Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā)

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๑. ปฐมเอตทคฺควโคฺค

    (14) 1. Paṭhamaetadaggavaggo

    เอตทคฺคปทวณฺณนา

    Etadaggapadavaṇṇanā

    ๑๘๘. เอตทเคฺคสุ ปฐมวคฺคสฺส ปฐเม อาทิมฺหิ ทิสฺสตีติ เอตฺถ อคฺคสโทฺทติ อาเนตฺวา โยเชตพฺพํฯ อชฺชตเคฺคติ อชฺชทิวสํ อาทิํ กตฺวาติ อโตฺถฯ องฺคุลเคฺคนาติ องฺคุลิโกฎิยาฯ อมฺพิลคฺคนฺติ อมฺพิลโกฎฺฐาโสฯ โกฎิภูตาติ ปรมโกฎิภูตา ตสฺมิํ ฐาเน ตาทิสานํ อเญฺญสํ อภาวโตฯ ตโต เอว เสฎฺฐภูตาติปิ อคฺคาฯ เอตทคฺคสนฺนิเกฺขโปติ เอตทเคฺค ฐปนํ อฎฺฐุปฺปตฺติอาทีหิ จตูหิปิ การเณหิฯ มหาปญฺญตาย เถเรน เอตทคฺคฎฺฐานสฺส ลทฺธภาวํ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ – ‘‘กถ’’นฺติอาทิมาหฯ เทฺว ปทนฺตรานีติ กณฺฑมฺพมูเล ยุคนฺธรปพฺพเตติ ทฺวีสุ ฐาเนสุ เทฺว ปทานิ ทเสฺสตฺวาฯ มุณฺฑปีฐกนฺติ ยํ สตฺตงฺคํ ปญฺจงฺคํ วา น โหติ, เกวลํ มุณฺฑกปีฐํ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ อวตฺถริตฺวา นิสีทีติ พุทฺธานุภาเวน อโชฺฌตฺถริตฺวา นิสีทิฯ เตนาห – ‘‘เอวํ นิสีทโนฺต’’ติอาทิฯ กายสกฺขิํ กตฺวาติ นามกาเยน เทสนาย สมฺปฎิจฺฉนวเสน สกฺขิภูตํ กตฺวาฯ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมาติ อิติ-สโทฺท อาทฺยโตฺถ, เตน สพฺพํ อภิธมฺมเทสนํ สงฺคณฺหาติฯ

    188. Etadaggesu paṭhamavaggassa paṭhame ādimhi dissatīti ettha aggasaddoti ānetvā yojetabbaṃ. Ajjataggeti ajjadivasaṃ ādiṃ katvāti attho. Aṅgulaggenāti aṅgulikoṭiyā. Ambilagganti ambilakoṭṭhāso. Koṭibhūtāti paramakoṭibhūtā tasmiṃ ṭhāne tādisānaṃ aññesaṃ abhāvato. Tato eva seṭṭhabhūtātipi aggā. Etadaggasannikkhepoti etadagge ṭhapanaṃ aṭṭhuppattiādīhi catūhipi kāraṇehi. Mahāpaññatāya therena etadaggaṭṭhānassa laddhabhāvaṃ vitthārato dassetuṃ – ‘‘katha’’ntiādimāha. Dve padantarānīti kaṇḍambamūle yugandharapabbateti dvīsu ṭhānesu dve padāni dassetvā. Muṇḍapīṭhakanti yaṃ sattaṅgaṃ pañcaṅgaṃ vā na hoti, kevalaṃ muṇḍakapīṭhaṃ, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Avattharitvā nisīdīti buddhānubhāvena ajjhottharitvā nisīdi. Tenāha – ‘‘evaṃ nisīdanto’’tiādi. Kāyasakkhiṃ katvāti nāmakāyena desanāya sampaṭicchanavasena sakkhibhūtaṃ katvā. Kusalā dhammā akusalā dhammā abyākatā dhammāti iti-saddo ādyattho, tena sabbaṃ abhidhammadesanaṃ saṅgaṇhāti.

    ปาฎิหาริยฎฺฐาเนติ ยมกปาฎิหาริยสฺส กตฎฺฐาเนฯ ปสฺสถาติ เตสํ พหุภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อสฺสาติ มนุสฺสสมูหสฺส เอกภาวํฯ อากปฺปนฺติ อาการํฯ มหาชโนติ สเทวเก โลเก สโพฺพ มหาชโนฯ ยถา นิรยทสฺสนํ สํเวคชนนตฺถํ, เอวํ เทวโลกทสฺสนมฺปิ สํเวคชนนตฺถเมว ‘‘อนุปุพฺพิกถายํ สคฺคกถา วิย เอวํ สพฺพสมฺปตฺติสมุเปโตปิ สโคฺค อนิโจฺจ อทฺธุโว จวนธโมฺม’’ติฯ สเชฺชตฺวาติ สมปณฺณาสาย มุจฺฉนาหิ ยถา กาเมน นิวาเทตุํ สกฺกา, เอวํ สเชฺชตฺวาฯ

    Pāṭihāriyaṭṭhāneti yamakapāṭihāriyassa kataṭṭhāne. Passathāti tesaṃ bahubhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Assāti manussasamūhassa ekabhāvaṃ. Ākappanti ākāraṃ. Mahājanoti sadevake loke sabbo mahājano. Yathā nirayadassanaṃ saṃvegajananatthaṃ, evaṃ devalokadassanampi saṃvegajananatthameva ‘‘anupubbikathāyaṃ saggakathā viya evaṃ sabbasampattisamupetopi saggo anicco addhuvo cavanadhammo’’ti. Sajjetvāti samapaṇṇāsāya mucchanāhi yathā kāmena nivādetuṃ sakkā, evaṃ sajjetvā.

    ปุถุชฺชนปญฺจกํ ปญฺหนฺติ ปุถุชฺชนปญฺหํ อาทิํ กตฺวา ปวตฺติตํ ขีณาสวปญฺหปริยนฺตํ ปญฺหปญฺจกํฯ ปฐมํ…เป.… ปุจฺฉีติ ปุถุชฺชนวิสเย ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ ปฎิสมฺภิทา ยถาภินีหารํ ยถาสกํ วิปสฺสนาภินีหาเรน ปฐมภูมิยาทโย วิย ปวตฺติตวิสยาติ วุตฺตํ – ‘‘เต อตฺตโน อตฺตโน ปฎิสมฺภิทาวิสเย ฐตฺวา กถยิํสู’’ติฯ พุทฺธวิสเย ปญฺหํ ปุจฺฉีติ –

    Puthujjanapañcakaṃ pañhanti puthujjanapañhaṃ ādiṃ katvā pavattitaṃ khīṇāsavapañhapariyantaṃ pañhapañcakaṃ. Paṭhamaṃ…pe… pucchīti puthujjanavisaye pañhaṃ pucchi. Paṭisambhidā yathābhinīhāraṃ yathāsakaṃ vipassanābhinīhārena paṭhamabhūmiyādayo viya pavattitavisayāti vuttaṃ – ‘‘te attano attano paṭisambhidāvisaye ṭhatvā kathayiṃsū’’ti. Buddhavisaye pañhaṃ pucchīti –

    ‘‘เย จ สงฺขาตธมฺมาเส, เย จ เสขา ปุถู อิธ;

    ‘‘Ye ca saṅkhātadhammāse, ye ca sekhā puthū idha;

    เตสํ เม นิปโก อิริยํ, ปุโฎฺฐ ปพฺรูหิ มาริสา’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๐๔๔) –

    Tesaṃ me nipako iriyaṃ, puṭṭho pabrūhi mārisā’’ti. (su. ni. 1044) –

    อิทํ ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ ตตฺถ สงฺขาตธมฺมาติ สงฺขาตา ญาตา จตุสจฺจธมฺมา, เย จ สงฺขาตธมฺมา จตูหิ มเคฺคหิ ปฎิวิทฺธจตุสจฺจธมฺมาติ อโตฺถฯ อิมินา อเสกฺขา กถิตาฯ ปุถุ-สโทฺท อุภยตฺถปิ โยเชตโพฺพ ‘‘เย ปุถู สงฺขาตธมฺมา, เย จ ปุถู เสขา’’ติฯ เตสนฺติ เตสํ ทฺวินฺนํ เสกฺขาเสกฺขปุคฺคลานํ เม ปุโฎฺฐติ โยเชตพฺพํ, มยา ปุโฎฺฐติ อโตฺถฯ อิริยนฺติ เสกฺขาเสกฺขภูมิยา อาคมนปฺปฎิปทํฯ อิริยติ คจฺฉติ เสกฺขภูมิํ อเสกฺขภูมิญฺจ เอตายาติ อิริยา, ตํ เตสํ อิริยํ อาคมนปฺปฎิปทํ มยา ปุโฎฺฐ ปพฺรูหิ กเถหีติ อโตฺถฯ เอวํ ภควา พุทฺธวิสเย ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมสฺส นุ โข, สาริปุตฺต, สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส กถํ วิตฺถาเรน อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ’’ติ อาหฯ เถโร ปญฺหํ โอโลเกตฺวา ‘‘สตฺถา มํ เสกฺขาเสกฺขานํ ภิกฺขูนํ อาคมนปฺปฎิปทํ ปุจฺฉตี’’ติ ปเญฺห นิกฺกโงฺข หุตฺวา ‘‘อาคมนปฺปฎิปทา นาม ขนฺธาทิวเสน พหูหิปิ มุเขหิ สกฺกา กเถตุํ, กตรากาเรน นุ โข กเถโนฺต สตฺถุ อชฺฌาสยํ คณฺหิตุํ สกฺขิสฺสามี’’ติ อชฺฌาสเย กงฺขิ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํ – ‘‘ธมฺมเสนาปติ…เป.… น สโกฺกตี’’ติฯ ปุจฺฉิตปญฺหํ วิสฺสเชฺชตุํ ปฎิภาเน อสติ ทิสาวิโลกนํ สตฺตานํ สภาโวติ ทเสฺสโนฺต, ‘‘ปุรตฺถิม…เป... นาสกฺขี’’ติ อาหฯ ตตฺถ ปญฺหุปฺปตฺติฎฺฐานนฺติ ปญฺหุปฺปตฺติการณํฯ

    Idaṃ pañhaṃ pucchi. Tattha saṅkhātadhammāti saṅkhātā ñātā catusaccadhammā, ye ca saṅkhātadhammā catūhi maggehi paṭividdhacatusaccadhammāti attho. Iminā asekkhā kathitā. Puthu-saddo ubhayatthapi yojetabbo ‘‘ye puthū saṅkhātadhammā, ye ca puthū sekhā’’ti. Tesanti tesaṃ dvinnaṃ sekkhāsekkhapuggalānaṃ me puṭṭhoti yojetabbaṃ, mayā puṭṭhoti attho. Iriyanti sekkhāsekkhabhūmiyā āgamanappaṭipadaṃ. Iriyati gacchati sekkhabhūmiṃ asekkhabhūmiñca etāyāti iriyā, taṃ tesaṃ iriyaṃ āgamanappaṭipadaṃ mayā puṭṭho pabrūhi kathehīti attho. Evaṃ bhagavā buddhavisaye pañhaṃ pucchitvā ‘‘imassa nu kho, sāriputta, saṃkhittena bhāsitassa kathaṃ vitthārena attho daṭṭhabbo’’ti āha. Thero pañhaṃ oloketvā ‘‘satthā maṃ sekkhāsekkhānaṃ bhikkhūnaṃ āgamanappaṭipadaṃ pucchatī’’ti pañhe nikkaṅkho hutvā ‘‘āgamanappaṭipadā nāma khandhādivasena bahūhipi mukhehi sakkā kathetuṃ, katarākārena nu kho kathento satthu ajjhāsayaṃ gaṇhituṃ sakkhissāmī’’ti ajjhāsaye kaṅkhi, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ – ‘‘dhammasenāpati…pe… na sakkotī’’ti. Pucchitapañhaṃ vissajjetuṃ paṭibhāne asati disāvilokanaṃ sattānaṃ sabhāvoti dassento, ‘‘puratthima…pe... nāsakkhī’’ti āha. Tattha pañhuppattiṭṭhānanti pañhuppattikāraṇaṃ.

    เถรสฺส กิลมนภาวํ ชานิตฺวาติ ‘‘สาริปุโตฺต ปเญฺห นิกฺกโงฺข, อชฺฌาสเย เม กงฺขมาโน กิลมตี’’ติ เถรสฺส กิลมนภาวํ ญตฺวาฯ จตุมหาภูติกกายปริคฺคหนฺติ เอเตน ขนฺธมุเขน นามรูปปริคฺคโห วุโตฺตฯ ‘‘ภูตมิทนฺติ, สาริปุตฺต, สมนุปสฺสสี’’ติ หิ วทเนฺตน ภควตา ขนฺธวเสน นามรูปปริคฺคโห ทสฺสิโตฯ เอวํ กิรสฺส ภควโต อโหสิ ‘‘สาริปุโตฺต มยา นเย อทิเนฺน กเถตุํ น สกฺขิสฺสติ, ทิเนฺน ปน นเย มมชฺฌาสยํ คเหตฺวา ขนฺธวเสน กเถสฺสตี’’ติฯ เถรสฺส สห นยทาเนน โส ปโญฺห นยสเตน นยสหเสฺสน อุปฎฺฐาสิฯ เตนาห – ‘‘อญฺญาตํ ภควา, อญฺญาตํ สุคตา’’ติฯ

    Therassakilamanabhāvaṃ jānitvāti ‘‘sāriputto pañhe nikkaṅkho, ajjhāsaye me kaṅkhamāno kilamatī’’ti therassa kilamanabhāvaṃ ñatvā. Catumahābhūtikakāyapariggahanti etena khandhamukhena nāmarūpapariggaho vutto. ‘‘Bhūtamidanti, sāriputta, samanupassasī’’ti hi vadantena bhagavatā khandhavasena nāmarūpapariggaho dassito. Evaṃ kirassa bhagavato ahosi ‘‘sāriputto mayā naye adinne kathetuṃ na sakkhissati, dinne pana naye mamajjhāsayaṃ gahetvā khandhavasena kathessatī’’ti. Therassa saha nayadānena so pañho nayasatena nayasahassena upaṭṭhāsi. Tenāha – ‘‘aññātaṃ bhagavā, aññātaṃ sugatā’’ti.

    อรูปาวจเร ปฎิสนฺธิ นาม น โหตีติ โพธิสมฺภารสมฺภรณสฺส อโนกาสภาวโต วุตฺตํฯ เตนาห – ‘‘อภพฺพฎฺฐานตฺตา’’ติ, ลทฺธพฺยากรณานํ โพธิสตฺตานํ อุปฺปตฺติยา อภพฺพเทสตฺตาติ อโตฺถ ฯ รูปาวจเร นิพฺพตฺตีติ กมฺมวสิตาสมฺภวโต อรูปาวจเร อนิพฺพตฺติตฺวา รูปาวจเร นิพฺพตฺติฯ

    Arūpāvacare paṭisandhi nāma na hotīti bodhisambhārasambharaṇassa anokāsabhāvato vuttaṃ. Tenāha – ‘‘abhabbaṭṭhānattā’’ti, laddhabyākaraṇānaṃ bodhisattānaṃ uppattiyā abhabbadesattāti attho . Rūpāvacare nibbattīti kammavasitāsambhavato arūpāvacare anibbattitvā rūpāvacare nibbatti.

    ปโรสหสฺสนฺติอาทินา ปโรสหสฺสชาตกํ ทเสฺสติฯ ตตฺถ ปโรสหสฺสมฺปีติ อติเรกสหสฺสมฺปิฯ สมาคตานนฺติ สนฺนิปติตานํ ภาสิตสฺส อตฺถํ ชานิตุํ อสโกฺกนฺตานํ พาลานํฯ กเนฺทยฺยุํ เต วสฺสสตํ อปญฺญาติ เต เอวํ สมาคตา อปญฺญา อิเม พาลตฺตา สสา วิย วสฺสสตมฺปิ วสฺสสหสฺสมฺปิ โรเทยฺยุํ ปริเทเวยฺยุํฯ โรทมานาปิ ปน อตฺถํ วา การณํ วา เนว ชาเนยฺยุนฺติ ทีเปติฯ เอโกว เสโยฺย ปุริโส สปโญฺญติ เอวรูปานํ พาลานํ ปโรสหสฺสโตปิ เอโก ปณฺฑิตปุริโสว เสโยฺย วรตโรติ อโตฺถฯ กีทิโส สปโญฺญติ อาห – ‘‘โย ภาสิตสฺส วิชานาติ อตฺถ’’นฺติ, อยํ เชฎฺฐเนฺตวาสิโก วิย โย ภาสิตสฺส อตฺถํ ชานาติ, โส ตาทิโส สปโญฺญ วรตโรติ อโตฺถฯ ทุติเย ปโรสตชาตเก ฌาเยยฺยุนฺติ ยาถาวโต อตฺถํ ชานิตุํ สมาหิตา หุตฺวา จิเนฺตยฺยุํฯ เสสเมตฺถ วุตฺตนยเมวฯ

    Parosahassantiādinā parosahassajātakaṃ dasseti. Tattha parosahassampīti atirekasahassampi. Samāgatānanti sannipatitānaṃ bhāsitassa atthaṃ jānituṃ asakkontānaṃ bālānaṃ. Kandeyyuṃ te vassasataṃ apaññāti te evaṃ samāgatā apaññā ime bālattā sasā viya vassasatampi vassasahassampi rodeyyuṃ parideveyyuṃ. Rodamānāpi pana atthaṃ vā kāraṇaṃ vā neva jāneyyunti dīpeti. Ekova seyyo puriso sapaññoti evarūpānaṃ bālānaṃ parosahassatopi eko paṇḍitapurisova seyyo varataroti attho. Kīdiso sapaññoti āha – ‘‘yo bhāsitassa vijānāti attha’’nti, ayaṃ jeṭṭhantevāsiko viya yo bhāsitassa atthaṃ jānāti, so tādiso sapañño varataroti attho. Dutiye parosatajātake jhāyeyyunti yāthāvato atthaṃ jānituṃ samāhitā hutvā cinteyyuṃ. Sesamettha vuttanayameva.

    ตติยชาตเก เย สญฺญิโนติ ฐเปตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนลาภิโน อวเสสจิตฺตกสเตฺต ทเสฺสติฯ เตปิ ทุคฺคตาติ ตสฺสา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติยา อลาภโต เตปิ ทุคฺคตา ทุกฺขํ อุปคตา สญฺญีภเวฯ ‘‘สญฺญา โรโค สญฺญา คโณฺฑ สญฺญา สลฺล’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๒๔) หิ เต สญฺญาย อาทีนวทสฺสิโนฯ เยปิ อสญฺญิโนติ อสญฺญีภเว นิพฺพเตฺต อจิตฺตกสเตฺต ทเสฺสติฯ เตปิ อิมิสฺสาเยว สมาปตฺติยา อลาภโต ทุคฺคตาเยวฯ ฌานสุขํ อนงฺคณํ นิโทฺทสํ ยถาวุตฺตโทสาภาวโตฯ พลวจิเตฺตกคฺคตาสภาเวนปิ ตํ อนงฺคณํ นาม ชาตํฯ เนวสญฺญี นาสญฺญีติ อาหาติ อตีเต กิร พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อรญฺญายตเน กาลํ กโรโนฺต อเนฺตวาสิเกหิ ปุโฎฺฐ ‘‘เนวสญฺญี นาสญฺญี’’ติ อาหฯ ปุริมชาตเก วุตฺตนเยเนว ตาปสา เชฎฺฐเนฺตวาสิกสฺส กถํ น คณฺหิํสุฯ โพธิสโตฺต อาภสฺสรโต อาคนฺตฺวา อากาเส ฐตฺวา อิมํ คาถมาหฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพ’’นฺติฯ

    Tatiyajātake ye saññinoti ṭhapetvā nevasaññānāsaññāyatanalābhino avasesacittakasatte dasseti. Tepi duggatāti tassā nevasaññānāsaññāyatanasamāpattiyā alābhato tepi duggatā dukkhaṃ upagatā saññībhave. ‘‘Saññā rogo saññā gaṇḍo saññā salla’’nti (ma. ni. 3.24) hi te saññāya ādīnavadassino. Yepi asaññinoti asaññībhave nibbatte acittakasatte dasseti. Tepi imissāyeva samāpattiyā alābhato duggatāyeva. Jhānasukhaṃ anaṅgaṇaṃ niddosaṃ yathāvuttadosābhāvato. Balavacittekaggatāsabhāvenapi taṃ anaṅgaṇaṃ nāma jātaṃ. Nevasaññī nāsaññīti āhāti atīte kira bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto araññāyatane kālaṃ karonto antevāsikehi puṭṭho ‘‘nevasaññī nāsaññī’’ti āha. Purimajātake vuttanayeneva tāpasā jeṭṭhantevāsikassa kathaṃ na gaṇhiṃsu. Bodhisatto ābhassarato āgantvā ākāse ṭhatvā imaṃ gāthamāha. Tena vuttaṃ – ‘‘sesaṃ vuttanayeneva veditabba’’nti.

    จตุตฺถชาตเก (ชา. ๑.๑.๑๓๕) จนฺทสฺส วิย อาภา เอตสฺสาติ จนฺทาภํ, โอทาตกสิณํฯ สูริยาภนฺติ สูริยสฺส วิย อาภา เอตสฺสาติ สูริยาภํ, ปีตกสิณํฯ โยธ ปญฺญาย คาธตีติ โย ปุคฺคโล อิธ สตฺตโลเก อิทํ กสิณทฺวยํ ปญฺญาย คาธติ, อารมฺมณํ กตฺวา อนุปฺปวิสติ, ตตฺถ วา ปติฎฺฐหติฯ อวิตเกฺกน ทุติยชฺฌาเนน อาภสฺสรูปโค โหตีติ โส ปุคฺคโล ตถา กตฺวา ปฎิลเทฺธน ทุติเยน ฌาเนน อาภสฺสรพฺรหฺมโลกูปโค โหติฯ เสสํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพนฺติ อิมินา อิมํ ทเสฺสติ (ชา. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๓๕ จนฺทาภชาตกวณฺณนา) – อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อรญฺญายตเน กาลํ กโรโนฺต อเนฺตวาสิเกหิ ปุจฺฉิโต ‘‘จนฺทาภํ สูริยาภ’’นฺติ วตฺวา อาภสฺสเร นิพฺพโตฺตฯ ตาปสา เชฎฺฐเนฺตวาสิกสฺส น สทฺทหิํสุฯ โพธิสโตฺต อาคนฺตฺวา อากาเส ฐิโต อิมํ คาถํ อภาสิฯ

    Catutthajātake (jā. 1.1.135) candassa viya ābhā etassāti candābhaṃ, odātakasiṇaṃ. Sūriyābhanti sūriyassa viya ābhā etassāti sūriyābhaṃ, pītakasiṇaṃ. Yodha paññāya gādhatīti yo puggalo idha sattaloke idaṃ kasiṇadvayaṃ paññāya gādhati, ārammaṇaṃ katvā anuppavisati, tattha vā patiṭṭhahati. Avitakkena dutiyajjhānena ābhassarūpago hotīti so puggalo tathā katvā paṭiladdhena dutiyena jhānena ābhassarabrahmalokūpago hoti. Sesaṃ purimanayenevaveditabbanti iminā imaṃ dasseti (jā. aṭṭha. 1.1.135 candābhajātakavaṇṇanā) – atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto araññāyatane kālaṃ karonto antevāsikehi pucchito ‘‘candābhaṃ sūriyābha’’nti vatvā ābhassare nibbatto. Tāpasā jeṭṭhantevāsikassa na saddahiṃsu. Bodhisatto āgantvā ākāse ṭhito imaṃ gāthaṃ abhāsi.

    ปญฺจมชาตเก อาสีเสเถวาติ อาสาเจฺฉทํ อกตฺวา อตฺตโน กเมฺมสุ อาสํ กเรเยฺยวฯ น นิพฺพิเนฺทยฺยาติ น นิเพฺพทํ อุปฺปาเทยฺย, น อุกฺกเณฺฐยฺยาติ อโตฺถฯ โวติ นิปาตมตฺตํฯ ยถา อิจฺฉินฺติ อหญฺหิ สฎฺฐิหตฺถา นรกา อุฎฺฐานํ อิจฺฉิํ, โสมฺหิ ตเถว ชาโต, ตโต อุฎฺฐิโตเยวาติ ทีเปติฯ

    Pañcamajātake āsīsethevāti āsācchedaṃ akatvā attano kammesu āsaṃ kareyyeva. Na nibbindeyyāti na nibbedaṃ uppādeyya, na ukkaṇṭheyyāti attho. Voti nipātamattaṃ. Yathā icchinti ahañhi saṭṭhihatthā narakā uṭṭhānaṃ icchiṃ, somhi tatheva jāto, tato uṭṭhitoyevāti dīpeti.

    อตีเต (ชา. อฎฺฐ. ๔.๑๓.สรภมิคชาตกวณฺณนา) กิร พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต สรภมิคโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา อรเญฺญ ปฎิวสติฯ ราชา มิควิตฺตโก อโหสิ ถามสมฺปโนฺนฯ เอกทิวสํ คนฺตฺวา อมเจฺจ อาห – ‘‘ยสฺส ปเสฺสน มิโค ปลายติ, เตเนว โส ทาตโพฺพ’’ติฯ อเถกทิวสํ สรภมิโค อุฎฺฐาย รโญฺญ ฐิตฎฺฐาเนน ปลายิฯ อถ นํ อมจฺจา อุปฺปเณฺฑสุํฯ ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม มํ ปริหาสนฺติ, มม ปมาณํ น ชานนฺตี’’ติ คาฬฺหํ นิวาเสตฺวา ปตฺติโกว ขคฺคํ อาทาย ‘‘สรภํ คณฺหิสฺสามี’’ติ เวเคน ปกฺขนฺทิฯ อถ นํ ทิสฺวา ตีณิ โยชนานิ อนุพนฺธิฯ สรโภ อรญฺญํ ปาวิสิฯ ราชาปิ ปาวิสิเยวฯ ตตฺถ สรภมิคสฺส คมนมเคฺค สฎฺฐิหตฺถมโตฺต มหาปูติปาตนรกอาวาโฎ อตฺถิ, โส ติํสหตฺถมตฺตํ อุทเกน ปุโณฺณ ติเณหิ จ ปฎิจฺฉโนฺนฯ สรโภ อุทกคนฺธํ ฆายิตฺวาว อาวาฎภาวํ ญตฺวา โถกํ โอสกฺกิตฺวา คโตฯ ราชา ปน อุชุกเมว อาคจฺฉโนฺต ตสฺมิํ ปติฯ

    Atīte (jā. aṭṭha. 4.13.sarabhamigajātakavaṇṇanā) kira bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto sarabhamigayoniyaṃ nibbattitvā araññe paṭivasati. Rājā migavittako ahosi thāmasampanno. Ekadivasaṃ gantvā amacce āha – ‘‘yassa passena migo palāyati, teneva so dātabbo’’ti. Athekadivasaṃ sarabhamigo uṭṭhāya rañño ṭhitaṭṭhānena palāyi. Atha naṃ amaccā uppaṇḍesuṃ. Rājā cintesi – ‘‘ime maṃ parihāsanti, mama pamāṇaṃ na jānantī’’ti gāḷhaṃ nivāsetvā pattikova khaggaṃ ādāya ‘‘sarabhaṃ gaṇhissāmī’’ti vegena pakkhandi. Atha naṃ disvā tīṇi yojanāni anubandhi. Sarabho araññaṃ pāvisi. Rājāpi pāvisiyeva. Tattha sarabhamigassa gamanamagge saṭṭhihatthamatto mahāpūtipātanarakaāvāṭo atthi, so tiṃsahatthamattaṃ udakena puṇṇo tiṇehi ca paṭicchanno. Sarabho udakagandhaṃ ghāyitvāva āvāṭabhāvaṃ ñatvā thokaṃ osakkitvā gato. Rājā pana ujukameva āgacchanto tasmiṃ pati.

    สรโภ ตสฺส ปทสทฺทํ อสุณโนฺต นิวตฺติตฺวา ตํ อปสฺสโนฺต ‘‘นรกอาวาเฎ ปติโต ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา อาคนฺตฺวา โอโลเกโนฺต ตํ คมฺภีเร อุทเก อปฺปติเฎฺฐ กิลมนฺตํ ทิสฺวา เตน กตาปราธํ หทเย อกตฺวา สญฺชาตการุโญฺญ ‘‘มา มยิ ปสฺสเนฺต วราโก นสฺสตุ, อิมมฺหา ตํ ทุกฺขา โมเจสฺสามี’’ติ อาวาฎตีเร ฐิโต ‘‘มา ภายิ, มหาราช, อหํ ตํ ทุกฺขา โมเจสฺสามี’’ติ วตฺวา อตฺตโน ปิยปุตฺตํ อุทฺธริตุํ อุสฺสาหํ กโรโนฺต วิย ตสฺสุทฺธรณตฺถาย สิลาย โยคฺคํ กตฺวา ‘‘วิชฺฌิสฺสามี’’ติ อาคตํ ราชานํ สฎฺฐิหตฺถา นรกา อุทฺธริตฺวา อสฺสาเสตฺวา ปิฎฺฐิํ อาโรเปตฺวา อรญฺญา นีหริตฺวา เสนาย อวิทูเร โอตาเรตฺวา โอวาทมสฺส ทตฺวา ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐาเปสิฯ ราชา เสนงฺคปริวุโต นครํ คนฺตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย สกลรฎฺฐวาสิโน ปญฺจ สีลานิ รกฺขนฺตู’’ติ ธมฺมเภริํ จราเปสิฯ มหาสเตฺตน ปน อตฺตโน กตคุณํ กสฺสจิ อกเถตฺวา สายํ นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา อลงฺกตสยเน สยิตฺวา ปจฺจูสกาเล มหาสตฺตสฺส คุณํ สริตฺวา อุฎฺฐาย สยนปิเฎฺฐ ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา ปีติปุเณฺณน หทเยน อุทานํ อุทาเนโนฺต ‘‘อาสีเสเถว ปุริโส’’ติอาทินา อิมา ฉ คาถา อภาสิฯ

    Sarabho tassa padasaddaṃ asuṇanto nivattitvā taṃ apassanto ‘‘narakaāvāṭe patito bhavissatī’’ti ñatvā āgantvā olokento taṃ gambhīre udake appatiṭṭhe kilamantaṃ disvā tena katāparādhaṃ hadaye akatvā sañjātakāruñño ‘‘mā mayi passante varāko nassatu, imamhā taṃ dukkhā mocessāmī’’ti āvāṭatīre ṭhito ‘‘mā bhāyi, mahārāja, ahaṃ taṃ dukkhā mocessāmī’’ti vatvā attano piyaputtaṃ uddharituṃ ussāhaṃ karonto viya tassuddharaṇatthāya silāya yoggaṃ katvā ‘‘vijjhissāmī’’ti āgataṃ rājānaṃ saṭṭhihatthā narakā uddharitvā assāsetvā piṭṭhiṃ āropetvā araññā nīharitvā senāya avidūre otāretvā ovādamassa datvā pañcasu sīlesu patiṭṭhāpesi. Rājā senaṅgaparivuto nagaraṃ gantvā ‘‘ito paṭṭhāya sakalaraṭṭhavāsino pañca sīlāni rakkhantū’’ti dhammabheriṃ carāpesi. Mahāsattena pana attano kataguṇaṃ kassaci akathetvā sāyaṃ nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā alaṅkatasayane sayitvā paccūsakāle mahāsattassa guṇaṃ saritvā uṭṭhāya sayanapiṭṭhe pallaṅkena nisīditvā pītipuṇṇena hadayena udānaṃ udānento ‘‘āsīsetheva puriso’’tiādinā imā cha gāthā abhāsi.

    ตตฺถ อหิตา หิตา จาติ ทุกฺขผสฺสา สุขผสฺสา จ, มรณผสฺสา, ชีวิตผสฺสาติปิ อโตฺถฯ สตฺตานญฺหิ มรณผโสฺส อหิโต, ชีวิตผโสฺส หิโตฯ เตสํ อจินฺติโต มรณผโสฺส อาคจฺฉตีติ ทเสฺสติ ฯ อจินฺติตมฺปีติ มยา ‘‘อาวาเฎ ปติสฺสามี’’ติ น จินฺติตํ, ‘‘สรภํ มาเรสฺสามี’’ติ จินฺติตํฯ อิทานิ ปน เม จินฺติตํ นฎฺฐํ, อจินฺติตเมว ชาตนฺติ อุทานวเสน วทติฯ โภคาติ ยสปริวารา, เอเต จินฺตามยา น โหนฺติฯ ตสฺมา ญาณวตา วีริยเมว กาตพฺพนฺติ วทติฯ วีริยวโต หิ อจินฺติตมฺปิ โหติเยวฯ

    Tattha ahitā hitā cāti dukkhaphassā sukhaphassā ca, maraṇaphassā, jīvitaphassātipi attho. Sattānañhi maraṇaphasso ahito, jīvitaphasso hito. Tesaṃ acintito maraṇaphasso āgacchatīti dasseti . Acintitampīti mayā ‘‘āvāṭe patissāmī’’ti na cintitaṃ, ‘‘sarabhaṃ māressāmī’’ti cintitaṃ. Idāni pana me cintitaṃ naṭṭhaṃ, acintitameva jātanti udānavasena vadati. Bhogāti yasaparivārā, ete cintāmayā na honti. Tasmā ñāṇavatā vīriyameva kātabbanti vadati. Vīriyavato hi acintitampi hotiyeva.

    ตเสฺสตํ อุทานํ อุทาเนนฺตเสฺสว อรุณํ อุฎฺฐหิฯ ปุโรหิโต ปาโตว สุขเสยฺยปุจฺฉนตฺถํ อาคนฺตฺวา ทฺวาเร ฐิโต ตสฺส อุทานคีตสทฺทํ สุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘ราชา หิโยฺย มิควํ อคมาสิ, ตตฺถ สรภมิคํ วิโทฺธ ภวิสฺสติ, เตน มเญฺญ อุทานํ อุทาเนตี’’ติฯ เอวํ พฺราหฺมณสฺส รโญฺญ ปริปุณฺณพฺยญฺชนํ อุทานํ สุตฺวา สุมชฺชิเต อาทาเส มุขํ โอโลเกนฺตสฺส ฉายา วิย รญฺญา จ สรเภน จ กตการณํ ปากฎํ อโหสิ, โส นขเคฺคน ทฺวารํ อาโกเฎสิฯ ราชา ‘‘โก เอโส’’ติ ปุจฺฉิฯ อหํ, เทว, ปุโรหิโตติฯ อถสฺส ทฺวารํ วิวริตฺวา ‘‘อิโต เอหาจริยา’’ติ อาหฯ โส ปวิสิตฺวา ราชานํ ชยาเปตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต ‘‘อหํ, มหาราช, ตยา อรเญฺญ กตการณํ ชานามิ, ตฺวํ เอกํ สรภมิคํ อนุพนฺธโนฺต นรเก ปติโต, อถ นํ โส สรโภ สิลาย โยคฺคํ กตฺวา นรกโต อุทฺธริ, โส ตฺวํ ตสฺส คุณํ สริตฺวา อุทานํ อุทาเนสี’’ติ วตฺวา ‘‘สรภํ คิริทุคฺคสฺมิ’’นฺติอาทินา เทฺว คาถา อภาสิฯ

    Tassetaṃ udānaṃ udānentasseva aruṇaṃ uṭṭhahi. Purohito pātova sukhaseyyapucchanatthaṃ āgantvā dvāre ṭhito tassa udānagītasaddaṃ sutvā cintesi – ‘‘rājā hiyyo migavaṃ agamāsi, tattha sarabhamigaṃ viddho bhavissati, tena maññe udānaṃ udānetī’’ti. Evaṃ brāhmaṇassa rañño paripuṇṇabyañjanaṃ udānaṃ sutvā sumajjite ādāse mukhaṃ olokentassa chāyā viya raññā ca sarabhena ca katakāraṇaṃ pākaṭaṃ ahosi, so nakhaggena dvāraṃ ākoṭesi. Rājā ‘‘ko eso’’ti pucchi. Ahaṃ, deva, purohitoti. Athassa dvāraṃ vivaritvā ‘‘ito ehācariyā’’ti āha. So pavisitvā rājānaṃ jayāpetvā ekamantaṃ ṭhito ‘‘ahaṃ, mahārāja, tayā araññe katakāraṇaṃ jānāmi, tvaṃ ekaṃ sarabhamigaṃ anubandhanto narake patito, atha naṃ so sarabho silāya yoggaṃ katvā narakato uddhari, so tvaṃ tassa guṇaṃ saritvā udānaṃ udānesī’’ti vatvā ‘‘sarabhaṃ giriduggasmi’’ntiādinā dve gāthā abhāsi.

    ตตฺถ อนุสรีติ อนุพนฺธิฯ วิกฺกนฺตนฺติ อุทฺธรณตฺถาย กตปรกฺกมํฯ อนุชีวสีติ อุปชีวสิ, ตสฺสานุภาเวน ตยา ชีวิตํ ลทฺธนฺติ อโตฺถฯ สมุทฺธรีติ อุทฺธรณํ อกาสิฯ สิลาย โยคฺคํ สรโภ กริตฺวาติ สิลาย โสปานสทิสาย นรกโต อุทฺธรณโยคฺคตํ กริตฺวาฯ อลีนจิตฺตนฺติ สโงฺกจํ อปฺปตฺตจิตฺตํฯ ต มิคํ วเทสีติ สุวณฺณสรภมิคํ อิธ สิริสยเน นิปโนฺน วเณฺณสิฯ ตํ สุตฺวา ราชา, ‘‘อยํ มยา สทฺธิํ น มิควํ อาคโต, สพฺพญฺจ ปวตฺติํ ชานาติ, กถํ นุ โข ชานาติ, ปุจฺฉิสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา – ‘‘กิํ ตฺวํ นุ ตเตฺถวา’’ติ นวมคาถมาห ฯ ตตฺถ ภิํสรูปนฺติ กิํ นุ เต ญาณํ พลวชาติกํ, เตเนตํ ชานาสีติ วทติฯ พฺราหฺมโณ ‘‘นาหํ สพฺพญฺญุพุโทฺธ, พฺยญฺชนํ อมเกฺขตฺวา ตยา กถิตคาถาย ปน มยฺหํ อโตฺถ อุปฎฺฐาตี’’ติ ทีเปโนฺต ‘‘น เจวห’’นฺติ ทสมคาถมาห ฯ ตตฺถ สุภาสิตานนฺติ พฺยญฺชนํ อมเกฺขตฺวา สุฎฺฐุ ภาสิตานํฯ อตฺถํ ตทาเนนฺตีติ โย เตสํ อโตฺถ, ตํ อาเนนฺติ อุปธาเรนฺตีติ อโตฺถฯ ตทา ปุโรหิโต ธมฺมเสนาปติ อโหสิฯ เตเนวาห – ‘‘อตีเตปี’’ติอาทิฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    Tattha anusarīti anubandhi. Vikkantanti uddharaṇatthāya kataparakkamaṃ. Anujīvasīti upajīvasi, tassānubhāvena tayā jīvitaṃ laddhanti attho. Samuddharīti uddharaṇaṃ akāsi. Silāya yoggaṃ sarabho karitvāti silāya sopānasadisāya narakato uddharaṇayoggataṃ karitvā. Alīnacittanti saṅkocaṃ appattacittaṃ. Ta migaṃ vadesīti suvaṇṇasarabhamigaṃ idha sirisayane nipanno vaṇṇesi. Taṃ sutvā rājā, ‘‘ayaṃ mayā saddhiṃ na migavaṃ āgato, sabbañca pavattiṃ jānāti, kathaṃ nu kho jānāti, pucchissāmi na’’nti cintetvā – ‘‘kiṃ tvaṃ nu tatthevā’’ti navamagāthamāha . Tattha bhiṃsarūpanti kiṃ nu te ñāṇaṃ balavajātikaṃ, tenetaṃ jānāsīti vadati. Brāhmaṇo ‘‘nāhaṃ sabbaññubuddho, byañjanaṃ amakkhetvā tayā kathitagāthāya pana mayhaṃ attho upaṭṭhātī’’ti dīpento ‘‘na cevaha’’nti dasamagāthamāha . Tattha subhāsitānanti byañjanaṃ amakkhetvā suṭṭhu bhāsitānaṃ. Atthaṃ tadānentīti yo tesaṃ attho, taṃ ānenti upadhārentīti attho. Tadā purohito dhammasenāpati ahosi. Tenevāha – ‘‘atītepī’’tiādi. Sesaṃ uttānatthameva.

    อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถรวตฺถุ

    Aññāsikoṇḍaññattheravatthu

    อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถราทโยติอาทีสุ ปน ยาถาวสรสคุณวเสนาติ ยถาสภาวคุณวเสนฯ ปพฺพชฺชาวเสน ปฎิเวธวเสน สุจิรํ สุนิปุณํ รตฺตินฺทิวปริเจฺฉทชานนวเสน จ รตฺตญฺญุตา เวทิตพฺพาติ ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ฐเปตฺวา หิ สมฺมาสมฺพุทฺธ’’นฺติอาทิมาหฯ ปากโฎว โหตีติ สติปญฺญาเวปุลฺลปฺปตฺติโก ปากโฎ วิภูโต โหติฯ อญฺญาสิโกณฺฑโญฺญติ สาวเกสุ สพฺพปฐมํ จตฺตาริ อริยสจฺจานิ ญาตโกณฺฑโญฺญฯ สเพฺพสุปิ เอตทเคฺคสูติ สเพฺพสุปิ เอตทคฺคสุเตฺตสุ, สเพฺพสุ วา เอตทคฺคฎฺฐปเนสุฯ

    Aññāsikoṇḍaññattherādayotiādīsu pana yāthāvasarasaguṇavasenāti yathāsabhāvaguṇavasena. Pabbajjāvasena paṭivedhavasena suciraṃ sunipuṇaṃ rattindivaparicchedajānanavasena ca rattaññutā veditabbāti taṃ dassento ‘‘ṭhapetvā hi sammāsambuddha’’ntiādimāha. Pākaṭova hotīti satipaññāvepullappattiko pākaṭo vibhūto hoti. Aññāsikoṇḍaññoti sāvakesu sabbapaṭhamaṃ cattāri ariyasaccāni ñātakoṇḍañño. Sabbesupi etadaggesūti sabbesupi etadaggasuttesu, sabbesu vā etadaggaṭṭhapanesu.

    ธุรปตฺตานีติ ปตฺตานํ ปมุขภูตานิ พาหิรปตฺตานิฯ นวุติหตฺถานีติ มชฺฌิมปุริสสฺส หเตฺถน นวุติรตนานิฯ ปทุเมเนว ตํ ตํ ปเทสํ อุตฺตรติ อติกฺกมตีติ ปทุมุตฺตโร, ภควาฯ คนฺธทามมาลาทามาทีหีติ อาทิสเทฺทน ปตฺตทามาทิํ สงฺคณฺหาติฯ ตตฺถ คนฺธทาเมหิ กตมาลา คนฺธทามํฯ ลวงฺคตโกฺกลชาติปุปฺผาทีหิ กตมาลา มาลาทามํฯ ตมาลปตฺตาทีหิ กตมาลา ปตฺตทามํฯ วงฺคปเฎฺฎติ วงฺคเทเส อุปฺปนฺนฆนสุขุมวเตฺถฯ อุตฺตมสุขุมวตฺถนฺติ กาสิกวตฺถมาหฯ

    Dhurapattānīti pattānaṃ pamukhabhūtāni bāhirapattāni. Navutihatthānīti majjhimapurisassa hatthena navutiratanāni. Padumeneva taṃ taṃ padesaṃ uttarati atikkamatīti padumuttaro, bhagavā. Gandhadāmamālādāmādīhīti ādisaddena pattadāmādiṃ saṅgaṇhāti. Tattha gandhadāmehi katamālā gandhadāmaṃ. Lavaṅgatakkolajātipupphādīhi katamālā mālādāmaṃ. Tamālapattādīhi katamālā pattadāmaṃ. Vaṅgapaṭṭeti vaṅgadese uppannaghanasukhumavatthe. Uttamasukhumavatthanti kāsikavatthamāha.

    เตปริวฎฺฎธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตนฺตปริโยสาเนติ เอตฺถ ‘‘อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจ’’นฺติอาทินา สจฺจวเสน, ‘‘ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปริเญฺญยฺย’’นฺติอาทินา กิจฺจวเสน, ‘‘ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปริญฺญาต’’นฺติอาทินา กตวเสน จ ตีหิ อากาเรหิ ปริวเฎฺฎตฺวา จตุนฺนํ สจฺจานํ เทสิตตฺตา ตโย ปริวฎฺฎา เอตสฺส อตฺถีติ ติปริวฎฺฎํ, ติปริวฎฺฎเมว เตปริวฎฺฎํ, เตปริวฎฺฎญฺจ ตํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนญฺจาติ เตปริวฎฺฎธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนํ, ตเทว สุตฺตนฺตํ, ตสฺส ปริโยสาเนติ อโตฺถฯ

    Teparivaṭṭadhammacakkappavattanasuttantapariyosāneti ettha ‘‘idaṃ dukkhaṃ ariyasacca’’ntiādinā saccavasena, ‘‘dukkhaṃ ariyasaccaṃ pariññeyya’’ntiādinā kiccavasena, ‘‘dukkhaṃ ariyasaccaṃ pariññāta’’ntiādinā katavasena ca tīhi ākārehi parivaṭṭetvā catunnaṃ saccānaṃ desitattā tayo parivaṭṭā etassa atthīti tiparivaṭṭaṃ, tiparivaṭṭameva teparivaṭṭaṃ, teparivaṭṭañca taṃ dhammacakkappavattanañcāti teparivaṭṭadhammacakkappavattanaṃ, tadeva suttantaṃ, tassa pariyosāneti attho.

    สาลิคพฺภํ ผาเลตฺวา อาทายาติ สาลิคพฺภํ ผาเลตฺวา ตตฺถ ลพฺภมานํ สาลิขีรรสํ อาทายฯ อนุจฺฉวิกนฺติ พุทฺธานํ อนุจฺฉวิกํ ขีรปายสํ ปจาเปมฯ เวณิโย ปุริสภาววเสน พนฺธิตฺวา กลาปกรเณ กลาปคฺคํฯ ขเล กลาปานํ ฐปนทิวเส ขลคฺคํฯ มทฺทิตฺวา วีหีนํ ราสิกรณทิวเส ขลภณฺฑคฺคํฯ โกเฎฺฐสุ หิ ธญฺญสฺส ปกฺขิปนทิวเส โกฎฺฐคฺคํ

    Sāligabbhaṃ phāletvā ādāyāti sāligabbhaṃ phāletvā tattha labbhamānaṃ sālikhīrarasaṃ ādāya. Anucchavikanti buddhānaṃ anucchavikaṃ khīrapāyasaṃ pacāpema. Veṇiyo purisabhāvavasena bandhitvā kalāpakaraṇe kalāpaggaṃ. Khale kalāpānaṃ ṭhapanadivase khalaggaṃ. Madditvā vīhīnaṃ rāsikaraṇadivase khalabhaṇḍaggaṃ. Koṭṭhesu hi dhaññassa pakkhipanadivase koṭṭhaggaṃ.

    เทฺว คติโยติ เทฺว เอว นิปฺผตฺติโย, เทฺว นิฎฺฐาติ อโตฺถฯ ตสฺมิํ กุมาเร สพฺพญฺญุตํ ปเตฺตติ โกณฺฑญฺญมาณวเสฺสว ลทฺธิยํ ฐตฺวา อิตเรปิ ฉ ชนา ปุเตฺต อนุสาสิํสุฯ โพธิรุกฺขมูเล ปาจีนปสฺสํ อจลฎฺฐานํ นาม, ยํ ‘‘วชิราสน’’นฺติปิ วุจฺจติฯ มหตํ มหติโย วหตีติ ‘‘ปาจีนมุโข’’ติ อวตฺวา ‘‘ปาจีนโลกธาตุอภิมุโข’’ติ วุตฺตํฯ มํสจกฺขุปิ โลกนาถสฺส อปฺปฎิฆาตํ มหาวิสยญฺจาติฯ จตุรงฺคสมนฺนาคตนฺติ ‘‘กามํ ตโจ จ นฺหารุ จ, อฎฺฐิ จ อวสิสฺสตู’’ติอาทินา (ม. นิ. ๒.๑๘๔; สํ. นิ. ๒.๒๒, ๒๓๗; อ. นิ. ๒.๕; มหานิ. ๑๙๖) วุตฺตจตุรงฺคสมนฺนาคตํฯ

    Dve gatiyoti dve eva nipphattiyo, dve niṭṭhāti attho. Tasmiṃ kumāre sabbaññutaṃ patteti koṇḍaññamāṇavasseva laddhiyaṃ ṭhatvā itarepi cha janā putte anusāsiṃsu. Bodhirukkhamūle pācīnapassaṃ acalaṭṭhānaṃ nāma, yaṃ ‘‘vajirāsana’’ntipi vuccati. Mahataṃ mahatiyo vahatīti ‘‘pācīnamukho’’ti avatvā ‘‘pācīnalokadhātuabhimukho’’ti vuttaṃ. Maṃsacakkhupi lokanāthassa appaṭighātaṃ mahāvisayañcāti. Caturaṅgasamannāgatanti ‘‘kāmaṃ taco ca nhāru ca, aṭṭhi ca avasissatū’’tiādinā (ma. ni. 2.184; saṃ. ni. 2.22, 237; a. ni. 2.5; mahāni. 196) vuttacaturaṅgasamannāgataṃ.

    อิทํ ปน สพฺพเมวาติ ‘‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสสฺสามี’’ติอาทินยปฺปวตฺตํ (ม. นิ. ๑.๒๘๔; ๒.๓๔๑; มหาว. ๑๐) สพฺพเมวฯ ปริวิตกฺกมตฺตเมว ตถา อตฺถสิทฺธิยา อภาวโตฯ ปุปฺผิตผลิตํ กตฺวาติ อภิญฺญาปฎิสมฺภิทาหิ สพฺพปาลิผุลฺลํ, มคฺคผเลหิ สพฺพโส ผลภารภริตญฺจ กโรโนฺต ปุปฺผิตํ ผลิตํ กตฺวาฯ อปกฺกมิตุกาโม หุตฺวาติ เทฺวปิ อคฺคสาวเก อตฺตโน นิปจฺจการํ กโรเนฺต ทิสฺวา เตสํ คุณาติเรกตํ พหุ มญฺญโนฺต พุทฺธานํ สนฺติกา อปกฺกมิตุกาโม หุตฺวาฯ ตเตฺถวาติ ฉทฺทนฺตทหตีเรเยวฯ

    Idaṃ pana sabbamevāti ‘‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ desessāmī’’tiādinayappavattaṃ (ma. ni. 1.284; 2.341; mahāva. 10) sabbameva. Parivitakkamattameva tathā atthasiddhiyā abhāvato. Pupphitaphalitaṃ katvāti abhiññāpaṭisambhidāhi sabbapāliphullaṃ, maggaphalehi sabbaso phalabhārabharitañca karonto pupphitaṃ phalitaṃ katvā. Apakkamitukāmo hutvāti dvepi aggasāvake attano nipaccakāraṃ karonte disvā tesaṃ guṇātirekataṃ bahu maññanto buddhānaṃ santikā apakkamitukāmo hutvā. Tatthevāti chaddantadahatīreyeva.

    สาริปุตฺต-โมคฺคลฺลานเตฺถรวตฺถุ

    Sāriputta-moggallānattheravatthu

    ๑๘๙-๑๙๐. ทุติยตติเยสุ อิทฺธิมนฺตานนฺติ เอตฺถ มนฺต-สโทฺท อติสยตฺถวิสโยติ เถรสฺส อติสยิกอิทฺธิตํ ทเสฺสตุํ – ‘‘อิทฺธิยา สมฺปนฺนาน’’นฺติ วุตฺตํฯ สห ปํสูหิ กีฬิํสูติ สหปํสุกีฬิตาฯ อิธโลกตฺตภาวเมวาติ ทิฎฺฐธมฺมิกอตฺตภาวเมวฯ โสฬส ปญฺญา ปฎิวิชฺฌิตฺวา ฐิโตติ มชฺฌิมนิกาเย อนุปทสุตฺตนฺตเทสนาย ‘‘มหาปโญฺญ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต, ปุถุปโญฺญ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต, หาสปโญฺญ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต, ชวนปโญฺญ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต, ติกฺขปโญฺญ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต, นิเพฺพธิกปโญฺญ, ภิกฺขเว, สาริปุโตฺต’’ติ (ม. นิ. ๓.๙๓) เอวมาคตา มหาปญฺญาทิกา ฉ, ตสฺมิํเยว สุเตฺต อาคตา นวานุปุพฺพวิหารสมาปตฺติปญฺญา, อรหตฺตมคฺคปญฺญาติ อิมา โสฬสวิธา ปญฺญา ปฎิวิชฺฌิตฺวา สจฺฉิกตฺวา ฐิโตฯ

    189-190. Dutiyatatiyesu iddhimantānanti ettha manta-saddo atisayatthavisayoti therassa atisayikaiddhitaṃ dassetuṃ – ‘‘iddhiyā sampannāna’’nti vuttaṃ. Saha paṃsūhi kīḷiṃsūti sahapaṃsukīḷitā. Idhalokattabhāvamevāti diṭṭhadhammikaattabhāvameva. Soḷasa paññā paṭivijjhitvā ṭhitoti majjhimanikāye anupadasuttantadesanāya ‘‘mahāpañño, bhikkhave, sāriputto, puthupañño, bhikkhave, sāriputto, hāsapañño, bhikkhave, sāriputto, javanapañño, bhikkhave, sāriputto, tikkhapañño, bhikkhave, sāriputto, nibbedhikapañño, bhikkhave, sāriputto’’ti (ma. ni. 3.93) evamāgatā mahāpaññādikā cha, tasmiṃyeva sutte āgatā navānupubbavihārasamāpattipaññā, arahattamaggapaññāti imā soḷasavidhā paññā paṭivijjhitvā sacchikatvā ṭhito.

    ปญฺหสากจฺฉนฺติ ปญฺหสฺส ปุจฺฉนวเสน วิสฺสชฺชนวเสน จ สากจฺฉํ กโรติฯ อตฺถิเกหิ อุปญฺญาตํ มคฺคนฺติ เอตํ อนุพนฺธนสฺส การณวจนํฯ อิทญฺหิ วุตฺตํ โหติ – ยํนูนาหํ อิมํ ภิกฺขุํ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพเนฺธยฺยํฯ กสฺมา? ยสฺมา อิทํ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพนฺธนํ นาม อตฺถิเกหิ อุปญฺญาตํ มคฺคํ, ญาโต เจว อุปคโต จ มโคฺคติ อโตฺถฯ อถ วา อตฺถิเกหิ อเมฺหหิ มรเณ สติ อมเตนปิ ภวิตพฺพนฺติ เอวํ เกวลํ อตฺถีติ อุปญฺญาตํ, อนุมานญาเณน อุปคนฺตฺวา ญาตํ นิพฺพานํ นาม อตฺถิ, ตํ มคฺคโนฺต ปริเยสโนฺตติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Pañhasākacchanti pañhassa pucchanavasena vissajjanavasena ca sākacchaṃ karoti. Atthikehi upaññātaṃ magganti etaṃ anubandhanassa kāraṇavacanaṃ. Idañhi vuttaṃ hoti – yaṃnūnāhaṃ imaṃ bhikkhuṃ piṭṭhito piṭṭhito anubandheyyaṃ. Kasmā? Yasmā idaṃ piṭṭhito piṭṭhito anubandhanaṃ nāma atthikehi upaññātaṃ maggaṃ, ñāto ceva upagato ca maggoti attho. Atha vā atthikehi amhehi maraṇe sati amatenapi bhavitabbanti evaṃ kevalaṃ atthīti upaññātaṃ, anumānañāṇena upagantvā ñātaṃ nibbānaṃ nāma atthi, taṃ magganto pariyesantoti evampettha attho daṭṭhabbo.

    เนสํ ปริสายาติ ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานํ ปริวารภูตปริสายฯ เทฺว อคฺคสาวเกติ สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาเน เทฺว มหานุภาเว สาวเกฯ ฐานนฺตเรติ อคฺคสาวกตฺตสญฺญิเต ฐานนฺตเร ฐเปสิฯ กสฺมา ปเนตฺถ ‘‘อคฺคสาวเก’’ติ อวตฺวา ‘‘มหาสาวเก’’ติ วุตฺตํฯ ยทิ อเญฺญปิ มหาเถรา อภิญฺญาตาทิคุณวิเสสโยเคน ‘‘มหาสาวกา’’ติ วตฺตพฺพตํ ลภนฺติ, อิเมเยว ปน สาวเกสุ อนญฺญสาธารณภูตา วิเสสโต ‘‘มหาสาวกา’’ติ วตฺตพฺพาติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘เทฺวปิ มหาสาวเก’’ติ วุตฺตํฯ

    Nesaṃ parisāyāti dvinnaṃ aggasāvakānaṃ parivārabhūtaparisāya. Dve aggasāvaketi sāriputtamoggallāne dve mahānubhāve sāvake. Ṭhānantareti aggasāvakattasaññite ṭhānantare ṭhapesi. Kasmā panettha ‘‘aggasāvake’’ti avatvā ‘‘mahāsāvake’’ti vuttaṃ. Yadi aññepi mahātherā abhiññātādiguṇavisesayogena ‘‘mahāsāvakā’’ti vattabbataṃ labhanti, imeyeva pana sāvakesu anaññasādhāraṇabhūtā visesato ‘‘mahāsāvakā’’ti vattabbāti dassanatthaṃ ‘‘dvepi mahāsāvake’’ti vuttaṃ.

    มหากสฺสปเตฺถรวตฺถุ

    Mahākassapattheravatthu

    ๑๙๑. จตุเตฺถ ยสฺมา ธุตวาทธุตธมฺมธุตงฺคานิ ธุตมูลกานิ, ตสฺมา ‘‘ธุโต เวทิตโพฺพ’’ติ อารทฺธํ, ตตฺถ กิเลเส ธุนิ ธุตวาติ ธุโต, ธุตกิเลโส ปุคฺคโล, กิเลสธุนโน วา ธโมฺม, กิเลสธุนโน ธโมฺมติ จ สปุพฺพภาโค อริยมโคฺค ทฎฺฐโพฺพฯ ตํ ธุตสญฺญิตํ กิเลสธุนนธมฺมํ วทติ, ปเร ตตฺถ ปติฎฺฐาเปตีติ ธุตวาโทฯ จตุกฺกเญฺจตฺถ สมฺภวตีติ ตํ ทเสฺสตุํ – ‘‘เอตฺถ ปนา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ ตยิทนฺติ นิปาโต, ตสฺส โส อยนฺติ อโตฺถฯ ธุตภูตสฺส ธุตภูตา ธมฺมา ธุตธมฺมาฯ อปฺปิจฺฉตา สนฺตุฎฺฐิตา เหฎฺฐา วุตฺตา เอว ฯ กิเลเส สมฺมา ลิขติ ตจฺฉตีติ สเลฺลโข, กิเลสเชคุจฺฉี, ตสฺส ภาโว สเลฺลขตาฯ ทฺวีหิปิ กาเมหิ วิวิจฺจตีติ ปวิเวโก, โยนิโสมนสิการพหุโล ปุคฺคโล, ตสฺส ภาโว ปวิเวกตาฯ อิมินา สรีรฎฺฐปนมเตฺตน อตฺถีติ อิทมฎฺฐิ ตฺถ-การสฺส ฎฺฐ-การํ กตฺวา, ตสฺส ภาโว อิทมฎฺฐิตา, อิเมหิ วา กุสลธเมฺมหิ อตฺถิ อิทมฎฺฐิ, เยน ญาเณน ‘‘ปพฺพชิเตน นาม ปํสุกูลิกงฺคาทีสุ ปติฎฺฐิเตน ภวิตพฺพ’’นฺติ ยถานุสิฎฺฐํ ธุตคุเณ สมาทิยติ เจว ปริหรติ จ, ตํ ญาณํ อิทมฎฺฐิตาฯ เตนาห – ‘‘อิทมฎฺฐิตา ญาณเมวา’’ติฯ ธุตธมฺมา นามาติ ธุตงฺคเสวนาย ปฎิปกฺขภูตานํ ปาปธมฺมานํ ธุนนวเสน ปวตฺติยา ธุโตติ ลทฺธนามาย ธุตงฺคเจตนาย อุปการกา ธมฺมาติ กตฺวา ธุตธมฺมา นาม ฯ อนุปตนฺตีติ ตทโนฺตคธา ตปฺปริยาปนฺนา โหนฺติ ตทุภยเสฺสว ปวตฺติวิเสสภาวโตฯ ปฎิเกฺขปวตฺถูสูติ ธุตงฺคเสวนาย ปฎิกฺขิปิตพฺพวตฺถูสุ ปหาตพฺพวตฺถูสุฯ

    191. Catutthe yasmā dhutavādadhutadhammadhutaṅgāni dhutamūlakāni, tasmā ‘‘dhuto veditabbo’’ti āraddhaṃ, tattha kilese dhuni dhutavāti dhuto, dhutakileso puggalo, kilesadhunano vā dhammo, kilesadhunano dhammoti ca sapubbabhāgo ariyamaggo daṭṭhabbo. Taṃ dhutasaññitaṃ kilesadhunanadhammaṃ vadati, pare tattha patiṭṭhāpetīti dhutavādo. Catukkañcettha sambhavatīti taṃ dassetuṃ – ‘‘ettha panā’’tiādi āraddhaṃ. Tayidanti nipāto, tassa so ayanti attho. Dhutabhūtassa dhutabhūtā dhammā dhutadhammā. Appicchatā santuṭṭhitā heṭṭhā vuttā eva . Kilese sammā likhati tacchatīti sallekho, kilesajegucchī, tassa bhāvo sallekhatā. Dvīhipi kāmehi viviccatīti paviveko, yonisomanasikārabahulo puggalo, tassa bhāvo pavivekatā. Iminā sarīraṭṭhapanamattena atthīti idamaṭṭhi ttha-kārassa ṭṭha-kāraṃ katvā, tassa bhāvo idamaṭṭhitā, imehi vā kusaladhammehi atthi idamaṭṭhi, yena ñāṇena ‘‘pabbajitena nāma paṃsukūlikaṅgādīsu patiṭṭhitena bhavitabba’’nti yathānusiṭṭhaṃ dhutaguṇe samādiyati ceva pariharati ca, taṃ ñāṇaṃ idamaṭṭhitā. Tenāha – ‘‘idamaṭṭhitā ñāṇamevā’’ti. Dhutadhammā nāmāti dhutaṅgasevanāya paṭipakkhabhūtānaṃ pāpadhammānaṃ dhunanavasena pavattiyā dhutoti laddhanāmāya dhutaṅgacetanāya upakārakā dhammāti katvā dhutadhammā nāma . Anupatantīti tadantogadhā tappariyāpannā honti tadubhayasseva pavattivisesabhāvato. Paṭikkhepavatthūsūti dhutaṅgasevanāya paṭikkhipitabbavatthūsu pahātabbavatthūsu.

    ปํสุกูลิกงฺคํ…เป.… เนสชฺชิกงฺคนฺติ อุเทฺทโสปิ เปยฺยาลนเยน ทสฺสิโตฯ ยเทตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ สพฺพํ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๒๒ อาทโย) วิตฺถารโต วุตฺตํฯ ธุตวาทคฺคหเณเนว เถรสฺส ธุตภาโวปิ คหิโต โหตีติ ‘‘ธุตวาทาน’’เนฺตว วุตฺตํฯ อยํ มหาติ อภินีหาราทิมหนฺตตายปิ สาสนสฺส อุปการิตายปิ อยํ เถโร มหา, คุณมหนฺตตาย ปสํสาวจนเมว วา เอตํ เถรสฺส ยทิทํ มหากสฺสโปติ ยถา ‘‘มหาโมคฺคลฺลาโน’’ติฯ

    Paṃsukūlikaṅgaṃ…pe… nesajjikaṅganti uddesopi peyyālanayena dassito. Yadettha vattabbaṃ, taṃ sabbaṃ visuddhimagge (visuddhi. 1.22 ādayo) vitthārato vuttaṃ. Dhutavādaggahaṇeneva therassa dhutabhāvopi gahito hotīti ‘‘dhutavādāna’’nteva vuttaṃ. Ayaṃ mahāti abhinīhārādimahantatāyapi sāsanassa upakāritāyapi ayaṃ thero mahā, guṇamahantatāya pasaṃsāvacanameva vā etaṃ therassa yadidaṃ mahākassapoti yathā ‘‘mahāmoggallāno’’ti.

    สตฺถุ ธมฺมเทสนาย วตฺถุตฺตเย สญฺชาตปฺปสาทตาย อุปาสกภาเว ฐิตตฺตา วุตฺตํ – ‘‘อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐายา’’ติอาทิฯ เอตสฺส อคฺคภาวสฺสาติ โยเชตพฺพํฯ สจฺจกาโรติ สจฺจภาวาวโห กาโร, อวิสํวาทนวเสน วา ตทตฺถสาธโนติ อโตฺถฯ โกลาหลนฺติ กุตูหลวิปฺผาโรฯ สตฺถา สตฺตเม สตฺตเม สํวจฺฉเร ธมฺมํ กเถโนฺต สตฺตานํ สวนโยคฺคํ กาลํ สลฺลเกฺขโนฺต ทิวา สายนฺหสมยํ กเถติ, รตฺติยํ สกลยามํฯ เตนาห – ‘‘พฺราหฺมโณ พฺราหฺมเณ อาห – ‘โภติ กิํ รตฺติํ ธมฺมํ สุณิสฺสสิ ทิวา’’’ติฯ วิสฺสาสิโกติ วิสฺสาสิกภาโวฯ ‘‘ตโต ปฎฺฐาย โส’’ติ วา ปาโฐฯ

    Satthu dhammadesanāya vatthuttaye sañjātappasādatāya upāsakabhāve ṭhitattā vuttaṃ – ‘‘uposathaṅgāni adhiṭṭhāyā’’tiādi. Etassa aggabhāvassāti yojetabbaṃ. Saccakāroti saccabhāvāvaho kāro, avisaṃvādanavasena vā tadatthasādhanoti attho. Kolāhalanti kutūhalavipphāro. Satthā sattame sattame saṃvacchare dhammaṃ kathento sattānaṃ savanayoggaṃ kālaṃ sallakkhento divā sāyanhasamayaṃ katheti, rattiyaṃ sakalayāmaṃ. Tenāha – ‘‘brāhmaṇo brāhmaṇe āha – ‘bhoti kiṃ rattiṃ dhammaṃ suṇissasi divā’’’ti. Vissāsikoti vissāsikabhāvo. ‘‘Tato paṭṭhāya so’’ti vā pāṭho.

    เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ ปูริตปารมิสฺสาติ อิทํ สา ปรมฺปราย โสตปติตํ อตฺถํ คเหตฺวา อาหฯ อทินฺนวิปากสฺสาติ อวิปกฺกวิปากสฺสฯ ภทฺทเก กาเลติ ยุเตฺต กาเลฯ นกฺขตฺตนฺติ นกฺขเตฺตน ลกฺขิตํ ฉณํฯ ตสฺมิํ ตสฺมิญฺหิ นกฺขเตฺต อนุภวิตพฺพฉณานิ นกฺขตฺตานิ นาม, อิตรานิ ปน ฉณานิ นามฯ สมฺมาปติตทุกฺขโต วิโมจเนน ตโต นิยฺยานาวหตาย อิจฺฉิตตฺถสฺส ลภาปนโต จ นิยฺยานิกํฯ เตสนฺติ สุวณฺณปทุมานํฯ โอลมฺพกาติ สุวณฺณรตนวิจิตฺตา รตนทามาฯ ปุญฺญนิยาเมนาติ ปุญฺญานุภาวสิเทฺธน นิยาเมนฯ สฺวสฺส พาราณสิรชฺชํ ทาตุํ กโตกาโสฯ ผุสฺสรถนฺติ มงฺคลรถํฯ เสตจฺฉตฺตอุณฺหีสวาลพีชนิขคฺคมณิปาทุกานิ ปญฺจวิธํ ราชกกุธภณฺฑนฺติ วทนฺติฯ อิธ ปน เสตจฺฉตฺตํ วิสุํ คหิตนฺติ สีหาสนํ ปญฺจมํ กตฺวา วทนฺติฯ ปารุปนกณฺณนฺติ ปารุปนวตฺถสฺส ทสนฺตํฯ ทิพฺพวตฺถทายิปุญฺญานุภาวโจทิโต ‘‘นนุ ตาตา ถูล’’นฺติ อาหฯ อโห ตปสฺสีติ อโห กปโณ อหํ ราชาติ อโตฺถฯ พุทฺธานํ สทฺทหิตฺวาติ พุทฺธานํ สาสนํ สทฺทหิตฺวาฯ จงฺกมนสตานีติ อิติ-สโทฺท อาทฺยโตฺถฯ เตน หิ อคฺคิสาลาทีนิ ปพฺพชิตสารุปฺปานิ ฐานานิ สงฺคณฺหาติฯ

    Dveasaṅkhyeyyāni pūritapāramissāti idaṃ sā paramparāya sotapatitaṃ atthaṃ gahetvā āha. Adinnavipākassāti avipakkavipākassa. Bhaddake kāleti yutte kāle. Nakkhattanti nakkhattena lakkhitaṃ chaṇaṃ. Tasmiṃ tasmiñhi nakkhatte anubhavitabbachaṇāni nakkhattāni nāma, itarāni pana chaṇāni nāma. Sammāpatitadukkhato vimocanena tato niyyānāvahatāya icchitatthassa labhāpanato ca niyyānikaṃ. Tesanti suvaṇṇapadumānaṃ. Olambakāti suvaṇṇaratanavicittā ratanadāmā. Puññaniyāmenāti puññānubhāvasiddhena niyāmena. Svassa bārāṇasirajjaṃ dātuṃ katokāso. Phussarathanti maṅgalarathaṃ. Setacchattauṇhīsavālabījanikhaggamaṇipādukāni pañcavidhaṃ rājakakudhabhaṇḍanti vadanti. Idha pana setacchattaṃ visuṃ gahitanti sīhāsanaṃ pañcamaṃ katvā vadanti. Pārupanakaṇṇanti pārupanavatthassa dasantaṃ. Dibbavatthadāyipuññānubhāvacodito ‘‘nanu tātā thūla’’nti āha. Aho tapassīti aho kapaṇo ahaṃ rājāti attho. Buddhānaṃ saddahitvāti buddhānaṃ sāsanaṃ saddahitvā. Caṅkamanasatānīti iti-saddo ādyattho. Tena hi aggisālādīni pabbajitasāruppāni ṭhānāni saṅgaṇhāti.

    สาธุกีฬิตนฺติ อริยานํ ปรินิพฺพุตฎฺฐาเน กาตพฺพสกฺการํ วทติฯ นปฺปมชฺชิ, นิโรคา อยฺยาติ ปุจฺฉิตาการทสฺสนํฯ ปรินิพฺพุตา เทวาติ เทวี ปฎิวจนํ อทาสิฯ ปฎิยาเทตฺวาติ นิยฺยาเตตฺวาฯ สมณกปพฺพชฺชนฺติ สมิตปาเปหิ อริเยหิ อนุฎฺฐาตพฺพปพฺพชฺชํฯ โส หิ ราชา ปเจฺจกพุทฺธานํ เวสสฺส ทิฎฺฐตฺตา ‘‘อิทเมว ภทฺทก’’นฺติ ตาทิสํเยว ลิงฺคํ คณฺหิฯ ตเตฺถวาติ พฺรหฺมโลเก เอวฯ วีสติเม วเสฺส สมฺปเตฺตติ อาหริตฺวา สมฺพโนฺธฯ พฺรหฺมโลกโต จวิตฺวา นิพฺพตฺตตฺตา, พฺรหฺมจริยาธิการสฺส จ จิรกาลสมฺภูตตฺตา ‘‘เอวรูปํ กถํ มา กเถถา’’ติ อาหฯ วีสติ ธรณานิ นิกฺขนฺติ วทนฺติ, ปญฺจปลํ นิกฺขนฺติ อปเรฯ อิตฺถากโรติ อิตฺถิรตนสฺส อุปฺปตฺติฎฺฐานํฯ อยฺยธีตาติ อมฺหากํ อยฺยสฺส ธีตา, ภทฺทกาปิลานีติ อโตฺถฯ สมานปณฺณนฺติ สทิสปณฺณํ สทิสเลขํ กุมารสฺส กุมาริกาย จ ยุตฺตํ ปณฺณเลขํฯ เต ปุริสา สมาคตฎฺฐานโต มคธรเฎฺฐ มหาติตฺถคามํ มทฺทรเฎฺฐ สาคลนครญฺจ อุทฺทิสฺส อปกฺกมนฺตา อญฺญมญฺญํ วิสฺสชฺชนฺตา นาม โหนฺตีติ ‘‘อิโต จ เอโตฺต จ เปเสสุ’’นฺติ วุตฺตาฯ

    Sādhukīḷitanti ariyānaṃ parinibbutaṭṭhāne kātabbasakkāraṃ vadati. Nappamajji, nirogā ayyāti pucchitākāradassanaṃ. Parinibbutā devāti devī paṭivacanaṃ adāsi. Paṭiyādetvāti niyyātetvā. Samaṇakapabbajjanti samitapāpehi ariyehi anuṭṭhātabbapabbajjaṃ. So hi rājā paccekabuddhānaṃ vesassa diṭṭhattā ‘‘idameva bhaddaka’’nti tādisaṃyeva liṅgaṃ gaṇhi. Tatthevāti brahmaloke eva. Vīsatime vasse sampatteti āharitvā sambandho. Brahmalokato cavitvā nibbattattā, brahmacariyādhikārassa ca cirakālasambhūtattā ‘‘evarūpaṃ kathaṃ mā kathethā’’ti āha. Vīsati dharaṇāni nikkhanti vadanti, pañcapalaṃ nikkhanti apare. Itthākaroti itthiratanassa uppattiṭṭhānaṃ. Ayyadhītāti amhākaṃ ayyassa dhītā, bhaddakāpilānīti attho. Samānapaṇṇanti sadisapaṇṇaṃ sadisalekhaṃ kumārassa kumārikāya ca yuttaṃ paṇṇalekhaṃ. Te purisā samāgataṭṭhānato magadharaṭṭhe mahātitthagāmaṃ maddaraṭṭhe sāgalanagarañca uddissa apakkamantā aññamaññaṃ vissajjantā nāma hontīti ‘‘ito ca etto ca pesesu’’nti vuttā.

    ปุปฺผทามนฺติ หตฺถิหตฺถปฺปมาณํ ปุปฺผทามํฯ ตานีติ ตานิ อุโภหิ คนฺถาปิตานิ เทฺว ปุปฺผทามานิฯ เตติ อุโภ ภทฺทา เจว ปิปฺปลิกุมาโร จ ฯ โลกามิเสนาติ กามสฺสาเทนฯ อสํสฎฺฐาติ น สํยุตฺตา ฆเฎ ชลเนฺตน วิย ปทีเปน อชฺฌาสเย สมุชฺชลเนฺตน วิโมกฺขพีเชน สมุสฺสาหิตจิตฺตตฺตาฯ ยนฺตพทฺธานีติ สสฺสสมฺปาทนตฺถํ ตตฺถ ตตฺถ ทฺวารกวาฎโยชนวเสน พทฺธานิ นิกฺขมนตุมฺพานิฯ กมฺมโนฺตติ กสิกมฺมกรณฎฺฐานํฯ ทาสิกคามาติ ทาสานํ วสนคามาฯ โอสาเรตฺวาติ ปกฺขิปิตฺวาฯ อากปฺปกุตฺตวเสนาติ อาการวเสน กิริยาวเสนฯ อนนุจฺฉวิกนฺติ ปพฺพชิตภาวสฺส อนนุรูปํฯ ตสฺส มตฺถเกติ เทฺวธาปถสฺส ทฺวิธาภูตฎฺฐาเนฯ เอเตสํ สงฺคหํ กาตุํ วฎฺฎตีติ นิสีทตีติ สมฺพโนฺธฯ สา ปน ตตฺถ สตฺถุ นิสชฺชา เอทิสีติ ทเสฺสตุํ – ‘‘นิสีทโนฺต ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยา พุทฺธานํ อปริมิตกาลสมฺภูตาจิเนฺตยฺยาปริเญฺญยฺยปุญฺญสมฺภารูปจยนิพฺพตฺตา รูปปฺปภาวพุทฺธคุณวิโชฺชติตา ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณอสีติอนุพฺยญฺชนสมุชฺชลิตา พฺยามปฺปภาเกตุมาลาลงฺกตา สภาวสิทฺธิตาย อกิตฺติมา รูปกายสิรี, ตํเยว มหากสฺสปสฺส อทิฎฺฐปุพฺพปฺปสาทสํวทฺธนตฺถํ อนิคฺคูหิตฺวา นิสิโนฺน ภควา ‘‘พุทฺธเวสํ คเหตฺวา…เป.… นิสีที’’ติ วุโตฺตฯ อสีติหตฺถปฺปเทสํ พฺยาเปตฺวา ปวตฺติยา อสีติหตฺถาติ วุตฺตาฯ สตสาโขติ พหุสาโข อเนกสาโขฯ สุวณฺณวโณฺณว อโหสิ นิรนฺตรํ พุทฺธรสฺมีหิ สมนฺตโต สโมกิณฺณภาวโตฯ

    Pupphadāmanti hatthihatthappamāṇaṃ pupphadāmaṃ. Tānīti tāni ubhohi ganthāpitāni dve pupphadāmāni. Teti ubho bhaddā ceva pippalikumāro ca . Lokāmisenāti kāmassādena. Asaṃsaṭṭhāti na saṃyuttā ghaṭe jalantena viya padīpena ajjhāsaye samujjalantena vimokkhabījena samussāhitacittattā. Yantabaddhānīti sassasampādanatthaṃ tattha tattha dvārakavāṭayojanavasena baddhāni nikkhamanatumbāni. Kammantoti kasikammakaraṇaṭṭhānaṃ. Dāsikagāmāti dāsānaṃ vasanagāmā. Osāretvāti pakkhipitvā. Ākappakuttavasenāti ākāravasena kiriyāvasena. Ananucchavikanti pabbajitabhāvassa ananurūpaṃ. Tassa matthaketi dvedhāpathassa dvidhābhūtaṭṭhāne. Etesaṃ saṅgahaṃ kātuṃ vaṭṭatīti nisīdatīti sambandho. Sā pana tattha satthu nisajjā edisīti dassetuṃ – ‘‘nisīdanto panā’’tiādi vuttaṃ. Tattha yā buddhānaṃ aparimitakālasambhūtācinteyyāpariññeyyapuññasambhārūpacayanibbattā rūpappabhāvabuddhaguṇavijjotitā dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇaasītianubyañjanasamujjalitā byāmappabhāketumālālaṅkatā sabhāvasiddhitāya akittimā rūpakāyasirī, taṃyeva mahākassapassa adiṭṭhapubbappasādasaṃvaddhanatthaṃ aniggūhitvā nisinno bhagavā ‘‘buddhavesaṃ gahetvā…pe… nisīdī’’ti vutto. Asītihatthappadesaṃ byāpetvā pavattiyā asītihatthāti vuttā. Satasākhoti bahusākho anekasākho. Suvaṇṇavaṇṇova ahosi nirantaraṃ buddharasmīhi samantato samokiṇṇabhāvato.

    ตีสุ ฐาเนสูติ ทูรโต นาติทูเร อาสเนฺนติ ตีสุ ฐาเนสุฯ ตีหิ โอวาเทหีติ ‘‘ตสฺมาติห เต, กสฺสป, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ‘ติพฺพํ เม หิโรตฺตปฺปํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ ภวิสฺสติ เถเรสุ นเวสุ มชฺฌิเมสู’ติฯ เอวญฺหิ เต, กสฺสป, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, กสฺสป, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ‘ยํ กิญฺจิ ธมฺมํ สุณิสฺสามิ กุสลูปสํหิตํ, สพฺพํ ตํ อฎฺฐิํ กตฺวา มนสิ กริตฺวา สพฺพํ เจตสา สมนฺนาหริตฺวา โอหิตโสโต ธมฺมํ สุณิสฺสามี’ติ, เอวญฺหิ เต, กสฺสป, สิกฺขิตพฺพํฯ ตสฺมาติห เต, กสฺสป, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ‘สาตสหคตา จ เม กายคตาสติ น วิชหิสฺสตี’ติ, เอวญฺหิ เต, กสฺสป, สิกฺขิตพฺพ’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) อิเมหิ ตีหิ โอวาเทหิฯ เอตฺถ หิ ภควา ปฐมํ โอวาทํ เถรสฺส พฺราหฺมณชาติกตฺตา ชาติมานปฺปหานตฺถมภาสิ, ทุติยํ พาหุสจฺจํ นิสฺสาย อุปฺปชฺชนกอหํการปฺปหานตฺถํ, ตติยํ อุปธิสมฺปตฺติํ นิสฺสาย อุปฺปชฺชนกอตฺตสิเนหปฺปหานตฺถํ ฯ มุทุกา โข ตฺยายนฺติ มุทุกา โข เต อยํฯ กสฺมา ปน ภควา เอวมาห? เถเรน สห จีวรํ ปริวเตฺตตุกามตายฯ กสฺมา ปริวเตฺตตุกาโม ชาโตติ? เถรํ อตฺตโน ฐาเน ฐเปตุกามตายฯ กิํ สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานา นตฺถีติ? อตฺถิ, เอวํ ปนสฺส อโหสิ ‘‘อิเมน จิรํ ฐสฺสนฺติ, กสฺสโป ปน วีสติวสฺสสตายุโก, โส มยิ ปรินิพฺพุเต สตฺตปณฺณิคุหายํ วสิตฺวา ธมฺมวินยสงฺคหํ กตฺวา มม สาสนํ ปญฺจวสฺสสหสฺสปริมาณกาลปฺปวตฺตนกํ กริสฺสตีติ อตฺตโน ฐาเน ฐเปสิฯ เอวํ ภิกฺขู กสฺสปสฺส สุสฺสูสิตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺตี’’ติฯ ตสฺมา เอวมาหฯ

    Tīsu ṭhānesūti dūrato nātidūre āsanneti tīsu ṭhānesu. Tīhi ovādehīti ‘‘tasmātiha te, kassapa, evaṃ sikkhitabbaṃ ‘tibbaṃ me hirottappaṃ paccupaṭṭhitaṃ bhavissati theresu navesu majjhimesū’ti. Evañhi te, kassapa, sikkhitabbaṃ. Tasmātiha te, kassapa, evaṃ sikkhitabbaṃ ‘yaṃ kiñci dhammaṃ suṇissāmi kusalūpasaṃhitaṃ, sabbaṃ taṃ aṭṭhiṃ katvā manasi karitvā sabbaṃ cetasā samannāharitvā ohitasoto dhammaṃ suṇissāmī’ti, evañhi te, kassapa, sikkhitabbaṃ. Tasmātiha te, kassapa, evaṃ sikkhitabbaṃ ‘sātasahagatā ca me kāyagatāsati na vijahissatī’ti, evañhi te, kassapa, sikkhitabba’’nti (saṃ. ni. 2.154) imehi tīhi ovādehi. Ettha hi bhagavā paṭhamaṃ ovādaṃ therassa brāhmaṇajātikattā jātimānappahānatthamabhāsi, dutiyaṃ bāhusaccaṃ nissāya uppajjanakaahaṃkārappahānatthaṃ, tatiyaṃ upadhisampattiṃ nissāya uppajjanakaattasinehappahānatthaṃ . Mudukā kho tyāyanti mudukā kho te ayaṃ. Kasmā pana bhagavā evamāha? Therena saha cīvaraṃ parivattetukāmatāya. Kasmā parivattetukāmo jātoti? Theraṃ attano ṭhāne ṭhapetukāmatāya. Kiṃ sāriputtamoggallānā natthīti? Atthi, evaṃ panassa ahosi ‘‘imena ciraṃ ṭhassanti, kassapo pana vīsativassasatāyuko, so mayi parinibbute sattapaṇṇiguhāyaṃ vasitvā dhammavinayasaṅgahaṃ katvā mama sāsanaṃ pañcavassasahassaparimāṇakālappavattanakaṃ karissatīti attano ṭhāne ṭhapesi. Evaṃ bhikkhū kassapassa sussūsitabbaṃ maññissantī’’ti. Tasmā evamāha.

    จนฺทูปโมติ จนฺทสทิโส หุตฺวาฯ กิํ ปริมณฺฑลตาย? โน, อปิจ โข ยถา จโนฺท คคนตลํ ปกฺขนฺทมาโน น เกนจิ สทฺธิํ สนฺถวํ วา สิเนหํ วา อาลยํ วา กโรติ, น จ น โหติ มหาชนสฺส ปิโย มนาโป, อยมฺปิ เอวํ เกนจิ สทฺธิํ สนฺถวาทีนํ อกรเณน พหุชนสฺส ปิโย มนาโป จนฺทูปโม หุตฺวา ขตฺติยกุลาทีนิ จตฺตาริ กุลานิ อุปสงฺกมตีติ อโตฺถฯ อปกเสฺสว กายํ อปกสฺส จิตฺตนฺติ เตเนว สนฺถวาทีนํ อกรเณน กายญฺจ จิตฺตญฺจ อปกฑฺฒิตฺวา, อปเนตฺวาติ อโตฺถฯ นิจฺจํ นโวติ นิจฺจนวโกว, อาคนฺตุกสทิโส หุตฺวาติ อโตฺถฯ อาคนฺตุโก หิ ปฎิปาฎิยา สมฺปตฺตเคหํ ปวิสิตฺวา สเจ นํ ฆรสามิกา ทิสฺวา ‘‘อมฺหากมฺปิ ปุตฺตภาตโร วิปฺปวาสํ คนฺตฺวา เอวํ วิจริํสู’’ติ อนุกมฺปมานา นิสีทาเปตฺวา โภเชนฺติ, ภุตฺตมโตฺตเยว ‘‘ตุมฺหากํ ภาชนํ คณฺหถา’’ติ อุฎฺฐาย ปกฺกมติ, น เตหิ สทฺธิํ สนฺถวํ วา กโรติ, กิจฺจกรณียานิ วา สํวิทหติ, เอวมยมฺปิ ปฎิปาฎิยา สมฺปตฺตํ ฆรํ ปวิสิตฺวา ยํ อิริยาปเถ ปสนฺนา มนุสฺสา เทนฺติ, ตํ คเหตฺวา ฉินฺนสนฺถโว เตสํ กิจฺจกรณีเย อพฺยาวโฎ หุตฺวา นิกฺขมตีติ ทีเปติฯ

    Candūpamoti candasadiso hutvā. Kiṃ parimaṇḍalatāya? No, apica kho yathā cando gaganatalaṃ pakkhandamāno na kenaci saddhiṃ santhavaṃ vā sinehaṃ vā ālayaṃ vā karoti, na ca na hoti mahājanassa piyo manāpo, ayampi evaṃ kenaci saddhiṃ santhavādīnaṃ akaraṇena bahujanassa piyo manāpo candūpamo hutvā khattiyakulādīni cattāri kulāni upasaṅkamatīti attho. Apakasseva kāyaṃ apakassa cittanti teneva santhavādīnaṃ akaraṇena kāyañca cittañca apakaḍḍhitvā, apanetvāti attho. Niccaṃ navoti niccanavakova, āgantukasadiso hutvāti attho. Āgantuko hi paṭipāṭiyā sampattagehaṃ pavisitvā sace naṃ gharasāmikā disvā ‘‘amhākampi puttabhātaro vippavāsaṃ gantvā evaṃ vicariṃsū’’ti anukampamānā nisīdāpetvā bhojenti, bhuttamattoyeva ‘‘tumhākaṃ bhājanaṃ gaṇhathā’’ti uṭṭhāya pakkamati, na tehi saddhiṃ santhavaṃ vā karoti, kiccakaraṇīyāni vā saṃvidahati, evamayampi paṭipāṭiyā sampattaṃ gharaṃ pavisitvā yaṃ iriyāpathe pasannā manussā denti, taṃ gahetvā chinnasanthavo tesaṃ kiccakaraṇīye abyāvaṭo hutvā nikkhamatīti dīpeti.

    อปฺปคโพฺภติ นปฺปคโพฺภ, อฎฺฐฎฺฐาเนน กายปาคพฺภิเยน, จตุฎฺฐาเนน วจีปาคพฺภิเยน, อเนกฎฺฐาเนน มโนปาคพฺภิเยน จ วิรหิโตติ อโตฺถฯ อฎฺฐฎฺฐานํ กายปาคพฺภิยํ นาม สงฺฆคณปุคฺคลโภชนสาลชนฺตาฆรนหานติตฺถภิกฺขาจารมเคฺคสุ อนฺตรฆรปเวสเน จ กาเยน อปฺปติรูปกรณํฯ จตุฎฺฐานํ วจีปาคพฺภิยํ นาม สงฺฆคณปุคฺคลอนฺตรฆเรสุ อปฺปติรูปวาจานิจฺฉารณํฯ อเนกฎฺฐานํ มโนปาคพฺภิยํ นาม เตสุ เตสุ ฐาเนสุ กายวาจาหิ อชฺฌาจารํ อนาปชฺชิตฺวาปิ มนสา กามวิตกฺกาทีนํ วิตกฺกนํฯ สเพฺพสมฺปิ อิเมสํ ปาคพฺภิยานํ อภาเวน อปฺปคโพฺภ หุตฺวา กุลานิ อุปสงฺกมตีติ อโตฺถฯ กสฺสปสํยุเตฺตน จ จนฺทูปมปฺปฎิปทาทิเถรสฺส ธุตวาเทสุ อคฺคภาวสฺส โพธิตตฺตา วุตฺตํ ‘‘เอตเทว กสฺสปสํยุตฺตํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา’’ติฯ

    Appagabbhoti nappagabbho, aṭṭhaṭṭhānena kāyapāgabbhiyena, catuṭṭhānena vacīpāgabbhiyena, anekaṭṭhānena manopāgabbhiyena ca virahitoti attho. Aṭṭhaṭṭhānaṃ kāyapāgabbhiyaṃ nāma saṅghagaṇapuggalabhojanasālajantāgharanahānatitthabhikkhācāramaggesu antaragharapavesane ca kāyena appatirūpakaraṇaṃ. Catuṭṭhānaṃ vacīpāgabbhiyaṃ nāma saṅghagaṇapuggalaantaragharesu appatirūpavācānicchāraṇaṃ. Anekaṭṭhānaṃ manopāgabbhiyaṃ nāma tesu tesu ṭhānesu kāyavācāhi ajjhācāraṃ anāpajjitvāpi manasā kāmavitakkādīnaṃ vitakkanaṃ. Sabbesampi imesaṃ pāgabbhiyānaṃ abhāvena appagabbho hutvā kulāni upasaṅkamatīti attho. Kassapasaṃyuttena ca candūpamappaṭipadāditherassa dhutavādesu aggabhāvassa bodhitattā vuttaṃ ‘‘etadeva kassapasaṃyuttaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā’’ti.

    อนุรุทฺธเตฺถรวตฺถุ

    Anuruddhattheravatthu

    ๑๙๒. ปญฺจเม โภชนปปญฺจมตฺตนฺติ โคจรคาเม ปิณฺฑาย จรณาหารปริโภคสญฺญิตํ โภชนปปญฺจมตฺตํฯ ทีปรุกฺขานนฺติ โลหทนฺตกฎฺฐมยานํ มหนฺตานํ ทีปรุกฺขานํฯ โลหมเยสุปิ หิ เตสุ ทีปาธาเรสุ ทีปรุกฺขกาติ รุฬฺหิเรสา ทฎฺฐพฺพาฯ โอลมฺพกทีปมณฺฑลทีปสญฺจรณทีปาทิกา เสสทีปา

    192. Pañcame bhojanapapañcamattanti gocaragāme piṇḍāya caraṇāhāraparibhogasaññitaṃ bhojanapapañcamattaṃ. Dīparukkhānanti lohadantakaṭṭhamayānaṃ mahantānaṃ dīparukkhānaṃ. Lohamayesupi hi tesu dīpādhāresu dīparukkhakāti ruḷhiresā daṭṭhabbā. Olambakadīpamaṇḍaladīpasañcaraṇadīpādikā sesadīpā.

    อนุปริยายิ ปทกฺขิณกรณวเสนฯ อหํ เตนาติ เยน ตุยฺหํ อโตฺถ, อหํ เตน ปวาเรมิ, ตสฺมา ตํ อาหราเปตฺวา คณฺหาติ อโตฺถฯ สุวณฺณปาติยํเยวสฺส ภตฺตํ อุปฺปชฺชีติ เทวตานุภาเวน อุปฺปชฺชิ, น กิญฺจิ ปจนกิจฺจํ อตฺถิฯ สตฺต มหาปุริสวิตเกฺก วิตเกฺกสีติ ‘‘อปฺปิจฺฉสฺสายํ ธโมฺม, นายํ ธโมฺม มหิจฺฉสฺสา’’ติอาทิเก สตฺต มหาปุริสวิตเกฺก วิตเกฺกสิฯ อฎฺฐเมติ ‘‘นิปฺปปญฺจารามสฺสายํ ธโมฺม, นายํ ธโมฺม ปปญฺจารามสฺสา’’ติ เอตสฺมิํ ปุริสวิตเกฺกฯ

    Anupariyāyi padakkhiṇakaraṇavasena. Ahaṃ tenāti yena tuyhaṃ attho, ahaṃ tena pavāremi, tasmā taṃ āharāpetvā gaṇhāti attho. Suvaṇṇapātiyaṃyevassa bhattaṃ uppajjīti devatānubhāvena uppajji, na kiñci pacanakiccaṃ atthi. Satta mahāpurisavitakke vitakkesīti ‘‘appicchassāyaṃ dhammo, nāyaṃ dhammo mahicchassā’’tiādike satta mahāpurisavitakke vitakkesi. Aṭṭhameti ‘‘nippapañcārāmassāyaṃ dhammo, nāyaṃ dhammo papañcārāmassā’’ti etasmiṃ purisavitakke.

    มม สงฺกปฺปมญฺญายาติ ‘‘อปฺปิจฺฉสฺสายํ ธโมฺม, นายํ ธโมฺม มหิจฺฉสฺสา’’ติอาทินา (ที. นิ. ๓.๓๕๘; อ. นิ. ๘.๓๐) มหาปุริสวิตกฺกวเสน อารทฺธมตฺตํ มตฺถกํ ปาเปตุํ อสมตฺถภาเวน ฐิตํ มม สงฺกปฺปํ ชานิตฺวาฯ มโนมเยนาติ มโนมเยน วิย มนสา นิมฺมิตสทิเสน, ปริณามิเตนาติ อโตฺถฯ อิทฺธิยาติ ‘‘อยํ กาโย อิทํ จิตฺตํ วิย โหตู’’ติ เอวํ ปวตฺตาย อธิฎฺฐานิทฺธิยาฯ

    Mama saṅkappamaññāyāti ‘‘appicchassāyaṃ dhammo, nāyaṃ dhammo mahicchassā’’tiādinā (dī. ni. 3.358; a. ni. 8.30) mahāpurisavitakkavasena āraddhamattaṃ matthakaṃ pāpetuṃ asamatthabhāvena ṭhitaṃ mama saṅkappaṃ jānitvā. Manomayenāti manomayena viya manasā nimmitasadisena, pariṇāmitenāti attho. Iddhiyāti ‘‘ayaṃ kāyo idaṃ cittaṃ viya hotū’’ti evaṃ pavattāya adhiṭṭhāniddhiyā.

    ยทา เม อหุ สงฺกโปฺปติ ยสฺมิํ กาเล มยฺหํ ‘‘กีทิโส นุ โข อฎฺฐโม มหาปุริสวิตโกฺก’’ติ ปริวิตโกฺก อโหสิ, ยทา เม อหุ สงฺกโปฺป, ตโต มม สงฺกปฺปมญฺญาย อิทฺธิยา อุปสงฺกมิ, อุตฺตริ เทสยีติ โยชนาฯ อุตฺตริ เทสยีติ ‘‘นิปฺปปญฺจารามสฺสายํ ธโมฺม นิปฺปปญฺจรติโน , นายํ ธโมฺม ปปญฺจารามสฺส ปปญฺจรติโน’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๕๘; อ. นิ. ๘.๓๐) อิมํ อฎฺฐมํ มหาปุริสวิตกฺกํ ปูเรโนฺต อุปริ เทสยิฯ ตํ ปน เทสิตํ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘นิปฺปปญฺจรโต พุโทฺธ, นิปฺปปญฺจมเทสยี’’ติ, ปปญฺจา นาม ราคาทโย กิเลสา, เตสํ วูปสมนตาย ตทภาวโต จ โลกุตฺตรธมฺมา นิปฺปปญฺจา นามฯ ยถา ตํ ปาปุณาติ, ตถา ธมฺมํ เทเสสิ, สามุกฺกํสิกํ จตุสจฺจเทสนํ อเทสยีติ อโตฺถฯ

    Yadā me ahu saṅkappoti yasmiṃ kāle mayhaṃ ‘‘kīdiso nu kho aṭṭhamo mahāpurisavitakko’’ti parivitakko ahosi, yadā me ahu saṅkappo, tato mama saṅkappamaññāya iddhiyā upasaṅkami, uttari desayīti yojanā. Uttari desayīti ‘‘nippapañcārāmassāyaṃ dhammo nippapañcaratino , nāyaṃ dhammo papañcārāmassa papañcaratino’’ti (dī. ni. 3.358; a. ni. 8.30) imaṃ aṭṭhamaṃ mahāpurisavitakkaṃ pūrento upari desayi. Taṃ pana desitaṃ dassento āha – ‘‘nippapañcarato buddho, nippapañcamadesayī’’ti, papañcā nāma rāgādayo kilesā, tesaṃ vūpasamanatāya tadabhāvato ca lokuttaradhammā nippapañcā nāma. Yathā taṃ pāpuṇāti, tathā dhammaṃ desesi, sāmukkaṃsikaṃ catusaccadesanaṃ adesayīti attho.

    ตสฺสาหํ ธมฺมมญฺญายาติ ตสฺส สตฺถุ เทสนาธมฺมํ ชานิตฺวาฯ วิหาสินฺติ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชโนฺต วิหริํฯ สาสเน รโตติ สิกฺขตฺตยสงฺคเห สาสเน อภิรโตฯ ติโสฺส วิชฺชา อนุปฺปตฺตาติ ปุเพฺพนิวาสญาณํ, ทิพฺพจกฺขุญาณํ, อาสวกฺขยญาณนฺติ อิมา ติโสฺส วิชฺชา มยา อนุปฺปตฺตา สจฺฉิกตาฯ ตโต เอว กตํ พุทฺธสฺส สาสนํ, อนุสิฎฺฐิ โอวาโท อนุฎฺฐิโตติ อโตฺถฯ

    Tassāhaṃ dhammamaññāyāti tassa satthu desanādhammaṃ jānitvā. Vihāsinti yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjanto vihariṃ. Sāsane ratoti sikkhattayasaṅgahe sāsane abhirato. Tisso vijjā anuppattāti pubbenivāsañāṇaṃ, dibbacakkhuñāṇaṃ, āsavakkhayañāṇanti imā tisso vijjā mayā anuppattā sacchikatā. Tato eva kataṃ buddhassa sāsanaṃ, anusiṭṭhi ovādo anuṭṭhitoti attho.

    ภทฺทิยเตฺถรวตฺถุ

    Bhaddiyattheravatthu

    ๑๙๓. ฉเฎฺฐ อุจฺจ-สเทฺทน สมานโตฺถ อุจฺจา-สโทฺทติ อาห – ‘‘อุจฺจากุลิกานนฺติ อุเจฺจ กุเล ชาตาน’’นฺติฯ กาฬี สา เทวีติ กาฬวณฺณตาย กาฬี สา เทวีฯ กุลานุกฺกเมน รชฺชานุปฺปตฺติ มหากุลินเสฺสวาติ วุตฺตํ – ‘‘โสเยว จา’’ติอาทิฯ

    193. Chaṭṭhe ucca-saddena samānattho uccā-saddoti āha – ‘‘uccākulikānanti ucce kule jātāna’’nti. Kāḷī sā devīti kāḷavaṇṇatāya kāḷī sā devī. Kulānukkamena rajjānuppatti mahākulinassevāti vuttaṃ – ‘‘soyeva cā’’tiādi.

    ลกุณฺฑกภทฺทิยเตฺถรวตฺถุ

    Lakuṇḍakabhaddiyattheravatthu

    ๑๙๔. สตฺตเม ริตฺตโกติ เทยฺยวตฺถุรหิโตฯ คุเณ อาวเชฺชตฺวาติ ภควโต รูปคุเณ เจว อากปฺปสมฺปทาทิคุเณ จ อตฺตโน อธิปฺปายํ ญตฺวา อมฺพปกฺกสฺส ปฎิคฺคหณํ ปริภุญฺชนนฺติ เอวมาทิเก ยถาอุปฎฺฐิเต คุเณ อาวเชฺชตฺวาฯ

    194. Sattame rittakoti deyyavatthurahito. Guṇe āvajjetvāti bhagavato rūpaguṇe ceva ākappasampadādiguṇe ca attano adhippāyaṃ ñatvā ambapakkassa paṭiggahaṇaṃ paribhuñjananti evamādike yathāupaṭṭhite guṇe āvajjetvā.

    ปิโณฺฑลภารทฺวาชเตฺถรวตฺถุ

    Piṇḍolabhāradvājattheravatthu

    ๑๙๕. อฎฺฐเม อภีตนาทภาเวน สีหสฺส วิย นาโท สีหนาโท, โส เอเตสํ อตฺถีติ สีหนาทิกา, เตสํ สีหนาทิกานํฯ ครหิตพฺพปสํสิตพฺพธเมฺม ยาถาวโต ชานนฺตเสฺสว ครหา ปสํสา จ ยุตฺตรูปาติ อาห – ‘‘พุทฺธา จ นามา’’ติอาทิฯ ขีณา ชาตีติอาทีหิ ปจฺจเวกฺขณญาณสฺส ภูมิํ ทเสฺสติฯ เตน หิ ญาเณน อริยสาวโก ปจฺจเวกฺขโนฺต ‘‘ขีณา ชาตี’’ติอาทิํ ปชานาติฯ กตมา ปนสฺส ชาติ ขีณา, กถญฺจ ปชานาตีติ? น ตาวสฺส อตีตา ขีณา ปุเพฺพว ขีณตฺตา, น อนาคตา อนาคเต วายามาภาวโต, น ปจฺจุปฺปนฺนา วิชฺชมานตฺตาฯ ยา ปน มคฺคสฺส อภาวิตตฺตา อุปฺปเชฺชยฺย เอกจตุปญฺจโวการภเวสุ เอกจตุปญฺจกฺขนฺธปฺปเภทา ชาติ, สา มคฺคสฺส ภาวิตตฺตา อนุปฺปาทธมฺมตํ อาปชฺชเนน ขีณาฯ ตํ โส มคฺคภาวนาย ปหีนกิเลเส ปจฺจเวกฺขิตฺวา ‘‘กิเลสาภาเว วิชฺชมานมฺปิ กมฺมํ อายติํ อปฺปฎิสนฺธิกํ โหตี’’ติ ชานโนฺต ปชานาติฯ

    195. Aṭṭhame abhītanādabhāvena sīhassa viya nādo sīhanādo, so etesaṃ atthīti sīhanādikā, tesaṃ sīhanādikānaṃ. Garahitabbapasaṃsitabbadhamme yāthāvato jānantasseva garahā pasaṃsā ca yuttarūpāti āha – ‘‘buddhā ca nāmā’’tiādi. Khīṇā jātītiādīhi paccavekkhaṇañāṇassa bhūmiṃ dasseti. Tena hi ñāṇena ariyasāvako paccavekkhanto ‘‘khīṇā jātī’’tiādiṃ pajānāti. Katamā panassa jāti khīṇā, kathañca pajānātīti? Na tāvassa atītā khīṇā pubbeva khīṇattā, na anāgatā anāgate vāyāmābhāvato, na paccuppannā vijjamānattā. Yā pana maggassa abhāvitattā uppajjeyya ekacatupañcavokārabhavesu ekacatupañcakkhandhappabhedā jāti, sā maggassa bhāvitattā anuppādadhammataṃ āpajjanena khīṇā. Taṃ so maggabhāvanāya pahīnakilese paccavekkhitvā ‘‘kilesābhāve vijjamānampi kammaṃ āyatiṃ appaṭisandhikaṃ hotī’’ti jānanto pajānāti.

    วุสิตนฺติ วุฎฺฐํ ปริวุฎฺฐํ, กตํ จริตํ นิฎฺฐิตนฺติ อโตฺถฯ พฺรหฺมจริยนฺติ มคฺคพฺรหฺมจริยํฯ ปุถุชฺชนกลฺยาณเกน หิ สทฺธิํ สตฺต เสกฺขา มคฺคพฺรหฺมจริยํ วสนฺติ นาม, ขีณาสโว วุฎฺฐวาโสฯ ตสฺมา อริยสาวโก อตฺตโน พฺรหฺมจริยวาสํ ปจฺจเวกฺขโนฺต ‘‘วุสิตํ พฺรหฺมจริย’’นฺติ ปชานาติฯ กตํ กรณียนฺติ จตูสุ สเจฺจสุ จตูหิ มเคฺคหิ ปริญฺญาปหานสจฺฉิกิริยาภาวนาภิสมยวเสน โสฬสวิธํ กิจฺจํ นิฎฺฐาปิตนฺติ อโตฺถฯ ปุถุชฺชนกลฺยาณกาทโย หิ ตํ กิจฺจํ กโรนฺติ, ขีณาสโว กตกรณีโยฯ ตสฺมา อริยสาวโก อตฺตโน กรณียํ ปจฺจเวกฺขโนฺต ‘‘กตํ กรณีย’’นฺติ ปชานาติฯ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ อิทานิ ปุน อิตฺถภาวาย เอวํ โสฬสวิธกิจฺจภาวาย, กิเลสกฺขยาย วา มคฺคภาวนาย กิจฺจํ เม นตฺถีติ ปชานาติฯ อถ วา อิตฺถตฺตายาติ อิตฺถภาวโต อิมสฺมา เอวํปการา อิทานิ วตฺตมานกฺขนฺธสนฺตานา อปรํ ขนฺธสนฺตานํ มยฺหํ นตฺถิ, อิเม ปน ปญฺจกฺขนฺธา ปริญฺญาตา ติฎฺฐนฺติ ฉินฺนมูลกา รุกฺขา วิย, เต จริมกวิญฺญาณนิโรเธน อนุปาทาโน วิย ชาตเวโท นิพฺพายิสฺสนฺตีติ ปชานาติฯ

    Vusitanti vuṭṭhaṃ parivuṭṭhaṃ, kataṃ caritaṃ niṭṭhitanti attho. Brahmacariyanti maggabrahmacariyaṃ. Puthujjanakalyāṇakena hi saddhiṃ satta sekkhā maggabrahmacariyaṃ vasanti nāma, khīṇāsavo vuṭṭhavāso. Tasmā ariyasāvako attano brahmacariyavāsaṃ paccavekkhanto ‘‘vusitaṃ brahmacariya’’nti pajānāti. Kataṃ karaṇīyanti catūsu saccesu catūhi maggehi pariññāpahānasacchikiriyābhāvanābhisamayavasena soḷasavidhaṃ kiccaṃ niṭṭhāpitanti attho. Puthujjanakalyāṇakādayo hi taṃ kiccaṃ karonti, khīṇāsavo katakaraṇīyo. Tasmā ariyasāvako attano karaṇīyaṃ paccavekkhanto ‘‘kataṃ karaṇīya’’nti pajānāti. Nāparaṃ itthattāyāti idāni puna itthabhāvāya evaṃ soḷasavidhakiccabhāvāya, kilesakkhayāya vā maggabhāvanāya kiccaṃ me natthīti pajānāti. Atha vā itthattāyāti itthabhāvato imasmā evaṃpakārā idāni vattamānakkhandhasantānā aparaṃ khandhasantānaṃ mayhaṃ natthi, ime pana pañcakkhandhā pariññātā tiṭṭhanti chinnamūlakā rukkhā viya, te carimakaviññāṇanirodhena anupādāno viya jātavedo nibbāyissantīti pajānāti.

    มนฺตาณิปุตฺตปุณฺณเตฺถรวตฺถุ

    Mantāṇiputtapuṇṇattheravatthu

    ๑๙๖. นวเม อฎฺฐารสสุปิ วิชฺชาฎฺฐาเนสุ นิปฺผตฺติํ คตตฺตา ‘‘สพฺพสิเปฺปสุ โกวิโท หุตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ อภิทยาอพฺภญฺญาวหเสฺสว ธมฺมสฺส ตตฺถ อุปลพฺภนโต ‘‘โมกฺขธมฺมํ อทิสฺวา’’ติ วุตฺตํฯ เตนาห – ‘‘อิทํ เวทตฺตยํ นามา’’ติอาทิ ฯ ตถา หิ อเนน ทุคฺคติปริมุจฺจนมฺปิ ทุลฺลภํ, อภิญฺญาปริวารานํ อฎฺฐนฺนํ สมาปตฺตีนํ ลาภิตาย สยํ เอกเทเสน อุปสโนฺต ปรมุกฺกํสคตํ อุตฺตมทมถสมถํ อนญฺญสาธารณํ ภควนฺตํ สมฺภาเวโนฺต ‘‘อยํ ปุริโส’’ติอาทิมาหฯ ปิฎกานิ คเหตฺวา อาคจฺฉนฺตีติ ผลภาชนานิ คเหตฺวา อสฺสามิกาย อาคจฺฉนฺติฯ พุทฺธานนฺติ คารววเสน พหุวจนนิเทฺทโส กโตฯ ปริภุญฺชีติ เทวตาหิ ปกฺขิตฺตทิโพฺพชํ วนมูลผลาผลํ ปริภุญฺชิฯ ปเตฺต ปติฎฺฐาปิตสมนนฺตรเมว หิ เทวตา ตตฺถ ทิโพฺพชํ ปกฺขิปิํสุฯ สมฺมสิตฺวาติ ปจฺจเวกฺขิตฺวา, ปริวเตฺตตฺวาติ จ วทนฺติฯ อรหตฺตํ ปาปุณิํสูติ มหาเทวเตฺถรสฺส อนุโมทนกถาย อนุปุพฺพิกถาสกฺขิกาย สุวิโสธิตจิตฺตสนฺตานา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ

    196. Navame aṭṭhārasasupi vijjāṭṭhānesu nipphattiṃ gatattā ‘‘sabbasippesu kovido hutvā’’ti vuttaṃ. Abhidayāabbhaññāvahasseva dhammassa tattha upalabbhanato ‘‘mokkhadhammaṃ adisvā’’ti vuttaṃ. Tenāha – ‘‘idaṃ vedattayaṃ nāmā’’tiādi . Tathā hi anena duggatiparimuccanampi dullabhaṃ, abhiññāparivārānaṃ aṭṭhannaṃ samāpattīnaṃ lābhitāya sayaṃ ekadesena upasanto paramukkaṃsagataṃ uttamadamathasamathaṃ anaññasādhāraṇaṃ bhagavantaṃ sambhāvento ‘‘ayaṃ puriso’’tiādimāha. Piṭakāni gahetvā āgacchantīti phalabhājanāni gahetvā assāmikāya āgacchanti. Buddhānanti gāravavasena bahuvacananiddeso kato. Paribhuñjīti devatāhi pakkhittadibbojaṃ vanamūlaphalāphalaṃ paribhuñji. Patte patiṭṭhāpitasamanantarameva hi devatā tattha dibbojaṃ pakkhipiṃsu. Sammasitvāti paccavekkhitvā, parivattetvāti ca vadanti. Arahattaṃ pāpuṇiṃsūti mahādevattherassa anumodanakathāya anupubbikathāsakkhikāya suvisodhitacittasantānā arahattaṃ pāpuṇiṃsu.

    ทสหิ กถาวตฺถูหีติ อปฺปิจฺฉกถา สนฺตุฎฺฐิกถา ปวิเวกกถา อสํสคฺคกถา วีริยารมฺภกถา สีลสมฺปทากถา สมาธิสมฺปทากถา ปญฺญาสมฺปทากถา วิมุตฺติสมฺปทากถา วิมุตฺติญาณทสฺสนสมฺปทากถาติ อิเมหิ ทสหิ กถาวตฺถูหิฯ ชาติภูมิรฎฺฐวาสิโนติ ชาติภูมิวนฺตเทสวาสิโน, สตฺถุ ชาตเทสวาสิโนติ อโตฺถฯ สีสานุโลกิโกติ ปุรโต คจฺฉนฺตสฺส สีสํ อนุ อนุ ปสฺสโนฺตฯ โอกาสํ สลฺลเกฺขตฺวาติ สากจฺฉาย อวสรํ สลฺลเกฺขตฺวาฯ สตฺตวิสุทฺธิกฺกมํ ปุจฺฉีติ ‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, สีลวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๕๗) สตฺต วิสุทฺธิโย ปุจฺฉิฯ ธมฺมกถิกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิ สวิเสเสน ทสกถาวตฺถุลาภิตายฯ

    Dasahi kathāvatthūhīti appicchakathā santuṭṭhikathā pavivekakathā asaṃsaggakathā vīriyārambhakathā sīlasampadākathā samādhisampadākathā paññāsampadākathā vimuttisampadākathā vimuttiñāṇadassanasampadākathāti imehi dasahi kathāvatthūhi. Jātibhūmiraṭṭhavāsinoti jātibhūmivantadesavāsino, satthu jātadesavāsinoti attho. Sīsānulokikoti purato gacchantassa sīsaṃ anu anu passanto. Okāsaṃ sallakkhetvāti sākacchāya avasaraṃ sallakkhetvā. Sattavisuddhikkamaṃ pucchīti ‘‘kiṃ nu kho, āvuso, sīlavisuddhatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’tiādinā (ma. ni. 1.257) satta visuddhiyo pucchi. Dhammakathikānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi savisesena dasakathāvatthulābhitāya.

    มหากจฺจานเตฺถรวตฺถุ

    Mahākaccānattheravatthu

    ๑๙๗. ทสเม สํขิเตฺตน กถิตธมฺมสฺสาติ มธุปิณฺฑิกสุตฺตนฺตเทสนาสุ วิย สเงฺขเปน เทสิตธมฺมสฺสฯ ตํ เทสนํ วิตฺถาเรตฺวาติ ตํ สเงฺขปเทสนํ อายตนาทิวเสน วิตฺถาเรตฺวาฯ อตฺถํ วิภชมานานนฺติ ตสฺสา สเงฺขปเทสนาย อตฺถํ วิภชิตฺวา กเถนฺตานํฯ อตฺถวเสน วาติ ‘‘เอตฺตกา เอตสฺส อตฺถา’’ติ อตฺถวเสน วา เทสนํ ปูเรตุํ สโกฺกนฺติฯ พฺยญฺชนวเสน วาติ ‘‘เอตฺตกานิ เอตฺถ พฺยญฺชนานิ เทสนาวเสน วตฺตพฺพานี’’ติ พฺยญฺชนวเสน วา ปูเรตุํ สโกฺกนฺติฯ อยํ ปน มหากจฺจานเตฺถโร อุภยวเสนปิ สโกฺกติ ตสฺส สเงฺขเปน อุทฺทิฎฺฐสฺส วิตฺถาเรน สตฺถุ อชฺฌาสยานุรูปํ เทสนโต, ตสฺมา ตตฺถ อโคฺคติ วุโตฺตฯ วุตฺตนเยเนวาติ ‘‘ปาโตว สุโภชนํ ภุญฺชิตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐายา’’ติอาทินา เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนวฯ อเญฺญหีติ อญฺญาสํ อิตฺถีนํ เกเสหิ อติวิย ทีฆาฯ น เกวลญฺจ ทีฆา เอว, อถ โข สินิทฺธนีลมุทุกญฺจิกา จฯ นิเกฺกสีติ อปฺปเกสี ยถา ‘‘อนุทรา กญฺญา’’ติฯ

    197. Dasame saṃkhittena kathitadhammassāti madhupiṇḍikasuttantadesanāsu viya saṅkhepena desitadhammassa. Taṃ desanaṃ vitthāretvāti taṃ saṅkhepadesanaṃ āyatanādivasena vitthāretvā. Atthaṃ vibhajamānānanti tassā saṅkhepadesanāya atthaṃ vibhajitvā kathentānaṃ. Atthavasena vāti ‘‘ettakā etassa atthā’’ti atthavasena vā desanaṃ pūretuṃ sakkonti. Byañjanavasena vāti ‘‘ettakāni ettha byañjanāni desanāvasena vattabbānī’’ti byañjanavasena vā pūretuṃ sakkonti. Ayaṃ pana mahākaccānatthero ubhayavasenapi sakkoti tassa saṅkhepena uddiṭṭhassa vitthārena satthu ajjhāsayānurūpaṃ desanato, tasmā tattha aggoti vutto. Vuttanayenevāti ‘‘pātova subhojanaṃ bhuñjitvā uposathaṅgāni adhiṭṭhāyā’’tiādinā heṭṭhā vuttanayeneva. Aññehīti aññāsaṃ itthīnaṃ kesehi ativiya dīghā. Na kevalañca dīghā eva, atha kho siniddhanīlamudukañcikā ca. Nikkesīti appakesī yathā ‘‘anudarā kaññā’’ti.

    ปณิยนฺติ วิเกฺกตพฺพภณฺฑํฯ อาวเชฺชตฺวาติ อุปนิสฺสยํ เกสานํ ปกติภาวาปตฺติญฺจ อาวเชฺชตฺวาฯ คารเวนาติ มุณฺฑสีสาปิ เถเร คารเวน เอกวจเนเนว อาคนฺตฺวาฯ นิมเนฺตตฺวาติ สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวาฯ อิมิสฺสา อิตฺถิยาติ ยถาวุตฺตเสฎฺฐิธีตรมาหฯ ทิฎฺฐธมฺมิโกวาติ อวธารณํ อฎฺฐานปยุตฺตํ, ทิฎฺฐธมฺมิโก ยสปฎิลาโภว อโหสีติ อโตฺถฯ ยสปฎิลาโภติ จ ภวสมฺปตฺติปฎิลาโภฯ สตฺตสุ หิ ชวนเจตนาสุ ปฐมา ทิฎฺฐธมฺมเวทนียผลา, ปจฺฉิมา อุปปชฺชเวทนียผลา, มเชฺฌ ปญฺจ อปราปริยเวทนียผลา, ตสฺมา ปฐมํ เอกํ เจตนํ ฐเปตฺวา เสสา ยถาสกํ ปริปุณฺณผลทายิโน โหนฺติ, ปฐมเจตนาย ปน ทิฎฺฐธมฺมิโก ยสปฎิลาโภว อโหสิฯ

    Paṇiyanti vikketabbabhaṇḍaṃ. Āvajjetvāti upanissayaṃ kesānaṃ pakatibhāvāpattiñca āvajjetvā. Gāravenāti muṇḍasīsāpi there gāravena ekavacaneneva āgantvā. Nimantetvāti svātanāya nimantetvā. Imissā itthiyāti yathāvuttaseṭṭhidhītaramāha. Diṭṭhadhammikovāti avadhāraṇaṃ aṭṭhānapayuttaṃ, diṭṭhadhammiko yasapaṭilābhova ahosīti attho. Yasapaṭilābhoti ca bhavasampattipaṭilābho. Sattasu hi javanacetanāsu paṭhamā diṭṭhadhammavedanīyaphalā, pacchimā upapajjavedanīyaphalā, majjhe pañca aparāpariyavedanīyaphalā, tasmā paṭhamaṃ ekaṃ cetanaṃ ṭhapetvā sesā yathāsakaṃ paripuṇṇaphaladāyino honti, paṭhamacetanāya pana diṭṭhadhammiko yasapaṭilābhova ahosi.

    ปฐมเอตทคฺควคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamaetadaggavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๒. ทุติยเอตทคฺควคฺควณฺณนา

    (14) 2. Dutiyaetadaggavaggavaṇṇanā

    จูฬปนฺถกเตฺถรวตฺถุ

    Cūḷapanthakattheravatthu

    ๑๙๘-๒๐๐. ทุติยสฺส ปฐเม มเนน นิพฺพตฺติตนฺติ อภิญฺญามเนน อุปฺปาทิตํฯ มเนน กตกาโยติ อภิญฺญาจิเตฺตน เทสนฺตรํ ปตฺตกาโยฯ มเนน นิพฺพตฺติตกาโยติ อภิญฺญามนสา นิมฺมิตกาโย ‘‘อญฺญํ กายํ อภินิมฺมินาตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๓๖-๒๓๗; ปฎิ. ม. ๓.๑๔) วิยฯ เอกสทิเสเยวาติ อตฺตสทิเสเยวฯ เอกวิธเมวาติ อตฺตนา กตปฺปการเมวฯ เอตปฺปรโม หิ เยภุเยฺยน สาวกานํ อิทฺธินิมฺมานวิธิฯ อโคฺค นาม ชาโต เอกเทเสน สตฺถุ อิทฺธินิมฺมานานุวิธานโตฯ

    198-200. Dutiyassa paṭhame manena nibbattitanti abhiññāmanena uppāditaṃ. Manena katakāyoti abhiññācittena desantaraṃ pattakāyo. Manena nibbattitakāyoti abhiññāmanasā nimmitakāyo ‘‘aññaṃ kāyaṃ abhinimminātī’’tiādīsu (dī. ni. 1.236-237; paṭi. ma. 3.14) viya. Ekasadiseyevāti attasadiseyeva. Ekavidhamevāti attanā katappakārameva. Etapparamo hi yebhuyyena sāvakānaṃ iddhinimmānavidhi. Aggo nāma jāto ekadesena satthu iddhinimmānānuvidhānato.

    ลาภิตายาติ เอตฺถ ลาภีติ อีกาโร อติสยโตฺถฯ เตน เถรสฺส จตุนฺนํ รูปาวจรชฺฌานานํ อติสเยน สวิเสสลาภิตํ ทเสฺสติฯ อรูปาวจรชฺฌานานํ ลาภิตายาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ น เกวลเญฺจตา เจโตสญฺญาวิวฎฺฎกุสลตา รูปารูปชฺฌานลาภิตาย เอว, อถ โข อิเมหิปิ การเณหีติ ทเสฺสตุํ – ‘‘จูฬปนฺถโก จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เจโตติ เจตฺถ จิตฺตสีเสน สมาธิ วุโตฺต, ตสฺมา เจตโส สมาธิสฺส วิวฎฺฎนํ เจโตวิวโฎฺฎ, เอกสฺมิํเยวารมฺมเณ สมาธิจิตฺตํ วิวเฎฺฎตฺวา เหฎฺฐิมสฺส เหฎฺฐิมสฺส อุปรูปริ หาปนโต รูปาวจรชฺฌานลาภี เจโตวิวฎฺฎกุสโล นามฯ ‘‘สพฺพโส รูปสญฺญาน’’นฺติอาทินา (ธ. ส. ๒๖๕) วุตฺตสญฺญา อติกฺกมิตฺวา ‘‘อากาสานญฺจายตนสญฺญาสหคตํ…เป.… เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญาสหคต’’นฺติ (ธ. ส. ๒๖๕-๒๖๘) สญฺญาสีเสน วุตฺตชฺฌานานํ วิวฎฺฎกุสโล, ตถา อิตฺถิปุริสาทิสญฺญา นิจฺจสญฺญาทิโต จิตฺตํ วิวเฎฺฎตฺวา เกวเล รูปารูปธมฺมมเตฺต อสงฺขเต นิพฺพาเน จ วิเสสโต วฎฺฎนโต จ สุญฺญตานุปสฺสนาพหุโล สญฺญาวิวฎฺฎกุสโลฯ สมาธิกุสลตาย เจโตวิวฎฺฎกุสลตา ตพฺพหุลวิหาริตายฯ ตถา วิปสฺสนากุสลตาย สญฺญาวิวฎฺฎกุสลตาฯ เอโกติ จูฬปนฺถกเตฺถรํ วทติฯ สมาธิลกฺขเณติ สวิตกฺกสวิจาราทิสมาธิสภาเวฯ ปุน เอโกติ มหาปนฺถกเตฺถรมาหฯ วิปสฺสนาลกฺขเณติ สตฺตอนุปสฺสนา อฎฺฐารสมหาวิปสฺสนาทิวิปสฺสนาสภาเวฯ สมาธิคาโฬฺหติ สมาธิสฺมิํ โอคาฬฺหจิโตฺต สุภาวิตภาวนตาฯ องฺคสํขิเตฺตติ จตุรงฺคิกติวงฺคิกาทิวเสน ฌานงฺคานํ สงฺขิปเนฯ อารมฺมณสํขิเตฺตติ กสิณุคฺฆาฎิมากาสาทินิพฺพตฺตเนน กสิณาทิอารมฺมณานํ สํขิปเนฯ องฺคววตฺถาปเนติ วิตกฺกาทีนํ ฌานงฺคานํ ววตฺถาปเนฯ อารมฺมณววตฺถาปเนติ ปถวีกสิณาทิชฺฌานารมฺมณานํ ววตฺถาปเนฯ

    Lābhitāyāti ettha lābhīti īkāro atisayattho. Tena therassa catunnaṃ rūpāvacarajjhānānaṃ atisayena savisesalābhitaṃ dasseti. Arūpāvacarajjhānānaṃ lābhitāyāti etthāpi eseva nayo. Na kevalañcetā cetosaññāvivaṭṭakusalatā rūpārūpajjhānalābhitāya eva, atha kho imehipi kāraṇehīti dassetuṃ – ‘‘cūḷapanthako cā’’tiādi vuttaṃ. Cetoti cettha cittasīsena samādhi vutto, tasmā cetaso samādhissa vivaṭṭanaṃ cetovivaṭṭo, ekasmiṃyevārammaṇe samādhicittaṃ vivaṭṭetvā heṭṭhimassa heṭṭhimassa uparūpari hāpanato rūpāvacarajjhānalābhī cetovivaṭṭakusalo nāma. ‘‘Sabbaso rūpasaññāna’’ntiādinā (dha. sa. 265) vuttasaññā atikkamitvā ‘‘ākāsānañcāyatanasaññāsahagataṃ…pe… nevasaññānāsaññāyatanasaññāsahagata’’nti (dha. sa. 265-268) saññāsīsena vuttajjhānānaṃ vivaṭṭakusalo, tathā itthipurisādisaññā niccasaññādito cittaṃ vivaṭṭetvā kevale rūpārūpadhammamatte asaṅkhate nibbāne ca visesato vaṭṭanato ca suññatānupassanābahulo saññāvivaṭṭakusalo. Samādhikusalatāya cetovivaṭṭakusalatā tabbahulavihāritāya. Tathā vipassanākusalatāya saññāvivaṭṭakusalatā. Ekoti cūḷapanthakattheraṃ vadati. Samādhilakkhaṇeti savitakkasavicārādisamādhisabhāve. Puna ekoti mahāpanthakattheramāha. Vipassanālakkhaṇeti sattaanupassanā aṭṭhārasamahāvipassanādivipassanāsabhāve. Samādhigāḷhoti samādhismiṃ ogāḷhacitto subhāvitabhāvanatā. Aṅgasaṃkhitteti caturaṅgikativaṅgikādivasena jhānaṅgānaṃ saṅkhipane. Ārammaṇasaṃkhitteti kasiṇugghāṭimākāsādinibbattanena kasiṇādiārammaṇānaṃ saṃkhipane. Aṅgavavatthāpaneti vitakkādīnaṃ jhānaṅgānaṃ vavatthāpane. Ārammaṇavavatthāpaneti pathavīkasiṇādijjhānārammaṇānaṃ vavatthāpane.

    ฌานเงฺคหีติ รูปาวจรชฺฌานเงฺคหิ, ฌานงฺคาเนว ฌานํฯ ปุน ฌานเงฺคหีติ อรูปาวจรชฺฌานเงฺคหิฯ ภาตาติ เชฎฺฐภาตาฯ อสฺสาติ กุฎุมฺพิยสฺสฯ สุวณฺณปูชนฺติ โสวณฺณมยํ ปุปฺผปูชํ กตฺวาฯ เทวปุเรติ ตาวติํสภวเน สุทสฺสนมหานคเรฯ อคฺคทฺวาเรนาติ ตสฺมิํ ทิวเส อคฺคํ สพฺพปฐมํ วิวเฎน นครทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวาฯ

    Jhānaṅgehīti rūpāvacarajjhānaṅgehi, jhānaṅgāneva jhānaṃ. Puna jhānaṅgehīti arūpāvacarajjhānaṅgehi. Bhātāti jeṭṭhabhātā. Assāti kuṭumbiyassa. Suvaṇṇapūjanti sovaṇṇamayaṃ pupphapūjaṃ katvā. Devapureti tāvatiṃsabhavane sudassanamahānagare. Aggadvārenāti tasmiṃ divase aggaṃ sabbapaṭhamaṃ vivaṭena nagaradvārena nikkhamitvā.

    โกกนทนฺติ ปทุมวิเสสนํ ยถา ‘‘โกกาสก’’นฺติฯ ตํ กิร พหุปตฺตํ วณฺณสมฺปนฺนํ อติสุคนฺธญฺจ โหติฯ ‘‘โกกนทํ นาม เสตปทุม’’นฺติปิ วทนฺติฯ ปาโตติ ปเควฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – ยถา โกกนทสงฺขาตํ ปทุมํ ปาโต สูริยุคฺคมนเวลายํ ผุลฺลํ วิกสิตํ อวีตคนฺธํ สิยา วิโรจมานํ, เอวํ สรีรคเนฺธน คุณคเนฺธน จ สุคนฺธํ สรทกาเล อนฺตลิเกฺข อาทิจฺจมิว อตฺตโน เตชสา ตปนฺตํ อเงฺคหิ นิจฺฉรณกชุติยา องฺคีรสํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ ปสฺสาติฯ

    Kokanadanti padumavisesanaṃ yathā ‘‘kokāsaka’’nti. Taṃ kira bahupattaṃ vaṇṇasampannaṃ atisugandhañca hoti. ‘‘Kokanadaṃ nāma setapaduma’’ntipi vadanti. Pātoti pageva. Ayañhettha attho – yathā kokanadasaṅkhātaṃ padumaṃ pāto sūriyuggamanavelāyaṃ phullaṃ vikasitaṃ avītagandhaṃ siyā virocamānaṃ, evaṃ sarīragandhena guṇagandhena ca sugandhaṃ saradakāle antalikkhe ādiccamiva attano tejasā tapantaṃ aṅgehi niccharaṇakajutiyā aṅgīrasaṃ sammāsambuddhaṃ passāti.

    จูฬปนฺถโก กิร กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล ปพฺพชิตฺวา ปญฺญวา หุตฺวา อญฺญตรสฺส ทนฺธภิกฺขุโน อุเทฺทสคหณกาเล ปริหาสเกฬิํ อกาสิฯ โส ภิกฺขุ เตน ปริหาเสน ลชฺชิโต เนว อุเทฺทสํ คณฺหิ, น สชฺฌายมกาสิฯ เตน กเมฺมนายํ ปพฺพชิตฺวาว ทโนฺธ ชาโต, ตสฺมา คหิตคหิตปทํ อุปริอุปริปทํ คณฺหนฺตสฺส นสฺสติฯ อิทฺธิยา อภิสงฺขริตฺวา สุทฺธํ โจฬขณฺฑํ อทาสีติ ตสฺส ปุพฺพเหตุํ ทิสฺวา ตทนุรูเป กมฺมฎฺฐาเน นิโยเชโนฺต สุทฺธํ โจฬขณฺฑํ อทาสิฯ โส กิร ปุเพฺพ ราชา หุตฺวา นครํ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต นลาฎโต เสเท มุจฺจเนฺต ปริสุเทฺธน สาฎเกน นลาฎํ ปุญฺฉิ, สาฎโก กิลิโฎฺฐ อโหสิฯ โส ‘‘อิมํ สรีรํ นิสฺสาย เอวรูโป ปริสุทฺธสาฎโก ปกติํ ชหิตฺวา กิลิโฎฺฐ ชาโต, อนิจฺจา วต สงฺขารา’’ติ อนิจฺจสญฺญํ ปฎิลภิฯ เตน การเณนสฺส รโชหรณเมว ปจฺจโย ชาโตฯ

    Cūḷapanthako kira kassapasammāsambuddhakāle pabbajitvā paññavā hutvā aññatarassa dandhabhikkhuno uddesagahaṇakāle parihāsakeḷiṃ akāsi. So bhikkhu tena parihāsena lajjito neva uddesaṃ gaṇhi, na sajjhāyamakāsi. Tena kammenāyaṃ pabbajitvāva dandho jāto, tasmā gahitagahitapadaṃ upariuparipadaṃ gaṇhantassa nassati. Iddhiyā abhisaṅkharitvā suddhaṃ coḷakhaṇḍaṃ adāsīti tassa pubbahetuṃ disvā tadanurūpe kammaṭṭhāne niyojento suddhaṃ coḷakhaṇḍaṃ adāsi. So kira pubbe rājā hutvā nagaraṃ padakkhiṇaṃ karonto nalāṭato sede muccante parisuddhena sāṭakena nalāṭaṃ puñchi, sāṭako kiliṭṭho ahosi. So ‘‘imaṃ sarīraṃ nissāya evarūpo parisuddhasāṭako pakatiṃ jahitvā kiliṭṭho jāto, aniccā vata saṅkhārā’’ti aniccasaññaṃ paṭilabhi. Tena kāraṇenassa rajoharaṇameva paccayo jāto.

    โลมานีติ โจฬขณฺฑตนฺตคตอํสุเก วทติฯ ‘‘กิลิฎฺฐธาตุกานี’’ติ กิลิฎฺฐสภาวานิฯ เอวํคติกเมวาติ อิทํ จิตฺตมฺปิ ภวงฺควเสน ปกติยา ปณฺฑรํ ปริสุทฺธํ ราคาทิสมฺปยุตฺตธมฺมวเสน สํกิลิฎฺฐํ ชาตนฺติ ทเสฺสติฯ นกฺขตฺตํ สมาเนตฺวาติ นกฺขตฺตํ สมนฺนาหริตฺวา, อาวเชฺชตฺวาติ อโตฺถ ฯ พิฬารสฺสตฺถายาติ พิฬารสฺส โคจรตฺถายฯ ชลปถกมฺมิเกนาติ สมุทฺทกมฺมิเกนฯ จารินฺติ ขาทิตพฺพติณํฯ สจฺจการนฺติ สจฺจภาวาวหํ การํ, ‘‘อตฺตนา คหิเต ภเณฺฑ อเญฺญสํ น ทาตพฺพ’’นฺติ วตฺวา ทาตพฺพลญฺชนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตติเยน ปฎิหาเรนาติ ตติเยน สาสเนนฯ ปตฺติกา หุตฺวาติ สามิโน หุตฺวาฯ

    Lomānīti coḷakhaṇḍatantagataaṃsuke vadati. ‘‘Kiliṭṭhadhātukānī’’ti kiliṭṭhasabhāvāni. Evaṃgatikamevāti idaṃ cittampi bhavaṅgavasena pakatiyā paṇḍaraṃ parisuddhaṃ rāgādisampayuttadhammavasena saṃkiliṭṭhaṃ jātanti dasseti. Nakkhattaṃ samānetvāti nakkhattaṃ samannāharitvā, āvajjetvāti attho . Biḷārassatthāyāti biḷārassa gocaratthāya. Jalapathakammikenāti samuddakammikena. Cārinti khāditabbatiṇaṃ. Saccakāranti saccabhāvāvahaṃ kāraṃ, ‘‘attanā gahite bhaṇḍe aññesaṃ na dātabba’’nti vatvā dātabbalañjanti vuttaṃ hoti. Tatiyena paṭihārenāti tatiyena sāsanena. Pattikā hutvāti sāmino hutvā.

    อปฺปเกนปีติ โถเกนปิ ปริเตฺตนปิฯ เมธาวีติ ปญฺญวาฯ ปาภเตนาติ ภณฺฑมูเลนฯ วิจกฺขโณติ โวหารกุสโลฯ สมุฎฺฐาเปติ อตฺตานนฺติ มหนฺตํ ธนํ ยสญฺจ อุปฺปาเทตฺวา ตตฺถ อตฺตานํ สณฺฐเปติ ปติฎฺฐาเปติ ฯ ยถา กิํ? อณุํ อคฺคิํว สนฺธมํ, ยถา ปณฺฑิโต ปุริโส ปริตฺตกํ อคฺคิํ อนุกฺกเมน โคมยจุณฺณาทีนิ ปกฺขิปิตฺวา มุขวาเตน ธเมโนฺต สมุฎฺฐาเปติ วเฑฺฒติ, มหนฺตํ อคฺคิกฺขนฺธํ กโรติ, เอวเมว ปณฺฑิโต โถกมฺปิ ปาภตํ ลภิตฺวา นานาอุปาเยหิ ปโยเชตฺวา ธนญฺจ ยสญฺจ วเฑฺฒติ, วเฑฺฒตฺวา ปุน ตตฺถ อตฺตานํ ปติฎฺฐาเปติฯ ตาย เอว วา ปน ธนสฺส มหนฺตตาย อตฺตานํ สมุฎฺฐาเปติ, อภิญฺญาตํ ปากฎํ กโรตีติ อโตฺถฯ

    Appakenapīti thokenapi parittenapi. Medhāvīti paññavā. Pābhatenāti bhaṇḍamūlena. Vicakkhaṇoti vohārakusalo. Samuṭṭhāpeti attānanti mahantaṃ dhanaṃ yasañca uppādetvā tattha attānaṃ saṇṭhapeti patiṭṭhāpeti . Yathā kiṃ? Aṇuṃ aggiṃva sandhamaṃ, yathā paṇḍito puriso parittakaṃ aggiṃ anukkamena gomayacuṇṇādīni pakkhipitvā mukhavātena dhamento samuṭṭhāpeti vaḍḍheti, mahantaṃ aggikkhandhaṃ karoti, evameva paṇḍito thokampi pābhataṃ labhitvā nānāupāyehi payojetvā dhanañca yasañca vaḍḍheti, vaḍḍhetvā puna tattha attānaṃ patiṭṭhāpeti. Tāya eva vā pana dhanassa mahantatāya attānaṃ samuṭṭhāpeti, abhiññātaṃ pākaṭaṃ karotīti attho.

    สุภูติเตฺถรวตฺถุ

    Subhūtittheravatthu

    ๒๐๑-๒๐๒. ตติเย รณาติ หิ ราคาทโย กิเลสา วุจฺจนฺตีติ ‘‘สรณา ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๐๐ ทุกมาติกา) ราคาทโย กิเลสา ‘‘รณา’’ติ วุจฺจนฺติฯ รณนฺติ เอเตหีติ รณาฯ เยหิ อภิภูตา สตฺตา นานปฺปกาเรน กนฺทนฺติ ปริเทวนฺติ, ตสฺมา เต ราคาทโย ‘‘รณา’’ติ วุตฺตาฯ เทสิตนิยามโต อโนกฺกมิตฺวาติ เทสิตาโนกฺกมนโต อนุปคนฺตฺวา เทเสติ, สตฺถารา เทสิตนิยาเมเนว อโนทิสฺสกํ กตฺวา ธมฺมํ เทเสตีติ วุตฺตํ โหติฯ เอวนฺติ เอวํ เมตฺตาฌานโต วุฎฺฐาย ภิกฺขาคหเณ สติฯ ภิกฺขาทายกานํ มหปฺผลํ ภวิสฺสตีติ อิทํ จูฬจฺฉราสงฺฆาตสุเตฺตน (อ. นิ. ๑.๕๑ อาทโย) ทีเปตพฺพํฯ อจฺฉราสงฺฆาตมตฺตมฺปิ หิ กาลํ เมตฺตจิตฺตํ อาเสวนฺตสฺส ภิกฺขุโน ทินฺนทานํ มหปฺผลํ โหติ มหานิสํสํ, เตน จ โส อโมฆํ รฎฺฐปิณฺฑํ ภุญฺชตีติ อยมโตฺถ ตตฺถ อาคโตเยวฯ นิมิตฺตํ คณฺหิตฺวาติ อาการํ สลฺลเกฺขตฺวาฯ

    201-202. Tatiye raṇāti hi rāgādayo kilesā vuccantīti ‘‘saraṇā dhammā’’tiādīsu (dha. sa. 100 dukamātikā) rāgādayo kilesā ‘‘raṇā’’ti vuccanti. Raṇanti etehīti raṇā. Yehi abhibhūtā sattā nānappakārena kandanti paridevanti, tasmā te rāgādayo ‘‘raṇā’’ti vuttā. Desitaniyāmato anokkamitvāti desitānokkamanato anupagantvā deseti, satthārā desitaniyāmeneva anodissakaṃ katvā dhammaṃ desetīti vuttaṃ hoti. Evanti evaṃ mettājhānato vuṭṭhāya bhikkhāgahaṇe sati. Bhikkhādāyakānaṃ mahapphalaṃ bhavissatīti idaṃ cūḷaccharāsaṅghātasuttena (a. ni. 1.51 ādayo) dīpetabbaṃ. Accharāsaṅghātamattampi hi kālaṃ mettacittaṃ āsevantassa bhikkhuno dinnadānaṃ mahapphalaṃ hoti mahānisaṃsaṃ, tena ca so amoghaṃ raṭṭhapiṇḍaṃ bhuñjatīti ayamattho tattha āgatoyeva. Nimittaṃ gaṇhitvāti ākāraṃ sallakkhetvā.

    ขทิรวนิยเรวตเตฺถรวตฺถุ

    Khadiravaniyarevatattheravatthu

    ๒๐๓. ปญฺจเม วนสภาคนฺติ สภาคํ วนํ, สภาคนฺติ จ สปฺปายนฺติ อโตฺถฯ ยญฺหิ ปกติวิรุทฺธํ พฺยาธิวิรุทฺธญฺจ น โหติ, ตํ ‘‘สภาค’’นฺติ วุจฺจติฯ อุทกสภาคนฺติอาทีสุปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ กลฺยาณกมฺมายูหนกฺขโณติ กลฺยาณกมฺมูปจยสฺส โอกาโสฯ ติณฺณํ ภาติกานนฺติ อุปติโสฺส, จุโนฺท, อุปเสโนติ อิเมสํ ติณฺณํ เชฎฺฐภาติกานํฯ ติสฺสนฺนญฺจ ภคินีนนฺติ จาลา, อุปจาลา, สีสุปจาลาติ อิเมสํ ติสฺสนฺนํ เชฎฺฐภคินีนํฯ เอตฺถ จ สาริปุตฺตเตฺถโร สยํ ปพฺพชิตฺวา จาลา, อุปจาลา, สีสุปจาลาติ ติโสฺส ภคินิโย, จุโนฺท อุปเสโนติ อิเม ภาตโร ปพฺพาเชสิ, เรวตกุมาโร เอโกว เคเห อวสิสฺสติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อมฺหากํ…เป.… ปพฺพาเชนฺตี’’ติฯ มหลฺลกตราติ วุทฺธตราฯ อิทญฺจ กุมาริกาย จิรชีวิตํ อภิกงฺขมานา อาหํสุฯ สา กิร ตสฺส อยฺยิกา วีสติวสฺสสติกา ขณฺฑทนฺตา ปลิตเกสา วลิตฺตจา ติลกาหตคตฺตา โคปานสิวงฺกา อโหสิฯ วิธาวนิกนฺติ วิธาวนกีฬิกํฯ ติสฺสนฺนํ สมฺปตฺตีนนฺติ อนุสฺสววเสน มนุสฺสเทวโมกฺขสมฺปตฺติโย สนฺธาย วทติ, มนุสฺสเทวพฺรหฺมสมฺปตฺติโย วาฯ สีวลิสฺส ปุญฺญํ วีมํสิสฺสามาติ ‘‘สีวลินา กตปุญฺญสฺส วิปากทานฎฺฐานมิท’’นฺติ ญตฺวา เอวมาหฯ สภาคฎฺฐานนฺติ สมํ เทสํฯ

    203. Pañcame vanasabhāganti sabhāgaṃ vanaṃ, sabhāganti ca sappāyanti attho. Yañhi pakativiruddhaṃ byādhiviruddhañca na hoti, taṃ ‘‘sabhāga’’nti vuccati. Udakasabhāgantiādīsupi imināva nayena attho veditabbo. Kalyāṇakammāyūhanakkhaṇoti kalyāṇakammūpacayassa okāso. Tiṇṇaṃ bhātikānanti upatisso, cundo, upasenoti imesaṃ tiṇṇaṃ jeṭṭhabhātikānaṃ. Tissannañca bhaginīnanti cālā, upacālā, sīsupacālāti imesaṃ tissannaṃ jeṭṭhabhaginīnaṃ. Ettha ca sāriputtatthero sayaṃ pabbajitvā cālā, upacālā, sīsupacālāti tisso bhaginiyo, cundo upasenoti ime bhātaro pabbājesi, revatakumāro ekova gehe avasissati. Tena vuttaṃ – ‘‘amhākaṃ…pe… pabbājentī’’ti. Mahallakatarāti vuddhatarā. Idañca kumārikāya cirajīvitaṃ abhikaṅkhamānā āhaṃsu. Sā kira tassa ayyikā vīsativassasatikā khaṇḍadantā palitakesā valittacā tilakāhatagattā gopānasivaṅkā ahosi. Vidhāvanikanti vidhāvanakīḷikaṃ. Tissannaṃ sampattīnanti anussavavasena manussadevamokkhasampattiyo sandhāya vadati, manussadevabrahmasampattiyo vā. Sīvalissa puññaṃ vīmaṃsissāmāti ‘‘sīvalinā katapuññassa vipākadānaṭṭhānamida’’nti ñatvā evamāha. Sabhāgaṭṭhānanti samaṃ desaṃ.

    ตํ ภูมิรามเณยฺยกนฺติ กิญฺจาปิ อรหโนฺต คามเนฺต กายวิเวกํ น ลภนฺติ, จิตฺตวิเวกํ ปน ลภเนฺตวฯ เตสญฺหิ ทิพฺพปฺปฎิภาคานิปิ อารมฺมณานิ จิตฺตํ จาเลตุํ น สโกฺกนฺติ, ตสฺมา คาโม วา โหตุ อรญฺญาทีนํ วา อญฺญตรํ, ‘ยตฺถ อรหโนฺต วิหรนฺติ, ตํ ภูมิรามเณยฺยกํ’, โส ภูมิปฺปเทโส รมณีโย เอวาติ อโตฺถฯ

    Taṃ bhūmirāmaṇeyyakanti kiñcāpi arahanto gāmante kāyavivekaṃ na labhanti, cittavivekaṃ pana labhanteva. Tesañhi dibbappaṭibhāgānipi ārammaṇāni cittaṃ cāletuṃ na sakkonti, tasmā gāmo vā hotu araññādīnaṃ vā aññataraṃ, ‘yattha arahanto viharanti, taṃ bhūmirāmaṇeyyakaṃ’, so bhūmippadeso ramaṇīyo evāti attho.

    กงฺขาเรวตเตฺถรวตฺถุ

    Kaṅkhārevatattheravatthu

    ๒๐๔. ฉเฎฺฐ อกปฺปิโย, อาวุโส, คุโฬติ เอกทิวสํ เถโร อนฺตรามเคฺค คุฬกรณํ โอกฺกมิตฺวา คุเฬ ปิฎฺฐมฺปิ ฉาริกมฺปิ ปกฺขิเตฺต ทิสฺวาน ‘‘อกปฺปิโย คุโฬ, สามิโส น กปฺปติ คุโฬ วิกาเล ปริภุญฺชิตุ’’นฺติ กุกฺกุจฺจายโนฺต เอวมาหฯ อกปฺปิยา มุคฺคาติ เอกทิวสํ อนฺตรามเคฺค วเจฺจ มุคฺคํ ชาตํ ทิสฺวา ‘‘อกปฺปิยา มุคฺคา, ปกฺกาปิ มุคฺคา ชายนฺตี’’ติ กุกฺกุจฺจายโนฺต เอวมาหฯ เสสเมตฺถ สพฺพํ อุตฺตานเมวฯ

    204. Chaṭṭhe akappiyo, āvuso, guḷoti ekadivasaṃ thero antarāmagge guḷakaraṇaṃ okkamitvā guḷe piṭṭhampi chārikampi pakkhitte disvāna ‘‘akappiyo guḷo, sāmiso na kappati guḷo vikāle paribhuñjitu’’nti kukkuccāyanto evamāha. Akappiyā muggāti ekadivasaṃ antarāmagge vacce muggaṃ jātaṃ disvā ‘‘akappiyā muggā, pakkāpi muggā jāyantī’’ti kukkuccāyanto evamāha. Sesamettha sabbaṃ uttānameva.

    โสณโกฬิวิสเตฺถรวตฺถุ

    Soṇakoḷivisattheravatthu

    ๒๐๕. สตฺตเม หาเปตพฺพเมว อโหสิ อจฺจารทฺธวีริยตฺตาฯ อุทเกน สมุปพฺยูเฬฺหติ อุทเกน ถลํ อุสฺสาเรตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ราสิกเตฯ หริตูปลิตฺตายาติ โคมยปริภณฺฑกตายฯ ติวิเธน อุทเกน โปเสนฺตีติ ขีโรทกํ คโนฺธทกํ เกวโลทกนฺติ เอวํ ติวิเธน อุทเกน โปเสนฺติ ปริปาเลนฺติฯ ปริสฺสาเวตฺวาติ ปริโสเธตฺวา คหิเต ตณฺฑุเลติ โยเชตพฺพํฯ เทโว มเญฺญติ เทโว วิย ฯ วีโณวาเทนาติ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, โสณ, ยทา เต วีณาย ตนฺติโย อจฺจายตา โหนฺติ, อปิ นุ เต วีณา ตสฺมิํ สมเย สรวตี วา โหติ กมฺมญฺญา วาติ? โน เหตํ, ภเนฺตติฯ เอวเมว โข, โสณ, อจฺจารทฺธวีริยํ อุทฺธจฺจาย สํวตฺตติ, อติสิถิลวีริยํ โกสชฺชาย สํวตฺตติฯ ตสฺมาติห ตฺวํ, โสณ, วีริยสมตํ อธิฎฺฐห, อินฺทฺริยานญฺจ สมตํ ปฎิวิชฺฌา’’ติ (มหาว. ๒๔๓) เอวํ วีณํ อุปมํ กตฺวา ปวตฺติเตน วีโณปโมวาเทนฯ วีริยสมถโยชนตฺถายาติ วีริยสฺส สมเถน โยชนตฺถายฯ

    205. Sattame hāpetabbameva ahosi accāraddhavīriyattā. Udakena samupabyūḷheti udakena thalaṃ ussāretvā tattha tattha rāsikate. Haritūpalittāyāti gomayaparibhaṇḍakatāya. Tividhena udakenaposentīti khīrodakaṃ gandhodakaṃ kevalodakanti evaṃ tividhena udakena posenti paripālenti. Parissāvetvāti parisodhetvā gahite taṇḍuleti yojetabbaṃ. Devo maññeti devo viya . Vīṇovādenāti ‘‘taṃ kiṃ maññasi, soṇa, yadā te vīṇāya tantiyo accāyatā honti, api nu te vīṇā tasmiṃ samaye saravatī vā hoti kammaññā vāti? No hetaṃ, bhanteti. Evameva kho, soṇa, accāraddhavīriyaṃ uddhaccāya saṃvattati, atisithilavīriyaṃ kosajjāya saṃvattati. Tasmātiha tvaṃ, soṇa, vīriyasamataṃ adhiṭṭhaha, indriyānañca samataṃ paṭivijjhā’’ti (mahāva. 243) evaṃ vīṇaṃ upamaṃ katvā pavattitena vīṇopamovādena. Vīriyasamathayojanatthāyāti vīriyassa samathena yojanatthāya.

    โสณกุฎิกณฺณเตฺถรวตฺถุ

    Soṇakuṭikaṇṇattheravatthu

    ๒๐๖. อฎฺฐเม กุฎิกโณฺณติ วุจฺจตีติ ‘‘โกฎิกโณฺณ’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘กุฎิกโณฺณ’’ติ โวหรียติฯ กุลฆเร ภวา กุลฆริกาฯ สา กิร อวนฺติรเฎฺฐ กุลฆเร มหาวิภวสฺส เสฎฺฐิสฺส ภริยาฯ ทสพลสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย จิเนฺตสีติ อิทํ องฺคุตฺตรภาณกานํ มเตน วุตฺตํฯ สุตฺตนิปาตฎฺฐกถายํ ปน ‘‘สปริโส ภควนฺตํ อุปสงฺกมฺม ธมฺมเทสนํ อโสฺสสิ, น จ กญฺจิ วิเสสํ อธิคญฺฉิฯ กสฺมา? โส หิ ธมฺมํ สุณโนฺต เหมวตํ อนุสฺสริตฺวา ‘อาคโต นุ โข เม สหายโก, โน’ติ ทิสาทิสํ โอโลเกตฺวา ตํ อปสฺสโนฺต ‘วญฺจิโต เม สหาโย, โย เอวํ วิจิตฺตปฺปฎิภานํ ภควโต เทสนํ น สุณาตี’ติ วิกฺขิตฺตจิโตฺต อโหสี’’ติ วุตฺตํฯ

    206. Aṭṭhame kuṭikaṇṇoti vuccatīti ‘‘koṭikaṇṇo’’ti vattabbe ‘‘kuṭikaṇṇo’’ti voharīyati. Kulaghare bhavā kulagharikā. Sā kira avantiraṭṭhe kulaghare mahāvibhavassa seṭṭhissa bhariyā. Dasabalassa dhammakathaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhāya cintesīti idaṃ aṅguttarabhāṇakānaṃ matena vuttaṃ. Suttanipātaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘sapariso bhagavantaṃ upasaṅkamma dhammadesanaṃ assosi, na ca kañci visesaṃ adhigañchi. Kasmā? So hi dhammaṃ suṇanto hemavataṃ anussaritvā ‘āgato nu kho me sahāyako, no’ti disādisaṃ oloketvā taṃ apassanto ‘vañcito me sahāyo, yo evaṃ vicittappaṭibhānaṃ bhagavato desanaṃ na suṇātī’ti vikkhittacitto ahosī’’ti vuttaṃ.

    ยสฺมา ปฎิสนฺธิชาติอภินิกฺขมนโพธิปรินิพฺพาเนเสฺวว ทฺวตฺติํส ปุพฺพนิมิตฺตานิ หุตฺวาว ปฎิวิคจฺฉนฺติ, น จิรฎฺฐิติกานิ โหนฺติ, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) ปน ตานิ สวิเสสานิ หุตฺวา จิรตรํ ฐตฺวา นิรุชฺฌนฺติ, ตสฺมา วุตฺตํ – ‘‘ติโยชนสหสฺสํ หิมวนฺตํ อกาลปุปฺผิตํ ทิสฺวา’’ติอาทิฯ อคฺคพลกายาติ สพฺพปุรโต คจฺฉนฺตา พลกายาฯ เกน ปุปฺผิตภาวํ ชานาสีติ เกน การเณน หิมวนฺตสฺส ปุปฺผิตภาวํ ชานาสีติ, เยน การเณน อิมํ อกาลปุปฺผปาฎิหาริยํ ชาตํ, ตํ ชานาสีติ วุตฺตํ โหติฯ ตสฺส ปวตฺติตภาวนฺติ ตสฺส ธมฺมจกฺกสฺส ภควตา ปวตฺติตภาวํฯ สเทฺท นิมิตฺตํ คณฺหีติ สเทฺท อาการํ สลฺลเกฺขสิฯ ตโตติ ‘‘อหํ ‘เอตํ อมตธมฺมํ ตมฺปิ ชานาเปสฺสามี’ติ ตว สนฺติกํ อาคโตสฺมี’’ติ ยํ วุตฺตํ, ตทนนฺตรนฺติ อโตฺถฯ

    Yasmā paṭisandhijātiabhinikkhamanabodhiparinibbānesveva dvattiṃsa pubbanimittāni hutvāva paṭivigacchanti, na ciraṭṭhitikāni honti, dhammacakkappavattane (saṃ. ni. 5.1081; paṭi. ma. 2.30) pana tāni savisesāni hutvā cirataraṃ ṭhatvā nirujjhanti, tasmā vuttaṃ – ‘‘tiyojanasahassaṃ himavantaṃ akālapupphitaṃ disvā’’tiādi. Aggabalakāyāti sabbapurato gacchantā balakāyā. Kena pupphitabhāvaṃ jānāsīti kena kāraṇena himavantassa pupphitabhāvaṃ jānāsīti, yena kāraṇena imaṃ akālapupphapāṭihāriyaṃ jātaṃ, taṃ jānāsīti vuttaṃ hoti. Tassa pavattitabhāvanti tassa dhammacakkassa bhagavatā pavattitabhāvaṃ. Sadde nimittaṃ gaṇhīti sadde ākāraṃ sallakkhesi. Tatoti ‘‘ahaṃ ‘etaṃ amatadhammaṃ tampi jānāpessāmī’ti tava santikaṃ āgatosmī’’ti yaṃ vuttaṃ, tadanantaranti attho.

    สาตาคิโร เหมวตสฺส พุทฺธุปฺปาทํ กเถตฺวา ตํ ภควโต สนฺติกํ อาเนตุกาโม ‘‘อชฺช ปนฺนรโส’’ติอาทิคาถมาหฯ ตตฺถ (สุ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๕๓) อชฺชาติ อยํ รตฺตินฺทิโว ปกฺขคณนโต ปนฺนรโส, อุปวสิตพฺพโต อุโปสโถฯ ตีสุ วา อุโปสเถสุ อชฺช ปนฺนรโส อุโปสโถ, น จาตุทฺทสิอุโปสโถ, น สามคฺคีอุโปสโถฯ ทิวิ ภวานิ ทิพฺพานิ, ทิพฺพานิ เอตฺถ อตฺถีติ ทิพฺพานิฯ กานิ ตานิ? รูปานิฯ ตญฺหิ รตฺติํ เทวานํ ทสสหสฺสิโลกธาตุโต สนฺนิปติตานํ สรีรวตฺถาภรณวิมานปฺปภาหิ อพฺภาทิอุปกฺกิเลสวิรหิตาย จนฺทปฺปภาย จ สกลชมฺพุทีโป อลงฺกโต อโหสีติ อติวิย อลงฺกโต จ ปริวิสุทฺธิเทวสฺส ภควโต สรีรปฺปภายฯ เตนาห – ‘‘ทิพฺพา รตฺติ อุปฎฺฐิตา’’ติฯ

    Sātāgiro hemavatassa buddhuppādaṃ kathetvā taṃ bhagavato santikaṃ ānetukāmo ‘‘ajja pannaraso’’tiādigāthamāha. Tattha (su. ni. aṭṭha. 1.153) ajjāti ayaṃ rattindivo pakkhagaṇanato pannaraso, upavasitabbato uposatho. Tīsu vā uposathesu ajja pannaraso uposatho, na cātuddasiuposatho, na sāmaggīuposatho. Divi bhavāni dibbāni, dibbāni ettha atthīti dibbāni. Kāni tāni? Rūpāni. Tañhi rattiṃ devānaṃ dasasahassilokadhātuto sannipatitānaṃ sarīravatthābharaṇavimānappabhāhi abbhādiupakkilesavirahitāya candappabhāya ca sakalajambudīpo alaṅkato ahosīti ativiya alaṅkato ca parivisuddhidevassa bhagavato sarīrappabhāya. Tenāha – ‘‘dibbā ratti upaṭṭhitā’’ti.

    เอวํ รตฺติคุณวณฺณนาปเทเสนปิ สหายสฺส จิตฺตํ ปสาทํ ชเนโนฺต พุทฺธุปฺปาทํ กเถตฺวา อาห – ‘‘อโนมนามํ สตฺถารํ, หนฺท ปสฺสาม โคตม’’นฺติฯ ตตฺถ อโนเมหิ อลามเกหิ สพฺพาการปริปูเรหิ คุเณหิ นามํ อสฺสาติ อโนมนาโมฯ ตถา หิสฺส ‘‘พุชฺฌิตา สจฺจานีติ พุโทฺธ, โพเธตา ปชายาติ พุโทฺธ’’ติอาทินา (มหานิ. ๑๙๒; จูฬนิ. ปารายนตฺถุติคาถานิเทฺทโส ๙๗; ปฎิ. ม. ๑.๑๖๒) นเยน พุโทฺธติ อโนเมหิ คุเณหิ นามํฯ ‘‘ภคฺคราโคติ ภควา, ภคฺคโทโสติ ภควา’’ติอาทินา (มหานิ. ๘๔) นเยน ภควาติ อโนเมหิ คุเณหิ นามํฯ เอส นโย ‘‘อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน’’ติอาทีสุฯ ทิฎฺฐธมฺมิกาทิอเตฺถหิ เทวมนุเสฺส อนุสาสติ ‘‘อิมํ ปชหถ, อิมํ สมาทาย วตฺตถา’’ติ สตฺถาฯ ตํ อโนมนามํ สตฺถารํฯ หนฺทาติ วจสายเตฺถ นิปาโตฯ ปสฺสามาติ เตน อตฺตานํ สห สงฺคเหตฺวา ปจฺจุปฺปนฺนพหุวจนํฯ โคตมนฺติ โคตมโคตฺตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘สตฺถา, น สตฺถา’’ติ มา วิมติํ อกาสิ, เอกนฺตพฺยวสิโต หุตฺวาว เอหิ ปสฺสาม โคตมนฺติฯ

    Evaṃ rattiguṇavaṇṇanāpadesenapi sahāyassa cittaṃ pasādaṃ janento buddhuppādaṃ kathetvā āha – ‘‘anomanāmaṃ satthāraṃ, handa passāma gotama’’nti. Tattha anomehi alāmakehi sabbākāraparipūrehi guṇehi nāmaṃ assāti anomanāmo. Tathā hissa ‘‘bujjhitā saccānīti buddho, bodhetā pajāyāti buddho’’tiādinā (mahāni. 192; cūḷani. pārāyanatthutigāthāniddeso 97; paṭi. ma. 1.162) nayena buddhoti anomehi guṇehi nāmaṃ. ‘‘Bhaggarāgoti bhagavā, bhaggadosoti bhagavā’’tiādinā (mahāni. 84) nayena bhagavāti anomehi guṇehi nāmaṃ. Esa nayo ‘‘arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno’’tiādīsu. Diṭṭhadhammikādiatthehi devamanusse anusāsati ‘‘imaṃ pajahatha, imaṃ samādāya vattathā’’ti satthā. Taṃ anomanāmaṃ satthāraṃ. Handāti vacasāyatthe nipāto. Passāmāti tena attānaṃ saha saṅgahetvā paccuppannabahuvacanaṃ. Gotamanti gotamagottaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘satthā, na satthā’’ti mā vimatiṃ akāsi, ekantabyavasito hutvāva ehi passāma gotamanti.

    เอวํ วุเตฺต เหมวโต ‘‘อยํ สาตาคิโร ‘อโนมนามํ สตฺถาร’นฺติ ภณโนฺต ตสฺส สพฺพญฺญุตํ ปกาเสติ, สพฺพญฺญุโน จ ทุลฺลภา โลเก, สพฺพญฺญุปฎิเญฺญหิ ปูรณาทิสทิเสเหว โลโก อุปทฺทุโตฯ โส ปน ยทิ สพฺพญฺญู, อทฺธา ตาทิลกฺขณํ ปโตฺต ภวิสฺสติ, เตน เอวํ คเหสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตาทิลกฺขณํ ปุจฺฉโนฺต อาห – ‘‘กจฺจิ มโน’’ติอาทิฯ ตตฺถ กจฺจีติ ปุจฺฉาฯ มโนติ จิตฺตํฯ สุปณิหิโตติ สุฎฺฐุ ฐปิโต อจโล อสมฺปเวธีฯ สเพฺพสุ ภูเตสุ สพฺพภูเตสุฯ ตาทิโนติ ตาทิลกฺขณํ ปตฺตเสฺสว สโตฯ ปุจฺฉา เอว วา อยํ ‘‘โส ตว สตฺถา สพฺพภูเตสุ ตาที, อุทาหุ โน’’ติฯ อิเฎฺฐ อนิเฎฺฐจาติ เอวรูเป อารมฺมเณฯ สงฺกปฺปาติ วิตกฺกาฯ วสีกตาติ วสํ คมิตาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยํ ตํ สตฺถารํ วทสิ, ตสฺส เต สตฺถุโน กจฺจิ ตาทิลกฺขณํ สมฺปตฺตสฺส สโต สพฺพภูเตสุ มโน สุปณิหิโต, อุทาหุ ยาว ปจฺจยํ น ลภติ, ตาว สุปณิหิโต วิย ขายติฯ โส วา เต สตฺถา กจฺจิ สพฺพภูเตสุ สเตฺตสุ ตาที, อุทาหุ โน, เย จ อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ อารมฺมเณสุ ราคโทสวเสน สงฺกปฺปา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ตฺยาสฺส กจฺจิ วสีกตา, อุทาหุ กทาจิ เตสมฺปิ วเสน วตฺตตีติฯ

    Evaṃ vutte hemavato ‘‘ayaṃ sātāgiro ‘anomanāmaṃ satthāra’nti bhaṇanto tassa sabbaññutaṃ pakāseti, sabbaññuno ca dullabhā loke, sabbaññupaṭiññehi pūraṇādisadiseheva loko upadduto. So pana yadi sabbaññū, addhā tādilakkhaṇaṃ patto bhavissati, tena evaṃ gahessāmī’’ti cintetvā tādilakkhaṇaṃ pucchanto āha – ‘‘kacci mano’’tiādi. Tattha kaccīti pucchā. Manoti cittaṃ. Supaṇihitoti suṭṭhu ṭhapito acalo asampavedhī. Sabbesu bhūtesu sabbabhūtesu. Tādinoti tādilakkhaṇaṃ pattasseva sato. Pucchā eva vā ayaṃ ‘‘so tava satthā sabbabhūtesu tādī, udāhu no’’ti. Iṭṭhe aniṭṭhecāti evarūpe ārammaṇe. Saṅkappāti vitakkā. Vasīkatāti vasaṃ gamitā. Idaṃ vuttaṃ hoti – yaṃ taṃ satthāraṃ vadasi, tassa te satthuno kacci tādilakkhaṇaṃ sampattassa sato sabbabhūtesu mano supaṇihito, udāhu yāva paccayaṃ na labhati, tāva supaṇihito viya khāyati. So vā te satthā kacci sabbabhūtesu sattesu tādī, udāhu no, ye ca iṭṭhāniṭṭhesu ārammaṇesu rāgadosavasena saṅkappā uppajjeyyuṃ, tyāssa kacci vasīkatā, udāhu kadāci tesampi vasena vattatīti.

    ตีณิ วสฺสานีติ โสณสฺส ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ตีณิ วสฺสานิฯ ตทา กิร ภิกฺขู เยภุเยฺยน มชฺฌิมเทเสเยว วสิํสุ, ตสฺมา ตตฺถ กติปยา เอว อเหสุํฯ เต จ เอกสฺมิํ นิคเม เอโก เทฺวติ เอวํ วิสุํ วิสุํ วสิํสุ, เถรานญฺจ กติปเย ภิกฺขู อาเนตฺวา อเญฺญสุ อานียมาเนสุ ปุพฺพํ อานีตา เกนจิเทว กรณีเยน ปกฺกมิํสุ, กญฺจิ กาลํ อาคเมตฺวา ปุน เตสุ อานียมาเนสุ อิตเร ปกฺกมิํสุ, เอวํ ปุนปฺปุนํ อานยเนน สนฺนิปาโต จิเรเนว อโหสิ, เถโร จ ตทา เอกวิหารี อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ตีณิ วสฺสานิ คณํ ปริเยสิตฺวา’’ติฯ ตีณิ วสฺสานีติ จ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ สตฺถุ อธิปฺปายํ ญตฺวาติ อตฺตโน อาณาปเนเนว ‘‘อิมินา สทฺธิํ เอกคนฺธกุฎิยํ วสิตุกาโม ภควา’’ติ สตฺถุ อธิปฺปายํ ชานิตฺวาฯ ภควา กิร เยน สทฺธิํ เอกคนฺธกุฎิยํ วสิตุกาโม, ตสฺส เสนาสนปญฺญตฺติยํ อานนฺทเตฺถรํ อาณาเปติฯ

    Tīṇi vassānīti soṇassa pabbajitadivasato paṭṭhāya tīṇi vassāni. Tadā kira bhikkhū yebhuyyena majjhimadeseyeva vasiṃsu, tasmā tattha katipayā eva ahesuṃ. Te ca ekasmiṃ nigame eko dveti evaṃ visuṃ visuṃ vasiṃsu, therānañca katipaye bhikkhū ānetvā aññesu ānīyamānesu pubbaṃ ānītā kenacideva karaṇīyena pakkamiṃsu, kañci kālaṃ āgametvā puna tesu ānīyamānesu itare pakkamiṃsu, evaṃ punappunaṃ ānayanena sannipāto cireneva ahosi, thero ca tadā ekavihārī ahosi. Tena vuttaṃ – ‘‘tīṇi vassāni gaṇaṃ pariyesitvā’’ti. Tīṇi vassānīti ca accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Satthu adhippāyaṃ ñatvāti attano āṇāpaneneva ‘‘iminā saddhiṃ ekagandhakuṭiyaṃ vasitukāmo bhagavā’’ti satthu adhippāyaṃ jānitvā. Bhagavā kira yena saddhiṃ ekagandhakuṭiyaṃ vasitukāmo, tassa senāsanapaññattiyaṃ ānandattheraṃ āṇāpeti.

    อโชฺฌกาเส วีตินาเมตฺวาติ อโชฺฌกาเส นิสชฺชาย วีตินาเมตฺวาฯ ยสฺมา ภควา อายสฺมโต โสณสฺส สมาปตฺติสมาปชฺชเนน ปฎิสนฺถารํ กโรโนฺต สาวกสาธารณา สพฺพา สมาปตฺติโย อนุโลมปฺปฎิโลมํ สมาปชฺชโนฺต พหุเทว รตฺติํ อโชฺฌกาเส นิสชฺชาย วีตินาเมตฺวา ปาเท ปกฺขาเลตฺวา วิหารํ ปาวิสิ, ตสฺมา อายสฺมาปิ โสโณ ภควโต อธิปฺปายํ ญตฺวา ตทนุรูปํ สพฺพา ตา สมาปตฺติโย สมาปชฺชโนฺต พหุเทว รตฺติํ อโชฺฌกาเส นิสชฺชาย วีตินาเมตฺวา ปาเท ปกฺขาเลตฺวา วิหารํ ปาวิสีติ วทนฺติฯ ปวิสิตฺวา จ ภควตา อนุญฺญาโต จีวรติโรกรณิยํ กตฺวา ภควโต ปาทปเสฺส นิสชฺชาย วีตินาเมสิฯ อเชฺฌสีติ อาณาเปสิฯ ปฎิภาตุ ตํ ภิกฺขุ ธโมฺม ภาสิตุนฺติ ภิกฺขุ ตุยฺหํ ธโมฺม ภาสิตุํ อุปฎฺฐาตุ, ญาณมุขํ อาคจฺฉตุ, ยถาสุตํ ยถาปริยตฺตํ ธมฺมํ ภณาหีติ อโตฺถฯ อฎฺฐกวคฺคิยานีติ อฎฺฐกวคฺคภูตานิ กามสุตฺตาทิโสฬสสุตฺตานิ (มหานิ. ๑)ฯ สุคฺคหิโตติ สมฺมา อุคฺคหิโตฯ สเพฺพ วเร ยาจีติ วินยธรปญฺจเมน คเณน อุปสมฺปทา ธุวนฺหานํ จมฺมตฺถรณํ คณงฺคณูปาหนํ จีวรวิปฺปวาโสติ อิเม ปญฺจ วเร ยาจิฯ สุเตฺต อาคตเมวาติ อุทานปาฬิยํ อาคตสุตฺตํ สนฺธาย วทติฯ

    Ajjhokāse vītināmetvāti ajjhokāse nisajjāya vītināmetvā. Yasmā bhagavā āyasmato soṇassa samāpattisamāpajjanena paṭisanthāraṃ karonto sāvakasādhāraṇā sabbā samāpattiyo anulomappaṭilomaṃ samāpajjanto bahudeva rattiṃ ajjhokāse nisajjāya vītināmetvā pāde pakkhāletvā vihāraṃ pāvisi, tasmā āyasmāpi soṇo bhagavato adhippāyaṃ ñatvā tadanurūpaṃ sabbā tā samāpattiyo samāpajjanto bahudeva rattiṃ ajjhokāse nisajjāya vītināmetvā pāde pakkhāletvā vihāraṃ pāvisīti vadanti. Pavisitvā ca bhagavatā anuññāto cīvaratirokaraṇiyaṃ katvā bhagavato pādapasse nisajjāya vītināmesi. Ajjhesīti āṇāpesi. Paṭibhātu taṃ bhikkhu dhammo bhāsitunti bhikkhu tuyhaṃ dhammo bhāsituṃ upaṭṭhātu, ñāṇamukhaṃ āgacchatu, yathāsutaṃ yathāpariyattaṃ dhammaṃ bhaṇāhīti attho. Aṭṭhakavaggiyānīti aṭṭhakavaggabhūtāni kāmasuttādisoḷasasuttāni (mahāni. 1). Suggahitoti sammā uggahito. Sabbe vare yācīti vinayadharapañcamena gaṇena upasampadā dhuvanhānaṃ cammattharaṇaṃ gaṇaṅgaṇūpāhanaṃ cīvaravippavāsoti ime pañca vare yāci. Sutte āgatamevāti udānapāḷiyaṃ āgatasuttaṃ sandhāya vadati.

    สีวลิเตฺถรวตฺถุ

    Sīvalittheravatthu

    ๒๐๗. นวเม สากจฺฉิตฺวา สากจฺฉิตฺวาติ รญฺญา สทฺธิํ ปฎิวิรุชฺฌนวเสน ปุนปฺปุนํ สากจฺฉํ กตฺวาฯ คุฬทธินฺติ ปตฺถินฺนํ คุฬสทิสํ กฐินทธิํฯ อติอญฺฉิตุนฺติ อติวิย อากฑฺฒิตุํฯ กญฺชิยํ วาเหตฺวาติ ทธิมตฺถุํ ปวาเหตฺวา, ปริสฺสาเวตฺวาติ อโตฺถฯ ‘‘ทธิโต กญฺชิยํ คเหตฺวา’’ติปิ ปาโฐฯ นฺติ สุปฺปวาสํฯ พีชปจฺฉิํ ผุสาเปนฺตีติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ ยาว น อุกฺกฑฺฒนฺตีติ ยาว ทาเน น อุกฺกฑฺฒนฺติ, ทาตุกามาว โหนฺตีติ อธิปฺปาโย มหาทุกฺขํ อนุโภสีติ ปสวนิพนฺธนํ มหนฺตํ ทุกฺขํ อนุโภสิฯ สามิกํ อามเนฺตตฺวาติ สตฺตาหํ มูฬฺหคพฺภา ติพฺพาหิ ขราหิ ทุกฺขเวทนาหิ ผุฎฺฐา ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ วต โส ภควา, โย อิมสฺส เอวรูปสฺส ทุกฺขสฺส ปหานาย ธมฺมํ เทเสติฯ สุปฺปฎิปโนฺน วต ตสฺส ภควโต สาวกสโงฺฆ, โย อิมสฺส เอวรูปสฺส ทุกฺขสฺส ปหานาย ปฎิปโนฺนฯ สุสุขํ วต นิพฺพานํ, ยตฺถิทํ เอวรูปํ ทุกฺขํ น สํวิชฺชตี’’ติ (อุทา. ๑๘) อิเมหิ ตีหิ วิตเกฺกหิ ตํ ทุกฺขํ อธิวาเสนฺตี สตฺถุ สนฺติกํ เปเสตุกามตาย สามิกํ อามเนฺตตฺวาฯ ปุเร มรณาติ มรณโต ปุเรตรเมวฯ อิงฺคิตนฺติ อาการํฯ ชีวิตภตฺตนฺติ ชีวิตสํสเย ทาตพฺพภตฺตํฯ สพฺพกมฺมกฺขโม อโหสีติ สตฺตวสฺสิเกหิ ทารเกหิ กาตพฺพํ ยํ กิญฺจิ กมฺมํ กาตุํ สมตฺถตาย สพฺพสฺส กมฺมสฺส ขโม อโหสิฯ เตเนว โส สตฺตาหํ มหาทาเน ทียมาเน ชาตทิวสโต ปฎฺฐาย ธมฺมกรณํ อาทาย สงฺฆสฺส อุทกํ ปริสฺสาเวตฺวา อทาสิฯ

    207. Navame sākacchitvā sākacchitvāti raññā saddhiṃ paṭivirujjhanavasena punappunaṃ sākacchaṃ katvā. Guḷadadhinti patthinnaṃ guḷasadisaṃ kaṭhinadadhiṃ. Atiañchitunti ativiya ākaḍḍhituṃ. Kañjiyaṃ vāhetvāti dadhimatthuṃ pavāhetvā, parissāvetvāti attho. ‘‘Dadhito kañjiyaṃ gahetvā’’tipi pāṭho. Nanti suppavāsaṃ. Bījapacchiṃ phusāpentīti iminā sambandho. Yāva na ukkaḍḍhantīti yāva dāne na ukkaḍḍhanti, dātukāmāva hontīti adhippāyo mahādukkhaṃ anubhosīti pasavanibandhanaṃ mahantaṃ dukkhaṃ anubhosi. Sāmikaṃ āmantetvāti sattāhaṃ mūḷhagabbhā tibbāhi kharāhi dukkhavedanāhi phuṭṭhā ‘‘sammāsambuddho vata so bhagavā, yo imassa evarūpassa dukkhassa pahānāya dhammaṃ deseti. Suppaṭipanno vata tassa bhagavato sāvakasaṅgho, yo imassa evarūpassa dukkhassa pahānāya paṭipanno. Susukhaṃ vata nibbānaṃ, yatthidaṃ evarūpaṃ dukkhaṃ na saṃvijjatī’’ti (udā. 18) imehi tīhi vitakkehi taṃ dukkhaṃ adhivāsentī satthu santikaṃ pesetukāmatāya sāmikaṃ āmantetvā. Pure maraṇāti maraṇato puretarameva. Iṅgitanti ākāraṃ. Jīvitabhattanti jīvitasaṃsaye dātabbabhattaṃ. Sabbakammakkhamo ahosīti sattavassikehi dārakehi kātabbaṃ yaṃ kiñci kammaṃ kātuṃ samatthatāya sabbassa kammassa khamo ahosi. Teneva so sattāhaṃ mahādāne dīyamāne jātadivasato paṭṭhāya dhammakaraṇaṃ ādāya saṅghassa udakaṃ parissāvetvā adāsi.

    โยมนฺติอาทิคาถาย ‘‘โย ภิกฺขุ อิมํ ราคปลิปถเญฺจว กิเลสทุคฺคญฺจ สํสารวฎฺฎญฺจ จตุนฺนํ สจฺจานํ อปฺปฎิวิชฺฌนกโมหญฺจ อตีโต จตฺตาโร โอเฆ ติโณฺณ หุตฺวา ปารํ อนุปฺปโตฺต, ทุวิเธน ฌาเนน ฌายี, ตณฺหาย อภาเวน อเนโช, กถํกถาย อภาเวน อกถํกถี, อุปาทานานํ อภาเวน อนุปาทิยิตฺวา กิเลสนิพฺพาเนน นิพฺพุโต, ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามี’’ติ อโตฺถฯ

    Yomantiādigāthāya ‘‘yo bhikkhu imaṃ rāgapalipathañceva kilesaduggañca saṃsāravaṭṭañca catunnaṃ saccānaṃ appaṭivijjhanakamohañca atīto cattāro oghe tiṇṇo hutvā pāraṃ anuppatto, duvidhena jhānena jhāyī, taṇhāya abhāvena anejo, kathaṃkathāya abhāvena akathaṃkathī, upādānānaṃ abhāvena anupādiyitvā kilesanibbānena nibbuto, tamahaṃ brāhmaṇaṃ vadāmī’’ti attho.

    สเพฺพสํเยว ปน เกสานํ โอโรปนญฺจ อรหตฺตสจฺฉิกิริยา จ อปจฺฉาอปุริมา อโหสีติ อิมินา เถรสฺส ขุรเคฺคเยว อรหตฺตุปฺปตฺติ ทีปิตาฯ เอกเจฺจ ปน อาจริยา เอวํ วทนฺติ ‘‘เหฎฺฐา วุตฺตนเยน ธมฺมเสนาปตินา โอวาเท ทิเนฺน ‘ยํ มยา กาตุํ สกฺกา, ตมหํ ชานิสฺสามี’ติ ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนากมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา ตํ ทิวสํเยว อญฺญตรํ วิจิตฺตํ กุฎิกํ ทิสฺวา ปวิสิตฺวา มาตุกุจฺฉิยํ สตฺต วสฺสานิ อตฺตนา อนุภูตทุกฺขํ อนุสฺสริตฺวา ตทนุสาเรน อตีตานาคเต ญาณํ เนนฺตสฺส อาทิตฺตา วิย ตโย ภวา อุปฎฺฐหิํสุฯ ญาณสฺส ปริปากํ คตตฺตา วิปสฺสนาวีถิํ โอตริตฺวา ตาวเทว มคฺคปฺปฎิปาฎิยา สเพฺพปิ อาสเว เขเปโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณี’’ติฯ อุภยถาปิ เถรสฺส อรหตฺตุปฺปตฺติเยว ปกาสิตา, เถโร ปน ปภินฺนปฺปฎิสมฺภิโท ฉฬภิโญฺญ อโหสิฯ

    Sabbesaṃyeva pana kesānaṃ oropanañca arahattasacchikiriyā ca apacchāapurimā ahosīti iminā therassa khuraggeyeva arahattuppatti dīpitā. Ekacce pana ācariyā evaṃ vadanti ‘‘heṭṭhā vuttanayena dhammasenāpatinā ovāde dinne ‘yaṃ mayā kātuṃ sakkā, tamahaṃ jānissāmī’ti pabbajitvā vipassanākammaṭṭhānaṃ gahetvā taṃ divasaṃyeva aññataraṃ vicittaṃ kuṭikaṃ disvā pavisitvā mātukucchiyaṃ satta vassāni attanā anubhūtadukkhaṃ anussaritvā tadanusārena atītānāgate ñāṇaṃ nentassa ādittā viya tayo bhavā upaṭṭhahiṃsu. Ñāṇassa paripākaṃ gatattā vipassanāvīthiṃ otaritvā tāvadeva maggappaṭipāṭiyā sabbepi āsave khepento arahattaṃ pāpuṇī’’ti. Ubhayathāpi therassa arahattuppattiyeva pakāsitā, thero pana pabhinnappaṭisambhido chaḷabhiñño ahosi.

    วกฺกลิเตฺถรวตฺถุ

    Vakkalittheravatthu

    ๒๐๘. ทสเม อาหารกรณเวลนฺติ โภชนกิจฺจเวลํฯ อธิคเจฺฉ ปทํ สนฺตนฺติ สงฺขารูปสมํ สุขนฺติ ลทฺธนามํ สนฺตํ ปทํ นิพฺพานํ อธิคเจฺฉยฺยฯ ปฐมปาเทน ปพฺพเต ฐิโตเยวาติ ปฐเมน ปาเทน คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเต ฐิโตเยวฯ เสสเมตฺถ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    208. Dasame āhārakaraṇavelanti bhojanakiccavelaṃ. Adhigacche padaṃ santanti saṅkhārūpasamaṃ sukhanti laddhanāmaṃ santaṃ padaṃ nibbānaṃ adhigaccheyya. Paṭhamapādena pabbate ṭhitoyevāti paṭhamena pādena gijjhakūṭe pabbate ṭhitoyeva. Sesamettha suviññeyyameva.

    ทุติยเอตทคฺควคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dutiyaetadaggavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๓. ตติยเอตทคฺควคฺควณฺณนา

    (14) 3. Tatiyaetadaggavaggavaṇṇanā

    ราหุล-รฎฺฐปาลเตฺถรวตฺถุ

    Rāhula-raṭṭhapālattheravatthu

    ๒๐๙-๒๑๐. ตติยสฺส ปฐมทุติเยสุ ติโสฺส สิกฺขาติ อธิสีลอธิจิตฺตอธิปญฺญาสงฺขาตา ติโสฺส สิกฺขาฯ จุทฺทส ภตฺตเจฺฉเท กตฺวาติ สตฺตาหํ นิราหารตาย เอเกกสฺมิํ ทิวเส ทฺวินฺนํ ภตฺตเจฺฉทานํ วเสน จุทฺทส ภตฺตเจฺฉเท กตฺวาฯ

    209-210. Tatiyassa paṭhamadutiyesu tisso sikkhāti adhisīlaadhicittaadhipaññāsaṅkhātā tisso sikkhā. Cuddasa bhattacchede katvāti sattāhaṃ nirāhāratāya ekekasmiṃ divase dvinnaṃ bhattacchedānaṃ vasena cuddasa bhattacchede katvā.

    เตสนฺติ เตสํ ตาปสานํฯ ลาพุภาชนาทิปริกฺขารํ สํวิธายาติ ลาพุภาชนาทิตาปสปริกฺขารํ สํวิทหิตฺวาฯ สปริฬาหกายธาตุโกติ อุสฺสนฺนปิตฺตตาย สปริฬาหกายสภาโวฯ สตสหสฺสาติ สตสหสฺสปริมาณาฯ สตสหสฺสํ ปริมาณํ เอเตสนฺติ สตสหสฺสา อุตฺตรปทโลเปน ยถา ‘‘รูปภโว รูป’’นฺติ, อตฺถิอเตฺถ วา อการปจฺจโย ทฎฺฐโพฺพฯ ปาณาติปาตาทิอกุสลธมฺมสมุทาจารสงฺขาโต อามคโนฺธ กุณปคโนฺธ นตฺถิ เอเตสนฺติ นิรามคนฺธา, ยถาวุตฺตกิเลสสมุทาจารรหิตาติ อโตฺถฯ กิเลสสมุทาจาโร เหตฺถ ‘‘อามคโนฺธ’’ติ วุโตฺตฯ กิํการณา? อมนุญฺญตฺตา, กิเลสอสุจิมิสฺสตฺตา, สพฺภิ ชิคุจฺฉิตตฺตา, ปรมทุคฺคนฺธภาววหตฺตา จฯ ตถา หิ เย เย อุสฺสนฺนกิเลสา สตฺตา, เต เต อติทุคฺคนฺธา โหนฺติฯ เตเนว นิกฺกิเลสานํ มตสรีรมฺปิ ทุคฺคนฺธํ น โหติฯ ทานคฺคปริวหนเกติ ทานคฺคธุรวหนเกฯ มาปโกติ ทิวเส ทิวเส ปริมิตปริพฺพยทานวเสน ธญฺญมาปโกฯ

    Tesanti tesaṃ tāpasānaṃ. Lābubhājanādiparikkhāraṃ saṃvidhāyāti lābubhājanāditāpasaparikkhāraṃ saṃvidahitvā. Sapariḷāhakāyadhātukoti ussannapittatāya sapariḷāhakāyasabhāvo. Satasahassāti satasahassaparimāṇā. Satasahassaṃ parimāṇaṃ etesanti satasahassā uttarapadalopena yathā ‘‘rūpabhavo rūpa’’nti, atthiatthe vā akārapaccayo daṭṭhabbo. Pāṇātipātādiakusaladhammasamudācārasaṅkhāto āmagandho kuṇapagandho natthi etesanti nirāmagandhā, yathāvuttakilesasamudācārarahitāti attho. Kilesasamudācāro hettha ‘‘āmagandho’’ti vutto. Kiṃkāraṇā? Amanuññattā, kilesaasucimissattā, sabbhi jigucchitattā, paramaduggandhabhāvavahattā ca. Tathā hi ye ye ussannakilesā sattā, te te atiduggandhā honti. Teneva nikkilesānaṃ matasarīrampi duggandhaṃ na hoti. Dānaggaparivahanaketi dānaggadhuravahanake. Māpakoti divase divase parimitaparibbayadānavasena dhaññamāpako.

    ปาฬิยนฺติ วินยปาฬิยํฯ มิคชาตกํ อาหริตฺวา กเถสีติ อตีเต กิร โพธิสโตฺต มิคโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา มิคคณปริวุโต อรเญฺญ วสติฯ อถสฺส ภคินี อตฺตโน ปุตฺตกํ อุปเนตฺวา ‘‘ภาติก อิมํ ภาคิเนยฺยํ มิคมายํ สิกฺขาเปหี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ‘‘คจฺฉ ตาต, อสุกเวลายํ นาม อาคนฺตฺวา สิเกฺขยฺยาสี’’ติ อาหฯ โส มาตุเลน วุตฺตเวลํ อนติกฺกมิตฺวา ตํ อุปสงฺกมิตฺวา มิคมายํ สิกฺขิฯ โส เอกทิวสํ วเน วิจรโนฺต ปาเสน พโทฺธ พทฺธรวํ วิรวิฯ มิคคโณ ปลายิตฺวา ‘‘ปุโตฺต เต ปาเสน พโทฺธ’’ติ ตสฺส มาตุยา อาโรเจสิฯ สา ภาตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ภาติก ภาคิเนโยฺย เต มิคมายํ สิกฺขาปิโต’’ติ ปุจฺฉิฯ โพธิสโตฺต ‘‘มา ตฺวํ ปุตฺตสฺส กิญฺจิ ปาปกํ อาสงฺกิ, สุคฺคหิตา เตน มิคมายา, อิทานิ ตํ หาสยมาโน อาคจฺฉิสฺสตี’’ติ วตฺวา ‘‘มิคํ ติปลฺลตฺถ’’นฺติอาทิมาหฯ

    Pāḷiyanti vinayapāḷiyaṃ. Migajātakaṃ āharitvā kathesīti atīte kira bodhisatto migayoniyaṃ nibbattitvā migagaṇaparivuto araññe vasati. Athassa bhaginī attano puttakaṃ upanetvā ‘‘bhātika imaṃ bhāgineyyaṃ migamāyaṃ sikkhāpehī’’ti āha. Bodhisatto ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā ‘‘gaccha tāta, asukavelāyaṃ nāma āgantvā sikkheyyāsī’’ti āha. So mātulena vuttavelaṃ anatikkamitvā taṃ upasaṅkamitvā migamāyaṃ sikkhi. So ekadivasaṃ vane vicaranto pāsena baddho baddharavaṃ viravi. Migagaṇo palāyitvā ‘‘putto te pāsena baddho’’ti tassa mātuyā ārocesi. Sā bhātu santikaṃ gantvā ‘‘bhātika bhāgineyyo te migamāyaṃ sikkhāpito’’ti pucchi. Bodhisatto ‘‘mā tvaṃ puttassa kiñci pāpakaṃ āsaṅki, suggahitā tena migamāyā, idāni taṃ hāsayamāno āgacchissatī’’ti vatvā ‘‘migaṃ tipallattha’’ntiādimāha.

    ตตฺถ มิคนฺติ ภาคิเนยฺยมิคํฯ ติปลฺลตฺถํ วุจฺจติ สยนํ, อุโภหิ ปเสฺสหิ อุชุกเมว จ นิปนฺนกวเสน ตีหากาเรหิ ปลฺลตฺถํ อสฺส, ตีณิ วา ปลฺลตฺถานิ อสฺสาติ ติปลฺลโตฺถ, ตํ ติปลฺลตฺถํฯ อเนกมายนฺติ พหุมายํ พหุวญฺจนํฯ อฎฺฐกฺขุรนฺติ เอเกกสฺมิํ ปาเท ทฺวินฺนํ ทฺวินฺนํ วเสน อฎฺฐหิ ขุเรหิ สมนฺนาคตํฯ อฑฺฒรตฺตาปปายินฺติ ปุริมยามํ อติกฺกมิตฺวา มชฺฌิมยาเม อรญฺญโต อาคมฺม ปานียสฺส ปิวนโต อฑฺฒรเตฺต อาปํ ปิวตีติ อฑฺฒรตฺตาปปายีฯ ‘‘อฑฺฒรเตฺต อาปปายิ’’นฺติปิ ปาโฐฯ มม ภาคิเนยฺยํ มิคํ อหํ สาธุกํ มิคมายํ อุคฺคณฺหาเปสิํฯ กถํ? ยถา เอเกน โสเตน ฉมายํ อสฺสสโนฺต ฉหิ กลาหิ อติโภติ ภาคิเนโยฺยฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อยญฺหิ ตว ปุตฺตํ ตถา อุคฺคณฺหาเปสิํ, ยถา เอกสฺมิํ อุปริมนาสิกาโสเต วาตํ สนฺนิรุมฺภิตฺวา ปถวิยํ อลฺลีเนน เอเกน เหฎฺฐิมนาสิกาโสเตน ตเถว ฉมายํ อสฺสสโนฺต ฉหิ กลาหิ ลุทฺทกํ อติโภติ, ฉหิ โกฎฺฐาเสหิ อโชฺฌตฺถรติ วเญฺจตีติ อโตฺถฯ กตเมหิ ฉหิ? จตฺตาโร ปาเท ปสาเรตฺวา เอเกน ปเสฺสน เสยฺยาย, ขุเรหิ ติณปํสุขณเนน, ชิวฺหานินฺนามเนน, อุทรสฺส อุทฺธุมาตภาวกรเณน, อุจฺจารปสฺสาววิสฺสชฺชเนน, วาตสฺส นิรุมฺภเนนาติฯ อถ วา ตถา นํ อุคฺคณฺหาเปสิํ, ยถา เอเกน โสเตน ฉมายํ อสฺสสโนฺตฯ ฉหีติ เหฎฺฐา วุเตฺตหิ ฉหิ การเณหิฯ กลาหีติ กลายิสฺสติ, ลุทฺทกํ วเญฺจสฺสตีติ อโตฺถฯ โภตีติ ภคินิํ อาลปติฯ ภาคิเนโยฺยติ เอวํ ฉหิ การเณหิ วญฺจกํ ภาคิเนยฺยํ นิทฺทิสติฯ

    Tattha miganti bhāgineyyamigaṃ. Tipallatthaṃ vuccati sayanaṃ, ubhohi passehi ujukameva ca nipannakavasena tīhākārehi pallatthaṃ assa, tīṇi vā pallatthāni assāti tipallattho, taṃ tipallatthaṃ. Anekamāyanti bahumāyaṃ bahuvañcanaṃ. Aṭṭhakkhuranti ekekasmiṃ pāde dvinnaṃ dvinnaṃ vasena aṭṭhahi khurehi samannāgataṃ. Aḍḍharattāpapāyinti purimayāmaṃ atikkamitvā majjhimayāme araññato āgamma pānīyassa pivanato aḍḍharatte āpaṃ pivatīti aḍḍharattāpapāyī. ‘‘Aḍḍharatte āpapāyi’’ntipi pāṭho. Mama bhāgineyyaṃ migaṃ ahaṃ sādhukaṃ migamāyaṃ uggaṇhāpesiṃ. Kathaṃ? Yathā ekena sotena chamāyaṃ assasanto chahi kalāhi atibhoti bhāgineyyo. Idaṃ vuttaṃ hoti – ayañhi tava puttaṃ tathā uggaṇhāpesiṃ, yathā ekasmiṃ uparimanāsikāsote vātaṃ sannirumbhitvā pathaviyaṃ allīnena ekena heṭṭhimanāsikāsotena tatheva chamāyaṃ assasanto chahi kalāhi luddakaṃ atibhoti, chahi koṭṭhāsehi ajjhottharati vañcetīti attho. Katamehi chahi? Cattāro pāde pasāretvā ekena passena seyyāya, khurehi tiṇapaṃsukhaṇanena, jivhāninnāmanena, udarassa uddhumātabhāvakaraṇena, uccārapassāvavissajjanena, vātassa nirumbhanenāti. Atha vā tathā naṃ uggaṇhāpesiṃ, yathā ekena sotena chamāyaṃ assasanto. Chahīti heṭṭhā vuttehi chahi kāraṇehi. Kalāhīti kalāyissati, luddakaṃ vañcessatīti attho. Bhotīti bhaginiṃ ālapati. Bhāgineyyoti evaṃ chahi kāraṇehi vañcakaṃ bhāgineyyaṃ niddisati.

    เอวํ โพธิสโตฺต ภาคิเนยฺยสฺส มิคมายํ สาธุกํ อุคฺคหิตภาวํ วทโนฺต ภคินิํ สมสฺสาเสสิฯ โสปิ มิคโปตโก ปาเส พโทฺธ อนิพนฺธิตฺวาเยว ภูมิยํ มหาผาสุกปเสฺสน ปาเท ปสาเรตฺวา นิปโนฺน ปาทานํ อาสนฺนฎฺฐาเน ขุเรหิ เอว ปหริตฺวา ปํสุญฺจ ติณานิ จ อุปฺปาเฎตฺวา อุจฺจารปสฺสาวํ วิสฺสเชฺชตฺวา สีสํ ปาเตตฺวา ชิวฺหํ นินฺนาเมตฺวา สรีรํ เขฬกิลินฺนํ กตฺวา วาตคฺคหเณน อุทรํ อุทฺธุมาตกํ กตฺวา อกฺขีนิ ปริวเตฺตตฺวา เหฎฺฐานาสิกาโสเตน วาตํ สญฺจราเปโนฺต อุปริมนาสิกาโสเตน วาตํ สนฺนิรุมฺภิตฺวา สกลสรีรํ ถทฺธภาวํ คาหาเปตฺวา มตกาการํ ทเสฺสสิ, นีลมกฺขิกาปิ นํ สมฺปริวาเรสุํ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน กากา นิลียิํสุฯ ลุโทฺท อาคนฺตฺวา อุทเร หเตฺถน ปหริตฺวา ‘‘ปาโตว พโทฺธ ภวิสฺสติ, ปูติโก ชาโต’’ติ ตสฺส พนฺธนรชฺชุํ โมเจตฺวา ‘‘เอเตฺถว ทานิ นํ อุกฺกนฺติตฺวา มํสํ อาทาย คมิสฺสามี’’ติ นิราสโงฺก หุตฺวา สาขาปลาสํ คเหตุํ อารโทฺธฯ มิคโปตโกปิ อุฎฺฐาย จตูหิ ปาเทหิ ฐตฺวา กายํ วิธุนิตฺวา คีวํ ปสาเรตฺวา มหาวาเตน ฉินฺนวลาหโก วิย เวเคน มาตุ สนฺติกํ อคมาสิฯ สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, ราหุโล อิทาเนว สิกฺขากาโม, ปุเพฺพปิ สิกฺขากาโมเยวา’’ติ เอวํ มิคชาตกํ อาหริตฺวา กเถสิฯ

    Evaṃ bodhisatto bhāgineyyassa migamāyaṃ sādhukaṃ uggahitabhāvaṃ vadanto bhaginiṃ samassāsesi. Sopi migapotako pāse baddho anibandhitvāyeva bhūmiyaṃ mahāphāsukapassena pāde pasāretvā nipanno pādānaṃ āsannaṭṭhāne khurehi eva paharitvā paṃsuñca tiṇāni ca uppāṭetvā uccārapassāvaṃ vissajjetvā sīsaṃ pātetvā jivhaṃ ninnāmetvā sarīraṃ kheḷakilinnaṃ katvā vātaggahaṇena udaraṃ uddhumātakaṃ katvā akkhīni parivattetvā heṭṭhānāsikāsotena vātaṃ sañcarāpento uparimanāsikāsotena vātaṃ sannirumbhitvā sakalasarīraṃ thaddhabhāvaṃ gāhāpetvā matakākāraṃ dassesi, nīlamakkhikāpi naṃ samparivāresuṃ, tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne kākā nilīyiṃsu. Luddo āgantvā udare hatthena paharitvā ‘‘pātova baddho bhavissati, pūtiko jāto’’ti tassa bandhanarajjuṃ mocetvā ‘‘ettheva dāni naṃ ukkantitvā maṃsaṃ ādāya gamissāmī’’ti nirāsaṅko hutvā sākhāpalāsaṃ gahetuṃ āraddho. Migapotakopi uṭṭhāya catūhi pādehi ṭhatvā kāyaṃ vidhunitvā gīvaṃ pasāretvā mahāvātena chinnavalāhako viya vegena mātu santikaṃ agamāsi. Satthā ‘‘na, bhikkhave, rāhulo idāneva sikkhākāmo, pubbepi sikkhākāmoyevā’’ti evaṃ migajātakaṃ āharitvā kathesi.

    อมฺพลฎฺฐิยราหุโลวาทํ เทเสสีติ ‘‘ปสฺสสิ โน ตฺวํ, ราหุล, อิมํ ปริตฺตํ อุทกาวเสสํ อุทกาทาเน ฐปิตนฺติ? เอวํ, ภเนฺตฯ เอวํ ปริตฺตกํ โข, ราหุล, เตสํ สามญฺญํ, เยสํ นตฺถิ สมฺปชานมุสาวาเท ลชฺชา’’ติ เอวมาทินา อมฺพลฎฺฐิยราหุโลวาทํ (ม. นิ. ๒.๑๐๗ อาทโย) กเถสิฯ เคหสิตํ วิตกฺกํ วิตเกฺกนฺตสฺสาติ อายสฺมา กิร ราหุโล ภควโต ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต คจฺฉโนฺตว ปาทตลโต ยาว อุปริ เกสนฺตา ตถาคตํ โอโลเกสิ, โส ภควโต พุทฺธเวสวิลาสํ ทิสฺวา ‘‘โสภติ ภควา ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณวิจิตฺตสรีโร พฺยามปฺปภาปริกฺขิตฺตตาย วิปฺปกิณฺณสุวณฺณจุณฺณมชฺฌคโต วิย วิชฺชุลตาปริกฺขิโตฺต กนกปพฺพโต วิย ยนฺตสมากฑฺฒิตรตนวิจิตฺตสุวณฺณอคฺฆิกํ วิย ปํสุกูลจีวรปฺปฎิจฺฉโนฺนปิ รตฺตกมฺพลปริกฺขิตฺตกนกปพฺพโต วิย ปวาฬลตาปฎิมณฺฑิตสุวณฺณฆฎิกํ วิย จีนปิฎฺฐจุณฺณปูชิตสุวณฺณเจติยํ วิย ลาขารสานุลิโตฺต กนกถูโป วิย รตฺตวลาหกนฺตรคโต ตงฺขณมุคฺคตปุณฺณจโนฺท วิย อโห สมติํสปารมิตานุภาเวน สชฺชิตสฺส อตฺตภาวสฺส สิริสมฺปตฺตี’’ติ จิเนฺตสิฯ ตโต อตฺตานมฺปิ โอโลเกตฺวา ‘‘อหมฺปิ โสภามิ, สเจ ภควา จตูสุ มหาทีเปสุ จกฺกวตฺติรชฺชํ อกริสฺส, มยฺหํ ปริณายกฎฺฐานนฺตรมทสฺส, เอวํ สเนฺต อติวิย ชมฺพุทีปตลํ อติโสภิสฺสา’’ติ อตฺตภาวํ นิสฺสาย เคหสิตํ ฉนฺทราคํ อุปฺปาเทสิฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํ – ‘‘สตฺถุ เจว อตฺตโน จ รูปสมฺปตฺติํ ทิสฺวา เคหสิตํ วิตกฺกํ วิตเกฺกนฺตสฺสา’’ติฯ

    Ambalaṭṭhiyarāhulovādaṃ desesīti ‘‘passasi no tvaṃ, rāhula, imaṃ parittaṃ udakāvasesaṃ udakādāne ṭhapitanti? Evaṃ, bhante. Evaṃ parittakaṃ kho, rāhula, tesaṃ sāmaññaṃ, yesaṃ natthi sampajānamusāvāde lajjā’’ti evamādinā ambalaṭṭhiyarāhulovādaṃ (ma. ni. 2.107 ādayo) kathesi. Gehasitaṃ vitakkaṃ vitakkentassāti āyasmā kira rāhulo bhagavato piṭṭhito piṭṭhito gacchantova pādatalato yāva upari kesantā tathāgataṃ olokesi, so bhagavato buddhavesavilāsaṃ disvā ‘‘sobhati bhagavā dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇavicittasarīro byāmappabhāparikkhittatāya vippakiṇṇasuvaṇṇacuṇṇamajjhagato viya vijjulatāparikkhitto kanakapabbato viya yantasamākaḍḍhitaratanavicittasuvaṇṇaagghikaṃ viya paṃsukūlacīvarappaṭicchannopi rattakambalaparikkhittakanakapabbato viya pavāḷalatāpaṭimaṇḍitasuvaṇṇaghaṭikaṃ viya cīnapiṭṭhacuṇṇapūjitasuvaṇṇacetiyaṃ viya lākhārasānulitto kanakathūpo viya rattavalāhakantaragato taṅkhaṇamuggatapuṇṇacando viya aho samatiṃsapāramitānubhāvena sajjitassa attabhāvassa sirisampattī’’ti cintesi. Tato attānampi oloketvā ‘‘ahampi sobhāmi, sace bhagavā catūsu mahādīpesu cakkavattirajjaṃ akarissa, mayhaṃ pariṇāyakaṭṭhānantaramadassa, evaṃ sante ativiya jambudīpatalaṃ atisobhissā’’ti attabhāvaṃ nissāya gehasitaṃ chandarāgaṃ uppādesi. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ – ‘‘satthu ceva attano ca rūpasampattiṃ disvā gehasitaṃ vitakkaṃ vitakkentassā’’ti.

    ภควาปิ ปุรโต คจฺฉโนฺตว จิเนฺตสิ – ‘‘ปริปุณฺณจฺฉวิมํสโลหิโต ทานิ ราหุลสฺส อตฺตภาโว, รชนีเยสุ รูปารมฺมณาทีสุ จิตฺตสฺส ปกฺขนฺทนกาโล ชาโต, นิปฺผลตาย นุ โข ราหุโล วีตินาเมตี’’ติฯ อถ สหาวชฺชเนเนว ปสเนฺน อุทเก มจฺฉํ วิย ปริสุเทฺธ อาทาสมณฺฑเล มุขนิมิตฺตํ วิย จ ตสฺส ตํ จิตฺตุปฺปาทํ อทฺทส, ทิสฺวา จ ‘‘อยํ ราหุโล มยฺหํ อตฺรโช หุตฺวา มม ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺต ‘อหํ โสภามิ, มยฺหํ วณฺณายตนํ ปสนฺน’นฺติ อตฺตภาวํ นิสฺสาย เคหสิตํ ฉนฺทราคํ อุปฺปาเทติ, อติเตฺถ ปกฺขโนฺท, อุปฺปถํ ปฎิปโนฺน, อโคจเร จรติ, ทิสามูฬฺหอทฺธิโก วิย อคนฺตพฺพํ ทิสํ คจฺฉติ, อยํ โข ปนสฺส กิเลโส อพฺภนฺตเร วฑฺฒโนฺต อตฺตตฺถมฺปิ ยถาภูตํ ปสฺสิตุํ น ทสฺสิสฺสติ ปรตฺถมฺปิ อุภยตฺถมฺปิ, ตโต นิรเยปิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหาเปสฺสติ, ติรจฺฉานโยนิยมฺปิ เปตฺติวิสเยปิ อสุรกาเยปิ สมฺพาเธปิ มาตุกุจฺฉิสฺมินฺติ อนมตเคฺค สํสารวเฎฺฎ ปริปาเตสฺสติฯ ยถา โข ปน อเนกรตนปูรา มหานาวา ภินฺนผลกนฺตเรน อุทกํ อาทิยมานา มุหุตฺตมฺปิ น อชฺฌุเปกฺขิตพฺพา โหติ, เวเคน เวเคนสฺสา วิวรํ ปิทหิตุํ วฎฺฎติ, เอวเมว อยมฺปิ น อชฺฌุเปกฺขิตโพฺพฯ ยาวสฺส อยํ กิเลโส อพฺภนฺตเร สีลรตนาทีนิ น วินาเสติ, ตาวเทว นํ นิคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ อชฺฌาสยํ อกาสิฯ ตโต ราหุลํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ยํ กิญฺจิ, ราหุล, รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา หีนํ วา ปณีตํ วา ยํ ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพํ รูปํ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพนฺติฯ รูปเมว นุ โข ภควา รูปเมว นุ โข สุคตาติฯ รูปมฺปิ ราหุล, เวทนาปิ ราหุล, สญฺญาปิ ราหุล, สงฺขาราปิ ราหุล, วิญฺญาณมฺปิ ราหุลา’’ติ มหาราหุโลวาทสุตฺตํ (ม. นิ. ๒.๑๑๓ อาทโย) อภาสิฯ ตํ ทเสฺสตุํ – ‘‘ยํ กิญฺจิ ราหุล…เป.… กเถสี’’ติ วุตฺตํฯ

    Bhagavāpi purato gacchantova cintesi – ‘‘paripuṇṇacchavimaṃsalohito dāni rāhulassa attabhāvo, rajanīyesu rūpārammaṇādīsu cittassa pakkhandanakālo jāto, nipphalatāya nu kho rāhulo vītināmetī’’ti. Atha sahāvajjaneneva pasanne udake macchaṃ viya parisuddhe ādāsamaṇḍale mukhanimittaṃ viya ca tassa taṃ cittuppādaṃ addasa, disvā ca ‘‘ayaṃ rāhulo mayhaṃ atrajo hutvā mama pacchato āgacchanto ‘ahaṃ sobhāmi, mayhaṃ vaṇṇāyatanaṃ pasanna’nti attabhāvaṃ nissāya gehasitaṃ chandarāgaṃ uppādeti, atitthe pakkhando, uppathaṃ paṭipanno, agocare carati, disāmūḷhaaddhiko viya agantabbaṃ disaṃ gacchati, ayaṃ kho panassa kileso abbhantare vaḍḍhanto attatthampi yathābhūtaṃ passituṃ na dassissati paratthampi ubhayatthampi, tato nirayepi paṭisandhiṃ gaṇhāpessati, tiracchānayoniyampi pettivisayepi asurakāyepi sambādhepi mātukucchisminti anamatagge saṃsāravaṭṭe paripātessati. Yathā kho pana anekaratanapūrā mahānāvā bhinnaphalakantarena udakaṃ ādiyamānā muhuttampi na ajjhupekkhitabbā hoti, vegena vegenassā vivaraṃ pidahituṃ vaṭṭati, evameva ayampi na ajjhupekkhitabbo. Yāvassa ayaṃ kileso abbhantare sīlaratanādīni na vināseti, tāvadeva naṃ niggaṇhissāmī’’ti ajjhāsayaṃ akāsi. Tato rāhulaṃ āmantetvā ‘‘yaṃ kiñci, rāhula, rūpaṃ atītānāgatapaccuppannaṃ ajjhattaṃ vā bahiddhā vā oḷārikaṃ vā sukhumaṃ vā hīnaṃ vā paṇītaṃ vā yaṃ dūre santike vā, sabbaṃ rūpaṃ ‘netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’ti evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbanti. Rūpameva nu kho bhagavā rūpameva nu kho sugatāti. Rūpampi rāhula, vedanāpi rāhula, saññāpi rāhula, saṅkhārāpi rāhula, viññāṇampi rāhulā’’ti mahārāhulovādasuttaṃ (ma. ni. 2.113 ādayo) abhāsi. Taṃ dassetuṃ – ‘‘yaṃ kiñci rāhula…pe… kathesī’’ti vuttaṃ.

    สํยุตฺตเก ปน ราหุโลวาโทติ ราหุลสํยุเตฺต วุตฺตราหุโลวาทํ สนฺธาย วทนฺติฯ ตตฺถ ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต, ภควา สํขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตุ, ยมหํ, ภเนฺต, ภควโต ธมฺมํ สุตฺวา เอโก วูปกโฎฺฐ อปฺปมโตฺต อาตาปี ปหิตโตฺต วิหเรยฺย’’นฺติ เถเรน ยาจิโต ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ราหุล, จกฺขุ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วาติ? อนิจฺจํ, ภเนฺตฯ ยํ ปนานิจฺจํ , ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วาติ? ทุกฺขํ, ภเนฺตฯ ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’’ติอาทินา ราหุโลวาทํ (สํ. นิ. ๒.๑๘๘ อาทโย) อารภิฯ เถรสฺส วิปสฺสนาจาโรเยว, น ปน มหาราหุโลวาโท วิย วิตกฺกูปเจฺฉทาย วุโตฺตติ อธิปฺปาโยฯ

    Saṃyuttake pana rāhulovādoti rāhulasaṃyutte vuttarāhulovādaṃ sandhāya vadanti. Tattha ‘‘sādhu me, bhante, bhagavā saṃkhittena dhammaṃ desetu, yamahaṃ, bhante, bhagavato dhammaṃ sutvā eko vūpakaṭṭho appamatto ātāpī pahitatto vihareyya’’nti therena yācito ‘‘taṃ kiṃ maññasi, rāhula, cakkhu niccaṃ vā aniccaṃ vāti? Aniccaṃ, bhante. Yaṃ panāniccaṃ , dukkhaṃ vā taṃ sukhaṃ vāti? Dukkhaṃ, bhante. Yaṃ panāniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhammaṃ, kallaṃ nu taṃ samanupassituṃ ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’’tiādinā rāhulovādaṃ (saṃ. ni. 2.188 ādayo) ārabhi. Therassa vipassanācāroyeva, na pana mahārāhulovādo viya vitakkūpacchedāya vuttoti adhippāyo.

    อถสฺส สตฺถา ญาณปริปากํ ญตฺวาติอาทีสุ ภควโต กิร รโหคตสฺส ปฎิสลฺลีนสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ ‘‘ปริปกฺกา โข ราหุลสฺส วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา, ยนฺนูนาหํ ราหุลํ อุตฺตริ อาสวานํ ขเย วิเนยฺย’’นฺติ? อถสฺส ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต อายสฺมนฺตํ ราหุลํ อามเนฺตสิ – ‘‘คณฺหาหิ, ราหุล, นิสีทนํ, เยน อนฺธวนํ เตนุปสงฺกมิสฺสาม ทิวาวิหารายา’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข อายสฺมา ราหุโล ภควโต ปฎิสฺสุตฺวา นิสีทนํ อาทาย ภควโต ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพนฺธิฯ เตน โข ปน สมเยน อเนกานิ เทวตาสหสฺสานิ ภควนฺตํ อภิวนฺทิตฺวา อนุพนฺธิตา โหนฺติ ‘‘อชฺช ภควา อายสฺมนฺตํ ราหุลํ อุตฺตริ อาสวานํ ขเย วิเนสฺสตี’’ติฯ อถ โข ภควา อนฺธวนํ อโชฺฌคาเหตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ อายสฺมาปิ ราหุโล ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ อถ อายสฺมนฺตํ ราหุลํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ราหุล, จกฺขุ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วาติ? อนิจฺจํ, ภเนฺตฯ ยํ ปนานิจฺจํ, ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วาติ? ทุกฺขํ, ภเนฺตฯ ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’’ติอาทินา ราหุโลวาทํ (สํ. นิ. ๔.๑๒๑) อทาสิฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํ – ‘‘อนฺธวเน นิสิโนฺน จูฬราหุโลวาทํ กเถสี’’ติฯ

    Athassa satthā ñāṇaparipākaṃ ñatvātiādīsu bhagavato kira rahogatassa paṭisallīnassa evaṃ cetaso parivitakko udapādi ‘‘paripakkā kho rāhulassa vimuttiparipācanīyā dhammā, yannūnāhaṃ rāhulaṃ uttari āsavānaṃ khaye vineyya’’nti? Athassa bhagavā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya sāvatthiyaṃ piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto āyasmantaṃ rāhulaṃ āmantesi – ‘‘gaṇhāhi, rāhula, nisīdanaṃ, yena andhavanaṃ tenupasaṅkamissāma divāvihārāyā’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho āyasmā rāhulo bhagavato paṭissutvā nisīdanaṃ ādāya bhagavato piṭṭhito piṭṭhito anubandhi. Tena kho pana samayena anekāni devatāsahassāni bhagavantaṃ abhivanditvā anubandhitā honti ‘‘ajja bhagavā āyasmantaṃ rāhulaṃ uttari āsavānaṃ khaye vinessatī’’ti. Atha kho bhagavā andhavanaṃ ajjhogāhetvā aññatarasmiṃ rukkhamūle paññatte āsane nisīdi. Āyasmāpi rāhulo bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Atha āyasmantaṃ rāhulaṃ āmantetvā ‘‘taṃ kiṃ maññasi, rāhula, cakkhu niccaṃ vā aniccaṃ vāti? Aniccaṃ, bhante. Yaṃ panāniccaṃ, dukkhaṃ vā taṃ sukhaṃ vāti? Dukkhaṃ, bhante. Yaṃ panāniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhammaṃ, kallaṃ nu taṃ samanupassituṃ ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’’tiādinā rāhulovādaṃ (saṃ. ni. 4.121) adāsi. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ – ‘‘andhavane nisinno cūḷarāhulovādaṃ kathesī’’ti.

    โกฎิสตสหสฺสเทวตาหีติ อายสฺมตา ราหุเลน ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต ปาทมูเล ปถวินฺธรราชกาเล ปตฺถนํ ฐเปเนฺตน สทฺธิํ ปตฺถนํ ฐปิตเทวตาเยเวตาฯ ตาสุ ปน กาจิ ภูมฎฺฐเทวตา, กาจิ อนฺตลิกฺขฎฺฐกา, กาจิ จาตุมหาราชิกาทิเทวโลเก, กาจิ พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตา, อิมสฺมิํ ปน ทิวเส สพฺพา เอกฎฺฐาเน อนฺธวนสฺมิํเยว สนฺนิปติตาฯ

    Koṭisatasahassadevatāhīti āyasmatā rāhulena padumuttarassa bhagavato pādamūle pathavindhararājakāle patthanaṃ ṭhapentena saddhiṃ patthanaṃ ṭhapitadevatāyevetā. Tāsu pana kāci bhūmaṭṭhadevatā, kāci antalikkhaṭṭhakā, kāci cātumahārājikādidevaloke, kāci brahmaloke nibbattā, imasmiṃ pana divase sabbā ekaṭṭhāne andhavanasmiṃyeva sannipatitā.

    อาภิโทสิกนฺติ ปาริวาสิกํ เอกรตฺตาติกฺกนฺตํ ปูติภูตํฯ เอกรตฺตาติกฺกนฺตเสฺสว หิ นามสญฺญา เอสา, ยทิทํ อาภิโทสิโกติฯ อยํ ปเนตฺถ วจนโตฺถ – ปูติภาวโทเสน อภิภูโตติ อภิโทโส, อภิโทโสเยว อาภิโทสิโกฯ กุมฺมาสนฺติ ยวกุมฺมาสํฯ อธิวาเสตฺวาติ ‘‘เตน หิ, ตาต รฎฺฐปาล, อธิวาเสหิ สฺวาตนาย ภตฺต’’นฺติ ปิตรา นิมนฺติโต สฺวาตนาย ภิกฺขํ อธิวาเสตฺวาฯ เอตฺถ จ เถโร ปกติยา อุกฺกฎฺฐสปทานจาริโก สฺวาตนาย ภิกฺขํ นาม นาธิวาเสติ, มาตุ อนุคฺคเหน ปน อธิวาเสติฯ มาตุ กิรสฺส เถรํ อนุสฺสริตฺวา อนุสฺสริตฺวา มหาโสโก อุปฺปชฺชติ, โรทเนเนว ทุกฺขี วิย ชาตา, ตสฺมา เถโร ‘‘สจาหํ ตํ อปสฺสิตฺวา คมิสฺสามิ, หทยมฺปิสฺสา ผเลยฺยา’’ติ อนุคฺคเหน อธิวาเสสิฯ ปณฺฑิตา หิ ภิกฺขู มาตาปิตูนํ อาจริยุปชฺฌายานํ วา กาตพฺพํ อนุคฺคหํ อชฺฌุเปกฺขิตฺวา ธุตงฺคสุทฺธิกา น ภวนฺติฯ

    Ābhidosikanti pārivāsikaṃ ekarattātikkantaṃ pūtibhūtaṃ. Ekarattātikkantasseva hi nāmasaññā esā, yadidaṃ ābhidosikoti. Ayaṃ panettha vacanattho – pūtibhāvadosena abhibhūtoti abhidoso, abhidosoyeva ābhidosiko. Kummāsanti yavakummāsaṃ. Adhivāsetvāti ‘‘tena hi, tāta raṭṭhapāla, adhivāsehi svātanāya bhatta’’nti pitarā nimantito svātanāya bhikkhaṃ adhivāsetvā. Ettha ca thero pakatiyā ukkaṭṭhasapadānacāriko svātanāya bhikkhaṃ nāma nādhivāseti, mātu anuggahena pana adhivāseti. Mātu kirassa theraṃ anussaritvā anussaritvā mahāsoko uppajjati, rodaneneva dukkhī viya jātā, tasmā thero ‘‘sacāhaṃ taṃ apassitvā gamissāmi, hadayampissā phaleyyā’’ti anuggahena adhivāsesi. Paṇḍitā hi bhikkhū mātāpitūnaṃ ācariyupajjhāyānaṃ vā kātabbaṃ anuggahaṃ ajjhupekkhitvā dhutaṅgasuddhikā na bhavanti.

    อลงฺกตปฎิยเตฺต อิตฺถิชเนติ ปิตรา อุโยฺยชิเต อิตฺถิชเนฯ ปิตา กิรสฺส ทุติยทิวเส สกนิเวสเน มหนฺตํ หิรญฺญสุวณฺณสฺส ปุญฺชํ การาเปตฺวา กิลเญฺชหิ ปฎิจฺฉาทาเปตฺวา อายสฺมโต รฎฺฐปาลสฺส ปุราณทุติยิกาโย ‘‘เอถ ตุเมฺห วธู, เยน อลงฺกาเรน อลงฺกตา ปุเพฺพ รฎฺฐปาลสฺส กุลปุตฺตสฺส ปิยา โหถ มนาปา, เตน อลงฺกาเรน อลงฺกโรถา’’ติ อาณาเปตฺวา ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฎิยาทาเปตฺวา กาเล อาโรจิเต อาคนฺตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสินฺนํ ‘‘อิทํ เต, รฎฺฐปาล, มตฺติกํ ธนํ, อญฺญํ เปตฺติกํ, อญฺญํ ปิตามหํ; สกฺกา, ตาต รฎฺฐปาล, โภเค จ ภุญฺชิตุํ, ปุญฺญานิ จ กาตุํ? เอหิ ตฺวํ, ตาต รฎฺฐปาล, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺติตฺวา โภเค จ ภุญฺชสฺสุ, ปุญฺญานิ จ กโรหี’’ติ ยาจิตฺวา เตน ปฎิกฺขิปิตฺวา ธเมฺม เทสิเต ‘‘อหํ อิมํ อุปฺปพฺพาเชสฺสามี’’ติ อานยิํ, โส ‘‘ทานิ เม ธมฺมกถํ กาตุํ อารโทฺธ, อลํ เม วจนํ น กริสฺสตี’’ติ อุฎฺฐาย คนฺตฺวา ตสฺส โอโรธานํ ทฺวารํ วิวราเปตฺวา ‘‘อยํ โว สามิโก, คจฺฉถ, ยํ กิญฺจิ กตฺวาน คณฺหิตุํ วายมถา’’ติ อุโยฺยเชสิฯ ตีสุ วเยสุ ฐิตา นาฎกิตฺถิโย เถรํ ปริวารยิํสุฯ ตาสุ อยํ อสุภสญฺญํ อุปฺปาเทสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อลงฺกตปฎิยเตฺต อิตฺถิชเน อสุภสญฺญํ อุปฺปาเทตฺวา’’ติฯ

    Alaṅkatapaṭiyatte itthijaneti pitarā uyyojite itthijane. Pitā kirassa dutiyadivase sakanivesane mahantaṃ hiraññasuvaṇṇassa puñjaṃ kārāpetvā kilañjehi paṭicchādāpetvā āyasmato raṭṭhapālassa purāṇadutiyikāyo ‘‘etha tumhe vadhū, yena alaṅkārena alaṅkatā pubbe raṭṭhapālassa kulaputtassa piyā hotha manāpā, tena alaṅkārena alaṅkarothā’’ti āṇāpetvā paṇītaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ paṭiyādāpetvā kāle ārocite āgantvā paññatte āsane nisinnaṃ ‘‘idaṃ te, raṭṭhapāla, mattikaṃ dhanaṃ, aññaṃ pettikaṃ, aññaṃ pitāmahaṃ; sakkā, tāta raṭṭhapāla, bhoge ca bhuñjituṃ, puññāni ca kātuṃ? Ehi tvaṃ, tāta raṭṭhapāla, sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattitvā bhoge ca bhuñjassu, puññāni ca karohī’’ti yācitvā tena paṭikkhipitvā dhamme desite ‘‘ahaṃ imaṃ uppabbājessāmī’’ti ānayiṃ, so ‘‘dāni me dhammakathaṃ kātuṃ āraddho, alaṃ me vacanaṃ na karissatī’’ti uṭṭhāya gantvā tassa orodhānaṃ dvāraṃ vivarāpetvā ‘‘ayaṃ vo sāmiko, gacchatha, yaṃ kiñci katvāna gaṇhituṃ vāyamathā’’ti uyyojesi. Tīsu vayesu ṭhitā nāṭakitthiyo theraṃ parivārayiṃsu. Tāsu ayaṃ asubhasaññaṃ uppādesi. Tena vuttaṃ – ‘‘alaṅkatapaṭiyatte itthijane asubhasaññaṃ uppādetvā’’ti.

    ฐิตโกว ธมฺมํ เทเสตฺวาติ –

    Ṭhitakovadhammaṃ desetvāti –

    ‘‘ปสฺส จิตฺตกตํ พิมฺพํ, อรุกายํ สมุสฺสิตํ;

    ‘‘Passa cittakataṃ bimbaṃ, arukāyaṃ samussitaṃ;

    อาตุรํ พหุสงฺกปฺปํ, ยสฺส นตฺถิ ธุวํ ฐิติฯ

    Āturaṃ bahusaṅkappaṃ, yassa natthi dhuvaṃ ṭhiti.

    ‘‘ปสฺส จิตฺตกตํ รูปํ, มณินา กุณฺฑเลน จ;

    ‘‘Passa cittakataṃ rūpaṃ, maṇinā kuṇḍalena ca;

    อฎฺฐิํ ตเจน โอนทฺธํ, สห วเตฺถหิ โสภติฯ

    Aṭṭhiṃ tacena onaddhaṃ, saha vatthehi sobhati.

    ‘‘อลตฺตกกตา ปาทา, มุขํ จุณฺณกมกฺขิตํ;

    ‘‘Alattakakatā pādā, mukhaṃ cuṇṇakamakkhitaṃ;

    อลํ พาลสฺส โมหาย, โน จ ปารคเวสิโนฯ

    Alaṃ bālassa mohāya, no ca pāragavesino.

    ‘‘อฎฺฐาปทกตา เกสา, เนตฺตา อญฺชนมกฺขิตา;

    ‘‘Aṭṭhāpadakatā kesā, nettā añjanamakkhitā;

    อลํ พาลสฺส โมหาย, โน จ ปารคเวสิโนฯ

    Alaṃ bālassa mohāya, no ca pāragavesino.

    ‘‘อญฺชนีวณฺณวา จิตฺตา, ปูติกาโย อลงฺกโต;

    ‘‘Añjanīvaṇṇavā cittā, pūtikāyo alaṅkato;

    อลํ พาลสฺส โมหาย, โน จ ปารคเวสิโนฯ

    Alaṃ bālassa mohāya, no ca pāragavesino.

    ‘‘โอทหิ มิคโว ปาสํ, นาสทา วาคุรํ มิโค;

    ‘‘Odahi migavo pāsaṃ, nāsadā vāguraṃ migo;

    ภุตฺวา นิวาปํ คจฺฉามิ, กนฺทเนฺต มิคพนฺธเก’’ติฯ (ม. นิ. ๒.๓๐๒; เถรคา. ๗๖๙-๗๗๔) –

    Bhutvā nivāpaṃ gacchāmi, kandante migabandhake’’ti. (ma. ni. 2.302; theragā. 769-774) –

    อิมาหิ คาถาหิ ธมฺมํ เทเสตฺวาฯ

    Imāhi gāthāhi dhammaṃ desetvā.

    อากาสํ อุปฺปติตฺวาติ อากาสํ ปกฺขนฺทิตฺวาฯ กสฺมา ปน เถโร อากาเสน คโต? ปิตา กิรสฺส เสฎฺฐิ สตฺตสุ ทฺวารโกฎฺฐเกสุ อคฺคฬานิ ทาเปตฺวา มเลฺล อาณาเปสิ ‘‘สเจ นิกฺขมิตฺวา คจฺฉติ, หตฺถปาเทสุ นํ คเหตฺวา กาสายานิ หริตฺวา คิหิเวสํ คณฺหาเปถา’’ติฯ ตสฺมา เถโร ‘‘เอเต มาทิสํ มหาขีณาสวํ หเตฺถ วา ปาเท วา คเหตฺวา อปุญฺญํ ปสเวยฺยุํ, ตํ เนสํ มา อโหสี’’ติ จิเนฺตตฺวา อากาเสน อคมาสิฯ มิคจีรนฺติ เอวํนามกํ อุยฺยานํฯ จตุปาริชุญฺญปฎิมณฺฑิตนฺติ ชราปาริชุญฺญํ, พฺยาธิปาริชุญฺญํ, โภคปาริชุญฺญํ, ญาติปาริชุญฺญนฺติ อิเมหิ จตูหิ ปาริชุเญฺญหิ ปฎิมณฺฑิตํฯ ปาริชุญฺญนฺติ จ ปริหานีติ อโตฺถฯ เสสเมตฺถ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Ākāsaṃuppatitvāti ākāsaṃ pakkhanditvā. Kasmā pana thero ākāsena gato? Pitā kirassa seṭṭhi sattasu dvārakoṭṭhakesu aggaḷāni dāpetvā malle āṇāpesi ‘‘sace nikkhamitvā gacchati, hatthapādesu naṃ gahetvā kāsāyāni haritvā gihivesaṃ gaṇhāpethā’’ti. Tasmā thero ‘‘ete mādisaṃ mahākhīṇāsavaṃ hatthe vā pāde vā gahetvā apuññaṃ pasaveyyuṃ, taṃ nesaṃ mā ahosī’’ti cintetvā ākāsena agamāsi. Migacīranti evaṃnāmakaṃ uyyānaṃ. Catupārijuññapaṭimaṇḍitanti jarāpārijuññaṃ, byādhipārijuññaṃ, bhogapārijuññaṃ, ñātipārijuññanti imehi catūhi pārijuññehi paṭimaṇḍitaṃ. Pārijuññanti ca parihānīti attho. Sesamettha suviññeyyameva.

    กุณฺฑธานเตฺถรวตฺถุ

    Kuṇḍadhānattheravatthu

    ๒๑๑. ตติเย สลากํ คณฺหนฺตีติ สลากคาหกาฯ สุนาปรนฺตชนปทํ คจฺฉเนฺตปิ ปฐมเมว สลากํ คณฺหีติ สมฺพโนฺธฯ ฉพฺพสฺสนฺตเรติ ฉนฺนํ วสฺสานํ อพฺภนฺตเรฯ เมตฺตีติ มิตฺตภาโวฯ เภทเก สตีติ เภทกรเณ สติฯ คุมฺพสภาคโตติ คุมฺพสมีปโต, อยเมว วา ปาโฐฯ อิตฺถี หุตฺวาติ อิตฺถี วิย หุตฺวา, มนุสฺสิตฺถิวณฺณํ มาเปตฺวาติ อโตฺถฯ ทีฆรตฺตานุคโตติ ทีฆกาลํ อนุพโนฺธฯ เอตฺตกํ อทฺธานนฺติ เอตฺตกํ กาลํฯ หนฺทาวุโสติ คณฺหาวุโสฯ อตฺถํ คเหตฺวาติ ภูตตฺถํ คเหตฺวา, อยเมว วา ปาโฐฯ โกโณฺฑ ชาโตติ ธุโตฺต ชาโตฯ

    211. Tatiye salākaṃ gaṇhantīti salākagāhakā. Sunāparantajanapadaṃ gacchantepi paṭhamameva salākaṃ gaṇhīti sambandho. Chabbassantareti channaṃ vassānaṃ abbhantare. Mettīti mittabhāvo. Bhedake satīti bhedakaraṇe sati. Gumbasabhāgatoti gumbasamīpato, ayameva vā pāṭho. Itthī hutvāti itthī viya hutvā, manussitthivaṇṇaṃ māpetvāti attho. Dīgharattānugatoti dīghakālaṃ anubandho. Ettakaṃ addhānanti ettakaṃ kālaṃ. Handāvusoti gaṇhāvuso. Atthaṃ gahetvāti bhūtatthaṃ gahetvā, ayameva vā pāṭho. Koṇḍo jātoti dhutto jāto.

    มาโวจ ผรุสํ กญฺจีติ กญฺจิ เอกปุคฺคลํ ผรุสํ มา อโวจฯ วุตฺตา ปฎิวเทยฺยุ ตนฺติ ตยา ปเร ทุสฺสีลาติ วุตฺตา ตมฺปิ ตเถว ปฎิวเทยฺยุํฯ ทุกฺขา หิ สารมฺภกถาติ เอสา การณุตฺตรา ยุคคฺคาหกถา นาม ทุกฺขาฯ ปฎิทณฺฑา ผุเสยฺยุ ตนฺติ กายทณฺฑาทีหิ ปรํ ปหรนฺตสฺส ตาทิสาว ปฎิทณฺฑา ตว มตฺถเก ปเตยฺยุํฯ

    Māvoca pharusaṃ kañcīti kañci ekapuggalaṃ pharusaṃ mā avoca. Vuttā paṭivadeyyu tanti tayā pare dussīlāti vuttā tampi tatheva paṭivadeyyuṃ. Dukkhā hi sārambhakathāti esā kāraṇuttarā yugaggāhakathā nāma dukkhā. Paṭidaṇḍā phuseyyu tanti kāyadaṇḍādīhi paraṃ paharantassa tādisāva paṭidaṇḍā tava matthake pateyyuṃ.

    สเจ เนเรสิ อตฺตานนฺติ สเจ อตฺตานํ นิจฺจลํ กาตุํ สกฺขิสฺสสิฯ กํโส อุปหโต ยถาติ มุขวฎฺฎิยํ ฉินฺทิตฺวา ตลมตฺตํ กตฺวา ฐปิตํ กํสตาลํ วิยฯ ตาทิสญฺหิ หเตฺถหิ ปาเทหิ ทเณฺฑน วา ปหตมฺปิ สทฺทํ น กโรติฯ เอส ปโตฺตสิ นิพฺพานนฺติ สเจ เอวรูโป ภวิตุํ สกฺขิสฺสสิ, อิมํ ปฎิปทํ ปูรยมาโน เอโส ตฺวํ อิทานิ อปฺปโตฺตปิ นิพฺพานํ ปโตฺตสิ นามฯ สารโมฺภ เต น วิชฺชตีติ ‘‘เอวญฺจ สติ ตฺวํ ทุสฺสีโล, อหํ สุสีโล’’ติ เอวมาทิโก อุตฺตริกรณวาจาลกฺขโณ สารโมฺภ เต น วิชฺชติ, น ภวิสฺสติเยวาติ อโตฺถฯ ปริกฺกิเลเสนาติ สํกิเลสเหตุนาฯ

    Sace neresi attānanti sace attānaṃ niccalaṃ kātuṃ sakkhissasi. Kaṃso upahato yathāti mukhavaṭṭiyaṃ chinditvā talamattaṃ katvā ṭhapitaṃ kaṃsatālaṃ viya. Tādisañhi hatthehi pādehi daṇḍena vā pahatampi saddaṃ na karoti. Esa pattosi nibbānanti sace evarūpo bhavituṃ sakkhissasi, imaṃ paṭipadaṃ pūrayamāno eso tvaṃ idāni appattopi nibbānaṃ pattosi nāma. Sārambho te na vijjatīti ‘‘evañca sati tvaṃ dussīlo, ahaṃ susīlo’’ti evamādiko uttarikaraṇavācālakkhaṇo sārambho te na vijjati, na bhavissatiyevāti attho. Parikkilesenāti saṃkilesahetunā.

    วงฺคีสเตฺถรวตฺถุ

    Vaṅgīsattheravatthu

    ๒๑๒. จตุเตฺถ สมฺปนฺนปฎิภานานนฺติ ปริปุณฺณปฎิภานานํฯ จุติํ โย เวทิ…เป.… สพฺพโสติ โย สตฺตานํ จุติญฺจ ปฎิสนฺธิญฺจ สพฺพากาเรน ปากฎํ กตฺวา ชานาติ, ตํ อหํ อลคฺคนตาย อสตฺตํ, ปฎิปตฺติยา สุฎฺฐุ คตตฺตา สุคตํ, จตุนฺนํ สจฺจานํ สมฺพุทฺธตฺตา พุทฺธํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ ยสฺส คตินฺติ ยเสฺสเต เทวาทโย คติํ น ชานนฺติ, ตมหํ อาสวานํ ขีณตาย ขีณาสวํ, กิเลเสหิ อารกตฺตา อรหนฺตํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    212. Catutthe sampannapaṭibhānānanti paripuṇṇapaṭibhānānaṃ. Cutiṃ yo vedi…pe… sabbasoti yo sattānaṃ cutiñca paṭisandhiñca sabbākārena pākaṭaṃ katvā jānāti, taṃ ahaṃ alagganatāya asattaṃ, paṭipattiyā suṭṭhu gatattā sugataṃ, catunnaṃ saccānaṃ sambuddhattā buddhaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho. Yassa gatinti yassete devādayo gatiṃ na jānanti, tamahaṃ āsavānaṃ khīṇatāya khīṇāsavaṃ, kilesehi ārakattā arahantaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    อุปเสนวงฺคนฺตปุตฺตเตฺถรวตฺถุ

    Upasenavaṅgantaputtattheravatthu

    ๒๑๓. ปญฺจเม สพฺพปาสาทิกานนฺติ สพฺพโส ปสาทํ ชเนนฺตานํฯ กินฺตายนฺติ กิํ เต อยํฯ อติลหุนฺติ อติสีฆํฯ ยสฺส ตสฺมิํ อตฺตภาเว อุปฺปชฺชนารหานํ มคฺคผลานํ อุปนิสฺสโย นตฺถิ, ตํ พุทฺธา ‘‘โมฆปุริโส’’ติ วทนฺติ อริฎฺฐลาฬุทายิอาทิเก วิยฯ อุปนิสฺสเย สติปิ ตสฺมิํ ขเณ มเคฺค วา ผเล วา อสติ ‘‘โมฆปุริสา’’ติ วทนฺติเยว ธนิยเตฺถราทิเก วิยฯ อิมสฺสปิ ตสฺมิํ ขเณ มคฺคผลานํ อภาวโต ‘‘โมฆปุริสา’’ติ อาห, ตุจฺฉมนุสฺสาติ อโตฺถฯ พาหุลฺลายาติ ปริสพาหุลฺลายฯ อเนกปริยาเยนาติ อเนกการเณนฯ

    213. Pañcame sabbapāsādikānanti sabbaso pasādaṃ janentānaṃ. Kintāyanti kiṃ te ayaṃ. Atilahunti atisīghaṃ. Yassa tasmiṃ attabhāve uppajjanārahānaṃ maggaphalānaṃ upanissayo natthi, taṃ buddhā ‘‘moghapuriso’’ti vadanti ariṭṭhalāḷudāyiādike viya. Upanissaye satipi tasmiṃ khaṇe magge vā phale vā asati ‘‘moghapurisā’’ti vadantiyeva dhaniyattherādike viya. Imassapi tasmiṃ khaṇe maggaphalānaṃ abhāvato ‘‘moghapurisā’’ti āha, tucchamanussāti attho. Bāhullāyāti parisabāhullāya. Anekapariyāyenāti anekakāraṇena.

    อิจฺฉามหํ, ภิกฺขเวติ ภควา กิร ตํ อทฺธมาสํ น กญฺจิ โพธเนยฺยสตฺตํ อทฺทส, ตสฺมา เอวมาห, เอวํ สเนฺตปิ ตนฺติวเสน ธมฺมเทสนา กตฺตพฺพา สิยาฯ ยสฺมา ปนสฺส เอตทโหสิ – ‘‘มยิ โอกาสํ กาเรตฺวา ปฎิสลฺลีเน ภิกฺขู อธมฺมิกํ กติกวตฺตํ กริสฺสนฺติ, ตํ อุปเสโน ภินฺทิสฺสติ, อหํ ตสฺส ปสีทิตฺวา ภิกฺขูนํ ทสฺสนํ อนุชานิสฺสามิฯ ตโต มํ ปสฺสิตุกามา พหู ภิกฺขู ธุตงฺคานิ สมาทิยิสฺสนฺติ, อหญฺจ เตหิ อุชฺฌิตสนฺถตปจฺจยา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสฺสามี’’ติ, ตสฺมา เอวมาหฯ เถรสฺสาติ อุปเสนเตฺถรสฺสฯ มนาปานิ เต ภิกฺขุ ปํสุกูลานีติ ‘‘ภิกฺขุ ตว อิมานิ ปํสุกูลานิ มนาปานิ อตฺตโน รุจิยา ขนฺติยา คหิตานี’’ติ ปุจฺฉติฯ น โข เม, ภเนฺต, มนาปานิ ปํสุกูลานีติ, ภเนฺต, น มยา อตฺตโน รุจิยา ขนฺติยา คหิตานิ, คลคฺคาเหน วิย มตฺถกตาฬเนน วิย จ คาหิโต มยาติ ทเสฺสติฯ ปาฬิยํ อาคตเมวาติ วินยปาฬิํ สนฺธาย วทติฯ

    Icchāmahaṃ, bhikkhaveti bhagavā kira taṃ addhamāsaṃ na kañci bodhaneyyasattaṃ addasa, tasmā evamāha, evaṃ santepi tantivasena dhammadesanā kattabbā siyā. Yasmā panassa etadahosi – ‘‘mayi okāsaṃ kāretvā paṭisallīne bhikkhū adhammikaṃ katikavattaṃ karissanti, taṃ upaseno bhindissati, ahaṃ tassa pasīditvā bhikkhūnaṃ dassanaṃ anujānissāmi. Tato maṃ passitukāmā bahū bhikkhū dhutaṅgāni samādiyissanti, ahañca tehi ujjhitasanthatapaccayā sikkhāpadaṃ paññapessāmī’’ti, tasmā evamāha. Therassāti upasenattherassa. Manāpāni te bhikkhu paṃsukūlānīti ‘‘bhikkhu tava imāni paṃsukūlāni manāpāni attano ruciyā khantiyā gahitānī’’ti pucchati. Na kho me, bhante, manāpāni paṃsukūlānīti, bhante, na mayā attano ruciyā khantiyā gahitāni, galaggāhena viya matthakatāḷanena viya ca gāhito mayāti dasseti. Pāḷiyaṃ āgatamevāti vinayapāḷiṃ sandhāya vadati.

    ทพฺพเตฺถรวตฺถุ

    Dabbattheravatthu

    ๒๑๔. ฉเฎฺฐ อฎฺฐารสสุ มหาวิหาเรสูติ ราชคหสฺส สมนฺตโต ฐิเตสุ อฎฺฐารสสุ มหาวิหาเรสุฯ อุปวิชญฺญาติ อาสนฺนปสูติกาลาฯ รโหคโตติ รหสิ คโตฯ สงฺฆสฺส เวยฺยาวจฺจกรเณ กายํ โยเชตุกาโม จิเนฺตสีติ เถโร กิร อตฺตโน กตกิจฺจภาวํ ทิสฺวา ‘‘อหํ อิมํ สรีรํ ธาเรมิ, ตญฺจ โข วาตมุเข ฐิตปทีโป วิย อนิจฺจตามุเข ฐิตํ นจิรเสฺสว นิพฺพายนธมฺมํ ยาว น นิพฺพายติ, ตาว กิํ นุ โข อหํ สงฺฆสฺส เวยฺยาวจฺจํ กเรยฺย’’นฺติ จิเนฺตโนฺต อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ ‘‘ติโรรเฎฺฐสุ พหู กุลปุตฺตา ภควนฺตํ อทิสฺวาว ปพฺพชนฺติ, เต ‘ภควนฺตํ ปสฺสิสฺสาม เจว วนฺทิสฺสามา’ติ จ ทูรโตปิ อาคจฺฉนฺติ, ตตฺร เยสํ เสนาสนํ นปฺปโหติ, เต สิลาปตฺตเกปิ เสยฺยํ กเปฺปนฺติฯ ปโหมิ โข ปนาหํ อตฺตโน อานุภาเวน เตสํ เตสํ กุลปุตฺตานํ อิจฺฉาวเสน ปาสาทวิหารอฑฺฒโยคาทีนิ มญฺจปีฐตฺถรณานิ นิมฺมินิตฺวา ทาตุํ? ปุนทิวเส เจตฺถ เอกเจฺจ อติวิย กิลนฺตรูปา โหนฺติ, เต คารเวน ภิกฺขูนํ ปุรโต ฐตฺวา ภตฺตานิปิ น อุทฺทิสาเปนฺติ, อหํ โข ปน เตสํ ภตฺตานิปิ อุทฺทิสิตุํ ปโหมี’’ติฯ อิติ ปฎิสญฺจิกฺขโนฺต ‘‘ยํนูนาหํ สงฺฆสฺส เสนาสนญฺจ ปญฺญเปยฺยํ, ภตฺตานิ จ อุทฺทิเสยฺย’’นฺติ จิเนฺตสิฯ สภาคสภาคานนฺติ สุตฺตนฺติกาทิคุณวเสน สภาคานํ, น มิตฺตสนฺถววเสนฯ เถโร หิ ยาวติกา สุตฺตนฺติกา โหนฺติ, เต อุจฺจินิตฺวา อุจฺจินิตฺวา เอกโต เตสํ อนุรูปเมว เสนาสนํ ปญฺญเปติฯ เวนยิกาภิธมฺมิกกมฺมฎฺฐานิกกายทฬฺหิพหุเลสุปิ เอเสว นโยฯ เตเนว ปาฬิยํ (ปารา. ๓๘๐) วุตฺตํ – ‘‘เยเต ภิกฺขู สุตฺตนฺติกา, เตสํ เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญเปตี’’ติอาทิฯ

    214. Chaṭṭhe aṭṭhārasasu mahāvihāresūti rājagahassa samantato ṭhitesu aṭṭhārasasu mahāvihāresu. Upavijaññāti āsannapasūtikālā. Rahogatoti rahasi gato. Saṅghassa veyyāvaccakaraṇe kāyaṃ yojetukāmo cintesīti thero kira attano katakiccabhāvaṃ disvā ‘‘ahaṃ imaṃ sarīraṃ dhāremi, tañca kho vātamukhe ṭhitapadīpo viya aniccatāmukhe ṭhitaṃ nacirasseva nibbāyanadhammaṃ yāva na nibbāyati, tāva kiṃ nu kho ahaṃ saṅghassa veyyāvaccaṃ kareyya’’nti cintento iti paṭisañcikkhati ‘‘tiroraṭṭhesu bahū kulaputtā bhagavantaṃ adisvāva pabbajanti, te ‘bhagavantaṃ passissāma ceva vandissāmā’ti ca dūratopi āgacchanti, tatra yesaṃ senāsanaṃ nappahoti, te silāpattakepi seyyaṃ kappenti. Pahomi kho panāhaṃ attano ānubhāvena tesaṃ tesaṃ kulaputtānaṃ icchāvasena pāsādavihāraaḍḍhayogādīni mañcapīṭhattharaṇāni nimminitvā dātuṃ? Punadivase cettha ekacce ativiya kilantarūpā honti, te gāravena bhikkhūnaṃ purato ṭhatvā bhattānipi na uddisāpenti, ahaṃ kho pana tesaṃ bhattānipi uddisituṃ pahomī’’ti. Iti paṭisañcikkhanto ‘‘yaṃnūnāhaṃ saṅghassa senāsanañca paññapeyyaṃ, bhattāni ca uddiseyya’’nti cintesi. Sabhāgasabhāgānanti suttantikādiguṇavasena sabhāgānaṃ, na mittasanthavavasena. Thero hi yāvatikā suttantikā honti, te uccinitvā uccinitvā ekato tesaṃ anurūpameva senāsanaṃ paññapeti. Venayikābhidhammikakammaṭṭhānikakāyadaḷhibahulesupi eseva nayo. Teneva pāḷiyaṃ (pārā. 380) vuttaṃ – ‘‘yete bhikkhū suttantikā, tesaṃ ekajjhaṃ senāsanaṃ paññapetī’’tiādi.

    องฺคุลิยา ชลมานายาติ เตโชกสิณจตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อภิญฺญาญาเณน องฺคุลิชลนํ อธิฎฺฐหิตฺวา เตเนว เตโชธาตุสมาปตฺติชนิเตน อคฺคิชาเลน องฺคุลิยา ชลมานายฯ อยํ มโญฺจติอาทีสุ ปน เถเร ‘‘อยํ มโญฺจ’’ติอาทิํ วทเนฺต นิมฺมิตาปิ อตฺตโน อตฺตโน คตฎฺฐาเน ‘‘อยํ มโญฺจ’’ติอาทิํ วทนฺติฯ อยญฺหิ นิมฺมิตานํ ธมฺมตาฯ

    Aṅguliyā jalamānāyāti tejokasiṇacatutthajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya abhiññāñāṇena aṅgulijalanaṃ adhiṭṭhahitvā teneva tejodhātusamāpattijanitena aggijālena aṅguliyā jalamānāya. Ayaṃ mañcotiādīsu pana there ‘‘ayaṃ mañco’’tiādiṃ vadante nimmitāpi attano attano gataṭṭhāne ‘‘ayaṃ mañco’’tiādiṃ vadanti. Ayañhi nimmitānaṃ dhammatā.

    ‘‘เอกสฺมิํ ภาสมานสฺมิํ, สเพฺพ ภาสนฺติ นิมฺมิตา;

    ‘‘Ekasmiṃ bhāsamānasmiṃ, sabbe bhāsanti nimmitā;

    เอกสฺมิํ ตุณฺหิมาสิเน, สเพฺพ ตุณฺหี ภวนฺติ เต’’ติฯ (ที. นิ. ๒.๒๘๖);

    Ekasmiṃ tuṇhimāsine, sabbe tuṇhī bhavanti te’’ti. (dī. ni. 2.286);

    ยสฺมิํ ปน วิหาเร มญฺจปีฐาทีนิ น ปริปูเรนฺติ, ตตฺถ อตฺตโน อานุภาเวน ปูเรนฺติ, เตน นิมฺมิตานํ อวตฺถุกํ วจนํ น โหติ สพฺพตฺถ มญฺจปีฐาทีนํ สพฺภาวโตฯ สพฺพวิหาเรสุ จ คมนมเคฺค สมปฺปมาเณ กตฺวา อธิฎฺฐาติฯ กติกสณฺฐานาทีนํ ปน นานปฺปการตฺตา ตสฺมิํ ตสฺมิํ วิหาเร กติกวตฺตานิ วิสุํ วิสุํ กถาเปตีติ เวทิตพฺพํฯ อนิยเมตฺวา นิมฺมิตานญฺหิ ‘‘เอกสฺมิํ ภาสมานสฺมิ’’นฺติอาทิธมฺมตา วุตฺตาฯ ตถา หิ เย วณฺณวยสรีราวยวปริกฺขารกิริยาวิเสสาทีหิ นิยมํ อกตฺวา นิมฺมิตา โหนฺติ, เต อนิยเมตฺวา นิมฺมิตตฺตา อิทฺธิมตา สทิสาว โหนฺติฯ ฐานนิสชฺชาทีสุ ภาสิตตุณฺหีภาวาทีสุ วา ยํ ยํ อิทฺธิมา กโรติ, ตํ ตเทว กโรนฺติฯ สเจ ปน นานปฺปกาเร กาตุกาโม โหติ, เกจิ ปฐมวเย, เกจิ มชฺฌิมวเย, เกจิ ปจฺฉิมวเย, ตถา ทีฆเกเส อุปฑฺฒมุเณฺฑ มิสฺสกเกเส อุปฑฺฒรตฺตจีวเร ปณฺฑุกจีวเร, ปทภาณธมฺมกถาสรภญฺญปญฺหปุจฺฉนปญฺหวิสฺสชฺชนรชนปจนจีวรสิพฺพนโธวนาทีนิ กโรเนฺต, อปเรปิ วา นานปฺปกาเร กาตุกาโม โหติ, เตน ปาทกชฺฌานโต วุฎฺฐาย ‘‘เอตฺตกา ภิกฺขู ปฐมวยา โหนฺตู’’ติอาทินา นเยน ปริกมฺมํ กตฺวา ปุน สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อธิฎฺฐิเต อธิฎฺฐานจิเตฺตน สทฺธิํ อิจฺฉิติจฺฉิตปฺปการาเยว โหนฺติฯ ปุน อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว อาคจฺฉตีติ เตหิ สทฺธิํ ชนปทกถํ กเถโนฺต อนิสีทิตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ เวฬุวนเมว ปจฺจาคจฺฉติฯ ปาฬิยนฺติ วินยปาฬิยํฯ

    Yasmiṃ pana vihāre mañcapīṭhādīni na paripūrenti, tattha attano ānubhāvena pūrenti, tena nimmitānaṃ avatthukaṃ vacanaṃ na hoti sabbattha mañcapīṭhādīnaṃ sabbhāvato. Sabbavihāresu ca gamanamagge samappamāṇe katvā adhiṭṭhāti. Katikasaṇṭhānādīnaṃ pana nānappakārattā tasmiṃ tasmiṃ vihāre katikavattāni visuṃ visuṃ kathāpetīti veditabbaṃ. Aniyametvā nimmitānañhi ‘‘ekasmiṃ bhāsamānasmi’’ntiādidhammatā vuttā. Tathā hi ye vaṇṇavayasarīrāvayavaparikkhārakiriyāvisesādīhi niyamaṃ akatvā nimmitā honti, te aniyametvā nimmitattā iddhimatā sadisāva honti. Ṭhānanisajjādīsu bhāsitatuṇhībhāvādīsu vā yaṃ yaṃ iddhimā karoti, taṃ tadeva karonti. Sace pana nānappakāre kātukāmo hoti, keci paṭhamavaye, keci majjhimavaye, keci pacchimavaye, tathā dīghakese upaḍḍhamuṇḍe missakakese upaḍḍharattacīvare paṇḍukacīvare, padabhāṇadhammakathāsarabhaññapañhapucchanapañhavissajjanarajanapacanacīvarasibbanadhovanādīni karonte, aparepi vā nānappakāre kātukāmo hoti, tena pādakajjhānato vuṭṭhāya ‘‘ettakā bhikkhū paṭhamavayā hontū’’tiādinā nayena parikammaṃ katvā puna samāpajjitvā vuṭṭhāya adhiṭṭhite adhiṭṭhānacittena saddhiṃ icchiticchitappakārāyeva honti. Puna attano vasanaṭṭhānameva āgacchatīti tehi saddhiṃ janapadakathaṃ kathento anisīditvā attano vasanaṭṭhānaṃ veḷuvanameva paccāgacchati. Pāḷiyanti vinayapāḷiyaṃ.

    ปิลินฺทวจฺฉเตฺถรวตฺถุ

    Pilindavacchattheravatthu

    ๒๑๕. สตฺตเม ปิยานนฺติ ปิยายิตพฺพานํฯ มนาปานนฺติ มนวฑฺฒนกานํฯ ปิลิโนฺทติ ปนสฺส โคตฺตํ, วโจฺฉติ นามนฺติ เอตฺถ วุตฺตวิปริยาเยนปิ วทนฺติ ‘‘ปิลิโนฺทติ นามํ, วโจฺฉติ โคตฺต’’นฺติฯ เตเนว อาจริยธมฺมปาลเตฺถเรน เถรคาถาสํวณฺณนาย (เถรคา. อฎฺฐ. ๑.๘ ปิลินฺทวจฺฉเตฺถรคาถาวณฺณนา) วุตฺตํ – ‘‘ปิลิโนฺทติสฺส นามํ อกํสุ, วโจฺฉติ ปน โคตฺตํฯ เตน โส อปรภาเค ปิลินฺทวโจฺฉติ ปญฺญายิตฺถา’’ติฯ สํสเนฺทตฺวาติ เอกโต กตฺวาฯ

    215. Sattame piyānanti piyāyitabbānaṃ. Manāpānanti manavaḍḍhanakānaṃ. Pilindoti panassa gottaṃ, vacchoti nāmanti ettha vuttavipariyāyenapi vadanti ‘‘pilindoti nāmaṃ, vacchoti gotta’’nti. Teneva ācariyadhammapālattherena theragāthāsaṃvaṇṇanāya (theragā. aṭṭha. 1.8 pilindavacchattheragāthāvaṇṇanā) vuttaṃ – ‘‘pilindotissa nāmaṃ akaṃsu, vacchoti pana gottaṃ. Tena so aparabhāge pilindavacchoti paññāyitthā’’ti. Saṃsandetvāti ekato katvā.

    สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวาติ อิทํ องฺคุตฺตรภาณกานํ กถามเคฺคน วุตฺตํฯ อปเร ปน ภณนฺติ – อนุปฺปเนฺนเยว อมฺหากํ ภควติ สาวตฺถิยํ พฺราหฺมณเคเห นิพฺพตฺติตฺวา ปิลินฺทวโจฺฉติ ปญฺญาโต สํสาเร สํเวคพหุลตาย ปริพฺพาชกปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา จูฬคนฺธารํ นาม วิชฺชํ สาเธตฺวา อากาสจารี ปรจิตฺตวิทู จ หุตฺวา ราชคเห ลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต ปฎิวสติฯ อถ ยทา อมฺหากํ ภควา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อนุกฺกเมน ราชคหํ อุปคโต, ตโต ปฎฺฐาย พุทฺธานุภาเวน ตสฺส สา วิชฺชา น สมฺปชฺชติ, อตฺถกิจฺจํ น สาเธติฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘สุตํ โข ปน เมตํ ‘อาจริยปาจริยานํ ภาสมานานํ ยตฺถ มหาคนฺธารวิชฺชา ธรติ, ตตฺถ จูฬคนฺธารวิชฺชา น สมฺปชฺชตี’ติฯ สมณสฺส ปน โคตมสฺส อาคตกาลโต ปฎฺฐาย นายํ มม วิชฺชา สมฺปชฺชติ, นิสฺสํสยํ สมโณ โคตโม มหาคนฺธารวิชฺชํ ชานาติ, ยนฺนูนาหํ ตํ ปยิรุปาสิตฺวา ตสฺส สนฺติเก วิชฺชํ ปริยาปุเณยฺย’’นฺติฯ โส ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ – ‘‘อหํ, มหาสมณ, ตว สนฺติเก เอกํ วิชฺชํ ปริยาปุณิตุกาโม, โอกาสํ เม กโรหี’’ติฯ ภควา ‘‘เตน หิ ปพฺพชา’’ติ อาหฯ โส ‘‘วิชฺชาย ปริกมฺมํ ปพฺพชฺชา’’ติ มญฺญมาโน ปพฺพชีติฯ ปรวมฺภนวเสนาติ ปเรสํ ครหนวเสนฯ

    Satthu dhammadesanaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitvāti idaṃ aṅguttarabhāṇakānaṃ kathāmaggena vuttaṃ. Apare pana bhaṇanti – anuppanneyeva amhākaṃ bhagavati sāvatthiyaṃ brāhmaṇagehe nibbattitvā pilindavacchoti paññāto saṃsāre saṃvegabahulatāya paribbājakapabbajjaṃ pabbajitvā cūḷagandhāraṃ nāma vijjaṃ sādhetvā ākāsacārī paracittavidū ca hutvā rājagahe lābhaggayasaggappatto paṭivasati. Atha yadā amhākaṃ bhagavā abhisambuddho hutvā anukkamena rājagahaṃ upagato, tato paṭṭhāya buddhānubhāvena tassa sā vijjā na sampajjati, atthakiccaṃ na sādheti. So cintesi – ‘‘sutaṃ kho pana metaṃ ‘ācariyapācariyānaṃ bhāsamānānaṃ yattha mahāgandhāravijjā dharati, tattha cūḷagandhāravijjā na sampajjatī’ti. Samaṇassa pana gotamassa āgatakālato paṭṭhāya nāyaṃ mama vijjā sampajjati, nissaṃsayaṃ samaṇo gotamo mahāgandhāravijjaṃ jānāti, yannūnāhaṃ taṃ payirupāsitvā tassa santike vijjaṃ pariyāpuṇeyya’’nti. So bhagavantaṃ upasaṅkamitvā etadavoca – ‘‘ahaṃ, mahāsamaṇa, tava santike ekaṃ vijjaṃ pariyāpuṇitukāmo, okāsaṃ me karohī’’ti. Bhagavā ‘‘tena hi pabbajā’’ti āha. So ‘‘vijjāya parikammaṃ pabbajjā’’ti maññamāno pabbajīti. Paravambhanavasenāti paresaṃ garahanavasena.

    อกกฺกสนฺติ อผรุสํฯ วิญฺญาปนินฺติ อตฺถวิญฺญาปนิํฯ สจฺจนฺติ ภูตตฺถํฯ นาภิสเชติ ยาย คิราย อญฺญํ กุชฺฌาปนวเสน น ลคาเปยฺย, ขีณาสโว นาม เอวรูปเมว คิรํ น ภาเสยฺย, ตสฺมา ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    Akakkasanti apharusaṃ. Viññāpaninti atthaviññāpaniṃ. Saccanti bhūtatthaṃ. Nābhisajeti yāya girāya aññaṃ kujjhāpanavasena na lagāpeyya, khīṇāsavo nāma evarūpameva giraṃ na bhāseyya, tasmā tamahaṃ brūmi brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    อนุวิจินิตฺวาติ อนุวิจาเรตฺวาฯ จณฺฑิกตํ คจฺฉนฺตนฺติ สีฆคติยา คจฺฉนฺตํฯ

    Anuvicinitvāti anuvicāretvā. Caṇḍikataṃ gacchantanti sīghagatiyā gacchantaṃ.

    พาหิยทารุจีริยเตฺถรวตฺถุ

    Bāhiyadārucīriyattheravatthu

    ๒๑๖. อฎฺฐเม เอกรตฺติวาเสน คนฺตฺวาติ เทวตานุภาเวน คนฺตฺวาฯ ‘‘พุทฺธานุภาเวนา’’ติปิ วทนฺติฯ เอวํ คโต จ วิหารํ ปวิสิตฺวา สมฺพหุเล ภิกฺขู ภุตฺตปาตราเส กายาลสิยวิโมจนตฺถาย อโพฺภกาเส จงฺกมเนฺต ทิสฺวา ‘‘กหํ เอตรหิ สตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ภิกฺขู ‘‘สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย ปวิโฎฺฐ’’ติ วตฺวา ตํ ปุจฺฉิํสุ – ‘‘ตฺวํ ปน กุโต อาคโต’’ติ? สุปฺปารกา อาคโตมฺหีติฯ กทา นิกฺขโนฺตสีติ? หิโยฺย สายํ นิกฺขโนฺตมฺหีติฯ ทูรโต อาคโต, ตว ปาเท โธวิตฺวา เตเลน มเกฺขตฺวา โถกํ วิสฺสมาหิ, อาคตกาเล สตฺถารํ ทกฺขิสฺสตีติฯ อหํ, ภเนฺต, สตฺถุ วา อตฺตโน วา ชีวิตนฺตรายํ น ชานามิ, เอกรเตฺตเนวมฺหิ กตฺถจิ อฎฺฐตฺวา อนิสีทิตฺวา วีสโยชนสติกํ มคฺคํ อาคโต, สตฺถารํ ปสฺสิตฺวาว วิสฺสมิสฺสามีติฯ โส เอวํ วตฺวา ตรมานรูโป สาวตฺถิํ ปวิสิตฺวา ภควนฺตํ อโนปมาย พุทฺธสิริยา ปิณฺฑาย จรนฺตํ ทิสฺวา ‘‘จิรสฺสํ วต เม ทิโฎฺฐ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ ทิฎฺฐฎฺฐานโต ปฎฺฐาย โอณตสรีโร คนฺตฺวา อนฺตรวีถิยเมว ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา โคปฺผเกสุ ทฬฺหํ คเหตฺวา เอวมาห – ‘‘เทเสตุ เม, ภเนฺต, ภควา ธมฺมํ, เทเสตุ เม สุคโต ธมฺมํ, ยํ มมสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา’’ติฯ

    216. Aṭṭhame ekarattivāsena gantvāti devatānubhāvena gantvā. ‘‘Buddhānubhāvenā’’tipi vadanti. Evaṃ gato ca vihāraṃ pavisitvā sambahule bhikkhū bhuttapātarāse kāyālasiyavimocanatthāya abbhokāse caṅkamante disvā ‘‘kahaṃ etarahi satthā’’ti pucchi. Bhikkhū ‘‘sāvatthiyaṃ piṇḍāya paviṭṭho’’ti vatvā taṃ pucchiṃsu – ‘‘tvaṃ pana kuto āgato’’ti? Suppārakā āgatomhīti. Kadā nikkhantosīti? Hiyyo sāyaṃ nikkhantomhīti. Dūrato āgato, tava pāde dhovitvā telena makkhetvā thokaṃ vissamāhi, āgatakāle satthāraṃ dakkhissatīti. Ahaṃ, bhante, satthu vā attano vā jīvitantarāyaṃ na jānāmi, ekarattenevamhi katthaci aṭṭhatvā anisīditvā vīsayojanasatikaṃ maggaṃ āgato, satthāraṃ passitvāva vissamissāmīti. So evaṃ vatvā taramānarūpo sāvatthiṃ pavisitvā bhagavantaṃ anopamāya buddhasiriyā piṇḍāya carantaṃ disvā ‘‘cirassaṃ vata me diṭṭho sammāsambuddho’’ti diṭṭhaṭṭhānato paṭṭhāya oṇatasarīro gantvā antaravīthiyameva pañcapatiṭṭhitena vanditvā gopphakesu daḷhaṃ gahetvā evamāha – ‘‘desetu me, bhante, bhagavā dhammaṃ, desetu me sugato dhammaṃ, yaṃ mamassa dīgharattaṃ hitāya sukhāyā’’ti.

    อถ นํ สตฺถา ‘‘อกาโล โข ตาว, พาหิย, อนฺตรฆรํ ปวิโฎฺฐมฺหิ ปิณฺฑายา’’ติ ปฎิกฺขิปิ ฯ ตํ สุตฺวา พาหิโย, ‘‘ภเนฺต, สํสาเร สํสรเนฺตน กพฬีการาหาโร น โน ลทฺธปุโพฺพ, ตุมฺหากํ วา มยฺหํ วา ชีวิตนฺตรายํ น ชานามิ, เทเสถ เม ธมฺม’’นฺติฯ สตฺถา ทุติยมฺปิ ปฎิกฺขิปิเยวฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ ‘‘อิมสฺส มํ ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย สกลสรีรํ ปีติยา นิรนฺตรํ อโชฺฌตฺถฎํ โหติ, พลวปีติเวเคน ธมฺมํ สุตฺวาปิ น สกฺขิสฺสติ ปฎิวิชฺฌิตุํ, มชฺฌตฺตุเปกฺขา ตาว ติฎฺฐตุ, เอกรเตฺตเนว วีสโยชนสตํ มคฺคํ อาคตตฺตา ทรโถปิสฺส พลวา, โสปิ ตาว ปฎิปฺปสฺสมฺภตู’’ติฯ ตสฺมา ทฺวิกฺขตฺตุํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ตติยํ ยาจิโต อนฺตรวีถิยํ ฐิโตว ‘‘ตสฺมาติห เต, พาหิย, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ทิเฎฺฐ ทิฎฺฐมตฺตํ ภวิสฺสตี’’ติอาทินา (อุทา. ๑๐) นเยน ธมฺมํ เทเสติฯ อิมมตฺถํ สํขิปิตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘สตฺถารํ ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐ’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อนฺตรฆเรติ อนฺตรวีถิยํฯ

    Atha naṃ satthā ‘‘akālo kho tāva, bāhiya, antaragharaṃ paviṭṭhomhi piṇḍāyā’’ti paṭikkhipi . Taṃ sutvā bāhiyo, ‘‘bhante, saṃsāre saṃsarantena kabaḷīkārāhāro na no laddhapubbo, tumhākaṃ vā mayhaṃ vā jīvitantarāyaṃ na jānāmi, desetha me dhamma’’nti. Satthā dutiyampi paṭikkhipiyeva. Evaṃ kirassa ahosi ‘‘imassa maṃ diṭṭhakālato paṭṭhāya sakalasarīraṃ pītiyā nirantaraṃ ajjhotthaṭaṃ hoti, balavapītivegena dhammaṃ sutvāpi na sakkhissati paṭivijjhituṃ, majjhattupekkhā tāva tiṭṭhatu, ekaratteneva vīsayojanasataṃ maggaṃ āgatattā darathopissa balavā, sopi tāva paṭippassambhatū’’ti. Tasmā dvikkhattuṃ paṭikkhipitvā tatiyaṃ yācito antaravīthiyaṃ ṭhitova ‘‘tasmātiha te, bāhiya, evaṃ sikkhitabbaṃ diṭṭhe diṭṭhamattaṃ bhavissatī’’tiādinā (udā. 10) nayena dhammaṃ deseti. Imamatthaṃ saṃkhipitvā dassento ‘‘satthāraṃ piṇḍāya paviṭṭha’’ntiādimāha. Tattha antaraghareti antaravīthiyaṃ.

    อปริปุณฺณปตฺตจีวรตาย ปตฺตจีวรํ ปริเยสโนฺตติ โส กิร วีสติวสฺสสหสฺสานิ สมณธมฺมํ กโรโนฺต ‘‘ภิกฺขุนา นาม อตฺตโน ปจฺจเย ลภิตฺวา อญฺญํ อโนโลเกตฺวา สยเมว ภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ เอกภิกฺขุสฺสปิ ปเตฺตน วา จีวเรน วา สงฺคหํ นากาสิฯ เตนสฺส ‘‘อิทฺธิมยปตฺตจีวรํ น อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ ญตฺวา เอหิภิกฺขุภาเวน ปพฺพชฺชํ น อทาสิฯ ตาวเทว จ ปพฺพชฺชํ ยาจิโต ‘‘ปริปุณฺณํ เต ปตฺตจีวร’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อปริปุณฺณ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ ปตฺตจีวรํ ปริเยสาหี’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ ตสฺมา โส ปตฺตจีวรํ ปริเยสโนฺต สงฺการฎฺฐานโต โจฬขณฺฑานิ สํกฑฺฒติฯ

    Aparipuṇṇapattacīvaratāya pattacīvaraṃ pariyesantoti so kira vīsativassasahassāni samaṇadhammaṃ karonto ‘‘bhikkhunā nāma attano paccaye labhitvā aññaṃ anoloketvā sayameva bhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti ekabhikkhussapi pattena vā cīvarena vā saṅgahaṃ nākāsi. Tenassa ‘‘iddhimayapattacīvaraṃ na uppajjissatī’’ti ñatvā ehibhikkhubhāvena pabbajjaṃ na adāsi. Tāvadeva ca pabbajjaṃ yācito ‘‘paripuṇṇaṃ te pattacīvara’’nti pucchitvā ‘‘aparipuṇṇa’’nti vutte ‘‘tena hi pattacīvaraṃ pariyesāhī’’ti vatvā pakkāmi. Tasmā so pattacīvaraṃ pariyesanto saṅkāraṭṭhānato coḷakhaṇḍāni saṃkaḍḍhati.

    สหสฺสมปีติ ปริเจฺฉทวจนํฯ เอกสหสฺสํ เทฺวสหสฺสานีติ เอวํ สหเสฺสน เจ ปริจฺฉินฺนา คาถา โหนฺติ, ตา จ อนตฺถปทสํหิตา อากาสวณฺณปพฺพตวณฺณาทีนิ ปกาสเกหิ อนิพฺพานทีปเกหิ อนตฺถเกหิ ปเทหิ สํหิตา ยาว พหุกา โหนฺติ, ตาว ปาปิกา เอวาติ อโตฺถ ฯ เอกํ คาถาปทํ เสโยฺยติ ‘‘อปฺปมาโท อมตปทํ…เป.… ยถา มตา’’ติ (ธ. ป. ๒๑) เอวรูปา เอกคาถาปิ เสโยฺยติ อโตฺถฯ

    Sahassamapīti paricchedavacanaṃ. Ekasahassaṃ dvesahassānīti evaṃ sahassena ce paricchinnā gāthā honti, tā ca anatthapadasaṃhitā ākāsavaṇṇapabbatavaṇṇādīni pakāsakehi anibbānadīpakehi anatthakehi padehi saṃhitā yāva bahukā honti, tāva pāpikā evāti attho . Ekaṃ gāthāpadaṃ seyyoti ‘‘appamādo amatapadaṃ…pe… yathā matā’’ti (dha. pa. 21) evarūpā ekagāthāpi seyyoti attho.

    กุมารกสฺสปเตฺถรวตฺถุ

    Kumārakassapattheravatthu

    ๒๑๗. นวเม เอกํ พุทฺธนฺตรํ สมฺปตฺติํ อนุภวมาโนติ สาวกโพธิยา นิยตตาย ปุญฺญสมฺภารสฺส จ สาติสยตฺตา วินิปาตํ อคนฺตฺวา เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สมฺปตฺติํ อนุภวมาโนฯ ‘‘เอกิสฺสา กุลทาริกาย กุจฺฉิมฺหิ อุปฺปโนฺน’’ติ วตฺวา ตเมวสฺส อุปฺปนฺนภาวํ มูลโต ปฎฺฐาย ทเสฺสตุํ – ‘‘สา จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สาติ กุลทาริกาฯ -สโทฺท พฺยติเรกโตฺถฯ เตน วุจฺจมานํ วิเสสํ โชตยติฯ กุลฆรนฺติ ปติกุลเคหํฯ คพฺภนิมิตฺตนฺติ คพฺภสฺส สณฺฐิตภาววิคฺคหํฯ สติปิ วิสาขาย สาวตฺถิวาสิกุลปริยาปนฺนเตฺต ตสฺสา ตตฺถ ปธานภาวทสฺสนตฺถํ ‘‘วิสาขญฺจา’’ติอาทิ วุตฺตํ ยถา ‘‘พฺราหฺมณา อาคตา, วาสิโฎฺฐปิ อาคโต’’ติฯ ภควตา เอวํ คหิตนามตฺตาติ โยชนาฯ ยสฺมา ราชปุตฺตา โลเก ‘‘กุมารา’’ติ โวหรียนฺติ, อยญฺจ รโญฺญ กิตฺติมปุโตฺต, ตสฺมา อาห – ‘‘รโญฺญ…เป.… สญฺชานิํสู’’ติฯ

    217. Navame ekaṃ buddhantaraṃ sampattiṃ anubhavamānoti sāvakabodhiyā niyatatāya puññasambhārassa ca sātisayattā vinipātaṃ agantvā ekaṃ buddhantaraṃ devesu ca manussesu ca sampattiṃ anubhavamāno. ‘‘Ekissā kuladārikāya kucchimhi uppanno’’ti vatvā tamevassa uppannabhāvaṃ mūlato paṭṭhāya dassetuṃ – ‘‘sā cā’’tiādi vuttaṃ. Tattha ti kuladārikā. Ca-saddo byatirekattho. Tena vuccamānaṃ visesaṃ jotayati. Kulagharanti patikulagehaṃ. Gabbhanimittanti gabbhassa saṇṭhitabhāvaviggahaṃ. Satipi visākhāya sāvatthivāsikulapariyāpannatte tassā tattha padhānabhāvadassanatthaṃ ‘‘visākhañcā’’tiādi vuttaṃ yathā ‘‘brāhmaṇā āgatā, vāsiṭṭhopi āgato’’ti. Bhagavatā evaṃ gahitanāmattāti yojanā. Yasmā rājaputtā loke ‘‘kumārā’’ti voharīyanti, ayañca rañño kittimaputto, tasmā āha – ‘‘rañño…pe… sañjāniṃsū’’ti.

    ปญฺจทส ปเญฺห อภิสงฺขริตฺวาติ ‘‘ภิกฺขุ, ภิกฺขุ, อยํ วมฺมิโก รตฺติํ ธูปายติ, ทิวา ปชฺชลตี’’ติอาทินา วมฺมิกสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๒๔๙) อาคตนเยน ปญฺจทส ปเญฺห อภิสงฺขริตฺวาฯ ปายาสิรโญฺญติ ‘‘นตฺถิ ปรโลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก’’ติ (ที. นิ. ๒.๔๑๐, ๔๑๒) เอวํลทฺธิกสฺส ปายาสิราชสฺสฯ ราชา หิ ตทา อนภิสิโตฺต หุตฺวา ปเสนทินา โกสเลน ทินฺนเสตพฺยนครํ อชฺฌาวสโนฺต อิมํ ทิฎฺฐิํ คณฺหิฯ ปญฺจทสหิ ปเญฺหหิ ปฎิมเณฺฑตฺวาติ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, ราชญฺญ, อิเม จนฺทิมสูริยา อิมสฺมิํ วา โลเก ปรสฺมิํ วา เทวา วา เต มนุสฺสา’’ติ เอวมาทีหิ (ที. นิ. ๒.๔๑๑) ปญฺจทสหิ ปเญฺหหิ ปฎิมณฺฑิตํ กตฺวาฯ สุตฺตเนฺตติ ปายาสิสุตฺตเนฺต (ที. นิ. ๒.๔๐๖ อาทโย)ฯ

    Pañcadasa pañhe abhisaṅkharitvāti ‘‘bhikkhu, bhikkhu, ayaṃ vammiko rattiṃ dhūpāyati, divā pajjalatī’’tiādinā vammikasutte (ma. ni. 1.249) āgatanayena pañcadasa pañhe abhisaṅkharitvā. Pāyāsiraññoti ‘‘natthi paraloko, natthi sattā opapātikā, natthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko’’ti (dī. ni. 2.410, 412) evaṃladdhikassa pāyāsirājassa. Rājā hi tadā anabhisitto hutvā pasenadinā kosalena dinnasetabyanagaraṃ ajjhāvasanto imaṃ diṭṭhiṃ gaṇhi. Pañcadasahi pañhehi paṭimaṇḍetvāti ‘‘taṃ kiṃ maññasi, rājañña, ime candimasūriyā imasmiṃ vā loke parasmiṃ vā devā vā te manussā’’ti evamādīhi (dī. ni. 2.411) pañcadasahi pañhehi paṭimaṇḍitaṃ katvā. Suttanteti pāyāsisuttante (dī. ni. 2.406 ādayo).

    มหาโกฎฺฐิกเตฺถรวตฺถุ

    Mahākoṭṭhikattheravatthu

    ๒๑๘. ทสมํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    218. Dasamaṃ uttānatthameva.

    ตติยเอตทคฺควคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Tatiyaetadaggavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๔. จตุตฺถเอตทคฺควคฺควณฺณนา

    (14) 4. Catutthaetadaggavaggavaṇṇanā

    อานนฺทเตฺถรวตฺถุ

    Ānandattheravatthu

    ๒๑๙-๒๒๓. จตุตฺถวคฺคสฺส ปฐเม เหฎฺฐา วุตฺตปฺปมาณนฺติ เหฎฺฐา โกณฺฑญฺญเตฺถรสฺส วตฺถุมฺหิ ‘‘ตสฺส ธุรปตฺตานิ นวุติหตฺถานิ โหนฺติ, เกสรํ ติํสหตฺถํ, กณฺณิกา ทฺวาทสหตฺถา, ปาเทน ปติฎฺฐิตฎฺฐานํ เอกาทสหตฺถ’’นฺติ เอวํ วุตฺตปฺปมาณํฯ รโญฺญ เปเสสีติ ปจฺจนฺตสฺส กุปิตภาวํ อาโรเจตฺวา เปเสสิฯ เถรคาถาสํวณฺณนายํ (เถรคา. อฎฺฐ. ๒.๑๐๑๖ อานนฺทเตฺถรคาถาวณฺณนา) ปน ‘‘ปจฺจนฺตสฺส กุปิตภาวํ รโญฺญ อนาโรเจตฺวา สยเมว ตํ วูปสเมสิ, ตํ สุตฺวา ราชา ตุฎฺฐมานโส ปุตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘วรํ เต, สุมน, ทมฺมิ, คณฺหาหี’ติ อาหา’’ติ วุตฺตํฯ น เมตํ จิตฺตํ อตฺถีติ มม เอวรูปํ จิตฺตํ นตฺถิฯ อวญฺฌนฺติ อตุจฺฉํฯ อญฺญํ วเรหีติ อญฺญํ ปเตฺถหิ, อญฺญํ คณฺหาหีติ วุตฺตํ โหติฯ อุทกํ อธิฎฺฐายาติ ‘‘อุทกํ โหตู’’ติ อธิฎฺฐหิตฺวาฯ คเตนาติ คมเนนฯ น อามิสจกฺขุกาติ จีวราทิปจฺจยสงฺขาตํ อามิสํ น โอโลเกนฺติฯ

    219-223. Catutthavaggassa paṭhame heṭṭhā vuttappamāṇanti heṭṭhā koṇḍaññattherassa vatthumhi ‘‘tassa dhurapattāni navutihatthāni honti, kesaraṃ tiṃsahatthaṃ, kaṇṇikā dvādasahatthā, pādena patiṭṭhitaṭṭhānaṃ ekādasahattha’’nti evaṃ vuttappamāṇaṃ. Rañño pesesīti paccantassa kupitabhāvaṃ ārocetvā pesesi. Theragāthāsaṃvaṇṇanāyaṃ (theragā. aṭṭha. 2.1016 ānandattheragāthāvaṇṇanā) pana ‘‘paccantassa kupitabhāvaṃ rañño anārocetvā sayameva taṃ vūpasamesi, taṃ sutvā rājā tuṭṭhamānaso puttaṃ pakkosāpetvā ‘varaṃ te, sumana, dammi, gaṇhāhī’ti āhā’’ti vuttaṃ. Na metaṃ cittaṃ atthīti mama evarūpaṃ cittaṃ natthi. Avañjhanti atucchaṃ. Aññaṃ varehīti aññaṃ patthehi, aññaṃ gaṇhāhīti vuttaṃ hoti. Udakaṃ adhiṭṭhāyāti ‘‘udakaṃ hotū’’ti adhiṭṭhahitvā. Gatenāti gamanena. Na āmisacakkhukāti cīvarādipaccayasaṅkhātaṃ āmisaṃ na olokenti.

    วสนฎฺฐานสภาเคเยวาติ วสนฎฺฐานสมีเปเยวฯ เอกนฺตวลฺลโภติ อุปฎฺฐากฎฺฐาเน เอกเนฺตน วลฺลโภฯ เอตเสฺสวาติ เอตเสฺสว ภิกฺขุสฺสฯ เทฺวชฺฌกถา น โหนฺตีติ ทฺวิธาภูตกถา น โหนฺติ, อเนกนฺติกกถา น โหนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ อนิพทฺธาติ อนิยตาฯ โลหิเตน คลเนฺตนาติ อิตฺถมฺภูตกฺขาเน กรณวจนํ, คลเนฺตน โลหิเตน ยุโตฺตติ อโตฺถฯ อนฺวาสโตฺตติ อนุคโตฯ อุเฎฺฐหิ, อาวุโส อานนฺท, อุเฎฺฐหิ, อาวุโส อานนฺทาติ ตุริเต อิทมาเมฑิตวจนํฯ ทุวิเธน อุทเกนาติ สีตุทเกน อุณฺหุทเกน จฯ ติวิเธน ทนฺตกเฎฺฐนาติ ขุทฺทกํ มหนฺตํ มชฺฌิมนฺติ เอวํ ติปฺปกาเรน ทนฺตกเฎฺฐนฯ นว วาเร อนุปริยายตีติ สตฺถริ ปโกฺกสเนฺต ปฎิวจนทานาย ถินมิทฺธวิโนทนตฺถํ นวกฺขตฺตุํ อนุปริยายติฯ เตเนวาห – ‘‘เอวญฺหิสฺส อโหสี’’ติอาทิฯ เสสเมตฺถ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Vasanaṭṭhānasabhāgeyevāti vasanaṭṭhānasamīpeyeva. Ekantavallabhoti upaṭṭhākaṭṭhāne ekantena vallabho. Etassevāti etasseva bhikkhussa. Dvejjhakathā na hontīti dvidhābhūtakathā na honti, anekantikakathā na hontīti vuttaṃ hoti. Anibaddhāti aniyatā. Lohitena galantenāti itthambhūtakkhāne karaṇavacanaṃ, galantena lohitena yuttoti attho. Anvāsattoti anugato. Uṭṭhehi, āvuso ānanda, uṭṭhehi, āvuso ānandāti turite idamāmeḍitavacanaṃ. Duvidhena udakenāti sītudakena uṇhudakena ca. Tividhena dantakaṭṭhenāti khuddakaṃ mahantaṃ majjhimanti evaṃ tippakārena dantakaṭṭhena. Nava vāre anupariyāyatīti satthari pakkosante paṭivacanadānāya thinamiddhavinodanatthaṃ navakkhattuṃ anupariyāyati. Tenevāha – ‘‘evañhissa ahosī’’tiādi. Sesamettha suviññeyyameva.

    อุรุเวลกสฺสปเตฺถรวตฺถุ

    Uruvelakassapattheravatthu

    ๒๒๔. ทุติเย ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ วิตฺถารโต วินยปาฬิยํ อาคตเมวฯ

    224. Dutiye yaṃ vattabbaṃ, taṃ vitthārato vinayapāḷiyaṃ āgatameva.

    กาฬุทายิเตฺถรวตฺถุ

    Kāḷudāyittheravatthu

    ๒๒๕. ตติเย คมนากปฺปนฺติ คมนาการํฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวฯ

    225. Tatiye gamanākappanti gamanākāraṃ. Sesamettha uttānameva.

    พากุลเตฺถรวตฺถุ

    Bākulattheravatthu

    ๒๒๖. จตุเตฺถ นิราพาธานนฺติ อาพาธรหิตานํฯ ยถา ‘‘ทฺวาวีสติ ทฺวตฺติํสา’’ติอาทิมฺหิ วตฺตเพฺพ ‘‘พาวีสติ พาตฺติํสา’’ติอาทีนิ วุจฺจนฺติ, เอวเมวํ เทฺว กุลานิ อสฺสาติ ทฺวิกุโล, เทฺวกุโลติ วา วตฺตเพฺพ พากุโลติ วุตฺตนฺติ อาห – ‘‘พากุโลติ ทฺวีสุ กุเลสุ วฑฺฒิตตฺตา เอวํลทฺธนาโม’’ติฯ อุปโยเคนาติ อานุภาเวนฯ ผาสุกกาเลติ อโรคกาเลฯ คทฺทุหนมตฺตมฺปีติ โคทุหนมตฺตมฺปิ กาลํฯ อิธ ปน น สกโล โคทุหนกฺขโณ อธิเปฺปโต, อถ โข คาวิํ ถเน คเหตฺวา เอกขีรพินฺทุทุหนกาลมตฺตํ อธิเปฺปตํฯ อาโรคฺยสาลนฺติ อาตุรานํ อโรคภาวกรณตฺถาย กตสาลํฯ

    226. Catutthe nirābādhānanti ābādharahitānaṃ. Yathā ‘‘dvāvīsati dvattiṃsā’’tiādimhi vattabbe ‘‘bāvīsati bāttiṃsā’’tiādīni vuccanti, evamevaṃ dve kulāni assāti dvikulo, dvekuloti vā vattabbe bākuloti vuttanti āha – ‘‘bākuloti dvīsu kulesu vaḍḍhitattā evaṃladdhanāmo’’ti. Upayogenāti ānubhāvena. Phāsukakāleti arogakāle. Gadduhanamattampīti goduhanamattampi kālaṃ. Idha pana na sakalo goduhanakkhaṇo adhippeto, atha kho gāviṃ thane gahetvā ekakhīrabinduduhanakālamattaṃ adhippetaṃ. Ārogyasālanti āturānaṃ arogabhāvakaraṇatthāya katasālaṃ.

    นิมุชฺชนุมฺมุชฺชนวเสนาติ ชาณุปฺปมาเณ อุทเก โถกํเยว นิมุชฺชนุมฺมุชฺชนวเสนฯ ฉเฑฺฑตฺวา ปลายีติ มจฺฉสฺส มุขสมีเปเยว ฉเฑฺฑตฺวา ปลายิฯ ทารกสฺส เตเชนาติ ทารกสฺส ปุญฺญเตเชนฯ มาริยมานาว มรนฺตีติ ทณฺฑาทีหิ โปเถตฺวา มาริยมานาว มรนฺติ, น ชาเลน พทฺธตามเตฺตน อมาริยมานาฯ นีหฎมโตฺตว มโตติ นีหฎกฺขเณเยว มโตฯ เตนสฺส มารณตฺถํ อุปกฺกโม น กโต, เยน อุปกฺกเมน ทารกสฺส อาพาโธ สิยาฯ นฺติ มจฺฉํฯ สกลเมวาติ อวิกลเมว ปริปุณฺณาวยวเมวฯ น เกฬายตีติ น นนฺทติ, กิสฺมิญฺจิ น มญฺญติฯ ปิฎฺฐิโต ผาเลนฺตีติ ทารกสฺส ปุญฺญเตเชน ปิฎฺฐิโต ผาเลนฺตีฯ เภริํ จราเปตฺวาติ ‘‘ปุตฺตํ ลภิ’’นฺติ อุโคฺฆสนวเสน เภริํ จราเปตฺวาฯ ปกติํ อาจิกฺขีติ อตฺตโน ปุตฺตภาวํ กเถสิฯ กุจฺฉิยา ธาริตตฺตา อมาตา กาตุํ น สกฺกาติ ชนนีภาวโต อมาตา กาตุํ น สกฺกาฯ มจฺฉํ คณฺหนฺตาปีติ มจฺฉํ วิกฺกิณิตฺวา คณฺหนฺตาปิฯ ตถา คณฺหนฺตา จ ตปฺปริยาปนฺนํ สพฺพํ คณฺหนฺติ นามาติ อาห – ‘‘วกฺกยกนาทีนิ พหิ กตฺวา คณฺหนฺตา นาม นตฺถี’’ติฯ อยมฺปิ อมาตา กาตุํ น สกฺกาติ ทินฺนปุตฺตภาวโต น สกฺกาฯ

    Nimujjanummujjanavasenāti jāṇuppamāṇe udake thokaṃyeva nimujjanummujjanavasena. Chaḍḍetvā palāyīti macchassa mukhasamīpeyeva chaḍḍetvā palāyi. Dārakassa tejenāti dārakassa puññatejena. Māriyamānāva marantīti daṇḍādīhi pothetvā māriyamānāva maranti, na jālena baddhatāmattena amāriyamānā. Nīhaṭamattova matoti nīhaṭakkhaṇeyeva mato. Tenassa māraṇatthaṃ upakkamo na kato, yena upakkamena dārakassa ābādho siyā. Tanti macchaṃ. Sakalamevāti avikalameva paripuṇṇāvayavameva. Na keḷāyatīti na nandati, kismiñci na maññati. Piṭṭhito phālentīti dārakassa puññatejena piṭṭhito phālentī. Bheriṃ carāpetvāti ‘‘puttaṃ labhi’’nti ugghosanavasena bheriṃ carāpetvā. Pakatiṃ ācikkhīti attano puttabhāvaṃ kathesi. Kucchiyā dhāritattā amātā kātuṃ na sakkāti jananībhāvato amātā kātuṃ na sakkā. Macchaṃ gaṇhantāpīti macchaṃ vikkiṇitvā gaṇhantāpi. Tathā gaṇhantā ca tappariyāpannaṃ sabbaṃ gaṇhanti nāmāti āha – ‘‘vakkayakanādīni bahi katvā gaṇhantā nāma natthī’’ti. Ayampi amātā kātuṃ na sakkāti dinnaputtabhāvato na sakkā.

    โสภิตเตฺถรวตฺถุ

    Sobhitattheravatthu

    ๒๒๗. ปญฺจมํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    227. Pañcamaṃ uttānatthameva.

    อุปาลิเตฺถรวตฺถุ

    Upālittheravatthu

    ๒๒๘. ฉเฎฺฐ ภารุกจฺฉกวตฺถุนฺติ อญฺญตโร กิร ภารุกจฺฉเทสวาสี ภิกฺขุ สุปินเนฺต ปุราณทุติยิกาย เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิตฺวา ‘‘อสฺสมโณ อหํ วิพฺภมิสฺสามี’’ติ ภารุกจฺฉํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค อายสฺมนฺตํ อุปาลิํ ปสฺสิตฺวา เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ อายสฺมา อุปาลิ, เอวมาห – ‘‘อนาปตฺติ, อาวุโส, สุปินเนฺตนา’’ติฯ ยสฺมา สุปินเนฺต อวิสยตฺตา เอวํ โหติฯ ตสฺมา อุปาลิเตฺถโร ภควตา อวินิจฺฉิตปุพฺพมฺปิ อิมํ วตฺถุํ นยคฺคาเหน เอวํ วินิจฺฉินิฯ คหปติโน เทฺว ทารกา โหนฺติ ปุโตฺต จ ภาคิเนโยฺย จฯ อถ โส คหปติ คิลาโน หุตฺวา อายสฺมนฺตํ อชฺชุกํ เอตทโวจ – ‘‘อิมํ, ภเนฺต, โอกาสํ โย อิเมสํ ทารกานํ สโทฺธ โหติ ปสโนฺน, ตสฺส อาจิเกฺขยฺยาสี’’ติฯ เตน จ สมเยน ตสฺส จ คหปติโน ภาคิเนโยฺย สโทฺธ โหติ ปสโนฺนฯ อถายสฺมา อชฺชุโก ตํ โอกาสํ ตสฺส ทารกสฺส อาจิกฺขิฯ โส เตน สาปเตเยฺยน กุฎุมฺพญฺจ สณฺฐเปสิ, ทานญฺจ ปฎฺฐเปสิฯ อถ ตสฺส คหปติโน ปุโตฺต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ – ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต อานนฺท, ปิตุโน ทายโชฺช ปุโตฺต วา ภาคิเนโยฺย วา’’ติฯ ปุโตฺต โข, อาวุโส, ปิตุโน ทายโชฺชติฯ อายสฺมา, ภเนฺต, อโยฺย อชฺชุโก อมฺหากํ สาปเตยฺยํ อมฺหากํ เมถุนกสฺส อาจิกฺขีติฯ อสฺสมโณ, อาวุโส, โส อชฺชุโกติฯ อถายสฺมา อชฺชุโก อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ – ‘‘เทหิ เม, อาวุโส อานนฺท, วินิจฺฉย’’นฺติฯ เต อุโภปิ อุปาลิเตฺถรสฺส สนฺติกํ อคมํสุฯ อถายสฺมา อุปาลิ, อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ – ‘‘โย นุ โข, อาวุโส อานนฺท, สามิเกน ‘อิมํ โอกาสํ อิตฺถนฺนามสฺส อาจิกฺขา’ติ วุโตฺต, ตสฺส อาจิกฺขติ, กิํ โส อาปชฺชตี’’ติ? น, ภเนฺต, กิญฺจิ อาปชฺชติ อนฺตมโส ทุกฺกฎมตฺถมฺปีติฯ อยํ, อาวุโส, อายสฺมา อชฺชุโก สามิเกน ‘‘อิมํ โอกาสํ อิตฺถนฺนามสฺส อาจิกฺขา’’ติ วุโตฺต ตสฺส อาจิกฺขติ, อนาปตฺติ, อาวุโส, อายสฺมโต อชฺชุกสฺสาติฯ ภควา ตํ สุตฺวา ‘‘สุกถิตํ, ภิกฺขเว, อุปาลินา’’ติ วตฺวา สาธุการมทาสิ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ กุมารกสฺสปวตฺถุ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๑๗) ปน เหฎฺฐา อาคตเมวฯ

    228. Chaṭṭhe bhārukacchakavatthunti aññataro kira bhārukacchadesavāsī bhikkhu supinante purāṇadutiyikāya methunaṃ dhammaṃ paṭisevitvā ‘‘assamaṇo ahaṃ vibbhamissāmī’’ti bhārukacchaṃ gacchanto antarāmagge āyasmantaṃ upāliṃ passitvā etamatthaṃ ārocesi. Āyasmā upāli, evamāha – ‘‘anāpatti, āvuso, supinantenā’’ti. Yasmā supinante avisayattā evaṃ hoti. Tasmā upālitthero bhagavatā avinicchitapubbampi imaṃ vatthuṃ nayaggāhena evaṃ vinicchini. Gahapatino dve dārakā honti putto ca bhāgineyyo ca. Atha so gahapati gilāno hutvā āyasmantaṃ ajjukaṃ etadavoca – ‘‘imaṃ, bhante, okāsaṃ yo imesaṃ dārakānaṃ saddho hoti pasanno, tassa ācikkheyyāsī’’ti. Tena ca samayena tassa ca gahapatino bhāgineyyo saddho hoti pasanno. Athāyasmā ajjuko taṃ okāsaṃ tassa dārakassa ācikkhi. So tena sāpateyyena kuṭumbañca saṇṭhapesi, dānañca paṭṭhapesi. Atha tassa gahapatino putto āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca – ‘‘ko nu kho, bhante ānanda, pituno dāyajjo putto vā bhāgineyyo vā’’ti. Putto kho, āvuso, pituno dāyajjoti. Āyasmā, bhante, ayyo ajjuko amhākaṃ sāpateyyaṃ amhākaṃ methunakassa ācikkhīti. Assamaṇo, āvuso, so ajjukoti. Athāyasmā ajjuko āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca – ‘‘dehi me, āvuso ānanda, vinicchaya’’nti. Te ubhopi upālittherassa santikaṃ agamaṃsu. Athāyasmā upāli, āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca – ‘‘yo nu kho, āvuso ānanda, sāmikena ‘imaṃ okāsaṃ itthannāmassa ācikkhā’ti vutto, tassa ācikkhati, kiṃ so āpajjatī’’ti? Na, bhante, kiñci āpajjati antamaso dukkaṭamatthampīti. Ayaṃ, āvuso, āyasmā ajjuko sāmikena ‘‘imaṃ okāsaṃ itthannāmassa ācikkhā’’ti vutto tassa ācikkhati, anāpatti, āvuso, āyasmato ajjukassāti. Bhagavā taṃ sutvā ‘‘sukathitaṃ, bhikkhave, upālinā’’ti vatvā sādhukāramadāsi, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Kumārakassapavatthu (a. ni. aṭṭha. 1.1.217) pana heṭṭhā āgatameva.

    ฉนฺนํ ขตฺติยานนฺติ ภทฺทิโย สกฺยราชา อนุรุโทฺธ อานโนฺท ภคุ กิมิโล เทวทโตฺตติ อิเมสํ ฉนฺนํ ขตฺติยานํฯ ปสาธโกติ มณฺฑยิตาฯ ปาฬิยนฺติ สงฺฆเภทกฺขนฺธกปาฬิยนฺติ (จูฬว. ๓๓๐ อาทโย)ฯ

    Channaṃ khattiyānanti bhaddiyo sakyarājā anuruddho ānando bhagu kimilo devadattoti imesaṃ channaṃ khattiyānaṃ. Pasādhakoti maṇḍayitā. Pāḷiyanti saṅghabhedakkhandhakapāḷiyanti (cūḷava. 330 ādayo).

    นนฺทกเตฺถรวตฺถุ

    Nandakattheravatthu

    ๒๒๙. สตฺตเม เอกสโมธาเนติ เอกสฺมิํ สโมธาเน, เอกสฺมิํ สนฺนิปาเตติ อโตฺถฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    229. Sattame ekasamodhāneti ekasmiṃ samodhāne, ekasmiṃ sannipāteti attho. Sesaṃ suviññeyyameva.

    นนฺทเตฺถรวตฺถุ

    Nandattheravatthu

    ๒๓๐. อฎฺฐเม น ตํ จตุสมฺปชญฺญวเสน อปริจฺฉินฺทิตฺวา โอโลเกตีติ สาตฺถกสปฺปายโคจรอสโมฺมหสมฺปชญฺญสงฺขาตานํ จตุนฺนํ สมฺปชญฺญานํ วเสน อปริจฺฉินฺทิตฺวา ตํ ทิสํ น โอโลเกติฯ โส หิ อายสฺมา ‘‘ยเมวาหํ อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวารตํ นิสฺสาย สาสเน อนภิรติอาทิวิปฺปการปฺปโตฺต, ตเมว สุฎฺฐุ นิคฺคเหสฺสามี’’ติ อุสฺสาหชาโต พลวหิโรตฺตโปฺป, ตตฺถ จ กตาธิการตฺตา อินฺทฺริยสํวโร อุกฺกํสปารมิปฺปโตฺต จตุสมฺปชญฺญํ อมุญฺจิตฺวาว สพฺพทิสํ อาโลเกติฯ วุตฺตเญฺจตํ ภควตา –

    230. Aṭṭhame na taṃ catusampajaññavasena aparicchinditvā oloketīti sātthakasappāyagocaraasammohasampajaññasaṅkhātānaṃ catunnaṃ sampajaññānaṃ vasena aparicchinditvā taṃ disaṃ na oloketi. So hi āyasmā ‘‘yamevāhaṃ indriyesu aguttadvārataṃ nissāya sāsane anabhiratiādivippakārappatto, tameva suṭṭhu niggahessāmī’’ti ussāhajāto balavahirottappo, tattha ca katādhikārattā indriyasaṃvaro ukkaṃsapāramippatto catusampajaññaṃ amuñcitvāva sabbadisaṃ āloketi. Vuttañcetaṃ bhagavatā –

    ‘‘สเจ, ภิกฺขเว, นนฺทสฺส ปุรตฺถิมา ทิสา อาโลเกตพฺพา โหติ, สพฺพํ เจตโส สมนฺนาหริตฺวา นโนฺท ปุรตฺถิมํ ทิสํ อาโลเกติ ‘เอวํ เม ปุรตฺถิมํ ทิสํ อาโลกยโต นาภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสวิสฺสนฺตี’ติฯ อิติห ตตฺถ สมฺปชาโน โหติฯ สเจ, ภิกฺขเว, นนฺทสฺส ปจฺฉิมา ทิสา, อุตฺตรา ทิสา, ทกฺขิณา ทิสา, อุทฺธํ, อโธ, อนุทิสา อนุวิโลเกตพฺพา โหติ, สพฺพํ เจตโส สมนฺนาหริตฺวา นโนฺท อนุทิสํ อนุวิโลเกติ ‘เอวํ เม อนุทิสํ อนุวิโลกยโต…เป.… สมฺปชาโน โหตี’’’ติ (อ. นิ. ๘.๙)ฯ

    ‘‘Sace, bhikkhave, nandassa puratthimā disā āloketabbā hoti, sabbaṃ cetaso samannāharitvā nando puratthimaṃ disaṃ āloketi ‘evaṃ me puratthimaṃ disaṃ ālokayato nābhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāsavissantī’ti. Itiha tattha sampajāno hoti. Sace, bhikkhave, nandassa pacchimā disā, uttarā disā, dakkhiṇā disā, uddhaṃ, adho, anudisā anuviloketabbā hoti, sabbaṃ cetaso samannāharitvā nando anudisaṃ anuviloketi ‘evaṃ me anudisaṃ anuvilokayato…pe… sampajāno hotī’’’ti (a. ni. 8.9).

    อภิเสกเคหปเวสนอาวาหมงฺคเลสุ วตฺตมาเนสูติ อิธ ตีณิ มงฺคลานิ วุตฺตานิ, วินยฎฺฐกถายํ ปน ‘‘ตํ ทิวสเมว นนฺทกุมารสฺส เกสวิสฺสชฺชนํ, ปฎฺฎพโนฺธ, ฆรมงฺคลํ, ฉตฺตมงฺคลํ, อาวาหมงฺคลนฺติ ปญฺจ มงฺคลานิ โหนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ กุลมริยาทวเสน เกโสโรปนํ เกสวิสฺสชฺชนํฯ ยุวราชปฎฺฎพนฺธนํ ปฎฺฎพโนฺธฯ อภินวฆรปฺปเวสนมโห ฆรมงฺคลํฯ วิวาหกรณมโห อาวาหมงฺคลํฯ ยุวราชฉตฺตมโห ฉตฺตมงฺคลํ

    Abhisekagehapavesanaāvāhamaṅgalesuvattamānesūti idha tīṇi maṅgalāni vuttāni, vinayaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘taṃ divasameva nandakumārassa kesavissajjanaṃ, paṭṭabandho, gharamaṅgalaṃ, chattamaṅgalaṃ, āvāhamaṅgalanti pañca maṅgalāni hontī’’ti vuttaṃ. Tattha kulamariyādavasena kesoropanaṃ kesavissajjanaṃ. Yuvarājapaṭṭabandhanaṃ paṭṭabandho. Abhinavagharappavesanamaho gharamaṅgalaṃ. Vivāhakaraṇamaho āvāhamaṅgalaṃ. Yuvarājachattamaho chattamaṅgalaṃ.

    นนฺทกุมารํ อภิเสกมงฺคลํ น ตถา ปีเฬสิ, ยถา ชนปทกลฺยาณิยา วุตฺตวจนนฺติ อชฺฌาหริตพฺพํฯ ตเทว ปน วจนํ สรูปโต ทเสฺสตุํ – ‘‘ปตฺตํ อาทาย คมนกาเล’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ชนปทกลฺยาณีติ ชนปทมฺหิ กลฺยาณี อุตฺตมา ฉ สรีรโทสรหิตา ปญฺจ กลฺยาณสมนฺนาคตาฯ สา หิ ยสฺมา นาติทีฆา นาติรสฺสา นาติกิสา นาติถูลา นาติกาฬี นาโจฺจทาตาติ อติกฺกนฺตา มานุสวณฺณํ, อสมฺปตฺตา ทิพฺพวณฺณํ, ตสฺมา ฉ สรีรโทสรหิตาฯ ฉวิกลฺยาณํ มํสกลฺยาณํ นฺหารุกลฺยาณํ อฎฺฐิกลฺยาณํ วยกลฺยาณนฺติ อิเมหิ ปน กลฺยาเณหิ สมนฺนาคตตฺตา ปญฺจ กลฺยาณสมนฺนาคตา นามฯ ตสฺสา หิ อาคนฺตุโกภาสกิจฺจํ นตฺถิ, อตฺตโน สรีโรภาเสเนว ทฺวาทสหเตฺถ ฐาเน อาโลกํ กโรติ, ปิยงฺคุสามา วา โหติ สุวณฺณสามา วา, อยมสฺสา ฉวิกลฺยาณตาฯ จตฺตาโร ปนสฺสา หตฺถปาทา มุขปริโยสานญฺจ ลาขารสปริกมฺมกตํ วิย รตฺตปวาฬรตฺตกมฺพลสทิสํ โหติ, อยมสฺสา มํสกลฺยาณตาฯ วีสติ ปน นขปตฺตานิ มํสโต อมุตฺตฎฺฐาเน ลาขารสปูริตานิ วิย, มุตฺตฎฺฐาเน ขีรธาราสทิสานิ โหนฺติ, อยมสฺสา นฺหารุกลฺยาณตาฯ ทฺวตฺติํส ทนฺตา สุผุสิตา สุโธตวชิรปนฺติ วิย ขายนฺติ, อยมสฺสา อฎฺฐิกลฺยาณตาฯ วีสํวสฺสสติกาปิ สมานา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกา วิย โหติ นิปฺปลิเตน, อยมสฺสา วยกลฺยาณตาฯ อิติ อิเมหิ ปญฺจหิ กลฺยาเณหิ สมนฺนาคตตฺตา ‘‘ชนปทกลฺยาณี’’ติ วุจฺจติฯ ตุวฎนฺติ สีฆํฯ

    Nandakumāraṃ abhisekamaṅgalaṃ na tathā pīḷesi, yathā janapadakalyāṇiyā vuttavacananti ajjhāharitabbaṃ. Tadeva pana vacanaṃ sarūpato dassetuṃ – ‘‘pattaṃ ādāya gamanakāle’’tiādi vuttaṃ. Janapadakalyāṇīti janapadamhi kalyāṇī uttamā cha sarīradosarahitā pañca kalyāṇasamannāgatā. Sā hi yasmā nātidīghā nātirassā nātikisā nātithūlā nātikāḷī nāccodātāti atikkantā mānusavaṇṇaṃ, asampattā dibbavaṇṇaṃ, tasmā cha sarīradosarahitā. Chavikalyāṇaṃ maṃsakalyāṇaṃ nhārukalyāṇaṃ aṭṭhikalyāṇaṃ vayakalyāṇanti imehi pana kalyāṇehi samannāgatattā pañca kalyāṇasamannāgatā nāma. Tassā hi āgantukobhāsakiccaṃ natthi, attano sarīrobhāseneva dvādasahatthe ṭhāne ālokaṃ karoti, piyaṅgusāmā vā hoti suvaṇṇasāmā vā, ayamassā chavikalyāṇatā. Cattāro panassā hatthapādā mukhapariyosānañca lākhārasaparikammakataṃ viya rattapavāḷarattakambalasadisaṃ hoti, ayamassā maṃsakalyāṇatā. Vīsati pana nakhapattāni maṃsato amuttaṭṭhāne lākhārasapūritāni viya, muttaṭṭhāne khīradhārāsadisāni honti, ayamassā nhārukalyāṇatā. Dvattiṃsa dantā suphusitā sudhotavajirapanti viya khāyanti, ayamassā aṭṭhikalyāṇatā. Vīsaṃvassasatikāpi samānā soḷasavassuddesikā viya hoti nippalitena, ayamassā vayakalyāṇatā. Iti imehi pañcahi kalyāṇehi samannāgatattā ‘‘janapadakalyāṇī’’ti vuccati. Tuvaṭanti sīghaṃ.

    อิมสฺมิํ ฐาเน นิวเตฺตสฺสติ, อิมสฺมิํ ฐาเน นิวเตฺตสฺสตีติ จิเนฺตนฺตเมวาติ โส กิร ตถาคเต คารววเสน ‘‘ปตฺตํ โว, ภเนฺต, คณฺหถา’’ติ วตฺตุํ อวิสหโนฺต เอวํ จิเนฺตสิ – ‘‘โสปานสีเส ปตฺตํ คณฺหิสฺสตี’’ติ ฯ สตฺถา ตสฺมิมฺปิ ฐาเน น คณฺหิฯ อิตโร ‘‘โสปานปาทมูเล คณฺหิสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิฯ สตฺถา ตตฺถาปิ น คณฺหิฯ อิตโร ‘‘ราชงฺคเณ คณฺหิสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิฯ สตฺถา ตตฺถาปิ น คณฺหิฯ เอวํ ‘‘อิธ คณฺหิสฺสติ, เอตฺถ คณฺหิสฺสตี’’ติ จิเนฺตนฺตเมว สตฺถา วิหารํ เนตฺวา ปพฺพาเชสิฯ

    Imasmiṃ ṭhāne nivattessati, imasmiṃ ṭhāne nivattessatīti cintentamevāti so kira tathāgate gāravavasena ‘‘pattaṃ vo, bhante, gaṇhathā’’ti vattuṃ avisahanto evaṃ cintesi – ‘‘sopānasīse pattaṃ gaṇhissatī’’ti . Satthā tasmimpi ṭhāne na gaṇhi. Itaro ‘‘sopānapādamūle gaṇhissatī’’ti cintesi. Satthā tatthāpi na gaṇhi. Itaro ‘‘rājaṅgaṇe gaṇhissatī’’ti cintesi. Satthā tatthāpi na gaṇhi. Evaṃ ‘‘idha gaṇhissati, ettha gaṇhissatī’’ti cintentameva satthā vihāraṃ netvā pabbājesi.

    มหากปฺปินเตฺถรวตฺถุ

    Mahākappinattheravatthu

    ๒๓๑. นวเม สุตวิตฺตโกติ ธมฺมสฺสวนปิโยฯ ปฎิหารกสฺสาติ โทวาริกสฺสฯ สจฺจกาเรนาติ สจฺจกิริยายฯ สตฺถา ‘‘อุปฺปลวณฺณา อาคจฺฉตู’’ติ จิเนฺตสิฯ เถรี อาคนฺตฺวา สพฺพา ปพฺพาเชตฺวา ภิกฺขุนีอุปสฺสยํ คตาติ อิทํ องฺคุตฺตรภาณกานํ กถามคฺคํ ทเสฺสเนฺตน วุตฺตํฯ เตเนว ธมฺมปทฎฺฐกถายํ (ธ. ป. อฎฺฐ. ๑.มหากปฺปินเตฺถรวตฺถุ) วุตฺตํ –

    231. Navame sutavittakoti dhammassavanapiyo. Paṭihārakassāti dovārikassa. Saccakārenāti saccakiriyāya. Satthā ‘‘uppalavaṇṇā āgacchatū’’ti cintesi. Therī āgantvā sabbā pabbājetvā bhikkhunīupassayaṃ gatāti idaṃ aṅguttarabhāṇakānaṃ kathāmaggaṃ dassentena vuttaṃ. Teneva dhammapadaṭṭhakathāyaṃ (dha. pa. aṭṭha. 1.mahākappinattheravatthu) vuttaṃ –

    ‘‘ตา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐิตา ปพฺพชฺชํ ยาจิํสุฯ เอวํ กิร วุเตฺต สตฺถา อุปฺปลวณฺณาย อาคมนํ จิเนฺตสีติ เอกเจฺจ วทนฺติฯ สตฺถา ปน ตา อุปาสิกาโย อาห – ‘สาวตฺถิํ คนฺตฺวา ภิกฺขุนีอุปสฺสเย ปพฺพาเชถา’ติฯ ตา อนุปุเพฺพน ชนปทจาริกํ จรมานา อนฺตรามเคฺค มหาชเนน อภิหฎสกฺการสมฺมานา ปทสาว วีสโยชนสติกํ มคฺคํ คนฺตฺวา ภิกฺขุนีอุปสฺสเย ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิํสู’’ติฯ

    ‘‘Tā satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ ṭhitā pabbajjaṃ yāciṃsu. Evaṃ kira vutte satthā uppalavaṇṇāya āgamanaṃ cintesīti ekacce vadanti. Satthā pana tā upāsikāyo āha – ‘sāvatthiṃ gantvā bhikkhunīupassaye pabbājethā’ti. Tā anupubbena janapadacārikaṃ caramānā antarāmagge mahājanena abhihaṭasakkārasammānā padasāva vīsayojanasatikaṃ maggaṃ gantvā bhikkhunīupassaye pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇiṃsū’’ti.

    ธมฺมปีตีติ ธมฺมปายโก, ธมฺมํ ปิวโนฺตติ อโตฺถฯ ธโมฺม จ นาเมส น สกฺกา ภาชเนน ยาคุอาทีนิ วิย ปาตุํ, นววิธํ ปน โลกุตฺตรธมฺมํ นามกาเยน ผุสโนฺต อารมฺมณโต สจฺฉิกโรโนฺต ปริญฺญาภิสมยาทีหิ ทุกฺขาทีนิ อริยสจฺจานิ ปฎิวิชฺฌโนฺต ธมฺมํ ปิวติ นามฯ สุขํ เสตีติ เทสนามตฺตเมตํ, จตูหิปิ อิริยาปเถหิ สุขํ วิหรตีติ อโตฺถฯ วิปฺปสเนฺนนาติ อนาวิเลน นิรุปกฺกิเลเสนฯ อริยปฺปเวทิเตติ พุทฺธาทีหิ อริเยหิ ปเวทิเต สติปฎฺฐานาทิเภเท โพธิปกฺขิยธเมฺมฯ สทา รมตีติ เอวรูโป ธมฺมปีติ วิปฺปสเนฺนน เจตสา วิหรโนฺต ปณฺฑิเจฺจน สมนฺนาคโต สทา รมติ อภิรมติฯ พาหิตปาปตฺตา ‘‘พฺราหฺมณา’’ติ เถรํ อาลปติฯ

    Dhammapītīti dhammapāyako, dhammaṃ pivantoti attho. Dhammo ca nāmesa na sakkā bhājanena yāguādīni viya pātuṃ, navavidhaṃ pana lokuttaradhammaṃ nāmakāyena phusanto ārammaṇato sacchikaronto pariññābhisamayādīhi dukkhādīni ariyasaccāni paṭivijjhanto dhammaṃ pivati nāma. Sukhaṃ setīti desanāmattametaṃ, catūhipi iriyāpathehi sukhaṃ viharatīti attho. Vippasannenāti anāvilena nirupakkilesena. Ariyappavediteti buddhādīhi ariyehi pavedite satipaṭṭhānādibhede bodhipakkhiyadhamme. Sadā ramatīti evarūpo dhammapīti vippasannena cetasā viharanto paṇḍiccena samannāgato sadā ramati abhiramati. Bāhitapāpattā ‘‘brāhmaṇā’’ti theraṃ ālapati.

    สาคตเตฺถรวตฺถุ

    Sāgatattheravatthu

    ๒๓๒. ทสเม ฉพฺพคฺคิยานํ วจเนนาติ โกสมฺพิกา กิร อุปาสกา อายสฺมนฺตํ สาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ ฐิตา เอวมาหํสุ – ‘‘กิํ, ภเนฺต, อยฺยานํ ทุลฺลภญฺจ มนาปญฺจ, กิํ ปฎิยาเทมา’’ติ? เอวํ วุเตฺต ฉพฺพคฺคิยา ภิกฺขู โกสมฺพิเก อุปาสเก เอตทโวจุํ – ‘‘อตฺถาวุโส กาโปติกา, นาม ปสนฺนา ภิกฺขูนํ ทุลฺลภา จ มนาปา จ, ตํ ปฎิยาเทถา’’ติฯ อถ โกสมฺพิกา อุปาสกา ฆเร ฆเร กาโปติกํ ปสนฺนํ ปฎิยาเทตฺวา อายสฺมนฺตํ สาคตํ ปิณฺฑาย จรนฺตํ ทิสฺวา เอตทโวจุํ – ‘‘ปิวตุ, ภเนฺต, อโยฺย สาคโต กาโปติกํ ปสนฺนํ, ปิวตุ, ภเนฺต, อโยฺย สาคโต กาโปติกํ ปสนฺน’’นฺติฯ อถายสฺมา สาคโต ฆเร ฆเร กาโปติกํ ปสนฺนํ ปิวิตฺวา นครมฺหา นิกฺขมโนฺต นครทฺวาเร ปติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ฉพฺพคฺคิยานํ วจเนน สพฺพเคเหสุ กาโปติกํ ปสนฺนํ ปฎิยาเทตฺวา’’ติอาทิฯ ตตฺถ กาโปติกา นาม กโปตปาทสมานวณฺณา รโตฺตภาสาฯ ปสนฺนาติ สุรามณฺฑเสฺสตํ อธิวจนํฯ วินเย สมุฎฺฐิตนฺติ สุราปานสิกฺขาปเท (ปาจิ. ๓๒๖ อาทโย) อาคตํฯ

    232. Dasame chabbaggiyānaṃ vacanenāti kosambikā kira upāsakā āyasmantaṃ sāgataṃ upasaṅkamitvā abhivādetvā ekamantaṃ ṭhitā evamāhaṃsu – ‘‘kiṃ, bhante, ayyānaṃ dullabhañca manāpañca, kiṃ paṭiyādemā’’ti? Evaṃ vutte chabbaggiyā bhikkhū kosambike upāsake etadavocuṃ – ‘‘atthāvuso kāpotikā, nāma pasannā bhikkhūnaṃ dullabhā ca manāpā ca, taṃ paṭiyādethā’’ti. Atha kosambikā upāsakā ghare ghare kāpotikaṃ pasannaṃ paṭiyādetvā āyasmantaṃ sāgataṃ piṇḍāya carantaṃ disvā etadavocuṃ – ‘‘pivatu, bhante, ayyo sāgato kāpotikaṃ pasannaṃ, pivatu, bhante, ayyo sāgato kāpotikaṃ pasanna’’nti. Athāyasmā sāgato ghare ghare kāpotikaṃ pasannaṃ pivitvā nagaramhā nikkhamanto nagaradvāre pati. Tena vuttaṃ – ‘‘chabbaggiyānaṃ vacanena sabbagehesu kāpotikaṃ pasannaṃ paṭiyādetvā’’tiādi. Tattha kāpotikā nāma kapotapādasamānavaṇṇā rattobhāsā. Pasannāti surāmaṇḍassetaṃ adhivacanaṃ. Vinaye samuṭṭhitanti surāpānasikkhāpade (pāci. 326 ādayo) āgataṃ.

    ราธเตฺถรวตฺถุ

    Rādhattheravatthu

    ๒๓๓. เอกาทสเม สตฺถา สาริปุตฺตเตฺถรสฺส สญฺญํ อทาสีติ พฺราหฺมณํ ปพฺพาเชตุํ สญฺญํ อทาสิ, อาณาเปสีติ วุตฺตํ โหติฯ ภควา กิร ตํ พฺราหฺมณํ ปพฺพชฺชํ อลภิตฺวา กิสํ ลูขํ ทุพฺพณฺณํ อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาตํ ทิสฺวา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘โก, ภิกฺขเว, ตสฺส พฺราหฺมณสฺส อธิการํ สรตี’’ติฯ เอวํ วุเตฺต อายสฺมา สาริปุโตฺต ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อหํ โข, ภเนฺต, ตสฺส พฺราหฺมณสฺส อธิการํ สรามี’’ติฯ กิํ ปน ตฺวํ, สาริปุตฺต, พฺราหฺมณสฺส อธิการํ สรสีติฯ อิธ เม, ภเนฺต, โส พฺราหฺมโณ ราชคเห ปิณฺฑาย จรนฺตสฺส กฎจฺฉุภิกฺขํ ทาเปสิ, อิมํ โข อหํ, ภเนฺต, ตสฺส พฺราหฺมณสฺส อธิการํ สรามี’’ติฯ สาธุ สาธุ, สาริปุตฺตฯ กตญฺญุโน หิ, สาริปุตฺต, สปฺปุริสา กตเวทิโน, เตน หิ ตฺวํ, สาริปุตฺต, ตํ พฺราหฺมณํ ปพฺพาเชหิ อุปสมฺปาเทหีติฯ อฎฺฐุปฺปตฺติยํ อาคโตติ อลีนจิตฺตชาตกสฺส (ชา. ๑.๒.๑๑-๑๒) อฎฺฐุปฺปตฺติยํ (ชา. อฎฺฐ. ๒.๒.อลีนจิตฺตชาตกวณฺณนา) อาคโตฯ

    233. Ekādasame satthā sāriputtattherassa saññaṃ adāsīti brāhmaṇaṃ pabbājetuṃ saññaṃ adāsi, āṇāpesīti vuttaṃ hoti. Bhagavā kira taṃ brāhmaṇaṃ pabbajjaṃ alabhitvā kisaṃ lūkhaṃ dubbaṇṇaṃ uppaṇḍuppaṇḍukajātaṃ disvā bhikkhū āmantesi – ‘‘ko, bhikkhave, tassa brāhmaṇassa adhikāraṃ saratī’’ti. Evaṃ vutte āyasmā sāriputto bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘ahaṃ kho, bhante, tassa brāhmaṇassa adhikāraṃ sarāmī’’ti. Kiṃ pana tvaṃ, sāriputta, brāhmaṇassa adhikāraṃ sarasīti. Idha me, bhante, so brāhmaṇo rājagahe piṇḍāya carantassa kaṭacchubhikkhaṃ dāpesi, imaṃ kho ahaṃ, bhante, tassa brāhmaṇassa adhikāraṃ sarāmī’’ti. Sādhu sādhu, sāriputta. Kataññuno hi, sāriputta, sappurisā katavedino, tena hi tvaṃ, sāriputta, taṃ brāhmaṇaṃ pabbājehi upasampādehīti. Aṭṭhuppattiyaṃ āgatoti alīnacittajātakassa (jā. 1.2.11-12) aṭṭhuppattiyaṃ (jā. aṭṭha. 2.2.alīnacittajātakavaṇṇanā) āgato.

    นิธีนนฺติ ตตฺถ ตตฺถ นิทหิตฺวา ฐปิตานํ หิรญฺญสุวณฺณาทิปูรานํ นิธิกุมฺภีนํฯ ปวตฺตารนฺติ กิจฺฉชีวิเก ทุคฺคตมนุเสฺส อนุกมฺปํ กตฺวา ‘‘เอหิ, เต สุเขน ชีวนุปายํ ทเสฺสสฺสามี’’ติ นิธิฎฺฐานํ เนตฺวา หตฺถํ ปสาเรตฺวา ‘‘อิมํ คเหตฺวา สุขํ ชีวา’’ติ อาจิกฺขิตารํ วิยฯ วชฺชทสฺสินนฺติ เทฺว วชฺชทสฺสิโน ‘‘อิมินา นํ อสารุเปฺปน วา ขลิเตน วา สงฺฆมเชฺฌ นิคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ รนฺธคเวสโก จ, อนญฺญาตํ ญาปนตฺถาย ญาตํ อนุคฺคณฺหนตฺถาย สีลาทีนมสฺส วุทฺธิกามตาย ตํ ตํ วชฺชํ โอโลกเนน อุลฺลุมฺปนสภาวสณฺฐิโต จฯ อยํ อิธ อธิเปฺปโตฯ ยถา หิ ทุคฺคตมนุโสฺส ‘‘อิมํ คณฺหาหี’’ติ ตเชฺชตฺวาปิ โปเถตฺวาปิ นิธิํ ทเสฺสเนฺต โกปํ น กโรติ, ปมุทิโตว โหติ, เอวเมวํ เอวรูเป ปุคฺคเล อสารุปฺปํ วา ขลิตํ วา ทิสฺวา อาจิกฺขเนฺต โกโป น กาตโพฺพ, ตุเฎฺฐเนว ภวิตพฺพํฯ ‘‘ภเนฺต, มหนฺตํ โว กมฺมํ กตํ มยฺหํ อาจริยุปชฺฌายฎฺฐาเน ฐตฺวา โอวทเนฺตหิ, ปุนปิ มํ วเทยฺยาถา’’ติ ปวาเรตพฺพเมวฯ

    Nidhīnanti tattha tattha nidahitvā ṭhapitānaṃ hiraññasuvaṇṇādipūrānaṃ nidhikumbhīnaṃ. Pavattāranti kicchajīvike duggatamanusse anukampaṃ katvā ‘‘ehi, te sukhena jīvanupāyaṃ dassessāmī’’ti nidhiṭṭhānaṃ netvā hatthaṃ pasāretvā ‘‘imaṃ gahetvā sukhaṃ jīvā’’ti ācikkhitāraṃ viya. Vajjadassinanti dve vajjadassino ‘‘iminā naṃ asāruppena vā khalitena vā saṅghamajjhe niggaṇhissāmī’’ti randhagavesako ca, anaññātaṃ ñāpanatthāya ñātaṃ anuggaṇhanatthāya sīlādīnamassa vuddhikāmatāya taṃ taṃ vajjaṃ olokanena ullumpanasabhāvasaṇṭhito ca. Ayaṃ idha adhippeto. Yathā hi duggatamanusso ‘‘imaṃ gaṇhāhī’’ti tajjetvāpi pothetvāpi nidhiṃ dassente kopaṃ na karoti, pamuditova hoti, evamevaṃ evarūpe puggale asāruppaṃ vā khalitaṃ vā disvā ācikkhante kopo na kātabbo, tuṭṭheneva bhavitabbaṃ. ‘‘Bhante, mahantaṃ vo kammaṃ kataṃ mayhaṃ ācariyupajjhāyaṭṭhāne ṭhatvā ovadantehi, punapi maṃ vadeyyāthā’’ti pavāretabbameva.

    นิคฺคยฺหวาทินฺติ เอกโจฺจ หิ สทฺธิวิหาริกาทีนํ อสารุปฺปํ วา ขลิตํ วา ทิสฺวา ‘‘อยํ เม มุโขทกทานาทีหิ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหติ, สเจ นํ วกฺขามิ, น มํ อุปฎฺฐหิสฺสติ, เอวํ เม ปริหานิ ภวิสฺสตี’’ติ ตํ วตฺตุํ อวิสหโนฺต น นิคฺคยฺหวาที นาม โหติ, โส อิมสฺมิํ สาสเน กจวรํ อากิรติฯ โย ปน ตถารูปํ วชฺชํ ทิสฺวา วชฺชานุรูปํ ตเชฺชโนฺต ปณาเมโนฺต ทณฺฑกมฺมํ กโรโนฺต วิหารา นีหรโนฺต สิกฺขาเปติ, อยํ นิคฺคยฺหวาที นาม เสยฺยถาปิ, สมฺมาสมฺพุโทฺธฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘นิคฺคยฺห นิคฺคยฺหาหํ, อานนฺท, วกฺขามิ, ปวยฺห ปวยฺห , อานนฺท, วกฺขามิ, โย สาโร, โส ฐสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๙๖)ฯ เมธาวินฺติ ธโมฺมชปญฺญาย สมนฺนาคตํฯ ตาทิสนฺติ เอวรูปํ ปณฺฑิตํ ภเชยฺย ปยิรุปาเสยฺยฯ ตาทิสญฺหิ อาจริยํ ภชมานสฺส อเนฺตวาสิกสฺส เสโยฺย โหติ น ปาปิโย, วฑฺฒิเยว โหติ, โน ปริหานีติฯ

    Niggayhavādinti ekacco hi saddhivihārikādīnaṃ asāruppaṃ vā khalitaṃ vā disvā ‘‘ayaṃ me mukhodakadānādīhi sakkaccaṃ upaṭṭhahati, sace naṃ vakkhāmi, na maṃ upaṭṭhahissati, evaṃ me parihāni bhavissatī’’ti taṃ vattuṃ avisahanto na niggayhavādī nāma hoti, so imasmiṃ sāsane kacavaraṃ ākirati. Yo pana tathārūpaṃ vajjaṃ disvā vajjānurūpaṃ tajjento paṇāmento daṇḍakammaṃ karonto vihārā nīharanto sikkhāpeti, ayaṃ niggayhavādī nāma seyyathāpi, sammāsambuddho. Vuttañhetaṃ – ‘‘niggayha niggayhāhaṃ, ānanda, vakkhāmi, pavayha pavayha , ānanda, vakkhāmi, yo sāro, so ṭhassatī’’ti (ma. ni. 3.196). Medhāvinti dhammojapaññāya samannāgataṃ. Tādisanti evarūpaṃ paṇḍitaṃ bhajeyya payirupāseyya. Tādisañhi ācariyaṃ bhajamānassa antevāsikassa seyyo hoti na pāpiyo, vaḍḍhiyeva hoti, no parihānīti.

    โมฆราชเตฺถรวตฺถุ

    Mogharājattheravatthu

    ๒๓๔. ทฺวาทสเม กฎฺฐวาหนนคเรติ กฎฺฐวาหเนน คหิตตฺตา เอวํลทฺธนามเก นคเรฯ อตีเต กิร พาราณสิวาสี เอโก รุกฺขวฑฺฒกี สเก อาจริยเก อทุติโยฯ ตสฺส โสฬส สิสฺสา เอกเมกสฺส สหสฺสํ อเนฺตวาสิกาฯ เอวํ เต สตฺตรสาธิกา โสฬส สหสฺสา อาจริยเนฺตวาสิกา สเพฺพปิ พาราณสิํ อุปนิสฺสาย ชีวิกํ กเปฺปนฺตา ปพฺพตสมีปํ คนฺตฺวา รุเกฺข คเหตฺวา ตเตฺถว นานาปาสาทวิกติโย นิฎฺฐาเปตฺวา กุลฺลํ พนฺธิตฺวา คงฺคาย พาราณสิํ อาเนตฺวา สเจ ราชา อตฺถิโก โหติ, รโญฺญ เอกภูมกํ วา สตฺตภูมกํ วา ปาสาทํ โยเชตฺวา เทนฺติฯ โน เจ, อเญฺญสมฺปิ วิกฺกิณิตฺวา ปุตฺตทารํ โปเสนฺติฯ อถ เนสํ เอกทิวสํ อาจริโย ‘‘น สกฺกา วฑฺฒกิกเมฺมน นิจฺจํ ชีวิตุํ, ทุกฺกรญฺหิ ชรากาเล เอตํ กมฺม’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อเนฺตวาสิเก อามเนฺตสิ – ‘‘ตาตา, อุทุมฺพราทโย อปฺปสารรุเกฺข อาเนถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา อานยิํสุฯ โส เตหิ กฎฺฐสกุณํ กตฺวา ตสฺสพฺภนฺตรํ ปวิสิตฺวา วาเตน ยนฺตํ ปูเรสิฯ กฎฺฐสกุโณ สุวณฺณหํสราชา วิย อากาเส ลงฺฆิตฺวา วนสฺส อุปริ จริตฺวา อเนฺตวาสีนํ ปุรโต โอรุหิฯ

    234. Dvādasame kaṭṭhavāhananagareti kaṭṭhavāhanena gahitattā evaṃladdhanāmake nagare. Atīte kira bārāṇasivāsī eko rukkhavaḍḍhakī sake ācariyake adutiyo. Tassa soḷasa sissā ekamekassa sahassaṃ antevāsikā. Evaṃ te sattarasādhikā soḷasa sahassā ācariyantevāsikā sabbepi bārāṇasiṃ upanissāya jīvikaṃ kappentā pabbatasamīpaṃ gantvā rukkhe gahetvā tattheva nānāpāsādavikatiyo niṭṭhāpetvā kullaṃ bandhitvā gaṅgāya bārāṇasiṃ ānetvā sace rājā atthiko hoti, rañño ekabhūmakaṃ vā sattabhūmakaṃ vā pāsādaṃ yojetvā denti. No ce, aññesampi vikkiṇitvā puttadāraṃ posenti. Atha nesaṃ ekadivasaṃ ācariyo ‘‘na sakkā vaḍḍhakikammena niccaṃ jīvituṃ, dukkarañhi jarākāle etaṃ kamma’’nti cintetvā antevāsike āmantesi – ‘‘tātā, udumbarādayo appasārarukkhe ānethā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā ānayiṃsu. So tehi kaṭṭhasakuṇaṃ katvā tassabbhantaraṃ pavisitvā vātena yantaṃ pūresi. Kaṭṭhasakuṇo suvaṇṇahaṃsarājā viya ākāse laṅghitvā vanassa upari caritvā antevāsīnaṃ purato oruhi.

    อถาจริโย สิเสฺส อาห – ‘‘ตาตา อีทิสานิ กฎฺฐวาหนานิ กตฺวา สกฺกา สกลชมฺพุทีเป รเชฺช คเหตุํ, ตุเมฺหปิ ตาตา เอตานิ กโรถ, รชฺชํ คเหตฺวา ชีวิสฺสาม, ทุกฺกรํ วฑฺฒกิสิเปฺปน ชีวิตุ’’นฺติฯ เต ตถา กตฺวา อาจริยสฺส ปฎิเวเทสุํฯ ตโต เน อาจริโย อาห – ‘‘กตมํ ตาตา รชฺชํ คณฺหามา’’ติ? พาราณสิรชฺชํ อาจริยาติฯ อลํ ตาตา, มา เอตํ รุจิตฺถ, มยญฺหิ ตํ คเหตฺวาปิ ‘‘วฑฺฒกิราชา, วฑฺฒกิยุวราชา’’ติ วฑฺฒกิวาทา น มุจฺจิสฺสาม, มหโนฺต ชมฺพุทีโป, อญฺญตฺถ คจฺฉามาติฯ ตโต สปุตฺตทารกา กฎฺฐวาหนานิ อภิรุหิตฺวา สชฺชาวุธา หุตฺวา หิมวนฺตาภิมุขา คนฺตฺวา หิมวติ อญฺญตรํ นครํ ปวิสิตฺวา รโญฺญ นิเวสเนเยว ปจฺจุฎฺฐํสุฯ เต ตตฺถ รชฺชํ คเหตฺวา อาจริยํ รเชฺช อภิสิญฺจิํสุฯ โส ‘‘กฎฺฐวาหโน ราชา’’ติ ปากโฎ อโหสิ, ตํ นครํ เตน คหิตตฺตา ‘‘กฎฺฐวาหนนคร’’เนฺตว นามํ ลภิฯ

    Athācariyo sisse āha – ‘‘tātā īdisāni kaṭṭhavāhanāni katvā sakkā sakalajambudīpe rajje gahetuṃ, tumhepi tātā etāni karotha, rajjaṃ gahetvā jīvissāma, dukkaraṃ vaḍḍhakisippena jīvitu’’nti. Te tathā katvā ācariyassa paṭivedesuṃ. Tato ne ācariyo āha – ‘‘katamaṃ tātā rajjaṃ gaṇhāmā’’ti? Bārāṇasirajjaṃ ācariyāti. Alaṃ tātā, mā etaṃ rucittha, mayañhi taṃ gahetvāpi ‘‘vaḍḍhakirājā, vaḍḍhakiyuvarājā’’ti vaḍḍhakivādā na muccissāma, mahanto jambudīpo, aññattha gacchāmāti. Tato saputtadārakā kaṭṭhavāhanāni abhiruhitvā sajjāvudhā hutvā himavantābhimukhā gantvā himavati aññataraṃ nagaraṃ pavisitvā rañño nivesaneyeva paccuṭṭhaṃsu. Te tattha rajjaṃ gahetvā ācariyaṃ rajje abhisiñciṃsu. So ‘‘kaṭṭhavāhano rājā’’ti pākaṭo ahosi, taṃ nagaraṃ tena gahitattā ‘‘kaṭṭhavāhananagara’’nteva nāmaṃ labhi.

    ตปจารนฺติ ตปจรณํฯ ปาสาณเจติเย ปิฎฺฐิปาสาเณ นิสีทีติ ปาสาณกเจติยนฺติ ลทฺธโวหาเร ปิฎฺฐิปาสาเณ สเกฺกน มาปิเต มหามณฺฑเป นิสีทิฯ ตตฺถ กิร มหโต ปาสาณสฺส อุปริ ปุเพฺพ เทวฎฺฐานํ อโหสิ, อุปฺปเนฺน ปน ภควติ วิหาโร ชาโต, โส เตเนว ปุริมโวหาเรน ‘‘ปาสาณเจติย’’นฺติ วุจฺจติฯ

    Tapacāranti tapacaraṇaṃ. Pāsāṇacetiye piṭṭhipāsāṇe nisīdīti pāsāṇakacetiyanti laddhavohāre piṭṭhipāsāṇe sakkena māpite mahāmaṇḍape nisīdi. Tattha kira mahato pāsāṇassa upari pubbe devaṭṭhānaṃ ahosi, uppanne pana bhagavati vihāro jāto, so teneva purimavohārena ‘‘pāsāṇacetiya’’nti vuccati.

    เตน ปุจฺฉิเต ทุติโย หุตฺวา สตฺถารํ ปญฺหํ ปุจฺฉีติ –

    Tenapucchite dutiyo hutvā satthāraṃ pañhaṃ pucchīti –

    ‘‘มุทฺธํ มุทฺธาธิปาตญฺจ, พาวรี ปริปุจฺฉติ;

    ‘‘Muddhaṃ muddhādhipātañca, bāvarī paripucchati;

    ตํ พฺยากโรหิ ภควา, กงฺขํ วินย โน อิเส’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๐๓๑) –

    Taṃ byākarohi bhagavā, kaṅkhaṃ vinaya no ise’’ti. (su. ni. 1031) –

    เอวํ เตน ปเญฺห ปุจฺฉิเต ภควตา จ –

    Evaṃ tena pañhe pucchite bhagavatā ca –

    ‘‘อวิชฺชา มุทฺธาติ ชานาหิ, วิชฺชา มุทฺธาธิปาตินี;

    ‘‘Avijjā muddhāti jānāhi, vijjā muddhādhipātinī;

    สทฺธาสติสมาธีหิ, ฉนฺทวีริเยน สํยุตา’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๐๓๒) –

    Saddhāsatisamādhīhi, chandavīriyena saṃyutā’’ti. (su. ni. 1032) –

    ปเญฺห วิสฺสชฺชิเต ทุติโย หุตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ

    Pañhe vissajjite dutiyo hutvā pañhaṃ pucchi.

    อถสฺส…เป.… ปญฺหํ กเถสีติ –

    Athassa…pe… pañhaṃ kathesīti –

    ‘‘กถํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ, มจฺจุราชา น ปสฺสตี’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๑๒๔) –

    ‘‘Kathaṃ lokaṃ avekkhantaṃ, maccurājā na passatī’’ti. (su. ni. 1124) –

    เตน ปเญฺห ปุจฺฉิเต –

    Tena pañhe pucchite –

    ‘‘สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ, โมฆราช สทา สโต;

    ‘‘Suññato lokaṃ avekkhassu, mogharāja sadā sato;

    อตฺตานุทิฎฺฐิํ อูหจฺจ, เอวํ มจฺจุตโร สิยา;

    Attānudiṭṭhiṃ ūhacca, evaṃ maccutaro siyā;

    เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ, มจฺจุราชา น ปสฺสตี’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๑๒๕) –

    Evaṃ lokaṃ avekkhantaṃ, maccurājā na passatī’’ti. (su. ni. 1125) –

    ปญฺหํ วิสฺสเชฺชสิฯ

    Pañhaṃ vissajjesi.

    เสสชนาติ ตสฺมิํ สมาคเม สนฺนิปติตา เสสชนาฯ น กถียนฺตีติ ‘‘เอตฺตกา โสตาปนฺนา’’ติอาทินา น วุจฺจนฺติฯ เอวํ ปารายเน วตฺถุ สมุฎฺฐิตนฺติ ปารายนวเคฺค อิทํ วตฺถุ สมุฎฺฐิตํฯ

    Sesajanāti tasmiṃ samāgame sannipatitā sesajanā. Na kathīyantīti ‘‘ettakā sotāpannā’’tiādinā na vuccanti. Evaṃ pārāyane vatthu samuṭṭhitanti pārāyanavagge idaṃ vatthu samuṭṭhitaṃ.

    จตุตฺถเอตทคฺควคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Catutthaetadaggavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.

    เถรปาฬิสํวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Therapāḷisaṃvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๕. ปญฺจมเอตทคฺควคฺควณฺณนา

    (14) 5. Pañcamaetadaggavaggavaṇṇanā

    มหาปชาปติโคตมีเถรีวตฺถุ

    Mahāpajāpatigotamītherīvatthu

    ๒๓๕. เถริปาฬิสํวณฺณนาย ปฐเม ยทิทํ มหาโคตมีติ เอตฺถ ‘‘ยทิทํ มหาปชาปติ โคตมี’’ติ จ ปฐนฺติฯ ตตฺถ โคตมีติ โคตฺตํฯ นามกรณทิวเส ปนสฺสา ลทฺธสกฺการา พฺราหฺมณา ลกฺขณสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘สเจ อยํ ธีตรํ ลภิสฺสติ, จกฺกวตฺติรโญฺญ มเหสี ภวิสฺสติฯ สเจ ปุตฺตํ ลภิสฺสติ, จกฺกวตฺติราชา ภวิสฺสตี’’ติ อุภยถาปิ ‘‘มหตีเยวสฺสา ปชา ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากริํสุ, ตสฺมา ปุตฺตปชาย เจว ธีตุปชาย จ มหนฺตตาย ‘‘มหาปชาปตี’’ติ โวหริํสุฯ ตทุภยํ ปน สํสเนฺทตฺวา ‘‘มหาปชาปติโคตมี’’ติ วุตฺตํฯ วารภิกฺขนฺติ วาเรน ทาตพฺพํ ภิกฺขํฯ นามํ อกํสูติ โคตฺตํเยว นามํ อกํสุฯ มาตุจฺฉนฺติ จูฬมาตรํฯ มาตุภคินี หิ มาตุจฺฉาติ วุจฺจติฯ กลหวิวาทสุตฺตปริโยสาเนติ ‘‘กุโตปหูตา กลหา วิวาทา’’ติอาทินา สุตฺตนิปาเต อาคตสฺส กลหวิวาทสุตฺตสฺส (สุ. นิ. ๘๖๘ อาทโย) ปริโยสาเนฯ อิทญฺจ องฺคุตฺตรภาณกานํ กถามคฺคานุสาเรน วุตฺตํฯ อปเร ปน ‘‘ตสฺมิํเยว สุตฺตนิปาเต ‘อตฺตทณฺฑาภยํ ชาต’นฺติอาทินา อาคตสฺส อตฺตทณฺฑสุตฺตสฺส (สุ. นิ. ๙๔๑ อาทโย) ปริโยสาเน’’ติ วทนฺติฯ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิตานนฺติ เอตฺถ เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย เอเต ปพฺพชิตาติ วทนฺติฯ เตเนว สุตฺตนิปาเต อตฺตทณฺฑสุตฺตสํวณฺณนาย (สุ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๙๔๒ อาทโย) วุตฺตํ – ‘‘เทสนาปริโยสาเน ปญฺจสตา สากิยกุมารา โกฬิยกุมารา จ เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพชิตาฯ เต คเหตฺวา ภควา มหาวนํ ปาวิสี’’ติฯ เสสเมตฺถ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    235. Theripāḷisaṃvaṇṇanāya paṭhame yadidaṃ mahāgotamīti ettha ‘‘yadidaṃ mahāpajāpati gotamī’’ti ca paṭhanti. Tattha gotamīti gottaṃ. Nāmakaraṇadivase panassā laddhasakkārā brāhmaṇā lakkhaṇasampattiṃ disvā ‘‘sace ayaṃ dhītaraṃ labhissati, cakkavattirañño mahesī bhavissati. Sace puttaṃ labhissati, cakkavattirājā bhavissatī’’ti ubhayathāpi ‘‘mahatīyevassā pajā bhavissatī’’ti byākariṃsu, tasmā puttapajāya ceva dhītupajāya ca mahantatāya ‘‘mahāpajāpatī’’ti vohariṃsu. Tadubhayaṃ pana saṃsandetvā ‘‘mahāpajāpatigotamī’’ti vuttaṃ. Vārabhikkhanti vārena dātabbaṃ bhikkhaṃ. Nāmaṃ akaṃsūti gottaṃyeva nāmaṃ akaṃsu. Mātucchanti cūḷamātaraṃ. Mātubhaginī hi mātucchāti vuccati. Kalahavivādasuttapariyosāneti ‘‘kutopahūtā kalahā vivādā’’tiādinā suttanipāte āgatassa kalahavivādasuttassa (su. ni. 868 ādayo) pariyosāne. Idañca aṅguttarabhāṇakānaṃ kathāmaggānusārena vuttaṃ. Apare pana ‘‘tasmiṃyeva suttanipāte ‘attadaṇḍābhayaṃ jāta’ntiādinā āgatassa attadaṇḍasuttassa (su. ni. 941 ādayo) pariyosāne’’ti vadanti. Nikkhamitvā pabbajitānanti ettha ehibhikkhupabbajjāya ete pabbajitāti vadanti. Teneva suttanipāte attadaṇḍasuttasaṃvaṇṇanāya (su. ni. aṭṭha. 2.942 ādayo) vuttaṃ – ‘‘desanāpariyosāne pañcasatā sākiyakumārā koḷiyakumārā ca ehibhikkhupabbajjāya pabbajitā. Te gahetvā bhagavā mahāvanaṃ pāvisī’’ti. Sesamettha suviññeyyameva.

    เขมาเถรีวตฺถุ

    Khemātherīvatthu

    ๒๓๖. ทุติเย ปรปริยาปนฺนา หุตฺวาติ ปเรสํ ทาสี หุตฺวาฯ สุวณฺณรสปิญฺชโร อโหสีติ สุวณฺณรสปิญฺชโร วิย อโหสิฯ

    236. Dutiye parapariyāpannā hutvāti paresaṃ dāsī hutvā. Suvaṇṇarasapiñjaro ahosīti suvaṇṇarasapiñjaro viya ahosi.

    มกฺกฎโกว ชาลนฺติ ยถา นาม มกฺกฎโก สุตฺตชาลํ กตฺวา มชฺฌฎฺฐาเน นาภิมณฺฑเล นิปโนฺน ปริยเนฺต ปติตํ ปฎงฺคํ วา มกฺขิกํ วา เวเคน คนฺตฺวา วิชฺฌิตฺวา ตสฺส รสํ ปิวิตฺวา ปุนาคนฺตฺวา ตสฺมิํเยว ฐาเน นิปชฺชติ, เอวเมว เย สตฺตา ราครตฺตา โทสปทุฎฺฐา โมหมูฬฺหา สยํกตํ ตณฺหาโสตํ อนุปตนฺติ, เต ตํ สมติกฺกมิตุํ น สโกฺกนฺติ, เอวํ ทุรติกฺกมํฯ เอตมฺปิ เฉตฺวาน วชนฺติ ธีราติ ปณฺฑิตา เอตํ พนฺธนํ ฉินฺทิตฺวา อนเปกฺขิโน นิราลยา หุตฺวา อรหตฺตมเคฺคน สพฺพํ ทุกฺขํ ปหาย วชนฺติ คจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ

    Makkaṭakovajālanti yathā nāma makkaṭako suttajālaṃ katvā majjhaṭṭhāne nābhimaṇḍale nipanno pariyante patitaṃ paṭaṅgaṃ vā makkhikaṃ vā vegena gantvā vijjhitvā tassa rasaṃ pivitvā punāgantvā tasmiṃyeva ṭhāne nipajjati, evameva ye sattā rāgarattā dosapaduṭṭhā mohamūḷhā sayaṃkataṃ taṇhāsotaṃ anupatanti, te taṃ samatikkamituṃ na sakkonti, evaṃ duratikkamaṃ. Etampi chetvāna vajanti dhīrāti paṇḍitā etaṃ bandhanaṃ chinditvā anapekkhino nirālayā hutvā arahattamaggena sabbaṃ dukkhaṃ pahāya vajanti gacchantīti attho.

    อุปฺปลวณฺณาเถรีวตฺถุ

    Uppalavaṇṇātherīvatthu

    ๒๓๗. ตติยํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    237. Tatiyaṃ uttānatthameva.

    ปฎาจาราเถรีวตฺถุ

    Paṭācārātherīvatthu

    ๒๓๘. จตุเตฺถ ปฎิหารสเตนปีติ ทฺวารสเตนปิฯ ปฎิหารสโทฺท หิ ทฺวาเร โทวาริเก จ ทิสฺสติฯ กุลสภาคนฺติ อตฺตโน เคหสมีปํฯ

    238. Catutthe paṭihārasatenapīti dvārasatenapi. Paṭihārasaddo hi dvāre dovārike ca dissati. Kulasabhāganti attano gehasamīpaṃ.

    ตาณายาติ ตาณภาวาย ปติฎฺฐานตฺถายฯ พนฺธวาติ ปุเตฺต จ ปิตโร จ ฐเปตฺวา อวเสสา ญาติสุหชฺชาฯ อนฺตเกนาธิปนฺนสฺสาติ มรเณน อภิภูตสฺสฯ ปวตฺติยญฺหิ ปุตฺตาทโย อนฺนปานาทิทาเนน เจว อุปฺปนฺนกิจฺจนิตฺถรเณน จ ตาณา หุตฺวาปิ มรณกาเล เกนจิ อุปาเยน มรณํ ปฎิพาหิตุํ อสมตฺถตาย ตาณตฺถาย เลณตฺถาย น สนฺติ นามฯ เตเนว วุตฺตํ – ‘‘นตฺถิ ญาตีสุ ตาณตา’’ติฯ

    Tāṇāyāti tāṇabhāvāya patiṭṭhānatthāya. Bandhavāti putte ca pitaro ca ṭhapetvā avasesā ñātisuhajjā. Antakenādhipannassāti maraṇena abhibhūtassa. Pavattiyañhi puttādayo annapānādidānena ceva uppannakiccanittharaṇena ca tāṇā hutvāpi maraṇakāle kenaci upāyena maraṇaṃ paṭibāhituṃ asamatthatāya tāṇatthāya leṇatthāya na santi nāma. Teneva vuttaṃ – ‘‘natthi ñātīsu tāṇatā’’ti.

    เอตมตฺถวสนฺติ เอตํ เตสํ อญฺญมญฺญสฺส ตาณํ ภวิตุํ อสมตฺถภาวสงฺขาตํ การณํ ชานิตฺวา ปณฺฑิโต จตุปาริสุทฺธิสีเลน สํวุโต รกฺขิตโคปิโต หุตฺวา นิพฺพานคมนํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ สีฆํ โสเธยฺยาติ อโตฺถฯ

    Etamatthavasanti etaṃ tesaṃ aññamaññassa tāṇaṃ bhavituṃ asamatthabhāvasaṅkhātaṃ kāraṇaṃ jānitvā paṇḍito catupārisuddhisīlena saṃvuto rakkhitagopito hutvā nibbānagamanaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ sīghaṃ sodheyyāti attho.

    ธมฺมทินฺนาเถรีวตฺถุ

    Dhammadinnātherīvatthu

    ๒๓๙. ปญฺจเม ปรายตฺตฎฺฐาเนติ ปเรสํ ทาสิฎฺฐาเนฯ สุชาตเตฺถรสฺส อธิการกมฺมํ กตฺวาติ สา กิร อตฺตโน เกเส วิกฺกิณิตฺวา สุชาตเตฺถรสฺส นาม อคฺคสาวกสฺส ทานํ ทตฺวา ปตฺถนํ อกาสิ ฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ หเตฺถ ปสาริเตติ ตสฺส หตฺถาวลมฺพนตฺถํ ปุพฺพาจิณฺณวเสน หเตฺถ ปสาริเตฯ โส กิร อนาคามี หุตฺวา เคหํ อาคจฺฉโนฺต ยถา อเญฺญสุ ทิวเสสุ อิโต จิโต จ โอโลเกโนฺต สิตํ กุรุมาโน หสมาโน อาคจฺฉติ, เอวํ อนาคนฺตฺวา สนฺตินฺทฺริโย สนฺตมานโส หุตฺวา อคมาสิฯ ธมฺมทินฺนา สีหปญฺชรํ อุคฺฆาเฎตฺวา วีถิํ โอโลกยมานา ตสฺส อาคมนาการํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข เอต’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ตสฺส ปจฺจุคฺคมนํ กุรุมานา โสปานสีเส ฐตฺวา โอลมฺพนตฺถํ หตฺถํ ปสาเรสิฯ อุปาสโก อตฺตโน หตฺถํ สมิเญฺชสิฯ สา ‘‘ปาตราสโภชนกาเล ชานิสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ อุปาสโก ปุเพฺพ ตาย สทฺธิํ เอกโต ภุญฺชติฯ ตํ ทิวสํ ปน ตํ อนปโลเกตฺวา โยคาวจรภิกฺขุ วิย เอกโกว ภุญฺชิฯ เตนาห – ‘‘ภุญฺชมาโนปิ อิมํ เทถ, อิมํ หรถาติ น พฺยาหรี’’ติฯ ตตฺถ อิมํ เทถาติ อิมํ ขาทนียํ วา โภชนียํ วา เทถฯ อิมํ หรถาติ อิมํ ขาทนียํ วา โภชนียํ วา อปหรถฯ สนฺถววเสนาติ กิเลสสนฺถววเสนฯ จิรกาลปริภาวิตาย ฆฎทีปชาลาย วิย อพฺภนฺตเร ทิพฺพมานาย เหตุสมฺปตฺติยา โจทิยมานา อาห – ‘‘เอวํ สเนฺต…เป.… มยฺหํ ปพฺพชฺชํ อนุชานาถา’’ติฯ

    239. Pañcame parāyattaṭṭhāneti paresaṃ dāsiṭṭhāne. Sujātattherassa adhikārakammaṃ katvāti sā kira attano kese vikkiṇitvā sujātattherassa nāma aggasāvakassa dānaṃ datvā patthanaṃ akāsi . Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Hatthe pasāriteti tassa hatthāvalambanatthaṃ pubbāciṇṇavasena hatthe pasārite. So kira anāgāmī hutvā gehaṃ āgacchanto yathā aññesu divasesu ito cito ca olokento sitaṃ kurumāno hasamāno āgacchati, evaṃ anāgantvā santindriyo santamānaso hutvā agamāsi. Dhammadinnā sīhapañjaraṃ ugghāṭetvā vīthiṃ olokayamānā tassa āgamanākāraṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho eta’’nti cintetvā tassa paccuggamanaṃ kurumānā sopānasīse ṭhatvā olambanatthaṃ hatthaṃ pasāresi. Upāsako attano hatthaṃ samiñjesi. Sā ‘‘pātarāsabhojanakāle jānissāmī’’ti cintesi. Upāsako pubbe tāya saddhiṃ ekato bhuñjati. Taṃ divasaṃ pana taṃ anapaloketvā yogāvacarabhikkhu viya ekakova bhuñji. Tenāha – ‘‘bhuñjamānopi imaṃ detha, imaṃ harathāti na byāharī’’ti. Tattha imaṃ dethāti imaṃ khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā detha. Imaṃ harathāti imaṃ khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā apaharatha. Santhavavasenāti kilesasanthavavasena. Cirakālaparibhāvitāya ghaṭadīpajālāya viya abbhantare dibbamānāya hetusampattiyā codiyamānā āha – ‘‘evaṃ sante…pe… mayhaṃ pabbajjaṃ anujānāthā’’ti.

    อยํ ตาว เสฎฺฐิ ฆรมเชฺฌ ฐิโตว ทุกฺขสฺสนฺตํ อกาสีติ สา กิร ‘‘ธมฺมทิเนฺน ตุยฺหํ โทโส นตฺถิ, อหํ ปน อชฺช ปฎฺฐาย สนฺถววเสน…เป.… กุลฆรํ คจฺฉา’’ติ วุเตฺต เอวํ จิเนฺตสิ – ‘‘ปกติปุริโส เอวํ วตฺตา นาม นตฺถิ, อทฺธา เอเตน โลกุตฺตรธโมฺม นาม ปฎิวิโทฺธ’’ติฯ เตนสฺสา อยํ สงฺกโปฺป อโหสิ ‘‘อยํ ตาว เสฎฺฐิ ฆรมเชฺฌ ฐิโตว ทุกฺขสฺสนฺตํ อกาสี’’ติฯ มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถายํ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๔๖๐) ปน ‘‘อถ กสฺมา มยา สทฺธิํ ยถาปกติยา อาลาปสลฺลาปมตฺตมฺปิ น กโรถาติ โส จิเนฺตสิ – ‘อยํ โลกุตฺตรธโมฺม นาม ครุ ภาริโย น ปกาเสตโพฺพ; สเจ โข ปนาหํ น กเถสฺสามิ, อยํ หทยํ ผาเลตฺวา เอเตฺถว กาลํ กเรยฺยา’ติ ตสฺสา อนุคฺคหตฺถาย กเถสิ – ‘ธมฺมทิเนฺน อหํ สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา โลกุตฺตรธมฺมํ นาม อธิคโต, ตํ อธิคตสฺส เอวรูปา โลกิยกิริยา น วฎฺฎตี’’’ติ วุตฺตํฯ

    Ayaṃ tāva seṭṭhi gharamajjhe ṭhitova dukkhassantaṃ akāsīti sā kira ‘‘dhammadinne tuyhaṃ doso natthi, ahaṃ pana ajja paṭṭhāya santhavavasena…pe… kulagharaṃ gacchā’’ti vutte evaṃ cintesi – ‘‘pakatipuriso evaṃ vattā nāma natthi, addhā etena lokuttaradhammo nāma paṭividdho’’ti. Tenassā ayaṃ saṅkappo ahosi ‘‘ayaṃ tāva seṭṭhi gharamajjhe ṭhitova dukkhassantaṃ akāsī’’ti. Majjhimanikāyaṭṭhakathāyaṃ (ma. ni. aṭṭha. 1.460) pana ‘‘atha kasmā mayā saddhiṃ yathāpakatiyā ālāpasallāpamattampi na karothāti so cintesi – ‘ayaṃ lokuttaradhammo nāma garu bhāriyo na pakāsetabbo; sace kho panāhaṃ na kathessāmi, ayaṃ hadayaṃ phāletvā ettheva kālaṃ kareyyā’ti tassā anuggahatthāya kathesi – ‘dhammadinne ahaṃ satthu dhammadesanaṃ sutvā lokuttaradhammaṃ nāma adhigato, taṃ adhigatassa evarūpā lokiyakiriyā na vaṭṭatī’’’ti vuttaṃ.

    ปญฺจกฺขนฺธาทิวเสน ปเญฺห ปุจฺฉีติ ‘‘สกฺกาโย สกฺกาโยติ อเยฺย วุจฺจติ, กตโม นุ โข อเยฺย สกฺกาโย วุโตฺต ภควตา’’ติอาทินา จูฬเวทลฺลสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๔๖๐ อาทโย) อาคตนเยน ปุจฺฉิฯ ปุจฺฉิตํ ปุจฺฉิตํ วิสฺสเชฺชสีติ ‘‘ปญฺจ โข อิเม, อาวุโส วิสาข, อุปาทานกฺขนฺธา สกฺกาโย วุโตฺต ภควตา’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๔๖๐ อาทโย) ตเตฺถว อาคตนเยน วิสฺสเชฺชสิฯ สูรภาวนฺติ ติกฺขภาวํฯ อนธิคตอรหตฺตมคฺคสฺส อุคฺคเหน วินา ตตฺถ ปโญฺห น อุปฎฺฐาตีติ อาห – ‘‘อุคฺคหวเสน อรหตฺตมเคฺคปิ ปุจฺฉี’’ติฯ ตํ นิวเตฺตนฺตีติ ‘‘วิมุตฺติยา ปนาเยฺย กิํ ปฎิภาโค’’ติ ปุจฺฉิเต ‘‘วิมุตฺติยา โข, อาวุโส วิสาข, นิพฺพานํ ปฎิภาโค’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๖) วุเตฺต ‘‘นิพฺพานสฺส, ปนาเยฺย, กิํ ปฎิภาโค’’ติ ปุน ปุจฺฉิเต ตํ นิวเตฺตนฺตี ‘‘อจฺจสราวุโส วิสาขา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อจฺจสราติ อปุจฺฉิตพฺพํ ปุจฺฉโนฺต ปญฺหํ อติกฺกามิตา อโหสีติ อโตฺถฯ นาสกฺขิ ปญฺหานํ ปริยนฺตํ คเหตุนฺติ ปญฺหานํ ปริเจฺฉทปฺปมาณํ คเหตุํ นาสกฺขิฯ ปญฺหานญฺหิ ปริเจฺฉทํ คเหตุํ ยุตฺตฎฺฐาเน อฎฺฐตฺวา ตโต ปรํ ปุจฺฉโนฺต นาสกฺขิ ปญฺหานํ ปริยนฺตํ คเหตุํฯ อปฺปฎิภาคธมฺมสฺส จ ปฎิภาคํ ปุจฺฉิฯ นิพฺพานํ นาเมตํ อปฺปฎิภาคํ, น สกฺกา นีลํ วา ปีตกํ วาติ เกนจิ ธเมฺมน สทฺธิํ ปฎิภาคํ กตฺวา ทเสฺสตุํ, ตญฺจ ตฺวํ อิมินา อธิปฺปาเยน ปุจฺฉสีติ อโตฺถฯ นิพฺพาโนคธนฺติ นิพฺพานํ โอคาเหตฺวา ฐิตํ, นิพฺพานโนฺตคธํ นิพฺพานํ อนุปฺปวิฎฺฐนฺติ อโตฺถฯ นิพฺพานปรายณนฺติ นิพฺพานํ ปรํ อยนมสฺส ปราคติ, น ตโต ปรํ คจฺฉตีติ อโตฺถฯ นิพฺพานํ ปริโยสานํ อวสานํ อสฺสาติ นิพฺพานปริโยสานํ

    Pañcakkhandhādivasena pañhe pucchīti ‘‘sakkāyo sakkāyoti ayye vuccati, katamo nu kho ayye sakkāyo vutto bhagavatā’’tiādinā cūḷavedallasutte (ma. ni. 1.460 ādayo) āgatanayena pucchi. Pucchitaṃ pucchitaṃ vissajjesīti ‘‘pañca kho ime, āvuso visākha, upādānakkhandhā sakkāyo vutto bhagavatā’’tiādinā (ma. ni. 1.460 ādayo) tattheva āgatanayena vissajjesi. Sūrabhāvanti tikkhabhāvaṃ. Anadhigataarahattamaggassa uggahena vinā tattha pañho na upaṭṭhātīti āha – ‘‘uggahavasena arahattamaggepi pucchī’’ti. Taṃ nivattentīti ‘‘vimuttiyā panāyye kiṃ paṭibhāgo’’ti pucchite ‘‘vimuttiyā kho, āvuso visākha, nibbānaṃ paṭibhāgo’’ti (ma. ni. 1.466) vutte ‘‘nibbānassa, panāyye, kiṃ paṭibhāgo’’ti puna pucchite taṃ nivattentī ‘‘accasarāvusovisākhā’’tiādimāha. Tattha accasarāti apucchitabbaṃ pucchanto pañhaṃ atikkāmitā ahosīti attho. Nāsakkhi pañhānaṃ pariyantaṃ gahetunti pañhānaṃ paricchedappamāṇaṃ gahetuṃ nāsakkhi. Pañhānañhi paricchedaṃ gahetuṃ yuttaṭṭhāne aṭṭhatvā tato paraṃ pucchanto nāsakkhi pañhānaṃ pariyantaṃ gahetuṃ. Appaṭibhāgadhammassa ca paṭibhāgaṃ pucchi. Nibbānaṃ nāmetaṃ appaṭibhāgaṃ, na sakkā nīlaṃ vā pītakaṃ vāti kenaci dhammena saddhiṃ paṭibhāgaṃ katvā dassetuṃ, tañca tvaṃ iminā adhippāyena pucchasīti attho. Nibbānogadhanti nibbānaṃ ogāhetvā ṭhitaṃ, nibbānantogadhaṃ nibbānaṃ anuppaviṭṭhanti attho. Nibbānaparāyaṇanti nibbānaṃ paraṃ ayanamassa parāgati, na tato paraṃ gacchatīti attho. Nibbānaṃ pariyosānaṃ avasānaṃ assāti nibbānapariyosānaṃ.

    ปุเรติ อตีเตสุ ขเนฺธสุฯ ปจฺฉาติ อนาคเตสุ ขเนฺธสุฯ มเชฺฌติ ปจฺจุปฺปเนฺนสุ ขเนฺธสุฯ อกิญฺจนนฺติ ยสฺส เอเตสุ ตีสุ ตณฺหาคาหสงฺขาตํ กิญฺจนํ นตฺถิ, ตมหํ ราคกิญฺจนาทีหิ อกิญฺจนํ กสฺสจิ คหณสฺส อภาเวน อนาทานํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อโตฺถฯ

    Pureti atītesu khandhesu. Pacchāti anāgatesu khandhesu. Majjheti paccuppannesu khandhesu. Akiñcananti yassa etesu tīsu taṇhāgāhasaṅkhātaṃ kiñcanaṃ natthi, tamahaṃ rāgakiñcanādīhi akiñcanaṃ kassaci gahaṇassa abhāvena anādānaṃ brāhmaṇaṃ vadāmīti attho.

    ปณฺฑิตาติ ธาตุอายตนาทิกุสลตาสงฺขาเตน ปณฺฑิเจฺจน สมนฺนาคตาฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Paṇḍitāti dhātuāyatanādikusalatāsaṅkhātena paṇḍiccena samannāgatā. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘กิตฺตาวตา นุ โข, ภเนฺต, ปณฺฑิโต โหติ? ยโต โข, อานนฺท, ภิกฺขุ ธาตุกุสโล จ โหติ อายตนกุสโล จ ปฎิจฺจสมุปฺปาทกุสโล จ ฐานาฎฺฐานกุสโล จ, เอตฺตาวตา โข, อานนฺท, ภิกฺขุ ปณฺฑิโต โหตี’’ติฯ

    ‘‘Kittāvatā nu kho, bhante, paṇḍito hoti? Yato kho, ānanda, bhikkhu dhātukusalo ca hoti āyatanakusalo ca paṭiccasamuppādakusalo ca ṭhānāṭṭhānakusalo ca, ettāvatā kho, ānanda, bhikkhu paṇḍito hotī’’ti.

    มหาปญฺญาติ มหเนฺต อเตฺถ มหเนฺต ธเมฺม มหนฺตา นิรุตฺติโย มหนฺตานิ ปฎิภานานิ ปริคฺคหเณ สมตฺถาย ปญฺญาย สมนฺนาคตาฯ อิมิสฺสา หิ เถริยา อเสกฺขปฺปฎิสมฺภิทาปฺปตฺตตาย ปฎิสมฺภิทาโย ปูเรตฺวา ฐิตตาย ปญฺญามหตฺตํฯ ยถา ตํ ธมฺมทินฺนายาติ ยถา ธมฺมทินฺนาย ภิกฺขุนิยา พฺยากตํ, อหํ เอวเมว พฺยากเรยฺยนฺติ อโตฺถฯ นฺติ นิปาตมตฺถํฯ

    Mahāpaññāti mahante atthe mahante dhamme mahantā niruttiyo mahantāni paṭibhānāni pariggahaṇe samatthāya paññāya samannāgatā. Imissā hi theriyā asekkhappaṭisambhidāppattatāya paṭisambhidāyo pūretvā ṭhitatāya paññāmahattaṃ. Yathā taṃ dhammadinnāyāti yathā dhammadinnāya bhikkhuniyā byākataṃ, ahaṃ evameva byākareyyanti attho. Tanti nipātamatthaṃ.

    นนฺทาเถรีวตฺถุ

    Nandātherīvatthu

    ๒๔๐. ฉเฎฺฐ อญฺญํ มคฺคํ อปสฺสนฺตีติ อญฺญํ อุปายํ อปสฺสนฺตีฯ วิสฺสตฺถาติ นิราสงฺกาฯ อิตฺถินิมิตฺตนฺติ อิตฺถิยา สุภนิมิตฺตํ, สุภาการนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ธมฺมปเท คาถํ วตฺวาติ –

    240. Chaṭṭhe aññaṃ maggaṃ apassantīti aññaṃ upāyaṃ apassantī. Vissatthāti nirāsaṅkā. Itthinimittanti itthiyā subhanimittaṃ, subhākāranti vuttaṃ hoti. Dhammapade gāthaṃ vatvāti –

    ‘‘อฎฺฐีนํ นครํ กตํ, มํสโลหิตเลปนํ;

    ‘‘Aṭṭhīnaṃ nagaraṃ kataṃ, maṃsalohitalepanaṃ;

    ยตฺถ ชรา จ มจฺจุ จ, มาโน มโกฺข จ โอหิโต’’ติฯ (ธ. ป. ๑๕๐) –

    Yattha jarā ca maccu ca, māno makkho ca ohito’’ti. (dha. pa. 150) –

    อิมํ คาถํ วตฺวาฯ ตตฺรายมธิปฺปาโย – ยเถว หิ ปุพฺพณฺณาปรณฺณาทีนํ โอทหนตฺถาย กฎฺฐานิ อุสฺสาเปตฺวา วลฺลีหิ พนฺธิตฺวา มตฺติกาย วิลิมฺปิตฺวา นครสงฺขาตํ พหิทฺธา เคหํ กโรนฺติ, เอวมิทํ อชฺฌตฺติกมฺปิ ตีณิ อฎฺฐิสตานิ อุสฺสาเปตฺวา นฺหารุวินทฺธํ มํสโลหิตเลปนํ ตจปฎิจฺฉนฺนํ ชีรณลกฺขณาย ชราย มรณลกฺขณสฺส มจฺจุโน อาโรคฺยสมฺปทาทีนิ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชนลกฺขณสฺส มานสฺส สุกตการณวินาสนลกฺขณสฺส มกฺขสฺส จ โอทหนตฺถาย นครํ กตํฯ เอวรูโป เอว หิ เอตฺถ กายิกเจตสิโก อาพาโธ โอหิโต, อิโต อุทฺธํ กิญฺจิ คยฺหูปคํ นตฺถีติฯ

    Imaṃ gāthaṃ vatvā. Tatrāyamadhippāyo – yatheva hi pubbaṇṇāparaṇṇādīnaṃ odahanatthāya kaṭṭhāni ussāpetvā vallīhi bandhitvā mattikāya vilimpitvā nagarasaṅkhātaṃ bahiddhā gehaṃ karonti, evamidaṃ ajjhattikampi tīṇi aṭṭhisatāni ussāpetvā nhāruvinaddhaṃ maṃsalohitalepanaṃ tacapaṭicchannaṃ jīraṇalakkhaṇāya jarāya maraṇalakkhaṇassa maccuno ārogyasampadādīni paṭicca uppajjanalakkhaṇassa mānassa sukatakāraṇavināsanalakkhaṇassa makkhassa ca odahanatthāya nagaraṃ kataṃ. Evarūpo eva hi ettha kāyikacetasiko ābādho ohito, ito uddhaṃ kiñci gayhūpagaṃ natthīti.

    สุตฺตํ อภาสีติ –

    Suttaṃ abhāsīti –

    ‘‘จรํ วา ยทิ วา ติฎฺฐํ, นิสิโนฺน อุท วา สยํ;

    ‘‘Caraṃ vā yadi vā tiṭṭhaṃ, nisinno uda vā sayaṃ;

    สมิเญฺชติ ปสาเรติ, เอสา กายสฺส อิญฺชนาฯ

    Samiñjeti pasāreti, esā kāyassa iñjanā.

    ‘‘อฎฺฐินหารุสํยุโตฺต, ตจมํสาวเลปโน;

    ‘‘Aṭṭhinahārusaṃyutto, tacamaṃsāvalepano;

    ฉวิยา กาโย ปฎิจฺฉโนฺน, ยถาภูตํ น ทิสฺสตี’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๙๕-๑๙๖) –

    Chaviyā kāyo paṭicchanno, yathābhūtaṃ na dissatī’’ti. (su. ni. 195-196) –

    อาทินา สุตฺตมภาสิฯ

    Ādinā suttamabhāsi.

    โสณาเถรีวตฺถุ

    Soṇātherīvatthu

    ๒๔๑. สตฺตเม สเพฺพปิ วิสุํ วิสุํ ฆราวาเส ปติฎฺฐาเปสีติ เอตฺถ สเพฺพปิ วิสุํ วิสุํ ฆราวาเส ปติฎฺฐาเปตฺวา ‘‘ปุตฺตาว มํ ปฎิชคฺคิสฺสนฺติ, กิํ เม วิสุํ กุฎุเมฺพนา’’ติ สพฺพํ สาปเตยฺยมฺปิ วิภชิตฺวา อทาสีติ เวทิตพฺพํฯ เตเนว หิ ตโต ปฎฺฐาย ‘‘อยํ อมฺหากํ กิํ กริสฺสตี’’ติ อตฺตโน สนฺติกํ อาคตํ ‘‘มาตา’’ติ สญฺญมฺปิ น กริํสุฯ ตถา หิ นํ กติปาหจฺจเยน เชฎฺฐปุตฺตสฺส ภริยา ‘‘อโห อมฺหากํ อยํ เชเฎฺฐปุโตฺต เมติ เทฺว โกฎฺฐาเส ทตฺวา วิย อิมเมว เคหํ อาคจฺฉตี’’ติ อาหฯ เสสปุตฺตานํ ภริยาโยปิ เอวเมวํ วทิํสุฯ เชฎฺฐธีตรํ อาทิํ กตฺวา ตาสํ เคหํ คตกาเล ตาปิ นํ เอวเมว วทิํสุฯ สา อวมานปฺปตฺตา หุตฺวา ‘‘กิํ เม อิเมสํ สนฺติเก วุเตฺถน, ภิกฺขุนี หุตฺวา ชีวิสฺสามี’’ติ ภิกฺขุนีอุปสฺสยํ คนฺตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิ, ตา นํ ปพฺพาเชสุํฯ อิมเมว วตฺถุํ ทเสฺสโนฺต ‘‘พหุปุตฺติกโสณา เตสํ อตฺตนิ อคารวภาวํ ญตฺวา ‘ฆราวาเสน กิํ กริสฺสามี’ติ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชี’’ติ อาหฯ

    241. Sattame sabbepi visuṃ visuṃ gharāvāse patiṭṭhāpesīti ettha sabbepi visuṃ visuṃ gharāvāse patiṭṭhāpetvā ‘‘puttāva maṃ paṭijaggissanti, kiṃ me visuṃ kuṭumbenā’’ti sabbaṃ sāpateyyampi vibhajitvā adāsīti veditabbaṃ. Teneva hi tato paṭṭhāya ‘‘ayaṃ amhākaṃ kiṃ karissatī’’ti attano santikaṃ āgataṃ ‘‘mātā’’ti saññampi na kariṃsu. Tathā hi naṃ katipāhaccayena jeṭṭhaputtassa bhariyā ‘‘aho amhākaṃ ayaṃ jeṭṭheputto meti dve koṭṭhāse datvā viya imameva gehaṃ āgacchatī’’ti āha. Sesaputtānaṃ bhariyāyopi evamevaṃ vadiṃsu. Jeṭṭhadhītaraṃ ādiṃ katvā tāsaṃ gehaṃ gatakāle tāpi naṃ evameva vadiṃsu. Sā avamānappattā hutvā ‘‘kiṃ me imesaṃ santike vutthena, bhikkhunī hutvā jīvissāmī’’ti bhikkhunīupassayaṃ gantvā pabbajjaṃ yāci, tā naṃ pabbājesuṃ. Imameva vatthuṃ dassento ‘‘bahuputtikasoṇā tesaṃ attani agāravabhāvaṃ ñatvā ‘gharāvāsena kiṃ karissāmī’ti nikkhamitvā pabbajī’’ti āha.

    วิหารํ คจฺฉนฺติโยติ ภิกฺขุวิหารํ คจฺฉนฺติโยฯ ธมฺมมุตฺตมนฺติ นววิธโลกุตฺตรธมฺมํฯ โส หิ อุตฺตมธโมฺม นาม โย หิ ตํ น ปสฺสติ, ตสฺส วสฺสสตมฺปิ ชีวนโต ตํ ธมฺมํ ปสฺสนฺตสฺส ปฎิวิชฺฌนฺตสฺส เอกาหมฺปิ เอกกฺขณมฺปิ ชีวิตํ เสโยฺยฯ อาคนฺตุกชโนติ วิหารคตํ ภิกฺขุนีชนํ สนฺธาย วทติฯ อนุปธาเรตฺวาติ อสลฺลเกฺขตฺวาฯ

    Vihāraṃ gacchantiyoti bhikkhuvihāraṃ gacchantiyo. Dhammamuttamanti navavidhalokuttaradhammaṃ. So hi uttamadhammo nāma yo hi taṃ na passati, tassa vassasatampi jīvanato taṃ dhammaṃ passantassa paṭivijjhantassa ekāhampi ekakkhaṇampi jīvitaṃ seyyo. Āgantukajanoti vihāragataṃ bhikkhunījanaṃ sandhāya vadati. Anupadhāretvāti asallakkhetvā.

    พกุลาเถรีวตฺถุ

    Bakulātherīvatthu

    ๒๔๒. อฎฺฐมํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    242. Aṭṭhamaṃ uttānatthameva.

    กุณฺฑลเกสาเถรีวตฺถุ

    Kuṇḍalakesātherīvatthu

    ๒๔๓. นวเม จตุเกฺกติ วีถิจตุเกฺกฯ จตุนฺนํ สมาหาโร จตุกฺกํฯ จารกโตติ พนฺธนาคารโตฯ อุพฺพเฎฺฎตฺวาติ อุทฺธริตฺวาฯ

    243. Navame catukketi vīthicatukke. Catunnaṃ samāhāro catukkaṃ. Cārakatoti bandhanāgārato. Ubbaṭṭetvāti uddharitvā.

    มุหุตฺตมปิ จินฺตเยติ มุหุตฺตํ ตงฺขณมฺปิ ฐานุปฺปตฺติกปญฺญาย ตงฺขณานุรูปํ อตฺถํ จินฺติตุํ สกฺกุเณยฺยฯ สหสฺสมปิ เจ คาถา, อนตฺถปทสํหิตาติ อยํ คาถา ทารุจีริยเตฺถรสฺส ภควตา ภาสิตา, อิธาปิ จ สาเยว คาถา ทสฺสิตาฯ เถริคาถาสํวณฺณนายํ อาจริยธมฺมปาลเตฺถเรนปิ กุณฺฑลเกสิเตฺถริยา วตฺถุมฺหิ อยเมว คาถา วุตฺตาฯ ธมฺมปทฎฺฐกถายํ ปน กุณฺฑลเกสิเตฺถริยา วตฺถุมฺหิ –

    Muhuttamapi cintayeti muhuttaṃ taṅkhaṇampi ṭhānuppattikapaññāya taṅkhaṇānurūpaṃ atthaṃ cintituṃ sakkuṇeyya. Sahassamapi ce gāthā, anatthapadasaṃhitāti ayaṃ gāthā dārucīriyattherassa bhagavatā bhāsitā, idhāpi ca sāyeva gāthā dassitā. Therigāthāsaṃvaṇṇanāyaṃ ācariyadhammapālattherenapi kuṇḍalakesittheriyā vatthumhi ayameva gāthā vuttā. Dhammapadaṭṭhakathāyaṃ pana kuṇḍalakesittheriyā vatthumhi –

    ‘‘โย จ คาถาสตํ ภาเส, อนตฺถปทสํหิตา;

    ‘‘Yo ca gāthāsataṃ bhāse, anatthapadasaṃhitā;

    เอกํ ธมฺมปทํ เสโยฺย, ยํ สุตฺวา อุปสมฺมตี’’ติฯ (ธ. ป. อฎฺฐ. ๑.๑๐๒) –

    Ekaṃ dhammapadaṃ seyyo, yaṃ sutvā upasammatī’’ti. (dha. pa. aṭṭha. 1.102) –

    อยํ คาถา อาคตาฯ ตํตํภาณกานํ กถามคฺคานุสาเรน ตตฺถ ตตฺถ ตถา วุตฺตนฺติ น อิธ อาจริยสฺส ปุพฺพาปรวิโรโธ สงฺกิตโพฺพฯ

    Ayaṃ gāthā āgatā. Taṃtaṃbhāṇakānaṃ kathāmaggānusārena tattha tattha tathā vuttanti na idha ācariyassa pubbāparavirodho saṅkitabbo.

    ภทฺทากาปิลานีเถรี-ภทฺทากจฺจานาเถรีวตฺถุ

    Bhaddākāpilānītherī-bhaddākaccānātherīvatthu

    ๒๔๔-๒๔๕. ทสมํ เอกาทสมญฺจ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    244-245. Dasamaṃ ekādasamañca uttānatthameva.

    กิสาโคตมีเถรีวตฺถุ

    Kisāgotamītherīvatthu

    ๒๔๖. ทฺวาทสเม ตีหิ ลูเขหีติ วตฺถลูขสุตฺตลูขรชนลูขสงฺขาเตหิ ตีหิ ลูเขหิฯ สิทฺธตฺถกนฺติ สาสปพีชํฯ

    246. Dvādasame tīhi lūkhehīti vatthalūkhasuttalūkharajanalūkhasaṅkhātehi tīhi lūkhehi. Siddhatthakanti sāsapabījaṃ.

    ตํ ปุตฺตปสุสมฺมตฺตนฺติ ตํ รูปพลาทิสมฺปเนฺน ปุเตฺต จ ปสู จ ลภิตฺวา ‘‘มม ปุตฺตา อภิรูปา พลสมฺปนฺนา ปณฺฑิตา สพฺพกิจฺจสมตฺถา, มม โคโณ อโรโค อภิรูโป มหาภารวโห, มม คาวี พหุขีรา’’ติ เอวํ ปุเตฺตหิ จ ปสูหิ จ สมฺมตฺตํ นรํฯ พฺยาสตฺตมนสนฺติ จกฺขุวิเญฺญยฺยาทีสุ อารมฺมเณสุ หิรญฺญสุวณฺณาทีสุ ปตฺตจีวราทีสุ วา ยํ ยํ ลทฺธํ โหติ, ตตฺถ ตเตฺถว ลคฺคนาย สตฺตมานสํฯ สุตฺตํ คามนฺติ นิทฺทํ อุปคตํ สตฺตกายํฯ มโหโฆวาติ ยถา เอวรูปํ คามํ คมฺภีรโต วิตฺถารโต จ มหโนฺต มหานทิโอโฆ อนฺตมโส สุนขมฺปิ อเสเสตฺวา สพฺพํ อาทาย คจฺฉติ, เอวํ วุตฺตปฺปการํ นรํ มจฺจุ อาทาย คจฺฉตีติ อโตฺถฯ อมตํ ปทนฺติ มรณรหิตํ โกฎฺฐาสํ, อมตํ มหานิพฺพานนฺติ อโตฺถฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวฯ

    Taṃ puttapasusammattanti taṃ rūpabalādisampanne putte ca pasū ca labhitvā ‘‘mama puttā abhirūpā balasampannā paṇḍitā sabbakiccasamatthā, mama goṇo arogo abhirūpo mahābhāravaho, mama gāvī bahukhīrā’’ti evaṃ puttehi ca pasūhi ca sammattaṃ naraṃ. Byāsattamanasanti cakkhuviññeyyādīsu ārammaṇesu hiraññasuvaṇṇādīsu pattacīvarādīsu vā yaṃ yaṃ laddhaṃ hoti, tattha tattheva lagganāya sattamānasaṃ. Suttaṃ gāmanti niddaṃ upagataṃ sattakāyaṃ. Mahoghovāti yathā evarūpaṃ gāmaṃ gambhīrato vitthārato ca mahanto mahānadiogho antamaso sunakhampi asesetvā sabbaṃ ādāya gacchati, evaṃ vuttappakāraṃ naraṃ maccu ādāya gacchatīti attho. Amataṃ padanti maraṇarahitaṃ koṭṭhāsaṃ, amataṃ mahānibbānanti attho. Sesamettha uttānameva.

    สิงฺคาลกมาตาเถรีวตฺถุ

    Siṅgālakamātātherīvatthu

    ๒๔๗. เตรสมํ อุตฺตานตฺถเมวฯ

    247. Terasamaṃ uttānatthameva.

    (ปญฺจมเอตทคฺควคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ)

    (Pañcamaetadaggavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.)

    เถริปาฬิสํวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Theripāḷisaṃvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๖. ฉฎฺฐเอตทคฺควคฺควณฺณนา

    (14) 6. Chaṭṭhaetadaggavaggavaṇṇanā

    ตปุสฺส-ภลฺลิกวตฺถุ

    Tapussa-bhallikavatthu

    ๒๔๘. อุปาสกปาฬิสํวณฺณนาย ปฐเม สพฺพปฐมํ สรณํ คจฺฉนฺตานนฺติ สเพฺพสํ ปฐมํ หุตฺวา สรณํ คจฺฉนฺตานํฯ อิโต ปรนฺติ สตฺตสตฺตาหโต ปรํฯ คมนูปเจฺฉทํ อกาสีติ คมนวิเจฺฉทํ อกาสิฯ ยถา เต โคณา ธุรํ ฉเฑฺฑตฺวา โปถิยมานาปิ น คจฺฉนฺติ, ตถา อกาสีติ อโตฺถฯ เตสนฺติ ตปุสฺสภลฺลิกานํฯ อธิมุจฺจิตฺวาติ อาวิสิตฺวาฯ ยกฺขสฺส อาวโฎฺฎ ยกฺขาวโฎฺฎฯ เอวํ เสเสสุปิฯ อตีตพุทฺธานํ อาจิณฺณํ โอโลเกสีติ อตีตพุทฺธา เกน ภาชเนน ปฎิคฺคณฺหิํสูติ พุทฺธาจิณฺณํ โอโลเกสิฯ เทฺววาจิเก สรเณ ปติฎฺฐายาติ สงฺฆสฺส อนุปฺปนฺนตฺตา พุทฺธธมฺมวเสน เทฺววาจิเก สรเณ ปติฎฺฐหิตฺวาฯ เจติยนฺติ ปูชนียวตฺถุํฯ ชีวเกสธาตุยาติ ชีวมานสฺส ภควโต เกสธาตุยาฯ

    248. Upāsakapāḷisaṃvaṇṇanāya paṭhame sabbapaṭhamaṃ saraṇaṃ gacchantānanti sabbesaṃ paṭhamaṃ hutvā saraṇaṃ gacchantānaṃ. Ito paranti sattasattāhato paraṃ. Gamanūpacchedaṃ akāsīti gamanavicchedaṃ akāsi. Yathā te goṇā dhuraṃ chaḍḍetvā pothiyamānāpi na gacchanti, tathā akāsīti attho. Tesanti tapussabhallikānaṃ. Adhimuccitvāti āvisitvā. Yakkhassa āvaṭṭo yakkhāvaṭṭo. Evaṃ sesesupi. Atītabuddhānaṃ āciṇṇaṃ olokesīti atītabuddhā kena bhājanena paṭiggaṇhiṃsūti buddhāciṇṇaṃ olokesi. Dvevācike saraṇe patiṭṭhāyāti saṅghassa anuppannattā buddhadhammavasena dvevācike saraṇe patiṭṭhahitvā. Cetiyanti pūjanīyavatthuṃ. Jīvakesadhātuyāti jīvamānassa bhagavato kesadhātuyā.

    อนาถปิณฺฑิกเสฎฺฐิวตฺถุ

    Anāthapiṇḍikaseṭṭhivatthu

    ๒๔๙. ทุติเย เตเนว คุเณนาติ เตเนว ทายกภาวสงฺขาเตน คุเณนฯ โส หิ สพฺพกามสมิทฺธตาย วิคตมเจฺฉรตาย กรุณาทิคุณสมงฺคิตาย จ นิจฺจกาลํ อนาถานํ ปิณฺฑมทาสิฯ เตน สพฺพกาลํ อุปฎฺฐิโต อนาถานํ ปิโณฺฑ เอตสฺส อตฺถีติ อนาถปิณฺฑิโกติ สงฺขํ คโตฯ โยชนิกวิหาเร กาเรตฺวาติ โยชเน โยชเน เอกเมกํ วิหารํ กาเรตฺวาฯ ‘‘เอวรูปํ ทานํ ปวเตฺตสี’’ติ วตฺวา ตเมว ทานํ วิภชิตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘เทวสิกํ ปญฺจ สลากภตฺตานิ โหนฺตี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สลากาย คาเหตพฺพํ ภตฺตํ สลากภตฺตํฯ เอกสฺมิํ ปเกฺข เอกทิวสํ ทาตพฺพํ ภตฺตํ ปกฺขิกภตฺตํฯ ธุรเคเห ฐเปตฺวา ทาตพฺพํ ภตฺตํ ธุรภตฺตํฯ อาคนฺตุกานํ ทาตพฺพํ ภตฺตํ อาคนฺตุกภตฺตํฯ เอวํ เสเสสุปิฯ ปญฺจ อาสนสตานิ เคเห นิจฺจปญฺญตฺตาเนว โหนฺตีติ เคเห นิสีทาเปตฺวา ภุญฺชนฺตานํ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ ปญฺจ อาสนสตานิ นิจฺจปญฺญตฺตานิ โหนฺติฯ

    249. Dutiye teneva guṇenāti teneva dāyakabhāvasaṅkhātena guṇena. So hi sabbakāmasamiddhatāya vigatamaccheratāya karuṇādiguṇasamaṅgitāya ca niccakālaṃ anāthānaṃ piṇḍamadāsi. Tena sabbakālaṃ upaṭṭhito anāthānaṃ piṇḍo etassa atthīti anāthapiṇḍikoti saṅkhaṃ gato. Yojanikavihāre kāretvāti yojane yojane ekamekaṃ vihāraṃ kāretvā. ‘‘Evarūpaṃ dānaṃ pavattesī’’ti vatvā tameva dānaṃ vibhajitvā dassento ‘‘devasikaṃ pañca salākabhattāni hontī’’tiādimāha. Tattha salākāya gāhetabbaṃ bhattaṃ salākabhattaṃ. Ekasmiṃ pakkhe ekadivasaṃ dātabbaṃ bhattaṃ pakkhikabhattaṃ. Dhuragehe ṭhapetvā dātabbaṃ bhattaṃ dhurabhattaṃ. Āgantukānaṃ dātabbaṃ bhattaṃ āgantukabhattaṃ. Evaṃ sesesupi. Pañca āsanasatāni gehe niccapaññattāneva hontīti gehe nisīdāpetvā bhuñjantānaṃ pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ pañca āsanasatāni niccapaññattāni honti.

    จิตฺตคหปติวตฺถุ

    Cittagahapativatthu

    ๒๕๐. ตติเย มิคา เอว มิครูปานิฯ ภิกฺขํ สมาทาเปตฺวาติ, ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ อนุคฺคหํ กโรถ, อิธ นิสีทิตฺวา ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ ภิกฺขาคหณตฺถํ สมาทาเปตฺวา ฯ วิวฎฺฎํ อุทฺทิสฺส อุปจิตํ นิเพฺพธภาคิยกุสลํ อุปนิสฺสโยสฬายตนวิภตฺติเมว เทเสสีติ สฬายตนวิภาคปฺปฎิสํยุตฺตเมว ธมฺมกถํ กเถสิฯ เถเรนาติ ตตฺถ สนฺนิหิตานํ สเพฺพสํ เชเฎฺฐน มหาเถเรนฯ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชตุํ อสโกฺกเนฺตนาติ จิเตฺตน คหปตินา ‘‘ยา อิมา, ภเนฺต เถร, อเนกวิหิตา ทิฎฺฐิโย โลเก อุปฺปชฺชนฺติ, ‘สสฺสโต โลโก’ติ วา, ‘อสสฺสโต โลโก’ติ วา, ‘อนฺตวา โลโก’ติ วา, ‘อนนฺตวา โลโก’ติ วา, ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’นฺติ วา, ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ วา, ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ วา, ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ วา, ‘โหติ จ น โหติ จ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ วา, ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’ติ วา ยานิ จิมานิ ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิคตานิ พฺรหฺมชาเล คณิตานิ, อิมา นุ โข, ภเนฺต, ทิฎฺฐิโย กิสฺมิํ สติ โหนฺติ, กิสฺมิํ อสติ น โหนฺตี’’ติ เอวมาทินา (สํ. นิ. ๔.๓๔๕) ปเญฺห ปุเฎฺฐ ตํ ปญฺหํ วิสฺสเชฺชตุํ อสโกฺกเนฺตนฯ อิมํ กิร ปญฺหํ ยาวตติยํ ปุโฎฺฐ มหาเถโร ตุณฺหี อโหสิฯ อถ อิสิทตฺตเตฺถโร จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ เถโร เนว อตฺตนา พฺยากโรติ, น อญฺญํ อเชฺฌสติ, อุปาสโก จ ภิกฺขุสงฺฆํ วิเหสติ, อหเมตํ พฺยากริตฺวา ผาสุวิหารํ กตฺวา ทสฺสามี’’ติฯ เอวํ จิเนฺตตฺวา จ อาสนโต วุฎฺฐาย เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘พฺยากโรมหํ, ภเนฺต, จิตฺตสฺส คหปติโน เอตํ ปญฺห’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๓๔๕) อาหฯ เอวํ วุเตฺต เถโร ‘‘พฺยากโรหิ ตฺวํ, อาวุโส อิสิทตฺต, จิตฺตสฺส คหปติโน เอตํ ปญฺห’’นฺติ อิสิทตฺตํ อเชฺฌสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปญฺหํ วิสฺสเชฺชตุํ อสโกฺกเนฺตน อชฺฌิโฎฺฐ’’ติฯ

    250. Tatiye migā eva migarūpāni. Bhikkhaṃ samādāpetvāti, ‘‘bhante, mayhaṃ anuggahaṃ karotha, idha nisīditvā bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti bhikkhāgahaṇatthaṃ samādāpetvā . Vivaṭṭaṃ uddissa upacitaṃ nibbedhabhāgiyakusalaṃ upanissayo. Saḷāyatanavibhattimeva desesīti saḷāyatanavibhāgappaṭisaṃyuttameva dhammakathaṃ kathesi. Therenāti tattha sannihitānaṃ sabbesaṃ jeṭṭhena mahātherena. Pañhaṃ vissajjetuṃ asakkontenāti cittena gahapatinā ‘‘yā imā, bhante thera, anekavihitā diṭṭhiyo loke uppajjanti, ‘sassato loko’ti vā, ‘asassato loko’ti vā, ‘antavā loko’ti vā, ‘anantavā loko’ti vā, ‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’nti vā, ‘aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti vā, ‘hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti vā, ‘na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti vā, ‘hoti ca na hoti ca tathāgato paraṃ maraṇā’ti vā, ‘neva hoti na na hoti tathāgato paraṃ maraṇā’ti vā yāni cimāni dvāsaṭṭhi diṭṭhigatāni brahmajāle gaṇitāni, imā nu kho, bhante, diṭṭhiyo kismiṃ sati honti, kismiṃ asati na hontī’’ti evamādinā (saṃ. ni. 4.345) pañhe puṭṭhe taṃ pañhaṃ vissajjetuṃ asakkontena. Imaṃ kira pañhaṃ yāvatatiyaṃ puṭṭho mahāthero tuṇhī ahosi. Atha isidattatthero cintesi – ‘‘ayaṃ thero neva attanā byākaroti, na aññaṃ ajjhesati, upāsako ca bhikkhusaṅghaṃ vihesati, ahametaṃ byākaritvā phāsuvihāraṃ katvā dassāmī’’ti. Evaṃ cintetvā ca āsanato vuṭṭhāya therassa santikaṃ gantvā ‘‘byākaromahaṃ, bhante, cittassa gahapatino etaṃ pañha’’nti (saṃ. ni. 4.345) āha. Evaṃ vutte thero ‘‘byākarohi tvaṃ, āvuso isidatta, cittassa gahapatino etaṃ pañha’’nti isidattaṃ ajjhesi. Tena vuttaṃ – ‘‘pañhaṃ vissajjetuṃ asakkontena ajjhiṭṭho’’ti.

    ปญฺหํ วิสฺสเชฺชตฺวาติ ‘‘ยา อิมา, คหปติ, อเนกวิหิตา ทิฎฺฐิโย โลเก อุปฺปชฺชนฺติ ‘สสฺสโต โลโก’ติ วา, ‘อสสฺสโต โลโก’ติ วา…เป.… ยานิ จิมานิ ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิคตานิ พฺรหฺมชาเล คณิตานิ, อิมา โข, คหปติ, ทิฎฺฐิโย สกฺกายทิฎฺฐิยา สติ โหนฺติ, สกฺกายทิฎฺฐิยา อสติ น โหนฺตี’’ติอาทินา นเยน ปญฺหํ วิสฺสเชฺชตฺวาฯ คิหิสหายกภาเว ญาเตติ เถรสฺส คิหิสหายกภาเว จิเตฺตน คหปตินา ญาเตฯ จิโตฺต กิร, คหปติ, ตสฺส ปญฺหเวยฺยากรเณ ตุโฎฺฐ ‘‘กุโต, ภเนฺต, อโยฺย อิสิทโตฺต อาคจฺฉตี’’ติ วตฺวา ‘‘อวนฺติยา โข อหํ, คหปติ, อาคจฺฉามี’’ติ วุโตฺต ‘‘อตฺถิ, ภเนฺต, อวนฺติยา อิสิทโตฺต นาม กุลปุโตฺต อมฺหากํ อทิฎฺฐสหาโย ปพฺพชิโต, ทิโฎฺฐ โส อายสฺมตา’’ติ ปุจฺฉิฯ เถโร จ ‘‘เอวํ, คหปตี’’ติ วตฺวา ‘‘กหํ นุ โข, ภเนฺต, โส อายสฺมา เอตรหิ วิหรตี’’ติ ปุน ปุโฎฺฐ ตุณฺหี อโหสิฯ อถ จิโตฺต คหปติ ‘‘อโยฺย โน, ภเนฺต, อิสิทโตฺต’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เอวํ, คหปตี’’ติ วุเตฺต อตฺตโน คิหิสหายภาวํ อญฺญาสิฯ

    Pañhaṃ vissajjetvāti ‘‘yā imā, gahapati, anekavihitā diṭṭhiyo loke uppajjanti ‘sassato loko’ti vā, ‘asassato loko’ti vā…pe… yāni cimāni dvāsaṭṭhi diṭṭhigatāni brahmajāle gaṇitāni, imā kho, gahapati, diṭṭhiyo sakkāyadiṭṭhiyā sati honti, sakkāyadiṭṭhiyā asati na hontī’’tiādinā nayena pañhaṃ vissajjetvā. Gihisahāyakabhāve ñāteti therassa gihisahāyakabhāve cittena gahapatinā ñāte. Citto kira, gahapati, tassa pañhaveyyākaraṇe tuṭṭho ‘‘kuto, bhante, ayyo isidatto āgacchatī’’ti vatvā ‘‘avantiyā kho ahaṃ, gahapati, āgacchāmī’’ti vutto ‘‘atthi, bhante, avantiyā isidatto nāma kulaputto amhākaṃ adiṭṭhasahāyo pabbajito, diṭṭho so āyasmatā’’ti pucchi. Thero ca ‘‘evaṃ, gahapatī’’ti vatvā ‘‘kahaṃ nu kho, bhante, so āyasmā etarahi viharatī’’ti puna puṭṭho tuṇhī ahosi. Atha citto gahapati ‘‘ayyo no, bhante, isidatto’’ti pucchitvā ‘‘evaṃ, gahapatī’’ti vutte attano gihisahāyabhāvaṃ aññāsi.

    เตโชสมาปตฺติปาฎิหาริยํ ทเสฺสตฺวาติ เอกสฺมิํ กิร ทิวเส จิโตฺต คหปติ ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต, อโยฺย อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อิทฺธิปาฎิหาริยํ ทเสฺสตู’’ติ มหาเถรํ ยาจิฯ เถโร ‘‘เตน หิ ตฺวํ, คหปติ, อาฬิเนฺท อุตฺตราสงฺคํ ปญฺญาเปตฺวา ตตฺถ ติณกลาปํ โอกิรา’’ติ วตฺวา เตน จ ตถา กเต สยํ วิหารํ ปวิสิตฺวา จ ฆฎิกํ ทตฺวา ตถารูปํ อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขาเรสิ, ยถา ตาฬจฺฉิคฺคเฬน จ อคฺคฬนฺตริกาย จ อจฺจิ นิกฺขมิตฺวา ติณานิ ฌาเปติ, อุตฺตราสงฺคํ น ฌาเปติฯ อถ จิโตฺต คหปติ อุตฺตราสงฺคํ ปโปฺผเฎตฺวา สํวิโคฺค โลมหฎฺฐชาโต เอกมนฺตํ ฐิโต เถรํ พหิ นิกฺขมนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อภิรมตุ, ภเนฺต, อโยฺย มจฺฉิกาสเณฺฑ, รมณียํ อมฺพาฎกวนํ, อหํ อยฺยสฺส อุสฺสุกฺกํ กริสฺสามิ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาราน’’นฺติ อาหฯ ตโต เถโร ‘‘น ทานิ อิธ วสิตุํ สกฺกา’’ติ ตมฺหา วิหารา ปกฺกามิฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํ – ‘‘เตโชสมาปตฺติ ปาฎิหาริยํ ทเสฺสตฺวา ‘อิทานิ อิธ วสิตุํ น ยุตฺต’นฺติ ยถาสุขํ ปกฺกามี’’ติฯ เทฺว อคฺคสาวกาติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ วิตฺถารโต วินยปาฬิยํ อาคตเมวฯ

    Tejosamāpattipāṭihāriyaṃ dassetvāti ekasmiṃ kira divase citto gahapati ‘‘sādhu me, bhante, ayyo uttarimanussadhammā iddhipāṭihāriyaṃ dassetū’’ti mahātheraṃ yāci. Thero ‘‘tena hi tvaṃ, gahapati, āḷinde uttarāsaṅgaṃ paññāpetvā tattha tiṇakalāpaṃ okirā’’ti vatvā tena ca tathā kate sayaṃ vihāraṃ pavisitvā ca ghaṭikaṃ datvā tathārūpaṃ iddhābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkhāresi, yathā tāḷacchiggaḷena ca aggaḷantarikāya ca acci nikkhamitvā tiṇāni jhāpeti, uttarāsaṅgaṃ na jhāpeti. Atha citto gahapati uttarāsaṅgaṃ papphoṭetvā saṃviggo lomahaṭṭhajāto ekamantaṃ ṭhito theraṃ bahi nikkhamantaṃ disvā ‘‘abhiramatu, bhante, ayyo macchikāsaṇḍe, ramaṇīyaṃ ambāṭakavanaṃ, ahaṃ ayyassa ussukkaṃ karissāmi cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārāna’’nti āha. Tato thero ‘‘na dāni idha vasituṃ sakkā’’ti tamhā vihārā pakkāmi. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ – ‘‘tejosamāpatti pāṭihāriyaṃ dassetvā ‘idāni idha vasituṃ na yutta’nti yathāsukhaṃ pakkāmī’’ti. Dve aggasāvakātiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ vitthārato vinayapāḷiyaṃ āgatameva.

    สโทฺธติ โลกิยโลกุตฺตราย สทฺธาย สมนฺนาคโตฯ สีเลนาติ อคาริยสีลํ อนคาริยสีลนฺติ ทุวิธํ สีลํ, เตสุ อิธ อคาริยํ สีลํ อธิเปฺปตํ, เตน สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ ยโสโภคสมปฺปิโตติ ยาทิโส อนาถปิณฺฑิกาทีนํ ปญฺจอุปาสกสตปริวารสงฺขาโต อคาริโย ยโส, ตาทิเสเนว ยเสน, โย จ ธนธญฺญาทิโก เจว สตฺตวิธอริยธนสงฺขาโต จาติ ทุวิโธ โภโค, เตน จ สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ ยํ ยํ ปเทสนฺติ ปุรตฺถิมาทีสุ ทิสาสุ เอวรูโป กุลปุโตฺต ยํ ยํ ปเทสํ ภชติ, ตตฺถ ตตฺถ เอวรูเปน ลาภสกฺกาเรน ปูชิโตว โหตีติ อโตฺถฯ

    Saddhoti lokiyalokuttarāya saddhāya samannāgato. Sīlenāti agāriyasīlaṃ anagāriyasīlanti duvidhaṃ sīlaṃ, tesu idha agāriyaṃ sīlaṃ adhippetaṃ, tena samannāgatoti attho. Yasobhogasamappitoti yādiso anāthapiṇḍikādīnaṃ pañcaupāsakasataparivārasaṅkhāto agāriyo yaso, tādiseneva yasena, yo ca dhanadhaññādiko ceva sattavidhaariyadhanasaṅkhāto cāti duvidho bhogo, tena ca samannāgatoti attho. Yaṃ yaṃ padesanti puratthimādīsu disāsu evarūpo kulaputto yaṃ yaṃ padesaṃ bhajati, tattha tattha evarūpena lābhasakkārena pūjitova hotīti attho.

    หตฺถกอาฬวกวตฺถุ

    Hatthakaāḷavakavatthu

    ๒๕๑. จตุเตฺถ จตุพฺพิเธน สงฺคหวตฺถุนาติ ทานปิยวจนอตฺถจริยาสมานตฺตตาสงฺขาเตน จตุพฺพิเธน สงฺคหวตฺถุนาฯ ‘‘เสฺว ภตฺตจาฎิยา สทฺธิํ อาฬวกสฺส เปเสตโพฺพ อโหสี’’ติ วุตฺตมตฺถํ ปากฎํ กตฺวา ทเสฺสตุํ – ‘‘ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา’’ติอาทิมาหฯ มิควตฺถาย อรญฺญํ คนฺตฺวาติ อาฬวโก ราชา วิวิธนาฎกูปโภคํ ฉเฑฺฑตฺวา โจรปฺปฎิพาหนตฺถญฺจ ปฎิราชนิเสธนตฺถญฺจ พฺยายามกรณตฺถญฺจ สตฺตเม สตฺตเม ทิวเส มิควํ คจฺฉโนฺต เอกทิวสํ พลกาเยน สทฺธิํ ‘‘ยสฺส ปเสฺสน มิโค ปลายติ, ตเสฺสว โส ภาโร’’ติ กตกติกวโตฺต มิควตฺถาย อรญฺญํ คนฺตฺวาฯ เอกํ มิคนฺติ อตฺตโน ฐิตฎฺฐาเนน ปลาตํ เอณิมิคํฯ อนุพนฺธิตฺวาติ ติโยชนมคฺคํ เอกโกว อนุพนฺธิตฺวาฯ ชวสมฺปโนฺน หิ ราชา ธนุํ คเหตฺวา ปตฺติโกว ติโยชนํ ตํ มิคมนุพนฺธิฯ ฆาเตตฺวาติ ยสฺมา เอณิมิคา ติโยชนเวคา เอว โหนฺติ, ตสฺมา ปริกฺขิณชวํ ตํ มิคํ อุทกํ ปวิสิตฺวา ฐิตํ ฆาเตตฺวาฯ ทฺวิธา เฉตฺวา ธนุโกฎิยํ ลเคตฺวา นิวเตฺตตฺวา อาคจฺฉโนฺตติ อนตฺถิโกปิ มํเสน ‘‘นาสกฺขิ มิคํ คเหตุ’’นฺติ อปวาทโมจนตฺถํ ทฺวิธา ฉินฺนํ ธนุโกฎิยํ ลเคตฺวา อาคจฺฉโนฺตฯ สนฺทจฺฉายนฺติ ฆนจฺฉายํ พหลปตฺตปลาสํฯ

    251. Catutthe catubbidhena saṅgahavatthunāti dānapiyavacanaatthacariyāsamānattatāsaṅkhātena catubbidhena saṅgahavatthunā. ‘‘Sve bhattacāṭiyā saddhiṃ āḷavakassa pesetabbo ahosī’’ti vuttamatthaṃ pākaṭaṃ katvā dassetuṃ – ‘‘tatrāyaṃ anupubbikathā’’tiādimāha. Migavatthāya araññaṃ gantvāti āḷavako rājā vividhanāṭakūpabhogaṃ chaḍḍetvā corappaṭibāhanatthañca paṭirājanisedhanatthañca byāyāmakaraṇatthañca sattame sattame divase migavaṃ gacchanto ekadivasaṃ balakāyena saddhiṃ ‘‘yassa passena migo palāyati, tasseva so bhāro’’ti katakatikavatto migavatthāya araññaṃ gantvā. Ekaṃ miganti attano ṭhitaṭṭhānena palātaṃ eṇimigaṃ. Anubandhitvāti tiyojanamaggaṃ ekakova anubandhitvā. Javasampanno hi rājā dhanuṃ gahetvā pattikova tiyojanaṃ taṃ migamanubandhi. Ghātetvāti yasmā eṇimigā tiyojanavegā eva honti, tasmā parikkhiṇajavaṃ taṃ migaṃ udakaṃ pavisitvā ṭhitaṃ ghātetvā. Dvidhā chetvā dhanukoṭiyaṃ lagetvā nivattetvā āgacchantoti anatthikopi maṃsena ‘‘nāsakkhi migaṃ gahetu’’nti apavādamocanatthaṃ dvidhā chinnaṃ dhanukoṭiyaṃ lagetvā āgacchanto. Sandacchāyanti ghanacchāyaṃ bahalapattapalāsaṃ.

    รุเกฺข อธิวตฺถา เทวตาติ อาฬวกํ ยกฺขํ สนฺธาย วทติฯ โส หิ มหาราชูนํ สนฺติกา วรํ ลภิตฺวา มชฺฌนฺหิกสมเย ตสฺส รุกฺขสฺส ฉายาย ผุโฎฺฐกาสํ ปวิเฎฺฐ ปาณิโน ขาทโนฺต ตตฺถ ปฎิวสติฯ อาฬวกสฺส นิสีทนปลฺลเงฺก นิสีทีติ ยตฺถ อภิลกฺขิเตสุ มงฺคลทิวสาทีสุ อาฬวโก นิสีทิตฺวา สิริํ อนุโภติ, ตสฺมิํเยว ทิพฺพรตนปลฺลเงฺก นิสีทิฯ อตฺตโน คมเน อสมฺปชฺชมาเน ‘‘กิํ นุ โข การณ’’นฺติ อาวเชฺชนฺตาติ ตทา กิร สาตาคิรเหมวตา ภควนฺตํ เชตวเนเยว วนฺทิตฺวา ‘‘ยกฺขสมาคมํ คมิสฺสามา’’ติ สปริวารา นานายาเนหิ อากาเสน คจฺฉนฺติ, อากาเส จ ยกฺขานํ น สพฺพตฺถ มโคฺค อตฺถิ, อากาสฎฺฐานิ วิมานานิ ปริหริตฺวา มคฺคฎฺฐาเนเนว มโคฺค โหติ, อาฬวกสฺส ปน วิมานํ ภูมฎฺฐํ สุคุตฺตํ ปาการปริกฺขิตฺตํ สุสํวิหิตทฺวารฎฺฎาลกโคปุรํ อุปริ กํสชาลสญฺฉนฺนมญฺชูสาสทิสํ ติโยชนํ อุเพฺพเธน, ตสฺส อุปริ มโคฺค โหติ, เต ตํ ปเทสมาคมฺม คนฺตุมสมตฺถา อเหสุํฯ พุทฺธานญฺหิ นิสิโนฺนกาสสฺส อุปริภาเคน ยาว ภวคฺคา โกจิ คนฺตุมสมโตฺถ, ตสฺมา อตฺตโน คมเน อสมฺปชฺชมาเน ‘‘กิํ นุ โข การณ’’นฺติ อาวเชฺชสุํฯ เตสํ กถํ สุตฺวา จิเนฺตสีติ ยสฺมา อสฺสทฺธสฺส สทฺธากถา ทุกฺกถา โหติ ทุสฺสีลาทีนํ สีลกถาทโย วิย, ตสฺมา เตสํ ยกฺขานํ สนฺติกา ภควโต ปสํสํ สุตฺวา เอว อคฺคิมฺหิ ปกฺขิตฺตโลณสกฺขรา วิย อพฺภนฺตเร อุปฺปนฺนโกเปน ปฎปฎายมานหทโย หุตฺวา จิเนฺตสิฯ ปพฺพตกูฎนฺติ เกลาสปพฺพตกูฎํฯ

    Rukkhe adhivatthā devatāti āḷavakaṃ yakkhaṃ sandhāya vadati. So hi mahārājūnaṃ santikā varaṃ labhitvā majjhanhikasamaye tassa rukkhassa chāyāya phuṭṭhokāsaṃ paviṭṭhe pāṇino khādanto tattha paṭivasati. Āḷavakassa nisīdanapallaṅke nisīdīti yattha abhilakkhitesu maṅgaladivasādīsu āḷavako nisīditvā siriṃ anubhoti, tasmiṃyeva dibbaratanapallaṅke nisīdi. Attano gamane asampajjamāne ‘‘kiṃ nu kho kāraṇa’’nti āvajjentāti tadā kira sātāgirahemavatā bhagavantaṃ jetavaneyeva vanditvā ‘‘yakkhasamāgamaṃ gamissāmā’’ti saparivārā nānāyānehi ākāsena gacchanti, ākāse ca yakkhānaṃ na sabbattha maggo atthi, ākāsaṭṭhāni vimānāni pariharitvā maggaṭṭhāneneva maggo hoti, āḷavakassa pana vimānaṃ bhūmaṭṭhaṃ suguttaṃ pākāraparikkhittaṃ susaṃvihitadvāraṭṭālakagopuraṃ upari kaṃsajālasañchannamañjūsāsadisaṃ tiyojanaṃ ubbedhena, tassa upari maggo hoti, te taṃ padesamāgamma gantumasamatthā ahesuṃ. Buddhānañhi nisinnokāsassa uparibhāgena yāva bhavaggā koci gantumasamattho, tasmā attano gamane asampajjamāne ‘‘kiṃ nu kho kāraṇa’’nti āvajjesuṃ. Tesaṃ kathaṃ sutvā cintesīti yasmā assaddhassa saddhākathā dukkathā hoti dussīlādīnaṃ sīlakathādayo viya, tasmā tesaṃ yakkhānaṃ santikā bhagavato pasaṃsaṃ sutvā eva aggimhi pakkhittaloṇasakkharā viya abbhantare uppannakopena paṭapaṭāyamānahadayo hutvā cintesi. Pabbatakūṭanti kelāsapabbatakūṭaṃ.

    อิโต ปฎฺฐาย อาฬวกยุทฺธํ วิตฺถาเรตพฺพนฺติ โส กิร มโนสิลาตเล วามปาเทน ฐตฺวา ‘‘ปสฺสถ ทานิ ตุมฺหากํ วา สตฺถา มหานุภาโว, อหํ วา’’ติ ทกฺขิณปาเทน สฎฺฐิโยชนมตฺตํ เกลาสกูฎปพฺพตํ อกฺกมิ, ตํ อโยกูฎปฺปหโต วิย นิทฺธนฺตอยปิโณฺฑ ปปฎิกาโย มุญฺจิฯ โส ตตฺร ฐตฺวา ‘‘อหํ อาฬวโก’’ติ อุโคฺฆเสสิ, สกลชมฺพุทีปํ สโทฺท ผริฯ ติโยชนสหสฺสวิตฺถตหิมวาปิ สมฺปกมฺปิ ยกฺขสฺสานุภาเวนฯ โส วาตมณฺฑลํ สมุฎฺฐาเปสิ ‘‘เอเตเนว สมณํ ปลาเปสฺสามี’’ติฯ เต ปุรตฺถิมาทิเภทา วาตา สมุฎฺฐหิตฺวา อฑฺฒโยชนโยชนทฺวิโยชนติโยชนปฺปมาณานิ ปพฺพตกูฎานิ ปทาเลตฺวา วนคจฺฉรุกฺขาทีนิ อุมฺมูเลตฺวา อาฬวินครํ ปกฺขนฺทา ชิณฺณหตฺถิสาลาทีนิ จุเณฺณนฺตา ฉทนิฎฺฐกา อากาเส ภเมนฺตาฯ ภควา ‘‘มา กสฺสจิ อุปโรโธ โหตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ เต วาตา ทสพลํ ปตฺวา จีวรกณฺณมตฺตมฺปิ จาเลตุํ นาสกฺขิํสุฯ ตโต มหาวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิ ‘‘อุทเกน อโชฺฌตฺถริตฺวา สมณํ มาเรสฺสามี’’ติฯ ตสฺสานุภาเวน อุปรูปริ สตปฎลสหสฺสปฎลาทิเภทา วลาหกา อุฎฺฐหิตฺวา ปวสฺสิํสุฯ วุฎฺฐิธาราเวเคน ปถวี ฉิทฺทา อโหสิฯ วนรุกฺขาทีนํ อุปริ มโหโฆ อาคนฺตฺวา ทสพลสฺส จีวเร อุสฺสาวพินฺทุมตฺตมฺปิ เตเมตุํ นาสกฺขิฯ ตโต ปาสาณวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ มหนฺตานิ มหนฺตานิ ปพฺพตกูฎานิ ธูมายนฺตานิ ปชฺชลนฺตานิ อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลํ ปตฺวา ทิพฺพมาลาคุฬานิ สมฺปชฺชิํสุฯ ตโต ปหรณวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ เอกโตธารา อุภโตธารา อสิสตฺติขุรปฺปาทโย ธูมายนฺตา ปชฺชลนฺตา อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล ทิพฺพปุปฺผานิ อเหสุํฯ

    Ito paṭṭhāya āḷavakayuddhaṃ vitthāretabbanti so kira manosilātale vāmapādena ṭhatvā ‘‘passatha dāni tumhākaṃ vā satthā mahānubhāvo, ahaṃ vā’’ti dakkhiṇapādena saṭṭhiyojanamattaṃ kelāsakūṭapabbataṃ akkami, taṃ ayokūṭappahato viya niddhantaayapiṇḍo papaṭikāyo muñci. So tatra ṭhatvā ‘‘ahaṃ āḷavako’’ti ugghosesi, sakalajambudīpaṃ saddo phari. Tiyojanasahassavitthatahimavāpi sampakampi yakkhassānubhāvena. So vātamaṇḍalaṃ samuṭṭhāpesi ‘‘eteneva samaṇaṃ palāpessāmī’’ti. Te puratthimādibhedā vātā samuṭṭhahitvā aḍḍhayojanayojanadviyojanatiyojanappamāṇāni pabbatakūṭāni padāletvā vanagaccharukkhādīni ummūletvā āḷavinagaraṃ pakkhandā jiṇṇahatthisālādīni cuṇṇentā chadaniṭṭhakā ākāse bhamentā. Bhagavā ‘‘mā kassaci uparodho hotū’’ti adhiṭṭhāsi. Te vātā dasabalaṃ patvā cīvarakaṇṇamattampi cāletuṃ nāsakkhiṃsu. Tato mahāvassaṃ samuṭṭhāpesi ‘‘udakena ajjhottharitvā samaṇaṃ māressāmī’’ti. Tassānubhāvena uparūpari satapaṭalasahassapaṭalādibhedā valāhakā uṭṭhahitvā pavassiṃsu. Vuṭṭhidhārāvegena pathavī chiddā ahosi. Vanarukkhādīnaṃ upari mahogho āgantvā dasabalassa cīvare ussāvabindumattampi temetuṃ nāsakkhi. Tato pāsāṇavassaṃ samuṭṭhāpesi. Mahantāni mahantāni pabbatakūṭāni dhūmāyantāni pajjalantāni ākāsenāgantvā dasabalaṃ patvā dibbamālāguḷāni sampajjiṃsu. Tato paharaṇavassaṃ samuṭṭhāpesi. Ekatodhārā ubhatodhārā asisattikhurappādayo dhūmāyantā pajjalantā ākāsenāgantvā dasabalassa pādamūle dibbapupphāni ahesuṃ.

    ตโต องฺคารวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ กิํสุกวณฺณา องฺคารา อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล ทิพฺพปุปฺผานิ หุตฺวา วิกิริํสุฯ ตโต กุกฺกุฬวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ อจฺจุโณฺห กุกฺกุโฬ อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล จนฺทนจุณฺณํ หุตฺวา นิปติฯ ตโต วาลิกวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ อติสุขุมา วาลิกา ธูมายนฺตา ปชฺชลนฺตา อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล ทิพฺพปุปฺผานิ หุตฺวา นิปติํสุฯ ตโต กลลวสฺสํ สมุฎฺฐาเปสิฯ ตํ ธูมายนฺตํ ปชฺชลนฺตํ อากาเสนาคนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล ทิพฺพคนฺธํ หุตฺวา นิปติฯ ตโต อนฺธการํ สมุฎฺฐาเปสิ ‘‘ภิํเสตฺวา สมณํ ปลาเปสฺสามี’’ติฯ จตุรงฺคสมนฺนาคตํ อนฺธการสทิสํ หุตฺวา ทสพลํ ปตฺวา สูริยปฺปภาวิหตมิวนฺธการํ อนฺตรธายิฯ เอวํ ยโกฺข อิมาหิ นวหิ วาตวสฺสปาสาณปหรณงฺคารกุกฺกุฬวาลิกกลลนฺธการวุฎฺฐีหิ ภควนฺตํ ปลาเปตุมสโกฺกโนฺต นานาวิธปฺปหรณหตฺถอเนกปฺปการรูปภูตคณสมากุลาย จตุรงฺคินิยา เสนาย สยเมว ภควนฺตํ อภิคโตฯ เต ภูตคณา อเนกปฺปการวิกาเร กตฺวา ‘‘คณฺหถ หนถา’’ติ ภควโต อุปริ อาคจฺฉนฺตา วิย จ โหนฺติฯ อปิจ โข นิทฺธนฺตโลหปิณฺฑํ วิย มกฺขิกา ภควนฺตํ อลฺลียิตุมสมตฺถา เอว อเหสุํฯ

    Tato aṅgāravassaṃ samuṭṭhāpesi. Kiṃsukavaṇṇā aṅgārā ākāsenāgantvā dasabalassa pādamūle dibbapupphāni hutvā vikiriṃsu. Tato kukkuḷavassaṃ samuṭṭhāpesi. Accuṇho kukkuḷo ākāsenāgantvā dasabalassa pādamūle candanacuṇṇaṃ hutvā nipati. Tato vālikavassaṃ samuṭṭhāpesi. Atisukhumā vālikā dhūmāyantā pajjalantā ākāsenāgantvā dasabalassa pādamūle dibbapupphāni hutvā nipatiṃsu. Tato kalalavassaṃ samuṭṭhāpesi. Taṃ dhūmāyantaṃ pajjalantaṃ ākāsenāgantvā dasabalassa pādamūle dibbagandhaṃ hutvā nipati. Tato andhakāraṃ samuṭṭhāpesi ‘‘bhiṃsetvā samaṇaṃ palāpessāmī’’ti. Caturaṅgasamannāgataṃ andhakārasadisaṃ hutvā dasabalaṃ patvā sūriyappabhāvihatamivandhakāraṃ antaradhāyi. Evaṃ yakkho imāhi navahi vātavassapāsāṇapaharaṇaṅgārakukkuḷavālikakalalandhakāravuṭṭhīhi bhagavantaṃ palāpetumasakkonto nānāvidhappaharaṇahatthaanekappakārarūpabhūtagaṇasamākulāya caturaṅginiyā senāya sayameva bhagavantaṃ abhigato. Te bhūtagaṇā anekappakāravikāre katvā ‘‘gaṇhatha hanathā’’ti bhagavato upari āgacchantā viya ca honti. Apica kho niddhantalohapiṇḍaṃ viya makkhikā bhagavantaṃ allīyitumasamatthā eva ahesuṃ.

    เอวํ สพฺพรตฺติํ อเนกปฺปการวิภิํสาการทสฺสเนนปิ ภควนฺตํ จาเลตุมสโกฺกโนฺต อาฬวโก จิเนฺตสิ – ‘‘ยํนูนาหํ เกนจิ อเชยฺยํ ทุสฺสาวุธํ มุเญฺจยฺย’’นฺติฯ สเจ หิ โส ทุโฎฺฐ อากาเส ตํ ทุสฺสาวุธํ มุเญฺจยฺย, ทฺวาทส วสฺสานิ เทโว น วเสฺสยฺยฯ สเจ ปถวิยํ มุเญฺจยฺย , สพฺพรุกฺขติณาทีนิ สุสฺสิตฺวา ทฺวาทสวสฺสนฺตรํ น ปุน รุเหยฺยุํฯ สเจ สมุเทฺท มุเญฺจยฺย, ตตฺตกปาเล อุทกพินฺทุ วิย สพฺพํ สุเสฺสยฺยฯ สเจ สิเนรุปพฺพเต มุเญฺจยฺย, ขณฺฑาขณฺฑํ หุตฺวา วิกิเรยฺยฯ โส เอวํมหานุภาวํ ทุสฺสาวุธํ อุตฺตริสาฎกํ มุญฺจิตฺวา อคฺคเหสิฯ เยภุเยฺยน ทสสหสฺสิโลกธาตุเทวตา เวเคน สนฺนิปติํสุ ‘‘อชฺช ภควา อาฬวกํ ทเมสฺสติ, ตตฺถ ธมฺมํ โสสฺสามา’’ติฯ ยุทฺธทสฺสนกามาปิ เทวตา สนฺนิปติํสุฯ เอวํ สกลมฺปิ อากาสํ เทวตาหิ ปริปุณฺณํ อโหสิฯ อถาฬวโก ภควโต สมีเป อุปรูปริ วิจริตฺวา วตฺถาวุธํ มุญฺจิ ฯ ตํ อสนิจกฺกํ วิย อากาเส เภรวสทฺทํ กโรนฺตํ ธูมายนฺตํ ปชฺชลนฺตํ ภควนฺตํ ปตฺวา ยกฺขสฺส มานมทฺทนตฺถํ ปาทปุญฺฉนโจฬํ หุตฺวา ปาทมูเล นิปติฯ อาฬวโก ตํ ทิสฺวา ฉินฺนวิสาโณ วิย อุสโภ, อุทฺธฎทาโฐ วิย สโปฺป นิเตฺตโช นิมฺมโท นิปาติตมานทฺธโช อโหสิฯ เอวมิทํ อาฬวกยุทฺธํ วิตฺถาเรตพฺพํฯ

    Evaṃ sabbarattiṃ anekappakāravibhiṃsākāradassanenapi bhagavantaṃ cāletumasakkonto āḷavako cintesi – ‘‘yaṃnūnāhaṃ kenaci ajeyyaṃ dussāvudhaṃ muñceyya’’nti. Sace hi so duṭṭho ākāse taṃ dussāvudhaṃ muñceyya, dvādasa vassāni devo na vasseyya. Sace pathaviyaṃ muñceyya , sabbarukkhatiṇādīni sussitvā dvādasavassantaraṃ na puna ruheyyuṃ. Sace samudde muñceyya, tattakapāle udakabindu viya sabbaṃ susseyya. Sace sinerupabbate muñceyya, khaṇḍākhaṇḍaṃ hutvā vikireyya. So evaṃmahānubhāvaṃ dussāvudhaṃ uttarisāṭakaṃ muñcitvā aggahesi. Yebhuyyena dasasahassilokadhātudevatā vegena sannipatiṃsu ‘‘ajja bhagavā āḷavakaṃ damessati, tattha dhammaṃ sossāmā’’ti. Yuddhadassanakāmāpi devatā sannipatiṃsu. Evaṃ sakalampi ākāsaṃ devatāhi paripuṇṇaṃ ahosi. Athāḷavako bhagavato samīpe uparūpari vicaritvā vatthāvudhaṃ muñci . Taṃ asanicakkaṃ viya ākāse bheravasaddaṃ karontaṃ dhūmāyantaṃ pajjalantaṃ bhagavantaṃ patvā yakkhassa mānamaddanatthaṃ pādapuñchanacoḷaṃ hutvā pādamūle nipati. Āḷavako taṃ disvā chinnavisāṇo viya usabho, uddhaṭadāṭho viya sappo nittejo nimmado nipātitamānaddhajo ahosi. Evamidaṃ āḷavakayuddhaṃ vitthāretabbaṃ.

    อฎฺฐ ปเญฺห ปุจฺฉีติ –

    Aṭṭha pañhe pucchīti –

    ‘‘กิํ สูธ วิตฺตํ ปุริสสฺส เสฎฺฐํ,

    ‘‘Kiṃ sūdha vittaṃ purisassa seṭṭhaṃ,

    กิํ สุ สุจิณฺณํ สุขมาวหาติ;

    Kiṃ su suciṇṇaṃ sukhamāvahāti;

    กิํ สุ หเว สาทุตรํ รสานํ,

    Kiṃ su have sādutaraṃ rasānaṃ,

    กถํ ชีวิํ ชีวิตมาหุ เสฎฺฐ’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๔๖; สุ. นิ. ๑๘๓) –

    Kathaṃ jīviṃ jīvitamāhu seṭṭha’’nti. (saṃ. ni. 1.246; su. ni. 183) –

    อาทินา อฎฺฐ ปเญฺห ปุจฺฉิฯ สตฺถา วิสฺสเชฺชสีติ –

    Ādinā aṭṭha pañhe pucchi. Satthā vissajjesīti –

    ‘‘สทฺธีธ วิตฺตํ ปุริสสฺส เสฎฺฐํ,

    ‘‘Saddhīdha vittaṃ purisassa seṭṭhaṃ,

    ธโมฺม สุจิโณฺณ สุขมาวหาติ;

    Dhammo suciṇṇo sukhamāvahāti;

    สจฺจํ หเว สาทุตรํ รสานํ,

    Saccaṃ have sādutaraṃ rasānaṃ,

    ปญฺญาชีวิํ ชีวิตมาหุ เสฎฺฐ’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๔๖; สุ. นิ. ๑๘๔) –

    Paññājīviṃ jīvitamāhu seṭṭha’’nti. (saṃ. ni. 1.246; su. ni. 184) –

    อาทินา วิสฺสเชฺชสิฯ วิกฺกนฺทมานายาติ อจฺจนฺตํ ปริเทวมานายฯ

    Ādinā vissajjesi. Vikkandamānāyāti accantaṃ paridevamānāya.

    มหานามสกฺกวตฺถุ

    Mahānāmasakkavatthu

    ๒๕๒. ปญฺจเม สตฺถา ตโต ปรํ ปฎิญฺญํ นาทาสีติ สํวจฺฉรโต ปรํ สิกฺขาปทปญฺญตฺติยา ปจฺจยปฺปวารณาสาทิยนสฺส วาริตตฺตา ‘‘ปฎิญฺญํ นาทาสี’’ติ วุตฺตํฯ ตถา หิ ภควา ตติยวาเรปิ มหานาเมน สเกฺกน ‘‘อิจฺฉามหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ ยาวชีวํ เภสเชฺชน ปวาเรตุ’’นฺติ (ปาจิ. ๓๐๔-๓๐๕) วุเตฺต ‘‘สาธุ สาธุ, มหานาม, เตน หิ ตฺวํ, มหานาม, สงฺฆํ ยาวชีวํ เภสเชฺชน ปวาเรหี’’ติ ปฎิญฺญํ อทาสิเยวฯ เอวํ ปฎิญฺญํ ทตฺวา ปจฺฉา ฉพฺพคฺคิเยหิ ภิกฺขูหิ มหานามสฺส สกฺกสฺส วิเหฐิตภาวํ สุตฺวา ฉพฺพคฺคิเย ภิกฺขู วิครหิตฺวา สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสิ ‘‘อคิลาเนน ภิกฺขุนา จาตุมาสปฺปจฺจยปวารณา สาทิตพฺพา อญฺญตฺร ปุนปฺปวารณาย อญฺญตฺร นิจฺจปฺปวารณายฯ ตโต เจ อุตฺตริ สาทิเยยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติฯ ตสฺมา ปฐมํ อนุชานิตฺวาปิ ปจฺฉา สิกฺขาปทพนฺธเนน วาริตตฺตา ‘‘ปฎิญฺญํ นาทาสี’’ติ วุตฺตํฯ

    252. Pañcame satthā tato paraṃ paṭiññaṃ nādāsīti saṃvaccharato paraṃ sikkhāpadapaññattiyā paccayappavāraṇāsādiyanassa vāritattā ‘‘paṭiññaṃ nādāsī’’ti vuttaṃ. Tathā hi bhagavā tatiyavārepi mahānāmena sakkena ‘‘icchāmahaṃ, bhante, saṅghaṃ yāvajīvaṃ bhesajjena pavāretu’’nti (pāci. 304-305) vutte ‘‘sādhu sādhu, mahānāma, tena hi tvaṃ, mahānāma, saṅghaṃ yāvajīvaṃ bhesajjena pavārehī’’ti paṭiññaṃ adāsiyeva. Evaṃ paṭiññaṃ datvā pacchā chabbaggiyehi bhikkhūhi mahānāmassa sakkassa viheṭhitabhāvaṃ sutvā chabbaggiye bhikkhū vigarahitvā sikkhāpadaṃ paññapesi ‘‘agilānena bhikkhunā cātumāsappaccayapavāraṇā sāditabbā aññatra punappavāraṇāya aññatra niccappavāraṇāya. Tato ce uttari sādiyeyya, pācittiya’’nti. Tasmā paṭhamaṃ anujānitvāpi pacchā sikkhāpadabandhanena vāritattā ‘‘paṭiññaṃ nādāsī’’ti vuttaṃ.

    อุคฺคคหปตฺยาทิวตฺถุ

    Uggagahapatyādivatthu

    ๒๕๓-๒๕๖. ฉฎฺฐสตฺตมอฎฺฐมนวมานิ สุวิเญฺญยฺยาเนวฯ

    253-256. Chaṭṭhasattamaaṭṭhamanavamāni suviññeyyāneva.

    นกุลปิตุคหปติวตฺถุ

    Nakulapitugahapativatthu

    ๒๕๗. ทสเม สุสุมารคิรินคเรติ เอวํนามเก นคเรฯ ตสฺส กิร นครสฺส วตฺถุปริคฺคหทิวเส อวิทูเร อุทกรหเท สุสุมาโร สทฺทมกาสิ, คิรํ นิจฺฉาเรสิฯ อถ นคเร อนนฺตราเยน มาปิเต ตเมว สุสุมารคิรกรณํ สุภนิมิตฺตํ กตฺวา ‘‘สุสุมารคิรี’’เตฺววสฺส นามํ อกํสุฯ เกจิ ปน ‘‘สุสุมารสณฺฐานตฺตา สุสุมาโร นาม เอโก คิริ, โส ตสฺส นครสฺส สมีเป, ตสฺมา ตํ สุสุมารคิริ เอตสฺส อตฺถีติ สุสุมารคิรีติ วุจฺจตี’’ติ วทนฺติฯ เภสกฬาวเนติ เภสกฬานามเก วเนฯ ‘‘เภสกลาวเน’’ติปิ ปาโฐฯ กถํ ปน ภควติ เนสํ ปุตฺตสญฺญา ปติฎฺฐาสีติ อาห – ‘‘อยํ กิรา’’ติอาทิฯ ทหรเสฺสว ทหรา อานีตาติ เม ทหรเสฺสว สโต ทหรา อานีตาติ อโตฺถฯ อติจริตาติ อติกฺกมิตฺวา จรโนฺตฯ

    257. Dasame susumāragirinagareti evaṃnāmake nagare. Tassa kira nagarassa vatthupariggahadivase avidūre udakarahade susumāro saddamakāsi, giraṃ nicchāresi. Atha nagare anantarāyena māpite tameva susumāragirakaraṇaṃ subhanimittaṃ katvā ‘‘susumāragirī’’tvevassa nāmaṃ akaṃsu. Keci pana ‘‘susumārasaṇṭhānattā susumāro nāma eko giri, so tassa nagarassa samīpe, tasmā taṃ susumāragiri etassa atthīti susumāragirīti vuccatī’’ti vadanti. Bhesakaḷāvaneti bhesakaḷānāmake vane. ‘‘Bhesakalāvane’’tipi pāṭho. Kathaṃ pana bhagavati nesaṃ puttasaññā patiṭṭhāsīti āha – ‘‘ayaṃ kirā’’tiādi. Daharasseva daharā ānītāti me daharasseva sato daharā ānītāti attho. Aticaritāti atikkamitvā caranto.

    (ฉฎฺฐเอตทคฺควคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ)

    (Chaṭṭhaetadaggavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.)

    อุปาสกปาฬิสํวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Upāsakapāḷisaṃvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑๔. เอตทคฺควโคฺค

    14. Etadaggavaggo

    (๑๔) ๗. สตฺตมเอตทคฺควคฺควณฺณนา

    (14) 7. Sattamaetadaggavaggavaṇṇanā

    สุชาตาวตฺถุ

    Sujātāvatthu

    ๒๕๘. อุปาสิกาปาฬิสํวณฺณนาย ปฐมํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    258. Upāsikāpāḷisaṃvaṇṇanāya paṭhamaṃ suviññeyyameva.

    วิสาขาวตฺถุ

    Visākhāvatthu

    ๒๕๙. ทุติเย มหาลตาปสาธนสฺสาติ มหาลตาปิฬนฺธนสฺสฯ ตสฺมิญฺจ ปิฬนฺธเน จตโสฺส วชิรนาฬิโย อุปโยคํ อคมํสุฯ มุตฺตานํ เอกาทส นาฬิโย, ปวาฬสฺส ทฺวาวีสติ นาฬิโย, ปทุมราคมณีนํ เตตฺติํส นาฬิโยฯ อิติ เอเตหิ จ อเญฺญหิ จ อินฺทนีลาทีหิ นีลปีตโลหิโตทาตมญฺชิฎฺฐสามกพรวณฺณวเสน สตฺตวเณฺณหิ วรรตเนหิ นิฎฺฐานํ อคมาสิ, ตํ สีเส ปฎิมุกฺกํ ยาว ปาทปิฎฺฐิยา ภสฺสติ, ปญฺจนฺนํ หตฺถีนํ พลํ ธารยมานาว นํ อิตฺถี ธาเรตุํ สโกฺกติฯ อโนฺตอคฺคิ พหิ น นีหริตโพฺพติอาทีนํ อโตฺถ อุปริ อาวิ ภวิสฺสติฯ เสสเมตฺถ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    259. Dutiye mahālatāpasādhanassāti mahālatāpiḷandhanassa. Tasmiñca piḷandhane catasso vajiranāḷiyo upayogaṃ agamaṃsu. Muttānaṃ ekādasa nāḷiyo, pavāḷassa dvāvīsati nāḷiyo, padumarāgamaṇīnaṃ tettiṃsa nāḷiyo. Iti etehi ca aññehi ca indanīlādīhi nīlapītalohitodātamañjiṭṭhasāmakabaravaṇṇavasena sattavaṇṇehi vararatanehi niṭṭhānaṃ agamāsi, taṃ sīse paṭimukkaṃ yāva pādapiṭṭhiyā bhassati, pañcannaṃ hatthīnaṃ balaṃ dhārayamānāva naṃ itthī dhāretuṃ sakkoti. Antoaggi bahi na nīharitabbotiādīnaṃ attho upari āvi bhavissati. Sesamettha suviññeyyameva.

    ขุชฺชุตฺตรา-สามาวตีวตฺถุ

    Khujjuttarā-sāmāvatīvatthu

    ๒๖๐-๒๖๑. ตติยจตุเตฺถสุ ปายาสสฺสาติ พหลตรสฺส ปายาสสฺสฯ ตํ ปายาสํ ภุญฺชเนฺตสูติ ตํ พหลตรํ ครุสินิทฺธํ ปายาสํ ภุญฺชเนฺตสุฯ ชีราเปตุํ อสโกฺกโนฺตติ อนฺตรามเคฺค อปฺปาหารตาย มนฺทคหณิกตฺตา ชีราเปตุํ อสโกฺกโนฺตฯ วาฬมิคฎฺฐาเนติ วาฬมิเคหิ อธิฎฺฐิตฎฺฐาเนฯ อนุวิชฺชโนฺตติ วิจาเรโนฺตฯ สาลาติ นฬการสาลาฯ มุธา น กริสฺสตีติ มูลฺยํ วินา น กริสฺสติฯ อาลิเมฺปสีติ อคฺคิํ อทาสิ, อคฺคิํ ชาเลสีติ อโตฺถฯ เปกฺขาติ อาคเมหิฯ อุปธิสมฺปทาติ สรีรสมฺปตฺติฯ วฎรุกฺขํ ปตฺวาติ นิโคฺรธรุกฺขํ ปตฺวาฯ สุวณฺณกฎเกติ สุวณฺณวลเยฯ อพฺภุํ เมติ เม อวฑฺฒีติ อโตฺถฯ อโนฺต อโสเธตฺวาติ ปณฺณสาลาย อโนฺต กสฺสจิ อตฺถิภาวํ วา นตฺถิภาวํ วา อนุปธาเรตฺวาฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    260-261. Tatiyacatutthesu pāyāsassāti bahalatarassa pāyāsassa. Taṃ pāyāsaṃ bhuñjantesūti taṃ bahalataraṃ garusiniddhaṃ pāyāsaṃ bhuñjantesu. Jīrāpetuṃ asakkontoti antarāmagge appāhāratāya mandagahaṇikattā jīrāpetuṃ asakkonto. Vāḷamigaṭṭhāneti vāḷamigehi adhiṭṭhitaṭṭhāne. Anuvijjantoti vicārento. Sālāti naḷakārasālā. Mudhā na karissatīti mūlyaṃ vinā na karissati. Ālimpesīti aggiṃ adāsi, aggiṃ jālesīti attho. Pekkhāti āgamehi. Upadhisampadāti sarīrasampatti. Vaṭarukkhaṃ patvāti nigrodharukkhaṃ patvā. Suvaṇṇakaṭaketi suvaṇṇavalaye. Abbhuṃ meti me avaḍḍhīti attho. Anto asodhetvāti paṇṇasālāya anto kassaci atthibhāvaṃ vā natthibhāvaṃ vā anupadhāretvā. Sesaṃ suviññeyyameva.

    อุตฺตรานนฺทมาตาวตฺถุ

    Uttarānandamātāvatthu

    ๒๖๒. ปญฺจเม อุปนิสฺสยํ ทิสฺวาติ อิมินา ยถา วิเสสาธิคมสฺส สติปิ ปจฺจุปฺปนฺนปจฺจยสมวาเย อวสฺสํ อุปนิสฺสยสมฺปทา อิจฺฉิตพฺพา, เอวํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียภาเวน วิปจฺจนกสฺส กมฺมสฺสปิ ปจฺจุปฺปนฺนสมวาโย วิย อุปนิสฺสยสมฺปทาปิ สวิเสสา อิจฺฉิตพฺพาติ ทเสฺสติฯ ตถา หิ อุกฺกํสคตสปฺปุริสูปนิสฺสยโยนิโสมนสิกาเรสุ ลพฺภมาเนสุปิ อุปนิสฺสยรหิตสฺส วิเสสาธิคโม น สมฺปชฺชเตวาติฯ กปฺปิยํ กตฺวาติ ยถา กปฺปิยํ โหติ, ตถา กตฺวาฯ ปเตฺต ปติฎฺฐเปยฺยาติ อาหารํ ทานมุเข วิสฺสเชฺชยฺยฯ ตีหิ เจตนาหีติ ปุพฺพภาคมุญฺจอนุโมทนาเจตนาหิฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    262. Pañcame upanissayaṃ disvāti iminā yathā visesādhigamassa satipi paccuppannapaccayasamavāye avassaṃ upanissayasampadā icchitabbā, evaṃ diṭṭhadhammavedanīyabhāvena vipaccanakassa kammassapi paccuppannasamavāyo viya upanissayasampadāpi savisesā icchitabbāti dasseti. Tathā hi ukkaṃsagatasappurisūpanissayayonisomanasikāresu labbhamānesupi upanissayarahitassa visesādhigamo na sampajjatevāti. Kappiyaṃ katvāti yathā kappiyaṃ hoti, tathā katvā. Patte patiṭṭhapeyyāti āhāraṃ dānamukhe vissajjeyya. Tīhi cetanāhīti pubbabhāgamuñcaanumodanācetanāhi. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ปุเพฺพว ทานา สุมโน, ททํ จิตฺตํ ปสาทเย;

    ‘‘Pubbeva dānā sumano, dadaṃ cittaṃ pasādaye;

    ทตฺวา อตฺตมโน โหติ, เอสา ปุญฺญสฺส สมฺปทา’’ติฯ (อ. นิ. ๖.๓๗; เป. ว. ๓๐๕);

    Datvā attamano hoti, esā puññassa sampadā’’ti. (a. ni. 6.37; pe. va. 305);

    ตว มนํ สนฺธาเรหีติ ‘‘อชฺช ภตฺตํ จิรายิต’’นฺติ โกธโต ตว จิตฺตํ สนฺธาเรหิ, มา กุชฺฌีติ อโตฺถฯ โอโลกิโตโลกิตฎฺฐานํ…เป.… สมฺปริกิณฺณํ วิย อโหสีติ เตน กสิตฎฺฐานํ สพฺพํ สุวณฺณภาวาปตฺติยา มหาโกสาตกิปุเปฺผหิ สญฺฉนฺนํ วิย อโหสิฯ ตาทิเสติ ตยา สทิเสฯ น โกเปมีติ น วินาเสมิ, ชาติยา น หีเฬมิฯ ปูชํ กโรตีติ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปูชํ กโรติฯ อนฺตรวตฺถุนฺติ เคหงฺคณํฯ โภติ สโมฺพธเน นิปาโตฯ เชติ อวญฺญาลปนํฯ สยํ อริยสาวิกาภาวโต สตฺถุวเสน ‘‘สปิติกา ธีตา’’ติ วตฺวา สตฺถุ สมฺมุขา ธมฺมสฺสวเนน ตสฺสา วิเสสาธิคมํ ปจฺจาสีสนฺตี ‘‘ทสพเล ขมเนฺตเยว ขมิสฺสามี’’ติ อาหฯ กทริยนฺติ ถทฺธมจฺฉริํฯ

    Tavamanaṃ sandhārehīti ‘‘ajja bhattaṃ cirāyita’’nti kodhato tava cittaṃ sandhārehi, mā kujjhīti attho. Olokitolokitaṭṭhānaṃ…pe… samparikiṇṇaṃ viya ahosīti tena kasitaṭṭhānaṃ sabbaṃ suvaṇṇabhāvāpattiyā mahākosātakipupphehi sañchannaṃ viya ahosi. Tādiseti tayā sadise. Na kopemīti na vināsemi, jātiyā na hīḷemi. Pūjaṃ karotīti sammāsambuddhassa pūjaṃ karoti. Antaravatthunti gehaṅgaṇaṃ. Bhoti sambodhane nipāto. Jeti avaññālapanaṃ. Sayaṃ ariyasāvikābhāvato satthuvasena ‘‘sapitikā dhītā’’ti vatvā satthu sammukhā dhammassavanena tassā visesādhigamaṃ paccāsīsantī ‘‘dasabale khamanteyeva khamissāmī’’ti āha. Kadariyanti thaddhamacchariṃ.

    สุปฺปวาสาวตฺถุ

    Suppavāsāvatthu

    ๒๖๓. ฉเฎฺฐ ปณีตทายิกานนฺติ ปณีตรสวตฺถูนํ ทายิกานํฯ อายุโน ฐิติเหตุํ โภชนํ เทนฺตี อายุํ เทติ นามฯ เอส นโย วณฺณํ เทตีติอาทีสุฯ เตนาห – ‘‘ปญฺจ ฐานานี’’ติฯ กมฺมสริกฺขกเญฺจตํ ผลนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อายุํ โข ปน ทตฺวา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ทตฺวาติ ทานเหตุฯ ภาคินีติ ภาควตี ลทฺธุํ ภพฺพาฯ

    263. Chaṭṭhe paṇītadāyikānanti paṇītarasavatthūnaṃ dāyikānaṃ. Āyuno ṭhitihetuṃ bhojanaṃ dentī āyuṃ deti nāma. Esa nayo vaṇṇaṃ detītiādīsu. Tenāha – ‘‘pañca ṭhānānī’’ti. Kammasarikkhakañcetaṃ phalanti dassento ‘‘āyuṃ kho pana datvā’’tiādimāha. Tattha datvāti dānahetu. Bhāginīti bhāgavatī laddhuṃ bhabbā.

    สุปฺปิยาวตฺถุ

    Suppiyāvatthu

    ๒๖๔. สตฺตเม อูรุมํสํ ฉินฺทิตฺวา ทาสิยา อทาสีติ อาคตผลา วิญฺญาตสาสนา อริยสาวิกา อตฺตโน สรีรทุกฺขํ อจิเนฺตตฺวา ตสฺส ภิกฺขุโน โรควูปสมเมว ปจฺจาสีสนฺตี อตฺตโน อูรุมํสํ ฉินฺทิตฺวา ทาสิยา อทาสิฯ สตฺถาปิ ตสฺสา ตถาปวตฺตํ อชฺฌาสยสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘มม สมฺมุขีภาวูปคมเนเนวสฺสา วโณ รุหิตฺวา สญฺฉวิ ชายติ, ผาสุภาโว โหตี’’ติ จ ทิสฺวา ‘‘ปโกฺกสถ น’’นฺติ อาหฯ สา จิเนฺตสีติ ‘‘สพฺพโลกสฺส หิตานุกมฺปโก สตฺถา น มํ ทุกฺขาเปตุํ ปโกฺกสติ, อเตฺถตฺถ การณ’’นฺติ จิเนฺตสิฯ อตฺตนา กตการณํ สพฺพํ กเถสีติ พุทฺธานุภาววิภาวนตฺถํ กเถสิ, น อตฺตโน ทฬฺหชฺฌาสยตาย วิภาวนตฺถํฯ คิลานุปฎฺฐากีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติ อคณิตตฺตทุกฺขา คิลานานํ ภิกฺขูนํ เคลญฺญวูปสมเน ยุตฺตปฺปยุตฺตาติ คิลานุปฎฺฐากีนํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสีติฯ

    264. Sattame ūrumaṃsaṃ chinditvā dāsiyā adāsīti āgataphalā viññātasāsanā ariyasāvikā attano sarīradukkhaṃ acintetvā tassa bhikkhuno rogavūpasamameva paccāsīsantī attano ūrumaṃsaṃ chinditvā dāsiyā adāsi. Satthāpi tassā tathāpavattaṃ ajjhāsayasampattiṃ disvā ‘‘mama sammukhībhāvūpagamanenevassā vaṇo ruhitvā sañchavi jāyati, phāsubhāvo hotī’’ti ca disvā ‘‘pakkosatha na’’nti āha. Sā cintesīti ‘‘sabbalokassa hitānukampako satthā na maṃ dukkhāpetuṃ pakkosati, atthettha kāraṇa’’nti cintesi. Attanā katakāraṇaṃ sabbaṃ kathesīti buddhānubhāvavibhāvanatthaṃ kathesi, na attano daḷhajjhāsayatāya vibhāvanatthaṃ. Gilānupaṭṭhākīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti agaṇitattadukkhā gilānānaṃ bhikkhūnaṃ gelaññavūpasamane yuttappayuttāti gilānupaṭṭhākīnaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesīti.

    กาติยานีวตฺถุ

    Kātiyānīvatthu

    ๒๖๕. อฎฺฐเม อเวจฺจปฺปสนฺนานนฺติ รตนตฺตยคุเณ ยาถาวโต ญตฺวา ปสนฺนานํ, โส ปนสฺส ปสาโท มเคฺคนาคตตฺตา เกนจิ อกมฺปนีโยฯ อธิคเตนาติ มคฺคาธิคเมเนว อธิคเตนฯ ‘‘อวิคเตนา’’ติ วา ปาโฐ, ตสฺสโตฺถ ‘‘กทาจิ อวิคจฺฉเนฺตนา’’ติฯ โส อปฺปธํสิโย จ โหติ, ตสฺมา วุตฺตํ – ‘‘อธิคเตน อจลปฺปสาเทนา’’ติฯ ตตฺถ กายสกฺขิํ กตฺวาติ ปมุขํ กตฺวา, วจนตฺถโต ปน นามกาเยน เทสนาย สมฺปฎิจฺฉนวเสน สกฺขิภูตํ กตฺวาติ อโตฺถฯ อุมฺมคฺคํ ขนิตฺวาติ ฆรสนฺธิเจฺฉทเนน อโนฺตปวิสนมคฺคํ ขนิตฺวาฯ ทุลฺลภสฺสวนนฺติ ทุลฺลภสทฺธมฺมสฺสวนํฯ มหาปถวี ปวิสิตพฺพา ภเวยฺยาติ อวีจิปฺปเวสนํ วทติฯ

    265. Aṭṭhame aveccappasannānanti ratanattayaguṇe yāthāvato ñatvā pasannānaṃ, so panassa pasādo maggenāgatattā kenaci akampanīyo. Adhigatenāti maggādhigameneva adhigatena. ‘‘Avigatenā’’ti vā pāṭho, tassattho ‘‘kadāci avigacchantenā’’ti. So appadhaṃsiyo ca hoti, tasmā vuttaṃ – ‘‘adhigatena acalappasādenā’’ti. Tattha kāyasakkhiṃ katvāti pamukhaṃ katvā, vacanatthato pana nāmakāyena desanāya sampaṭicchanavasena sakkhibhūtaṃ katvāti attho. Ummaggaṃ khanitvāti gharasandhicchedanena antopavisanamaggaṃ khanitvā. Dullabhassavananti dullabhasaddhammassavanaṃ. Mahāpathavī pavisitabbā bhaveyyāti avīcippavesanaṃ vadati.

    นกุลมาตาวตฺถุ

    Nakulamātāvatthu

    ๒๖๖. นวเม วิสฺสาสกถเนเนว นกุลมาตา นกุลปิตา จ สตฺถุวิสฺสาสิกา นาม ชาตาติ วุตฺตํ – ‘‘วิสฺสาสิกานนฺติ วิสฺสาสกถํ กเถนฺตีนํ อุปาสิกาน’’นฺติฯ คหปตานีติ เคหสามินีฯ วุตฺตเมวาติ อุปาสกปาฬิยํ นกุลปิตุกถายํ วุตฺตนยเมวฯ

    266. Navame vissāsakathaneneva nakulamātā nakulapitā ca satthuvissāsikā nāma jātāti vuttaṃ – ‘‘vissāsikānanti vissāsakathaṃ kathentīnaṃ upāsikāna’’nti. Gahapatānīti gehasāminī. Vuttamevāti upāsakapāḷiyaṃ nakulapitukathāyaṃ vuttanayameva.

    กาฬีกุรรฆริกาวตฺถุ

    Kāḷīkuraragharikāvatthu

    ๒๖๗. ทสเม อนุสฺสเวเนวาติ ปจฺจกฺขโต รูปทสฺสเนน สตฺถุ สมฺมุขา ธมฺมสฺสวเนน จ วินา เกวลํ อนุสฺสวเนเนว ปรสฺส วจนํ อนุคตสฺสวเนเนว อุปฺปเนฺนน ปสาเทนฯ อนุสฺสวิกปฺปสาทนฺติ อนุสฺสวโต อาคตปฺปสาทํฯ

    267. Dasame anussavenevāti paccakkhato rūpadassanena satthu sammukhā dhammassavanena ca vinā kevalaṃ anussavaneneva parassa vacanaṃ anugatassavaneneva uppannena pasādena. Anussavikappasādanti anussavato āgatappasādaṃ.

    (สตฺตมเอตทคฺควคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ)

    (Sattamaetadaggavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.)

    อุปาสิกาปาฬิสํวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Upāsikāpāḷisaṃvaṇṇanā samattā.

    นิฎฺฐิตา จ มโนรถปูรณิยา

    Niṭṭhitā ca manorathapūraṇiyā

    องฺคุตฺตรนิกาย-อฎฺฐกถาย

    Aṅguttaranikāya-aṭṭhakathāya

    เอตทคฺควคฺควณฺณนาย อนุตฺตานตฺถทีปนาฯ

    Etadaggavaggavaṇṇanāya anuttānatthadīpanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑๔. เอตทคฺควโคฺค • 14. Etadaggavaggo

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑๔. เอตทคฺควโคฺค • 14. Etadaggavaggo


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact