭhamaṃ saraṇaṃ gacchantānaṃ tapusso ca bhalliko cāti ime dve vāṇijā aggāti dasseti. Ime kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gahetvā aparabhāge satthu dhammadesanaṃ suṇantā satthāraṃ dve upāsake paṭhamaṃ saraṇaṃ gacchantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthayiṃsu. Te kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā amhākaṃ bodhisattassa sabbaññutaññāṇapattito puretarameva asitañjananagare kuṭumbiyagehe nibbattiṃsu. Jeṭṭhabhātiko tapusso nāma ahosi, kaniṭṭho bhalliko nāma.

    เต อปเรน สมเยน ฆราวาสํ วสนฺตา กาเลน กาลํ ปญฺจ สกฎสตานิ โยชาเปตฺวา วาณิชกมฺมํ กโรนฺตา จรนฺติฯ ตสฺมิํ สมเย อมฺหากํ โพธิสโตฺต สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา สตฺตสตฺตาหํ โพธิมเณฺฑ วิหริตฺวา อฎฺฐเม สตฺตาเห ราชายตนมูเล นิสีทิฯ ตสฺมิํ สมเย เต วาณิชา ปญฺจมเตฺตหิ สกฎสเตหิ ตํ ฐานํ อนุปฺปตฺตา อเหสุํฯ เตสํ อนนฺตเร อตฺตภาเว มาตา ตสฺมิํ ปเทเส เทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ สา จิเนฺตสิ – ‘‘อิทานิ พุทฺธานํ อาหาโร ลทฺธุํ วฎฺฎติฯ น หิ สกฺกา อิโต ปรํ นิราหาเรหิ ยาเปตุํฯ อิเม จ เม ปุตฺตา อิมินา มเคฺคน คจฺฉนฺติ, เตหิ อชฺช พุทฺธานํ ปิณฺฑปาตํ ทาเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ ปญฺจสุ สกฎสเตสุ ยุตฺตโคณานํ คมนุปเจฺฉทํ อกาสิฯ เต ‘‘กิํ นาเมต’’นฺติ นานาวิธานิ นิมิตฺตานิ โอโลเกนฺติฯ อถ เตสํ กิลมนภาวํ ญตฺวา เอกสฺส ปุริสสฺส สรีเร อธิมุจฺจิตฺวา ‘‘กิํ การณา กิลมถ? ตุมฺหากํ อโญฺญ ยกฺขาวโฎฺฎ วา ภูตาวโฎฺฎ วา นาคาวโฎฺฎ วา นตฺถิ, อหํ ปน โว อตีตตฺตภาเว มาตา อิมสฺมิํ ฐาเน ภุมฺมเทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺตาฯ เอส ทสพโล ราชายตนมูเล นิสิโนฺน, ตสฺส ปฐมํ ปิณฺฑปาตํ เทถา’’ติฯ

    Te aparena samayena gharāvāsaṃ vasantā kālena kālaṃ pañca sakaṭasatāni yojāpetvā vāṇijakammaṃ karontā caranti. Tasmiṃ samaye amhākaṃ bodhisatto sabbaññutaṃ patvā sattasattāhaṃ bodhimaṇḍe viharitvā aṭṭhame sattāhe rājāyatanamūle nisīdi. Tasmiṃ samaye te vāṇijā pañcamattehi sakaṭasatehi taṃ ṭhānaṃ anuppattā ahesuṃ. Tesaṃ anantare attabhāve mātā tasmiṃ padese devatā hutvā nibbatti. Sā cintesi – ‘‘idāni buddhānaṃ āhāro laddhuṃ vaṭṭati. Na hi sakkā ito paraṃ nirāhārehi yāpetuṃ. Ime ca me puttā iminā maggena gacchanti, tehi ajja buddhānaṃ piṇḍapātaṃ dāpetuṃ vaṭṭatī’’ti pañcasu sakaṭasatesu yuttagoṇānaṃ gamanupacchedaṃ akāsi. Te ‘‘kiṃ nāmeta’’nti nānāvidhāni nimittāni olokenti. Atha tesaṃ kilamanabhāvaṃ ñatvā ekassa purisassa sarīre adhimuccitvā ‘‘kiṃ kāraṇā kilamatha? Tumhākaṃ añño yakkhāvaṭṭo vā bhūtāvaṭṭo vā nāgāvaṭṭo vā natthi, ahaṃ pana vo atītattabhāve mātā imasmiṃ ṭhāne bhummadevatā hutvā nibbattā. Esa dasabalo rājāyatanamūle nisinno, tassa paṭhamaṃ piṇḍapātaṃ dethā’’ti.

    เต ตสฺสา กถํ สุตฺวา ตุฎฺฐมานสา หุตฺวา มนฺถญฺจ มธุปิณฺฑิกญฺจ สุวณฺณถาลเกน อาทาย สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อิมํ โภชนํ ปฎิคฺคณฺหถ, ภเนฺต’’ติ อาหํสุฯ สตฺถา อตีตพุทฺธานํ อาจิณฺณํ โอโลเกสิ, อถสฺส จตฺตาโร มหาราชาโน เสลมเย ปเตฺต อุปนาเมสุํฯ สตฺถา ‘‘เตสํ มหปฺผลํ โหตู’’ติ จตฺตาโรปิ ปเตฺต ‘‘เอโกว ปโตฺต โหตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ เต วาณิชา ตถาคตสฺส ปเตฺต มนฺถญฺจ มธุปิณฺฑิกญฺจ ปติฎฺฐเปตฺวา ปริภุตฺตกาเล อุทกํ ทตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน สตฺถารํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ อถ เนสํ สตฺถา ธมฺมํ เทเสสิ, เทสนาปริโยสาเน เทฺวปิ ชนา เทฺววาจิเก สรเณ ปติฎฺฐาย สตฺถารํ อภิวาเทตฺวา อตฺตโน นครํ คนฺตุกามา , ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ ปริจรณเจติยํ เทถา’’ติ วทิํสุฯ สตฺถา ทกฺขิเณน หเตฺถน สีสํ ปรามสิตฺวา ทฺวินฺนมฺปิ ชนานํ อฎฺฐ เกสธาตุโย อทาสิฯ เต อุโภปิ ชนา เกสธาตุโย สุวณฺณสมุเคฺคสุ ฐเปตฺวา อตฺตโน นครํ เนตฺวา อสิตญฺชนนครทฺวาเร ชีวเกสธาตุยา เจติยํ ปติฎฺฐาเปสุํฯ อุโปสถทิวเส เจติยโต นีลสฺมิโย นิคฺคจฺฉนฺติฯ เอวเมตํ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ สตฺถา ปน อปรภาเค เชตวเน นิสีทิตฺวา อุปาสเก ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต อิเม เทฺว ชเน ปฐมํ สรณํ คจฺฉนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Te tassā kathaṃ sutvā tuṭṭhamānasā hutvā manthañca madhupiṇḍikañca suvaṇṇathālakena ādāya satthu santikaṃ gantvā ‘‘imaṃ bhojanaṃ paṭiggaṇhatha, bhante’’ti āhaṃsu. Satthā atītabuddhānaṃ āciṇṇaṃ olokesi, athassa cattāro mahārājāno selamaye patte upanāmesuṃ. Satthā ‘‘tesaṃ mahapphalaṃ hotū’’ti cattāropi patte ‘‘ekova patto hotū’’ti adhiṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe te vāṇijā tathāgatassa patte manthañca madhupiṇḍikañca patiṭṭhapetvā paribhuttakāle udakaṃ datvā bhattakiccapariyosāne satthāraṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Atha nesaṃ satthā dhammaṃ desesi, desanāpariyosāne dvepi janā dvevācike saraṇe patiṭṭhāya satthāraṃ abhivādetvā attano nagaraṃ gantukāmā , ‘‘bhante, amhākaṃ paricaraṇacetiyaṃ dethā’’ti vadiṃsu. Satthā dakkhiṇena hatthena sīsaṃ parāmasitvā dvinnampi janānaṃ aṭṭha kesadhātuyo adāsi. Te ubhopi janā kesadhātuyo suvaṇṇasamuggesu ṭhapetvā attano nagaraṃ netvā asitañjananagaradvāre jīvakesadhātuyā cetiyaṃ patiṭṭhāpesuṃ. Uposathadivase cetiyato nīlasmiyo niggacchanti. Evametaṃ vatthu samuṭṭhitaṃ. Satthā pana aparabhāge jetavane nisīditvā upāsake paṭipāṭiyā ṭhānantaresu ṭhapento ime dve jane paṭhamaṃ saraṇaṃ gacchantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    อนาถปิณฺฑิกเสฎฺฐิวตฺถุ

    Anāthapiṇḍikaseṭṭhivatthu

    ๒๔๙. ทุติเย ทายกานนฺติ ทานาภิรตานํ สุทโตฺต, คหปติ, อนาถปิณฺฑิโก อโคฺคติ ทเสฺสติฯ โส กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพโตฺต สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ อุปาสกํ ทายกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ สุมนเสฎฺฐิสฺส เคเห นิพฺพตฺติ, สุทโตฺตติสฺส นามํ อกํสุฯ

    249. Dutiye dāyakānanti dānābhiratānaṃ sudatto, gahapati, anāthapiṇḍiko aggoti dasseti. So kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbatto satthu dhammakathaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ upāsakaṃ dāyakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ sumanaseṭṭhissa gehe nibbatti, sudattotissa nāmaṃ akaṃsu.

    โส อปรภาเค ฆราวาเส ปติฎฺฐิโต ทายโก ทานปติ หุตฺวา เตเนว คุเณน ปตฺถฎนามเธโยฺย อนาถปิณฺฑิโก นาม อโหสิฯ โส ปญฺจหิ สกฎสเตหิ ภณฺฑํ อาทาย ราชคเห อตฺตโน ปิยสหายกสฺส เสฎฺฐิโน เคหํ คนฺตฺวา ตตฺถ พุทฺธสฺส ภควโต อุปฺปนฺนภาวํ สุตฺวา พลวปจฺจูสกาเล เทวตานุภาเวน วิวเฎน ทฺวาเรน สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย ทุติยทิวเส จ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา สาวตฺถิํ อาคมนตฺถาย สตฺถุ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา อนฺตรามเคฺค ปญฺจจตฺตาลีสโยชนมเคฺค สตสหสฺสํ สตสหสฺสํ ทตฺวา โยชนิกวิหาเร กาเรตฺวา เชตวนํ โกฎิสนฺถาเรน สนฺถริตฺวา อฎฺฐารสหิ โกฎีหิ กิณิตฺวา อฎฺฐารสหิ โกฎีหิ วิหารํ กาเรตฺวา วิหาเร นิฎฺฐิเต จตุนฺนํ ปริสานํ ปุเรภตฺตปจฺฉาภเตฺตสุ ยทิจฺฉกํ ทานํ ททโนฺต อฎฺฐารสหิ โกฎีหิ วิหารมหํ นิฎฺฐาเปสิฯ วิหารมโห นวหิ มาเสหิ นิฎฺฐานํ อคมาสิ , ‘‘ปญฺจหี’’ติ อปเรฯ เตมาเส ปน สพฺพาจริยานํ วิวาโท นตฺถิฯ

    So aparabhāge gharāvāse patiṭṭhito dāyako dānapati hutvā teneva guṇena patthaṭanāmadheyyo anāthapiṇḍiko nāma ahosi. So pañcahi sakaṭasatehi bhaṇḍaṃ ādāya rājagahe attano piyasahāyakassa seṭṭhino gehaṃ gantvā tattha buddhassa bhagavato uppannabhāvaṃ sutvā balavapaccūsakāle devatānubhāvena vivaṭena dvārena satthāraṃ upasaṅkamitvā dhammaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhāya dutiyadivase ca buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā sāvatthiṃ āgamanatthāya satthu paṭiññaṃ gahetvā antarāmagge pañcacattālīsayojanamagge satasahassaṃ satasahassaṃ datvā yojanikavihāre kāretvā jetavanaṃ koṭisanthārena santharitvā aṭṭhārasahi koṭīhi kiṇitvā aṭṭhārasahi koṭīhi vihāraṃ kāretvā vihāre niṭṭhite catunnaṃ parisānaṃ purebhattapacchābhattesu yadicchakaṃ dānaṃ dadanto aṭṭhārasahi koṭīhi vihāramahaṃ niṭṭhāpesi. Vihāramaho navahi māsehi niṭṭhānaṃ agamāsi , ‘‘pañcahī’’ti apare. Temāse pana sabbācariyānaṃ vivādo natthi.

    เอวํ จตุปณฺณาสโกฎิธนํ วิสฺสเชฺชตฺวา นิจฺจกาลํ เคเห เอวรูปํ ทานํ ปวเตฺตสิฯ เทวสิกํ ปญฺจ สลากภตฺตสตานิ โหนฺติ, ปญฺจ ปกฺขิกภตฺตสตานิ, ปญฺจ สลากยาคุสตานิ, ปญฺจ ปกฺขิกยาคุสตานิ, ปญฺจ ธุรภตฺตสตานิ, ปญฺจ อาคนฺตุกภตฺตสตานิ, ปญฺจ คมิกภตฺตสตานิ, ปญฺจ คิลานภตฺตสตานิ, ปญฺจ คิลานุปฎฺฐากภตฺตสตานิ, ปญฺจ อาสนสตานิ เคเห นิจฺจปญฺญตฺตาเนว โหนฺตีติฯ อถ นํ อปรภาเค สตฺถา เชตวเน นิสิโนฺน อุปาสเก ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต ทายกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Evaṃ catupaṇṇāsakoṭidhanaṃ vissajjetvā niccakālaṃ gehe evarūpaṃ dānaṃ pavattesi. Devasikaṃ pañca salākabhattasatāni honti, pañca pakkhikabhattasatāni, pañca salākayāgusatāni, pañca pakkhikayāgusatāni, pañca dhurabhattasatāni, pañca āgantukabhattasatāni, pañca gamikabhattasatāni, pañca gilānabhattasatāni, pañca gilānupaṭṭhākabhattasatāni, pañca āsanasatāni gehe niccapaññattāneva hontīti. Atha naṃ aparabhāge satthā jetavane nisinno upāsake paṭipāṭiyā ṭhānantaresu ṭhapento dāyakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    จิตฺตคหปติวตฺถุ

    Cittagahapativatthu

    ๒๕๐. ตติเย ธมฺมกถิกานนฺติ ธมฺมกถิกานํ อุปาสกานํ จิโตฺต, คหปติ, อโคฺคติ ทเสฺสติฯ โส กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพโตฺต อปรภาเค ธมฺมกถํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ อุปาสกํ ธมฺมกถิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา กสฺสปพุทฺธกาเล มิคลุทฺทกเคเห นิพฺพโตฺต อปรภาเค อรเญฺญ กมฺมํ กาตุํ สมตฺถกาเล เอกทิวสํ เทเว วสฺสเนฺต มิคมารณตฺถาย สตฺติํ อาทาย อรญฺญํ คนฺตฺวา มิครูปานิ โอโลเกโนฺต เอกสฺมิํ อกตปพฺภาเร สสีสํ ปํสุกูลํ ปารุปิตฺวา ปาสาณผลเก นิสินฺนํ เอกํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา ‘‘เอโก อโยฺย สมณธมฺมํ กโรโนฺต นิสิโนฺน ภวิสฺสตี’’ติ สญฺญํ อุปฺปาเทตฺวา เวเคน ฆรํ คนฺตฺวา เอกสฺมิํ อุทฺธเน หิโยฺย อาภตมํสํ, เอกสฺมิํ ภตฺตํ ปจาเปตฺวา ปิณฺฑาจาริเก เทฺว ภิกฺขู ทิสฺวา เตสํ ปตฺตํ อาทาย ปญฺญตฺตาสเน นิสีทาเปตฺวา ภิกฺขํ สมาทาเปตฺวา, ‘‘อเยฺย, ปริวิสถา’’ติ อเญฺญ อาณาเปตฺวา ตํ ภตฺตํ กุเฎ ปกฺขิปิตฺวา ปเณฺณน มุขํ พนฺธิตฺวา กุฎํ อาทาย คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค นานาวิธานิ ปุปฺผานิ โอจินิตฺวา ปตฺตปุฎเกน คเหตฺวา เถรสฺส นิสินฺนฎฺฐานํ คนฺตฺวา กุฎํ โอตาเรตฺวา เอกมเนฺต ฐเปตฺวา ‘‘มยฺหํ , ภเนฺต, สงฺคหํ กโรถา’’ติ วตฺวา เถรสฺส ปตฺตํ อาทาย ภตฺตสฺส ปูเรตฺวา เถรสฺส หเตฺถ ปติฎฺฐเปตฺวา เตหิ มิสฺสกปุเปฺผหิ เถรํ ปูเชตฺวา เอกมเนฺต ฐิโต ‘‘ยถายํ รสปิณฺฑปาเตน สทฺธิํ ปุปฺผปูชา จิตฺตํ ปริโตเสติ, เอวํ นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน เม ปณฺณาการสหสฺสานิ เจว อาคจฺฉนฺตุ ปญฺจวณฺณกุสุมวสฺสญฺจ วสฺสตู’’ติ อาหฯ

    250. Tatiye dhammakathikānanti dhammakathikānaṃ upāsakānaṃ citto, gahapati, aggoti dasseti. So kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbatto aparabhāge dhammakathaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ upāsakaṃ dhammakathikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā kassapabuddhakāle migaluddakagehe nibbatto aparabhāge araññe kammaṃ kātuṃ samatthakāle ekadivasaṃ deve vassante migamāraṇatthāya sattiṃ ādāya araññaṃ gantvā migarūpāni olokento ekasmiṃ akatapabbhāre sasīsaṃ paṃsukūlaṃ pārupitvā pāsāṇaphalake nisinnaṃ ekaṃ bhikkhuṃ disvā ‘‘eko ayyo samaṇadhammaṃ karonto nisinno bhavissatī’’ti saññaṃ uppādetvā vegena gharaṃ gantvā ekasmiṃ uddhane hiyyo ābhatamaṃsaṃ, ekasmiṃ bhattaṃ pacāpetvā piṇḍācārike dve bhikkhū disvā tesaṃ pattaṃ ādāya paññattāsane nisīdāpetvā bhikkhaṃ samādāpetvā, ‘‘ayye, parivisathā’’ti aññe āṇāpetvā taṃ bhattaṃ kuṭe pakkhipitvā paṇṇena mukhaṃ bandhitvā kuṭaṃ ādāya gacchanto antarāmagge nānāvidhāni pupphāni ocinitvā pattapuṭakena gahetvā therassa nisinnaṭṭhānaṃ gantvā kuṭaṃ otāretvā ekamante ṭhapetvā ‘‘mayhaṃ , bhante, saṅgahaṃ karothā’’ti vatvā therassa pattaṃ ādāya bhattassa pūretvā therassa hatthe patiṭṭhapetvā tehi missakapupphehi theraṃ pūjetvā ekamante ṭhito ‘‘yathāyaṃ rasapiṇḍapātena saddhiṃ pupphapūjā cittaṃ paritoseti, evaṃ nibbattanibbattaṭṭhāne me paṇṇākārasahassāni ceva āgacchantu pañcavaṇṇakusumavassañca vassatū’’ti āha.

    เถโร ตสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา ทฺวตฺติํสาการกมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิตฺวา อทาสิฯ โส ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติ, นิพฺพตฺตฎฺฐาเน ชณฺณุมเตฺตน โอธินา ทิพฺพปุปฺผวสฺสํ วสฺสิ, สยญฺจ อญฺญาหิ เทวตาหิ อธิกตเรน รูเปน สมนฺนาคโต อโหสิฯ โส เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท มคธรเฎฺฐ มจฺฉิกาสณฺฑนคเร เสฎฺฐิกุเล นิพฺพตฺติ, ชาตกาเลวสฺส สกลนคเร ชณฺณุมเตฺตน โอธินา ปญฺจวณฺณกุสุมวสฺสํ วสฺสิฯ อถสฺส มาตาปิตโร ‘‘อมฺหากํ ปุโตฺต อตฺตนาว อตฺตโน นามํ คเหตฺวา อาคโต, ชาตทิวเสวสฺส สกลนครํ ปญฺจวเณฺณหิ ปุเปฺผหิ วิจิตฺตํ ชาต’’นฺติ จิตฺตกุมาโรติ นามํ อกํสุฯ

    Thero tassa upanissayaṃ disvā dvattiṃsākārakammaṭṭhānaṃ ācikkhitvā adāsi. So yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devaloke nibbatti, nibbattaṭṭhāne jaṇṇumattena odhinā dibbapupphavassaṃ vassi, sayañca aññāhi devatāhi adhikatarena rūpena samannāgato ahosi. So ekaṃ buddhantaraṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde magadharaṭṭhe macchikāsaṇḍanagare seṭṭhikule nibbatti, jātakālevassa sakalanagare jaṇṇumattena odhinā pañcavaṇṇakusumavassaṃ vassi. Athassa mātāpitaro ‘‘amhākaṃ putto attanāva attano nāmaṃ gahetvā āgato, jātadivasevassa sakalanagaraṃ pañcavaṇṇehi pupphehi vicittaṃ jāta’’nti cittakumāroti nāmaṃ akaṃsu.

    โส อปรภาเค ฆราวาเส ปติฎฺฐิโต ปิตุ อจฺจเยน ตสฺมิํ นคเร เสฎฺฐิฎฺฐานํ ปาปุณิฯ ตสฺมิํ สมเย ปญฺจวคฺคิยเตฺถรานํ อพฺภนฺตโร มหานามเตฺถโร นาม มจฺฉิกาสณฺฑนครํ อคมาสิฯ จิโตฺต คหปติ ตสฺส อิริยาปเถ ปสีทิตฺวา ปตฺตํ อาทาย เคหํ อาเนตฺวา ปิณฺฑปาเตน ปติมาเนตฺวา กตภตฺตกิจฺจํ อมฺพาฎการามํ นาม อุยฺยานํ เนตฺวา ตตฺถสฺส วสนฎฺฐานํ กาเรตฺวา นิพทฺธํ อตฺตโน เคเห ปิณฺฑปาตํ คเหตฺวา วสนตฺถาย ปฎิญฺญํ คณฺหิฯ เถโรปิ ตสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา ธมฺมํ เทเสโนฺต สฬายตนวิภตฺติเมว เทเสสิฯ จิโตฺต คหปติ ปุริมภเว มทฺทิตสงฺขารตาย นจิรเสฺสว อนาคามิผลํ สมฺปาปุณิฯ อเถกทิวสํ อิสิทตฺตเตฺถโร ตตฺถ คนฺตฺวา วิหรโนฺต เสฎฺฐิสฺส นิเวสเน ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน อายสฺมตา เถเรน ปญฺหํ วิสฺสเชฺชตุํ อสโกฺกเนฺตน อชฺฌิโฎฺฐ อุปาสกสฺส ปญฺหํ วิสฺสเชฺชตฺวา เตน ปุเพฺพ คิหิสหายกภาเว ญาเต ‘‘น อิทานิ อิธ วตฺถพฺพ’’นฺติ ยถาสุขํ ปกฺกามิฯ ปุเนกทิวสํ, เสฎฺฐิ คหปติ, มหานามเตฺถรํ อิทฺธิปาฎิหาริยกรณตฺถํ ยาจิ ฯ โสปิ ตสฺส เตโชสมาปตฺติปาฎิหาริยํ ทเสฺสตฺวา ‘‘อิทานิ อิธ วสิตุํ น ยุตฺต’’นฺติ ยถาสุขํ ปกฺกามิฯ

    So aparabhāge gharāvāse patiṭṭhito pitu accayena tasmiṃ nagare seṭṭhiṭṭhānaṃ pāpuṇi. Tasmiṃ samaye pañcavaggiyattherānaṃ abbhantaro mahānāmatthero nāma macchikāsaṇḍanagaraṃ agamāsi. Citto gahapati tassa iriyāpathe pasīditvā pattaṃ ādāya gehaṃ ānetvā piṇḍapātena patimānetvā katabhattakiccaṃ ambāṭakārāmaṃ nāma uyyānaṃ netvā tatthassa vasanaṭṭhānaṃ kāretvā nibaddhaṃ attano gehe piṇḍapātaṃ gahetvā vasanatthāya paṭiññaṃ gaṇhi. Theropi tassa upanissayaṃ disvā dhammaṃ desento saḷāyatanavibhattimeva desesi. Citto gahapati purimabhave madditasaṅkhāratāya nacirasseva anāgāmiphalaṃ sampāpuṇi. Athekadivasaṃ isidattatthero tattha gantvā viharanto seṭṭhissa nivesane bhattakiccapariyosāne āyasmatā therena pañhaṃ vissajjetuṃ asakkontena ajjhiṭṭho upāsakassa pañhaṃ vissajjetvā tena pubbe gihisahāyakabhāve ñāte ‘‘na idāni idha vatthabba’’nti yathāsukhaṃ pakkāmi. Punekadivasaṃ, seṭṭhi gahapati, mahānāmattheraṃ iddhipāṭihāriyakaraṇatthaṃ yāci . Sopi tassa tejosamāpattipāṭihāriyaṃ dassetvā ‘‘idāni idha vasituṃ na yutta’’nti yathāsukhaṃ pakkāmi.

    อเถกทิวสํ เทฺว อคฺคสาวกา ภิกฺขุสหสฺสปริวารา อมฺพาฎการามํ อคมํสุฯ เสฎฺฐิ คหปติ, เตสํ มหาสกฺการํ สเชฺชสิฯ สุธมฺมเตฺถโร ตํ อสหมาโน เสฎฺฐิํ ติลสงฺคุลิกาวาเทน ขุํเสตฺวา เตน ปณามิโต สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา โอวาทํ ลภิตฺวา ทสพลสฺส โอวาเท ฐิโต จิตฺตํ คหปติํ ขมาเปตฺวา ตเตฺถว อมฺพาฎการาเม วิหรโนฺต วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ตทา อุปาสโก จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ ทสพลํ อทิสฺวาว จิรํ วีตินาเมสิํ, สตฺถุ สนฺติกํ คจฺฉเนฺตน ปน อยุตฺตํ ตุจฺฉหเตฺถน คนฺตุ’’นฺติ ปญฺจหิ สกฎสเตหิ เตลมธุผาณิตาทีนิ อาทาย ‘‘เย ทสพลํ ปสฺสิตุกามา, เต มยา สทฺธิํ อาคจฺฉนฺตู’’ติ นคเร เภริํ จราเปตฺวา ทฺวีหิ ปุริสสหเสฺสหิ ปริวุโต สตฺถารํ ปสฺสิตุํ ปกฺกามิฯ ติํสโยชเน มเคฺค เทวตา ปณฺณาการํ อุปฎฺฐเปสุํฯ โส สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน สตฺถารํ วนฺทิ, ตสฺมิํ ขเณ อากาสา ปญฺจวณฺณานํ ปุปฺผานํ วสฺสํ วสฺสิฯ

    Athekadivasaṃ dve aggasāvakā bhikkhusahassaparivārā ambāṭakārāmaṃ agamaṃsu. Seṭṭhi gahapati, tesaṃ mahāsakkāraṃ sajjesi. Sudhammatthero taṃ asahamāno seṭṭhiṃ tilasaṅgulikāvādena khuṃsetvā tena paṇāmito satthu santikaṃ gantvā ovādaṃ labhitvā dasabalassa ovāde ṭhito cittaṃ gahapatiṃ khamāpetvā tattheva ambāṭakārāme viharanto vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi. Tadā upāsako cintesi – ‘‘ahaṃ dasabalaṃ adisvāva ciraṃ vītināmesiṃ, satthu santikaṃ gacchantena pana ayuttaṃ tucchahatthena gantu’’nti pañcahi sakaṭasatehi telamadhuphāṇitādīni ādāya ‘‘ye dasabalaṃ passitukāmā, te mayā saddhiṃ āgacchantū’’ti nagare bheriṃ carāpetvā dvīhi purisasahassehi parivuto satthāraṃ passituṃ pakkāmi. Tiṃsayojane magge devatā paṇṇākāraṃ upaṭṭhapesuṃ. So satthu santikaṃ gantvā pañcapatiṭṭhitena satthāraṃ vandi, tasmiṃ khaṇe ākāsā pañcavaṇṇānaṃ pupphānaṃ vassaṃ vassi.

    สตฺถา ตสฺส อชฺฌาสยวเสน สฬายตนวิภตฺติเมว กเถสิฯ ตสฺส อฑฺฒมาสมตฺตํ ทสพลสฺส ทานํ เทนฺตสฺสาปิ สกนิเวสนโต นีตานิ ตณฺฑุลเตลมธุผาณิตาทีนิ น ขียิํสุฯ ราชคหวาสิเกหิ ปหิตปณฺณากาโรว อลํ อโหสิฯ โส สตฺถารํ ปสฺสิตฺวา อตฺตโน นครํ คจฺฉโนฺต สกเฎหิ อาภตํ สพฺพํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อทาสิฯ สกเฎสุ ตุเจฺฉสุ ชาตมเตฺตเสฺวว เทวตา สตฺต รตนานิ ปูรยิํสุฯ มหาชนนฺตเร กถา อุทปาทิ ‘‘ยาว สกฺการสมฺมานปฺปโตฺต วตายํ จิโตฺต คหปตี’’ติฯ ตํ สุตฺวา สตฺถา ธมฺมปเท อิมํ คาถมาห –

    Satthā tassa ajjhāsayavasena saḷāyatanavibhattimeva kathesi. Tassa aḍḍhamāsamattaṃ dasabalassa dānaṃ dentassāpi sakanivesanato nītāni taṇḍulatelamadhuphāṇitādīni na khīyiṃsu. Rājagahavāsikehi pahitapaṇṇākārova alaṃ ahosi. So satthāraṃ passitvā attano nagaraṃ gacchanto sakaṭehi ābhataṃ sabbaṃ bhikkhusaṅghassa adāsi. Sakaṭesu tucchesu jātamattesveva devatā satta ratanāni pūrayiṃsu. Mahājanantare kathā udapādi ‘‘yāva sakkārasammānappatto vatāyaṃ citto gahapatī’’ti. Taṃ sutvā satthā dhammapade imaṃ gāthamāha –

    ‘‘สโทฺธ สีเลน สมฺปโนฺน, ยโส โภคสมปฺปิโต;

    ‘‘Saddho sīlena sampanno, yaso bhogasamappito;

    ยํ ยํ ปเทสํ ภชติ, ตตฺถ ตเตฺถว ปูชิโต’’ติฯ (ธ. ป. ๓๐๓);

    Yaṃ yaṃ padesaṃ bhajati, tattha tattheva pūjito’’ti. (dha. pa. 303);

    โส ตโต ปฎฺฐาย อริยสาวกานํเยว อุปาสกานํ ปญฺจหิ สเตหิ ปริวุโต วิจรติฯ อถ นํ สตฺถา อปรภาเค อุปาสเก ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต จิตฺตสํยุตฺตํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา ธมฺมกถิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    So tato paṭṭhāya ariyasāvakānaṃyeva upāsakānaṃ pañcahi satehi parivuto vicarati. Atha naṃ satthā aparabhāge upāsake paṭipāṭiyā ṭhānantare ṭhapento cittasaṃyuttaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā dhammakathikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    หตฺถกอาฬวกวตฺถุ

    Hatthakaāḷavakavatthu

    ๒๕๑. จตุเตฺถ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหีติ จตุพฺพิเธน สงฺคหวตฺถุนา ปริสํ สงฺคณฺหนฺตานํ หตฺถโก อาฬวโก อโคฺคติ ทเสฺสติฯ อยํ กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลฆเร นิพฺพโตฺต อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณโนฺต สตฺถารํ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ สมนฺนาคตํ เอกํ อุปาสกํ ฐานนฺตเร ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท อาฬวิรเฎฺฐ อาฬวินคเร อาฬวกสฺส รโญฺญ เคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, เสฺว ภตฺตจาฎิยา สทฺธิํ อาฬวกสฺส เปเสตโพฺพ อโหสิฯ

    251. Catutthe catūhi saṅgahavatthūhīti catubbidhena saṅgahavatthunā parisaṃ saṅgaṇhantānaṃ hatthako āḷavako aggoti dasseti. Ayaṃ kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulaghare nibbatto aparabhāge satthu dhammakathaṃ suṇanto satthāraṃ catūhi saṅgahavatthūhi samannāgataṃ ekaṃ upāsakaṃ ṭhānantare ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde āḷaviraṭṭhe āḷavinagare āḷavakassa rañño gehe paṭisandhiṃ gaṇhi, sve bhattacāṭiyā saddhiṃ āḷavakassa pesetabbo ahosi.

    ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – เอกทิวสํ กิร อาฬวโก ราชา มิควตฺถาย อรญฺญํ คนฺตฺวา เอกํ มิคํ อนุพนฺธิตฺวา ฆาเตตฺวา ฉินฺทิตฺวา ธนุโกฎิยํ ลเคตฺวา นิวเตฺตตฺวา อาคจฺฉโนฺต วาตาตเปน กิลนฺตกาโย เอกํ สนฺทจฺฉายํ นิโคฺรธรุกฺขมูลํ ปวิสิตฺวา นิสีทิฯ อถ นํ มุหุตฺตํ ทรถํ วิโนเทตฺวา นิกฺขมนฺตํ รุเกฺข อธิวตฺถา เทวตา ‘‘ติฎฺฐ ติฎฺฐ, ภโกฺขสิ เม’’ติ หเตฺถ คณฺหิฯ โส ทฬฺหํ คหิตตฺตา อญฺญํ อุปายํ อปสฺสโนฺต ‘‘เทวสิกํ เต เอเกกปุริเสน สทฺธิํ จาฎิภตฺตํ เปเสสฺสามี’’ติ วตฺวา นครํ คโตฯ ตโต ปฎฺฐาย พนฺธนาคารโต เอเกกมนุเสฺสน สทฺธิํ จาฎิภตฺตํ เปเสสิฯ เอเตเนว นิยาเมน พนฺธนาคาเร มนุเสฺสสุ ขีเณสุ ‘‘มหลฺลกมนุเสฺสสุ คยฺหมาเนสุ รฎฺฐโขโภ โหตี’’ติ เต อคฺคเหตฺวา ทหรกุมาเร คณฺหิตุํ อารภิํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย นคเร ทารกมาตโร จ คพฺภินิโย จ อญฺญํ รฎฺฐํ คจฺฉนฺติฯ

    Tatrāyaṃ anupubbikathā – ekadivasaṃ kira āḷavako rājā migavatthāya araññaṃ gantvā ekaṃ migaṃ anubandhitvā ghātetvā chinditvā dhanukoṭiyaṃ lagetvā nivattetvā āgacchanto vātātapena kilantakāyo ekaṃ sandacchāyaṃ nigrodharukkhamūlaṃ pavisitvā nisīdi. Atha naṃ muhuttaṃ darathaṃ vinodetvā nikkhamantaṃ rukkhe adhivatthā devatā ‘‘tiṭṭha tiṭṭha, bhakkhosi me’’ti hatthe gaṇhi. So daḷhaṃ gahitattā aññaṃ upāyaṃ apassanto ‘‘devasikaṃ te ekekapurisena saddhiṃ cāṭibhattaṃ pesessāmī’’ti vatvā nagaraṃ gato. Tato paṭṭhāya bandhanāgārato ekekamanussena saddhiṃ cāṭibhattaṃ pesesi. Eteneva niyāmena bandhanāgāre manussesu khīṇesu ‘‘mahallakamanussesu gayhamānesu raṭṭhakhobho hotī’’ti te aggahetvā daharakumāre gaṇhituṃ ārabhiṃsu. Tato paṭṭhāya nagare dārakamātaro ca gabbhiniyo ca aññaṃ raṭṭhaṃ gacchanti.

    ตสฺมิํ สมเย สตฺถา ปจฺจูสสมยเนฺต โลกํ โวโลเกโนฺต อาฬวกกุมารสฺส ติณฺณํ มคฺคผลานํ อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา ‘‘อยํ กุมาโร กปฺปสตสหสฺสํ ปตฺถิตปตฺถโน เทวโลกา จวิตฺวา อาฬวกรโญฺญ เคเห นิพฺพโตฺต, อญฺญํ กุมารํ อลภนฺตา เสฺว กุมารํ จาฎิภเตฺตน สทฺธิํ คเหตฺวา คจฺฉิสฺสนฺตี’’ติ จิเนฺตตฺวา สายนฺหสมเย อญฺญาตกเวเสน อาฬวกสฺส ยกฺขสฺส ภวนทฺวารํ คนฺตฺวา ตสฺส โทวาริกํ คทฺรภํ นาม ยกฺขํ ภวนํ ปวิสนตฺถาย ยาจิฯ โส อาห – ‘‘ภควา ตุเมฺห ปวิสถ, มยฺหํ ปน อาฬวกสฺส อนาโรจนํ นาม อยุตฺต’’นฺติฯ โส หิมวเนฺต ยกฺขสมาคมํ คตสฺส อาฬวกสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ สตฺถาปิ ตํ ภวนํ ปวิสิตฺวา อาฬวกสฺส นิสีทนปลฺลเงฺก นิสีทิฯ

    Tasmiṃ samaye satthā paccūsasamayante lokaṃ volokento āḷavakakumārassa tiṇṇaṃ maggaphalānaṃ upanissayaṃ disvā ‘‘ayaṃ kumāro kappasatasahassaṃ patthitapatthano devalokā cavitvā āḷavakarañño gehe nibbatto, aññaṃ kumāraṃ alabhantā sve kumāraṃ cāṭibhattena saddhiṃ gahetvā gacchissantī’’ti cintetvā sāyanhasamaye aññātakavesena āḷavakassa yakkhassa bhavanadvāraṃ gantvā tassa dovārikaṃ gadrabhaṃ nāma yakkhaṃ bhavanaṃ pavisanatthāya yāci. So āha – ‘‘bhagavā tumhe pavisatha, mayhaṃ pana āḷavakassa anārocanaṃ nāma ayutta’’nti. So himavante yakkhasamāgamaṃ gatassa āḷavakassa santikaṃ agamāsi. Satthāpi taṃ bhavanaṃ pavisitvā āḷavakassa nisīdanapallaṅke nisīdi.

    ตสฺมิํ สมเย สาตาคิรเหมวตา อาฬวกสฺส ภวนมตฺถเกน ยกฺขสมาคมํ คจฺฉนฺตา อตฺตโน คมเน อสมฺปชฺชมาเน ‘‘กิํ นุ โข การณ’’นฺติ อาวเชฺชนฺตา สตฺถารํ อาฬวกสฺส ภวเน นิสินฺนํ ทิสฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ยกฺขสมาคมํ คนฺตฺวา อาฬวกสฺส ตุฎฺฐิํ ปเวทยิํสุ – ‘‘ลาภา เต, อาวุโส อาฬวก, ยสฺส เต สเทวเก โลเก อคฺคปุคฺคโล ภวเน นิสิโนฺน , คนฺตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุณาหี’’ติฯ โส เตสํ กถํ สุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม เอกสฺส มุณฺฑกสมณสฺส มม ปลฺลเงฺก นิสินฺนภาวํ กเถนฺตี’’ติ อนตฺตมโน โกธาภิภูโต หุตฺวา ‘‘อชฺช มยฺหํ เอเตน สมเณน สทฺธิํ สงฺคาโม ภวิสฺสติ, ตตฺถ เม สหายา นาม โหถา’’ติ ทกฺขิณปาทํ อุกฺขิปิตฺวา สฎฺฐิโยชนมตฺตํ ปพฺพตกูฎํ อกฺกมิ, ตํ ภิชฺชิตฺวา ทฺวิธา อโหสิฯ อิโต ปฎฺฐาย อาฬวกยุทฺธํ วิตฺถาเรตพฺพํฯ อาฬวโก ปน สพฺพรตฺติํ ตถาคเตน สทฺธิํ นานปฺปกาเรน ยุชฺฌโนฺตปิ กิญฺจิ กาตุํ อสโกฺกโนฺต สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา อฎฺฐ ปเญฺห ปุจฺฉิ, สตฺถา วิสฺสเชฺชสิ ฯ เทสนาปริโยสาเน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ วิตฺถาเรตฺวา กเถตุกาเมน อาฬวกสุตฺตวณฺณนา (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๔๖) โอโลเกตพฺพาฯ

    Tasmiṃ samaye sātāgirahemavatā āḷavakassa bhavanamatthakena yakkhasamāgamaṃ gacchantā attano gamane asampajjamāne ‘‘kiṃ nu kho kāraṇa’’nti āvajjentā satthāraṃ āḷavakassa bhavane nisinnaṃ disvā satthu santikaṃ gantvā vanditvā yakkhasamāgamaṃ gantvā āḷavakassa tuṭṭhiṃ pavedayiṃsu – ‘‘lābhā te, āvuso āḷavaka, yassa te sadevake loke aggapuggalo bhavane nisinno , gantvā satthu santike dhammaṃ suṇāhī’’ti. So tesaṃ kathaṃ sutvā cintesi – ‘‘ime ekassa muṇḍakasamaṇassa mama pallaṅke nisinnabhāvaṃ kathentī’’ti anattamano kodhābhibhūto hutvā ‘‘ajja mayhaṃ etena samaṇena saddhiṃ saṅgāmo bhavissati, tattha me sahāyā nāma hothā’’ti dakkhiṇapādaṃ ukkhipitvā saṭṭhiyojanamattaṃ pabbatakūṭaṃ akkami, taṃ bhijjitvā dvidhā ahosi. Ito paṭṭhāya āḷavakayuddhaṃ vitthāretabbaṃ. Āḷavako pana sabbarattiṃ tathāgatena saddhiṃ nānappakārena yujjhantopi kiñci kātuṃ asakkonto satthāraṃ upasaṅkamitvā aṭṭha pañhe pucchi, satthā vissajjesi . Desanāpariyosāne sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Vitthāretvā kathetukāmena āḷavakasuttavaṇṇanā (saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.246) oloketabbā.

    ปุนทิวเส อุฎฺฐิเต อรุเณ จาฎิภตฺตาหรณเวลาย สกลนคเร คเหตพฺพยุตฺตํ ทารกํ อทิสฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา อาห – ‘‘คณฺหิตุํ อยุตฺตฎฺฐาเน ปน อตฺถิ, ตาตา’’ติฯ อาม, เทว, อชฺช ราชกุเล ปุโตฺต ชาโตติฯ คจฺฉถ, ตาตา, มยํ ชีวนฺตา ปุตฺตํ ลภิสฺสาม, จาฎิภเตฺตน นํ เปเสถาติฯ เต เทวิยา วิกฺกนฺทมานาย ทารกํ คเหตฺวา จาฎิภเตฺตน สทฺธิํ อาฬวกสฺส ภวนทฺวารํ คนฺตฺวา ‘‘หนฺท, อยฺย, ตว ภาคํ ปฎิจฺฉาหี’’ติ อาหํสุฯ อาฬวโก เตสํ กถํ สุตฺวา อริยสาวกตฺตา ลชฺชมาโน อโธมุโข นิสีทิฯ อถ นํ สตฺถา อาห – ‘‘อิทานิ เต, อาฬวก, ลชฺชนกิจฺจํ นตฺถิ, ทารกํ คเหตฺวา มม หเตฺถ ฐเปหี’’ติฯ เต ราชปุริสา อาฬวกกุมารํ อาฬวกสฺส หเตฺถ ฐเปสุํ, อาฬวโก ตํ อาทาย ทสพลสฺส หเตฺถ ฐเปสิ, สตฺถา ปฎิคฺคณฺหิตฺวา ปุน อาฬวกสฺส หเตฺถ ฐเปสิ, อาฬวโก ตํ คเหตฺวา ราชปุริสานํ หเตฺถ ฐเปสิฯ อิติสฺส หตฺถโต หตฺถํ คตตฺตา ‘‘หตฺถโก อาฬวโก’’เตฺวว นามํ อกํสุฯ

    Punadivase uṭṭhite aruṇe cāṭibhattāharaṇavelāya sakalanagare gahetabbayuttaṃ dārakaṃ adisvā rañño ārocesuṃ. Rājā āha – ‘‘gaṇhituṃ ayuttaṭṭhāne pana atthi, tātā’’ti. Āma, deva, ajja rājakule putto jātoti. Gacchatha, tātā, mayaṃ jīvantā puttaṃ labhissāma, cāṭibhattena naṃ pesethāti. Te deviyā vikkandamānāya dārakaṃ gahetvā cāṭibhattena saddhiṃ āḷavakassa bhavanadvāraṃ gantvā ‘‘handa, ayya, tava bhāgaṃ paṭicchāhī’’ti āhaṃsu. Āḷavako tesaṃ kathaṃ sutvā ariyasāvakattā lajjamāno adhomukho nisīdi. Atha naṃ satthā āha – ‘‘idāni te, āḷavaka, lajjanakiccaṃ natthi, dārakaṃ gahetvā mama hatthe ṭhapehī’’ti. Te rājapurisā āḷavakakumāraṃ āḷavakassa hatthe ṭhapesuṃ, āḷavako taṃ ādāya dasabalassa hatthe ṭhapesi, satthā paṭiggaṇhitvā puna āḷavakassa hatthe ṭhapesi, āḷavako taṃ gahetvā rājapurisānaṃ hatthe ṭhapesi. Itissa hatthato hatthaṃ gatattā ‘‘hatthako āḷavako’’tveva nāmaṃ akaṃsu.

    อถ นํ เต ราชปุริสา ตุฎฺฐมานสา อาทาย รโญฺญ สนฺติกํ อคมํสุฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ‘‘อชฺช จาฎิภตฺตํ น สมฺปฎิจฺฉตี’’ติ สญฺญํ กตฺวา ‘‘กสฺมา, ตาตา, เอวเมว อาคตตฺถา’’ติ อาหฯ เทว, ราชกุลสฺส ตุฎฺฐิ จ วฑฺฒิ จ, สตฺถา อาฬวกสฺส ภวเน นิสีทิตฺวา อาฬวกํ ทเมตฺวา อุปาสกเตฺต ปติฎฺฐาเปตฺวา กุมารํ อมฺหากํ ทาเปสีติฯ สตฺถาปิ อาฬวกํ ปตฺตจีวรํ คาหาเปตฺวา อาฬวินคราภิมุโข ปายาสิฯ โส นครํ อุปสงฺกมโนฺต ลชฺชิตฺวาว โอสกฺกติฯ สตฺถา นํ โอโลเกตฺวา ‘‘ลชฺชสิ, อาฬวกา’’ติ ปุจฺฉิฯ อาม, ภเนฺต, นครวาสิโน มํ นิสฺสาย มาติมรณํ ปิติมรณํ ปุตฺตทารมรณญฺจ ปาปุณิํสุฯ เต มํ ปสฺสิตฺวา ทเณฺฑหิปิ เลฑฺฑูหิปิ ปหริสฺสนฺติฯ ตสฺมา โอสกฺกามิ, ภเนฺตติฯ ‘‘อาฬวก, นตฺถิ เต มยา สทฺธิํ คจฺฉนฺตสฺส ภยํ, วิสฺสโตฺถ เอหี’’ติ วตฺวา นครสฺส อวิทูเร ฐาเน วนสเณฺฑ อฎฺฐาสิฯ อาฬวกราชาปิ นาคเร คเหตฺวา สตฺถุ ปจฺจุคฺคมนํ คโตฯ สตฺถา สมฺปตฺตปริสาย ธมฺมํ เทเสสิ, เทสนาวสาเน จตุราสีติ ปาณสหสฺสานิ อมตปานํ ปิวิํสุฯ เต อาฬวกสฺส ตเตฺถว วสนฎฺฐานํ กตฺวา อนุสํวจฺฉรํ พลิกมฺมํ ปฎฺฐเปสุํฯ

    Atha naṃ te rājapurisā tuṭṭhamānasā ādāya rañño santikaṃ agamaṃsu. Rājā taṃ disvā ‘‘ajja cāṭibhattaṃ na sampaṭicchatī’’ti saññaṃ katvā ‘‘kasmā, tātā, evameva āgatatthā’’ti āha. Deva, rājakulassa tuṭṭhi ca vaḍḍhi ca, satthā āḷavakassa bhavane nisīditvā āḷavakaṃ dametvā upāsakatte patiṭṭhāpetvā kumāraṃ amhākaṃ dāpesīti. Satthāpi āḷavakaṃ pattacīvaraṃ gāhāpetvā āḷavinagarābhimukho pāyāsi. So nagaraṃ upasaṅkamanto lajjitvāva osakkati. Satthā naṃ oloketvā ‘‘lajjasi, āḷavakā’’ti pucchi. Āma, bhante, nagaravāsino maṃ nissāya mātimaraṇaṃ pitimaraṇaṃ puttadāramaraṇañca pāpuṇiṃsu. Te maṃ passitvā daṇḍehipi leḍḍūhipi paharissanti. Tasmā osakkāmi, bhanteti. ‘‘Āḷavaka, natthi te mayā saddhiṃ gacchantassa bhayaṃ, vissattho ehī’’ti vatvā nagarassa avidūre ṭhāne vanasaṇḍe aṭṭhāsi. Āḷavakarājāpi nāgare gahetvā satthu paccuggamanaṃ gato. Satthā sampattaparisāya dhammaṃ desesi, desanāvasāne caturāsīti pāṇasahassāni amatapānaṃ piviṃsu. Te āḷavakassa tattheva vasanaṭṭhānaṃ katvā anusaṃvaccharaṃ balikammaṃ paṭṭhapesuṃ.

    อาฬวโกปิ นาคเร ธมฺมิกาย รกฺขาย สงฺคณฺหิฯ โสปิ อาฬวกกุมาโร วุฑฺฒิปฺปโตฺต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ตีณิ มคฺคผลานิ ปฎิวิชฺฌิฯ โส สพฺพกาลํ อริยสาวกอุปาสกานํ ปญฺจหิ สเตหิ ปริวุโต จรติฯ อเถกทิวสํ เตหิ อุปาสเกหิ สทฺธิํ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ สตฺถา สุวินีตํ ปริสํ ทิสฺวา ‘‘มหตี เต, อาฬวก, ปริสา, กถํ ตํ สงฺคณฺหาสี’’ติ อาหฯ ภควา ทาเนน ตุสฺสนฺตํ ทาเนน สงฺคณฺหามิ, ปิยวจเนน ตุสฺสนฺตํ ปิยวจเนน สงฺคณฺหามิ, อุปฺปเนฺนสุ กิเจฺจสุ เตสํ นิตฺถรเณน ตุสฺสนฺตํ อุปฺปนฺนกิจฺจนิตฺถรเณน สงฺคณฺหามิ, สมานตฺตฎฺฐาเนน ตุสฺสนฺตํ สมานตฺตตาย สงฺคณฺหามีติฯ เอวเมตํ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ อถ สตฺถา อปรภาเค เชตวเน นิสีทิตฺวา อุปาสเก ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต หตฺถกํ อาฬวกํ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ ปริสํ สงฺคณฺหนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Āḷavakopi nāgare dhammikāya rakkhāya saṅgaṇhi. Sopi āḷavakakumāro vuḍḍhippatto satthu dhammadesanaṃ sutvā tīṇi maggaphalāni paṭivijjhi. So sabbakālaṃ ariyasāvakaupāsakānaṃ pañcahi satehi parivuto carati. Athekadivasaṃ tehi upāsakehi saddhiṃ satthu santikaṃ gantvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Satthā suvinītaṃ parisaṃ disvā ‘‘mahatī te, āḷavaka, parisā, kathaṃ taṃ saṅgaṇhāsī’’ti āha. Bhagavā dānena tussantaṃ dānena saṅgaṇhāmi, piyavacanena tussantaṃ piyavacanena saṅgaṇhāmi, uppannesu kiccesu tesaṃ nittharaṇena tussantaṃ uppannakiccanittharaṇena saṅgaṇhāmi, samānattaṭṭhānena tussantaṃ samānattatāya saṅgaṇhāmīti. Evametaṃ vatthu samuṭṭhitaṃ. Atha satthā aparabhāge jetavane nisīditvā upāsake ṭhānantaresu ṭhapento hatthakaṃ āḷavakaṃ catūhi saṅgahavatthūhi parisaṃ saṅgaṇhantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    มหานามสกฺกวตฺถุ

    Mahānāmasakkavatthu

    ๒๕๒. ปญฺจเม ปณีตทายกานนฺติ ปณีตรสทายกานํ มหานาโม สโกฺก อโคฺคติ ทเสฺสติฯ โส กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพโตฺต สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ อุปาสกํ ปณีตรสทายกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท กปิลวตฺถุปุเร สกฺยราชกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ทสพลสฺส ปฐมทสฺสเนเยว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ

    252. Pañcame paṇītadāyakānanti paṇītarasadāyakānaṃ mahānāmo sakko aggoti dasseti. So kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbatto satthu dhammakathaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ upāsakaṃ paṇītarasadāyakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde kapilavatthupure sakyarājakule nibbattitvā vayappatto dasabalassa paṭhamadassaneyeva sotāpattiphale patiṭṭhāsi.

    อเถกสฺมิํ สมเย สตฺถา เวรญฺชายํ วสฺสาวาสํ วสิตฺวา อนุปุเพฺพน กปิลวตฺถุปุรํ คนฺตฺวา นิโคฺรธาราเม ปฎิวสติฯ มหานาโม ‘‘สตฺถา อาคโต’’ติ สุตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน สตฺถารํ เอวมาห – ‘‘ภควา สุตเมตํ ‘ภิกฺขุสโงฺฆ กิร เวรญฺชายํ ภิกฺขาจาเรน กิลมตี’ติ, มม จตุมาสํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปฎิชคฺคเน ปฎิญฺญํ เทถ, อหํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส สรีเร โอชํ ปเวเสสฺสามี’’ติฯ สตฺถา อธิวาเสสิฯ โส สตฺถุ อธิวาสนํ วิทิตฺวา ปุนทิวสโต ปฎฺฐาย พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปณีตรสโภชนจตุมธุราทีหิ ปฎิชคฺคิตฺวา ปุน จตุมาสํ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา อฎฺฐ มาเส ปูเรตฺวา ปุน จตุมาสํ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา สกลสํวจฺฉรํ ปฎิชคฺคิฯ สตฺถา ตโต ปรํ ปฎิญฺญํ นาทาสิฯ มหานาโม ปน ตโต ปฎฺฐาย อปราปรํ สมฺปตฺตภิกฺขุสงฺฆสฺส เตเนว นิยาเมน สกฺการํ กโรติฯ ตสฺส โส คุโณ สกลชมฺพุทีเป ปากโฎ ชาโตฯ เอวเมตํ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ สตฺถา ปน อปรภาเค เชตวเน นิสีทิตฺวา มหานามํ สกฺกํ ปณีตทายกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Athekasmiṃ samaye satthā verañjāyaṃ vassāvāsaṃ vasitvā anupubbena kapilavatthupuraṃ gantvā nigrodhārāme paṭivasati. Mahānāmo ‘‘satthā āgato’’ti sutvā satthu santikaṃ gantvā abhivādetvā ekamantaṃ nisinno satthāraṃ evamāha – ‘‘bhagavā sutametaṃ ‘bhikkhusaṅgho kira verañjāyaṃ bhikkhācārena kilamatī’ti, mama catumāsaṃ bhikkhusaṅghassa paṭijaggane paṭiññaṃ detha, ahaṃ bhikkhusaṅghassa sarīre ojaṃ pavesessāmī’’ti. Satthā adhivāsesi. So satthu adhivāsanaṃ viditvā punadivasato paṭṭhāya buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ paṇītarasabhojanacatumadhurādīhi paṭijaggitvā puna catumāsaṃ paṭiññaṃ gahetvā aṭṭha māse pūretvā puna catumāsaṃ paṭiññaṃ gahetvā sakalasaṃvaccharaṃ paṭijaggi. Satthā tato paraṃ paṭiññaṃ nādāsi. Mahānāmo pana tato paṭṭhāya aparāparaṃ sampattabhikkhusaṅghassa teneva niyāmena sakkāraṃ karoti. Tassa so guṇo sakalajambudīpe pākaṭo jāto. Evametaṃ vatthu samuṭṭhitaṃ. Satthā pana aparabhāge jetavane nisīditvā mahānāmaṃ sakkaṃ paṇītadāyakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    อุคฺคคหปติวตฺถุ

    Uggagahapativatthu

    ๒๕๓. ฉเฎฺฐ มนาปทายกานนฺติ มนาปํ จิตฺตรุจิตโภชนํ ทายกานํ อุโคฺค คหปติ, เวสาลิโก อโคฺคติ ทเสฺสติฯ โส กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพโตฺต อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ อุปาสกํ มนาปทายกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท เวสาลิยํ เสฎฺฐิกุเล นิพฺพตฺติฯ ตสฺส ชาตกาเล นามํ อนิยามิตํฯ อปรภาเค ปนสฺส อตฺตภาโวปิ อุคฺคโต อโหสิ สมิโทฺธ, อลงฺกตโตรณํ วิย อุสฺสิตจิตฺตปโฎ วิย จ อติวิโรจิตฺถฯ คุณาปิสฺส อุคฺคตา อเหสุํฯ โส อิเมสํ ทฺวินฺนมฺปิ อุคฺคตตฺตา อุคฺคเสฎฺฐิเตฺวว สงฺขํ คโตฯ โส ปนายํ ทสพลสฺส ปฐมทสฺสเนเยว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย อปรภาเค ตีณิปิ มคฺคผลานิ สจฺฉากาสิฯ โส อตฺตโน มหลฺลกกาเล รโหคโต นิสีทิตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘ยํ ยํ มยฺหํ ปิยํ มนาปํ, ตํ ตเทว ทสพลสฺส ทสฺสามิ, อิทํ เม สตฺถุ สมฺมุขาปิ สุตํ ‘มนาปทายี ลภเต มนาป’’’นฺติฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อปิ นุ โข เม จิตฺตํ ชานิตฺวา สตฺถาปิ นิเวสนทฺวารํ อาคเจฺฉยฺยา’’ติฯ

    253. Chaṭṭhe manāpadāyakānanti manāpaṃ cittarucitabhojanaṃ dāyakānaṃ uggo gahapati, vesāliko aggoti dasseti. So kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbatto aparabhāge satthu dhammakathaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ upāsakaṃ manāpadāyakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde vesāliyaṃ seṭṭhikule nibbatti. Tassa jātakāle nāmaṃ aniyāmitaṃ. Aparabhāge panassa attabhāvopi uggato ahosi samiddho, alaṅkatatoraṇaṃ viya ussitacittapaṭo viya ca ativirocittha. Guṇāpissa uggatā ahesuṃ. So imesaṃ dvinnampi uggatattā uggaseṭṭhitveva saṅkhaṃ gato. So panāyaṃ dasabalassa paṭhamadassaneyeva sotāpattiphale patiṭṭhāya aparabhāge tīṇipi maggaphalāni sacchākāsi. So attano mahallakakāle rahogato nisīditvā cintesi – ‘‘yaṃ yaṃ mayhaṃ piyaṃ manāpaṃ, taṃ tadeva dasabalassa dassāmi, idaṃ me satthu sammukhāpi sutaṃ ‘manāpadāyī labhate manāpa’’’nti. Athassa etadahosi – ‘‘api nu kho me cittaṃ jānitvā satthāpi nivesanadvāraṃ āgaccheyyā’’ti.

    สตฺถาปิ โข ตสฺส จิตฺตํ ญตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต นิเวสนทฺวาเรเยว ปาตุรโหสิฯ โส ‘‘สตฺถา อาคโต’’ติ สุตฺวา อติวิย อุสฺสาหชาโต ทสพลสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา สตฺถุ ปตฺตํ ปฎิคฺคเหตฺวา ฆรํ ปเวเสตฺวา ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน สตฺถารํ, อวเสสอาสเนสุ ภิกฺขุสงฺฆํ นิสีทาเปตฺวา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นานคฺครเสหิ ปริวิสิตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา เอวมาห – ‘‘สมฺมุขา เมตํ, ภเนฺต, ภควโต สุตํ สมฺมุขา ปฎิคฺคหิตํ ‘มนาปทายี ลภเต มนาป’’’นฺติฯ ยํ ยํ, ภเนฺต, มยฺหํ มนาปํ, ตํ ตํ มยา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทินฺนเมวา’’ติ สตฺถารํ ชานาเปตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ยํ ยํ ตสฺส มนาปํ, ตํ ตํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส เทติฯ ตํ ปน สพฺพํ ปญฺจกนิปาเต อุคฺคสุเตฺต วิตฺถารโต อาคมิสฺสติฯ เอวเมตํ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ สตฺถา อปรภาเค เชตวเน วิหรโนฺต ตํ อุปาสกํ มนาปทายกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Satthāpi kho tassa cittaṃ ñatvā bhikkhusaṅghaparivuto nivesanadvāreyeva pāturahosi. So ‘‘satthā āgato’’ti sutvā ativiya ussāhajāto dasabalassa santikaṃ gantvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā satthu pattaṃ paṭiggahetvā gharaṃ pavesetvā paññattavarabuddhāsane satthāraṃ, avasesaāsanesu bhikkhusaṅghaṃ nisīdāpetvā buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nānaggarasehi parivisitvā bhattakiccapariyosāne ekamantaṃ nisīditvā evamāha – ‘‘sammukhā metaṃ, bhante, bhagavato sutaṃ sammukhā paṭiggahitaṃ ‘manāpadāyī labhate manāpa’’’nti. Yaṃ yaṃ, bhante, mayhaṃ manāpaṃ, taṃ taṃ mayā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa dinnamevā’’ti satthāraṃ jānāpetvā tato paṭṭhāya yaṃ yaṃ tassa manāpaṃ, taṃ taṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa deti. Taṃ pana sabbaṃ pañcakanipāte uggasutte vitthārato āgamissati. Evametaṃ vatthu samuṭṭhitaṃ. Satthā aparabhāge jetavane viharanto taṃ upāsakaṃ manāpadāyakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    อุคฺคตคหปติวตฺถุ

    Uggatagahapativatthu

    ๒๕๔. สตฺตเม สงฺฆุปฎฺฐากานนฺติ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อุปฎฺฐากานํ หตฺถิคามโก อุคฺคโต คหปติ, อโคฺคติ ทเสฺสติฯ โสปิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพโตฺต อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา สตฺถารํ เอกํ อุปาสกํ สงฺฆุปฎฺฐากานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท หตฺถิคาเม เสฎฺฐิกุเล นิพฺพตฺติ, ตสฺส อุคฺคตกุมาโรติ นามํ อกํสุฯ

    254. Sattame saṅghupaṭṭhākānanti bhikkhusaṅghassa upaṭṭhākānaṃ hatthigāmako uggato gahapati, aggoti dasseti. Sopi padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbatto aparabhāge satthu dhammadesanaṃ sutvā satthāraṃ ekaṃ upāsakaṃ saṅghupaṭṭhākānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde hatthigāme seṭṭhikule nibbatti, tassa uggatakumāroti nāmaṃ akaṃsu.

    โส อปรภาเค ฆราวาเส ปติฎฺฐิโต ปิตุ อจฺจเยน เสฎฺฐิฎฺฐานํ ปาปุณิฯ เตน สมเยน สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต จาริกํ จรโนฺต หตฺถิคามํ ปตฺวา นาควนุยฺยาเน วิหรติฯ ตทา อยํ อุคฺคตเสฎฺฐิ สตฺตาหํ ปานมทมโตฺต หุตฺวา นาฎเกหิ ปริวุโต นาควนุยฺยานํ คนฺตฺวา ปริจารยมาโน ทสพลํ ทิสฺวา พลวหิโรตฺตปฺปํ ปจฺจุปฎฺฐาเปสิฯ อถสฺส สตฺถารํ อุปสงฺกมนฺตสฺส สโพฺพ สุรามโท อพฺภตฺถํ อคมาสิฯ โส สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ อถสฺส สตฺถา ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน ตีณิ มคฺคผลานิ ปฎิวิชฺฌิฯ ตโต ปฎฺฐาย นาฎกานิ ‘‘ตุเมฺห ยถาสุขํ คจฺฉถา’’ติ วิสฺสเชฺชตฺวา ทานาภิรโต หุตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานเมว เทติฯ เทวตา รตฺติภาคสมนนฺตเร อาคนฺตฺวา เสฎฺฐิสฺส อาโรเจนฺติ – ‘‘คหปติ, อสุโก ภิกฺขุ เตวิโชฺช, อสุโก ภิกฺขุ ฉฬภิโญฺญ, อสุโก สีลวา, อสุโก ทุสฺสีโล’’ติฯ โส ตาสํ วจนํ สุตฺวาปิ คุณํ ตาว ยถาภูตโต ชานาติ, เทยฺยธมฺมํ ปน สมจิเตฺตเนว เทติฯ สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิตฺวาปิ ตเมว คุณํ กเถติฯ อปรภาเค สตฺถา เชตวเน นิสีทิตฺวา ตํ คหปติํ สงฺฆุปฎฺฐากานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    So aparabhāge gharāvāse patiṭṭhito pitu accayena seṭṭhiṭṭhānaṃ pāpuṇi. Tena samayena satthā bhikkhusaṅghaparivuto cārikaṃ caranto hatthigāmaṃ patvā nāgavanuyyāne viharati. Tadā ayaṃ uggataseṭṭhi sattāhaṃ pānamadamatto hutvā nāṭakehi parivuto nāgavanuyyānaṃ gantvā paricārayamāno dasabalaṃ disvā balavahirottappaṃ paccupaṭṭhāpesi. Athassa satthāraṃ upasaṅkamantassa sabbo surāmado abbhatthaṃ agamāsi. So satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Athassa satthā dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne tīṇi maggaphalāni paṭivijjhi. Tato paṭṭhāya nāṭakāni ‘‘tumhe yathāsukhaṃ gacchathā’’ti vissajjetvā dānābhirato hutvā bhikkhusaṅghassa dānameva deti. Devatā rattibhāgasamanantare āgantvā seṭṭhissa ārocenti – ‘‘gahapati, asuko bhikkhu tevijjo, asuko bhikkhu chaḷabhiñño, asuko sīlavā, asuko dussīlo’’ti. So tāsaṃ vacanaṃ sutvāpi guṇaṃ tāva yathābhūtato jānāti, deyyadhammaṃ pana samacitteneva deti. Satthu santike nisīditvāpi tameva guṇaṃ katheti. Aparabhāge satthā jetavane nisīditvā taṃ gahapatiṃ saṅghupaṭṭhākānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    สูรมฺพฎฺฐวตฺถุ

    Sūrambaṭṭhavatthu

    ๒๕๕. อฎฺฐเม อเวจฺจปฺปสนฺนานนฺติ อวิคจฺฉนสภาเวน อจเลน ปสาเทน สมนฺนาคตานํ สูรมฺพโฎฺฐ อโคฺคติ ทเสฺสติฯ อยํ กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพโตฺต สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา สตฺถารํ เอกํ อุปาสกํ อเวจฺจปฺปสนฺนานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ เสฎฺฐิกุเล นิพฺพตฺติ, สูรมฺพโฎฺฐติสฺส นามํ อกํสุฯ

    255. Aṭṭhame aveccappasannānanti avigacchanasabhāvena acalena pasādena samannāgatānaṃ sūrambaṭṭho aggoti dasseti. Ayaṃ kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbatto satthu dhammakathaṃ sutvā satthāraṃ ekaṃ upāsakaṃ aveccappasannānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ seṭṭhikule nibbatti, sūrambaṭṭhotissa nāmaṃ akaṃsu.

    โส อปรภาเค วยปฺปโตฺต ฆราวาเส ปติฎฺฐาย อญฺญติตฺถิยานํ อุปฎฺฐาโก หุตฺวา จรติฯ อถ สตฺถา ปจฺจูสสมเย โลกํ โวโลเกโนฺต ตสฺส โสตาปตฺติมคฺคเหตุํ ทิสฺวา ภิกฺขาจารเวลาย นิเวสนทฺวารํ อคมาสิฯ โส ทสพลํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘สมโณ โคตโม มหากุเล เจว ชาโต, โลเก จ อภิญฺญาโต, เตนสฺส สนฺติกํ อคมนํ นาม น ยุตฺต’’นฺติ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปาเทสุ วนฺทิตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา ฆรํ ปเวเสตฺวา มหารเห ปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา ภิกฺขํ ทตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน เอกมนฺตํ นิสีทิฯ สตฺถา ตสฺส จริตวเสน ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ สตฺถาปิ ตํ ทเมตฺวา วิหารเมว คโตฯ

    So aparabhāge vayappatto gharāvāse patiṭṭhāya aññatitthiyānaṃ upaṭṭhāko hutvā carati. Atha satthā paccūsasamaye lokaṃ volokento tassa sotāpattimaggahetuṃ disvā bhikkhācāravelāya nivesanadvāraṃ agamāsi. So dasabalaṃ disvā cintesi – ‘‘samaṇo gotamo mahākule ceva jāto, loke ca abhiññāto, tenassa santikaṃ agamanaṃ nāma na yutta’’nti satthu santikaṃ gantvā pādesu vanditvā pattaṃ gahetvā gharaṃ pavesetvā mahārahe pallaṅke nisīdāpetvā bhikkhaṃ datvā bhattakiccapariyosāne ekamantaṃ nisīdi. Satthā tassa caritavasena dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne sotāpattiphale patiṭṭhahi. Satthāpi taṃ dametvā vihārameva gato.

    ตโต มาโร จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ สูรมฺพโฎฺฐ นาม อมฺหากํ สนฺตโก, สตฺถา ปนสฺส อชฺช เคหํ คโต, กิํ นุ โข สตฺถุ ธมฺมํ สุตฺวา มคฺคปาตุภาวํ อกริตฺถาติ ยาวสฺส มม วิสยา อติกฺกนฺตภาวํ วา อนติกฺกนฺตภาวํ วา ชานามี’’ติ อตฺตโน กามรูปิตาย ทสพลสฺส สริกฺขกํ รูปํ มาเปตฺวา จีวรคฺคหณมฺปิ ปตฺตคฺคหณมฺปิ พุทฺธากเปฺปเนว กตฺวา ทฺวตฺติํสลกฺขณธโร หุตฺวา สูรมฺพฎฺฐสฺส เคหทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ สูรมฺพโฎฺฐปิ ‘‘ปุน ทสพโล อาคโต’’ติ สุตฺวา ‘‘พุทฺธานํ อนิยฺยานิกคมนํ นาม นตฺถิ, เกน นุ โข การเณน อาคโต’’ติ เวเคน ‘‘ทสพโล’’ติ สญฺญาย ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต, ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห อิทาเนว อิมสฺมิํ เคเห ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา คตา, กิํ นุ โข การณํ ปฎิจฺจ ปุน อาคตตฺถา’’ติ อาหฯ ‘‘สูรมฺพฎฺฐ มยา ธมฺมํ กเถเนฺตน เอกํ อนุปธาเรตฺวา กถิตํฯ มยา หิ ปญฺจกฺขนฺธา ‘สเพฺพว อนิจฺจา ทุกฺขา อนตฺตา’ติ กถิตา, น ปเนเต สเพฺพว เอวรูปาฯ เอกเจฺจ หิ ขนฺธา นิจฺจา ธุวา สสฺสตา อตฺถี’’ติ อาหฯ

    Tato māro cintesi – ‘‘ayaṃ sūrambaṭṭho nāma amhākaṃ santako, satthā panassa ajja gehaṃ gato, kiṃ nu kho satthu dhammaṃ sutvā maggapātubhāvaṃ akaritthāti yāvassa mama visayā atikkantabhāvaṃ vā anatikkantabhāvaṃ vā jānāmī’’ti attano kāmarūpitāya dasabalassa sarikkhakaṃ rūpaṃ māpetvā cīvaraggahaṇampi pattaggahaṇampi buddhākappeneva katvā dvattiṃsalakkhaṇadharo hutvā sūrambaṭṭhassa gehadvāre aṭṭhāsi. Sūrambaṭṭhopi ‘‘puna dasabalo āgato’’ti sutvā ‘‘buddhānaṃ aniyyānikagamanaṃ nāma natthi, kena nu kho kāraṇena āgato’’ti vegena ‘‘dasabalo’’ti saññāya tassa santikaṃ gantvā abhivādetvā ekamantaṃ ṭhito, ‘‘bhante, tumhe idāneva imasmiṃ gehe bhattakiccaṃ katvā gatā, kiṃ nu kho kāraṇaṃ paṭicca puna āgatatthā’’ti āha. ‘‘Sūrambaṭṭha mayā dhammaṃ kathentena ekaṃ anupadhāretvā kathitaṃ. Mayā hi pañcakkhandhā ‘sabbeva aniccā dukkhā anattā’ti kathitā, na panete sabbeva evarūpā. Ekacce hi khandhā niccā dhuvā sassatā atthī’’ti āha.

    ตโต สูรมฺพโฎฺฐ จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ กถา อติวิย ภาริยาฯ พุทฺธานญฺหิ อนุปธาเรตฺวา กถนํ นาม นตฺถิ, ทสพลสฺส มาโร กิร ปฎิปโกฺข, อทฺธา อยํ มาโร ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา – ‘‘มาโรสิ ตฺว’’นฺติ อาหฯ อริยสาวเกน กถิตกถา ตสฺส ผรสุปฺปหาโร วิย อโหสิ, ตสฺมา สกภาเวน ฐาตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘อาม, สูรมฺพฎฺฐ, อหํ มาโร’’ติ อาหฯ ‘‘ตาทิสานํ มารานํ สตมฺปิ สหสฺสมฺปิ อาคนฺตฺวา มม สทฺธํ จาเลตุํ น สโกฺกติ, มหาโคตโม ทสพโล มยฺหํ ธมฺมํ เทเสโนฺต ‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา’ติ โพเธตฺวา เทเสสิ, มา เม ฆรทฺวาเร ติฎฺฐา’’ติ อจฺฉรํ ปหริฯ มาโร ตสฺส วจนํ สุตฺวา ปฎิปฺผริตฺวา กเถตุํ อสโกฺกโนฺต ตเตฺถว อนฺตรธายิฯ สูรมฺพโฎฺฐปิ สายนฺหสมเย สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา มาเรน กตกิริยํ กเถตฺวา, ‘‘ภเนฺต, เอวํ มาโร มม สทฺธํ จาเลตุํ วายมิตฺถา’’ติ อาหฯ สตฺถา เอตเทว การณํ อฎฺฐุปตฺติํ กตฺวา อิมสฺมิํ สาสเน สูรมฺพฎฺฐํ อเวจฺจปฺปสนฺนานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Tato sūrambaṭṭho cintesi – ‘‘ayaṃ kathā ativiya bhāriyā. Buddhānañhi anupadhāretvā kathanaṃ nāma natthi, dasabalassa māro kira paṭipakkho, addhā ayaṃ māro bhavissatī’’ti cintetvā – ‘‘mārosi tva’’nti āha. Ariyasāvakena kathitakathā tassa pharasuppahāro viya ahosi, tasmā sakabhāvena ṭhātuṃ asakkonto ‘‘āma, sūrambaṭṭha, ahaṃ māro’’ti āha. ‘‘Tādisānaṃ mārānaṃ satampi sahassampi āgantvā mama saddhaṃ cāletuṃ na sakkoti, mahāgotamo dasabalo mayhaṃ dhammaṃ desento ‘sabbe saṅkhārā aniccā’ti bodhetvā desesi, mā me gharadvāre tiṭṭhā’’ti accharaṃ pahari. Māro tassa vacanaṃ sutvā paṭippharitvā kathetuṃ asakkonto tattheva antaradhāyi. Sūrambaṭṭhopi sāyanhasamaye satthu santikaṃ gantvā mārena katakiriyaṃ kathetvā, ‘‘bhante, evaṃ māro mama saddhaṃ cāletuṃ vāyamitthā’’ti āha. Satthā etadeva kāraṇaṃ aṭṭhupattiṃ katvā imasmiṃ sāsane sūrambaṭṭhaṃ aveccappasannānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ชีวกวตฺถุ

    Jīvakavatthu

    ๒๕๖. นวเม ปุคฺคลปฺปสนฺนานนฺติ ปุคฺคลิยปฺปสาเทน สมนฺนาคตานํ อุปาสกานํ ชีวโก โกมารภโจฺจ อโคฺคติ ทเสฺสติฯ โส หิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพโตฺต ฯ สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ อุปาสกํ ปุคฺคลปฺปสนฺนานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ราชคหนคเร อภยราชกุมารํ ปฎิจฺจ สาลวติยา นาม รูปูปชีวินิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพโตฺตฯ รูปูปชีวินิโย จ นาม วิชาตกาเล สเจ ปุโตฺต โหติ, ฉเฑฺฑนฺติฯ สเจ ธีตา, ปฎิชคฺคนฺติฯ อิติ สา ตํ ทารกํ กตฺตรสุปฺปเกน สงฺการกูเฎ ฉฑฺฑาเปสิฯ อถ นํ อภโย ราชกุมาโร ราชุปฎฺฐานํ คจฺฉโนฺต ตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ, ภเณ, เอตํ กาเกหิ สมฺปริกิณฺณ’’นฺติ มนุเสฺส เปเสตฺวา ‘‘ทารโก เทวา’’ติฯ ชีวติ, ภเณติ, ‘‘ชีวติ, เทวา’’ติ สุตฺวา อตฺตโน อเนฺตปุเร โปสาเปสิฯ ตสฺส ชีวตีติ กถิตตฺตา ชีวโกติ นามํ อกํสุ, กุมาเรน โปสาปิโตติ โกมารภโจฺจติ นามํ อกํสุฯ

    256. Navame puggalappasannānanti puggaliyappasādena samannāgatānaṃ upāsakānaṃ jīvako komārabhacco aggoti dasseti. So hi padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbatto . Satthu dhammakathaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ upāsakaṃ puggalappasannānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde rājagahanagare abhayarājakumāraṃ paṭicca sālavatiyā nāma rūpūpajīviniyā kucchimhi nibbatto. Rūpūpajīviniyo ca nāma vijātakāle sace putto hoti, chaḍḍenti. Sace dhītā, paṭijagganti. Iti sā taṃ dārakaṃ kattarasuppakena saṅkārakūṭe chaḍḍāpesi. Atha naṃ abhayo rājakumāro rājupaṭṭhānaṃ gacchanto taṃ disvā ‘‘kiṃ, bhaṇe, etaṃ kākehi samparikiṇṇa’’nti manusse pesetvā ‘‘dārako devā’’ti. Jīvati, bhaṇeti, ‘‘jīvati, devā’’ti sutvā attano antepure posāpesi. Tassa jīvatīti kathitattā jīvakoti nāmaṃ akaṃsu, kumārena posāpitoti komārabhaccoti nāmaṃ akaṃsu.

    โส อตฺตโน โสฬสวสฺสุเทฺทสิกกาเล ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา เวชฺชสิปฺปํ อุคฺคณฺหิตฺวา พิมฺพิสารรโญฺญ สนฺติกา สกฺการํ ลภิตฺวา จณฺฑปโชฺชตสฺส รโญฺญ โรคํ ผาสุกํ อกาสิฯ โส ตสฺส ปญฺจ ตณฺฑุลสกฎสตานิ โสฬส กหาปณสหสฺสานิ ทุสฺสสหสฺสปริวารํ อนคฺฆํ สิเวยฺยกํ ทุสฺสยุคญฺจ เปเสสิฯ ตสฺมิํ สมเย สตฺถา ราชคหํ อุปนิสฺสาย คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเต วิหรติฯ ชีวโก สตฺถุ อุสฺสนฺนธาตุเก กาเย วิเรจนํ ทตฺวา เภสชฺชํ กโรโนฺต ‘‘จตฺตาโร ปจฺจยา มม สนฺตกาว โหนฺตู’’ติ สตฺถารํ อตฺตโน วิหาเร วสาเปตฺวา สตฺถุ เภสชฺชํ กตฺวา ตํ ทุสฺสยุคํ อุปเนตฺวา ‘‘อิทํ, ภเนฺต, ตุเมฺหเยว ปริโภคํ กโรถา’’ติ วตฺวา เตน สทฺธิํ ลทฺธํ ทุสฺสสหสฺสํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อทาสิฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาเรน ปน ชีวกวตฺถุ ขนฺธเก (มหาว. ๓๒๖ อาทโย) อาคตเมวฯ สตฺถา อปรภาเค เชตวเน วิหรโนฺต ชีวกํ โกมารภจฺจํ ปุคฺคลปฺปสนฺนานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    So attano soḷasavassuddesikakāle takkasilaṃ gantvā vejjasippaṃ uggaṇhitvā bimbisārarañño santikā sakkāraṃ labhitvā caṇḍapajjotassa rañño rogaṃ phāsukaṃ akāsi. So tassa pañca taṇḍulasakaṭasatāni soḷasa kahāpaṇasahassāni dussasahassaparivāraṃ anagghaṃ siveyyakaṃ dussayugañca pesesi. Tasmiṃ samaye satthā rājagahaṃ upanissāya gijjhakūṭe pabbate viharati. Jīvako satthu ussannadhātuke kāye virecanaṃ datvā bhesajjaṃ karonto ‘‘cattāro paccayā mama santakāva hontū’’ti satthāraṃ attano vihāre vasāpetvā satthu bhesajjaṃ katvā taṃ dussayugaṃ upanetvā ‘‘idaṃ, bhante, tumheyeva paribhogaṃ karothā’’ti vatvā tena saddhiṃ laddhaṃ dussasahassaṃ bhikkhusaṅghassa adāsi. Ayamettha saṅkhepo, vitthārena pana jīvakavatthu khandhake (mahāva. 326 ādayo) āgatameva. Satthā aparabhāge jetavane viharanto jīvakaṃ komārabhaccaṃ puggalappasannānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    นกุลปิตุคหปติวตฺถุ

    Nakulapitugahapativatthu

    ๒๕๗. ทสเม วิสฺสาสกานนฺติ วิสฺสาสิกกถํ กเถนฺตานํ อุปาสกานํ อนฺตเร, นกุลปิตา คหปติ, อโคฺคติ ทเสฺสติฯ โส กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพโตฺต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ อุปาสกํ วิสฺสาสกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ โส กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ภคฺครเฎฺฐ สุสุมารคิรินคเร เสฎฺฐิกุเล นิพฺพตฺติฯ สตฺถาปิ ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต จาริกํ จรมาโน ตํ นครํ ปตฺวา เภสกฬาวเน วิหรติฯ อถายํ, นกุลปิตา คหปติ, สุสุมารคิริวาสีหิ สทฺธิํ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปฐมทสฺสเนเนว โส จ ภริยา จสฺส ทสพลํ ‘‘อยํ อมฺหากํ ปุโตฺต’’ติ สญฺญํ ปฎฺฐเปตฺวา อุโภปิ สตฺถุ ปาเทสุ นิปติตฺวา, ‘‘ตาต, ตฺวํ เอตฺตกํ กาลํ อเมฺห ฉเฑฺฑตฺวา กหํ วิจรสี’’ติ อาหํสุฯ อยํ กิร, นกุลปิตา คหปติ, ปุเพฺพ ปญฺจ ชาติสตานิ ทสพลสฺส ปิตา อโหสิ, ปญฺจ ชาติสตานิ จูฬปิตา, ปญฺจ ชาติสตานิ มหาปิตา, ปญฺจ ชาติสตานิ มาตุโล, นกุลมาตาปิ ปญฺจ ชาติสตานิ มาตา อโหสิ, ปญฺจ ชาติสตานิ จูฬมาตา, ปญฺจ ชาติสตานิ มหามาตา, ปญฺจ ชาติสตานิ ปิตุจฺฉาฯ อิติ ทีฆรตฺตํ อนุคตสิเนหตฺตา ทสพลํ ทิสฺวาว ‘‘ปุโตฺต’’ติ สญฺญํ กตฺวา สณฺฐาตุํ นาสกฺขิํสุฯ สตฺถา ยาว เตสํ จิตฺตํ สญฺญตฺติํ น คจฺฉติ, ตาว ‘‘อเปถา’’ติ นาโวจฯ อถ เนสํ ยถามเนเนว สติํ ปฎิลภิตฺวา มชฺฌตฺตภูตานํ อาสยํ ญตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน อุโภปิ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ

    257. Dasame vissāsakānanti vissāsikakathaṃ kathentānaṃ upāsakānaṃ antare, nakulapitā gahapati, aggoti dasseti. So kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbatto satthu dhammadesanaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ upāsakaṃ vissāsakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. So kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde bhaggaraṭṭhe susumāragirinagare seṭṭhikule nibbatti. Satthāpi bhikkhusaṅghaparivuto cārikaṃ caramāno taṃ nagaraṃ patvā bhesakaḷāvane viharati. Athāyaṃ, nakulapitā gahapati, susumāragirivāsīhi saddhiṃ satthu santikaṃ gantvā paṭhamadassaneneva so ca bhariyā cassa dasabalaṃ ‘‘ayaṃ amhākaṃ putto’’ti saññaṃ paṭṭhapetvā ubhopi satthu pādesu nipatitvā, ‘‘tāta, tvaṃ ettakaṃ kālaṃ amhe chaḍḍetvā kahaṃ vicarasī’’ti āhaṃsu. Ayaṃ kira, nakulapitā gahapati, pubbe pañca jātisatāni dasabalassa pitā ahosi, pañca jātisatāni cūḷapitā, pañca jātisatāni mahāpitā, pañca jātisatāni mātulo, nakulamātāpi pañca jātisatāni mātā ahosi, pañca jātisatāni cūḷamātā, pañca jātisatāni mahāmātā, pañca jātisatāni pitucchā. Iti dīgharattaṃ anugatasinehattā dasabalaṃ disvāva ‘‘putto’’ti saññaṃ katvā saṇṭhātuṃ nāsakkhiṃsu. Satthā yāva tesaṃ cittaṃ saññattiṃ na gacchati, tāva ‘‘apethā’’ti nāvoca. Atha nesaṃ yathāmaneneva satiṃ paṭilabhitvā majjhattabhūtānaṃ āsayaṃ ñatvā dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne ubhopi sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu.

    สตฺถา อปรภาเค เตสํ มหลฺลกกาเล ปุน ตํ นครํ อคมาสิฯ เต ‘‘สตฺถา อาคโต’’ติ สุตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเส อตฺตโน นิเวสเน พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นานคฺครเสหิ ปริวิสิตฺวา สตฺถารํ กตภตฺตกิจฺจํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข นกุลปิตา คหปติ, ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘ยโต เม, ภเนฺต, นกุลมาตา คหปตานี, ทหรเสฺสว ทหรา อานีตา, นาภิชานามิ นกุลมาตรํ คหปตานิํ มนสาปิ อติจริตา, กุโต ปน กาเยนฯ อิเจฺฉยฺยาม มยํ, ภเนฺต, ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํ อภิสมฺปรายญฺจ อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุ’’นฺติฯ นกุลมาตาปิ โข, คหปตานี, ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘ยโต อหํ, ภเนฺต, นกุลปิตุโน คหปติสฺส ทหรเสฺสว ทหรา อานีตา, นาภิชานามิ นกุลปิตรํ คหปติํ มนสาปิ อติจริตา, กุโต ปน กาเยนฯ อิเจฺฉยฺยาม มยํ, ภเนฺต, ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุํ อภิสมฺปรายญฺจ อญฺญมญฺญํ ปสฺสิตุ’’นฺติฯ อถ อปรภาเค สตฺถา เชตวเน นิสีทิตฺวา อุปาสเก ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต อิมํ อิเมสํ ทฺวินฺนมฺปิ กถํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา นกุลปิตรํ คหปติํ วิสฺสาสกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Satthā aparabhāge tesaṃ mahallakakāle puna taṃ nagaraṃ agamāsi. Te ‘‘satthā āgato’’ti sutvā satthu santikaṃ gantvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā svātanāya nimantetvā punadivase attano nivesane buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nānaggarasehi parivisitvā satthāraṃ katabhattakiccaṃ upasaṅkamitvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Ekamantaṃ nisinno kho nakulapitā gahapati, bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘yato me, bhante, nakulamātā gahapatānī, daharasseva daharā ānītā, nābhijānāmi nakulamātaraṃ gahapatāniṃ manasāpi aticaritā, kuto pana kāyena. Iccheyyāma mayaṃ, bhante, diṭṭhe ceva dhamme aññamaññaṃ passituṃ abhisamparāyañca aññamaññaṃ passitu’’nti. Nakulamātāpi kho, gahapatānī, bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘yato ahaṃ, bhante, nakulapituno gahapatissa daharasseva daharā ānītā, nābhijānāmi nakulapitaraṃ gahapatiṃ manasāpi aticaritā, kuto pana kāyena. Iccheyyāma mayaṃ, bhante, diṭṭhe ceva dhamme aññamaññaṃ passituṃ abhisamparāyañca aññamaññaṃ passitu’’nti. Atha aparabhāge satthā jetavane nisīditvā upāsake paṭipāṭiyā ṭhānantaresu ṭhapento imaṃ imesaṃ dvinnampi kathaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā nakulapitaraṃ gahapatiṃ vissāsakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ฉฎฺฐวคฺควณฺณนาฯ

    Chaṭṭhavaggavaṇṇanā.

    ทสสุตฺตปฎิมณฺฑิตาย อุปาสกปาฬิยา วณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dasasuttapaṭimaṇḍitāya upāsakapāḷiyā vaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๗. สตฺตมเอตทคฺควโคฺค

    (14) 7. Sattamaetadaggavaggo

    สุชาตาวตฺถุ

    Sujātāvatthu

    ๒๕๘. อุปาสิกาปาฬิยา ปฐเม ปฐมํ สรณํ คจฺฉนฺตีนนฺติ สพฺพปฐมํ สรเณสุ ปติฎฺฐิตานํ อุปาสิกานํ, สุชาตา นาม, เสนิยธีตา อคฺคาติ ทเสฺสติฯ สาปิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพตฺตา อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ อุปาสิกํ ปฐมํ สรณํ คจฺฉนฺตีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อมฺหากํ สตฺถุ นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว อุรุเวลายํ เสนานิคเม เสนิยกุฎุมฺพิกสฺส เคเห นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปตฺตา เอกสฺมิํ นิโคฺรธมูเล ปตฺถนํ อกาสิ – ‘‘สเจ สมชาติกํ กุลฆรํ คนฺตฺวา ปฐมคเพฺภ ปุตฺตํ ลภิสฺสามิ, อนุสํวจฺฉรํ พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติฯ ตสฺสา สา ปตฺถนา สมิชฺฌิฯ

    258. Upāsikāpāḷiyā paṭhame paṭhamaṃ saraṇaṃ gacchantīnanti sabbapaṭhamaṃ saraṇesu patiṭṭhitānaṃ upāsikānaṃ, sujātā nāma, seniyadhītā aggāti dasseti. Sāpi padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbattā aparabhāge satthu dhammakathaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ upāsikaṃ paṭhamaṃ saraṇaṃ gacchantīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikāraṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā amhākaṃ satthu nibbattito puretarameva uruvelāyaṃ senānigame seniyakuṭumbikassa gehe nibbattitvā vayappattā ekasmiṃ nigrodhamūle patthanaṃ akāsi – ‘‘sace samajātikaṃ kulagharaṃ gantvā paṭhamagabbhe puttaṃ labhissāmi, anusaṃvaccharaṃ balikammaṃ karissāmī’’ti. Tassā sā patthanā samijjhi.

    สา มหาสตฺตสฺส ทุกฺกรการิกํ กโรนฺตสฺส ฉเฎฺฐ วเสฺส ปริปุเณฺณ วิสาขปุณฺณมทิวเส ‘‘ปาโตว พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ รตฺติยา ปจฺจูสสมยํ ปจฺจุฎฺฐาย เธนุโย ทุหาเปสิฯ วจฺฉกา เธนูนํ ถนมูลํ น อาคมํสุ, ถนมูเล นวภาชนมฺหิ อุปนีตมเตฺต อตฺตโนว ธมฺมตาย ขีรธารา ปติํสุฯ ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา, สุชาตา, สหเตฺถเนว ขีรํ คณฺหิตฺวา นวภาชเน ปกฺขิปิตฺวา สหเตฺถเนว อคฺคิํ กตฺวา ปจิตุํ อารภิฯ ตสฺมิํ ปายาเส ปจฺจมาเน มหนฺตมหนฺตา พุพฺพุฬา อุฎฺฐหิตฺวา ทกฺขิณาวตฺตา หุตฺวา สญฺจรนฺติ, เอกผุสิตมฺปิ พหิ น นิคฺคจฺฉติฯ มหาพฺรหฺมา ฉตฺตํ ธาเรสิ, จตฺตาโร โลกปาลา ขคฺคหตฺถา อารกฺขํ คณฺหิํสุ, สโกฺก อลาตานิ สมาเนโนฺต อคฺคิํ ชาเลสิฯ เทวตา จตูสุ ทีเปสุ โอชํ สํหริตฺวา ตตฺถ ปกฺขิปิํสุฯ สุชาตา, เอกทิวเสเยว อิมานิ อจฺฉริยานิ ทิสฺวา ปุณฺณาทาสิํ อามเนฺตสิ – ‘‘อมฺม, ปุเณฺณ อชฺช อมฺหากํ เทวตา อติวิย ปสนฺนา, มยา เอตฺตกํ กาลํ เอวรูปํ อจฺฉริยํ นาม น ทิฎฺฐปุพฺพํ , เวเคน คนฺตฺวา เทวฎฺฐานํ ปฎิชคฺคาหี’’ติฯ สา ‘‘สาธุ, อเยฺย’’ติ ตสฺสา วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตุริตตุริตา รุกฺขมูลํ อคมาสิฯ

    Sā mahāsattassa dukkarakārikaṃ karontassa chaṭṭhe vasse paripuṇṇe visākhapuṇṇamadivase ‘‘pātova balikammaṃ karissāmī’’ti rattiyā paccūsasamayaṃ paccuṭṭhāya dhenuyo duhāpesi. Vacchakā dhenūnaṃ thanamūlaṃ na āgamaṃsu, thanamūle navabhājanamhi upanītamatte attanova dhammatāya khīradhārā patiṃsu. Taṃ acchariyaṃ disvā, sujātā, sahattheneva khīraṃ gaṇhitvā navabhājane pakkhipitvā sahattheneva aggiṃ katvā pacituṃ ārabhi. Tasmiṃ pāyāse paccamāne mahantamahantā bubbuḷā uṭṭhahitvā dakkhiṇāvattā hutvā sañcaranti, ekaphusitampi bahi na niggacchati. Mahābrahmā chattaṃ dhāresi, cattāro lokapālā khaggahatthā ārakkhaṃ gaṇhiṃsu, sakko alātāni samānento aggiṃ jālesi. Devatā catūsu dīpesu ojaṃ saṃharitvā tattha pakkhipiṃsu. Sujātā, ekadivaseyeva imāni acchariyāni disvā puṇṇādāsiṃ āmantesi – ‘‘amma, puṇṇe ajja amhākaṃ devatā ativiya pasannā, mayā ettakaṃ kālaṃ evarūpaṃ acchariyaṃ nāma na diṭṭhapubbaṃ , vegena gantvā devaṭṭhānaṃ paṭijaggāhī’’ti. Sā ‘‘sādhu, ayye’’ti tassā vacanaṃ sampaṭicchitvā turitaturitā rukkhamūlaṃ agamāsi.

    โพธิสโตฺตปิ โข ภิกฺขาจารกาลํ อาคมยมาโน ปาโตว คนฺตฺวา รุกฺขมูเล นิสีทิฯ รุกฺขมูลํ โสธนตฺถาย คตา ปุณฺณา อาคนฺตฺวา สุชาตาย อาโรเจสิ – ‘‘เทวตา รุกฺขมูเล นิสินฺนา’’ติฯ สุชาตา, ‘‘สเจ เช สจฺจํ ภณสิ, อทาสิํ กโรมี’’ติ วตฺวา สพฺพปสาธนํ ปสาเธตฺวา สตสหสฺสคฺฆนเก สุวณฺณถาเล ปายาสํ วเฑฺฒตฺวา อปราย สุวณฺณปาติยา ปิทหิตฺวา เสตวเตฺถน สมฺปลิเวเฐตฺวา สมนฺตา คนฺธทามมาลาทามานิ โอสาเรตฺวา อุกฺขิปิตฺวา คนฺตฺวา มหาปุริสํ ทิสฺวา พลวปีติํ อุปฺปาเทตฺวา ทิฎฺฐฎฺฐานโต ปฎฺฐาย โอณโตณตา คนฺตฺวา สีสโต ถาลํ โอตาเรตฺวา วิวริตฺวา สเหว ปาติยา ปายาสํ มหาปุริสสฺส หเตฺถ ฐเปตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ยถา มยฺหํ มโนรโถ นิปฺผโนฺน, เอวํ ตุมฺหากมฺปิ นิปฺผชฺชตู’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ โพธิสโตฺต เนรญฺชราย นทิยา ตีรํ คนฺตฺวา สุวณฺณถาลํ ตีเร ฐเปตฺวา นฺหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา เอกูนปณฺณาส ปิเณฺฑ กโรโนฺต ปายาสํ ปริภุญฺชิตฺวา สุวณฺณปาติํ นทิยา สมฺปวาเหตฺวา อนุกฺกเมน โพธิมณฺฑํ อารุยฺห สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา สตฺตสตฺตาหํ โพธิมเณฺฑ อติกฺกมิตฺวา อิสิปตเน มิคทาเย ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก สุชาตาย ปุตฺตสฺส ยสทารกสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา คนฺตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสีทิฯ

    Bodhisattopi kho bhikkhācārakālaṃ āgamayamāno pātova gantvā rukkhamūle nisīdi. Rukkhamūlaṃ sodhanatthāya gatā puṇṇā āgantvā sujātāya ārocesi – ‘‘devatā rukkhamūle nisinnā’’ti. Sujātā, ‘‘sace je saccaṃ bhaṇasi, adāsiṃ karomī’’ti vatvā sabbapasādhanaṃ pasādhetvā satasahassagghanake suvaṇṇathāle pāyāsaṃ vaḍḍhetvā aparāya suvaṇṇapātiyā pidahitvā setavatthena sampaliveṭhetvā samantā gandhadāmamālādāmāni osāretvā ukkhipitvā gantvā mahāpurisaṃ disvā balavapītiṃ uppādetvā diṭṭhaṭṭhānato paṭṭhāya oṇatoṇatā gantvā sīsato thālaṃ otāretvā vivaritvā saheva pātiyā pāyāsaṃ mahāpurisassa hatthe ṭhapetvā vanditvā ‘‘yathā mayhaṃ manoratho nipphanno, evaṃ tumhākampi nipphajjatū’’ti vatvā pakkāmi. Bodhisatto nerañjarāya nadiyā tīraṃ gantvā suvaṇṇathālaṃ tīre ṭhapetvā nhatvā paccuttaritvā ekūnapaṇṇāsa piṇḍe karonto pāyāsaṃ paribhuñjitvā suvaṇṇapātiṃ nadiyā sampavāhetvā anukkamena bodhimaṇḍaṃ āruyha sabbaññutaṃ patvā sattasattāhaṃ bodhimaṇḍe atikkamitvā isipatane migadāye pavattitavaradhammacakko sujātāya puttassa yasadārakassa upanissayaṃ disvā gantvā aññatarasmiṃ rukkhamūle nisīdi.

    ยโสปิ กุลปุโตฺต รตฺติภาคสมนนฺตเร วิวฎํ อิตฺถาคารํ ทิสฺวา สญฺชาตสํเวโค ‘‘อุปทฺทุตํ วต, โภ, อุปสฎฺฐํ วต, โภ’’ติ วตฺวา นิเวสนโต นิกฺขมิตฺวาว พหินคเร สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ตีณิ มคฺคผลานิ ปฎิวิชฺฌิฯ อถสฺส ปิตา ปทานุปทิกํ คนฺตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ยสสฺส ปวตฺติํ ปุจฺฉิฯ สตฺถา ยสํ กุลปุตฺตํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน โส เสฎฺฐิคหปติ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิ, ยโส อรหตฺตผลํ ปาปุณิฯ ตํ ภควา ‘‘เอหิ ภิกฺขู’’ติ อาห, ตาวเทวสฺส คิหิลิงฺคํ อนฺตรธายิ, อิทฺธิมยปตฺตจีวรธโร อโหสิฯ ปิตาปิสฺส สตฺถารํ นิมเนฺตสิฯ สตฺถา ยสํ กุลปุตฺตํ ปจฺฉาสมณํ กตฺวา ตสฺส ฆรํ คนฺตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ ธมฺมํ เทเสสิ, เทสนาปริโยสาเน ยสสฺส มาตา, สุชาตา, ปุราณทุติยิกา จ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ ตํทิวสํ อยํ, สุชาตา, เตวาจิกสรเณ ปติฎฺฐาสิ สทฺธิํ สุณิสายฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป , วิตฺถารโต ปเนตํ วตฺถุ ขนฺธเก (มหาว. ๒๕-๒๘) อาคตเมว ฯ สตฺถา อปรภาเค ปฎิปาฎิยา อุปาสิกาโย ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต อิมํ อุปาสิกํ ปฐมํ สรณํ คจฺฉนฺตีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Yasopi kulaputto rattibhāgasamanantare vivaṭaṃ itthāgāraṃ disvā sañjātasaṃvego ‘‘upaddutaṃ vata, bho, upasaṭṭhaṃ vata, bho’’ti vatvā nivesanato nikkhamitvāva bahinagare satthu santikaṃ gantvā dhammadesanaṃ sutvā tīṇi maggaphalāni paṭivijjhi. Athassa pitā padānupadikaṃ gantvā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā yasassa pavattiṃ pucchi. Satthā yasaṃ kulaputtaṃ paṭicchādetvā dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne so seṭṭhigahapati sotāpattiphale patiṭṭhāsi, yaso arahattaphalaṃ pāpuṇi. Taṃ bhagavā ‘‘ehi bhikkhū’’ti āha, tāvadevassa gihiliṅgaṃ antaradhāyi, iddhimayapattacīvaradharo ahosi. Pitāpissa satthāraṃ nimantesi. Satthā yasaṃ kulaputtaṃ pacchāsamaṇaṃ katvā tassa gharaṃ gantvā katabhattakicco dhammaṃ desesi, desanāpariyosāne yasassa mātā, sujātā, purāṇadutiyikā ca sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu. Taṃdivasaṃ ayaṃ, sujātā, tevācikasaraṇe patiṭṭhāsi saddhiṃ suṇisāya. Ayamettha saṅkhepo , vitthārato panetaṃ vatthu khandhake (mahāva. 25-28) āgatameva . Satthā aparabhāge paṭipāṭiyā upāsikāyo ṭhānantaresu ṭhapento imaṃ upāsikaṃ paṭhamaṃ saraṇaṃ gacchantīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    วิสาขาวตฺถุ

    Visākhāvatthu

    ๒๕๙. ทุติเย ทายิกานนฺติ ทานาภิรตานํ อุปาสิกานํ, วิสาขา มิคารมาตา, อคฺคาติ ทเสฺสติฯ สา กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพตฺตา อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ อุปาสิกํ ทายิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา กสฺสปพุทฺธกาเล กิกิสฺส กาสิรโญฺญ เคเห สตฺตนฺนํ ภคินีนํ สพฺพกนิฎฺฐา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตทา กิร –

    259. Dutiye dāyikānanti dānābhiratānaṃ upāsikānaṃ, visākhā migāramātā, aggāti dasseti. Sā kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbattā aparabhāge satthu dhammadesanaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ upāsikaṃ dāyikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā kassapabuddhakāle kikissa kāsirañño gehe sattannaṃ bhaginīnaṃ sabbakaniṭṭhā hutvā nibbatti. Tadā kira –

    ‘‘สมณี สมณคุตฺตา จ, ภิกฺขุนี ภิกฺขุทายิกา;

    ‘‘Samaṇī samaṇaguttā ca, bhikkhunī bhikkhudāyikā;

    ธมฺมา เจว สุธมฺมา จ, สงฺฆทาสี จ สตฺตมา’’ติฯ

    Dhammā ceva sudhammā ca, saṅghadāsī ca sattamā’’ti.

    อิมา สตฺต ภคินิโย อเหสุํฯ ตา เอตรหิ –

    Imā satta bhaginiyo ahesuṃ. Tā etarahi –

    ‘‘เขมา อุปฺปลวณฺณา จ, ปฎาจารา จ โคตมี;

    ‘‘Khemā uppalavaṇṇā ca, paṭācārā ca gotamī;

    ธมฺมทินฺนา มหามายา, วิสาขา เจว สตฺตมี’’ติฯ –

    Dhammadinnā mahāmāyā, visākhā ceva sattamī’’ti. –

    เอวํนามา หุตฺวา นิพฺพตฺตาฯ ตตฺรายํ สงฺฆทาสี เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท องฺครเฎฺฐ ภทฺทิยนคเร เมณฺฑกเสฎฺฐิปุตฺตสฺส ธนญฺจยเสฎฺฐิโน อคฺคมเหสิยา สุมนเทวิยา นาม กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพตฺติ, วิสาขาติสฺสา นามํ อกํสุฯ ตสฺสา สตฺตวสฺสิกกาเล ทสพโล เสลพฺราหฺมณสฺส จ อเญฺญสญฺจ โพธเนยฺยพนฺธวานํ อุปนิสฺสยสมฺปตฺติํ ทิสฺวา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร จาริกํ จรมาโน ตสฺมิํ รเฎฺฐ ตํ นครํ ปาปุณิฯ

    Evaṃnāmā hutvā nibbattā. Tatrāyaṃ saṅghadāsī ekaṃ buddhantaraṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde aṅgaraṭṭhe bhaddiyanagare meṇḍakaseṭṭhiputtassa dhanañcayaseṭṭhino aggamahesiyā sumanadeviyā nāma kucchismiṃ nibbatti, visākhātissā nāmaṃ akaṃsu. Tassā sattavassikakāle dasabalo selabrāhmaṇassa ca aññesañca bodhaneyyabandhavānaṃ upanissayasampattiṃ disvā mahābhikkhusaṅghaparivāro cārikaṃ caramāno tasmiṃ raṭṭhe taṃ nagaraṃ pāpuṇi.

    ตสฺมิญฺจ สมเย เมณฺฑโก คหปติ ตสฺมิํ นคเร ปญฺจนฺนํ มหาปุญฺญานํ เชฎฺฐโก หุตฺวา เสฎฺฐิฎฺฐานํ กาเรสิฯ ปญฺจ มหาปุญฺญา นาม เมณฺฑโก เสฎฺฐิ, จนฺทปทุมา นาม ตเสฺสว อคฺคมเหสี, ตสฺส จ ปุโตฺต ธนญฺจโย นาม, ตสฺส ภริยา สุมนเทวี นาม, เมณฺฑกเสฎฺฐิสฺส ทาโส ปุโณฺณ นามาติฯ น เกวลญฺจ เมณฺฑกเสฎฺฐิเยว, พิมฺพิสารมหาราชสฺส ปน อาณาปวตฺติฎฺฐาเน ปญฺจ อมิตโภคา นาม อเหสุํ โชติโก ชฎิโล เมณฺฑโก ปุโณฺณ กากวลิโยติฯ เตสุ อยํ เมณฺฑกเสฎฺฐิ ทสพลสฺส อตฺตโน นครํ สมฺปตฺตภาวํ สุตฺวา ปุตฺตสฺส ธนญฺจยเสฎฺฐิโน ธีตรํ วิสาขาทาริกํ ปโกฺกสิตฺวา เอวมาห – ‘‘อมฺม, ตุยฺหมฺปิ มงฺคลํ อมฺหากมฺปิ มงฺคลํ, ตว ปริจาริกาหิ ปญฺจทาริกาสเตหิ สทฺธิํ ปญฺจ รถสตานิ อารุยฺห ปญฺจหิ ทาสิสเตหิ ปริวุตา ทสพลสฺส ปจฺจุคฺคมนํ กโรหี’’ติฯ สา ปิตามหสฺส วจนํ สุตฺวา ตถา อกาสิฯ การณาการเณสุ ปน กุสลตฺตา ยาวติกา ยานสฺส ภูมิ, ยาเนน คนฺตฺวา ยานา ปโจฺจโรหิตฺวา ปตฺติกาว สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ อถสฺสา จริตวเสน สตฺถา ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน ปญฺจหิ ทาริกาสเตหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ เมณฺฑกเสฎฺฐิปิ โข สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ อถ สตฺถา ตสฺสปิ จริตวเสน ธมฺมํ เทเสสิฯ โส เทสนาปริโยสาเน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย สตฺถารํ สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเส อตฺตโน นิเวสเน ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริวิสิตฺวา เอเตนุปาเยน อฑฺฒมาสํ มหาทานํ อทาสิฯ สตฺถา ภทฺทิยนคเร ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา ปกฺกามิฯ

    Tasmiñca samaye meṇḍako gahapati tasmiṃ nagare pañcannaṃ mahāpuññānaṃ jeṭṭhako hutvā seṭṭhiṭṭhānaṃ kāresi. Pañca mahāpuññā nāma meṇḍako seṭṭhi, candapadumā nāma tasseva aggamahesī, tassa ca putto dhanañcayo nāma, tassa bhariyā sumanadevī nāma, meṇḍakaseṭṭhissa dāso puṇṇo nāmāti. Na kevalañca meṇḍakaseṭṭhiyeva, bimbisāramahārājassa pana āṇāpavattiṭṭhāne pañca amitabhogā nāma ahesuṃ jotiko jaṭilo meṇḍako puṇṇo kākavaliyoti. Tesu ayaṃ meṇḍakaseṭṭhi dasabalassa attano nagaraṃ sampattabhāvaṃ sutvā puttassa dhanañcayaseṭṭhino dhītaraṃ visākhādārikaṃ pakkositvā evamāha – ‘‘amma, tuyhampi maṅgalaṃ amhākampi maṅgalaṃ, tava paricārikāhi pañcadārikāsatehi saddhiṃ pañca rathasatāni āruyha pañcahi dāsisatehi parivutā dasabalassa paccuggamanaṃ karohī’’ti. Sā pitāmahassa vacanaṃ sutvā tathā akāsi. Kāraṇākāraṇesu pana kusalattā yāvatikā yānassa bhūmi, yānena gantvā yānā paccorohitvā pattikāva satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Athassā caritavasena satthā dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne pañcahi dārikāsatehi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Meṇḍakaseṭṭhipi kho satthu santikaṃ gantvā satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Atha satthā tassapi caritavasena dhammaṃ desesi. So desanāpariyosāne sotāpattiphale patiṭṭhāya satthāraṃ svātanāya nimantetvā punadivase attano nivesane paṇītena khādanīyena bhojanīyena buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ parivisitvā etenupāyena aḍḍhamāsaṃ mahādānaṃ adāsi. Satthā bhaddiyanagare yathābhirantaṃ viharitvā pakkāmi.

    อิโต ปรํ อญฺญํ กถามคฺคํ วิสฺสเชฺชตฺวา วิสาขาย อุปฺปตฺติกถาว กเถตพฺพาฯ สาวตฺถิยญฺหิ โกสลราชา พิมฺพิสารสฺส สนฺติกํ เปเสสิ – ‘‘มม อาณาปวตฺติฎฺฐาเน อมิตโภควินฺทนกุลํ นาม นตฺถิ, อมฺหากํ อมิตโภควินฺทนกุลํ เปเสตู’’ติฯ ราชา อมเจฺจหิ สทฺธิํ มเนฺตสิฯ อมจฺจา ‘‘มหากุลํ เปเสตุํ น สกฺกา, เอกํ ปน เสฎฺฐิปุตฺตํ เปเสสฺสามา’’ติ เมณฺฑกเสฎฺฐิโน ปุตฺตํ ธนญฺจยเสฎฺฐิํ อายาจิํสุฯ ราชา เตสํ วจนํ สุตฺวา ตํ เปเสสิฯ อถ นํ โกสลราชา สาวตฺถิโต สตฺตโยชนมตฺถเก สาเกตนคเร เสฎฺฐิฎฺฐานํ ทตฺวา วาเสสิฯ

    Ito paraṃ aññaṃ kathāmaggaṃ vissajjetvā visākhāya uppattikathāva kathetabbā. Sāvatthiyañhi kosalarājā bimbisārassa santikaṃ pesesi – ‘‘mama āṇāpavattiṭṭhāne amitabhogavindanakulaṃ nāma natthi, amhākaṃ amitabhogavindanakulaṃ pesetū’’ti. Rājā amaccehi saddhiṃ mantesi. Amaccā ‘‘mahākulaṃ pesetuṃ na sakkā, ekaṃ pana seṭṭhiputtaṃ pesessāmā’’ti meṇḍakaseṭṭhino puttaṃ dhanañcayaseṭṭhiṃ āyāciṃsu. Rājā tesaṃ vacanaṃ sutvā taṃ pesesi. Atha naṃ kosalarājā sāvatthito sattayojanamatthake sāketanagare seṭṭhiṭṭhānaṃ datvā vāsesi.

    สาวตฺถิยญฺจ มิคารเสฎฺฐิโน ปุโตฺต ปุณฺณวฑฺฒนกุมาโร นาม วยปฺปโตฺต อโหสิฯ อถสฺส ปิตา ‘‘ปุโตฺต เม วยปฺปโตฺต, ฆราวาเสนสฺส อาพนฺธนสมโย’’ติ ญตฺวา ‘‘อมฺหากํ สมานชาติเก กุเล ทาริกํ ปริเยสถา’’ติ การณาการณกุสเล ปุริเส เปเสสิฯ เต สาวตฺถิยํ อตฺตโน รุจิตํ ทาริกํ อทิสฺวา สาเกตํ อคมํสุฯ ตํทิวสญฺจ, วิสาขา, อตฺตโน สมานวเยหิ ปญฺจหิ กุมาริกาสเตหิ ปริวาริตา นกฺขตฺตกีฬนตฺถาย เอกํ มหาคามํ อคมาสิ ฯ เตปิ ปุริสา อโนฺตนคเร จริตฺวา อตฺตโน รุจิตํ ทาริกํ อทิสฺวา พหินครทฺวาเร อฎฺฐํสุฯ ตสฺมิํ สมเย เทโว วสฺสิตุํ อารภิฯ อถ ตา วิสาขาย สทฺธิํ นิกฺขนฺตา ทาริกา เตมนภเยน เวเคน สาลํ ปวิสิํสุฯ เต ปุริสา ตาสมฺปิ อนฺตเร ยถารุจิตํ ทาริกํ น ปสฺสิํสุฯ ตาสํ ปน สพฺพปจฺฉโต, วิสาขา, เทวํ วสฺสนฺตมฺปิ อคเณตฺวา อตุริตคมเนน เตมยมานาว สาลํ ปาวิสิฯ เต ปุริสา ตํ ทิสฺวา จินฺตยิํสุ – ‘‘รูปวตี ตาว กญฺญา เอตปรมา ภเวยฺย, รูปํ ปเนตํ เอกจฺจาย การิตปตฺตํ วิย โหติ, กถํ สมุฎฺฐาเปตฺวา กเถนฺตา ชานิสฺสาม มธุรวจนา วา โน วา’’ติฯ ตโต นํ อาหํสุ – ‘‘อติวิย ปริณตวยา อิตฺถี วิย ยาสิ, อมฺมา’’ติฯ กิํ ทิสฺวา กเถถ, ตาตาติ? อญฺญา ตยา สทฺธิํ กีฬนกุมาริโย เตมนภเยน เวเคน อาคนฺตฺวา สาลํ ปวิฎฺฐา, ตฺวํ ปน มหลฺลิกา วิย ปทวารํ อติกฺกมฺม นาคจฺฉสิ, สาฎกสฺส เตมนภาวมฺปิ น คเณสิฯ สเจ ตํ หตฺถี วา อโสฺส วา อนุพเนฺธยฺย, กิํ เอวเมวํ กเรยฺยาสีติ? ตาตา, สาฎกา นาม น ทุลฺลภา, สุลภา มยฺหํ กุเล สาฎกาฯ วยปฺปตฺตา มาตุคามา ปน ปณิยภณฺฑสทิสา, หเตฺถ วา ปาเท วา ภเคฺค องฺควิกลํ มาตุคามํ ชิคุจฺฉนฺตา นิฎฺฐุภิตฺวา คจฺฉนฺติ, ตสฺมา สณิกํ อาคตามฺหีติฯ

    Sāvatthiyañca migāraseṭṭhino putto puṇṇavaḍḍhanakumāro nāma vayappatto ahosi. Athassa pitā ‘‘putto me vayappatto, gharāvāsenassa ābandhanasamayo’’ti ñatvā ‘‘amhākaṃ samānajātike kule dārikaṃ pariyesathā’’ti kāraṇākāraṇakusale purise pesesi. Te sāvatthiyaṃ attano rucitaṃ dārikaṃ adisvā sāketaṃ agamaṃsu. Taṃdivasañca, visākhā, attano samānavayehi pañcahi kumārikāsatehi parivāritā nakkhattakīḷanatthāya ekaṃ mahāgāmaṃ agamāsi . Tepi purisā antonagare caritvā attano rucitaṃ dārikaṃ adisvā bahinagaradvāre aṭṭhaṃsu. Tasmiṃ samaye devo vassituṃ ārabhi. Atha tā visākhāya saddhiṃ nikkhantā dārikā temanabhayena vegena sālaṃ pavisiṃsu. Te purisā tāsampi antare yathārucitaṃ dārikaṃ na passiṃsu. Tāsaṃ pana sabbapacchato, visākhā, devaṃ vassantampi agaṇetvā aturitagamanena temayamānāva sālaṃ pāvisi. Te purisā taṃ disvā cintayiṃsu – ‘‘rūpavatī tāva kaññā etaparamā bhaveyya, rūpaṃ panetaṃ ekaccāya kāritapattaṃ viya hoti, kathaṃ samuṭṭhāpetvā kathentā jānissāma madhuravacanā vā no vā’’ti. Tato naṃ āhaṃsu – ‘‘ativiya pariṇatavayā itthī viya yāsi, ammā’’ti. Kiṃ disvā kathetha, tātāti? Aññā tayā saddhiṃ kīḷanakumāriyo temanabhayena vegena āgantvā sālaṃ paviṭṭhā, tvaṃ pana mahallikā viya padavāraṃ atikkamma nāgacchasi, sāṭakassa temanabhāvampi na gaṇesi. Sace taṃ hatthī vā asso vā anubandheyya, kiṃ evamevaṃ kareyyāsīti? Tātā, sāṭakā nāma na dullabhā, sulabhā mayhaṃ kule sāṭakā. Vayappattā mātugāmā pana paṇiyabhaṇḍasadisā, hatthe vā pāde vā bhagge aṅgavikalaṃ mātugāmaṃ jigucchantā niṭṭhubhitvā gacchanti, tasmā saṇikaṃ āgatāmhīti.

    เต จินฺตยิํสุ – ‘‘อิมาย สทิสา อิมสฺมิํ ชมฺพุทีเป อิตฺถี นาม นตฺถิ, ยาทิสา รูเปน, กถายปิ ตาทิสาวฯ การณาการณํ ญตฺวา กเถตี’’ติ ตสฺสา อุปริ มาลาคุฬํ ขิปิํสุฯ อถ, วิสาขา, จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ ปุเพฺพ อปริคฺคหิตา, อิทานิ ปน ปริคฺคหิตามฺหี’’ติ วินีเตนากาเรน ภูมิยํ นิสีทิฯ อถ นํ ตเตฺถว สาณิยา ปริกฺขิปิํสุฯ สา ปฎิจฺฉนฺนภาวํ ญตฺวา ทาสิคณปริวุตา เคหํ อคมาสิฯ เตปิ มิคารเสฎฺฐิโน ปุริสา ตาย สทฺธิํเยว ธนญฺจยเสฎฺฐิสฺส สนฺติกํ อคมํสุฯ ‘‘กตรคามวาสิโน , ตาตา, ตุเมฺห’’ติ ปุจฺฉิตา ‘‘สาวตฺถินคเร มิคารเสฎฺฐิโน ปุริสมฺหา’’ติ วตฺวา ‘‘มยํ อมฺหากํ เสฎฺฐินา ตุมฺหากํ เคเห วยปฺปตฺตา ทาริกา อตฺถีติ สุตฺวา เปสิตา’’ติฯ สาธุ, ตาตา, ตุมฺหากํ เสฎฺฐิ กิญฺจาปิ โภเคน อเมฺหหิ อสทิโส, ชาติยา ปน สทิโสฯ สพฺพาการสมฺปโนฺน นาม ทุลฺลโภ คจฺฉถ ตุเมฺห เสฎฺฐิสฺส อเมฺหหิ สมฺปฎิจฺฉิตภาวํ อาโรเจถาติฯ

    Te cintayiṃsu – ‘‘imāya sadisā imasmiṃ jambudīpe itthī nāma natthi, yādisā rūpena, kathāyapi tādisāva. Kāraṇākāraṇaṃ ñatvā kathetī’’ti tassā upari mālāguḷaṃ khipiṃsu. Atha, visākhā, cintesi – ‘‘ahaṃ pubbe apariggahitā, idāni pana pariggahitāmhī’’ti vinītenākārena bhūmiyaṃ nisīdi. Atha naṃ tattheva sāṇiyā parikkhipiṃsu. Sā paṭicchannabhāvaṃ ñatvā dāsigaṇaparivutā gehaṃ agamāsi. Tepi migāraseṭṭhino purisā tāya saddhiṃyeva dhanañcayaseṭṭhissa santikaṃ agamaṃsu. ‘‘Kataragāmavāsino , tātā, tumhe’’ti pucchitā ‘‘sāvatthinagare migāraseṭṭhino purisamhā’’ti vatvā ‘‘mayaṃ amhākaṃ seṭṭhinā tumhākaṃ gehe vayappattā dārikā atthīti sutvā pesitā’’ti. Sādhu, tātā, tumhākaṃ seṭṭhi kiñcāpi bhogena amhehi asadiso, jātiyā pana sadiso. Sabbākārasampanno nāma dullabho gacchatha tumhe seṭṭhissa amhehi sampaṭicchitabhāvaṃ ārocethāti.

    เต ตสฺส วจนํ สุตฺวา สาวตฺถิํ คนฺตฺวา มิคารเสฎฺฐิสฺส ตุฎฺฐิํ วฑฺฒิํ จ ปเวเทตฺวา ‘‘ลทฺธา โน สามิ สาเกเต ธนญฺจยเสฎฺฐิสฺส เคเห ทาริกา’’ติ อาหํสุฯ ตํ สุตฺวา มิคารเสฎฺฐิ ‘‘มหากุลเคเห กิร โน ทาริกา ลทฺธา’’ติ ตุฎฺฐมานโส หุตฺวา ตาวเทว ธนญฺจยเสฎฺฐิสฺส สาสนํ ปหิณิ ‘‘อิทาเนว ทาริกํ อานยิสฺสาม, กตฺตพฺพกิจฺจํ กโรนฺตู’’ติฯ โสปิสฺส ปฎิสาสนํ เปเสสิ – ‘‘นยิทํ อมฺหากํ ภาริยํ, เสฎฺฐิ ปน อตฺตโน กตฺตพฺพกิจฺจํ กโรตู’’ติฯ โส โกสลรโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา อาโรเจสิ – ‘‘เทว, เอกา เม มงฺคลกิริยา อตฺถิ, ทาสสฺส เต ปุณฺณวฑฺฒนสฺส ธนญฺจยเสฎฺฐิโน ธีตรํ วิสาขํ นาม ทาริกํ อาเนสฺสามิ, สาเกตคมนํ เม อนุชานาถา’’ติฯ สาธุ, มหาเสฎฺฐิ, กิํ ปน อเมฺหหิปิ อาคนฺตพฺพนฺติ? เทว ตุมฺหาทิสานํ คมนํ ลทฺธุํ สกฺกาติ? ราชา มหากุลสฺส สงฺคหํ กาตุกาโม ‘‘โหตุ เสฎฺฐิ, อาคมิสฺสามี’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา มิคารเสฎฺฐินา สทฺธิํ สาเกตนครํ อคมาสิฯ ธนญฺจยเสฎฺฐิ ‘‘มิคารเสฎฺฐิ กิร โกสลราชานํ คเหตฺวา อาคโต’’ติ สุตฺวา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ราชานํ คเหตฺวา อตฺตโน นิเวสนํ อคมาสิฯ ตาวเทว รโญฺญ จ ราชพลสฺส จ มิคารเสฎฺฐิโน จ วสนฎฺฐานํ เจว มาลาคนฺธภตฺตาทีนิ จ สพฺพานิ ปฎิยาเทสิฯ ‘‘อิทํ อิมสฺส ลทฺธุํ วฎฺฎติ, อิทํ อิมสฺสา’’ติ สพฺพํ อตฺตนาว ชานาติฯ เต เต ชนา จินฺตยิํสุ – ‘‘เสฎฺฐิ อมฺหากเมว สกฺการํ กโรตี’’ติฯ

    Te tassa vacanaṃ sutvā sāvatthiṃ gantvā migāraseṭṭhissa tuṭṭhiṃ vaḍḍhiṃ ca pavedetvā ‘‘laddhā no sāmi sākete dhanañcayaseṭṭhissa gehe dārikā’’ti āhaṃsu. Taṃ sutvā migāraseṭṭhi ‘‘mahākulagehe kira no dārikā laddhā’’ti tuṭṭhamānaso hutvā tāvadeva dhanañcayaseṭṭhissa sāsanaṃ pahiṇi ‘‘idāneva dārikaṃ ānayissāma, kattabbakiccaṃ karontū’’ti. Sopissa paṭisāsanaṃ pesesi – ‘‘nayidaṃ amhākaṃ bhāriyaṃ, seṭṭhi pana attano kattabbakiccaṃ karotū’’ti. So kosalarañño santikaṃ gantvā ārocesi – ‘‘deva, ekā me maṅgalakiriyā atthi, dāsassa te puṇṇavaḍḍhanassa dhanañcayaseṭṭhino dhītaraṃ visākhaṃ nāma dārikaṃ ānessāmi, sāketagamanaṃ me anujānāthā’’ti. Sādhu, mahāseṭṭhi, kiṃ pana amhehipi āgantabbanti? Deva tumhādisānaṃ gamanaṃ laddhuṃ sakkāti? Rājā mahākulassa saṅgahaṃ kātukāmo ‘‘hotu seṭṭhi, āgamissāmī’’ti sampaṭicchitvā migāraseṭṭhinā saddhiṃ sāketanagaraṃ agamāsi. Dhanañcayaseṭṭhi ‘‘migāraseṭṭhi kira kosalarājānaṃ gahetvā āgato’’ti sutvā paccuggamanaṃ katvā rājānaṃ gahetvā attano nivesanaṃ agamāsi. Tāvadeva rañño ca rājabalassa ca migāraseṭṭhino ca vasanaṭṭhānaṃ ceva mālāgandhabhattādīni ca sabbāni paṭiyādesi. ‘‘Idaṃ imassa laddhuṃ vaṭṭati, idaṃ imassā’’ti sabbaṃ attanāva jānāti. Te te janā cintayiṃsu – ‘‘seṭṭhi amhākameva sakkāraṃ karotī’’ti.

    อเถกทิวสํ ราชา ธนญฺจยเสฎฺฐิสฺส สาสนํ ปหิณิ ‘‘น สกฺกา เสฎฺฐินา จิรกาลํ อมฺหากํ ภรณโปสนํ กาตุํ, ทาริกาย คมนกาลํ ชานาตู’’ติฯ โสปิ รโญฺญ สาสนํ เปเสสิ – ‘‘อิทานิ วสฺสกาโล อาคโต, น สกฺกา จตุมาสํ วิจริตุํ, ตุมฺหากํ พลกายสฺส ยํ ยํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, สพฺพํ ตํ มม ภาโรฯ เกวลํ เทโว มยา เปสิตกาเล คจฺฉตู’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย สาเกตนครํ นิจฺจนกฺขตฺตคาโม วิย อโหสิฯ เอวํ ตโย มาสา อติกฺกนฺตาฯ ธนญฺจยเสฎฺฐิโน ปน ธีตาย มหาลตาปสาธนํ น ตาว นิฎฺฐํ คจฺฉติฯ อถสฺส กมฺมนฺตาธิฎฺฐายกา อาคนฺตฺวา อาโรจยิํสุ – ‘‘เสสํ อสนฺตํ นาม นตฺถิ, พลกายสฺส ปน ภตฺตปจนทารูนิ นปฺปโหนฺตี’’ติฯ ‘‘คจฺฉถ, ตาตา, หตฺถิสาลา อสฺสสาลา วิโยเชตฺวา ภตฺตํ ปจถา’’ติฯ เอวํ ปจนฺตานมฺปิ อฑฺฒมาโส อติกฺกโนฺตฯ ตโต ปุน อาโรจยิํสุ – ‘‘ทารูนิ สามิ นปฺปโหนฺตี’’ติฯ ‘‘ตาตา, อิมสฺมิํ กาเล ทารูนิ ลทฺธุํ น สกฺกา, ทุสฺสโกฎฺฐาคารํ ปน วิวริตฺวา ถูลสาฎเก คเหตฺวา วฎฺฎิโย กตฺวา เตลจาฎิยํ เตเมตฺวา ภตฺตํ ปจถา’’ติฯ อิมินา นิยาเมน ปจนฺตานํ จตฺตาโร มาสา ปูรยิํสุฯ

    Athekadivasaṃ rājā dhanañcayaseṭṭhissa sāsanaṃ pahiṇi ‘‘na sakkā seṭṭhinā cirakālaṃ amhākaṃ bharaṇaposanaṃ kātuṃ, dārikāya gamanakālaṃ jānātū’’ti. Sopi rañño sāsanaṃ pesesi – ‘‘idāni vassakālo āgato, na sakkā catumāsaṃ vicarituṃ, tumhākaṃ balakāyassa yaṃ yaṃ laddhuṃ vaṭṭati, sabbaṃ taṃ mama bhāro. Kevalaṃ devo mayā pesitakāle gacchatū’’ti. Tato paṭṭhāya sāketanagaraṃ niccanakkhattagāmo viya ahosi. Evaṃ tayo māsā atikkantā. Dhanañcayaseṭṭhino pana dhītāya mahālatāpasādhanaṃ na tāva niṭṭhaṃ gacchati. Athassa kammantādhiṭṭhāyakā āgantvā ārocayiṃsu – ‘‘sesaṃ asantaṃ nāma natthi, balakāyassa pana bhattapacanadārūni nappahontī’’ti. ‘‘Gacchatha, tātā, hatthisālā assasālā viyojetvā bhattaṃ pacathā’’ti. Evaṃ pacantānampi aḍḍhamāso atikkanto. Tato puna ārocayiṃsu – ‘‘dārūni sāmi nappahontī’’ti. ‘‘Tātā, imasmiṃ kāle dārūni laddhuṃ na sakkā, dussakoṭṭhāgāraṃ pana vivaritvā thūlasāṭake gahetvā vaṭṭiyo katvā telacāṭiyaṃ temetvā bhattaṃ pacathā’’ti. Iminā niyāmena pacantānaṃ cattāro māsā pūrayiṃsu.

    ตโต ธนญฺจยเสฎฺฐิ ธีตุยา มหาลตาปสาธนสฺส นิฎฺฐิตภาวํ ญตฺวา ‘‘เสฺว ทาริกํ เปเสสฺสามี’’ติ ธีตรํ สมีเป นิสีทาเปตฺวา ‘‘อมฺม ปติกุเล วสนฺติยา นาม อิมญฺจิมญฺจ อาจารํ สิกฺขิตุํ วฎฺฎตี’’ติ โอวาทํ อทาสิฯ อยํ มิคารเสฎฺฐิ อนนฺตรคเพฺภ นิสิโนฺน ธนญฺจยเสฎฺฐิโน โอวาทํ อโสฺสสิฯ โสปิ เสฎฺฐิ ธีตรํ เอวํ โอวทิ –

    Tato dhanañcayaseṭṭhi dhītuyā mahālatāpasādhanassa niṭṭhitabhāvaṃ ñatvā ‘‘sve dārikaṃ pesessāmī’’ti dhītaraṃ samīpe nisīdāpetvā ‘‘amma patikule vasantiyā nāma imañcimañca ācāraṃ sikkhituṃ vaṭṭatī’’ti ovādaṃ adāsi. Ayaṃ migāraseṭṭhi anantaragabbhe nisinno dhanañcayaseṭṭhino ovādaṃ assosi. Sopi seṭṭhi dhītaraṃ evaṃ ovadi –

    ‘‘อมฺม สสุรกุเล วสนฺติยา นาม อโนฺตอคฺคิ พหิ น นีหริตโพฺพ, พหิอคฺคิ อโนฺต น ปเวเสตโพฺพ, ททนฺตเสฺสว ทาตพฺพํ, อททนฺตสฺส น ทาตพฺพํ, ททนฺตสฺสปิ อททนฺตสฺสปิ ทาตพฺพํ, สุขํ นิสีทิตพฺพํ, สุขํ ปริภุญฺชิตพฺพํ, สุขํ นิปชฺชิตพฺพํ, อคฺคิ ปริจริตโพฺพ, อโนฺตเทวตา นมสฺสิตพฺพา’’ติฯ

    ‘‘Amma sasurakule vasantiyā nāma antoaggi bahi na nīharitabbo, bahiaggi anto na pavesetabbo, dadantasseva dātabbaṃ, adadantassa na dātabbaṃ, dadantassapi adadantassapi dātabbaṃ, sukhaṃ nisīditabbaṃ, sukhaṃ paribhuñjitabbaṃ, sukhaṃ nipajjitabbaṃ, aggi paricaritabbo, antodevatā namassitabbā’’ti.

    อิมํ ทสวิธํ โอวาทํ ทตฺวา ปุนทิวเส สพฺพา เสนิโย สนฺนิปาเตตฺวา ราชเสนาย มเชฺฌ อฎฺฐ กุฎุมฺพิเก ปาฎิโภเค คเหตฺวา ‘‘สเจ เม ธีตุ คตฎฺฐาเน โทโส อุปฺปชฺชติ, ตุเมฺหหิ โสเธตโพฺพ’’ติ วตฺวา นวโกฎิอคฺฆนเกน มหาลตาปสาธเนน ธีตรํ ปสาเธตฺวา นฺหานจุณฺณมูลํ จตุปณฺณาสสกฎสตํ ธนํ ทตฺวา ธีตาย สทฺธิํ นิพทฺธํ คมนจารินิโย ปญฺจสตา ทาสิโย ปญฺจ อาชญฺญรถสตานิ สพฺพูปการญฺจ สตํ สตํ ทตฺวา โกสลราชานญฺจ มิคารเสฎฺฐิญฺจ, วิสฺสเชฺชตฺวา ธีตุ คมนเวลายํ วชาธิฎฺฐายเก ปุริเส ปโกฺกสาเปตฺวา, ‘‘ตาตา, มม ธีตาย คตฎฺฐาเน ขีรปานตฺถํ เธนูหิ, ยานโยชนตฺถํ อุสเภหิ จ อโตฺถ โหติ, ตสฺมา มม ธีตุ คมนมเคฺค วชทฺวารํ วิวริตฺวา ปุถุลโต อฎฺฐ อุสภานิ โคคเณน ปูเรตฺวา ติคาวุตมตฺถเก อสุกา นาม กนฺทรา อตฺถิ, อคฺคโคยูเถ ตํ ฐานํ ปเตฺต เภริสญฺญาย วชทฺวารํ ปิทเหยฺยาถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ เสฎฺฐิสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตถา อกํสุ ฯ วชทฺวาเร วิวเฎ อุฬารุฬาราเยว คาวิโย นิกฺขมิํสุฯ ทฺวาเร ปิทหิเต ปน วิสาขาย ปุญฺญพเลน พลวคาโว จ ทมฺมคาโว จ พหิ ลงฺฆิตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิํสุฯ อถ, วิสาขา, สาวตฺถินครทฺวารํ ปตฺตกาเล จิเนฺตสิ – ‘‘ปฎิจฺฉนฺนยานสฺมิํ นุ โข นิสีทิตฺวา ปวิสามิ, อุทาหุ รเถ ฐตฺวา’’ติฯ อถสฺสา เอตทโหสิ – ‘‘ปฎิจฺฉนฺนยาเนน เม ปวิสนฺติยา มหาลตาปสาธนสฺส วิเสโส น ปญฺญายิสฺสตี’’ติฯ สา สกลนครสฺส อตฺตานํ ทเสฺสนฺตี รเถ ฐตฺวา นครํ ปาวิสิฯ สาวตฺถิวาสิโน วิสาขาย สมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘เอสา กิร, วิสาขา, นาม เอวรูปา, อยญฺจ สมฺปตฺติ เอติสฺสาว อนุจฺฉวิกา’’ติ อาหํสุฯ อิติ สา มหาสมฺปตฺติยา มิคารเสฎฺฐิโน เคหํ ปาวิสิฯ อาคตทิวเส จสฺสา สกลนครวาสิโน ‘‘อมฺหากํ, ธนญฺจยเสฎฺฐิ, อตฺตโน นครํ สมฺปตฺตานํ มหาสกฺการํ อกาสี’’ติ ยถาพลํ ปณฺณาการํ ปหิณิํสุฯ วิสาขา, ปหิตปหิตํ ปณฺณาการํ ตสฺมิํเยว นคเร อญฺญมเญฺญสุ กุเลสุ สพฺพตฺถกเมว ทาเปสิฯ อถสฺสา รตฺติภาคสมนนฺตเร เอกิสฺสา อาชญฺญวฬวาย คพฺภวุฎฺฐานํ อโหสิฯ สา ทาสีหิ ทณฺฑทีปิกา คาหาเปตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา วฬวํ อุโณฺหทเกน นฺหาเปตฺวา เตเลน มกฺขาเปตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว อคมาสิฯ

    Imaṃ dasavidhaṃ ovādaṃ datvā punadivase sabbā seniyo sannipātetvā rājasenāya majjhe aṭṭha kuṭumbike pāṭibhoge gahetvā ‘‘sace me dhītu gataṭṭhāne doso uppajjati, tumhehi sodhetabbo’’ti vatvā navakoṭiagghanakena mahālatāpasādhanena dhītaraṃ pasādhetvā nhānacuṇṇamūlaṃ catupaṇṇāsasakaṭasataṃ dhanaṃ datvā dhītāya saddhiṃ nibaddhaṃ gamanacāriniyo pañcasatā dāsiyo pañca ājaññarathasatāni sabbūpakārañca sataṃ sataṃ datvā kosalarājānañca migāraseṭṭhiñca, vissajjetvā dhītu gamanavelāyaṃ vajādhiṭṭhāyake purise pakkosāpetvā, ‘‘tātā, mama dhītāya gataṭṭhāne khīrapānatthaṃ dhenūhi, yānayojanatthaṃ usabhehi ca attho hoti, tasmā mama dhītu gamanamagge vajadvāraṃ vivaritvā puthulato aṭṭha usabhāni gogaṇena pūretvā tigāvutamatthake asukā nāma kandarā atthi, aggagoyūthe taṃ ṭhānaṃ patte bherisaññāya vajadvāraṃ pidaheyyāthā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti seṭṭhissa vacanaṃ sampaṭicchitvā tathā akaṃsu . Vajadvāre vivaṭe uḷāruḷārāyeva gāviyo nikkhamiṃsu. Dvāre pidahite pana visākhāya puññabalena balavagāvo ca dammagāvo ca bahi laṅghitvā maggaṃ paṭipajjiṃsu. Atha, visākhā, sāvatthinagaradvāraṃ pattakāle cintesi – ‘‘paṭicchannayānasmiṃ nu kho nisīditvā pavisāmi, udāhu rathe ṭhatvā’’ti. Athassā etadahosi – ‘‘paṭicchannayānena me pavisantiyā mahālatāpasādhanassa viseso na paññāyissatī’’ti. Sā sakalanagarassa attānaṃ dassentī rathe ṭhatvā nagaraṃ pāvisi. Sāvatthivāsino visākhāya sampattiṃ disvā ‘‘esā kira, visākhā, nāma evarūpā, ayañca sampatti etissāva anucchavikā’’ti āhaṃsu. Iti sā mahāsampattiyā migāraseṭṭhino gehaṃ pāvisi. Āgatadivase cassā sakalanagaravāsino ‘‘amhākaṃ, dhanañcayaseṭṭhi, attano nagaraṃ sampattānaṃ mahāsakkāraṃ akāsī’’ti yathābalaṃ paṇṇākāraṃ pahiṇiṃsu. Visākhā, pahitapahitaṃ paṇṇākāraṃ tasmiṃyeva nagare aññamaññesu kulesu sabbatthakameva dāpesi. Athassā rattibhāgasamanantare ekissā ājaññavaḷavāya gabbhavuṭṭhānaṃ ahosi. Sā dāsīhi daṇḍadīpikā gāhāpetvā tattha gantvā vaḷavaṃ uṇhodakena nhāpetvā telena makkhāpetvā attano vasanaṭṭhānameva agamāsi.

    มิคารเสฎฺฐิปิ สตฺตาหํ ปุตฺตสฺส อาวาหสกฺการํ กโรโนฺต ธุรวิหาเร วสนฺตมฺปิ ตถาคตํ อมนสิกตฺวา สตฺตเม ทิวเส สกลนิเวสนํ ปูเรโนฺต นคฺคสมณเก นิสีทาเปตฺวา ‘‘อาคจฺฉตุ เม ธีตา, อรหเนฺต วนฺทตู’’ติ วิสาขาย สาสนํ ปหิณิฯ สา ‘‘อรหนฺตา’’ติ วจนํ สุตฺวา โสตาปนฺนา อริยสาวิกา หฎฺฐตุฎฺฐา หุตฺวา เตสํ นิสินฺนฎฺฐานํ คนฺตฺวา เต โอโลเกตฺวา ‘‘น เอวรูปา นาม อรหนฺตา โหนฺติ, หิโรตฺตปฺปวิวชฺชิตานํ นาม สนฺติกํ กสฺมา มํ สสุโร ปโกฺกสาเปตี’’ติ ‘‘ธี, ธี’’ติ ครหิตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คตาฯ นคฺคสมณา ตํ ทิสฺวา สเพฺพ เอกปฺปหาเรเนว เสฎฺฐิํ ครหิํสุ – ‘‘กิํ ตฺวํ, คหปติ, อญฺญํ นาลตฺถ, สมณสฺส โคตมสฺส สาวิกํ มหากาฬกณฺณิํ กสฺมา อิมํ เคหํ ปเวเสสิ, เวเคน นํ อิมสฺมา เคหา นีหราหี’’ติฯ ตโต เสฎฺฐิ ‘‘น สกฺกา มยา อิเมสํ วจเนน อิมํ เคหา นีหริตุํ, มหากุลสฺส ธีตา อย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา – ‘‘อาจริยา ทหรา นาม ชานิตฺวา วา อชานิตฺวา วา กเรยฺยุํ, ตุเมฺห ตุณฺหี โหถา’’ติ นเคฺค อุโยฺยเชตฺวา มหาปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา สุวณฺณกฎจฺฉุํ คเหตฺวา วิสาขาย ปริวิสิยมาโน สุวณฺณปาติยํ อโปฺปทกมธุปายาสํ ปริภุญฺชิฯ

    Migāraseṭṭhipi sattāhaṃ puttassa āvāhasakkāraṃ karonto dhuravihāre vasantampi tathāgataṃ amanasikatvā sattame divase sakalanivesanaṃ pūrento naggasamaṇake nisīdāpetvā ‘‘āgacchatu me dhītā, arahante vandatū’’ti visākhāya sāsanaṃ pahiṇi. Sā ‘‘arahantā’’ti vacanaṃ sutvā sotāpannā ariyasāvikā haṭṭhatuṭṭhā hutvā tesaṃ nisinnaṭṭhānaṃ gantvā te oloketvā ‘‘na evarūpā nāma arahantā honti, hirottappavivajjitānaṃ nāma santikaṃ kasmā maṃ sasuro pakkosāpetī’’ti ‘‘dhī, dhī’’ti garahitvā attano vasanaṭṭhānameva gatā. Naggasamaṇā taṃ disvā sabbe ekappahāreneva seṭṭhiṃ garahiṃsu – ‘‘kiṃ tvaṃ, gahapati, aññaṃ nālattha, samaṇassa gotamassa sāvikaṃ mahākāḷakaṇṇiṃ kasmā imaṃ gehaṃ pavesesi, vegena naṃ imasmā gehā nīharāhī’’ti. Tato seṭṭhi ‘‘na sakkā mayā imesaṃ vacanena imaṃ gehā nīharituṃ, mahākulassa dhītā aya’’nti cintetvā – ‘‘ācariyā daharā nāma jānitvā vā ajānitvā vā kareyyuṃ, tumhe tuṇhī hothā’’ti nagge uyyojetvā mahāpallaṅke nisīdāpetvā suvaṇṇakaṭacchuṃ gahetvā visākhāya parivisiyamāno suvaṇṇapātiyaṃ appodakamadhupāyāsaṃ paribhuñji.

    ตสฺมิํ สมเย เอโก ปิณฺฑจาริโก เถโร ปิณฺฑาย จรโนฺต เสฎฺฐิสฺส ฆรทฺวารํ ปาปุณิฯ วิสาขา, ตํ ทิสฺวา ‘‘สสุรสฺส อาจิกฺขิตุํ น ยุตฺต’’นฺติ ยถา โส เถรํ ปสฺสติ, เอวํ อปคนฺตฺวา อฎฺฐาสิฯ โส ปน พาโล เถรํ ทิสฺวาปิ อปสฺสโนฺต วิย หุตฺวา อโธมุโข ปายาสเมว ภุญฺชติฯ วิสาขา, ‘‘เถรํ ทิสฺวาปิ เม สสุโร สญฺญํ น กโรตี’’ติ ญตฺวา เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อติจฺฉถ, ภเนฺต, มยฺหํ สสุโร ปุราณํ ขาทตี’’ติ อาหฯ โส นิคเณฺฐหิ ตาว กถิตกาเล อธิวาเสสิ, ‘‘ปุราณํ ขาทตี’’ติ วุตฺตกฺขเณเยว ปน หตฺถํ อปเนตฺวา ‘‘อิมํ ปายาสํ อิโต หรถ, เอตญฺจ อิมสฺมา เคหา นีหรถฯ อยญฺหิ มํ เอวรูเป มงฺคลเคเห อสุจิขาทกํ นาม กโรตี’’ติ อาหฯ ตสฺมิํ โข ปน นิเวสเน สเพฺพปิ ทาสกมฺมกรา วิสาขาย สนฺตกาว, โก นํ หเตฺถ วา ปาเท วา คณฺหิสฺสติ, มุเขน กเถตุํ สมโตฺถปิ นาม นตฺถิฯ ตโต, วิสาขา, สสุรสฺส กถํ สุตฺวา อาห – ‘‘ตาต, น เอตฺตเกน วจเนน มยํ นิกฺขมาม, นาหํ ตุเมฺหหิ อุทกติตฺถโต กุมฺภทาสิกา วิย อานีตาฯ ธรมานกมาตาปิตูนํ ธีตโร นาม น เอตฺตเกเนว นิกฺขมนฺติ, เอเตเนว เม การเณน ปิตา อิธาคมนทิวเส อฎฺฐ กุฎุมฺพิเก ปโกฺกสาเปตฺวา ‘สเจ เม ธีตรํ อุปาทาย โทโส อุปฺปชฺชติ, โสเธยฺยาถา’ติ วตฺวา เตสํ หเตฺถ ฐเปสิฯ เต ปโกฺกสาเปตฺวา มยฺหํ โทสาโทสํ โสธาเปถา’’ติฯ

    Tasmiṃ samaye eko piṇḍacāriko thero piṇḍāya caranto seṭṭhissa gharadvāraṃ pāpuṇi. Visākhā, taṃ disvā ‘‘sasurassa ācikkhituṃ na yutta’’nti yathā so theraṃ passati, evaṃ apagantvā aṭṭhāsi. So pana bālo theraṃ disvāpi apassanto viya hutvā adhomukho pāyāsameva bhuñjati. Visākhā, ‘‘theraṃ disvāpi me sasuro saññaṃ na karotī’’ti ñatvā theraṃ upasaṅkamitvā ‘‘aticchatha, bhante, mayhaṃ sasuro purāṇaṃ khādatī’’ti āha. So nigaṇṭhehi tāva kathitakāle adhivāsesi, ‘‘purāṇaṃ khādatī’’ti vuttakkhaṇeyeva pana hatthaṃ apanetvā ‘‘imaṃ pāyāsaṃ ito haratha, etañca imasmā gehā nīharatha. Ayañhi maṃ evarūpe maṅgalagehe asucikhādakaṃ nāma karotī’’ti āha. Tasmiṃ kho pana nivesane sabbepi dāsakammakarā visākhāya santakāva, ko naṃ hatthe vā pāde vā gaṇhissati, mukhena kathetuṃ samatthopi nāma natthi. Tato, visākhā, sasurassa kathaṃ sutvā āha – ‘‘tāta, na ettakena vacanena mayaṃ nikkhamāma, nāhaṃ tumhehi udakatitthato kumbhadāsikā viya ānītā. Dharamānakamātāpitūnaṃ dhītaro nāma na ettakeneva nikkhamanti, eteneva me kāraṇena pitā idhāgamanadivase aṭṭha kuṭumbike pakkosāpetvā ‘sace me dhītaraṃ upādāya doso uppajjati, sodheyyāthā’ti vatvā tesaṃ hatthe ṭhapesi. Te pakkosāpetvā mayhaṃ dosādosaṃ sodhāpethā’’ti.

    ตโต เสฎฺฐิ ‘‘กลฺยาณํ เอสา กเถตี’’ติ อฎฺฐ กุฎุมฺพิเก ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อยํ ทาริกา สตฺตเม ทิวเส อปริปุเณฺณเยว มงฺคลเคเห นิสินฺนํ มํ ‘อสุจิขาทโก’ติ วทตี’’ติ อาหฯ เอวํ กิร, อมฺมาติ? ‘‘ตาตา, มยฺหํ สสุโร อสุจิํ ขาทิตุกาโม ภวิสฺสติ, อหํ ปน เอวํ กตฺวา น กเถมิฯ เอกสฺมิํ ปน ปิณฺฑปาติกเตฺถเร ฆรทฺวาเร ฐิเต อยํ อโปฺปทกมธุปายาสํ ภุญฺชโนฺต น ตํ มนสิ กโรติ, อหํ อิมินา การเณน ‘อติจฺฉถ, ภเนฺต, มยฺหํ สสุโร อิมสฺมิํ อตฺตภาเว ปุญฺญํ น กโรติ, ปุราณปุญฺญํ ขาทตี’ติ เอตฺตกํ กถยินฺติ อาหฯ อยฺย, อิธ โทโส นตฺถิ, อมฺหากํ ธีตา การณํ กเถติ, ตฺวํ กสฺมา กุชฺฌสีติ? อยฺยา, เอส ตาว โทโส มา โหตุ, อยํ ปน ทาริกา อาคตทิวเสเยว มม ปุเตฺต สญฺญํ อกตฺวา อตฺตโน อิจฺฉิตฎฺฐานํ อคมาสีติฯ เอวํ กิร, อมฺมาติ? ตาตา, นาหํ อิจฺฉิตฎฺฐานํ คจฺฉามิ, อิมสฺมิํ ปน เคเห อาชานียวฬวาย วิชาตาย สญฺญมฺปิ อกตฺวา นิสีทนํ นาม อยุตฺตนฺติ ทณฺฑทีปิกา คาหาเปตฺวา ทาสีหิ ปริวุตา ตตฺถ คนฺตฺวา วฬวาย วิชาตปริหารํ การาเปสินฺติฯ อยฺย, อมฺหากํ ธีตา ตว เคเห ทาสีหิปิ อกตฺตพฺพกมฺมํ อกาสิ, ตฺวํ เอตฺถ กิํ โทสํ ปสฺสสีติ?

    Tato seṭṭhi ‘‘kalyāṇaṃ esā kathetī’’ti aṭṭha kuṭumbike pakkosāpetvā ‘‘ayaṃ dārikā sattame divase aparipuṇṇeyeva maṅgalagehe nisinnaṃ maṃ ‘asucikhādako’ti vadatī’’ti āha. Evaṃ kira, ammāti? ‘‘Tātā, mayhaṃ sasuro asuciṃ khāditukāmo bhavissati, ahaṃ pana evaṃ katvā na kathemi. Ekasmiṃ pana piṇḍapātikatthere gharadvāre ṭhite ayaṃ appodakamadhupāyāsaṃ bhuñjanto na taṃ manasi karoti, ahaṃ iminā kāraṇena ‘aticchatha, bhante, mayhaṃ sasuro imasmiṃ attabhāve puññaṃ na karoti, purāṇapuññaṃ khādatī’ti ettakaṃ kathayinti āha. Ayya, idha doso natthi, amhākaṃ dhītā kāraṇaṃ katheti, tvaṃ kasmā kujjhasīti? Ayyā, esa tāva doso mā hotu, ayaṃ pana dārikā āgatadivaseyeva mama putte saññaṃ akatvā attano icchitaṭṭhānaṃ agamāsīti. Evaṃ kira, ammāti? Tātā, nāhaṃ icchitaṭṭhānaṃ gacchāmi, imasmiṃ pana gehe ājānīyavaḷavāya vijātāya saññampi akatvā nisīdanaṃ nāma ayuttanti daṇḍadīpikā gāhāpetvā dāsīhi parivutā tattha gantvā vaḷavāya vijātaparihāraṃ kārāpesinti. Ayya, amhākaṃ dhītā tava gehe dāsīhipi akattabbakammaṃ akāsi, tvaṃ ettha kiṃ dosaṃ passasīti?

    อยฺยา, เอส ตาว คุโณ โหตุ, อิมิสฺสา ปน ปิตา อิธาคมนทิวเส โอวาทํ เทโนฺต ‘‘อโนฺตอคฺคิ พหิ น นีหริตโพฺพ’’ติ อาห, กิํ ปน สกฺกา อเมฺหหิ อุภโต ปฎิวิสฺสกเคหานํ อคฺคิํ อทตฺวา วสิตุนฺติ? เอวํ กิร, อมฺมาติ? ตาตา, น มยฺหํ ปิตา เอตํ อคฺคิํ อุปาทาย กเถสิ, ยา ปน อโนฺตนิเวสเน สสฺสุอาทีนํ รหสฺสกถา อุปฺปชฺชติ, สา ทาสิทาสานํ น กเถตพฺพาฯ เอวรูปา หิ กถา วฑฺฒมานา กลหาย สํวตฺตติ, อิทํ สนฺธาย มยฺหํ ปิตา กเถสิ, ตาตาติฯ

    Ayyā, esa tāva guṇo hotu, imissā pana pitā idhāgamanadivase ovādaṃ dento ‘‘antoaggi bahi na nīharitabbo’’ti āha, kiṃ pana sakkā amhehi ubhato paṭivissakagehānaṃ aggiṃ adatvā vasitunti? Evaṃ kira, ammāti? Tātā, na mayhaṃ pitā etaṃ aggiṃ upādāya kathesi, yā pana antonivesane sassuādīnaṃ rahassakathā uppajjati, sā dāsidāsānaṃ na kathetabbā. Evarūpā hi kathā vaḍḍhamānā kalahāya saṃvattati, idaṃ sandhāya mayhaṃ pitā kathesi, tātāti.

    อยฺยา, เอตํ ตาว เอวํ โหตุ, อิมิสฺสา ปิตา ‘‘พาหิรโต อคฺคิ น อโนฺต ปเวเสตโพฺพ’’ติ อาห, กิํ สกฺกา อเมฺหหิ อโนฺตอคฺคิมฺหิ นิพฺพุเต พาหิรโต อคฺคิํ อนาหริตุนฺติ ? เอวํ กิร, อมฺมาติ? ตาตา, มยฺหํ ปิตา เอตํ อคฺคิํ สนฺธาย น กเถสิ, ยํ ปน โทสํ ทาสกมฺมกาเรหิ กถิตํ โหติ, ตํ อโนฺตมานุสกานํ น กเถตพฺพํ…เป.…ฯ

    Ayyā, etaṃ tāva evaṃ hotu, imissā pitā ‘‘bāhirato aggi na anto pavesetabbo’’ti āha, kiṃ sakkā amhehi antoaggimhi nibbute bāhirato aggiṃ anāharitunti ? Evaṃ kira, ammāti? Tātā, mayhaṃ pitā etaṃ aggiṃ sandhāya na kathesi, yaṃ pana dosaṃ dāsakammakārehi kathitaṃ hoti, taṃ antomānusakānaṃ na kathetabbaṃ…pe….

    ยมฺปิ เตน ‘‘เย ททนฺติ, เตสํเยว ทาตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํ, ตํ ‘‘ยาจิตกํ อุปกรณํ คเหตฺวา เย ปฎิททนฺติ, เตสํเยว ทาตพฺพ’’นฺติ สนฺธาย วุตฺตํฯ

    Yampi tena ‘‘ye dadanti, tesaṃyeva dātabba’’nti vuttaṃ, taṃ ‘‘yācitakaṃ upakaraṇaṃ gahetvā ye paṭidadanti, tesaṃyeva dātabba’’nti sandhāya vuttaṃ.

    ‘‘เย น ททนฺตี’’ติ อิทมฺปิ ยาจิตกํ อุปกรณํ คเหตฺวา เย น ปฎิททนฺติ, เตสํ น ทาตพฺพนฺติ สนฺธาย วุตฺตํฯ

    ‘‘Ye na dadantī’’ti idampi yācitakaṃ upakaraṇaṃ gahetvā ye na paṭidadanti, tesaṃ na dātabbanti sandhāya vuttaṃ.

    ‘‘ททนฺตสฺสปิ อททนฺตสฺสปิ ทาตพฺพ’’นฺติ , อิทํ ปน ทุคฺคเตสุ ญาติมิเตฺตสุ สมฺปเตฺตสุ ปฎิทาตุํ สโกฺกนฺตุ วา มา วา, ทาตุเมว วฎฺฎตีติ สนฺธาย วุตฺตํฯ

    ‘‘Dadantassapi adadantassapi dātabba’’nti , idaṃ pana duggatesu ñātimittesu sampattesu paṭidātuṃ sakkontu vā mā vā, dātumeva vaṭṭatīti sandhāya vuttaṃ.

    ‘‘สุขํ นิสีทิตพฺพ’’นฺติ อิทมฺปิ สสฺสุสสุเร ทิสฺวา อุฎฺฐาตพฺพฎฺฐาเน นิสีทิตุํ น วฎฺฎตีติ สนฺธาย วุตฺตํฯ

    ‘‘Sukhaṃ nisīditabba’’nti idampi sassusasure disvā uṭṭhātabbaṭṭhāne nisīdituṃ na vaṭṭatīti sandhāya vuttaṃ.

    ‘‘สุขํ ภุญฺชิตพฺพ’’นฺติ อิทํ ปน สสฺสุสสุรสามิเกหิ ปุเรตรํ อภุญฺชิตฺวา เต ปริวิสิตฺวา สเพฺพหิ ลทฺธาลทฺธํ ญตฺวา ปจฺฉา สยํ ภุญฺชิตุํ วฎฺฎตีติ สนฺธาย วุตฺตํฯ

    ‘‘Sukhaṃ bhuñjitabba’’nti idaṃ pana sassusasurasāmikehi puretaraṃ abhuñjitvā te parivisitvā sabbehi laddhāladdhaṃ ñatvā pacchā sayaṃ bhuñjituṃ vaṭṭatīti sandhāya vuttaṃ.

    ‘‘สุขํ นิปชฺชิตพฺพ’’นฺติ อิทมฺปิ สสฺสุสสุรสามิเกหิ ปุเรตรเมว สยนํ อารุยฺห น นิปชฺชิตพฺพํ, เตสํ กตฺตพฺพยุตฺตกํ วตฺตปฎิวตฺตํ กตฺวา ปจฺฉา สยํ นิปชฺชิตุํ ยุตฺตนฺติ อิทํ สนฺธาย วุตฺตํฯ

    ‘‘Sukhaṃ nipajjitabba’’nti idampi sassusasurasāmikehi puretarameva sayanaṃ āruyha na nipajjitabbaṃ, tesaṃ kattabbayuttakaṃ vattapaṭivattaṃ katvā pacchā sayaṃ nipajjituṃ yuttanti idaṃ sandhāya vuttaṃ.

    ‘‘อคฺคิ ปริจริตโพฺพ’’ติ อิทํ ปน สสฺสุมฺปิ สสุรมฺปิ สามิกมฺปิ อคฺคิกฺขนฺธํ วิย อุรคราชานํ วิย จ กตฺวา ปสฺสิตุํ วฎฺฎตีติ อิทํ สนฺธาย วุตฺตนฺติฯ

    ‘‘Aggi paricaritabbo’’ti idaṃ pana sassumpi sasurampi sāmikampi aggikkhandhaṃ viya uragarājānaṃ viya ca katvā passituṃ vaṭṭatīti idaṃ sandhāya vuttanti.

    เอเต ตาว เอตฺตกา คุณา โหนฺตุ, อิมิสฺสา ปน ปิตา อโนฺตเทวตา นมสฺสาเปติ, อิมสฺส โก อโตฺถติ? เอวํ กิร, อมฺมาติ? อาม, ตาตา, เอตมฺปิ หิ เม ปิตรา อิทํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อาเวณิกฆราวาสํ วสนกาลโต ปฎฺฐาย อตฺตโน ฆรทฺวารํ สมฺปตฺตปพฺพชิตํ ทิสฺวา ยํ ฆเร ขาทนียํ โภชนียํ อตฺถิ, ตโต ปพฺพชิตานํ ทตฺวาว ขาทิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ อถ นํ เต อาหํสุ – ‘‘ตุยฺหํ ปน มหาเสฎฺฐิ ปพฺพชิเต ทิสฺวา อทานเมว รุจฺจติ มเญฺญติฯ โส อญฺญํ ปฎิวจนํ อปสฺสโนฺต อโธมุโข นิสีทิ’’ฯ

    Ete tāva ettakā guṇā hontu, imissā pana pitā antodevatā namassāpeti, imassa ko atthoti? Evaṃ kira, ammāti? Āma, tātā, etampi hi me pitarā idaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘āveṇikagharāvāsaṃ vasanakālato paṭṭhāya attano gharadvāraṃ sampattapabbajitaṃ disvā yaṃ ghare khādanīyaṃ bhojanīyaṃ atthi, tato pabbajitānaṃ datvāva khādituṃ vaṭṭatī’’ti. Atha naṃ te āhaṃsu – ‘‘tuyhaṃ pana mahāseṭṭhi pabbajite disvā adānameva ruccati maññeti. So aññaṃ paṭivacanaṃ apassanto adhomukho nisīdi’’.

    อถ นํ กุฎุมฺพิกา ‘‘กิํ เสฎฺฐิ อโญฺญปิ อมฺหากํ ธีตุ โทโส อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ นตฺถิ , อยฺยาติฯ กสฺมา ปน นํ นิโทฺทสํ อการณา เคหโต นีหราเปสีติ? ตสฺมิํ ขเณ, วิสาขา, อาห – ‘‘ปฐมํ ตาว มยฺหํ มม สสุรสฺส วจเนน คมนํ น ยุตฺตํ, มยฺหํ ปน อาคมนทิวเส มม โทสาโทสํ โสธนตฺถาย มม ปิตา ตุมฺหากํ หเตฺถ ฐเปตฺวา อทาสิ, อิทานิ มยฺหํ คนฺตุํ สุข’’นฺติ ทาสิทาเส ‘‘ยานาทีนิ สชฺชานิ กโรถา’’ติ อาณาเปสิฯ อถ นํ เสฎฺฐิ เต กุฎุมฺพิเก คเหตฺวา, ‘‘อมฺม, มยา อชานิตฺวา กถิตํ, ขมาหิ มยฺห’’นฺติ อาหฯ ‘‘ตาตา, ตุมฺหากํ ขมิตพฺพํ ตาว ขมามิ, อหํ ปน พุทฺธสาสเน อเวจฺจปฺปสนฺนสฺส กุลสฺส ธีตา, น มยํ วินา ภิกฺขุสเงฺฆน วตฺตามฯ สเจ มม รุจิยา ภิกฺขุสงฺฆํ ปฎิชคฺคิตุํ ลภามิ, วสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อมฺม, ตฺวํ ยถารุจิยา ตว สมเณ ปฎิชคฺคาหี’’ติฯ

    Atha naṃ kuṭumbikā ‘‘kiṃ seṭṭhi aññopi amhākaṃ dhītu doso atthī’’ti pucchiṃsu. Natthi , ayyāti. Kasmā pana naṃ niddosaṃ akāraṇā gehato nīharāpesīti? Tasmiṃ khaṇe, visākhā, āha – ‘‘paṭhamaṃ tāva mayhaṃ mama sasurassa vacanena gamanaṃ na yuttaṃ, mayhaṃ pana āgamanadivase mama dosādosaṃ sodhanatthāya mama pitā tumhākaṃ hatthe ṭhapetvā adāsi, idāni mayhaṃ gantuṃ sukha’’nti dāsidāse ‘‘yānādīni sajjāni karothā’’ti āṇāpesi. Atha naṃ seṭṭhi te kuṭumbike gahetvā, ‘‘amma, mayā ajānitvā kathitaṃ, khamāhi mayha’’nti āha. ‘‘Tātā, tumhākaṃ khamitabbaṃ tāva khamāmi, ahaṃ pana buddhasāsane aveccappasannassa kulassa dhītā, na mayaṃ vinā bhikkhusaṅghena vattāma. Sace mama ruciyā bhikkhusaṅghaṃ paṭijaggituṃ labhāmi, vasissāmī’’ti. ‘‘Amma, tvaṃ yathāruciyā tava samaṇe paṭijaggāhī’’ti.

    ตโต, วิสาขา, ทสพลํ นิมนฺตาเปตฺวา ปุนทิวเส นิเวสนํ ปูเรนฺตี พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิสีทาเปสิฯ นคฺคปริสาปิ สตฺถุ มิคารเสฎฺฐิโน เคหํ คตภาวํ สุตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา เคหํ ปริวาเรตฺวา นิสีทิํสุฯ วิสาขา, ทกฺขิโณทกํ ทตฺวา ‘‘สโพฺพ สกฺกาโร ปฎิยาทิโต, สสุโร เม อาคนฺตฺวา ทสพลํ ปริวิสตู’’ติ สาสนํ เปเสสิฯ โส นิคณฺฐานํ วจนํ สุตฺวา ‘‘มม ธีตา สมฺมาสมฺพุทฺธํ ปริวิสตู’’ติ อาหฯ วิสาขา, นานคฺครเสหิ ทสพลํ ปริวิสิตฺวา นิฎฺฐิเต ภตฺตกิเจฺจ ปุน สาสนํ ปหิณิ – ‘‘สสุโร เม อาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ธมฺมกถํ สุณาตู’’ติฯ อถ นํ ‘‘อิทานิ อคมนํ นาม อติวิย อการณ’’นฺติ ธมฺมกถํ โสตุกมฺยตาย คจฺฉนฺตํ นคฺคสมณา อาหํสุ – ‘‘สมณสฺส โคตมสฺส ธมฺมํ สุณโนฺต พหิสาณิยํ นิสีทิตฺวา สุณาหี’’ติฯ ปุเรตรเมว จ คนฺตฺวา สาณิยา ปริกฺขิปิํสุฯ มิคารเสฎฺฐิ คนฺตฺวา พหิสาณิยํ นิสีทิฯ ตถาคโต ‘‘ตฺวํ พหิสาณิยํ วา นิสีท, ปรกุเฎฺฎ วา ปรเสเล วา ปรจกฺกวาเฬ วา นิสีทฯ อหํ พุโทฺธ นาม สโกฺกมิ ตํ มม สทฺทํ สาเวตุ’’นฺติ สุวณฺณวณฺณผลํ อมฺพรุกฺขํ ขเนฺธ คเหตฺวา จาเลโนฺต วิย ธมฺมกถํ กเถสิ, เทสนาปริโยสาเน เสฎฺฐิ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย สาณิํ อุกฺขิปิตฺวา สตฺถุ ปาเท ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา สตฺถุ สนฺติเกเยว จ ‘‘ตฺวํ, อมฺม, อชฺช อาทิํ กตฺวา มม มาตา’’ติ วิสาขํ อตฺตโน มาตุฎฺฐาเน ฐเปสิฯ ตโต ปฎฺฐาย, วิสาขา มิคารมาตา, นาม ชาตาฯ

    Tato, visākhā, dasabalaṃ nimantāpetvā punadivase nivesanaṃ pūrentī buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ nisīdāpesi. Naggaparisāpi satthu migāraseṭṭhino gehaṃ gatabhāvaṃ sutvā tattha gantvā gehaṃ parivāretvā nisīdiṃsu. Visākhā, dakkhiṇodakaṃ datvā ‘‘sabbo sakkāro paṭiyādito, sasuro me āgantvā dasabalaṃ parivisatū’’ti sāsanaṃ pesesi. So nigaṇṭhānaṃ vacanaṃ sutvā ‘‘mama dhītā sammāsambuddhaṃ parivisatū’’ti āha. Visākhā, nānaggarasehi dasabalaṃ parivisitvā niṭṭhite bhattakicce puna sāsanaṃ pahiṇi – ‘‘sasuro me āgantvā dasabalassa dhammakathaṃ suṇātū’’ti. Atha naṃ ‘‘idāni agamanaṃ nāma ativiya akāraṇa’’nti dhammakathaṃ sotukamyatāya gacchantaṃ naggasamaṇā āhaṃsu – ‘‘samaṇassa gotamassa dhammaṃ suṇanto bahisāṇiyaṃ nisīditvā suṇāhī’’ti. Puretarameva ca gantvā sāṇiyā parikkhipiṃsu. Migāraseṭṭhi gantvā bahisāṇiyaṃ nisīdi. Tathāgato ‘‘tvaṃ bahisāṇiyaṃ vā nisīda, parakuṭṭe vā parasele vā paracakkavāḷe vā nisīda. Ahaṃ buddho nāma sakkomi taṃ mama saddaṃ sāvetu’’nti suvaṇṇavaṇṇaphalaṃ ambarukkhaṃ khandhe gahetvā cālento viya dhammakathaṃ kathesi, desanāpariyosāne seṭṭhi sotāpattiphale patiṭṭhāya sāṇiṃ ukkhipitvā satthu pāde pañcapatiṭṭhitena vanditvā satthu santikeyeva ca ‘‘tvaṃ, amma, ajja ādiṃ katvā mama mātā’’ti visākhaṃ attano mātuṭṭhāne ṭhapesi. Tato paṭṭhāya, visākhā migāramātā, nāma jātā.

    สา เอกทิวสํ นกฺขตฺตสมเย วตฺตเนฺต ‘‘อโนฺตนคเร คุโณ นตฺถี’’ติ ทาสีหิ ปริวุตา สตฺถุ ธมฺมกถํ โสตุํ คจฺฉนฺตี ‘‘พุทฺธานํ สนฺติกํ อุทฺธตเวเสน คนฺตุํ อยุตฺต’’นฺติ มหาลตาปสาธนํ โอมุญฺจิตฺวา ทาสิยา หเตฺถ ทตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ, สตฺถา ธมฺมกถํ กเถสิฯ สา ธมฺมเทสนาปริโยสาเน ทสพลํ วนฺทิตฺวา นคราภิมุขา ปายาสิฯ สาปิ ทาสี อตฺตนา คหิตปสาธนสฺส ฐปิตฎฺฐานํ อสลฺลเกฺขตฺวา คจฺฉนฺตี ปสาธนตฺถาย ปฎินิวตฺติฯ อถ นํ, วิสาขา, ‘‘กหํ ปน เต ตํ ฐปิต’’นฺติ ปฎิปุจฺฉิฯ คนฺธกุฎิปริเวเณ, อเยฺยติฯ โหตุ เช คนฺตฺวา อาหร, คนฺธกุฎิปริเวเณ ฐปิตกาลโต ปฎฺฐาย อาหราปนํ นาม อมฺหากํ อยุตฺตํฯ ตสฺมา ตํ วิสฺสเชฺชตฺวา ทณฺฑกมฺมํ กริสฺสามฯ ตตฺถ ปน ฐปิเต อยฺยานํ ปลิโพโธ โหตีติฯ

    Sā ekadivasaṃ nakkhattasamaye vattante ‘‘antonagare guṇo natthī’’ti dāsīhi parivutā satthu dhammakathaṃ sotuṃ gacchantī ‘‘buddhānaṃ santikaṃ uddhatavesena gantuṃ ayutta’’nti mahālatāpasādhanaṃ omuñcitvā dāsiyā hatthe datvā satthāraṃ upasaṅkamitvā abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi, satthā dhammakathaṃ kathesi. Sā dhammadesanāpariyosāne dasabalaṃ vanditvā nagarābhimukhā pāyāsi. Sāpi dāsī attanā gahitapasādhanassa ṭhapitaṭṭhānaṃ asallakkhetvā gacchantī pasādhanatthāya paṭinivatti. Atha naṃ, visākhā, ‘‘kahaṃ pana te taṃ ṭhapita’’nti paṭipucchi. Gandhakuṭipariveṇe, ayyeti. Hotu je gantvā āhara, gandhakuṭipariveṇe ṭhapitakālato paṭṭhāya āharāpanaṃ nāma amhākaṃ ayuttaṃ. Tasmā taṃ vissajjetvā daṇḍakammaṃ karissāma. Tattha pana ṭhapite ayyānaṃ palibodho hotīti.

    ปุนทิวเส สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร วิสาขาย นิเวสนทฺวารํ สมฺปาปุณิฯ นิเวสเน จ นิพทฺธปญฺญตฺตานิ อาสนานิ ฯ วิสาขา, สตฺถุ ปตฺตํ คณฺหิตฺวา สตฺถารํ เคหํ ปเวเสตฺวา ปญฺญตฺตาสเนสุเยว นิสีทาเปตฺวา กตภตฺตกิเจฺจ สตฺถริ ตํ ปสาธนํ อาหริตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล นิกฺขิปิตฺวา ‘‘อิทํ, ภเนฺต, ตุมฺหากํ ทมฺมี’’ติ อาหฯ สตฺถา ‘‘อลงฺกาโร นาม ปพฺพชิตานํ น วฎฺฎตี’’ติ ปฎิกฺขิปิฯ ชานามิ, ภเนฺต, อหํ ปน อิมํ อคฺฆาเปตฺวา ธนํ คเหตฺวา ตุมฺหากํ วสนคนฺธกุฎิํ กาเรสฺสามีติฯ ตทา สตฺถา อธิวาเสสิฯ สาปิ ตํ อคฺฆาเปตฺวา นวโกฎิธนํ คเหตฺวา คพฺภสหสฺสปฎิมณฺฑิเต ปุพฺพารามวิหาเร ตถาคตสฺส วสนคนฺธกุฎิํ กาเรสิฯ วิสาขาย ปน นิเวสนํ ปุพฺพณฺหสมเย กาสาวปโชฺชตํ อิสิวาตปฎิวาตเมว โหติ อนาถปิณฺฑิกสฺส เคหํ วิยฯ ตสฺสาปิ เคเห สพฺพภตฺตานิ ปฎิยตฺตาเนว อเหสุํฯ สา ปุพฺพณฺหสมเย ภิกฺขุสงฺฆสฺส อามิสสงฺคหํ กตฺวา ปจฺฉาภเตฺต เภสชฺชานิ เจว อฎฺฐวิธปานานิ จ คณฺหาเปตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทตฺวา ปจฺฉา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา อาคจฺฉติฯ สตฺถา อปรภาเค อุปาสิกาโย ปฎิปาฎิยา ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต วิสาขํ มิคารมาตรํ ทายิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Punadivase satthā bhikkhusaṅghaparivāro visākhāya nivesanadvāraṃ sampāpuṇi. Nivesane ca nibaddhapaññattāni āsanāni . Visākhā, satthu pattaṃ gaṇhitvā satthāraṃ gehaṃ pavesetvā paññattāsanesuyeva nisīdāpetvā katabhattakicce satthari taṃ pasādhanaṃ āharitvā satthu pādamūle nikkhipitvā ‘‘idaṃ, bhante, tumhākaṃ dammī’’ti āha. Satthā ‘‘alaṅkāro nāma pabbajitānaṃ na vaṭṭatī’’ti paṭikkhipi. Jānāmi, bhante, ahaṃ pana imaṃ agghāpetvā dhanaṃ gahetvā tumhākaṃ vasanagandhakuṭiṃ kāressāmīti. Tadā satthā adhivāsesi. Sāpi taṃ agghāpetvā navakoṭidhanaṃ gahetvā gabbhasahassapaṭimaṇḍite pubbārāmavihāre tathāgatassa vasanagandhakuṭiṃ kāresi. Visākhāya pana nivesanaṃ pubbaṇhasamaye kāsāvapajjotaṃ isivātapaṭivātameva hoti anāthapiṇḍikassa gehaṃ viya. Tassāpi gehe sabbabhattāni paṭiyattāneva ahesuṃ. Sā pubbaṇhasamaye bhikkhusaṅghassa āmisasaṅgahaṃ katvā pacchābhatte bhesajjāni ceva aṭṭhavidhapānāni ca gaṇhāpetvā vihāraṃ gantvā bhikkhusaṅghassa datvā pacchā satthu dhammadesanaṃ sutvā āgacchati. Satthā aparabhāge upāsikāyo paṭipāṭiyā ṭhānantaresu ṭhapento visākhaṃ migāramātaraṃ dāyikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ขุชฺชุตฺตรา-สามาวตีวตฺถุ

    Khujjuttarā-sāmāvatīvatthu

    ๒๖๐-๒๖๑. ตติยจตุเตฺถสุ พหุสฺสุตานํ ยทิทํ, ขุชฺชุตฺตรา, เมตฺตาวิหารีนํ ยทิทํ, สามาวตีติ พหุสฺสุตานํ อุปาสิกานํ ขุชฺชุตฺตรา, เมตฺตาวิหารีนํ สามาวตี อคฺคาติ ทเสฺสติฯ ตา กิร เทฺวปิ ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิตฺวา อปรภาเค ‘‘สตฺถุ ธมฺมกถํ โสสฺสามา’’ติ วิหารํ อคมํสุฯ ตตฺถ, ขุชฺชุตฺตรา, สตฺถารํ เอกํ อุปาสิกํ พหุสฺสุตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สามาวตีปิ เอกํ อุปาสิกํ เมตฺตาวิหารีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ ตาสํ ทฺวินฺนมฺปิ ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรนฺตีนํเยว กปฺปสตสหสฺสํ อติกฺกนฺตํฯ

    260-261. Tatiyacatutthesu bahussutānaṃ yadidaṃ, khujjuttarā, mettāvihārīnaṃ yadidaṃ, sāmāvatīti bahussutānaṃ upāsikānaṃ khujjuttarā, mettāvihārīnaṃ sāmāvatī aggāti dasseti. Tā kira dvepi padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe paṭisandhiṃ gaṇhitvā aparabhāge ‘‘satthu dhammakathaṃ sossāmā’’ti vihāraṃ agamaṃsu. Tattha, khujjuttarā, satthāraṃ ekaṃ upāsikaṃ bahussutānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sāmāvatīpi ekaṃ upāsikaṃ mettāvihārīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Tāsaṃ dvinnampi yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devaloke nibbattitvā devamanussesu saṃsarantīnaṃyeva kappasatasahassaṃ atikkantaṃ.

    อถ อมฺหากํ สตฺถุ นิพฺพตฺติโต ปุเรตรเมว อลฺลกปฺปรเฎฺฐ อหิวาตกโรโค นาม อุทปาทิฯ เอเกกสฺมิํ เคเห เอกปฺปหาเรเนว ทสปิ วีสมฺปิ ติํสมฺปิ ชนา มรนฺติ, ติโรรฎฺฐํ คตา ปน ชีวิตํ ลภนฺติฯ ตํ ญตฺวา เอโก ปุริโส อตฺตโน ปุตฺตทารํ อาทาย ‘‘อญฺญํ รฎฺฐํ คมิสฺสามี’’ติ ตโต นิกฺขมิฯ อถสฺส ฆเร คหิตปาเถยฺยํ อนฺตรามเคฺค กนฺตาเร อนุตฺติเณฺณเยว ปริกฺขยํ อคมาสิฯ เตสํ สรีรพลํ ปริหายิ, สกิํ มาตา ปุตฺตํ อุกฺขิปติ, สกิํ ปิตาฯ อถสฺส ปิตา จิเนฺตสิ – ‘‘อมฺหากํ สรีรพลํ ปริหีนํ, ปุตฺตํ อุกฺขิปิตฺวา คจฺฉนฺตา กนฺตารํ นิตฺถริตุํ น สกฺขิสฺสามา’’ติฯ โส ตสฺส มาตรํ อชานาเปตฺวาว อุทกกิเจฺจน โอหีโน วิย ปุตฺตํ มเคฺค นิสีทาเปตฺวา เอกโกว มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ ‘‘อถสฺส ภริยา อาคมนํ โอโลกยมานา ฐิตา หเตฺถ ปุตฺตํ อทิสฺวา วิรวมานา คนฺตฺวา กหํ เม สามิ ปุโตฺต’’ติ อาหฯ โก เต ปุเตฺตน อโตฺถ? ชีวมานา ปุตฺตํ ลภิสฺสามาติฯ สา ‘‘อติสาหสิโก วตายํ ปุริโส’’ติ วตฺวา ‘‘คจฺฉ ตฺวํ, นาหํ ตาทิเสน สทฺธิํ คมิสฺสามี’’ติ อาหฯ โส ‘‘อนุปธาเรตฺวา เม ภเทฺท กตํ, ขเมตํ มยฺห’’นฺติ วตฺวา ปุตฺตํ อาทายาคโตฯ

    Atha amhākaṃ satthu nibbattito puretarameva allakapparaṭṭhe ahivātakarogo nāma udapādi. Ekekasmiṃ gehe ekappahāreneva dasapi vīsampi tiṃsampi janā maranti, tiroraṭṭhaṃ gatā pana jīvitaṃ labhanti. Taṃ ñatvā eko puriso attano puttadāraṃ ādāya ‘‘aññaṃ raṭṭhaṃ gamissāmī’’ti tato nikkhami. Athassa ghare gahitapātheyyaṃ antarāmagge kantāre anuttiṇṇeyeva parikkhayaṃ agamāsi. Tesaṃ sarīrabalaṃ parihāyi, sakiṃ mātā puttaṃ ukkhipati, sakiṃ pitā. Athassa pitā cintesi – ‘‘amhākaṃ sarīrabalaṃ parihīnaṃ, puttaṃ ukkhipitvā gacchantā kantāraṃ nittharituṃ na sakkhissāmā’’ti. So tassa mātaraṃ ajānāpetvāva udakakiccena ohīno viya puttaṃ magge nisīdāpetvā ekakova maggaṃ paṭipajji. ‘‘Athassa bhariyā āgamanaṃ olokayamānā ṭhitā hatthe puttaṃ adisvā viravamānā gantvā kahaṃ me sāmi putto’’ti āha. Ko te puttena attho? Jīvamānā puttaṃ labhissāmāti. Sā ‘‘atisāhasiko vatāyaṃ puriso’’ti vatvā ‘‘gaccha tvaṃ, nāhaṃ tādisena saddhiṃ gamissāmī’’ti āha. So ‘‘anupadhāretvā me bhadde kataṃ, khametaṃ mayha’’nti vatvā puttaṃ ādāyāgato.

    เต ตํ กนฺตารํ สมติกฺกมิตฺวา สายํ เอกํ โคปาลกกุลํ สมฺปาปุณิํสุฯ ตํ ทิวสญฺจ โคปาลกกุลวาสิโน นิรุทกปายาสํ ปจิํสุฯ เต เต ทิสฺวา ‘‘อิเม อติวิย ฉาตกา’’ติ ปายาสสฺส มหาภาชนํ ปูเรตฺวา อุฬุงฺกปูรํ สปฺปิํ อาสิญฺจิตฺวา อทํสุฯ เตสุ ตํ ปายาสํ ภุญฺชเนฺตสุ สา อิตฺถี ปมาเณเนว ภุญฺชิ, ปุริโส ปน ปมาณาติกฺกนฺตํ ภุญฺชิตฺวา ชีราเปตุํ อสโกฺกโนฺต รตฺติภาคสมนนฺตเร กาลมกาสิฯ โส กาลํ กโรโนฺต เตสุ สาลยภาเวน โคปาลกานํ เคเห สุนขิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ สุนขี นจิรเสฺสว วิชาตาฯ โคปาลโก ตํ กุกฺกุรํ สสฺสิริกํ ทิสฺวา ปิเณฺฑน ปโลเภตฺวา อตฺตนิ อุปฺปนฺนสิเนหํ คเหตฺวา สทฺธิเมว จรติฯ

    Te taṃ kantāraṃ samatikkamitvā sāyaṃ ekaṃ gopālakakulaṃ sampāpuṇiṃsu. Taṃ divasañca gopālakakulavāsino nirudakapāyāsaṃ paciṃsu. Te te disvā ‘‘ime ativiya chātakā’’ti pāyāsassa mahābhājanaṃ pūretvā uḷuṅkapūraṃ sappiṃ āsiñcitvā adaṃsu. Tesu taṃ pāyāsaṃ bhuñjantesu sā itthī pamāṇeneva bhuñji, puriso pana pamāṇātikkantaṃ bhuñjitvā jīrāpetuṃ asakkonto rattibhāgasamanantare kālamakāsi. So kālaṃ karonto tesu sālayabhāvena gopālakānaṃ gehe sunakhiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Sunakhī nacirasseva vijātā. Gopālako taṃ kukkuraṃ sassirikaṃ disvā piṇḍena palobhetvā attani uppannasinehaṃ gahetvā saddhimeva carati.

    อเถกทิวสํ เอโก ปเจฺจกพุโทฺธ ภิกฺขาจารเวลาย โคปาลกสฺส ฆรทฺวารํ สมฺปโตฺตฯ โสปิ ตํ ทิสฺวา ภิกฺขํ ทตฺวา อตฺตานํ นิสฺสาย วสนตฺถาย ปฎิญฺญํ คณฺหิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ โคปาลกกุลสฺส อวิทูเร ฐาเน เอกสฺมิํ วนสเณฺฑ วาสํ อุปคโตฯ โคปาลโก ตสฺส สนฺติกํ คจฺฉโนฺต ตํ กุกฺกุรํ คเหตฺวาว คจฺฉติ, อนฺตรามเคฺค จ วาฬมิคฎฺฐาเน วาฬมิคานํ ปลายนตฺถํ รุเกฺข วา ปาสาเณ วา ปหารํ เทติ, โสปิ กุกฺกุโร ตสฺส กรณวิธานํ ววตฺถเปติฯ อเถกทิวสํ โส โคปาลโก ปเจฺจกพุทฺธสฺส สนฺติเก นิสีทิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ สพฺพกาลํ อาคมนํ นาม น โหติฯ อยํ ปน กุกฺกุโร เฉโก, อิมสฺส อาคตสญฺญาย อมฺหากํ เคหทฺวารํ อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติ อาหฯ โส เอกทิวสํ ‘‘ปเจฺจกพุทฺธํ คณฺหิตฺวา เอหี’’ติ กุกฺกุรํ เปเสสิฯ กุกฺกุโร ตสฺส วจนํ สุตฺวา ภิกฺขาจารเวลาย คนฺตฺวา ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปาทมูเล อุเรน นิปชฺชิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ ‘‘อยํ มม สนฺติกํ อาคโต’’ติ ญตฺวา ปตฺตจีวรํ อาทาย มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ โส ตสฺส วีมํสนตฺถาย อุกฺกมิตฺวา อญฺญํ มคฺคํ คณฺหิ, กุกฺกุโร ปุรโต ฐตฺวา โคปาลกมคฺคํ ปฎิปนฺนกาเล อปสกฺกิฯ ยสฺมิํ จ ยสฺมิํ จ ฐาเน วาฬมิคานํ ปลายนตฺถํ โคปาลโก รุกฺขํ วา ปาสาณํ วา ปหริ, ตํ ตํ ฐานํ ปตฺวา กุกฺกุโร มหาวิรวํ วิรวิฯ ตสฺส สเทฺทน วาฬมิคา ปลายนฺติฯ ปเจฺจกพุโทฺธปิ ภตฺตกิจฺจเวลาย มหนฺตํ สินิทฺธปิณฺฑํ ตสฺส เทติฯ โสปิ ปิณฺฑลาเภน ปเจฺจกพุเทฺธ อุตฺตริตรํ สิเนหํ กโรติฯ

    Athekadivasaṃ eko paccekabuddho bhikkhācāravelāya gopālakassa gharadvāraṃ sampatto. Sopi taṃ disvā bhikkhaṃ datvā attānaṃ nissāya vasanatthāya paṭiññaṃ gaṇhi. Paccekabuddho gopālakakulassa avidūre ṭhāne ekasmiṃ vanasaṇḍe vāsaṃ upagato. Gopālako tassa santikaṃ gacchanto taṃ kukkuraṃ gahetvāva gacchati, antarāmagge ca vāḷamigaṭṭhāne vāḷamigānaṃ palāyanatthaṃ rukkhe vā pāsāṇe vā pahāraṃ deti, sopi kukkuro tassa karaṇavidhānaṃ vavatthapeti. Athekadivasaṃ so gopālako paccekabuddhassa santike nisīditvā, ‘‘bhante, amhākaṃ sabbakālaṃ āgamanaṃ nāma na hoti. Ayaṃ pana kukkuro cheko, imassa āgatasaññāya amhākaṃ gehadvāraṃ āgaccheyyāthā’’ti āha. So ekadivasaṃ ‘‘paccekabuddhaṃ gaṇhitvā ehī’’ti kukkuraṃ pesesi. Kukkuro tassa vacanaṃ sutvā bhikkhācāravelāya gantvā paccekabuddhassa pādamūle urena nipajji. Paccekabuddho ‘‘ayaṃ mama santikaṃ āgato’’ti ñatvā pattacīvaraṃ ādāya maggaṃ paṭipajji. So tassa vīmaṃsanatthāya ukkamitvā aññaṃ maggaṃ gaṇhi, kukkuro purato ṭhatvā gopālakamaggaṃ paṭipannakāle apasakki. Yasmiṃ ca yasmiṃ ca ṭhāne vāḷamigānaṃ palāyanatthaṃ gopālako rukkhaṃ vā pāsāṇaṃ vā pahari, taṃ taṃ ṭhānaṃ patvā kukkuro mahāviravaṃ viravi. Tassa saddena vāḷamigā palāyanti. Paccekabuddhopi bhattakiccavelāya mahantaṃ siniddhapiṇḍaṃ tassa deti. Sopi piṇḍalābhena paccekabuddhe uttaritaraṃ sinehaṃ karoti.

    โคปาลโก เตมาสํ วุตฺถสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส ติจีวรปฺปโหนกํ สาฎกํ ทตฺวา, ‘‘ภเนฺต, สเจ โว รุจฺจติ, อิเธว วสถฯ โน เจ รุจฺจติ, ยถาสุขํ คจฺฉถา’’ติ อาหฯ ปเจฺจกพุโทฺธ คมนาการํ ทเสฺสติฯ โส โคปาลโก ปเจฺจกพุทฺธํ อนุคนฺตฺวา นิวตฺตติฯ กุกฺกุโร ปเจฺจกพุทฺธสฺส อญฺญตฺถ คมนภาวํ ญตฺวา อติสิเนเหน อุปฺปนฺนพลวโสโก หทยผาลนํ ปตฺวา กาลํ กตฺวา ตาวติํสปุเร นิพฺพตฺติฯ อถสฺส ปเจฺจกพุเทฺธน สทฺธิํ คมนกาเล อุจฺจาสทฺทํ กตฺวา วาฬมิคานํ ปลาปิตภาเวน เทวตาหิ สทฺธิํ กเถนฺตสฺส สโทฺท สกลเทวปุรํ ฉาเทตฺวา อฎฺฐาสิฯ โส เตเนว นามเธยฺยํ ลภิตฺวา โฆสกเทวปุโตฺต นาม ชาโตฯ อถสฺส ตสฺมิํ สมฺปตฺติํ อนุภวนฺตสฺส มนุสฺสปเถ โกสมฺพินคเร อุเทโน นาม ราชา รชฺชํ ปฎิปชฺชิฯ ตสฺส วตฺถุ มชฺฌิมปณฺณาสเก โพธิราชกุมารสุตฺตวณฺณนายํ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๒๔ อาทโย) วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Gopālako temāsaṃ vutthassa paccekabuddhassa ticīvarappahonakaṃ sāṭakaṃ datvā, ‘‘bhante, sace vo ruccati, idheva vasatha. No ce ruccati, yathāsukhaṃ gacchathā’’ti āha. Paccekabuddho gamanākāraṃ dasseti. So gopālako paccekabuddhaṃ anugantvā nivattati. Kukkuro paccekabuddhassa aññattha gamanabhāvaṃ ñatvā atisinehena uppannabalavasoko hadayaphālanaṃ patvā kālaṃ katvā tāvatiṃsapure nibbatti. Athassa paccekabuddhena saddhiṃ gamanakāle uccāsaddaṃ katvā vāḷamigānaṃ palāpitabhāvena devatāhi saddhiṃ kathentassa saddo sakaladevapuraṃ chādetvā aṭṭhāsi. So teneva nāmadheyyaṃ labhitvā ghosakadevaputto nāma jāto. Athassa tasmiṃ sampattiṃ anubhavantassa manussapathe kosambinagare udeno nāma rājā rajjaṃ paṭipajji. Tassa vatthu majjhimapaṇṇāsake bodhirājakumārasuttavaṇṇanāyaṃ (ma. ni. aṭṭha. 2.324 ādayo) vuttanayeneva veditabbaṃ.

    ตสฺมิํ ปน รชฺชํ การยมาเน โฆสกเทวปุโตฺต จวิตฺวา โกสมฺพิยํ เอกิสฺสา รูปูปชีวินิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ สา ทสมาสจฺจเยน วิชายิตฺวา ปุตฺตภาวํ ญตฺวา สงฺการกูเฎ ฉฑฺฑาเปสิฯ ตสฺมิํ ขเณ โกสมฺพิเสฎฺฐิโน กมฺมนฺติโก ปาโตว เสฎฺฐิฆรํ คจฺฉโนฺต ‘‘กิํ นุ โข อิมํ กาเกหิ สมฺปริกิณฺณ’’นฺติ คนฺตฺวา ทารกํ ทิสฺวา ‘‘มหาปุญฺญวา เอส ทารโก ภวิสฺสตี’’ติ เอกสฺส ปุริสสฺส หเตฺถ เคหํ เปเสตฺวา เสฎฺฐิฆรํ อคมาสิฯ เสฎฺฐิปิ ราชูปฎฺฐานเวลาย ราชกุลํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค ปุโรหิตํ ทิสฺวา ‘‘อชฺช กิํ นกฺขตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ โส ตเตฺถว ฐิโต คเณตฺวา ‘‘อสุกํ นาม นกฺขตฺตํ, อชฺช อิมินา นกฺขเตฺตน ชาตทารโก อิมสฺมิํ นคเร เสฎฺฐิฎฺฐานํ ลภิสฺสตี’’ติ อาหฯ โส ตสฺส กถํ สุตฺวา เวเคน ฆรํ เปเสสิ – ‘‘อิมสฺส ปุโรหิตสฺส เทฺว กถา นาม นตฺถิ, ฆรณี จ เม ครุคพฺภา, ชานาถ ตาว นํ วิชาตา วา โน วา’’ติฯ เต คนฺตฺวา ชานิตฺวา, ‘‘อยฺย, น ตาว วิชาตา’’ติ อาหํสุฯ เตน หิ คจฺฉถ, อิมสฺมิํ นคเร อชฺช ชาตทารกํ ปริเยสถาติฯ เต ปริเยสนฺตา ตสฺส เสฎฺฐิโน กมฺมนฺติกสฺส เคเห ตํ ทารกํ ทิสฺวา เสฎฺฐิโน อาโรจยิํสุฯ เตน หิ คจฺฉถ ภเณ, ตํ กมฺมนฺติกํ ปโกฺกสถาติฯ เต ตํ ปโกฺกสิํสุฯ อถ นํ เสฎฺฐิ ‘‘เคเห กิร เต ทารโก อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, อยฺยา’’ติฯ ‘‘ตํ ทารกํ อมฺหากํ เทหี’’ติฯ ‘‘น เทมิ, อยฺยา’’ติฯ ‘‘หนฺท สหสฺสํ คณฺหิตฺวา เทหี’’ติฯ โส ‘‘อยํ ชีเวยฺย วา มเรยฺย วา, ทุชฺชานมิท’’นฺติ สหสฺสํ คณฺหิตฺวา อทาสิฯ

    Tasmiṃ pana rajjaṃ kārayamāne ghosakadevaputto cavitvā kosambiyaṃ ekissā rūpūpajīviniyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Sā dasamāsaccayena vijāyitvā puttabhāvaṃ ñatvā saṅkārakūṭe chaḍḍāpesi. Tasmiṃ khaṇe kosambiseṭṭhino kammantiko pātova seṭṭhigharaṃ gacchanto ‘‘kiṃ nu kho imaṃ kākehi samparikiṇṇa’’nti gantvā dārakaṃ disvā ‘‘mahāpuññavā esa dārako bhavissatī’’ti ekassa purisassa hatthe gehaṃ pesetvā seṭṭhigharaṃ agamāsi. Seṭṭhipi rājūpaṭṭhānavelāya rājakulaṃ gacchanto antarāmagge purohitaṃ disvā ‘‘ajja kiṃ nakkhatta’’nti pucchi. So tattheva ṭhito gaṇetvā ‘‘asukaṃ nāma nakkhattaṃ, ajja iminā nakkhattena jātadārako imasmiṃ nagare seṭṭhiṭṭhānaṃ labhissatī’’ti āha. So tassa kathaṃ sutvā vegena gharaṃ pesesi – ‘‘imassa purohitassa dve kathā nāma natthi, gharaṇī ca me garugabbhā, jānātha tāva naṃ vijātā vā no vā’’ti. Te gantvā jānitvā, ‘‘ayya, na tāva vijātā’’ti āhaṃsu. Tena hi gacchatha, imasmiṃ nagare ajja jātadārakaṃ pariyesathāti. Te pariyesantā tassa seṭṭhino kammantikassa gehe taṃ dārakaṃ disvā seṭṭhino ārocayiṃsu. Tena hi gacchatha bhaṇe, taṃ kammantikaṃ pakkosathāti. Te taṃ pakkosiṃsu. Atha naṃ seṭṭhi ‘‘gehe kira te dārako atthī’’ti pucchi. ‘‘Āma, ayyā’’ti. ‘‘Taṃ dārakaṃ amhākaṃ dehī’’ti. ‘‘Na demi, ayyā’’ti. ‘‘Handa sahassaṃ gaṇhitvā dehī’’ti. So ‘‘ayaṃ jīveyya vā mareyya vā, dujjānamida’’nti sahassaṃ gaṇhitvā adāsi.

    ตโต เสฎฺฐิ จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ เม ภริยา ธีตรํ วิชายิสฺสติ, อิมเมว ปุตฺตํ กริสฺสามิฯ สเจ ปุตฺตํ วิชายิสฺสติ, มาเรสฺสามี’’ติฯ จิเนฺตตฺวา เคเห โปเสสิฯ อถสฺส ภริยา กติปาหจฺจเยน ปุตฺตํ วิชายิฯ ตโต เสฎฺฐิ ‘‘เอวํ ตํ คาโว มทฺทิตฺวา มาเรสฺสนฺตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อิมํ ทารกํ วชทฺวาเร นิปชฺชาเปถา’’ติ อาหฯ ตํ ตตฺถ นิปชฺชาเปสุํฯ อถ นํ ยูถปติ อุสโภ ปฐมํ นิกฺขมโนฺต ทิสฺวา ‘‘เอวํ ตํ อเญฺญ น มทฺทิสฺสนฺตี’’ติ จตุนฺนํ ปาทานํ อนฺตเร กตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ โคปาลกา ทิสฺวา ‘‘มหาปุโญฺญ เอส ทารโก ภวิสฺสติ , ยสฺส ติรจฺฉานคตาปิ คุณํ ชานนฺติ, ปฎิชคฺคิสฺสาม น’’นฺติ อตฺตโน เคหํ นยิํสุฯ

    Tato seṭṭhi cintesi – ‘‘sace me bhariyā dhītaraṃ vijāyissati, imameva puttaṃ karissāmi. Sace puttaṃ vijāyissati, māressāmī’’ti. Cintetvā gehe posesi. Athassa bhariyā katipāhaccayena puttaṃ vijāyi. Tato seṭṭhi ‘‘evaṃ taṃ gāvo madditvā māressantī’’ti cintetvā ‘‘imaṃ dārakaṃ vajadvāre nipajjāpethā’’ti āha. Taṃ tattha nipajjāpesuṃ. Atha naṃ yūthapati usabho paṭhamaṃ nikkhamanto disvā ‘‘evaṃ taṃ aññe na maddissantī’’ti catunnaṃ pādānaṃ antare katvā aṭṭhāsi. Atha naṃ gopālakā disvā ‘‘mahāpuñño esa dārako bhavissati , yassa tiracchānagatāpi guṇaṃ jānanti, paṭijaggissāma na’’nti attano gehaṃ nayiṃsu.

    โสปิ เสฎฺฐิ ตสฺส มตภาวํ อนุวิชฺชโนฺต ‘‘โคปาลเกหิ นีโต’’ติ สุตฺวา ปุน สหสฺสํ ทตฺวา อาณาเปตฺวา อามกสุสาเน ฉฑฺฑาเปสิฯ ตสฺมิํ จ กาเล เสฎฺฐิสฺส ฆเร อชปาลโก สุสานํ นิสฺสาย อชิกา จาเรติฯ อเถกา เธนุ อชิกา ทารกสฺส ปุเญฺญน มคฺคา โอกฺกมฺม คนฺตฺวา ทารกสฺส ขีรํ ทตฺวา คตาฯ ตโต นิวตฺตมานาปิ ตเถว คนฺตฺวา ขีรมทาสิฯ อชปาลโก จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ อชิกา ปาโตปิ อิมสฺมา ฐานา โอกฺกมิตฺวา คตา, กิํ นุ โข เอต’’นฺติ คนฺตฺวา โอโลเกโนฺต ตํ ทารกํ ทิสฺวา ‘‘มหาปุโญฺญ เอส ทารโก, ติรจฺฉานคตาปิสฺส คุณํ ชานนฺติ, ปฎิชคฺคิสฺสามิ น’’นฺติ คเหตฺวา เคหํ คโตฯ

    Sopi seṭṭhi tassa matabhāvaṃ anuvijjanto ‘‘gopālakehi nīto’’ti sutvā puna sahassaṃ datvā āṇāpetvā āmakasusāne chaḍḍāpesi. Tasmiṃ ca kāle seṭṭhissa ghare ajapālako susānaṃ nissāya ajikā cāreti. Athekā dhenu ajikā dārakassa puññena maggā okkamma gantvā dārakassa khīraṃ datvā gatā. Tato nivattamānāpi tatheva gantvā khīramadāsi. Ajapālako cintesi – ‘‘ayaṃ ajikā pātopi imasmā ṭhānā okkamitvā gatā, kiṃ nu kho eta’’nti gantvā olokento taṃ dārakaṃ disvā ‘‘mahāpuñño esa dārako, tiracchānagatāpissa guṇaṃ jānanti, paṭijaggissāmi na’’nti gahetvā gehaṃ gato.

    ปุนทิวเส เสฎฺฐิ ‘‘มโต นุ โข ทารโก, น มโต’’ติ โอโลกาเปโนฺต อชปาลเกน คหิตภาวํ ญตฺวา สหสฺสํ ทตฺวา อาณาเปตฺวา ‘‘เสฺว อิมํ นครํ เอโก สตฺถวาหปุโตฺต ปวิสิสฺสติ, อิมํ ทารกํ เนตฺวา จกฺกมเคฺค ฐเปถ, เอวํ ตํ สกฎจกฺกํ ฉินฺทนฺตํ คมิสฺสตี’’ติ อาหฯ ตํ ตตฺถ นิกฺขิตฺตํ สตฺถวาหปุตฺตสฺส ปุริมสกเฎ โคณา ทิสฺวา จตฺตาโร ปาเท ถเมฺภ วิย โอตาเรตฺวา อฎฺฐํสุฯ สตฺถวาโห ‘‘กิํ นุ โข เอต’’นฺติ เตสํ ฐิตการณํ โอโลเกโนฺต ทารกํ ทิสฺวา ‘‘มหาปุโญฺญ ทารโก, ปติชคฺคิตุํ วฎฺฎตี’’ติ คณฺหิตฺวา อคมาสิฯ

    Punadivase seṭṭhi ‘‘mato nu kho dārako, na mato’’ti olokāpento ajapālakena gahitabhāvaṃ ñatvā sahassaṃ datvā āṇāpetvā ‘‘sve imaṃ nagaraṃ eko satthavāhaputto pavisissati, imaṃ dārakaṃ netvā cakkamagge ṭhapetha, evaṃ taṃ sakaṭacakkaṃ chindantaṃ gamissatī’’ti āha. Taṃ tattha nikkhittaṃ satthavāhaputtassa purimasakaṭe goṇā disvā cattāro pāde thambhe viya otāretvā aṭṭhaṃsu. Satthavāho ‘‘kiṃ nu kho eta’’nti tesaṃ ṭhitakāraṇaṃ olokento dārakaṃ disvā ‘‘mahāpuñño dārako, patijaggituṃ vaṭṭatī’’ti gaṇhitvā agamāsi.

    เสฎฺฐิปิ ตสฺส จกฺกปเถ มตภาวํ วา อมตภาวํ วา โอโลกาเปโนฺต สตฺถวาเหน คหิตภาวํ ญตฺวา ตสฺสปิ สหสฺสํ ทตฺวา อาณาเปตฺวา นครโต อวิทูเร ฐาเน ปปาเต ปาตาเปสิฯ โส ตตฺถ ปปตโนฺต นฬการานํ กมฺมกรณฎฺฐาเน เอกสาลาย ปติโตฯ สา ตสฺส ปุญฺญานุภาเวน สตวิหตกปฺปาสปิจุสมฺผสฺสสทิสา อโหสิฯ อถ นํ นฬการเชฎฺฐโก ‘‘ปุญฺญวา เอส ทารโก, ปฎิชคฺคิตุํ วฎฺฎตี’’ติ คณฺหิตฺวา เคหํ คโตฯ เสฎฺฐิ ทารกสฺส ปปาตโต ปติตฎฺฐาเน มตภาวํ วา อมตภาวํ วา ปริเยสาเปโนฺต นฬการเชฎฺฐเกน คหิตภาวํ ญตฺวา ตสฺสปิ สหสฺสํ ทตฺวา อาณาเปสิฯ

    Seṭṭhipi tassa cakkapathe matabhāvaṃ vā amatabhāvaṃ vā olokāpento satthavāhena gahitabhāvaṃ ñatvā tassapi sahassaṃ datvā āṇāpetvā nagarato avidūre ṭhāne papāte pātāpesi. So tattha papatanto naḷakārānaṃ kammakaraṇaṭṭhāne ekasālāya patito. Sā tassa puññānubhāvena satavihatakappāsapicusamphassasadisā ahosi. Atha naṃ naḷakārajeṭṭhako ‘‘puññavā esa dārako, paṭijaggituṃ vaṭṭatī’’ti gaṇhitvā gehaṃ gato. Seṭṭhi dārakassa papātato patitaṭṭhāne matabhāvaṃ vā amatabhāvaṃ vā pariyesāpento naḷakārajeṭṭhakena gahitabhāvaṃ ñatvā tassapi sahassaṃ datvā āṇāpesi.

    อปรภาเค เสฎฺฐิสฺส สกปุโตฺตปิ โสปิ อุโภ วยปฺปตฺตา อเหสุํฯ เสฎฺฐิ ปุน โฆสกทารกสฺส มารณุปายํ จิเนฺตโนฺต อตฺตโน กุมฺภการสฺส เคหํ คนฺตฺวา ‘‘อโมฺภ มยฺหํ เคเห เอวรูโป เอโก อวชาตทารโก อตฺถิ, ตํ ทารกํ ยํกิญฺจิ กตฺวา มาเรตุํ วฎฺฎติ รหเสฺสนา’’ติ อาหฯ โส อุโภปิ กเณฺณ ปิทหิตฺวา ‘‘เอวรูปํ นาม ภาริยํ กถํ กเถตุํ น วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ ตโต เสฎฺฐิ ‘‘อยํ มุธา น กริสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา – ‘‘หนฺท, โภ, สหสฺสํ คณฺหิตฺวา เอตํ กมฺมํ นิปฺผาเทหี’’ติ อาหฯ ลญฺชํ นาม อภินฺนํ ภินฺทติ, ตสฺมา โส สหสฺสํ ลภิตฺวา สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘อหํ, อยฺย, อสุกทิวเส นาม อาวาปํ อาลิเมฺปสฺสามิ, ตทา ตํ ทารกํ อสุกเวลาย นาม เปเสหี’’ติ อาหฯ เสฎฺฐิปิ โข ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ทิวเส คเณโนฺต กุมฺภกาเรน วุตฺตทิวสสฺส สมฺปตฺตภาวํ ญตฺวา โฆสกกุมารํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อมฺหากํ, ตาต, อสุกทิวเส นาม พหูหิ ภาชเนหิ อโตฺถ, ตฺวํ อมฺหากํ กุมฺภการสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘ปิตรา กิร เม ตุมฺหากํ เอกํ กถิตํ อตฺถิ, ตํ อชฺช นิปฺผาเทหี’ติ วเทหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา นิกฺขมิฯ

    Aparabhāge seṭṭhissa sakaputtopi sopi ubho vayappattā ahesuṃ. Seṭṭhi puna ghosakadārakassa māraṇupāyaṃ cintento attano kumbhakārassa gehaṃ gantvā ‘‘ambho mayhaṃ gehe evarūpo eko avajātadārako atthi, taṃ dārakaṃ yaṃkiñci katvā māretuṃ vaṭṭati rahassenā’’ti āha. So ubhopi kaṇṇe pidahitvā ‘‘evarūpaṃ nāma bhāriyaṃ kathaṃ kathetuṃ na vaṭṭatī’’ti āha. Tato seṭṭhi ‘‘ayaṃ mudhā na karissatī’’ti cintetvā – ‘‘handa, bho, sahassaṃ gaṇhitvā etaṃ kammaṃ nipphādehī’’ti āha. Lañjaṃ nāma abhinnaṃ bhindati, tasmā so sahassaṃ labhitvā sampaṭicchitvā ‘‘ahaṃ, ayya, asukadivase nāma āvāpaṃ ālimpessāmi, tadā taṃ dārakaṃ asukavelāya nāma pesehī’’ti āha. Seṭṭhipi kho tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā tato paṭṭhāya divase gaṇento kumbhakārena vuttadivasassa sampattabhāvaṃ ñatvā ghosakakumāraṃ pakkosāpetvā ‘‘amhākaṃ, tāta, asukadivase nāma bahūhi bhājanehi attho, tvaṃ amhākaṃ kumbhakārassa santikaṃ gantvā ‘pitarā kira me tumhākaṃ ekaṃ kathitaṃ atthi, taṃ ajja nipphādehī’ti vadehī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā nikkhami.

    อถ นํ อนฺตรามเคฺค เสฎฺฐิสฺส สกปุโตฺต คุฬกีฬํ กีฬโนฺต ทิสฺวา เวเคน คนฺตฺวา ‘‘อหํ ภาติก ทารเกหิ สทฺธิํ กีฬโนฺต เอตฺตกํ นาม ชิโต, ตํ เม ปฎิชินิตฺวา เทหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘มยฺหํ อิทานิ โอกาโส นตฺถิ, ปิตา มํ อจฺจายิกกเมฺมน กุมฺภการสฺส สนฺติกํ ปหิณี’’ติ อาหฯ อิตโร ‘‘อหํ ภาติก ตตฺถ คมิสฺสามิ, ตฺวํ อิเมหิ สทฺธิํ กีฬิตฺวา มยฺหํ ลกฺขํ ปจฺจาหริตฺวา เทหี’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ คจฺฉา’’ติ อตฺตโน กถิตสาสนํ ตสฺส กเถตฺวา ทารเกหิ สทฺธิํ กีฬิฯ โสปิ กุมาโร กุมฺภการสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตํ สาสนํ อาโรเจสิฯ โส ‘‘สาธุ, ตาต, นิปฺผาเทสฺสามี’’ติ ตํ กุมารํ คพฺภํ ปเวเสตฺวา ติขิณาย วาสิยา ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉินฺทิตฺวา จาฎิยํ ปกฺขิปิตฺวา จาฎิมุขํ ปิทหิตฺวา ภาชนนฺตเร ฐเปตฺวา อาวาปํ อาลิเมฺปสิฯ โฆสกกุมาโร พหู ชินิตฺวา กนิฎฺฐสฺส อาคมนํ โอโลเกโนฺต นิสีทิฯ โส ตํ จิรายมานํ ญตฺวา ‘‘กิํ นุ โข จิรายตี’’ติ กุมฺภการเคหสภาคํ คนฺตฺวา กตฺถจิ อทิสฺวา ‘‘เคหํ คโต ภวิสฺสตี’’ติ นิวตฺติตฺวา เคหํ อคมาสิฯ

    Atha naṃ antarāmagge seṭṭhissa sakaputto guḷakīḷaṃ kīḷanto disvā vegena gantvā ‘‘ahaṃ bhātika dārakehi saddhiṃ kīḷanto ettakaṃ nāma jito, taṃ me paṭijinitvā dehī’’ti āha. So ‘‘mayhaṃ idāni okāso natthi, pitā maṃ accāyikakammena kumbhakārassa santikaṃ pahiṇī’’ti āha. Itaro ‘‘ahaṃ bhātika tattha gamissāmi, tvaṃ imehi saddhiṃ kīḷitvā mayhaṃ lakkhaṃ paccāharitvā dehī’’ti āha. ‘‘Tena hi gacchā’’ti attano kathitasāsanaṃ tassa kathetvā dārakehi saddhiṃ kīḷi. Sopi kumāro kumbhakārassa santikaṃ gantvā taṃ sāsanaṃ ārocesi. So ‘‘sādhu, tāta, nipphādessāmī’’ti taṃ kumāraṃ gabbhaṃ pavesetvā tikhiṇāya vāsiyā khaṇḍākhaṇḍikaṃ chinditvā cāṭiyaṃ pakkhipitvā cāṭimukhaṃ pidahitvā bhājanantare ṭhapetvā āvāpaṃ ālimpesi. Ghosakakumāro bahū jinitvā kaniṭṭhassa āgamanaṃ olokento nisīdi. So taṃ cirāyamānaṃ ñatvā ‘‘kiṃ nu kho cirāyatī’’ti kumbhakāragehasabhāgaṃ gantvā katthaci adisvā ‘‘gehaṃ gato bhavissatī’’ti nivattitvā gehaṃ agamāsi.

    เสฎฺฐิ นํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข การณํ ภวิสฺสติ, มยา เอส มารณตฺถาย กุมฺภการสฺส สนฺติกํ ปหิโต, โส ทานิ ปุน อิเธวาคจฺฉตี’’ติ อาคจฺฉนฺตํเยว นํ ‘‘กิํ, ตาต, กุมฺภการสฺส สนฺติกํ น คโตสี’’ติ อาหฯ ‘‘อาม, ตาต, น คโตมฺหี’’ติฯ ‘‘กสฺมา, ตาตา’’ติ? โส อตฺตโน นิวตฺตการณญฺจ กนิฎฺฐภาติกสฺส ตตฺถ คตการณญฺจ อาโรเจสิฯ เสฎฺฐิ ตสฺส วจนสฺส สุตกาลโต ปฎฺฐาย มหาปถวิยา อโชฺฌตฺถโฎ วิย หุตฺวา ‘‘กิํ นาเมตํ ตฺวํ วทสี’’ติ วิปฺผนฺทจิโตฺต เวเคน กุมฺภการสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อเญฺญสํ สนฺติเก อกถนียภาเวน ‘‘เปกฺข, โภ, เปกฺข, โภ’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ เปกฺขาเปสิ ตฺวํ’’? นิฎฺฐิตํ เอตํ กมฺมนฺติฯ โส ตโตว นิวตฺติตฺวา เคหํ อคมาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย จสฺส เจตสิกโรโค อุปฺปชฺชิฯ

    Seṭṭhi naṃ dūratova āgacchantaṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho kāraṇaṃ bhavissati, mayā esa māraṇatthāya kumbhakārassa santikaṃ pahito, so dāni puna idhevāgacchatī’’ti āgacchantaṃyeva naṃ ‘‘kiṃ, tāta, kumbhakārassa santikaṃ na gatosī’’ti āha. ‘‘Āma, tāta, na gatomhī’’ti. ‘‘Kasmā, tātā’’ti? So attano nivattakāraṇañca kaniṭṭhabhātikassa tattha gatakāraṇañca ārocesi. Seṭṭhi tassa vacanassa sutakālato paṭṭhāya mahāpathaviyā ajjhotthaṭo viya hutvā ‘‘kiṃ nāmetaṃ tvaṃ vadasī’’ti vipphandacitto vegena kumbhakārassa santikaṃ gantvā aññesaṃ santike akathanīyabhāvena ‘‘pekkha, bho, pekkha, bho’’ti āha. ‘‘Kiṃ pekkhāpesi tvaṃ’’? Niṭṭhitaṃ etaṃ kammanti. So tatova nivattitvā gehaṃ agamāsi. Tato paṭṭhāya cassa cetasikarogo uppajji.

    โส ตสฺมิํ กาเล เตน สทฺธิํ อภุญฺชิตฺวา อาสํ ภินฺทิตฺวา ‘‘เยน เกนจิ อุปาเยน มม ปุตฺตสฺส สตฺตุโน อนฺตรเมว ปสฺสิตุํ วฎฺฎตี’’ติ เอกํ ปณฺณํ ลิขิตฺวา โฆสกกุมารํ ปโกฺกสิตฺวา ‘‘ตฺวํ อิมํ ปณฺณํ อาทาย อสุกคาเม นาม อมฺหากํ กมฺมนฺติโก อตฺถิ, ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อิมํ ปณฺณํ ทตฺวา ‘อิมสฺมิํ กิร ปเณฺณ สาสนํ สีฆํ กโรหี’ติ วทฯ อนฺตรามเคฺค อมฺหากํ สหายโก คามกเสฎฺฐิ นาม เอโก เสฎฺฐิ อตฺถิ, ตสฺส ฆรํ คนฺตฺวา ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา คเจฺฉยฺยาสี’’ติ จ มุขสาสนํ อทาสิฯ โส เสฎฺฐิํ วนฺทิตฺวา ปณฺณํ คเหตฺวา นิกฺขโนฺต อนฺตรามเคฺค คามกเสฎฺฐิสฺส วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ตสฺส เคหํ ปุจฺฉิตฺวา ตํ พหิทฺวารโกฎฺฐเก นิสีทิตฺวา มสฺสุปริกมฺมํ กโรนฺตํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ ‘‘กุโต อาคจฺฉสิ, ตาตา’’ติ จ วุเตฺต ‘‘โกสมฺพิเสฎฺฐิโน ปุโตฺตมฺหิ, ตาตา’’ติ อาหฯ โส ‘‘อมฺหากํ สหายเสฎฺฐิโน ปุโตฺต’’ติ หฎฺฐตุโฎฺฐ อโหสิฯ

    So tasmiṃ kāle tena saddhiṃ abhuñjitvā āsaṃ bhinditvā ‘‘yena kenaci upāyena mama puttassa sattuno antarameva passituṃ vaṭṭatī’’ti ekaṃ paṇṇaṃ likhitvā ghosakakumāraṃ pakkositvā ‘‘tvaṃ imaṃ paṇṇaṃ ādāya asukagāme nāma amhākaṃ kammantiko atthi, tassa santikaṃ gantvā imaṃ paṇṇaṃ datvā ‘imasmiṃ kira paṇṇe sāsanaṃ sīghaṃ karohī’ti vada. Antarāmagge amhākaṃ sahāyako gāmakaseṭṭhi nāma eko seṭṭhi atthi, tassa gharaṃ gantvā bhattaṃ bhuñjitvā gaccheyyāsī’’ti ca mukhasāsanaṃ adāsi. So seṭṭhiṃ vanditvā paṇṇaṃ gahetvā nikkhanto antarāmagge gāmakaseṭṭhissa vasanaṭṭhānaṃ gantvā tassa gehaṃ pucchitvā taṃ bahidvārakoṭṭhake nisīditvā massuparikammaṃ karontaṃ vanditvā aṭṭhāsi. ‘‘Kuto āgacchasi, tātā’’ti ca vutte ‘‘kosambiseṭṭhino puttomhi, tātā’’ti āha. So ‘‘amhākaṃ sahāyaseṭṭhino putto’’ti haṭṭhatuṭṭho ahosi.

    ตสฺมิํ จ ขเณ ตสฺส เสฎฺฐิโน ธีตาย เอกา ทาสี เสฎฺฐิธีตุ ปุปฺผานิ อาหริตุํ คจฺฉติฯ อถ นํ เสฎฺฐิ อาห – ‘‘ตฺวํ, อมฺม, เอตํ กมฺมํ ฐเปตฺวา โฆสกกุมารสฺส ปาเท โธวิตฺวา สยนํ อตฺถริตฺวา เทหี’’ติฯ สา ตถา กตฺวา อาปณํ คนฺตฺวา เสฎฺฐิธีตุ ปุปฺผานิ อาหริฯ เสฎฺฐิธีตา ตํ ทิสฺวา ‘‘ตฺวํ อชฺช จิรํ พหิ ปปเญฺจสี’’ติ ตสฺสา กุชฺฌิตฺวา ‘‘กิํ เต เอตฺตกํ กาลํ เอตฺถ กต’’นฺติ อาหฯ ‘‘มา กเถสิ, อเยฺย, มยา เอวรูโป นทิฎฺฐปุโพฺพ, ตุยฺหํ กิร ปิตุ สหายกเสฎฺฐิโน ปุโตฺต เอโก, น สกฺกา ตสฺส รูปสมฺปตฺติํ กเถตุํฯ เสฎฺฐิ มํ ปุปฺผานํ อตฺถาย คจฺฉนฺติํ ‘ตสฺส กุมารสฺส ปาเท โธวิตฺวา สยนํ อตฺถริตฺวา เทหี’ติ อาห, เตนาหํ พหิ จิรํ ปปเญฺจสิ’’นฺติฯ สาปิ โข เสฎฺฐิธีตา ตสฺส กุมารสฺส จตุเตฺถ อตฺตภาเว ฆรสามินี อโหสิ, ตสฺมา ตสฺสา วจนสฺส สุตกาลโต ปฎฺฐาย เนว อตฺตโน ฐิตภาวํ , น นิสินฺนภาวํ อญฺญาสิฯ สา ตเมว ทาสิํ คเหตฺวา ตสฺส นิปนฺนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ตํ นิทฺทายมานํ โอโลเกตฺวา ทุสฺสเนฺต ปณฺณํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข เอตํ ปณฺณ’’นฺติ กุมารํ อนุฎฺฐาเปตฺวาว ปณฺณํ คเหตฺวา วาเจตฺวา ‘‘อยํ อตฺตโน มรณปณฺณํ สยเมว คเหตฺวา อาคจฺฉตี’’ติ ตํ ปณฺณํ ผาเลตฺวา ตสฺมิํ อปฺปพุเทฺธเยว ‘‘มยา ตว สนฺติกํ ปุโตฺต เปสิโต, สหายกสฺส เม คามกเสฎฺฐิสฺส วยปฺปตฺตา ทาริกา อตฺถิ, ตฺวํ สีฆํ อมฺหากํ อาณาปวตฺติฎฺฐาเน อุปฺปาทํ ธนํ คณฺหิตฺวา สพฺพสเตน มม ปุตฺตสฺส คามกเสฎฺฐิโน ธีตรํ คเหตฺวา มงฺคลํ กโรหิฯ มงฺคเล จ นิฎฺฐิเต ‘อิมินา เม วิธาเนน กต’นฺติ มยฺหํ สาสนํ เปเสหิฯ อหํ ตว อิธ กตฺตพฺพํ ชานิสฺสามี’’ติ ปณฺณํ ลิขิตฺวา ตเมว ลญฺฉนํ ทตฺวา ปฐมํ พทฺธนิยาเมเนว ทุสฺสเนฺต พนฺธิฯ

    Tasmiṃ ca khaṇe tassa seṭṭhino dhītāya ekā dāsī seṭṭhidhītu pupphāni āharituṃ gacchati. Atha naṃ seṭṭhi āha – ‘‘tvaṃ, amma, etaṃ kammaṃ ṭhapetvā ghosakakumārassa pāde dhovitvā sayanaṃ attharitvā dehī’’ti. Sā tathā katvā āpaṇaṃ gantvā seṭṭhidhītu pupphāni āhari. Seṭṭhidhītā taṃ disvā ‘‘tvaṃ ajja ciraṃ bahi papañcesī’’ti tassā kujjhitvā ‘‘kiṃ te ettakaṃ kālaṃ ettha kata’’nti āha. ‘‘Mā kathesi, ayye, mayā evarūpo nadiṭṭhapubbo, tuyhaṃ kira pitu sahāyakaseṭṭhino putto eko, na sakkā tassa rūpasampattiṃ kathetuṃ. Seṭṭhi maṃ pupphānaṃ atthāya gacchantiṃ ‘tassa kumārassa pāde dhovitvā sayanaṃ attharitvā dehī’ti āha, tenāhaṃ bahi ciraṃ papañcesi’’nti. Sāpi kho seṭṭhidhītā tassa kumārassa catutthe attabhāve gharasāminī ahosi, tasmā tassā vacanassa sutakālato paṭṭhāya neva attano ṭhitabhāvaṃ , na nisinnabhāvaṃ aññāsi. Sā tameva dāsiṃ gahetvā tassa nipannaṭṭhānaṃ gantvā taṃ niddāyamānaṃ oloketvā dussante paṇṇaṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho etaṃ paṇṇa’’nti kumāraṃ anuṭṭhāpetvāva paṇṇaṃ gahetvā vācetvā ‘‘ayaṃ attano maraṇapaṇṇaṃ sayameva gahetvā āgacchatī’’ti taṃ paṇṇaṃ phāletvā tasmiṃ appabuddheyeva ‘‘mayā tava santikaṃ putto pesito, sahāyakassa me gāmakaseṭṭhissa vayappattā dārikā atthi, tvaṃ sīghaṃ amhākaṃ āṇāpavattiṭṭhāne uppādaṃ dhanaṃ gaṇhitvā sabbasatena mama puttassa gāmakaseṭṭhino dhītaraṃ gahetvā maṅgalaṃ karohi. Maṅgale ca niṭṭhite ‘iminā me vidhānena kata’nti mayhaṃ sāsanaṃ pesehi. Ahaṃ tava idha kattabbaṃ jānissāmī’’ti paṇṇaṃ likhitvā tameva lañchanaṃ datvā paṭhamaṃ baddhaniyāmeneva dussante bandhi.

    โสปิ โข กุมาโร ตํทิวสํ ตตฺถ วสิตฺวา ปุนทิวเส เสฎฺฐิํ อาปุจฺฉิตฺวา กมฺมนฺติกสฺส คามํ คนฺตฺวา ปณฺณํ อทาสิ ฯ กมฺมนฺติโก ปณฺณํ วาเจตฺวา คามิเก สนฺนิปาเตตฺวา ‘‘ตุเมฺหว มํ น คเณถ, มม สามี อตฺตโน เชฎฺฐปุตฺตสฺส สพฺพสเตน ทาริกํ อาเนตุํ มยฺหํ สนฺติกํ เปเสสิ, เวเคน อิมสฺมิํ ฐาเน อุปฺปาทํ สมฺปิเณฺฑถา’’ติ สพฺพํ มงฺคลสกฺการํ สเชฺชตฺวา คามกเสฎฺฐิสฺส สาสนํ เปเสตฺวา สมฺปฎิจฺฉาเปตฺวา สพฺพสเตน มงฺคลกิริยํ นิฎฺฐาเปตฺวา โกสมฺพิเสฎฺฐิสฺส ปณฺณํ ปหิณิ ‘‘มยา ตุเมฺหหิ ปหิตปเณฺณ สาสนํ สุตฺวา อิทญฺจิทญฺจ กต’’นฺติฯ

    Sopi kho kumāro taṃdivasaṃ tattha vasitvā punadivase seṭṭhiṃ āpucchitvā kammantikassa gāmaṃ gantvā paṇṇaṃ adāsi . Kammantiko paṇṇaṃ vācetvā gāmike sannipātetvā ‘‘tumheva maṃ na gaṇetha, mama sāmī attano jeṭṭhaputtassa sabbasatena dārikaṃ ānetuṃ mayhaṃ santikaṃ pesesi, vegena imasmiṃ ṭhāne uppādaṃ sampiṇḍethā’’ti sabbaṃ maṅgalasakkāraṃ sajjetvā gāmakaseṭṭhissa sāsanaṃ pesetvā sampaṭicchāpetvā sabbasatena maṅgalakiriyaṃ niṭṭhāpetvā kosambiseṭṭhissa paṇṇaṃ pahiṇi ‘‘mayā tumhehi pahitapaṇṇe sāsanaṃ sutvā idañcidañca kata’’nti.

    เสฎฺฐิ ตํ สาสนํ สุตฺวา อคฺคิทโฑฺฒ วิย ‘‘อิทานิ นโฎฺฐมฺหี’’ติ จินฺตนวเสน โลหิตปกฺขนฺทิกโรคํ ปตฺวา ‘‘เยน เกนจิ ตํ อุปาเยน ปโกฺกสิตฺวา มม สนฺตกสฺส อสฺสามิกํ กริสฺสามี’’ติ ‘‘มงฺคลสฺส นิฎฺฐิตกาลโต ปฎฺฐาย กสฺมา มยฺหํ ปุโตฺต พหิ โหติ, สีฆํ อาคจฺฉตู’’ติ สาสนํ เปเสสิฯ สาสนํ สุตฺวา กุมาเร คนฺตุํ อารเทฺธ เสฎฺฐิธีตา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ พาโล มํ นิสฺสาย อิมํ สมฺปตฺติํ อลตฺถนฺติ น ชานาติ, ยํกิญฺจิ กตฺวา อิมสฺส คมนปฎิพาหนุปาโย กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ตโต นํ อาห – ‘‘กุมาร, มา อติเวเคน คจฺฉาหิ, กุลคามํ คจฺฉเนฺตน นาม อตฺตโน ปริวจฺฉํ กตฺวา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ

    Seṭṭhi taṃ sāsanaṃ sutvā aggidaḍḍho viya ‘‘idāni naṭṭhomhī’’ti cintanavasena lohitapakkhandikarogaṃ patvā ‘‘yena kenaci taṃ upāyena pakkositvā mama santakassa assāmikaṃ karissāmī’’ti ‘‘maṅgalassa niṭṭhitakālato paṭṭhāya kasmā mayhaṃ putto bahi hoti, sīghaṃ āgacchatū’’ti sāsanaṃ pesesi. Sāsanaṃ sutvā kumāre gantuṃ āraddhe seṭṭhidhītā cintesi – ‘‘ayaṃ bālo maṃ nissāya imaṃ sampattiṃ alatthanti na jānāti, yaṃkiñci katvā imassa gamanapaṭibāhanupāyo kātuṃ vaṭṭatī’’ti. Tato naṃ āha – ‘‘kumāra, mā ativegena gacchāhi, kulagāmaṃ gacchantena nāma attano parivacchaṃ katvā gantuṃ vaṭṭatī’’ti.

    โกสมฺพกเสฎฺฐิปิ ตสฺส จิรายนภาวํ ญตฺวา ปุน สาสนํ ปหิณิ ‘‘กสฺมา เม ปุโตฺต จิรายติ, อหํ โลหิตปกฺขนฺทิกโรคํ ปโตฺต, ชีวนฺตเมว มํ อาคนฺตฺวา ทฎฺฐุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ตสฺมิํ กาเล เสฎฺฐิธีตา ตสฺส อาโรเจสิ – ‘‘น เอโส ตว ปิตา, ตฺวํ ปน ‘ปิตา’ติ สญฺญํ กโรสิ ฯ เอส ตว มารณตฺถาย กมฺมนฺติกสฺส ปณฺณํ ปหิณิ, อหํ ตํ ปณฺณํ อปเนตฺวา อญฺญํ สาสนํ ลิขิตฺวา ตว เอตํ สมฺปตฺติํ อุปฺปาทยิํฯ เอส ตํ ‘อปุตฺตํ กริสฺสามี’ติ ปโกฺกสติ, เอตสฺส กาลกิริยํ อาคเมหี’’ติฯ อถสฺส ธรมานกเสฺสว กาลกตภาวํ สุตฺวา โกสมฺพินครํ อคมาสิฯ เสฎฺฐิธีตาปิ ตสฺส พหิเยว สญฺญํ อทาสิ ‘‘ตฺวํ ปวิสโนฺต สกลเคเห ตว อารกฺขํ ฐเปโนฺตว ปวิสาหี’’ติฯ สยมฺปิ เสฎฺฐิปุเตฺตน สทฺธิเมว ปวิสิตฺวา อุโภ หเตฺถ อุกฺขิปิตฺวา โรทนฺตี วิย หุตฺวา อนฺธการฎฺฐาเน นิปนฺนกสฺส เสฎฺฐิสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา สีเสเนว หทยํ ปหริฯ โส ทุพฺพลตาย เตเนว ปหาเรน กาลมกาสิฯ

    Kosambakaseṭṭhipi tassa cirāyanabhāvaṃ ñatvā puna sāsanaṃ pahiṇi ‘‘kasmā me putto cirāyati, ahaṃ lohitapakkhandikarogaṃ patto, jīvantameva maṃ āgantvā daṭṭhuṃ vaṭṭatī’’ti. Tasmiṃ kāle seṭṭhidhītā tassa ārocesi – ‘‘na eso tava pitā, tvaṃ pana ‘pitā’ti saññaṃ karosi . Esa tava māraṇatthāya kammantikassa paṇṇaṃ pahiṇi, ahaṃ taṃ paṇṇaṃ apanetvā aññaṃ sāsanaṃ likhitvā tava etaṃ sampattiṃ uppādayiṃ. Esa taṃ ‘aputtaṃ karissāmī’ti pakkosati, etassa kālakiriyaṃ āgamehī’’ti. Athassa dharamānakasseva kālakatabhāvaṃ sutvā kosambinagaraṃ agamāsi. Seṭṭhidhītāpi tassa bahiyeva saññaṃ adāsi ‘‘tvaṃ pavisanto sakalagehe tava ārakkhaṃ ṭhapentova pavisāhī’’ti. Sayampi seṭṭhiputtena saddhimeva pavisitvā ubho hatthe ukkhipitvā rodantī viya hutvā andhakāraṭṭhāne nipannakassa seṭṭhissa santikaṃ gantvā sīseneva hadayaṃ pahari. So dubbalatāya teneva pahārena kālamakāsi.

    กุมาโรปิ ปิตุ สรีรกิจฺจํ กตฺวา ‘‘ตุเมฺห มหาเสฎฺฐิสฺส มํ สกปุโตฺตติ วทถา’’ติ ปาทมูลิกานํ ลญฺชํ อทาสิฯ ตโต สตฺตเม ทิวเส ราชา ‘‘เสฎฺฐิฎฺฐานารหํ เอกํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ ‘‘เสฎฺฐิสฺส สปุตฺตกนิปุตฺตกภาวํ ชานาถา’’ติ เปเสสิฯ เสฎฺฐิปาทมูลิกา รโญฺญ เสฎฺฐิสฺส สปุตฺตภาวํ กถยิํสุฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตสฺส เสฎฺฐิฎฺฐานํ อทาสิฯ โส โฆสกเสฎฺฐิ นาม ชาโตฯ อถ นํ ภริยา อาห – ‘‘อยฺยปุตฺต, ตฺวมฺปิ อวชาโต, อหมฺปิ ทุคฺคตกุเล นิพฺพตฺตาฯ ปุเพฺพ กตกุสลวเสน ปน เอวรูปํ สมฺปตฺติํ อลภิมฺห, อธุนาปิ กุสลํ กริสฺสามา’’ติฯ โส ‘‘สาธุ ภเทฺท’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เทวสิกํ สหสฺสํ วิสฺสเชฺชตฺวา ทานํ ปฎฺฐเปสิฯ

    Kumāropi pitu sarīrakiccaṃ katvā ‘‘tumhe mahāseṭṭhissa maṃ sakaputtoti vadathā’’ti pādamūlikānaṃ lañjaṃ adāsi. Tato sattame divase rājā ‘‘seṭṭhiṭṭhānārahaṃ ekaṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti ‘‘seṭṭhissa saputtakaniputtakabhāvaṃ jānāthā’’ti pesesi. Seṭṭhipādamūlikā rañño seṭṭhissa saputtabhāvaṃ kathayiṃsu. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tassa seṭṭhiṭṭhānaṃ adāsi. So ghosakaseṭṭhi nāma jāto. Atha naṃ bhariyā āha – ‘‘ayyaputta, tvampi avajāto, ahampi duggatakule nibbattā. Pubbe katakusalavasena pana evarūpaṃ sampattiṃ alabhimha, adhunāpi kusalaṃ karissāmā’’ti. So ‘‘sādhu bhadde’’ti sampaṭicchitvā devasikaṃ sahassaṃ vissajjetvā dānaṃ paṭṭhapesi.

    ตสฺมิํ สมเย ตาสํ ทฺวินฺนํ ชนานํ ขุชฺชุตฺตรา เทวโลกโต จวิตฺวา โฆสกเสฎฺฐิสฺส เคเห ธาติยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ สา ชาตกาเล ขุชฺชา อโหสีติ ขุชฺชุตฺตราเตวสฺสา นามํ อกํสุฯ สามาวตีปิ เทวโลกโต จวิตฺวา ภทฺทวติยรเฎฺฐ ภทฺทิยนคเร ภทฺทวติยเสฎฺฐิสฺส เคเห ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, สามาติสฺสา นามํ อกํสุฯ อปรภาเค ตสฺมิํ นคเร ฉาตกภยํ อุปฺปชฺชิ, มนุสฺสา ฉาตกภยภีตา เยน วา เตน วา คจฺฉนฺติฯ ตทา อยํ ภทฺทวติยเสฎฺฐิ ภริยาย สทฺธิํ มเนฺตสิ – ‘‘ภเทฺท อิมสฺมิํ ฉาตกภยสฺส อโนฺต น ปญฺญายติ, โกสมฺพินคเร อมฺหากํ สหายกสฺส โฆสกเสฎฺฐิสฺส สนฺติกํ คจฺฉาม, น โส อเมฺห ทิสฺวา ปมชฺชิสฺสตี’’ติฯ ตสฺส กิร โส เสฎฺฐิ อทิฎฺฐสหายโก อโหสิ, ตสฺมา เอวมาหฯ โส เสสชนํ นิวตฺตาเปตฺวา ภริยญฺจ ธีตรญฺจ คณฺหิตฺวา โกสมฺพินครสฺส มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ เต ตโยปิ อนฺตรามเคฺค มหาทุกฺขํ อนุภวนฺตา อนุปุเพฺพน โกสมฺพิํ ปตฺวา เอกาย สาลาย นิวาสํ อกํสุฯ

    Tasmiṃ samaye tāsaṃ dvinnaṃ janānaṃ khujjuttarā devalokato cavitvā ghosakaseṭṭhissa gehe dhātiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Sā jātakāle khujjā ahosīti khujjuttarātevassā nāmaṃ akaṃsu. Sāmāvatīpi devalokato cavitvā bhaddavatiyaraṭṭhe bhaddiyanagare bhaddavatiyaseṭṭhissa gehe paṭisandhiṃ gaṇhi, sāmātissā nāmaṃ akaṃsu. Aparabhāge tasmiṃ nagare chātakabhayaṃ uppajji, manussā chātakabhayabhītā yena vā tena vā gacchanti. Tadā ayaṃ bhaddavatiyaseṭṭhi bhariyāya saddhiṃ mantesi – ‘‘bhadde imasmiṃ chātakabhayassa anto na paññāyati, kosambinagare amhākaṃ sahāyakassa ghosakaseṭṭhissa santikaṃ gacchāma, na so amhe disvā pamajjissatī’’ti. Tassa kira so seṭṭhi adiṭṭhasahāyako ahosi, tasmā evamāha. So sesajanaṃ nivattāpetvā bhariyañca dhītarañca gaṇhitvā kosambinagarassa maggaṃ paṭipajji. Te tayopi antarāmagge mahādukkhaṃ anubhavantā anupubbena kosambiṃ patvā ekāya sālāya nivāsaṃ akaṃsu.

    โฆสกเสฎฺฐิปิ โข อตฺตโน ฆรทฺวาเร กปณทฺธิกวนิพฺพกยาจกานํ มหาทานํ ทาเปสิฯ อถายํ ภทฺทวติยเสฎฺฐิ จิเนฺตสิ – ‘‘น สกฺกา อเมฺหหิ อิมินาว กปณเวเสน สหายกสฺส อตฺตานํ ทเสฺสตุํ, สรีเร ปากติเก ชาเต สุนิวตฺถา สุปารุตา เสฎฺฐิํ ปสฺสิสฺสามา’’ติฯ เต อุโภปิ ธีตรํ โฆสกเสฎฺฐิสฺส ทานคฺคํ ปหิณิํสุฯ สา อตฺตโน ภตฺตํ อาหรณตฺถาย ภาชนํ คเหตฺวา ทานคฺคํ คนฺตฺวา เอกสฺมิํ โอกาเส ลชฺชมานรูปา อฎฺฐาสิฯ ตํ ทิสฺวา ทานกมฺมิโก จิเนฺตสิ – ‘‘เสสชนา สมฺมุขสมฺมุขฎฺฐาเน เกวฎฺฎา มจฺฉวิโลเป วิย มหาสทฺทํ กตฺวา คณฺหิตฺวา คจฺฉนฺติ, อยํ ปน ทาริกา กุลธีตา ภวิสฺสติ, อุปธิสมฺปทาปิสฺสา อตฺถี’’ติฯ

    Ghosakaseṭṭhipi kho attano gharadvāre kapaṇaddhikavanibbakayācakānaṃ mahādānaṃ dāpesi. Athāyaṃ bhaddavatiyaseṭṭhi cintesi – ‘‘na sakkā amhehi imināva kapaṇavesena sahāyakassa attānaṃ dassetuṃ, sarīre pākatike jāte sunivatthā supārutā seṭṭhiṃ passissāmā’’ti. Te ubhopi dhītaraṃ ghosakaseṭṭhissa dānaggaṃ pahiṇiṃsu. Sā attano bhattaṃ āharaṇatthāya bhājanaṃ gahetvā dānaggaṃ gantvā ekasmiṃ okāse lajjamānarūpā aṭṭhāsi. Taṃ disvā dānakammiko cintesi – ‘‘sesajanā sammukhasammukhaṭṭhāne kevaṭṭā macchavilope viya mahāsaddaṃ katvā gaṇhitvā gacchanti, ayaṃ pana dārikā kuladhītā bhavissati, upadhisampadāpissā atthī’’ti.

    ตโต นํ อาห – ‘‘ตฺวํ, อมฺม, กสฺมา เสสชโน วิย คณฺหิตฺวา น คจฺฉสี’’ติ? ตาต, เอวรูปํ สมฺพาธฎฺฐานํ กินฺติ กตฺวา ปวิสามีติฯ อมฺม, กติ ปน ชนา ตุเมฺหติ? ตโย ชนา, ตาตาติฯ โส ตโย ภตฺตปิเณฺฑ อทาสิฯ สา ตํ ภตฺตํ มาตาปิตูนํ อทาสิ, ปิตา ทีฆรตฺตํ ฉาตกตฺตา อติเรกํ ภุญฺชิตฺวา กาลมกาสิฯ สา ปุนทิวเส คนฺตฺวา เทฺวเยว ภตฺตปิเณฺฑ คณฺหิฯ ตํทิวสํ เสฎฺฐิภริยา ภเตฺตน จ กิลนฺตตาย เสฎฺฐิโน จ มรณโสเกน รตฺติภาคสมนนฺตเร กาลมกาสิฯ สา ปุนทิวเส เสฎฺฐิธีตา เอกเมว ภตฺตปิณฺฑํ คณฺหิฯ ทานกมฺมิโก ตสฺสา กิริยํ อุปธาเรตฺวา, ‘‘อมฺม, ตยา ปฐมทิวเส ตโย ปิณฺฑา คหิตา, ปุนทิวเส เทฺว, อชฺช เอกเมว คณฺหสิฯ กิํ นุ โข การณ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ สา ตํ การณํ กเถสิฯ กตรคามวาสิโน ปน, อมฺม, ตุเมฺหติฯ สา ตมฺปิ การณํ นิปฺปเทสโต กเถสิฯ ‘‘อมฺม, เอวํ สเนฺต ตฺวํ อมฺหากํ เสฎฺฐิธีตา นาม อโหสิ, มยฺหญฺจ อญฺญา ทาริกา นตฺถิ, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย มม ธีตา, อมฺมา’’ติ ตํ ธีตรํ กตฺวา คณฺหิฯ

    Tato naṃ āha – ‘‘tvaṃ, amma, kasmā sesajano viya gaṇhitvā na gacchasī’’ti? Tāta, evarūpaṃ sambādhaṭṭhānaṃ kinti katvā pavisāmīti. Amma, kati pana janā tumheti? Tayo janā, tātāti. So tayo bhattapiṇḍe adāsi. Sā taṃ bhattaṃ mātāpitūnaṃ adāsi, pitā dīgharattaṃ chātakattā atirekaṃ bhuñjitvā kālamakāsi. Sā punadivase gantvā dveyeva bhattapiṇḍe gaṇhi. Taṃdivasaṃ seṭṭhibhariyā bhattena ca kilantatāya seṭṭhino ca maraṇasokena rattibhāgasamanantare kālamakāsi. Sā punadivase seṭṭhidhītā ekameva bhattapiṇḍaṃ gaṇhi. Dānakammiko tassā kiriyaṃ upadhāretvā, ‘‘amma, tayā paṭhamadivase tayo piṇḍā gahitā, punadivase dve, ajja ekameva gaṇhasi. Kiṃ nu kho kāraṇa’’nti pucchi. Sā taṃ kāraṇaṃ kathesi. Kataragāmavāsino pana, amma, tumheti. Sā tampi kāraṇaṃ nippadesato kathesi. ‘‘Amma, evaṃ sante tvaṃ amhākaṃ seṭṭhidhītā nāma ahosi, mayhañca aññā dārikā natthi, tvaṃ ito paṭṭhāya mama dhītā, ammā’’ti taṃ dhītaraṃ katvā gaṇhi.

    สา อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย ทานเคฺค มหาสทฺทํ สุตฺวา ‘‘กสฺมา อยํ, ตาต, อุจฺจาสทฺทมหาสโทฺท’’ติ อาหฯ อมฺม, มหาชนสฺส อนฺตเร นาม อปฺปสทฺทํ กาตุํ น สกฺกาติฯ อหเมตฺถ อุปายํ ชานามิ, ตาตาติฯ กิํ กาตุํ วฎฺฎติ, อมฺมาติ? สมนฺตา วติํ กตฺวา เทฺว ทฺวารานิ โยเชตฺวา อโนฺต ภาชนานิ ฐปาเปตฺวา เอเกน ทฺวาเรน ปวิสิตฺวา ภตฺตํ คณฺหิตฺวา เอเกน ทฺวาเรน นิกฺขมนํ กโรถ, ตาตาติฯ สาธุ, อมฺมาติ ปุนทิวสโต ปฎฺฐาย ตถา กาเรสิฯ ตโต ปฎฺฐาย ทานคฺคํ ปทุมสฺสรํ วิย สนฺนิสินฺนสทฺทํ อโหสิฯ

    Sā uṭṭhāya samuṭṭhāya dānagge mahāsaddaṃ sutvā ‘‘kasmā ayaṃ, tāta, uccāsaddamahāsaddo’’ti āha. Amma, mahājanassa antare nāma appasaddaṃ kātuṃ na sakkāti. Ahamettha upāyaṃ jānāmi, tātāti. Kiṃ kātuṃ vaṭṭati, ammāti? Samantā vatiṃ katvā dve dvārāni yojetvā anto bhājanāni ṭhapāpetvā ekena dvārena pavisitvā bhattaṃ gaṇhitvā ekena dvārena nikkhamanaṃ karotha, tātāti. Sādhu, ammāti punadivasato paṭṭhāya tathā kāresi. Tato paṭṭhāya dānaggaṃ padumassaraṃ viya sannisinnasaddaṃ ahosi.

    ตโต โฆสกเสฎฺฐิ ปุเพฺพ ทานคฺคสฺมิํ อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทํ สุตฺวา ตทา ตํ อสุณโนฺต ทานกมฺมิกํ ปโกฺกสาเปตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘ตฺวํ อชฺช ทานํ น ทาเปสี’’ติฯ ทินฺนํ , อยฺยาติฯ อถ กสฺมา ปุเพฺพ วิย ทานเคฺค สโทฺท น สุยฺยตีติ? อาม, อยฺย, เอกา เม ธีตา อตฺถิ, อหํ ตาย กถิตอุปาเย ฐตฺวา ทานคฺคํ นิสฺสทฺทมกาสินฺติฯ ตว ธีตา นาม นตฺถิ, กุโต เต ธีตา ลทฺธาติ? โส วเญฺจตุํ อสกฺกุเณยฺยภาเวน เสฎฺฐิสฺส สพฺพํ ธีตุ อาคมนวิธานํ กเถสิฯ กสฺมา ปน โภ ตฺวํ เอวรูปํ ภาริยํ กมฺมมกาสิ? ตฺวํ เอตฺตกํ อทฺธานํ มม ธีตรํ อตฺตโน สนฺติเก วสมานํ นาโรเจสิ , เวเคน ตํ อมฺหากํ เคหํ อาณาเปหีติฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา อกามโก อาณาเปสิฯ ตโต ปฎฺฐาย เสฎฺฐิ ตํ ธีตุฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ‘‘ธีตุ สกฺการํ กโรมี’’ติ อตฺตโน สมานชาติเกหิ กุเลหิ ธีตุ สมานวยานิ ปญฺจ กุมาริกสตานิ ตสฺสา ปริวารมกาสิฯ

    Tato ghosakaseṭṭhi pubbe dānaggasmiṃ uccāsaddamahāsaddaṃ sutvā tadā taṃ asuṇanto dānakammikaṃ pakkosāpetvā pucchi – ‘‘tvaṃ ajja dānaṃ na dāpesī’’ti. Dinnaṃ , ayyāti. Atha kasmā pubbe viya dānagge saddo na suyyatīti? Āma, ayya, ekā me dhītā atthi, ahaṃ tāya kathitaupāye ṭhatvā dānaggaṃ nissaddamakāsinti. Tava dhītā nāma natthi, kuto te dhītā laddhāti? So vañcetuṃ asakkuṇeyyabhāvena seṭṭhissa sabbaṃ dhītu āgamanavidhānaṃ kathesi. Kasmā pana bho tvaṃ evarūpaṃ bhāriyaṃ kammamakāsi? Tvaṃ ettakaṃ addhānaṃ mama dhītaraṃ attano santike vasamānaṃ nārocesi , vegena taṃ amhākaṃ gehaṃ āṇāpehīti. So tassa vacanaṃ sutvā akāmako āṇāpesi. Tato paṭṭhāya seṭṭhi taṃ dhītuṭṭhāne ṭhapetvā ‘‘dhītu sakkāraṃ karomī’’ti attano samānajātikehi kulehi dhītu samānavayāni pañca kumārikasatāni tassā parivāramakāsi.

    อเถกทิวสํ อุเทโน ราชา นคเร อนุสญฺจรโนฺต ตํ สามาวติํ ตาหิ กุมารีหิ ปริวาริตํ กีฬมานํ ทิสฺวา ‘‘กสฺสายํ ทาริกา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘โฆสกเสฎฺฐิสฺส ธีตา’’ติ สุตฺวา สสฺสามิกอสฺสามิกภาวํ ปุจฺฉิฯ ตโต อสฺสามิกภาเว กถิเต ‘‘คจฺฉถ เสฎฺฐิโน กเถถ ‘ตุมฺหากํ ธีตรํ ราชา อิจฺฉตี’’’ติฯ ตํ สุตฺวา เสฎฺฐิ ‘‘อมฺหากํ อญฺญา ทาริกา นตฺถิ, เอกธีติกํ สปตฺติวาเส ทาตุํ น สโกฺกมา’’ติฯ ราชา ตํ กถํ สุตฺวา เสฎฺฐิํ จ เสฎฺฐิภริยญฺจ พหิ กตฺวา สกลเคหํ ลญฺฉาเปสิฯ สามาวตี พหิ กีฬิตฺวา อาคจฺฉนฺตี มาตาปิตโร พหิ นิสินฺนเก ทิสฺวา ‘‘อมฺมตาตา, กสฺมา อิธ นิสินฺนตฺถา’’ติ? เต ตํ การณํ กถยิํสุฯ อมฺมตาตา, กสฺมา ตุเมฺห อิมํ ปฎิวจนํ น ชานาถ ‘‘มม ธีตา สปตฺติวาเส วสนฺตี เอกิกา วสิตุํ น สกฺขิสฺสติ, สจสฺสา ปริวารา ปญฺจสตา กุมาริโย วสาเปถ, เอวํ วสิสฺสตี’’ติฯ อิทานิ เอวํ กถาเปถ, ตาตาติฯ ‘‘สาธุ, อมฺม, มยํ ตว จิตฺตํ น ชานิมฺหา’’ติ วตฺวา เต ตถา กถยิํสุฯ ราชา อุตฺตริตรํ ปสีทิตฺวา ‘‘สหสฺสมฺปิ โหตุ, สพฺพา อาเนถา’’ติ อาหฯ อถ นํ ภทฺทเกน นกฺขตฺตมุหุตฺตเกน ปญฺจมาตุคามสตปริวารํ ราชเคหํ นยิํสุฯ ราชา ตา ปญฺจสตาปิ ตสฺสาเยว ปริวารํ กตฺวา อภิเสกํ กตฺวา วิสุํ เอกสฺมิํ ปาสาเท วสาเปสิฯ

    Athekadivasaṃ udeno rājā nagare anusañcaranto taṃ sāmāvatiṃ tāhi kumārīhi parivāritaṃ kīḷamānaṃ disvā ‘‘kassāyaṃ dārikā’’ti pucchitvā ‘‘ghosakaseṭṭhissa dhītā’’ti sutvā sassāmikaassāmikabhāvaṃ pucchi. Tato assāmikabhāve kathite ‘‘gacchatha seṭṭhino kathetha ‘tumhākaṃ dhītaraṃ rājā icchatī’’’ti. Taṃ sutvā seṭṭhi ‘‘amhākaṃ aññā dārikā natthi, ekadhītikaṃ sapattivāse dātuṃ na sakkomā’’ti. Rājā taṃ kathaṃ sutvā seṭṭhiṃ ca seṭṭhibhariyañca bahi katvā sakalagehaṃ lañchāpesi. Sāmāvatī bahi kīḷitvā āgacchantī mātāpitaro bahi nisinnake disvā ‘‘ammatātā, kasmā idha nisinnatthā’’ti? Te taṃ kāraṇaṃ kathayiṃsu. Ammatātā, kasmā tumhe imaṃ paṭivacanaṃ na jānātha ‘‘mama dhītā sapattivāse vasantī ekikā vasituṃ na sakkhissati, sacassā parivārā pañcasatā kumāriyo vasāpetha, evaṃ vasissatī’’ti. Idāni evaṃ kathāpetha, tātāti. ‘‘Sādhu, amma, mayaṃ tava cittaṃ na jānimhā’’ti vatvā te tathā kathayiṃsu. Rājā uttaritaraṃ pasīditvā ‘‘sahassampi hotu, sabbā ānethā’’ti āha. Atha naṃ bhaddakena nakkhattamuhuttakena pañcamātugāmasataparivāraṃ rājagehaṃ nayiṃsu. Rājā tā pañcasatāpi tassāyeva parivāraṃ katvā abhisekaṃ katvā visuṃ ekasmiṃ pāsāde vasāpesi.

    เตน จ สมเยน โกสมฺพิยํ โฆสกเสฎฺฐิ กุกฺกุฎเสฎฺฐิ ปวาริกเสฎฺฐีติ ตโย ชนา อญฺญมญฺญํ สหายกา โหนฺติฯ เต ตโยปิ ชนา ปญฺจสเต ตาปเส ปฎิชคฺคนฺติฯ ตาปสาปิ จตฺตาโร มาเส เตสํ สนฺติเก วสิตฺวา อฎฺฐ มาเส หิมวเนฺต วสนฺติฯ อเถกทิวสํ เต ตาปสา หิมวนฺตโต อาคจฺฉนฺตา มหากนฺตาเร ตสิตา กิลนฺตา เอกํ มหนฺตํ วฎรุกฺขํ ปตฺวา ตตฺถ อธิวตฺถาย เทวตาย สนฺติกา สงฺคหํ ปจฺจาสีสนฺตา นิสีทิํสุฯ เทวตา สพฺพาลงฺการวิภูสิตํ หตฺถํ ปสาเรตฺวา เตสํ ปานียปานกาทีนิ ทตฺวา กิลมถํ ปฎิวิโนเทสิฯ เต เทวตาย อานุภาเวน วิมฺหิตา ปุจฺฉิํสุ – ‘‘กิํ นุ โข เทวเต กมฺมํ กตฺวา ตยา อยํ สมฺปตฺติ ลทฺธา’’ติ? เทวตา อาห – โลเก พุโทฺธ นาม ภควา อุปฺปโนฺน, โส เอตรหิ สาวตฺถิยํ วิหรติฯ อนาถปิณฺฑิโก คหปติ ตํ อุปฎฺฐาติฯ โส อุโปสถทิวเสสุ อตฺตโน ภตกานํ ปกติภตฺตเวตนเมว ทตฺวา อุโปสถํ การาเปสิฯ อถาหํ เอกทิวสํ มชฺฌนฺหิเก ปาตราสตฺถาย อาคโต กญฺจิ ภตกํ กมฺมํ กโรนฺตํ อทิสฺวา ‘‘อชฺช มนุสฺสา กสฺมา กมฺมํ น กโรนฺตี’’ติ ปุจฺฉิํฯ ตสฺส เม เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ อถาหํ เอตทโวจํ – ‘‘อิทานิ อุปฑฺฒทิวโส คโต, สกฺกา นุ โข อุปฑฺฒอุโปสถํ กาตุ’’นฺติฯ ตโต เสฎฺฐิสฺส ปฎิเวเทตฺวา ‘‘สกฺกา กาตุ’’นฺติ อาหฯ สฺวาหํ อุปฑฺฒทิวสํ อุโปสถํ สมาทิยิตฺวา ตทเหว กาลํ กตฺวา อิมํ สมฺปตฺติํ ปฎิลภินฺติฯ

    Tena ca samayena kosambiyaṃ ghosakaseṭṭhi kukkuṭaseṭṭhi pavārikaseṭṭhīti tayo janā aññamaññaṃ sahāyakā honti. Te tayopi janā pañcasate tāpase paṭijagganti. Tāpasāpi cattāro māse tesaṃ santike vasitvā aṭṭha māse himavante vasanti. Athekadivasaṃ te tāpasā himavantato āgacchantā mahākantāre tasitā kilantā ekaṃ mahantaṃ vaṭarukkhaṃ patvā tattha adhivatthāya devatāya santikā saṅgahaṃ paccāsīsantā nisīdiṃsu. Devatā sabbālaṅkāravibhūsitaṃ hatthaṃ pasāretvā tesaṃ pānīyapānakādīni datvā kilamathaṃ paṭivinodesi. Te devatāya ānubhāvena vimhitā pucchiṃsu – ‘‘kiṃ nu kho devate kammaṃ katvā tayā ayaṃ sampatti laddhā’’ti? Devatā āha – loke buddho nāma bhagavā uppanno, so etarahi sāvatthiyaṃ viharati. Anāthapiṇḍiko gahapati taṃ upaṭṭhāti. So uposathadivasesu attano bhatakānaṃ pakatibhattavetanameva datvā uposathaṃ kārāpesi. Athāhaṃ ekadivasaṃ majjhanhike pātarāsatthāya āgato kañci bhatakaṃ kammaṃ karontaṃ adisvā ‘‘ajja manussā kasmā kammaṃ na karontī’’ti pucchiṃ. Tassa me etamatthaṃ ārocesuṃ. Athāhaṃ etadavocaṃ – ‘‘idāni upaḍḍhadivaso gato, sakkā nu kho upaḍḍhauposathaṃ kātu’’nti. Tato seṭṭhissa paṭivedetvā ‘‘sakkā kātu’’nti āha. Svāhaṃ upaḍḍhadivasaṃ uposathaṃ samādiyitvā tadaheva kālaṃ katvā imaṃ sampattiṃ paṭilabhinti.

    อถ เต ตาปสา ‘‘พุโทฺธ กิร อุปฺปโนฺน’’ติ สญฺชาตปีติปาโมชฺชา ตโต สาวตฺถิํ คนฺตุกามา หุตฺวาปิ ‘‘พหูปการา โน อุปฎฺฐากเสฎฺฐิโน, เตสมฺปิ อิมมตฺถํ อาโรเจสฺสามา’’ติ โกสมฺพิํ คนฺตฺวา เสฎฺฐีหิ กตสกฺการพหุมานา ‘‘ตทเหว มยํ คจฺฉามา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘กิํ, ภเนฺต, ตุริตตฺถ, นนุ ตุเมฺห ปุเพฺพ จตฺตาโร ปญฺจ มาเส วสิตฺวา คจฺฉถา’’ติ วุตฺตา ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสุํฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, สเหว คจฺฉามา’’ติ จ วุเตฺต – ‘‘คจฺฉาม มยํ, ตุเมฺห สณิกํ อาคจฺฉถา’’ติ สาวตฺถิํ คนฺตฺวา ภควโต สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ

    Atha te tāpasā ‘‘buddho kira uppanno’’ti sañjātapītipāmojjā tato sāvatthiṃ gantukāmā hutvāpi ‘‘bahūpakārā no upaṭṭhākaseṭṭhino, tesampi imamatthaṃ ārocessāmā’’ti kosambiṃ gantvā seṭṭhīhi katasakkārabahumānā ‘‘tadaheva mayaṃ gacchāmā’’ti āhaṃsu. ‘‘Kiṃ, bhante, turitattha, nanu tumhe pubbe cattāro pañca māse vasitvā gacchathā’’ti vuttā taṃ pavattiṃ ārocesuṃ. ‘‘Tena hi, bhante, saheva gacchāmā’’ti ca vutte – ‘‘gacchāma mayaṃ, tumhe saṇikaṃ āgacchathā’’ti sāvatthiṃ gantvā bhagavato santike pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇiṃsu.

    เตปิ เสฎฺฐิโน ปจฺฉา ปญฺจสตปญฺจสตสกฎปริวารา สาวตฺถิํ คนฺตฺวา เชตวนโต อวิทูเร ฐาเน ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ สตฺถา เตสํ จริยาวเสน ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน ตโยปิ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเส พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา เตเนว นิยาเมน อชฺชตนาย สฺวาตนายาติ นิมเนฺตตฺวา อทฺธมาสํ ขนฺธาวารภตฺตํ นาม ทตฺวา สตฺถารํ อตฺตโน นครํ อาคมนตฺถาย ยาจิํสุฯ สตฺถา ‘‘สุญฺญาคาเร ตถาคตา อภิรมนฺตี’’ติ กเถสิฯ เต ‘‘อญฺญาตํ, ภเนฺต’’ติ วตฺวา ‘‘ตุเมฺห อเมฺหหิ ปหิตสาสเนน อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติ วตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อตฺตโน นครเมว อาคนฺตฺวา ตโยปิ ชนา สเก สเก อุยฺยาเน วิหาเร การาเปสุํฯ โฆสกเสฎฺฐินา การิโต โฆสิตาราโม นาม ชาโต, กุกฺกุฎเสฎฺฐินา การิโต กุกฺกุฎาราโม นาม ชาโต, ปาวาริกเสฎฺฐินา การิตํ ปาวาริกมฺพวนํ นาม ชาตํฯ เต วิหาเร การาเปตฺวา สตฺถุ ทูตํ ปหิณิํสุ – ‘‘สตฺถา อมฺหากํ สงฺคหํ กาตุํ อิมํ นครํ อาคจฺฉตู’’ติฯ สตฺถา ‘‘โกสมฺพิํ คมิสฺสามี’’ติ มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร จาริกํ นิกฺขมโนฺต อนฺตรามเคฺค มาคณฺฑิยพฺราหฺมณสฺส อรหตฺตูปนิสฺสยํ ทิสฺวา คมนํ วิจฺฉินฺทิตฺวา กุรุรเฎฺฐ กมฺมาสทมฺมํ นาม นิคมํ อคมาสิฯ

    Tepi seṭṭhino pacchā pañcasatapañcasatasakaṭaparivārā sāvatthiṃ gantvā jetavanato avidūre ṭhāne khandhāvāraṃ bandhitvā satthu santikaṃ gantvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Satthā tesaṃ cariyāvasena dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne tayopi sotāpattiphale patiṭṭhāya svātanāya nimantetvā punadivase buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā teneva niyāmena ajjatanāya svātanāyāti nimantetvā addhamāsaṃ khandhāvārabhattaṃ nāma datvā satthāraṃ attano nagaraṃ āgamanatthāya yāciṃsu. Satthā ‘‘suññāgāre tathāgatā abhiramantī’’ti kathesi. Te ‘‘aññātaṃ, bhante’’ti vatvā ‘‘tumhe amhehi pahitasāsanena āgaccheyyāthā’’ti vatvā satthāraṃ vanditvā tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā attano nagarameva āgantvā tayopi janā sake sake uyyāne vihāre kārāpesuṃ. Ghosakaseṭṭhinā kārito ghositārāmo nāma jāto, kukkuṭaseṭṭhinā kārito kukkuṭārāmo nāma jāto, pāvārikaseṭṭhinā kāritaṃ pāvārikambavanaṃ nāma jātaṃ. Te vihāre kārāpetvā satthu dūtaṃ pahiṇiṃsu – ‘‘satthā amhākaṃ saṅgahaṃ kātuṃ imaṃ nagaraṃ āgacchatū’’ti. Satthā ‘‘kosambiṃ gamissāmī’’ti mahābhikkhusaṅghaparivāro cārikaṃ nikkhamanto antarāmagge māgaṇḍiyabrāhmaṇassa arahattūpanissayaṃ disvā gamanaṃ vicchinditvā kururaṭṭhe kammāsadammaṃ nāma nigamaṃ agamāsi.

    ตสฺมิํ สมเย มาคณฺฑิโย สพฺพรตฺติํ พหิคาเม อคฺคิํ ชุหิตฺวา ปาโตว อโนฺตคามํ ปวิสติฯ สตฺถาปิ ปุนทิวเส อโนฺตคามํ ปิณฺฑาย ปวิสโนฺต ปฎิปเถ มาคณฺฑิยพฺราหฺมณสฺส อตฺตานํ ทเสฺสสิฯ โส ทสพลํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ เอตฺตกํ กาลํ มม ธีตุ รูปสมฺปตฺติยา สทิสํ ทารกํ ปริเยสโนฺต จรามิ, รูปสมฺปตฺติยา จ สติปิ เอวรูปํ คหิตปพฺพชฺชเมว ปเตฺถสิํฯ อยํ โข ปน ปพฺพชิโต อภิรูโป ทสฺสนีโย มม ธีตุเยว อนุจฺฉวิโก’’ติ เวเคน เคหํ อคมาสิฯ ตสฺส กิร พฺราหฺมณสฺส ปุเพฺพ เอโก ปพฺพชิตวํโส อตฺถิ, เตนสฺส ปพฺพชิตเมว ทิสฺวา จิตฺตํ นมติฯ โส พฺราหฺมณิํ อามเนฺตสิ – ‘‘ภเทฺท มยา เอวรูโป ปพฺพชิโต นาม นทิฎฺฐปุโพฺพ สุวณฺณวโณฺณ พฺรหฺมวโณฺณ มม ธีตุเยว อนุจฺฉวิโก, สีฆํ เม ธีตรํ อลงฺกโรหี’’ติฯ พฺราหฺมณิยา ธีตรํ อลงฺกโรนฺติยาว สตฺถา อตฺตโน ฐิตฎฺฐาเน ปทเจติยานิ ทเสฺสตฺวา อโนฺตนครํ ปาวิสิฯ

    Tasmiṃ samaye māgaṇḍiyo sabbarattiṃ bahigāme aggiṃ juhitvā pātova antogāmaṃ pavisati. Satthāpi punadivase antogāmaṃ piṇḍāya pavisanto paṭipathe māgaṇḍiyabrāhmaṇassa attānaṃ dassesi. So dasabalaṃ disvā cintesi – ‘‘ahaṃ ettakaṃ kālaṃ mama dhītu rūpasampattiyā sadisaṃ dārakaṃ pariyesanto carāmi, rūpasampattiyā ca satipi evarūpaṃ gahitapabbajjameva patthesiṃ. Ayaṃ kho pana pabbajito abhirūpo dassanīyo mama dhītuyeva anucchaviko’’ti vegena gehaṃ agamāsi. Tassa kira brāhmaṇassa pubbe eko pabbajitavaṃso atthi, tenassa pabbajitameva disvā cittaṃ namati. So brāhmaṇiṃ āmantesi – ‘‘bhadde mayā evarūpo pabbajito nāma nadiṭṭhapubbo suvaṇṇavaṇṇo brahmavaṇṇo mama dhītuyeva anucchaviko, sīghaṃ me dhītaraṃ alaṅkarohī’’ti. Brāhmaṇiyā dhītaraṃ alaṅkarontiyāva satthā attano ṭhitaṭṭhāne padacetiyāni dassetvā antonagaraṃ pāvisi.

    อถ พฺราหฺมโณ พฺราหฺมณิยา สทฺธิํ ธีตรํ คเหตฺวา ตํ ฐานํ อาคจฺฉโนฺต อโนฺตคามํ ปวิฎฺฐกาเล อาคตตฺตา อิโต จิโต จ โอโลเกโนฺต ทสพลํ อทิสฺวา พฺราหฺมณิํ ปริภาสติ – ‘‘ตว การณํ ภทฺทกํ นาม นตฺถิ, ตยิ ปปญฺจํ กโรนฺติยาว โส ปพฺพชิโต นิกฺขมิตฺวา คโต’’ติฯ พฺราหฺมณ, คโต ตาว โหตุ, กตรทิสาภาเคน คโตติ? อิมินา ทิสาภาเคนาติ สตฺถุ คตฎฺฐานํ โอโลเกโนฺตว ปทเจติยานิ ทิสฺวา ‘‘ภเทฺท อิมานิ ตสฺส ปุริสสฺส ปทานิ, อิโต คโต ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ อถ, พฺราหฺมณี, สตฺถุ ปทเจติยํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘พาโล วตายํ พฺราหฺมโณ อตฺตโน คนฺถมตฺตสฺสาปิ อตฺถํ น ชานาตี’’ติ เตน สทฺธิํ ปริหาสํ กโรนฺตี อาห – ‘‘ยาว พาโล จาสิ, พฺราหฺมณ, เอวรูปสฺส นาม ปุริสสฺส ธีตรํ ทสฺสามีติ วทสิฯ ราเคน หิ รตฺตสฺส โทเสน ทุฎฺฐสฺส โมเหน มูฬฺหสฺส ปุริสสฺส ปทํ นาม เอวรูปํ น โหติฯ โลเก ปน วิวฎจฺฉทสฺส สพฺพญฺญุพุทฺธสฺส เอตํ ปทํ’’ ปสฺส, พฺราหฺมณ –

    Atha brāhmaṇo brāhmaṇiyā saddhiṃ dhītaraṃ gahetvā taṃ ṭhānaṃ āgacchanto antogāmaṃ paviṭṭhakāle āgatattā ito cito ca olokento dasabalaṃ adisvā brāhmaṇiṃ paribhāsati – ‘‘tava kāraṇaṃ bhaddakaṃ nāma natthi, tayi papañcaṃ karontiyāva so pabbajito nikkhamitvā gato’’ti. Brāhmaṇa, gato tāva hotu, kataradisābhāgena gatoti? Iminā disābhāgenāti satthu gataṭṭhānaṃ olokentova padacetiyāni disvā ‘‘bhadde imāni tassa purisassa padāni, ito gato bhavissatī’’ti āha. Atha, brāhmaṇī, satthu padacetiyaṃ disvā cintesi – ‘‘bālo vatāyaṃ brāhmaṇo attano ganthamattassāpi atthaṃ na jānātī’’ti tena saddhiṃ parihāsaṃ karontī āha – ‘‘yāva bālo cāsi, brāhmaṇa, evarūpassa nāma purisassa dhītaraṃ dassāmīti vadasi. Rāgena hi rattassa dosena duṭṭhassa mohena mūḷhassa purisassa padaṃ nāma evarūpaṃ na hoti. Loke pana vivaṭacchadassa sabbaññubuddhassa etaṃ padaṃ’’ passa, brāhmaṇa –

    ‘‘รตฺตสฺส หิ อุกฺกุฎิกํ ปทํ ภเว,

    ‘‘Rattassa hi ukkuṭikaṃ padaṃ bhave,

    ทุฎฺฐสฺส โหติ อวกฑฺฒิตํ ปทํ;

    Duṭṭhassa hoti avakaḍḍhitaṃ padaṃ;

    มูฬฺหสฺส โหติ สหสานุปีฬิตํ,

    Mūḷhassa hoti sahasānupīḷitaṃ,

    วิวฎจฺฉทสฺส อิทมีทิสํ ปท’’นฺติฯ

    Vivaṭacchadassa idamīdisaṃ pada’’nti.

    โส พฺราหฺมณิยา เอตฺตกํ กเถนฺติยาปิ อสุตฺวา ‘‘ตฺวํ นาม จณฺฑา มุขรา’’ติ อาหฯ เตสํ ทฺวินฺนมฺปิ อญฺญมญฺญํ วิวาทํ กโรนฺตานํเยว สตฺถา ปิณฺฑาย จริตฺวา สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆน กตภตฺตกิโจฺจ พฺราหฺมณสฺส ทสฺสนูปจาเรเนว นิกฺขมิฯ พฺราหฺมโณ สตฺถารํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา พฺราหฺมณิํ อปสาเทตฺวา ‘‘อยํ โส ปุริโส’’ติ หฎฺฐปหโฎฺฐ ทสพลสฺส ปุรโต ฐตฺวา ‘‘โภ ปพฺพชิต, อหํ ปาโตว ปฎฺฐาย ตํ ปริเยสโนฺต จรามิ, อิมสฺมิํ ชมฺพุทีเป มม ธีตาย สมานรูปา อิตฺถี นาม นตฺถิ, ปุริโสปิ ตยา สทฺธิํ สมานรูโป นาม นตฺถิ, มม ธีตรํ ตุยฺหํ โปสนตฺถาย ทมฺมิ, คณฺหาหิ น’’นฺติ อาหฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘อหํ, พฺราหฺมณ, กามคฺควาสินิโย อุตฺตมรูปธรา นานาวณฺณํ กถํ กเถนฺติโย มม ปโลภนตฺถเมว อาคนฺตฺวา สนฺติเก ฐิตา เทวธีตาปิ น อิจฺฉิํ, กิมงฺคํ ปน อิมํ คณฺหิสฺสามี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    So brāhmaṇiyā ettakaṃ kathentiyāpi asutvā ‘‘tvaṃ nāma caṇḍā mukharā’’ti āha. Tesaṃ dvinnampi aññamaññaṃ vivādaṃ karontānaṃyeva satthā piṇḍāya caritvā saddhiṃ bhikkhusaṅghena katabhattakicco brāhmaṇassa dassanūpacāreneva nikkhami. Brāhmaṇo satthāraṃ dūratova āgacchantaṃ disvā brāhmaṇiṃ apasādetvā ‘‘ayaṃ so puriso’’ti haṭṭhapahaṭṭho dasabalassa purato ṭhatvā ‘‘bho pabbajita, ahaṃ pātova paṭṭhāya taṃ pariyesanto carāmi, imasmiṃ jambudīpe mama dhītāya samānarūpā itthī nāma natthi, purisopi tayā saddhiṃ samānarūpo nāma natthi, mama dhītaraṃ tuyhaṃ posanatthāya dammi, gaṇhāhi na’’nti āha. Atha naṃ satthā ‘‘ahaṃ, brāhmaṇa, kāmaggavāsiniyo uttamarūpadharā nānāvaṇṇaṃ kathaṃ kathentiyo mama palobhanatthameva āgantvā santike ṭhitā devadhītāpi na icchiṃ, kimaṅgaṃ pana imaṃ gaṇhissāmī’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ทิสฺวาน ตณฺหํ อรติํ รคญฺจ,

    ‘‘Disvāna taṇhaṃ aratiṃ ragañca,

    นาโหสิ ฉโนฺท อปิ เมถุนสฺมิํ;

    Nāhosi chando api methunasmiṃ;

    กิํเมวิทํ มุตฺตกรีสปุณฺณํ,

    Kiṃmevidaṃ muttakarīsapuṇṇaṃ,

    ปาทาปิ นํ สมฺผุสิตุํ น อิเจฺฉ’’ติฯ (สุ. นิ. ๘๔๑);

    Pādāpi naṃ samphusituṃ na icche’’ti. (su. ni. 841);

    มาคณฺฑิยา จิเนฺตสิ – ‘‘อนตฺถิเกน นาม ‘อล’นฺติ วตฺตุเมว วฎฺฎติฯ อยํ ปน มม สรีรํ มุตฺตกรีสปุณฺณํ นาม กตฺวา ‘ปาทาปิ นํ สมฺผุสิตุํ น อิเจฺฉ’ติ อโวจ, เอกํ อิสฺสริยฎฺฐานํ ลภนฺตี อนฺตรเมวสฺส ปสฺสิสฺสามี’’ติ อาฆาตํ พนฺธิฯ สตฺถา ตํ อมนสิกตฺวา จริยวเสน พฺราหฺมณสฺส ธมฺมเทสนํ อารภิฯ เทสนาปริโยสาเน อุโภปิ ชายมฺปติกา อนาคามิผเล ปติฎฺฐาย ‘‘อิทานิ อมฺหากํ ฆราวาเสน อโตฺถ นตฺถี’’ติ ธีตรํ มาคณฺฑิยํ จูฬปิตรํ สมฺปฎิจฺฉาเปตฺวา อุโภปิ ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ อถ ราชา อุเทโน จูฬมาคณฺฑิเยน สทฺธิํ โวหารํ กตฺวา มาคณฺฑิยทาริกํ ราชานุภาเวน เคหํ อาเนตฺวา อภิเสกํ กตฺวา ตสฺสา ปญฺจมาตุคามสตปริวาราย วสนฎฺฐานํ วิสุํ ปาสาทํ อทาสิฯ

    Māgaṇḍiyā cintesi – ‘‘anatthikena nāma ‘ala’nti vattumeva vaṭṭati. Ayaṃ pana mama sarīraṃ muttakarīsapuṇṇaṃ nāma katvā ‘pādāpi naṃ samphusituṃ na icche’ti avoca, ekaṃ issariyaṭṭhānaṃ labhantī antaramevassa passissāmī’’ti āghātaṃ bandhi. Satthā taṃ amanasikatvā cariyavasena brāhmaṇassa dhammadesanaṃ ārabhi. Desanāpariyosāne ubhopi jāyampatikā anāgāmiphale patiṭṭhāya ‘‘idāni amhākaṃ gharāvāsena attho natthī’’ti dhītaraṃ māgaṇḍiyaṃ cūḷapitaraṃ sampaṭicchāpetvā ubhopi pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Atha rājā udeno cūḷamāgaṇḍiyena saddhiṃ vohāraṃ katvā māgaṇḍiyadārikaṃ rājānubhāvena gehaṃ ānetvā abhisekaṃ katvā tassā pañcamātugāmasataparivārāya vasanaṭṭhānaṃ visuṃ pāsādaṃ adāsi.

    สตฺถาปิ โข อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน โกสมฺพินครํ สมฺปาปุณิฯ เสฎฺฐิโน สตฺถุ อาคมนํ สุตฺวา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสินฺนา ภควนฺตํ เอตทโวจุํ – ‘‘อิเม, ภเนฺต, ตโย วิหารา ตุเมฺห อุทฺทิสฺส กตา, ปฎิคฺคณฺหถ, ภเนฺต, วิหาเร จาตุทฺทิสสฺส สงฺฆสฺส สงฺคหตฺถายา’’ติฯ ปฎิคฺคเหสิ ภควา วิหาเรฯ เตปิ เสฎฺฐิโน สตฺถารํ สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา อภิวาเทตฺวา ฆรํ อคมํสุฯ

    Satthāpi kho anupubbena cārikaṃ caramāno kosambinagaraṃ sampāpuṇi. Seṭṭhino satthu āgamanaṃ sutvā paccuggamanaṃ katvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā ekamantaṃ nisinnā bhagavantaṃ etadavocuṃ – ‘‘ime, bhante, tayo vihārā tumhe uddissa katā, paṭiggaṇhatha, bhante, vihāre cātuddisassa saṅghassa saṅgahatthāyā’’ti. Paṭiggahesi bhagavā vihāre. Tepi seṭṭhino satthāraṃ svātanāya nimantetvā abhivādetvā gharaṃ agamaṃsu.

    มาคณฺฑิยาปิ โข สตฺถุ อาคตภาวํ สุตฺวา ฉินฺนภินฺนเก ธุเตฺต ปโกฺกสาเปตฺวา เตสํ ลญฺชํ ทตฺวา ‘‘ตุเมฺห สมณํ โคตมํ อิมินา อิมินา จ นิยาเมน อโกฺกสถา’’ติ วตฺวา อุโยฺยเชสิฯ เต สตฺถุ อโนฺตคามํ ปวิสนเวลาย สปริวารํ สตฺถารํ นานาวิเธหิ อโกฺกเสหิ อโกฺกสิํสุฯ อายสฺมา อานโนฺท สตฺถารํ อาห – ‘‘ภเนฺต, เอวรูเป อโกฺกสนฎฺฐาเน น วสิสฺสาม, อญฺญํ นครํ คจฺฉามา’’ติฯ สตฺถา, ‘‘อานนฺท, ตถาคตา นาม อฎฺฐหิ โลกธเมฺมหิ น กมฺปนฺติ, อยมฺปิ สโทฺท สตฺตาหํ นาติกฺกมิสฺสติ, อโกฺกสกานํเยว อุปริ ปติสฺสติ, ตฺวํ มา วิตกฺกยิตฺถา’’ติฯ เตปิ ตโย นครเสฎฺฐิโน มหาสกฺกาเรน ภควนฺตํ ปเวเสตฺวา มหาทานํ อทํสุฯ เตสํ อปราปรํ ทานํ ททนฺตานํเยว มาโส อติกฺกมิ, อถ เนสํ เอตทโหสิ – ‘‘พุทฺธา นาม สพฺพโลกํ อนุกมฺปมานา อุปฺปชฺชนฺติ, อเญฺญสมฺปิ โอกาสํ ทสฺสามา’’ติฯ ตโต เต โกสมฺพินครวาสิโนปิ ชนสฺส โอกาสํ อกํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย นาคราปิ วีถิสภาเคน คณสภาเคน มหาทานํ เทนฺติฯ

    Māgaṇḍiyāpi kho satthu āgatabhāvaṃ sutvā chinnabhinnake dhutte pakkosāpetvā tesaṃ lañjaṃ datvā ‘‘tumhe samaṇaṃ gotamaṃ iminā iminā ca niyāmena akkosathā’’ti vatvā uyyojesi. Te satthu antogāmaṃ pavisanavelāya saparivāraṃ satthāraṃ nānāvidhehi akkosehi akkosiṃsu. Āyasmā ānando satthāraṃ āha – ‘‘bhante, evarūpe akkosanaṭṭhāne na vasissāma, aññaṃ nagaraṃ gacchāmā’’ti. Satthā, ‘‘ānanda, tathāgatā nāma aṭṭhahi lokadhammehi na kampanti, ayampi saddo sattāhaṃ nātikkamissati, akkosakānaṃyeva upari patissati, tvaṃ mā vitakkayitthā’’ti. Tepi tayo nagaraseṭṭhino mahāsakkārena bhagavantaṃ pavesetvā mahādānaṃ adaṃsu. Tesaṃ aparāparaṃ dānaṃ dadantānaṃyeva māso atikkami, atha nesaṃ etadahosi – ‘‘buddhā nāma sabbalokaṃ anukampamānā uppajjanti, aññesampi okāsaṃ dassāmā’’ti. Tato te kosambinagaravāsinopi janassa okāsaṃ akaṃsu. Tato paṭṭhāya nāgarāpi vīthisabhāgena gaṇasabhāgena mahādānaṃ denti.

    อเถกทิวสํ สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต มาลาการกเชฎฺฐกสฺส เคเห นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ สามาวติยา อุปฎฺฐายิกา ขุชฺชุตฺตรา อฎฺฐ กหาปเณ อาทาย มาลตฺถาย ตํ เคหํ อคมาสิฯ มาลาการเชฎฺฐโก ตํ ทิสฺวา, ‘‘อมฺม อุตฺตเร, อชฺช ตุยฺหํ ปุปฺผานิ ทาตุํ ขโณ นตฺถิ, อหํ พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริวิสามิฯ ตฺวมฺปิ ปริเวสนาย สหายิกา โหหิ, เอวํ อิโต ปเรสํ เวยฺยาวจฺจกรณโต มุจฺจิสฺสตี’’ติ อาหฯ ตโต ขุชฺชุตฺตรา อตฺตนา ลทฺธํ โภชนํ ภุญฺชิตฺวา พุทฺธานํ ภตฺตเคฺค เวยฺยาวจฺจํ อกาสิฯ สา สตฺถารา อุปนิสินฺนกถาวเสน กถิตํ ธมฺมํ สพฺพเมว อุคฺคณฺหิฯ อนุโมทนํ ปน สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ

    Athekadivasaṃ satthā bhikkhusaṅghaparivuto mālākārakajeṭṭhakassa gehe nisīdi. Tasmiṃ khaṇe sāmāvatiyā upaṭṭhāyikā khujjuttarā aṭṭha kahāpaṇe ādāya mālatthāya taṃ gehaṃ agamāsi. Mālākārajeṭṭhako taṃ disvā, ‘‘amma uttare, ajja tuyhaṃ pupphāni dātuṃ khaṇo natthi, ahaṃ buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ parivisāmi. Tvampi parivesanāya sahāyikā hohi, evaṃ ito paresaṃ veyyāvaccakaraṇato muccissatī’’ti āha. Tato khujjuttarā attanā laddhaṃ bhojanaṃ bhuñjitvā buddhānaṃ bhattagge veyyāvaccaṃ akāsi. Sā satthārā upanisinnakathāvasena kathitaṃ dhammaṃ sabbameva uggaṇhi. Anumodanaṃ pana sutvā sotāpattiphale patiṭṭhāsi.

    สา อเญฺญสุ ทิวเสสุ จตฺตาโรว กหาปเณ ทตฺวา ปุปฺผานิ คเหตฺวา คจฺฉติ, ตสฺมิํ ปน ทิวเส ทิฎฺฐสจฺจภาเวน ปรสนฺตเก จิตฺตํ อนุปฺปาเทตฺวา สเพฺพว อฎฺฐ กหาปเณ ทตฺวา ปจฺฉิํ ปูเรตฺวา ปุปฺผานิ อาทาย สามาวติยา สนฺติกํ อคมาสิฯ อถ นํ สา ปุจฺฉิ – ‘‘อมฺม อุตฺตเร, ตฺวํ อเญฺญสุ ทิวเสสุ น พหูนิ ปุปฺผานิ อาหรสิ, อชฺช ปน พหุกานิ, กิํ โน ราชา อุตฺตริตรํ ปสโนฺน’’ติ? สา มุสาวาเท อภพฺพตาย อตีเต อตฺตนา กตํ อนิคุหิตฺวา สพฺพํ กเถสิฯ ‘‘อถ กสฺมา อชฺช พหูนิ ปุปฺผานิ อาหรสี’’ติ วุตฺตา จ เอวมาห – ‘‘อหํ อชฺช ทสพลสฺส ธมฺมํ สุตฺวา อมตํ สจฺฉากาสิํ, ตสฺมา ตุเมฺห น วเญฺจมี’’ติฯ ตํ สุตฺวา, ‘‘อมฺม อุตฺตเร, ตยา ลทฺธํ อมตธมฺมํ อมฺหากมฺปิ เทหี’’ติ สพฺพาว หตฺถํ ปสารยิํสุฯ อเยฺย, เอวํ ทาตุํ น สกฺกา, อหํ ปน สตฺถารา กถิตนิยาเมน ตุมฺหากํ ธมฺมํ เทเสสฺสามิ, ตุเมฺห อตฺตโน เหตุมฺหิ สติ ตํ ธมฺมํ ลภิสฺสถาติฯ เตน หิ, อมฺม อุตฺตเร, กเถหีติฯ ‘‘เอวํ กเถตุํ น สกฺกา, มยฺหํ อุจฺจํ อาสนํ ปญฺญาเปตฺวา ตุเมฺห นีจาสเนสุ นิสีทถา’’ติ อาหฯ ตา ปญฺจสตาปิ อิตฺถิโย ขุชฺชุตฺตราย อุจฺจาสนํ ทตฺวา สยํ นีจาสนานิ คเหตฺวา นิสีทิํสุฯ ขุชฺชุตฺตราปิ เสกฺขปฎิสมฺภิทาสุ ฐตฺวา ตาสํ ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน สามาวติํ เชฎฺฐิกํ กตฺวา สพฺพาว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย ขุชฺชุตฺตรํ เวยฺยาวจฺจกรณโต อปเนตฺวา ‘‘ตฺวํ สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา อาหริตฺวา อเมฺห สาเวหี’’ติ อาหํสุฯ ขุชฺชุตฺตราปิ ตโต ปฎฺฐาย ตถา อกาสิฯ

    Sā aññesu divasesu cattārova kahāpaṇe datvā pupphāni gahetvā gacchati, tasmiṃ pana divase diṭṭhasaccabhāvena parasantake cittaṃ anuppādetvā sabbeva aṭṭha kahāpaṇe datvā pacchiṃ pūretvā pupphāni ādāya sāmāvatiyā santikaṃ agamāsi. Atha naṃ sā pucchi – ‘‘amma uttare, tvaṃ aññesu divasesu na bahūni pupphāni āharasi, ajja pana bahukāni, kiṃ no rājā uttaritaraṃ pasanno’’ti? Sā musāvāde abhabbatāya atīte attanā kataṃ aniguhitvā sabbaṃ kathesi. ‘‘Atha kasmā ajja bahūni pupphāni āharasī’’ti vuttā ca evamāha – ‘‘ahaṃ ajja dasabalassa dhammaṃ sutvā amataṃ sacchākāsiṃ, tasmā tumhe na vañcemī’’ti. Taṃ sutvā, ‘‘amma uttare, tayā laddhaṃ amatadhammaṃ amhākampi dehī’’ti sabbāva hatthaṃ pasārayiṃsu. Ayye, evaṃ dātuṃ na sakkā, ahaṃ pana satthārā kathitaniyāmena tumhākaṃ dhammaṃ desessāmi, tumhe attano hetumhi sati taṃ dhammaṃ labhissathāti. Tena hi, amma uttare, kathehīti. ‘‘Evaṃ kathetuṃ na sakkā, mayhaṃ uccaṃ āsanaṃ paññāpetvā tumhe nīcāsanesu nisīdathā’’ti āha. Tā pañcasatāpi itthiyo khujjuttarāya uccāsanaṃ datvā sayaṃ nīcāsanāni gahetvā nisīdiṃsu. Khujjuttarāpi sekkhapaṭisambhidāsu ṭhatvā tāsaṃ dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne sāmāvatiṃ jeṭṭhikaṃ katvā sabbāva sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu. Tato paṭṭhāya khujjuttaraṃ veyyāvaccakaraṇato apanetvā ‘‘tvaṃ satthu dhammakathaṃ sutvā āharitvā amhe sāvehī’’ti āhaṃsu. Khujjuttarāpi tato paṭṭhāya tathā akāsi.

    กสฺมา ปเนสา ทาสี หุตฺวา นิพฺพตฺตาติ? สา กิร กสฺสปทสพลสฺส สาสเน เอกาย สามเณริยา อตฺตโน เวยฺยาวจฺจํ กาเรสิฯ เตน กเมฺมน ปญฺจ ชาติสตานิ ปเรสํ ทาสีเยว หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ กสฺมา ปน ขุชฺชา อโหสีติ? อนุปฺปเนฺน กิร พุเทฺธ อยํ พาราณสิรโญฺญ เคเห วสนฺตี เอกํ ราชกุลูปกํ ปเจฺจกพุทฺธํ ขุชฺชธาตุกํ ทิสฺวา อตฺตนา สหวาสีนํ มาตุคามานํ ปุรโต ปริหาสํ กโรนฺตี ขุชฺชากาเรน วิจริฯ ตสฺมา ขุชฺชา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ กิํ ปน กตฺวา สา ปญฺญวนฺตี ชาตาติ? อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ อยํ พาราณสิรโญฺญ เคเห วสนฺตี อฎฺฐ ปเจฺจกพุเทฺธ ราชเคหโต อุณฺหปายาสสฺส ปูริเต ปเตฺต คเหตฺวา คจฺฉเนฺต ทิสฺวา ‘‘เอตฺถ ฐเปตฺวา คจฺฉถ, ภเนฺต’’ติ อฎฺฐ สุวณฺณกฎเก โอมุญฺจิตฺวา อทาสิฯ ตสฺส กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน ปญฺญวนฺตี หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ

    Kasmā panesā dāsī hutvā nibbattāti? Sā kira kassapadasabalassa sāsane ekāya sāmaṇeriyā attano veyyāvaccaṃ kāresi. Tena kammena pañca jātisatāni paresaṃ dāsīyeva hutvā nibbatti. Kasmā pana khujjā ahosīti? Anuppanne kira buddhe ayaṃ bārāṇasirañño gehe vasantī ekaṃ rājakulūpakaṃ paccekabuddhaṃ khujjadhātukaṃ disvā attanā sahavāsīnaṃ mātugāmānaṃ purato parihāsaṃ karontī khujjākārena vicari. Tasmā khujjā hutvā nibbatti. Kiṃ pana katvā sā paññavantī jātāti? Anuppanne buddhe ayaṃ bārāṇasirañño gehe vasantī aṭṭha paccekabuddhe rājagehato uṇhapāyāsassa pūrite patte gahetvā gacchante disvā ‘‘ettha ṭhapetvā gacchatha, bhante’’ti aṭṭha suvaṇṇakaṭake omuñcitvā adāsi. Tassa kammassa nissandena paññavantī hutvā nibbatti.

    อถ โข ตา สามาวติยา ปริวารา ปญฺจสตา อิตฺถิโย ปฎิวิทฺธสจฺจาปิ สมานา รโญฺญ อสฺสทฺธภาเวน กาเลน กาลํ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา พุทฺธทสฺสนํ น ลภนฺติฯ ตสฺมา ทสพเล อนฺตรวีถิํ ปฎิปเนฺน วาตปาเนสุ นปฺปโหเนฺตสุ อตฺตโน อตฺตโน คเพฺภสุ ฉิทฺทํ กตฺวา เตหิ โอโลเกนฺติ ฯ อเถกทิวสํ มาคณฺฑิยา อตฺตโน ปาสาทตลโต นิกฺขมิตฺวา จงฺกมมานา ตาสํ วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา คพฺภจฺฉิทฺทํ ทิสฺวา ‘‘กิมิท’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ตาหิ ตสฺสา สตฺถริ พทฺธาฆาตตํ อชานนฺตีหิ – ‘‘สตฺถา อิมํ นครํ อาคโต, มยํ เอตฺถ ฐตฺวา สตฺถารํ ปสฺสาม เจว ปูเชม จา’’ติ วุเตฺต ‘‘อิทานิสฺส กตฺตพฺพํ ชานิสฺสามิ, อิมาปิ ตสฺส อุปฎฺฐายิกา, อิมาสมฺปิ กตฺตพฺพํ ชานิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา คนฺตฺวา รญฺญา สทฺธิํ รโหคตกาเล, ‘‘มหาราช, สามาวติมิสฺสกานํ พหิทฺธา ปตฺถนา อตฺถิ, กติปาเหเนว เต ชีวิตํ มาเรสฺสนฺติ, สามาวตี, สปริวารา ตุเมฺหสุ สิเนหํ วา เปมํ วา น กโรติ, สมณํ ปน โคตมํ อนฺตรวีถิยา คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา วาตปาเนสุ อปฺปโหเนฺตสุ ตานิ ขณฺฑิตฺวาปิ โอกาสํ กตฺวา โอโลเกนฺตี’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘น ตา เอวรูปํ กริสฺสนฺตี’’ติ น สทฺทหติฯ ปุน วุเตฺตปิ น สทฺทหติเยวฯ อถ นํ ติกฺขตฺตุํ วุเตฺตปิ อสฺสทฺทหนฺตํ ‘‘สเจ เม วจนํ น สทฺทหสิ, ตาสํ วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา อุปธาเรหิ, มหาราชา’’ติ อาหฯ ราชา คนฺตฺวา คเพฺภสุ ฉิทฺทํ ทิสฺวา ‘‘อิทํ กิ’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ตสฺมิํ อเตฺถ อาโรจิเต ตาสํ อกฺกุชฺฌิตฺวา กิญฺจิ อวตฺวา ฉิทฺทานิ ปิทหาเปสิฯ ราชา ตโต ปฎฺฐาย ตาสํ ปาสาเท อุทฺธจฺฉิทฺทกชาลวาตปานานิ กาเรสิฯ

    Atha kho tā sāmāvatiyā parivārā pañcasatā itthiyo paṭividdhasaccāpi samānā rañño assaddhabhāvena kālena kālaṃ satthu santikaṃ gantvā buddhadassanaṃ na labhanti. Tasmā dasabale antaravīthiṃ paṭipanne vātapānesu nappahontesu attano attano gabbhesu chiddaṃ katvā tehi olokenti . Athekadivasaṃ māgaṇḍiyā attano pāsādatalato nikkhamitvā caṅkamamānā tāsaṃ vasanaṭṭhānaṃ gantvā gabbhacchiddaṃ disvā ‘‘kimida’’nti pucchi. Tāhi tassā satthari baddhāghātataṃ ajānantīhi – ‘‘satthā imaṃ nagaraṃ āgato, mayaṃ ettha ṭhatvā satthāraṃ passāma ceva pūjema cā’’ti vutte ‘‘idānissa kattabbaṃ jānissāmi, imāpi tassa upaṭṭhāyikā, imāsampi kattabbaṃ jānissāmī’’ti cintetvā gantvā raññā saddhiṃ rahogatakāle, ‘‘mahārāja, sāmāvatimissakānaṃ bahiddhā patthanā atthi, katipāheneva te jīvitaṃ māressanti, sāmāvatī, saparivārā tumhesu sinehaṃ vā pemaṃ vā na karoti, samaṇaṃ pana gotamaṃ antaravīthiyā gacchantaṃ disvā vātapānesu appahontesu tāni khaṇḍitvāpi okāsaṃ katvā olokentī’’ti āha. Rājā ‘‘na tā evarūpaṃ karissantī’’ti na saddahati. Puna vuttepi na saddahatiyeva. Atha naṃ tikkhattuṃ vuttepi assaddahantaṃ ‘‘sace me vacanaṃ na saddahasi, tāsaṃ vasanaṭṭhānaṃ gantvā upadhārehi, mahārājā’’ti āha. Rājā gantvā gabbhesu chiddaṃ disvā ‘‘idaṃ ki’’nti pucchitvā tasmiṃ atthe ārocite tāsaṃ akkujjhitvā kiñci avatvā chiddāni pidahāpesi. Rājā tato paṭṭhāya tāsaṃ pāsāde uddhacchiddakajālavātapānāni kāresi.

    สา เตน การเณน ราชานํ โกเปตุํ อสโกฺกนฺตี, ‘‘เทว, เอตาสํ ตุเมฺหสุ เปมํ อตฺถิ วา นตฺถิ วาติ ชานิสฺสาม, อฎฺฐ กุกฺกุเฎ เปเสตฺวา ตุมฺหากํ อตฺถาย ปจาเปถา’’ติ อาหฯ ราชา ตสฺสา วจนํ สุตฺวา ‘‘อิเม ปจิตฺวา เปเสตู’’ติ สามาวติยา อฎฺฐ กุกฺกุเฎ ปหิณิฯ โสตาปนฺนา อริยสาวิกา ชีวมาเน กุกฺกุเฎ กิํ ปจิสฺสติ, อลนฺติ วตฺวา ปน หเตฺถนปิ ผุสิตุํ น อิจฺฉิฯ มาคณฺฑิยา ‘‘โหตุ, มหาราช, เอเตเยว จ กุกฺกุเฎ สมณสฺส โคตมสฺส ปจนตฺถาย เปเสหี’’ติฯ ราชา ตถา อกาสิฯ มาคณฺฑิยา อนฺตรามเคฺคเยว กุกฺกุเฎ มาราเปตฺวา ‘‘อิเม กุกฺกุเฎ ปจาเปตฺวา สมณสฺส โคตมสฺส เทตู’’ติ ปหิณิฯ สา เตสํ มตภาเวน ทสพลญฺจ อุทฺทิสฺส ปหิตภาเวน ปจิตฺวา ทสพลสฺส เปเสสิฯ มาคณฺฑิยา ‘‘ปสฺส, มหาราชา’’ติ วตฺวา เอตฺตเกนปิ ราชานํ โกเปตุํ นาสกฺขิฯ

    Sā tena kāraṇena rājānaṃ kopetuṃ asakkontī, ‘‘deva, etāsaṃ tumhesu pemaṃ atthi vā natthi vāti jānissāma, aṭṭha kukkuṭe pesetvā tumhākaṃ atthāya pacāpethā’’ti āha. Rājā tassā vacanaṃ sutvā ‘‘ime pacitvā pesetū’’ti sāmāvatiyā aṭṭha kukkuṭe pahiṇi. Sotāpannā ariyasāvikā jīvamāne kukkuṭe kiṃ pacissati, alanti vatvā pana hatthenapi phusituṃ na icchi. Māgaṇḍiyā ‘‘hotu, mahārāja, eteyeva ca kukkuṭe samaṇassa gotamassa pacanatthāya pesehī’’ti. Rājā tathā akāsi. Māgaṇḍiyā antarāmaggeyeva kukkuṭe mārāpetvā ‘‘ime kukkuṭe pacāpetvā samaṇassa gotamassa detū’’ti pahiṇi. Sā tesaṃ matabhāvena dasabalañca uddissa pahitabhāvena pacitvā dasabalassa pesesi. Māgaṇḍiyā ‘‘passa, mahārājā’’ti vatvā ettakenapi rājānaṃ kopetuṃ nāsakkhi.

    อยํ ปน อุเทโน ตาสุ เอเกกิสฺสา วสนฎฺฐาเน สตฺต สตฺต ทิวสานิ วสิฯ อถายํ มาคณฺฑิยา เอกํ กณฺหสปฺปโปตกํ เวฬุปเพฺพ ปกฺขิปาเปตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐาเน ฐเปสิฯ รโญฺญ จ ยตฺถ กตฺถจิ คจฺฉนฺตสฺส หตฺถิกนฺตวีณํ อาทายเยว คมนํ อาจิณฺณํ, มาคณฺฑิยา รโญฺญ อตฺตโน สนฺติกํ อาคมนกาเล ตํ สปฺปโปตกํ อโนฺตวีณาย ปกฺขิปิตฺวา ฉิทฺทํ ปิทหาเปสิฯ อถ นํ สามาวติยา สนฺติกํ คมนกาเล, ‘‘มหาราช, สามาวตี นาม สมณสฺส โคตมสฺส ปกฺขา, ตุเมฺห น คเณติฯ ยํ กิญฺจิ กตฺวา ตุมฺหากํ โทสเมว จิเนฺตติ, อปฺปมตฺตา โหถา’’ติ อาหฯ ราชา สามาวติยา วสนฎฺฐาเน สตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา ปุน สตฺตาเห มาคณฺฑิยาย นิเวสนํ อคมาสิฯ สา ตสฺมิํ อาคจฺฉเนฺตเยว ‘‘กจฺจิ เต, มหาราช, สามาวตี โอตารํ น คเวสตี’’ติ กเถนฺตี วิย รโญฺญ หตฺถโต วีณํ คเหตฺวา จาเลตฺวา ‘‘กิํ นุ โข, มหาราช, เอตฺถ อพฺภนฺตเร วิจรตี’’ติ วตฺวา สปฺปสฺส นิกฺขมโนกาสํ กตฺวา ‘‘อพฺภุเมฺม อโนฺต สโปฺป’’ติ วีณํ ฉเฑฺฑตฺวา ปลายิฯ ตสฺมิํ กาเล ราชา ปทิตฺตํ เวณุวนํ วิย ปกฺขิตฺตโลณํ อุทฺธนํ วิย จ โทเสน ตฎตฎายโนฺต ‘‘เวเคน สปริวารํ สามาวติํ ปโกฺกสถา’’ติ อาหฯ ราชปุริสา คนฺตฺวา ปโกฺกสิํสุฯ

    Ayaṃ pana udeno tāsu ekekissā vasanaṭṭhāne satta satta divasāni vasi. Athāyaṃ māgaṇḍiyā ekaṃ kaṇhasappapotakaṃ veḷupabbe pakkhipāpetvā attano vasanaṭṭhāne ṭhapesi. Rañño ca yattha katthaci gacchantassa hatthikantavīṇaṃ ādāyayeva gamanaṃ āciṇṇaṃ, māgaṇḍiyā rañño attano santikaṃ āgamanakāle taṃ sappapotakaṃ antovīṇāya pakkhipitvā chiddaṃ pidahāpesi. Atha naṃ sāmāvatiyā santikaṃ gamanakāle, ‘‘mahārāja, sāmāvatī nāma samaṇassa gotamassa pakkhā, tumhe na gaṇeti. Yaṃ kiñci katvā tumhākaṃ dosameva cinteti, appamattā hothā’’ti āha. Rājā sāmāvatiyā vasanaṭṭhāne sattāhaṃ vītināmetvā puna sattāhe māgaṇḍiyāya nivesanaṃ agamāsi. Sā tasmiṃ āgacchanteyeva ‘‘kacci te, mahārāja, sāmāvatī otāraṃ na gavesatī’’ti kathentī viya rañño hatthato vīṇaṃ gahetvā cāletvā ‘‘kiṃ nu kho, mahārāja, ettha abbhantare vicaratī’’ti vatvā sappassa nikkhamanokāsaṃ katvā ‘‘abbhumme anto sappo’’ti vīṇaṃ chaḍḍetvā palāyi. Tasmiṃ kāle rājā padittaṃ veṇuvanaṃ viya pakkhittaloṇaṃ uddhanaṃ viya ca dosena taṭataṭāyanto ‘‘vegena saparivāraṃ sāmāvatiṃ pakkosathā’’ti āha. Rājapurisā gantvā pakkosiṃsu.

    สา รโญฺญ กุทฺธภาวํ ญตฺวา เสสมาตุคามานํ สญฺญมทาสิฯ ‘‘ราชา ตุเมฺห ฆาเตตุกาโม ปโกฺกสติ, อชฺช ทิวสํ โอทิสฺสเกน เมตฺตาผรเณน ราชานํ ผรถา’’ติ อาหฯ ราชา ตา อิตฺถิโย ปโกฺกสาเปตฺวา สพฺพาว ปฎิปาฎิยา ฐเปตฺวา มหาธนุํ อาทาย วิสปีตกณฺฑํ สนฺนยฺหิตฺวา ธนุํ ปูเรตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ สพฺพาว ตา สามาวติปฺปมุขา อิตฺถิโย โอธิโส เมตฺตํ ผริํสุฯ ราชา กณฺฑํ เนว ขิปิตุํ น อปเนตุํ สโกฺกติ, คเตฺตหิ เสทา มุจฺจนฺติ, สรีรํ เวธติ, มุขโต เขโฬ ปตติ, คเหตพฺพคหณํ น ปสฺสติฯ อถ นํ สามาวตี ‘‘กิํ, มหาราช, กิลมสี’’ติ อาหฯ อาม, เทวิ, กิลมามิ, อวสฺสโย เม โหหีติฯ สาธุ, มหาราช, กณฺฑํ มหาปถวิมุขํ กโรหีติฯ ราชา ตถา อกาสิฯ สา ‘‘รโญฺญ หตฺถโต กณฺฑํ มุจฺจตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ กณฺฑํ มุจฺจิฯ ราชา ตํขณํเยว อุทเก นิมุชฺชิตฺวา อาคมฺม อลฺลเกโส อลฺลวโตฺถ สามาวติยา ปาเทสุ ปติตฺวา ‘‘ขม, เทวิ, มยฺหํ, เภทกานํ เม วจเนน อนุปธาเรตฺวา เอตํ กต’’นฺติ อาหฯ ขมามิ, เทวาติฯ ‘‘สาธุ, เทวิ, เอวํ ตยา มยฺหํ ขมิตํ นาม โหติฯ อิโต ปฎฺฐาย ตุมฺหากํ ยถารุจิยา ทสพลสฺส ทานํ เทถ, ปจฺฉาภตฺตํ วิหารํ คนฺตฺวา ธมฺมกถํ สุณาถ, อชฺช โว ปฎฺฐาย ปริหารํ ทมฺมีติฯ เตน หิ, เทว, อชฺช ปฎฺฐาย เอกํ ภิกฺขุํ ยาจิตฺวา อาเนถ, โย โน ธมฺมํ วาเจสฺสตีติฯ ราชา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ยาจโนฺต อานนฺทเตฺถรํ ลภิฯ ตโต ปฎฺฐาย ตา ปญฺจสตา อิตฺถิโย เถรํ ปโกฺกสาเปตฺวา สกฺการสมฺมานํ กตฺวา กตภตฺตกิจฺจสฺส เถรสฺส สนฺติเก ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติฯ

    Sā rañño kuddhabhāvaṃ ñatvā sesamātugāmānaṃ saññamadāsi. ‘‘Rājā tumhe ghātetukāmo pakkosati, ajja divasaṃ odissakena mettāpharaṇena rājānaṃ pharathā’’ti āha. Rājā tā itthiyo pakkosāpetvā sabbāva paṭipāṭiyā ṭhapetvā mahādhanuṃ ādāya visapītakaṇḍaṃ sannayhitvā dhanuṃ pūretvā aṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe sabbāva tā sāmāvatippamukhā itthiyo odhiso mettaṃ phariṃsu. Rājā kaṇḍaṃ neva khipituṃ na apanetuṃ sakkoti, gattehi sedā muccanti, sarīraṃ vedhati, mukhato kheḷo patati, gahetabbagahaṇaṃ na passati. Atha naṃ sāmāvatī ‘‘kiṃ, mahārāja, kilamasī’’ti āha. Āma, devi, kilamāmi, avassayo me hohīti. Sādhu, mahārāja, kaṇḍaṃ mahāpathavimukhaṃ karohīti. Rājā tathā akāsi. Sā ‘‘rañño hatthato kaṇḍaṃ muccatū’’ti adhiṭṭhāsi. Tasmiṃ khaṇe kaṇḍaṃ mucci. Rājā taṃkhaṇaṃyeva udake nimujjitvā āgamma allakeso allavattho sāmāvatiyā pādesu patitvā ‘‘khama, devi, mayhaṃ, bhedakānaṃ me vacanena anupadhāretvā etaṃ kata’’nti āha. Khamāmi, devāti. ‘‘Sādhu, devi, evaṃ tayā mayhaṃ khamitaṃ nāma hoti. Ito paṭṭhāya tumhākaṃ yathāruciyā dasabalassa dānaṃ detha, pacchābhattaṃ vihāraṃ gantvā dhammakathaṃ suṇātha, ajja vo paṭṭhāya parihāraṃ dammīti. Tena hi, deva, ajja paṭṭhāya ekaṃ bhikkhuṃ yācitvā ānetha, yo no dhammaṃ vācessatīti. Rājā satthu santikaṃ gantvā yācanto ānandattheraṃ labhi. Tato paṭṭhāya tā pañcasatā itthiyo theraṃ pakkosāpetvā sakkārasammānaṃ katvā katabhattakiccassa therassa santike dhammaṃ pariyāpuṇanti.

    ตา เอกทิวสํ เถรสฺส อนุโมทนาย ปสนฺนา เถรสฺส ปญฺจ อุตฺตราสงฺคสตานิ อทํสุฯ เถโร กิร ปุเพฺพ ตุนฺนวายกาเล เอกสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส เอกาย สูจิยา สทฺธิํ หตฺถตลมตฺตํ โจฬขณฺฑํ อทาสิฯ โส สูจิยา ผเลน อิมสฺมิํ อตฺตภาเว มหาปโญฺญ อโหสิ, โจฬขณฺฑสฺส ผเลน อิมินาว นิยาเมน ปญฺจสตกฺขตฺตุํ ทุสฺสานิ ปฎิลภิฯ

    Tā ekadivasaṃ therassa anumodanāya pasannā therassa pañca uttarāsaṅgasatāni adaṃsu. Thero kira pubbe tunnavāyakāle ekassa paccekabuddhassa ekāya sūciyā saddhiṃ hatthatalamattaṃ coḷakhaṇḍaṃ adāsi. So sūciyā phalena imasmiṃ attabhāve mahāpañño ahosi, coḷakhaṇḍassa phalena imināva niyāmena pañcasatakkhattuṃ dussāni paṭilabhi.

    ตโต มาคณฺฑิยา อญฺญํ กาตพฺพํ อปสฺสนฺตี ‘‘อุยฺยานํ คจฺฉาม, มหาราชา’’ติ อาหฯ สาธุ, เทวีติฯ สา รโญฺญ สมฺปฎิจฺฉิตภาวํ ญตฺวา จูฬปิตรํ ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘อมฺหากํ อุยฺยานํ คตกาเล สามาวติยา วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา สามาวติํ สปริวารํ อโนฺตกริตฺวา ‘รโญฺญ อาณา’ติ วตฺวา ทฺวารํ ปิทหิตฺวา ปลาเลน ปลิเวเฐตฺวา เคเห อคฺคิํ เทถา’’ติฯ มาคณฺฑิโย ตสฺสา วจนํ สุตฺวา ตถา อกาสิฯ ตสฺมิํ ทิวเส สพฺพาปิ ตา อิตฺถิโย ปุเพฺพ กตสฺส อุปปีฬกกมฺมสฺสานุภาเวน สมาปตฺติํ อเปฺปตุํ นาสกฺขิํสุ, เอกปฺปหาเรเนว ภุสมุฎฺฐิ วิย ฌายิํสุฯ ตาสํ อารกฺขปุริสา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘เทว, อิทํ นาม กริํสู’’ติ อาจิกฺขิํสุฯ

    Tato māgaṇḍiyā aññaṃ kātabbaṃ apassantī ‘‘uyyānaṃ gacchāma, mahārājā’’ti āha. Sādhu, devīti. Sā rañño sampaṭicchitabhāvaṃ ñatvā cūḷapitaraṃ pakkosāpetvā āha – ‘‘amhākaṃ uyyānaṃ gatakāle sāmāvatiyā vasanaṭṭhānaṃ gantvā sāmāvatiṃ saparivāraṃ antokaritvā ‘rañño āṇā’ti vatvā dvāraṃ pidahitvā palālena paliveṭhetvā gehe aggiṃ dethā’’ti. Māgaṇḍiyo tassā vacanaṃ sutvā tathā akāsi. Tasmiṃ divase sabbāpi tā itthiyo pubbe katassa upapīḷakakammassānubhāvena samāpattiṃ appetuṃ nāsakkhiṃsu, ekappahāreneva bhusamuṭṭhi viya jhāyiṃsu. Tāsaṃ ārakkhapurisā rañño santikaṃ gantvā, ‘‘deva, idaṃ nāma kariṃsū’’ti ācikkhiṃsu.

    ราชา ‘‘เกน กต’’นฺติ ปริเยสโนฺต มาคณฺฑิยาย การิตภาวํ ญตฺวา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ภเทฺท, ภทฺทกํ ตยา กมฺมํ กตํ มยา กาตพฺพํ กโรนฺติยา, ‘‘อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย มยฺหํ วธาย ปริสกฺกมานา ฆาติตา, ปสโนฺนสฺมิ, ตุยฺหํ สมฺปตฺติํ ทสฺสามีติ ตว ญาตเก ปโกฺกสาเปหี’’ติ อาหฯ สา รโญฺญ กถํ สุตฺวา อญฺญาตเกปิ ญาตเก กตฺวา ปโกฺกสาเปสิฯ ราชา สเพฺพสํ สนฺนิปติตภาวํ ญตฺวา ราชงฺคเณ คลปฺปมาเณสุ อาวาเฎสุ นิขนิตฺวา อุปริ ฐิตานิ สีสานิ ภินฺทาเปโนฺต มหเนฺตหิ อยนงฺคเลหิ กสาเปสิฯ มาคณฺฑิยมฺปิ ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉินฺทาเปตฺวา ปูวปจนกฎาเห ปจาเปสิฯ

    Rājā ‘‘kena kata’’nti pariyesanto māgaṇḍiyāya kāritabhāvaṃ ñatvā taṃ pakkosāpetvā ‘‘bhadde, bhaddakaṃ tayā kammaṃ kataṃ mayā kātabbaṃ karontiyā, ‘‘uṭṭhāya samuṭṭhāya mayhaṃ vadhāya parisakkamānā ghātitā, pasannosmi, tuyhaṃ sampattiṃ dassāmīti tava ñātake pakkosāpehī’’ti āha. Sā rañño kathaṃ sutvā aññātakepi ñātake katvā pakkosāpesi. Rājā sabbesaṃ sannipatitabhāvaṃ ñatvā rājaṅgaṇe galappamāṇesu āvāṭesu nikhanitvā upari ṭhitāni sīsāni bhindāpento mahantehi ayanaṅgalehi kasāpesi. Māgaṇḍiyampi khaṇḍākhaṇḍikaṃ chindāpetvā pūvapacanakaṭāhe pacāpesi.

    กิํ ปน สามาวติยา สปริวาราย อคฺคินา ฌาปนกมฺมนฺติ? สา กิร อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ เตเหว ปญฺจหิ มาตุคามสเตหิ สทฺธิํ คงฺคายํ กีฬิตฺวา พหิติเตฺถ ฐิตา สีเต ชาเต อวิทูรฎฺฐาเน ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปณฺณสาลํ ทิสฺวา อโนฺต อโสเธตฺวาว พหิ อคฺคิํ ทตฺวา วิสิเพฺพสุํฯ อโนฺตปณฺณสาลาย ปเจฺจกพุโทฺธ นิโรธสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา นิสิโนฺนฯ ตา ชาลาสุ ปจฺฉินฺนาสุ ปเจฺจกพุทฺธํ ทิสฺวา ‘‘กิํ อเมฺหหิ กตํ, อยํ ปเจฺจกพุโทฺธ รโญฺญ กุลูปโก, อิมํ ทิสฺวา ราชา อมฺหากํ กุชฺฌิสฺสติ, อิทานิ นํ สุชฺฌาปิตํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ อญฺญานิปิ ทารูนิ ปกฺขิปิตฺวา อคฺคิํ อทํสุฯ ปุน ชาลาย ปจฺฉินฺนาย ปเจฺจกพุโทฺธ สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ตาสํ ปสฺสนฺตีนํเยว จีวรานิ ปโปฺผเฎตฺวา เวหาสํ อุปฺปติตฺวา คโตฯ เตน กเมฺมน นิรเย ปจฺจิตฺวา ปกฺกาวเสเสน อิมํ พฺยสนํ ปาปุณิํสุฯ จตุปริสมเชฺฌ ปน กถา อุทปาทิ – ‘‘พหุสฺสุตา วต ขุชฺชุตฺตรา, มาตุคามอตฺตภาเว ฐตฺวา ปญฺจนฺนํ มาตุคามสตานํ ธมฺมํ กเถตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปสิฯ สามาวตีปิ รญฺญา อตฺตโน อปฺปิตํ กณฺฑํ เมตฺตาผรเณน ผริตฺวา ปฎิพาหี’’ติ ตสฺสาปิ มหาชโน คุณํ กเถสิฯ เอวเมตํ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ อถ สตฺถา อปรภาเค เชตวเน นิสิโนฺน ตเทว การณํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา ขุชฺชุตฺตรํ พหุสฺสุตานํ, สามาวติํ เมตฺตาวิหารีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Kiṃ pana sāmāvatiyā saparivārāya agginā jhāpanakammanti? Sā kira anuppanne buddhe teheva pañcahi mātugāmasatehi saddhiṃ gaṅgāyaṃ kīḷitvā bahititthe ṭhitā sīte jāte avidūraṭṭhāne paccekabuddhassa paṇṇasālaṃ disvā anto asodhetvāva bahi aggiṃ datvā visibbesuṃ. Antopaṇṇasālāya paccekabuddho nirodhasamāpattiṃ samāpajjitvā nisinno. Tā jālāsu pacchinnāsu paccekabuddhaṃ disvā ‘‘kiṃ amhehi kataṃ, ayaṃ paccekabuddho rañño kulūpako, imaṃ disvā rājā amhākaṃ kujjhissati, idāni naṃ sujjhāpitaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti aññānipi dārūni pakkhipitvā aggiṃ adaṃsu. Puna jālāya pacchinnāya paccekabuddho samāpattito vuṭṭhāya tāsaṃ passantīnaṃyeva cīvarāni papphoṭetvā vehāsaṃ uppatitvā gato. Tena kammena niraye paccitvā pakkāvasesena imaṃ byasanaṃ pāpuṇiṃsu. Catuparisamajjhe pana kathā udapādi – ‘‘bahussutā vata khujjuttarā, mātugāmaattabhāve ṭhatvā pañcannaṃ mātugāmasatānaṃ dhammaṃ kathetvā sotāpattiphale patiṭṭhāpesi. Sāmāvatīpi raññā attano appitaṃ kaṇḍaṃ mettāpharaṇena pharitvā paṭibāhī’’ti tassāpi mahājano guṇaṃ kathesi. Evametaṃ vatthu samuṭṭhitaṃ. Atha satthā aparabhāge jetavane nisinno tadeva kāraṇaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā khujjuttaraṃ bahussutānaṃ, sāmāvatiṃ mettāvihārīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    อุตฺตรานนฺทมาตาวตฺถุ

    Uttarānandamātāvatthu

    ๒๖๒. ปญฺจเม ฌายีนนฺติ ฌานาภิรตานํ อุปาสิกานํ, อุตฺตรา นนฺทมาตา, อคฺคาติ ทเสฺสติฯ สา กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพตฺตา สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ อุปาสิกํ ฌานาภิรตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ราชคหนคเร สุมนเสฎฺฐิํ นิสฺสาย วสนฺตสฺส ปุณฺณสีหสฺส นาม ภริยาย กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, อุตฺตราติสฺสา นามํ อกํสุฯ

    262. Pañcame jhāyīnanti jhānābhiratānaṃ upāsikānaṃ, uttarā nandamātā, aggāti dasseti. Sā kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbattā satthu dhammakathaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ upāsikaṃ jhānābhiratānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde rājagahanagare sumanaseṭṭhiṃ nissāya vasantassa puṇṇasīhassa nāma bhariyāya kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhi, uttarātissā nāmaṃ akaṃsu.

    อเถกสฺมิํ นกฺขตฺตมหทิวเส ราชคหเสฎฺฐิ ปุณฺณํ ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘ตาต ปุณฺณ, นกฺขตฺตํ วา อุโปสโถ วา ทุคฺคตสฺส กิํ กริสฺสติ, เอวํ สเนฺตปิ วเทหิ ‘กิํ นกฺขตฺตปริพฺพยํ คเหตฺวา นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสสิ, พลวโคเณ จ ผาลญฺจ นงฺคลญฺจ คเหตฺวา กสิสฺสสี’’’ติฯ ‘‘มม ภริยาย สทฺธิํ มเนฺตตฺวา ชานิสฺสามิ, อยฺยา’’ติ ตํ กถํ ภริยาย อาโรเจสิฯ ‘‘เสฎฺฐิ นาม อโยฺย อิสฺสโร, ตสฺส ตยา สทฺธิํ กเถนฺตสฺส กถา โสภติ, ตฺวํ ปน อตฺตโน กสิกมฺมํ มา วิสฺสเชฺชสี’’ติ อาหฯ โส ตสฺสา วจนํ สุตฺวา กสิภณฺฑํ อาทาย กสิตุํ คโตฯ

    Athekasmiṃ nakkhattamahadivase rājagahaseṭṭhi puṇṇaṃ pakkosāpetvā āha – ‘‘tāta puṇṇa, nakkhattaṃ vā uposatho vā duggatassa kiṃ karissati, evaṃ santepi vadehi ‘kiṃ nakkhattaparibbayaṃ gahetvā nakkhattaṃ kīḷissasi, balavagoṇe ca phālañca naṅgalañca gahetvā kasissasī’’’ti. ‘‘Mama bhariyāya saddhiṃ mantetvā jānissāmi, ayyā’’ti taṃ kathaṃ bhariyāya ārocesi. ‘‘Seṭṭhi nāma ayyo issaro, tassa tayā saddhiṃ kathentassa kathā sobhati, tvaṃ pana attano kasikammaṃ mā vissajjesī’’ti āha. So tassā vacanaṃ sutvā kasibhaṇḍaṃ ādāya kasituṃ gato.

    ตํทิวสญฺจ สาริปุตฺตเตฺถโร นิโรธสมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ‘‘กสฺส อชฺช มยา สงฺคหํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาวเชฺชโนฺต อิมสฺส ปุณฺณสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา ภิกฺขาจารเวลาย ปตฺตจีวรมาทาย ปุณฺณสฺส กสนฎฺฐานํ คจฺฉโนฺต อวิทูเร อตฺตานํ ทเสฺสสิฯ ปุโณฺณ เถรํ ทิสฺวา กสิํ ฐเปตฺวา เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิฯ เถโร ตํ โอโลเกตฺวา อุทกสภาคํ ปุจฺฉิฯ ตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อโยฺย มุขํ โธวิตุกาโม ภวิสฺสตี’’ติฯ ตโต เวเคน คนฺตฺวา ทนฺตกฎฺฐํ อาหริตฺวา กปฺปิยํ กตฺวา เถรสฺส อทาสิฯ เถเร ทนฺตกฎฺฐํ ขาทเนฺต ปเตฺตน สทฺธิํ ธมฺมกรณํ นีหริตฺวา อุทกสฺส ปูเรตฺวา อาหริฯ เถโร มุขํ โธวิตฺวา ภิกฺขาจารมคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ ปุโณฺณ จิเนฺตสิ – ‘‘เถโร อเญฺญสุ ทิวเสสุ อิมํ มคฺคํ น ปฎิปชฺชติ, อชฺช ปน มยฺหํ สงฺคหตฺถาย ปฎิปโนฺน ภวิสฺสติฯ อโห วต เม ภริยา มมตฺถาย อาหรณกํ อาหารํ เถรสฺส ปเตฺต ปติฎฺฐเปยฺยา’’ติฯ

    Taṃdivasañca sāriputtatthero nirodhasamāpattito vuṭṭhāya ‘‘kassa ajja mayā saṅgahaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti āvajjento imassa puṇṇassa upanissayaṃ disvā bhikkhācāravelāya pattacīvaramādāya puṇṇassa kasanaṭṭhānaṃ gacchanto avidūre attānaṃ dassesi. Puṇṇo theraṃ disvā kasiṃ ṭhapetvā therassa santikaṃ gantvā pañcapatiṭṭhitena vandi. Thero taṃ oloketvā udakasabhāgaṃ pucchi. Tassa etadahosi – ‘‘ayyo mukhaṃ dhovitukāmo bhavissatī’’ti. Tato vegena gantvā dantakaṭṭhaṃ āharitvā kappiyaṃ katvā therassa adāsi. There dantakaṭṭhaṃ khādante pattena saddhiṃ dhammakaraṇaṃ nīharitvā udakassa pūretvā āhari. Thero mukhaṃ dhovitvā bhikkhācāramaggaṃ paṭipajji. Puṇṇo cintesi – ‘‘thero aññesu divasesu imaṃ maggaṃ na paṭipajjati, ajja pana mayhaṃ saṅgahatthāya paṭipanno bhavissati. Aho vata me bhariyā mamatthāya āharaṇakaṃ āhāraṃ therassa patte patiṭṭhapeyyā’’ti.

    อถสฺส ภริยา ‘‘อชฺช นกฺขตฺตทิวโส’’ติ ปาโตว อตฺตโน ลภนกนิยาเมน ขาทนียโภชนียํ สํวิธาย คเหตฺวา สามิกสฺส กสนฎฺฐานํ อาคจฺฉนฺตี อนฺตรามเคฺค เถรํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อเญฺญสุ ทิวเสสุ มยฺหํ เถรํ ทิสฺวา เทยฺยธโมฺม น โหติ, เทยฺยธเมฺม สเนฺตปิ มม อยฺยํ น ปสฺสามิ, อชฺช ปน ทฺวินฺนมฺปิ สมฺมุขีภาโว ชาโตฯ มม สามิกสฺส ปุน สมฺปาเทตฺวา อาหริสฺสามิ, อิมํ ตาว อาหารํ เถรสฺส ทสฺสามี’’ติ ตีหิ เจตนาหิ สมฺปยุตฺตํ กตฺวา ตํ โภชนํ สาริปุตฺตเตฺถรสฺส ปเตฺต ปติฎฺฐเปตฺวา ‘‘เอวํวิธา ทุคฺคตชีวิตา มุจฺจามี’’ติ อาหฯ เถโรปิ ‘‘ตว อชฺฌาสโย ปูรตู’’ติ ตสฺสานุโมทนํ กตฺวา ตโต นิวตฺติตฺวา วิหารํ อคมาสิฯ

    Athassa bhariyā ‘‘ajja nakkhattadivaso’’ti pātova attano labhanakaniyāmena khādanīyabhojanīyaṃ saṃvidhāya gahetvā sāmikassa kasanaṭṭhānaṃ āgacchantī antarāmagge theraṃ disvā cintesi – ‘‘aññesu divasesu mayhaṃ theraṃ disvā deyyadhammo na hoti, deyyadhamme santepi mama ayyaṃ na passāmi, ajja pana dvinnampi sammukhībhāvo jāto. Mama sāmikassa puna sampādetvā āharissāmi, imaṃ tāva āhāraṃ therassa dassāmī’’ti tīhi cetanāhi sampayuttaṃ katvā taṃ bhojanaṃ sāriputtattherassa patte patiṭṭhapetvā ‘‘evaṃvidhā duggatajīvitā muccāmī’’ti āha. Theropi ‘‘tava ajjhāsayo pūratū’’ti tassānumodanaṃ katvā tato nivattitvā vihāraṃ agamāsi.

    สาปิ ปุน อตฺตโน เคหํ คนฺตฺวา สามิกสฺส อาหารํ สมฺปาเทตฺวา อาทาย กสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา สามิกสฺส กุชฺฌนภาวโต ภีตา ‘‘สามิ, อชฺช เอกทิวสํ ตว มนํ สนฺธาเรหี’’ติ อาหฯ กิํ การณาติ? อหํ อชฺช ตาว อาหารํ อาหรนฺตี อนฺตรามเคฺค เถรํ ทิสฺวา ตว ภาคภตฺตํ เถรสฺส ปเตฺต ปติฎฺฐเปตฺวา ปุน เคหํ คนฺตฺวา อาหารํ ปจิตฺวา อาทาย อาคตามฺหีติฯ มนาปํ เต, ภเทฺท, กตํ, มยาปิ ปาโตว เถรสฺส ทนฺตกฎฺฐญฺจ มุโขทกญฺจ ทินฺนํฯ อชฺช อมฺหากํ สุปฺปภาตํ, สพฺพมฺปิ เถรสฺส อมฺหากํ สนฺตกเมว ชาตนฺติ ทฺวินฺนมฺปิ ชนานํ เอกสทิสเมว จิตฺตํ อโหสิฯ อถ ปุโณฺณ อาหารกิจฺจํ กตฺวา ภริยาย อูรุมฺหิ สีสํ กตฺวา มุหุตฺตํ นิปชฺชิฯ อถสฺส นิทฺทา โอกฺกมิฯ โส โถกํ นิทฺทายิตฺวา ปพุโทฺธ กสิตฎฺฐานํ โอโลเกสิ, โอโลกิโตโลกิตฎฺฐานํ มหาโกสาตกิปุเปฺผหิ สมฺปริกิณฺณํ วิย อโหสิฯ โส ภริยํ อาห – ‘‘ภเทฺท, กินฺนาเมตํ อชฺช อิทํ กสิตฎฺฐานํ สุวณฺณวณฺณํ หุตฺวา ขายตี’’ติฯ อยฺย , อชฺช เต สกลทิวสํ กิลนฺตตาย อกฺขีนิ มเญฺญ ภมนฺตีติฯ ภเทฺท, มยฺหํ อสฺสทฺทหนฺตี สยํ โอโลเกหีติฯ ตสฺมิํ กาเล สา โอโลเกตฺวา สภาวํ อยฺย, กเถสิ, เอวเมตํ ภวิสฺสตีติฯ

    Sāpi puna attano gehaṃ gantvā sāmikassa āhāraṃ sampādetvā ādāya kasanaṭṭhānaṃ gantvā sāmikassa kujjhanabhāvato bhītā ‘‘sāmi, ajja ekadivasaṃ tava manaṃ sandhārehī’’ti āha. Kiṃ kāraṇāti? Ahaṃ ajja tāva āhāraṃ āharantī antarāmagge theraṃ disvā tava bhāgabhattaṃ therassa patte patiṭṭhapetvā puna gehaṃ gantvā āhāraṃ pacitvā ādāya āgatāmhīti. Manāpaṃ te, bhadde, kataṃ, mayāpi pātova therassa dantakaṭṭhañca mukhodakañca dinnaṃ. Ajja amhākaṃ suppabhātaṃ, sabbampi therassa amhākaṃ santakameva jātanti dvinnampi janānaṃ ekasadisameva cittaṃ ahosi. Atha puṇṇo āhārakiccaṃ katvā bhariyāya ūrumhi sīsaṃ katvā muhuttaṃ nipajji. Athassa niddā okkami. So thokaṃ niddāyitvā pabuddho kasitaṭṭhānaṃ olokesi, olokitolokitaṭṭhānaṃ mahākosātakipupphehi samparikiṇṇaṃ viya ahosi. So bhariyaṃ āha – ‘‘bhadde, kinnāmetaṃ ajja idaṃ kasitaṭṭhānaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ hutvā khāyatī’’ti. Ayya , ajja te sakaladivasaṃ kilantatāya akkhīni maññe bhamantīti. Bhadde, mayhaṃ assaddahantī sayaṃ olokehīti. Tasmiṃ kāle sā oloketvā sabhāvaṃ ayya, kathesi, evametaṃ bhavissatīti.

    ปุโณฺณ อุฎฺฐาย เอกํ กฎฺฐิํ คเหตฺวา นงฺคลสีเส ปหริ, คุฬปิโณฺฑ วิย นงฺคลสีเส อลฺลียิตฺวา อฎฺฐาสิฯ โส ภริยํ ปโกฺกสิตฺวา อาห – ‘‘ภเทฺท, อเญฺญสํ วปิตพีชํ นาม ตีหิ วา จตูหิ วา มาเสหิ ผลํ เทติ, อมฺหากํ ปน อยฺยสฺส สาริปุตฺตเตฺถรสฺส อนฺตเร โรปิเตน สทฺธาพีเชน อเชฺชว อวสฺสํ ผลํ ทินฺนํฯ อิมสฺมิํ กรีสมเตฺต ปเทเส อามลกมโตฺตปิ ปํสุปิโณฺฑ อสุวโณฺณ นาม นตฺถี’’ติฯ อิทานิ กิํ กริสฺสาม, อยฺยาติ? ‘‘ภเทฺท, อิมํ เอตฺตกํ สุวณฺณํ เถเนตฺวา ขาทิตุํ นาม น สกฺกา’’ติ ภริยํ ตสฺมิํ ฐาเน ฐเปตฺวา ภตฺตสฺส ปูเรตฺวา อาภตํ ปาติํ สุวณฺณสฺส ปูเรตฺวา คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรจาเปสิ – ‘‘เอโก มนุโสฺส สุวณฺณปาติํ คเหตฺวา ฐิโต’’ติฯ ราชา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘กหํ เต, ตาต, ลทฺธ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว, มยฺหํ เอกํ กสิตฎฺฐานํ สพฺพํ สุวณฺณเมว ชาตํ, ปหิณิตฺวา อาหราเปถา’’ติ อาหฯ ตฺวํ กินฺนาโมสีติ? ปุโณฺณ นาม อหํ, เทวาติฯ คจฺฉถ, ภเณ, สกฎานิ โยเชตฺวา ปุณฺณสฺส กสิตฎฺฐานโต สุวณฺณมาหรถาติฯ

    Puṇṇo uṭṭhāya ekaṃ kaṭṭhiṃ gahetvā naṅgalasīse pahari, guḷapiṇḍo viya naṅgalasīse allīyitvā aṭṭhāsi. So bhariyaṃ pakkositvā āha – ‘‘bhadde, aññesaṃ vapitabījaṃ nāma tīhi vā catūhi vā māsehi phalaṃ deti, amhākaṃ pana ayyassa sāriputtattherassa antare ropitena saddhābījena ajjeva avassaṃ phalaṃ dinnaṃ. Imasmiṃ karīsamatte padese āmalakamattopi paṃsupiṇḍo asuvaṇṇo nāma natthī’’ti. Idāni kiṃ karissāma, ayyāti? ‘‘Bhadde, imaṃ ettakaṃ suvaṇṇaṃ thenetvā khādituṃ nāma na sakkā’’ti bhariyaṃ tasmiṃ ṭhāne ṭhapetvā bhattassa pūretvā ābhataṃ pātiṃ suvaṇṇassa pūretvā gantvā rañño ārocāpesi – ‘‘eko manusso suvaṇṇapātiṃ gahetvā ṭhito’’ti. Rājā taṃ pakkosāpetvā ‘‘kahaṃ te, tāta, laddha’’nti pucchi. ‘‘Deva, mayhaṃ ekaṃ kasitaṭṭhānaṃ sabbaṃ suvaṇṇameva jātaṃ, pahiṇitvā āharāpethā’’ti āha. Tvaṃ kinnāmosīti? Puṇṇo nāma ahaṃ, devāti. Gacchatha, bhaṇe, sakaṭāni yojetvā puṇṇassa kasitaṭṭhānato suvaṇṇamāharathāti.

    สกเฎหิ สทฺธิํ คตราชปุริสา ‘‘รโญฺญ ปุญฺญ’’นฺติ วตฺวา สุวณฺณปิเณฺฑ คณฺหนฺติ, คหิตคหิตมฺปิ กสิตเลฑฺฑุเยว โหติฯ เต คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ เตน หิ ภเณ คนฺตฺวา ‘‘ปุณฺณสฺส ปุญฺญ’’นฺติ วตฺวา คณฺหถาติฯ คหิตคหิตํ สุวณฺณเมว โหติฯ เต สพฺพมฺปิ ตํ สุวณฺณํ อาหริตฺวา ราชงฺคเณ ราสิํ อกํสุฯ ราสิ อุเพฺพเธน ตาลปฺปมาโณ อโหสิฯ ราชา วาณิเช ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘กสฺส เคเห เอตฺตกํ สุวณฺณํ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ นตฺถิ, เทว, กสฺสจีติฯ เอตฺตกสฺส ปน ธนสฺส สามิโน กิํ กาตุํ วฎฺฎตีติ? ธนเสฎฺฐิํ นาม นํ กาตุํ วฎฺฎติ, เทวาติ? เตน หิ ปุณฺณํ อิมสฺมิํ นคเร ธนเสฎฺฐิํ นาม กโรถาติ สพฺพํ ตํ สุวณฺณํ ตเสฺสว ทตฺวา ตํทิวสํเยวสฺส เสฎฺฐิฎฺฐานํ อทาสิฯ โส เสฎฺฐิ มงฺคลํ กโรโนฺต สตฺตาหํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ อทาสิฯ สตฺตเม ทิวเส ทสพลสฺส ภตฺตานุโมทนาย ปุณฺณเสฎฺฐิปิ ภริยาปิ ธีตาปิ สเพฺพ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ

    Sakaṭehi saddhiṃ gatarājapurisā ‘‘rañño puñña’’nti vatvā suvaṇṇapiṇḍe gaṇhanti, gahitagahitampi kasitaleḍḍuyeva hoti. Te gantvā rañño ārocesuṃ. Tena hi bhaṇe gantvā ‘‘puṇṇassa puñña’’nti vatvā gaṇhathāti. Gahitagahitaṃ suvaṇṇameva hoti. Te sabbampi taṃ suvaṇṇaṃ āharitvā rājaṅgaṇe rāsiṃ akaṃsu. Rāsi ubbedhena tālappamāṇo ahosi. Rājā vāṇije pakkosāpetvā ‘‘kassa gehe ettakaṃ suvaṇṇaṃ atthī’’ti pucchi. Natthi, deva, kassacīti. Ettakassa pana dhanassa sāmino kiṃ kātuṃ vaṭṭatīti? Dhanaseṭṭhiṃ nāma naṃ kātuṃ vaṭṭati, devāti? Tena hi puṇṇaṃ imasmiṃ nagare dhanaseṭṭhiṃ nāma karothāti sabbaṃ taṃ suvaṇṇaṃ tasseva datvā taṃdivasaṃyevassa seṭṭhiṭṭhānaṃ adāsi. So seṭṭhi maṅgalaṃ karonto sattāhaṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ adāsi. Sattame divase dasabalassa bhattānumodanāya puṇṇaseṭṭhipi bhariyāpi dhītāpi sabbe sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu.

    อปรภาเค ราชคหเสฎฺฐิ ‘‘ปุณฺณเสฎฺฐิโน วยปฺปตฺตา ทาริกา อตฺถี’’ติ สุตฺวา อตฺตโน ปุตฺตสฺส การณา ตสฺส เคหํ เปเสสิฯ โส ตสฺส สาสนํ สุตฺวา ‘‘นาหํ ธีตรํ ทสฺสามี’’ติ ปฎิสาสนํ เปเสสิฯ สุมนเสฎฺฐิปิ ปุน เปเสสิ – ‘‘ตฺวํ มม เคหํ นิสฺสาย วสิตฺวา อิทานิ เอกปฺปหาเรเนว อิสฺสโร หุตฺวา มยฺหํ ทาริกํ น เทสี’’ติฯ ตโต ปุณฺณเสฎฺฐิ อาห – ‘‘อิมํ ตาว ตุมฺหากํ เสฎฺฐิ สภาวเมว กเถสิ , ปุริโส นาม สพฺพกาเล เอวํวิโธเยวาติ น สลฺลเกฺขตโพฺพฯ อหญฺหิ อิทานิ ตาทิเส ปุริเส ทาเส กตฺวา คเหตุํ สโกฺกมิ, ตุยฺหํ ปน ชาติํ วา โคตฺตํ วา น โกเปมิฯ อปิจ โข มม ธีตา โสตาปนฺนา อริยสาวิกา เทวสิกํ กหาปณคฺฆนเกหิ ปุเปฺผหิ ปูชํ กโรติ, ตมหํ ตุมฺหาทิสสฺส มิจฺฉาทิฎฺฐิกสฺส เคหํ น เปเสสฺสามี’’ติฯ เอวํ ปุณฺณเสฎฺฐิสฺส ปฎิพาหกภาวํ ญตฺวา ราชคหเสฎฺฐิ ปุน สาสนํ เปเสสิ – ‘‘โปราณกํ วิสฺสาสํ มา ภินฺทตุ, อหํ มยฺหํ สุณิสาย เทวสิกํ ทฺวินฺนํ กหาปณานํ อนฺธนกานิ ปุปฺผานิ สชฺชาเปสฺสามี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ธีตรํ ตสฺส ฆรํ เปเสสิฯ

    Aparabhāge rājagahaseṭṭhi ‘‘puṇṇaseṭṭhino vayappattā dārikā atthī’’ti sutvā attano puttassa kāraṇā tassa gehaṃ pesesi. So tassa sāsanaṃ sutvā ‘‘nāhaṃ dhītaraṃ dassāmī’’ti paṭisāsanaṃ pesesi. Sumanaseṭṭhipi puna pesesi – ‘‘tvaṃ mama gehaṃ nissāya vasitvā idāni ekappahāreneva issaro hutvā mayhaṃ dārikaṃ na desī’’ti. Tato puṇṇaseṭṭhi āha – ‘‘imaṃ tāva tumhākaṃ seṭṭhi sabhāvameva kathesi , puriso nāma sabbakāle evaṃvidhoyevāti na sallakkhetabbo. Ahañhi idāni tādise purise dāse katvā gahetuṃ sakkomi, tuyhaṃ pana jātiṃ vā gottaṃ vā na kopemi. Apica kho mama dhītā sotāpannā ariyasāvikā devasikaṃ kahāpaṇagghanakehi pupphehi pūjaṃ karoti, tamahaṃ tumhādisassa micchādiṭṭhikassa gehaṃ na pesessāmī’’ti. Evaṃ puṇṇaseṭṭhissa paṭibāhakabhāvaṃ ñatvā rājagahaseṭṭhi puna sāsanaṃ pesesi – ‘‘porāṇakaṃ vissāsaṃ mā bhindatu, ahaṃ mayhaṃ suṇisāya devasikaṃ dvinnaṃ kahāpaṇānaṃ andhanakāni pupphāni sajjāpessāmī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā dhītaraṃ tassa gharaṃ pesesi.

    อเถกทิวสํ สา ปุณฺณเสฎฺฐิโน ธีตา อุตฺตรา อตฺตโน สามิกํ เอวมาห – ‘‘อหํ อตฺตโน กุลเคเห มาสสฺส อฎฺฐ ทิวสานิ นิพทฺธํ อุโปสถกมฺมํ กโรมิ, อิทานิปิ ตุเมฺหสุ สมฺปฎิจฺฉเนฺตสุ อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐเหยฺย’’นฺติฯ โส ‘‘น สกฺกา’’ติ ตํ น สมฺปฎิจฺฉิฯ สา ตํ สญฺญาเปตุํ อสโกฺกนฺตี ตุณฺหี อโหสิฯ ปุน อโนฺตวเสฺส ‘‘อุโปสถิกา ภวิสฺสามี’’ติ ตทาปิ โอกาสํ กาเรนฺตี เนว อลตฺถฯ สา อโนฺตวเสฺส อฑฺฒติเยสุ มาเสสุ อติกฺกเนฺตสุ อฑฺฒมาเส อวสิเฎฺฐ มาตาปิตูนํ สาสนํ เปเสสิ – ‘‘อหํ ตุเมฺหหิ จารเก ปกฺขิตฺตา เอตฺตเก อทฺธาเน เอกทิวสมฺปิ อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาตุํ น ลภามิ, ปญฺจทส เม กหาปณสหสฺสานิ เปเสถา’’ติฯ เต ธีตุ สาสนํ สุตฺวา ‘‘กิํการณา’’ติ อปุจฺฉิตฺวาว ปหิณิํสุฯ อุตฺตรา เต กหาปเณ คณฺหิตฺวา ตสฺมิํ นคเร สิริมา นาม คณิกา อตฺถิ, ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อมฺม สิริเม, อหํ อิมํ อฑฺฒมาสํ อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐหิสฺสามิ, ตฺวํ อิมานิ ปญฺจทส กหาปณสหสฺสานิ คเหตฺวา อิมํ อฑฺฒมาสํ เสฎฺฐิปุตฺตํ ปริจราหี’’ติฯ สา ‘‘สาธุ, อเยฺย’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ ตโต ปฎฺฐาย เสฎฺฐิปุโตฺต ‘‘อหํ สิริมาย สทฺธิํ โมทิสฺสามี’’ติ อุตฺตราย อฑฺฒมาสํ อุโปสถกมฺมํ สมฺปฎิจฺฉิฯ

    Athekadivasaṃ sā puṇṇaseṭṭhino dhītā uttarā attano sāmikaṃ evamāha – ‘‘ahaṃ attano kulagehe māsassa aṭṭha divasāni nibaddhaṃ uposathakammaṃ karomi, idānipi tumhesu sampaṭicchantesu uposathaṅgāni adhiṭṭhaheyya’’nti. So ‘‘na sakkā’’ti taṃ na sampaṭicchi. Sā taṃ saññāpetuṃ asakkontī tuṇhī ahosi. Puna antovasse ‘‘uposathikā bhavissāmī’’ti tadāpi okāsaṃ kārentī neva alattha. Sā antovasse aḍḍhatiyesu māsesu atikkantesu aḍḍhamāse avasiṭṭhe mātāpitūnaṃ sāsanaṃ pesesi – ‘‘ahaṃ tumhehi cārake pakkhittā ettake addhāne ekadivasampi uposathaṅgāni adhiṭṭhātuṃ na labhāmi, pañcadasa me kahāpaṇasahassāni pesethā’’ti. Te dhītu sāsanaṃ sutvā ‘‘kiṃkāraṇā’’ti apucchitvāva pahiṇiṃsu. Uttarā te kahāpaṇe gaṇhitvā tasmiṃ nagare sirimā nāma gaṇikā atthi, taṃ pakkosāpetvā ‘‘amma sirime, ahaṃ imaṃ aḍḍhamāsaṃ uposathaṅgāni adhiṭṭhahissāmi, tvaṃ imāni pañcadasa kahāpaṇasahassāni gahetvā imaṃ aḍḍhamāsaṃ seṭṭhiputtaṃ paricarāhī’’ti. Sā ‘‘sādhu, ayye’’ti sampaṭicchi. Tato paṭṭhāya seṭṭhiputto ‘‘ahaṃ sirimāya saddhiṃ modissāmī’’ti uttarāya aḍḍhamāsaṃ uposathakammaṃ sampaṭicchi.

    สา เตน สมฺปฎิจฺฉิตภาวํ ญตฺวา ทิวเส ทิวเส ปาโตว ทาสิคณปริวุตา สตฺถุ สหตฺถา ขาทนียโภชนียํ สํวิทหิตฺวา สตฺถริ ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา วิหารํ คเต อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย ปาสาทวรํ อารุยฺห อตฺตโน สีลานิ อาวชฺชมานา นิสีทติฯ เอวํ อฑฺฒมาสํ วีตินาเมตฺวา อุโปสถํ วิสฺสชฺชนทิวเส ปาโตว ยาคุขชฺชกาทีนิ สํวิทหนฺตี วิจรติฯ ตสฺมิํ สมเย เสฎฺฐิปุโตฺต สิริมาย สทฺธิํ อุปริปาสาทวรคโต ชาลวาตปานํ วิวริตฺวา อนฺตรวตฺถุํ โอโลเกโนฺต อฎฺฐาสิฯ อุตฺตรา, วาตปานจฺฉิเทฺทน อุทฺธํ โอโลเกสิฯ เสฎฺฐิปุโตฺต อุตฺตรํ โอโลเกตฺวา ‘‘เนรยิกชาติกา วตายํ เอวํวิธํ นาม สมฺปตฺติํ ปหาย อุกฺขลิกมสิมกฺขิตา หุตฺวา นิกฺการณา ทาสีนํ อนฺตเร วิจรตี’’ติ สิตํ อกาสิฯ อุตฺตรา, ตสฺส ปมาทภาวํ ญตฺวา ‘‘อยํ พาโล นาม อตฺตโน สมฺปตฺติ สพฺพกาลํ ถาวราติ สญฺญี ภวิสฺสตี’’ติ สยมฺปิ สิตํ อกาสิฯ ตโต สิริมา ‘‘อยํ เจฎิกา มยิ ฐิตาย เอวํ มม สามิเกน สทฺธิํ สิตํ กโรตี’’ติ กุปิตา เวเคน โอตริฯ อุตฺตรา, ตสฺสา อาคมนากเปฺปเนว ‘‘อยํ พาลา อฑฺฒมาสมตฺตํ อิมสฺมิํ เคเห วสิตฺวา มยฺหเมเวตํ เคหนฺติสญฺญี ชาตา’’ติ ญตฺวา ตงฺขณเญฺญว เมตฺตาฌานํ สมาปชฺชิตฺวา อฎฺฐาสิฯ สิริมาปิ ทาสีนํ อนฺตเรน อาคนฺตฺวา อุฬุงฺกํ คเหตฺวา ปูวปจนฎฺฐาเน ปกฺกุถิตเตลสฺส ปูเรตฺวา อุตฺตราย มตฺถเก อาสิญฺจิ, เมตฺตาฌานสฺส วิปฺผาเรน อุตฺตราย มตฺถเก อาสิตฺตํ ปกฺกุถิตเตลํ ปทุมปเตฺต อาสิตฺตอุทกํ วิย วินิวตฺติตฺวา คตํฯ

    Sā tena sampaṭicchitabhāvaṃ ñatvā divase divase pātova dāsigaṇaparivutā satthu sahatthā khādanīyabhojanīyaṃ saṃvidahitvā satthari bhattakiccaṃ katvā vihāraṃ gate uposathaṅgāni adhiṭṭhāya pāsādavaraṃ āruyha attano sīlāni āvajjamānā nisīdati. Evaṃ aḍḍhamāsaṃ vītināmetvā uposathaṃ vissajjanadivase pātova yāgukhajjakādīni saṃvidahantī vicarati. Tasmiṃ samaye seṭṭhiputto sirimāya saddhiṃ uparipāsādavaragato jālavātapānaṃ vivaritvā antaravatthuṃ olokento aṭṭhāsi. Uttarā, vātapānacchiddena uddhaṃ olokesi. Seṭṭhiputto uttaraṃ oloketvā ‘‘nerayikajātikā vatāyaṃ evaṃvidhaṃ nāma sampattiṃ pahāya ukkhalikamasimakkhitā hutvā nikkāraṇā dāsīnaṃ antare vicaratī’’ti sitaṃ akāsi. Uttarā, tassa pamādabhāvaṃ ñatvā ‘‘ayaṃ bālo nāma attano sampatti sabbakālaṃ thāvarāti saññī bhavissatī’’ti sayampi sitaṃ akāsi. Tato sirimā ‘‘ayaṃ ceṭikā mayi ṭhitāya evaṃ mama sāmikena saddhiṃ sitaṃ karotī’’ti kupitā vegena otari. Uttarā, tassā āgamanākappeneva ‘‘ayaṃ bālā aḍḍhamāsamattaṃ imasmiṃ gehe vasitvā mayhamevetaṃ gehantisaññī jātā’’ti ñatvā taṅkhaṇaññeva mettājhānaṃ samāpajjitvā aṭṭhāsi. Sirimāpi dāsīnaṃ antarena āgantvā uḷuṅkaṃ gahetvā pūvapacanaṭṭhāne pakkuthitatelassa pūretvā uttarāya matthake āsiñci, mettājhānassa vipphārena uttarāya matthake āsittaṃ pakkuthitatelaṃ padumapatte āsittaudakaṃ viya vinivattitvā gataṃ.

    ตสฺมิํ ขเณ สิริมาย สมีเป ฐิตา ทาสิโย ตํ โอโลเกตฺวา, ‘‘โภ เช, ตฺวํ อมฺหากํ อยฺยาย หตฺถโต มูลํ คเหตฺวา อาคตา อิมสฺมิํ เคเห วสมานา อมฺหากํ อยฺยาย สทิสา ภวิตุํ วายมสี’’ติ สมฺมุขฎฺฐาเน ตํ ปริภาสิํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ สิริมา อตฺตโน อาคนฺตุกภาวํ อญฺญาสิฯ สา ตโตว คนฺตฺวา อุตฺตราย ปาเทสุ ปติตฺวา, ‘‘อเยฺย, อนุปธาเรตฺวา เม กตํ, ขมถ มยฺห’’นฺติ อาหฯ อมฺม สิริเม, นาหํ ตว อิมสฺมิํ ฐาเน ขมิสฺสามิ, อหํ สปิติกา ธีตา, ทสพเล ขมเนฺตเยว ขมิสฺสามีติฯ

    Tasmiṃ khaṇe sirimāya samīpe ṭhitā dāsiyo taṃ oloketvā, ‘‘bho je, tvaṃ amhākaṃ ayyāya hatthato mūlaṃ gahetvā āgatā imasmiṃ gehe vasamānā amhākaṃ ayyāya sadisā bhavituṃ vāyamasī’’ti sammukhaṭṭhāne taṃ paribhāsiṃsu. Tasmiṃ khaṇe sirimā attano āgantukabhāvaṃ aññāsi. Sā tatova gantvā uttarāya pādesu patitvā, ‘‘ayye, anupadhāretvā me kataṃ, khamatha mayha’’nti āha. Amma sirime, nāhaṃ tava imasmiṃ ṭhāne khamissāmi, ahaṃ sapitikā dhītā, dasabale khamanteyeva khamissāmīti.

    สตฺถาปิ โข ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร อาคนฺตฺวา อุตฺตราย นิเวสเน ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิฯ สิริมา คนฺตฺวา สตฺถุ ปาเทสุ ปติตฺวา, ‘‘ภเนฺต, มยา อยฺยาย อุตฺตราย อนฺตเร เอโก โทโส กโต, ตุเมฺหสุ ขมเนฺตสุ ขมิสฺสามีติ วทติ, ขมถ มยฺหํ ภควา’’ติฯ ขมามิ เต สิริเมติฯ สา ตสฺมิํ กาเล คนฺตฺวา อุตฺตรํ ขมาเปสิฯ ตํทิวสญฺจ สิริมา ทสพลสฺส ภตฺตานุโมทนํ สุตฺวา –

    Satthāpi kho bhikkhusaṅghaparivāro āgantvā uttarāya nivesane paññattāsane nisīdi. Sirimā gantvā satthu pādesu patitvā, ‘‘bhante, mayā ayyāya uttarāya antare eko doso kato, tumhesu khamantesu khamissāmīti vadati, khamatha mayhaṃ bhagavā’’ti. Khamāmi te sirimeti. Sā tasmiṃ kāle gantvā uttaraṃ khamāpesi. Taṃdivasañca sirimā dasabalassa bhattānumodanaṃ sutvā –

    ‘‘อโกฺกเธน ชิเน โกธํ, อสาธุํ สาธุนา ชิเน;

    ‘‘Akkodhena jine kodhaṃ, asādhuṃ sādhunā jine;

    ชิเน กทริยํ ทาเนน, สเจฺจนาลิกวาทิน’’นฺติฯ (ธ. ป. ๒๒๓) –

    Jine kadariyaṃ dānena, saccenālikavādina’’nti. (dha. pa. 223) –

    คาถาปริโยสาเน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิตา ทสพลํ นิมเนฺตตฺวา ปุนทิวเส มหาทานํ อทาสิฯ เอวเมตํ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ อปรภาเค ปน สตฺถา เชตวเน นิสีทิตฺวา อุปาสิกาโย ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต อุตฺตรํ นนฺทมาตรํ ฌายีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Gāthāpariyosāne sotāpattiphale patiṭṭhitā dasabalaṃ nimantetvā punadivase mahādānaṃ adāsi. Evametaṃ vatthu samuṭṭhitaṃ. Aparabhāge pana satthā jetavane nisīditvā upāsikāyo ṭhānantaresu ṭhapento uttaraṃ nandamātaraṃ jhāyīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    สุปฺปวาสาวตฺถุ

    Suppavāsāvatthu

    ๒๖๓. ฉเฎฺฐ ปณีตทายิกานนฺติ ปณีตรสทายิกานํ อุปาสิกานํ, สุปฺปวาสา โกลิยธีตา, อคฺคาติ ทเสฺสติฯ สา กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพตฺตา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ อุปาสิกํ ปณีตทายิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท โกลิยนคเร ขตฺติยกุเล นิพฺพตฺติ, สุปฺปวาสาติสฺสา นามํ อกํสุฯ สา วยปฺปตฺตา เอกสฺส สกฺยกุมารสฺส เคหํ คตา, ปฐมทสฺสเนเยว สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ สา อปรภาเค สีวลิํ นาม ทารกํ วิชายิฯ ตสฺส วตฺถุ เหฎฺฐา วิตฺถาริตเมวฯ

    263. Chaṭṭhe paṇītadāyikānanti paṇītarasadāyikānaṃ upāsikānaṃ, suppavāsā koliyadhītā, aggāti dasseti. Sā kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbattā satthu dhammadesanaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ upāsikaṃ paṇītadāyikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde koliyanagare khattiyakule nibbatti, suppavāsātissā nāmaṃ akaṃsu. Sā vayappattā ekassa sakyakumārassa gehaṃ gatā, paṭhamadassaneyeva satthu dhammakathaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Sā aparabhāge sīvaliṃ nāma dārakaṃ vijāyi. Tassa vatthu heṭṭhā vitthāritameva.

    สา เอกสฺมิํ สมเย พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส นานคฺครสปณีตโภชนํ อทาสิฯ สตฺถา กตภตฺตกิโจฺจ อนุโมทนํ กโรโนฺต สุปฺปวาสาย อิมํ ธมฺมํ เทเสสิ ‘‘โภชนํ สุปฺปวาเส เทนฺตี อริยสาวิกา ปฎิคฺคาหกานํ ปญฺจ ฐานานิ เทติฯ อายุํ เทติ, วณฺณํ เทติ, สุขํ เทติ, พลํ เทติ, ปฎิภานํ เทติฯ อายุํ โข ปน ทตฺวา อายุสฺส ภาคินี โหติ ทิพฺพสฺส วา มานุสสฺส วา…เป.… ปฎิภานํ ทตฺวา ปฎิภานสฺส ภาคินี โหติ ทิพฺพสฺส วา มานุสสฺส วา’’ติฯ เอวเมตํ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ อถ อปรภาเค สตฺถา เชตวเน นิสีทิตฺวา อุปาสิกาโย ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต สุปฺปวาสํ โกลิยธีตรํ ปณีตทายิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Sā ekasmiṃ samaye buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa nānaggarasapaṇītabhojanaṃ adāsi. Satthā katabhattakicco anumodanaṃ karonto suppavāsāya imaṃ dhammaṃ desesi ‘‘bhojanaṃ suppavāse dentī ariyasāvikā paṭiggāhakānaṃ pañca ṭhānāni deti. Āyuṃ deti, vaṇṇaṃ deti, sukhaṃ deti, balaṃ deti, paṭibhānaṃ deti. Āyuṃ kho pana datvā āyussa bhāginī hoti dibbassa vā mānusassa vā…pe… paṭibhānaṃ datvā paṭibhānassa bhāginī hoti dibbassa vā mānusassa vā’’ti. Evametaṃ vatthu samuṭṭhitaṃ. Atha aparabhāge satthā jetavane nisīditvā upāsikāyo ṭhānantaresu ṭhapento suppavāsaṃ koliyadhītaraṃ paṇītadāyikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    สุปฺปิยาวตฺถุ

    Suppiyāvatthu

    ๒๖๔. สตฺตเม คิลานุปฎฺฐากีนนฺติ คิลานุปฎฺฐากีนํ อุปาสิกานํ, สุปฺปิยา อุปาสิกา, อคฺคาติ ทเสฺสติฯ อยํ กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพตฺตา อปรภาเค สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ อุปาสิกํ คิลานุปฎฺฐากีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท พาราณสิยํ กุลเคเห นิพฺพตฺติ, สุปฺปิยาติสฺสา นามํ อกํสุฯ อปรภาเค สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร พาราณสิํ อคมาสิฯ สา ตถาคตสฺส ปฐมทสฺสเนเยว ธมฺมํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ

    264. Sattame gilānupaṭṭhākīnanti gilānupaṭṭhākīnaṃ upāsikānaṃ, suppiyā upāsikā, aggāti dasseti. Ayaṃ kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbattā aparabhāge satthu dhammadesanaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ upāsikaṃ gilānupaṭṭhākīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde bārāṇasiyaṃ kulagehe nibbatti, suppiyātissā nāmaṃ akaṃsu. Aparabhāge satthā bhikkhusaṅghaparivāro bārāṇasiṃ agamāsi. Sā tathāgatassa paṭhamadassaneyeva dhammaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhāsi.

    อเถกทิวสํ ธมฺมสฺสวนตฺถาย วิหารํ คตาฯ วิหารจาริกํ จรมานา เอกํ ภิกฺขุํ คิลานํ ทิสฺวา อภิวาเทตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘อยฺยสฺส กิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ ปุจฺฉิฯ รสํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, อุปาสิเกติฯ ‘‘โหตุ, ภเนฺต, อหํ ปหิณิสฺสามี’’ติ เถรํ อภิวาเทตฺวา อโนฺตนครํ คนฺตฺวา ปุนทิวเส ปวตฺตมํสตฺถาย ทาสิํ อนฺตราปณํ เปเสสิฯ สา สกลนคเร ปวตฺตมํสํ อลภิตฺวา อลทฺธภาวํ กเถสิฯ อุปาสิกา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ อยฺยสฺส รสํ ปหิณิสฺสามีติ วตฺวา สเจ น เปเสสฺสามิ , อโยฺย อญฺญโตปิ อลภโนฺต กิลมิสฺสติ, ยํกิญฺจิ กตฺวา เปเสตุํ วฎฺฎตี’’ติ คพฺภํ ปวิสิตฺวา อูรุมํสํ ฉินฺทิตฺวา ทาสิยา อทาสิ ‘‘อิทํ มํสํ คเหตฺวา สมฺภาเรหิ โยเชตฺวา รสํ กตฺวา วิหารํ เนตฺวา อยฺยสฺส เทหิฯ โส เจ มํ ปุจฺฉติ, คิลานาติ วเทหี’’ติฯ สา ตถา อกาสิฯ

    Athekadivasaṃ dhammassavanatthāya vihāraṃ gatā. Vihāracārikaṃ caramānā ekaṃ bhikkhuṃ gilānaṃ disvā abhivādetvā paṭisanthāraṃ katvā ‘‘ayyassa kiṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti pucchi. Rasaṃ laddhuṃ vaṭṭati, upāsiketi. ‘‘Hotu, bhante, ahaṃ pahiṇissāmī’’ti theraṃ abhivādetvā antonagaraṃ gantvā punadivase pavattamaṃsatthāya dāsiṃ antarāpaṇaṃ pesesi. Sā sakalanagare pavattamaṃsaṃ alabhitvā aladdhabhāvaṃ kathesi. Upāsikā cintesi – ‘‘ahaṃ ayyassa rasaṃ pahiṇissāmīti vatvā sace na pesessāmi , ayyo aññatopi alabhanto kilamissati, yaṃkiñci katvā pesetuṃ vaṭṭatī’’ti gabbhaṃ pavisitvā ūrumaṃsaṃ chinditvā dāsiyā adāsi ‘‘idaṃ maṃsaṃ gahetvā sambhārehi yojetvā rasaṃ katvā vihāraṃ netvā ayyassa dehi. So ce maṃ pucchati, gilānāti vadehī’’ti. Sā tathā akāsi.

    สตฺถา ตํ การณํ ญตฺวา ปุนทิวเส ภิกฺขาจารเวลาย ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อุปาสิกาย เคหํ อคมาสิฯ สา ตถาคตสฺส อาคตภาวํ สุตฺวา สามิกํ อามเนฺตสิ – ‘‘อยฺยปุตฺต, อหํ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตุํ น สโกฺกมิ, คจฺฉ ตฺวํ สตฺถารํ อโนฺตเคหํ ปเวเสตฺวา นิสีทาเปหี’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ สตฺถา ‘‘กหํ สุปฺปิยา’’ติ ปุจฺฉิฯ คิลานา, ภเนฺตติฯ ปโกฺกสถ, นนฺติฯ อถ เต คนฺตฺวา ‘‘สตฺถา ตํ ปโกฺกสตี’’ติ อาหํสุฯ สา จิเนฺตสิ – ‘‘สพฺพโลกสฺส หิตานุกมฺปโก สตฺถา น อิมํ การณํ อทิสฺวา ปโกฺกสาเปสฺสตี’’ติ สหสา มญฺจมฺหา วุฎฺฐาสิฯ อถสฺสา พุทฺธานุภาเวน ตํขณํเยว วโณ รุหิตฺวา สุจฺฉวิ อโหสิ เสสฎฺฐานโต อติเรกตรํ วิปฺปสนฺนวโณฺณฯ ตสฺมิํ ขเณ อุปาสิกา สิตํ กตฺวา ทสพลํ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ สตฺถา ‘‘อิมิสฺสา อุปาสิกาย กิํ อผาสุก’’นฺติ ปุจฺฉิฯ สา อตฺตนา กตการณํ สพฺพํ กเถสิฯ สตฺถา กตภตฺตกิโจฺจ วิหารํ คนฺตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาตาเปตฺวา ตํ ภิกฺขุํ อเนกปริยาเยน วิครหิตฺวา สิกฺขาปทํ (มหาว. ๒๘๐) ปญฺญเปสิฯ เอวเมตํ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ อปรภาเค สตฺถา เชตวเน นิสิโนฺน อุปาสิกาโย ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต สุปฺปิยํ อุปาสิกํ คิลานุปฎฺฐากีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Satthā taṃ kāraṇaṃ ñatvā punadivase bhikkhācāravelāya bhikkhusaṅghaparivuto upāsikāya gehaṃ agamāsi. Sā tathāgatassa āgatabhāvaṃ sutvā sāmikaṃ āmantesi – ‘‘ayyaputta, ahaṃ satthu santikaṃ gantuṃ na sakkomi, gaccha tvaṃ satthāraṃ antogehaṃ pavesetvā nisīdāpehī’’ti. So tathā akāsi. Satthā ‘‘kahaṃ suppiyā’’ti pucchi. Gilānā, bhanteti. Pakkosatha, nanti. Atha te gantvā ‘‘satthā taṃ pakkosatī’’ti āhaṃsu. Sā cintesi – ‘‘sabbalokassa hitānukampako satthā na imaṃ kāraṇaṃ adisvā pakkosāpessatī’’ti sahasā mañcamhā vuṭṭhāsi. Athassā buddhānubhāvena taṃkhaṇaṃyeva vaṇo ruhitvā succhavi ahosi sesaṭṭhānato atirekataraṃ vippasannavaṇṇo. Tasmiṃ khaṇe upāsikā sitaṃ katvā dasabalaṃ pañcapatiṭṭhitena vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Satthā ‘‘imissā upāsikāya kiṃ aphāsuka’’nti pucchi. Sā attanā katakāraṇaṃ sabbaṃ kathesi. Satthā katabhattakicco vihāraṃ gantvā bhikkhusaṅghaṃ sannipātāpetvā taṃ bhikkhuṃ anekapariyāyena vigarahitvā sikkhāpadaṃ (mahāva. 280) paññapesi. Evametaṃ vatthu samuṭṭhitaṃ. Aparabhāge satthā jetavane nisinno upāsikāyo ṭhānantaresu ṭhapento suppiyaṃ upāsikaṃ gilānupaṭṭhākīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    กาติยานีวตฺถุ

    Kātiyānīvatthu

    ๒๖๕. อฎฺฐเม อเวจฺจปฺปสนฺนานนฺติ อธิคเตน อจลปฺปสาเทน สมนฺนาคตานํ อุปาสิกานํ, กาติยานี, อคฺคาติ ทเสฺสติฯ สา กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุลเคเห นิพฺพตฺตา สตฺถารํ เอกํ อุปาสิกํ อเวจฺจปฺปสนฺนานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท กุรรฆรนคเร นิพฺพตฺติ, กาติยานีติสฺสา นามํ อกํสุฯ

    265. Aṭṭhame aveccappasannānanti adhigatena acalappasādena samannāgatānaṃ upāsikānaṃ, kātiyānī, aggāti dasseti. Sā kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kulagehe nibbattā satthāraṃ ekaṃ upāsikaṃ aveccappasannānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde kuraragharanagare nibbatti, kātiyānītissā nāmaṃ akaṃsu.

    สา อปรภาเค วยปฺปตฺตา กุรรฆริกาย, กาฬิยา สหายิกา, ทฬฺหมิตฺตา อโหสิฯ ยทา ปน กุฎิกณฺณโสณเตฺถโร ‘‘ทสพลสฺส กถิตนิยาเมน มยฺหมฺปิ ธมฺมํ กเถหี’’ติ มาตรา ยาจิโต รตฺติภาเค อโนฺตนคเร อลงฺกตธมฺมาสเน นิสีทิตฺวา มาตรํ กายสกฺขิํ กตฺวา ธมฺมเทสนํ อารภิ, ตทา อยํ กาติยานี อุปาสิกา กาฬิยา สทฺธิํ คนฺตฺวา ปริสปริยเนฺต ธมฺมํ สุณนฺตี อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ สมเย ปญฺจมตฺตานิ โจรสตานิ อโนฺตนคเร ทิวา กตสญฺญาย โกฎิโต ปฎฺฐาย อุมฺมงฺคํ ขนิตฺวา อิมิสฺสา กาติยานิยา ฆรํ สมฺปาปุณิํสุฯ เตสํ โจรเชฎฺฐโก เตหิ สทฺธิํ อปวิสิตฺวา ‘‘กิํ นุ โข อยํ ปริสา สนฺนิปติตา’’ติ วีมํสนตฺถาย โสณเตฺถรสฺส ธมฺมกถนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปริสปริยเนฺต ติฎฺฐมาโน อิมิสฺสา กาติยานิยา ปิฎฺฐิปเสฺส อฎฺฐาสิฯ

    Sā aparabhāge vayappattā kuraragharikāya, kāḷiyā sahāyikā, daḷhamittā ahosi. Yadā pana kuṭikaṇṇasoṇatthero ‘‘dasabalassa kathitaniyāmena mayhampi dhammaṃ kathehī’’ti mātarā yācito rattibhāge antonagare alaṅkatadhammāsane nisīditvā mātaraṃ kāyasakkhiṃ katvā dhammadesanaṃ ārabhi, tadā ayaṃ kātiyānī upāsikā kāḷiyā saddhiṃ gantvā parisapariyante dhammaṃ suṇantī aṭṭhāsi. Tasmiṃ samaye pañcamattāni corasatāni antonagare divā katasaññāya koṭito paṭṭhāya ummaṅgaṃ khanitvā imissā kātiyāniyā gharaṃ sampāpuṇiṃsu. Tesaṃ corajeṭṭhako tehi saddhiṃ apavisitvā ‘‘kiṃ nu kho ayaṃ parisā sannipatitā’’ti vīmaṃsanatthāya soṇattherassa dhammakathanaṭṭhānaṃ gantvā parisapariyante tiṭṭhamāno imissā kātiyāniyā piṭṭhipasse aṭṭhāsi.

    ตสฺมิํ สมเย, กาติยานี, ทาสิํ อามเนฺตสิ – ‘‘คจฺฉ เช, เคหํ ปวิสิตฺวา ทีปเตลํ อาหร, มยํ ทีเป ชาเลตฺวา ธมฺมํ โสสฺสามา’’ติฯ สา ฆรํ คนฺตฺวา อุมฺมเงฺค โจเร ทิสฺวา ทีปเตลํ อคณฺหิตฺวาว อาคนฺตฺวา อตฺตโน อยฺยาย อาโรเจสิ – ‘‘อเยฺย, เคเห โจรา อุมฺมงฺคํ ขนนฺตี’’ติฯ ตํ สุตฺวา โจรเชฎฺฐโก จิเนฺตสิ – ‘‘สจายํ อิมิสฺสา กถํ คณฺหิตฺวา เคหํ คมิสฺสติ , เอเตฺถว นํ อสินา เทฺวธา ฉินฺทิสฺสามิฯ สเจ ปน คหิตนิมิเตฺตเนว ธมฺมํ สุณิสฺสติ, โจเรหิ คหิตภณฺฑกมฺปิ ปุน ทาเปสฺสามี’’ติฯ กาติยานีปิ โข ทาสิยา กถํ สุตฺวา, ‘‘อมฺม, มา สทฺทํ กริ, โจรา นาม หรนฺตา อตฺตนา ทิฎฺฐเมว หริสฺสนฺติ, อหํ ปน อชฺช ทุลฺลภสฺสวนํ สุณามิ, มา ธมฺมสฺส อนฺตรายํ กโรหี’’ติ อาหฯ โจรเชฎฺฐโก ตสฺสา วจนํ สุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อิมินา อชฺฌาสเยน ฐิตาย นาม เคเห ภณฺฑํ หรเนฺตหิ อเมฺหหิ มหาปถวี ปวิสิตพฺพา ภเวยฺยา’’ติฯ โส ตาวเทว คนฺตฺวา โจเรหิ คหิตภณฺฑํ ฉฑฺฑาเปตฺวา โจเรหิ สทฺธิํ อาคนฺตฺวา ธมฺมํ สุณโนฺต ปริสปริยเนฺต อฎฺฐาสิฯ กาติยานีปิ อุปาสิกา เถรสฺส เทสนาปริโยสาเน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ

    Tasmiṃ samaye, kātiyānī, dāsiṃ āmantesi – ‘‘gaccha je, gehaṃ pavisitvā dīpatelaṃ āhara, mayaṃ dīpe jāletvā dhammaṃ sossāmā’’ti. Sā gharaṃ gantvā ummaṅge core disvā dīpatelaṃ agaṇhitvāva āgantvā attano ayyāya ārocesi – ‘‘ayye, gehe corā ummaṅgaṃ khanantī’’ti. Taṃ sutvā corajeṭṭhako cintesi – ‘‘sacāyaṃ imissā kathaṃ gaṇhitvā gehaṃ gamissati , ettheva naṃ asinā dvedhā chindissāmi. Sace pana gahitanimitteneva dhammaṃ suṇissati, corehi gahitabhaṇḍakampi puna dāpessāmī’’ti. Kātiyānīpi kho dāsiyā kathaṃ sutvā, ‘‘amma, mā saddaṃ kari, corā nāma harantā attanā diṭṭhameva harissanti, ahaṃ pana ajja dullabhassavanaṃ suṇāmi, mā dhammassa antarāyaṃ karohī’’ti āha. Corajeṭṭhako tassā vacanaṃ sutvā cintesi – ‘‘iminā ajjhāsayena ṭhitāya nāma gehe bhaṇḍaṃ harantehi amhehi mahāpathavī pavisitabbā bhaveyyā’’ti. So tāvadeva gantvā corehi gahitabhaṇḍaṃ chaḍḍāpetvā corehi saddhiṃ āgantvā dhammaṃ suṇanto parisapariyante aṭṭhāsi. Kātiyānīpi upāsikā therassa desanāpariyosāne sotāpattiphale patiṭṭhāsi.

    อถ อรุเณ อุคฺคเต โจรเชฎฺฐโก คนฺตฺวา อุปาสิกาย ปาเทสุ ปติตฺวา, ‘‘อเยฺย, สเพฺพสํเยว โน ขมาหี’’ติ อาหฯ กิํ ปน ตุเมฺหหิ มยฺหํ กตนฺติ? โส สพฺพํ อตฺตนา กตโทสํ อาโรเจสิฯ เตน หิ, ตาตา, ขมามิ ตุมฺหากนฺติฯ อเยฺย, อมฺหากํ เอวํ ขมิตํ นาม น โหติ, ตุมฺหากํ ปน ปุตฺตเตฺถรสฺส สนฺติเก สเพฺพสํเยว โน ปพฺพชฺชํ ทาเปหีติฯ สา สเพฺพปิ เต คเหตฺวา กุฎิกณฺณโสณเตฺถรสฺส สนฺติเก ปพฺพาเชสิฯ เตปิ โข โจรา เถรสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตา สเพฺพว อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ เอวเมตํ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ อปรภาเค สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุปาสิกาโย ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต กาติยานิํ อุปาสิกํ อเวจฺจปฺปสนฺนานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Atha aruṇe uggate corajeṭṭhako gantvā upāsikāya pādesu patitvā, ‘‘ayye, sabbesaṃyeva no khamāhī’’ti āha. Kiṃ pana tumhehi mayhaṃ katanti? So sabbaṃ attanā katadosaṃ ārocesi. Tena hi, tātā, khamāmi tumhākanti. Ayye, amhākaṃ evaṃ khamitaṃ nāma na hoti, tumhākaṃ pana puttattherassa santike sabbesaṃyeva no pabbajjaṃ dāpehīti. Sā sabbepi te gahetvā kuṭikaṇṇasoṇattherassa santike pabbājesi. Tepi kho corā therassa santike pabbajitā sabbeva arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Evametaṃ vatthu samuṭṭhitaṃ. Aparabhāge satthā jetavane viharanto upāsikāyo ṭhānantaresu ṭhapento kātiyāniṃ upāsikaṃ aveccappasannānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    นกุลมาตาวตฺถุ

    Nakulamātāvatthu

    ๒๖๖. นวเม วิสฺสาสิกานนฺติ วิสฺสาสกถํ กเถนฺตีนํ อุปาสิกานํ, นกุลมาตา คหปตานี, อคฺคาติ ทเสฺสติฯ ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ สพฺพํ เหฎฺฐา อุปาสกปาฬิยํ วุตฺตเมวฯ เกวลํ อิธ นกุลมาตรํ ธุรํ กตฺวา เวทิตพฺพนฺติฯ

    266. Navame vissāsikānanti vissāsakathaṃ kathentīnaṃ upāsikānaṃ, nakulamātā gahapatānī, aggāti dasseti. Yaṃ panettha vattabbaṃ, taṃ sabbaṃ heṭṭhā upāsakapāḷiyaṃ vuttameva. Kevalaṃ idha nakulamātaraṃ dhuraṃ katvā veditabbanti.

    กาฬีกุรรฆริกาวตฺถุ

    Kāḷīkuraragharikāvatthu

    ๒๖๗. ทสเม อนุสฺสวปฺปสนฺนานนฺติ อนุสฺสเวเนว อุปฺปเนฺนน ปสาเทน สมนฺนาคตานํ อุปาสิกานํ อนฺตเร, กาฬี อุปาสิกา, กุรรฆริกา อคฺคาติ ทเสฺสติฯ สา กิร ปทุมุตฺตรพุทฺธกาเล หํสวติยํ กุรรฆรนคเร นิพฺพตฺตา สตฺถุ ธมฺมกถํ สุณนฺตี สตฺถารํ เอกํ อุปาสิกํ อนุสฺสวปฺปสนฺนานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ราชคหนคเร กุลเคเห นิพฺพตฺติ, กาฬีติสฺสา นามํ อกํสุฯ

    267. Dasame anussavappasannānanti anussaveneva uppannena pasādena samannāgatānaṃ upāsikānaṃ antare, kāḷī upāsikā, kuraragharikā aggāti dasseti. Sā kira padumuttarabuddhakāle haṃsavatiyaṃ kuraragharanagare nibbattā satthu dhammakathaṃ suṇantī satthāraṃ ekaṃ upāsikaṃ anussavappasannānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi. Sā kappasatasahassaṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde rājagahanagare kulagehe nibbatti, kāḷītissā nāmaṃ akaṃsu.

    สา วยปฺปตฺตา กุรรฆรนคเร กุลเคหํ คตาฯ อถสฺสา สํวาเสน คโพฺภ ปติฎฺฐหิฯ สา ปริปุณฺณคพฺภา ‘‘ปเรสํ เคเห คพฺภวุฎฺฐานํ นาม อปฺปติรูป’’นฺติ อตฺตโน กุลนครเมว อาคนฺตฺวา รตฺติภาคสมนนฺตเร อตฺตโน ปาสาทสฺส อุปริ อากาเส ฐิตานํ สาตาคิรเหมวตานํ รตนตฺตยสฺส วณฺณํ กเถนฺตานํ กถํ สุตฺวา อนุสฺสวิกปฺปสาทํ อุปฺปาเทตฺวา สตฺถุ อทสฺสเนเนว โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิ, อปรภาเค ปนสฺสา คพฺภวุฎฺฐานํ อโหสีติ สพฺพํ วตฺถุ เหฎฺฐา วิตฺถาริตเมวฯ อปรภาเค ปน สตฺถา เชตวเน ภิกฺขุสงฺฆมเชฺฌ นิสีทิตฺวา อุปาสิกาโย ฐานนฺตเรสุ ฐเปโนฺต อิมํ อุปาสิกํ อนุสฺสวปฺปสนฺนานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    Sā vayappattā kuraragharanagare kulagehaṃ gatā. Athassā saṃvāsena gabbho patiṭṭhahi. Sā paripuṇṇagabbhā ‘‘paresaṃ gehe gabbhavuṭṭhānaṃ nāma appatirūpa’’nti attano kulanagarameva āgantvā rattibhāgasamanantare attano pāsādassa upari ākāse ṭhitānaṃ sātāgirahemavatānaṃ ratanattayassa vaṇṇaṃ kathentānaṃ kathaṃ sutvā anussavikappasādaṃ uppādetvā satthu adassaneneva sotāpattiphale patiṭṭhāsi, aparabhāge panassā gabbhavuṭṭhānaṃ ahosīti sabbaṃ vatthu heṭṭhā vitthāritameva. Aparabhāge pana satthā jetavane bhikkhusaṅghamajjhe nisīditvā upāsikāyo ṭhānantaresu ṭhapento imaṃ upāsikaṃ anussavappasannānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    ทสสุตฺตปริมาณาย อุปาสิกาปาฬิยา วณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dasasuttaparimāṇāya upāsikāpāḷiyā vaṇṇanā niṭṭhitā.

    เอตฺตาวตา จ มโนรถปูรณิยา

    Ettāvatā ca manorathapūraṇiyā

    องฺคุตฺตรนิกาย-อฎฺฐกถาย

    Aṅguttaranikāya-aṭṭhakathāya

    สพฺพาปิ เอตทคฺคปาฬิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sabbāpi etadaggapāḷivaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑๔. เอตทคฺควโคฺค • 14. Etadaggavaggo

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๔. เอตทคฺควโคฺค • 14. Etadaggavaggo


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact