Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi |
๖. คพฺภาวกฺกนฺติปโญฺห
6. Gabbhāvakkantipañho
๖. ‘‘ภเนฺต นาคเสน, ภาสิตเมฺปตํ ภควตา ‘ติณฺณํ โข ปน, ภิกฺขเว, สนฺนิปาตา คพฺภสฺส อวกฺกนฺติ 1 โหติ, อิธ มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ, มาตา จ อุตุนี โหติ, คนฺธโพฺพ จ ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติ, อิเมสํ โข, ภิกฺขเว, ติณฺณํ สนฺนิปาตา คพฺภสฺส อวกฺกนฺติ โหตี’ติ, อเสสวจนเมตํ, นิเสฺสสวจนเมตํ, นิปฺปริยายวจนเมตํ, อรหสฺสวจนเมตํ, สเทวมนุสฺสานํ มเชฺฌ นิสีทิตฺวา ภณิตํ, อยญฺจ ทฺวินฺนํ สนฺนิปาตา คพฺภสฺส อวกฺกนฺติ ทิสฺสติ, ทุกูเลน ตาปเสน ปาริกาย ตาปสิยา อุตุนิกาเล ทกฺขิเณน หตฺถงฺคุเฎฺฐน นาภิ ปรามฎฺฐา, ตสฺส เตน นาภิปรามสเนน สามกุมาโร นิพฺพโตฺตฯ มาตเงฺคนาปิ อิสินา พฺราหฺมณกญฺญาย อุตุนิกาเล ทกฺขิเณน หตฺถงฺคุเฎฺฐน นาภิ ปรามฎฺฐา, ตสฺส เตน นาภิปรามสเนน มณฺฑโพฺย นาม มาณวโก นิพฺพโตฺตติฯ ยทิ, ภเนฺต นาคเสน, ภควตา ภณิตํ ‘ติณฺณํ โข ปน, ภิกฺขเว, สนฺนิปาตา คพฺภสฺส อวกฺกนฺติ โหตี’ติฯ เตน หิ สาโม จ กุมาโร มณฺฑโพฺย จ มาณวโก อุโภปิ เต นาภิปรามสเนน นิพฺพตฺตาติ ยํ วจนํ, ตํ มิจฺฉาฯ ยทิ, ภเนฺต, ตถาคเตน ภณิตํ ‘สาโม จ กุมาโร มณฺฑโพฺย จ มาณวโก นาภิปรามสเนน นิพฺพตฺตา’’ติ, เตน หิ ‘ติณฺณํ โข ปน, ภิกฺขเว, สนฺนิปาตา คพฺภสฺส อวกฺกนฺติ โหตี’ติ ยํ วจนํ, ตมฺปิ มิจฺฉาฯ อยมฺปิ อุภโต โกฎิโก ปโญฺห สุคมฺภีโร สุนิปุโณ วิสโย พุทฺธิมนฺตานํ, โส ตวานุปฺปโตฺต, ฉินฺท วิมติปถํ, ธาเรหิ ญาณวรปฺปโชฺชต’’นฺติฯ
6. ‘‘Bhante nāgasena, bhāsitampetaṃ bhagavatā ‘tiṇṇaṃ kho pana, bhikkhave, sannipātā gabbhassa avakkanti 2 hoti, idha mātāpitaro ca sannipatitā honti, mātā ca utunī hoti, gandhabbo ca paccupaṭṭhito hoti, imesaṃ kho, bhikkhave, tiṇṇaṃ sannipātā gabbhassa avakkanti hotī’ti, asesavacanametaṃ, nissesavacanametaṃ, nippariyāyavacanametaṃ, arahassavacanametaṃ, sadevamanussānaṃ majjhe nisīditvā bhaṇitaṃ, ayañca dvinnaṃ sannipātā gabbhassa avakkanti dissati, dukūlena tāpasena pārikāya tāpasiyā utunikāle dakkhiṇena hatthaṅguṭṭhena nābhi parāmaṭṭhā, tassa tena nābhiparāmasanena sāmakumāro nibbatto. Mātaṅgenāpi isinā brāhmaṇakaññāya utunikāle dakkhiṇena hatthaṅguṭṭhena nābhi parāmaṭṭhā, tassa tena nābhiparāmasanena maṇḍabyo nāma māṇavako nibbattoti. Yadi, bhante nāgasena, bhagavatā bhaṇitaṃ ‘tiṇṇaṃ kho pana, bhikkhave, sannipātā gabbhassa avakkanti hotī’ti. Tena hi sāmo ca kumāro maṇḍabyo ca māṇavako ubhopi te nābhiparāmasanena nibbattāti yaṃ vacanaṃ, taṃ micchā. Yadi, bhante, tathāgatena bhaṇitaṃ ‘sāmo ca kumāro maṇḍabyo ca māṇavako nābhiparāmasanena nibbattā’’ti, tena hi ‘tiṇṇaṃ kho pana, bhikkhave, sannipātā gabbhassa avakkanti hotī’ti yaṃ vacanaṃ, tampi micchā. Ayampi ubhato koṭiko pañho sugambhīro sunipuṇo visayo buddhimantānaṃ, so tavānuppatto, chinda vimatipathaṃ, dhārehi ñāṇavarappajjota’’nti.
‘‘ภาสิตเมฺปตํ, มหาราช, ภควตา ‘ติณฺณํ โข ปน, ภิกฺขเว, สนฺนิปาตา คพฺภสฺส อวกฺกนฺติ โหติ, อิธ มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ, มาตา จ อุตุนี โหติ, คนฺธโพฺพ จ ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติ, เอวํ ติณฺณํ สนฺนิปาตา คพฺภสฺส อวกฺกนฺติ โหตี’ติฯ ภณิตญฺจ ‘สาโม จ กุมาโร มณฺฑโพฺย จ มาณวโก นาภิปรามสเนน นิพฺพตฺตา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต นาคเสน, เยน การเณน ปโญฺห สุวินิจฺฉิโต โหติ, เตน การเณน มํ สญฺญาเปหี’’ติฯ
‘‘Bhāsitampetaṃ, mahārāja, bhagavatā ‘tiṇṇaṃ kho pana, bhikkhave, sannipātā gabbhassa avakkanti hoti, idha mātāpitaro ca sannipatitā honti, mātā ca utunī hoti, gandhabbo ca paccupaṭṭhito hoti, evaṃ tiṇṇaṃ sannipātā gabbhassa avakkanti hotī’ti. Bhaṇitañca ‘sāmo ca kumāro maṇḍabyo ca māṇavako nābhiparāmasanena nibbattā’’ti. ‘‘Tena hi, bhante nāgasena, yena kāraṇena pañho suvinicchito hoti, tena kāraṇena maṃ saññāpehī’’ti.
‘‘สุตปุพฺพํ ปน ตยา, มหาราช, สํกิโจฺจ จ กุมาโร อิสิสิโงฺค จ ตาปโส เถโร จ กุมารกสฺสโป ‘อิมินา นาม เต นิพฺพตฺตา’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต, สุยฺยติ, อพฺภุคฺคตา เตสํ ชาติ, เทฺว มิคเธนุโย ตาว อุตุนิกาเล ทฺวินฺนํ ตาปสานํ ปสฺสาวฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา สสมฺภวํ ปสฺสาวํ ปิวิํสุ, เตน ปสฺสาวสมฺภเวน สํกิโจฺจ จ กุมาโร อิสิสิโงฺค จ ตาปโส นิพฺพตฺตาฯ เถรสฺส อุทายิสฺส ภิกฺขุนุปสฺสยํ อุปคตสฺส รตฺตจิเตฺตน ภิกฺขุนิยา องฺคชาตํ อุปนิชฺฌายนฺตสฺส สมฺภวํ กาสาเว มุจฺจิฯ อถ โข อายสฺมา อุทายิ ตํ ภิกฺขุนิํ เอตทโวจ ‘คจฺฉ ภคินิ, อุทกํ อาหร อนฺตรวาสกํ โธวิสฺสามี’ติฯ ‘อาหรยฺย อหเมว โธวิสฺสามี’ติฯ ตโต สา ภิกฺขุนี อุตุนิสมเย ตํ สมฺภวํ เอกเทสํ มุเขน อคฺคเหสิ, เอกเทสํ องฺคชาเต ปกฺขิปิ, เตน เถโร กุมารกสฺสโป นิพฺพโตฺตติ เอตํ ชโน อาหา’’ติฯ
‘‘Sutapubbaṃ pana tayā, mahārāja, saṃkicco ca kumāro isisiṅgo ca tāpaso thero ca kumārakassapo ‘iminā nāma te nibbattā’’ti? ‘‘Āma, bhante, suyyati, abbhuggatā tesaṃ jāti, dve migadhenuyo tāva utunikāle dvinnaṃ tāpasānaṃ passāvaṭṭhānaṃ āgantvā sasambhavaṃ passāvaṃ piviṃsu, tena passāvasambhavena saṃkicco ca kumāro isisiṅgo ca tāpaso nibbattā. Therassa udāyissa bhikkhunupassayaṃ upagatassa rattacittena bhikkhuniyā aṅgajātaṃ upanijjhāyantassa sambhavaṃ kāsāve mucci. Atha kho āyasmā udāyi taṃ bhikkhuniṃ etadavoca ‘gaccha bhagini, udakaṃ āhara antaravāsakaṃ dhovissāmī’ti. ‘Āharayya ahameva dhovissāmī’ti. Tato sā bhikkhunī utunisamaye taṃ sambhavaṃ ekadesaṃ mukhena aggahesi, ekadesaṃ aṅgajāte pakkhipi, tena thero kumārakassapo nibbattoti etaṃ jano āhā’’ti.
‘‘อปิ นุ โข ตฺวํ, มหาราช, สทฺทหสิ ตํ วจน’’นฺติ? ‘‘อาม ภเนฺต, พลวํ ตตฺถ มยํ การณํ อุปลภาม, เยน มยํ การเณน สทฺทหาม ‘อิมินา การเณน นิพฺพตฺตา’’ติฯ ‘‘กิํ ปเนตฺถ, มหาราช, การณ’’นฺติ? ‘‘สุปริกมฺมกเต , ภเนฺต, กลเล พีชํ นิปติตฺวา ขิปฺปํ สํวิรุหตี’’ติ ฯ ‘‘อาม มหาราชา’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, ภเนฺต, สา ภิกฺขุนี อุตุนี สมานา สณฺฐิเต กลเล รุหิเร ปจฺฉินฺนเวเค ฐิตาย ธาตุยา ตํ สมฺภวํ คเหตฺวา ตสฺมิํ กลเล ปกฺขิปิ, เตน ตสฺสา คโพฺภ สณฺฐาสิ, เอวํ ตตฺถ การณํ ปเจฺจม เตสํ นิพฺพตฺติยา’’ติฯ ‘‘เอวเมตํ, มหาราช, ตถา สมฺปฎิจฺฉามิ, โยนิปฺปเวเสน คโพฺภ สมฺภวตีติฯ สมฺปฎิจฺฉสิ ปน, ตฺวํ มหาราช, เถรสฺส กุมารกสฺสปสฺส คพฺภาวกฺกมน’’นฺติ? ‘‘อาม ภเนฺต’’ติฯ ‘‘สาธุ, มหาราช, ปจฺจาคโตสิ มม วิสยํ, เอกวิเธนปิ คพฺภาวกฺกนฺติํ กถยโนฺต มมานุพลํ ภวิสฺสสิ, อถ ยา ปน ตา เทฺว มิคเธนุโย ปสฺสาวํ ปิวิตฺวา คพฺภํ ปฎิลภิํสุ, ตาสํ ตฺวํ สทฺทหสิ คพฺภสฺสาวกฺกมน’’นฺติ? ‘‘อาม, ภเนฺต, ยํ กิญฺจิ ภุตฺตํ ปีตํ ขายิตํ เลหิตํ, สพฺพํ ตํ กลลํ โอสรติ, ฐานคตํ วุฑฺฒิมาปชฺชติฯ ยถา, ภเนฺต นาคเสน, ยา กาจิ สริตา นาม, สพฺพา ตา มหาสมุทฺทํ โอสรนฺติ, ฐานคตา วุฑฺฒิมาปชฺชนฺติฯ เอวเมว โข, ภเนฺต นาคเสน, ยํ กิญฺจิ ภุตฺตํ ปีตํ ขายิตํ เลหิตํ, สพฺพํ ตํ กลลํ โอสรติ, ฐานคตํ วุฑฺฒิมาปชฺชติ, เตนาหํ การเณน สทฺทหามิ มุขคเตนปิ คพฺภสฺส อวกฺกนฺติ โหตี’’ติฯ ‘‘สาธุ, มหาราช, คาฬฺหตรํ อุปคโตสิ มม วิสยํ, มุขปาเนนปิ ทฺวยสนฺนิปาโต ภวติฯ สํกิจฺจสฺส จ, มหาราช, กุมารสฺส อิสิสิงฺคสฺส จ ตาปสสฺส เถรสฺส จ กุมารกสฺสปสฺส คพฺภาวกฺกมนํ สมฺปฎิจฺฉสี’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต, สนฺนิปาโต โอสรตี’’ติฯ
‘‘Api nu kho tvaṃ, mahārāja, saddahasi taṃ vacana’’nti? ‘‘Āma bhante, balavaṃ tattha mayaṃ kāraṇaṃ upalabhāma, yena mayaṃ kāraṇena saddahāma ‘iminā kāraṇena nibbattā’’ti. ‘‘Kiṃ panettha, mahārāja, kāraṇa’’nti? ‘‘Suparikammakate , bhante, kalale bījaṃ nipatitvā khippaṃ saṃviruhatī’’ti . ‘‘Āma mahārājā’’ti. ‘‘Evameva kho, bhante, sā bhikkhunī utunī samānā saṇṭhite kalale ruhire pacchinnavege ṭhitāya dhātuyā taṃ sambhavaṃ gahetvā tasmiṃ kalale pakkhipi, tena tassā gabbho saṇṭhāsi, evaṃ tattha kāraṇaṃ paccema tesaṃ nibbattiyā’’ti. ‘‘Evametaṃ, mahārāja, tathā sampaṭicchāmi, yonippavesena gabbho sambhavatīti. Sampaṭicchasi pana, tvaṃ mahārāja, therassa kumārakassapassa gabbhāvakkamana’’nti? ‘‘Āma bhante’’ti. ‘‘Sādhu, mahārāja, paccāgatosi mama visayaṃ, ekavidhenapi gabbhāvakkantiṃ kathayanto mamānubalaṃ bhavissasi, atha yā pana tā dve migadhenuyo passāvaṃ pivitvā gabbhaṃ paṭilabhiṃsu, tāsaṃ tvaṃ saddahasi gabbhassāvakkamana’’nti? ‘‘Āma, bhante, yaṃ kiñci bhuttaṃ pītaṃ khāyitaṃ lehitaṃ, sabbaṃ taṃ kalalaṃ osarati, ṭhānagataṃ vuḍḍhimāpajjati. Yathā, bhante nāgasena, yā kāci saritā nāma, sabbā tā mahāsamuddaṃ osaranti, ṭhānagatā vuḍḍhimāpajjanti. Evameva kho, bhante nāgasena, yaṃ kiñci bhuttaṃ pītaṃ khāyitaṃ lehitaṃ, sabbaṃ taṃ kalalaṃ osarati, ṭhānagataṃ vuḍḍhimāpajjati, tenāhaṃ kāraṇena saddahāmi mukhagatenapi gabbhassa avakkanti hotī’’ti. ‘‘Sādhu, mahārāja, gāḷhataraṃ upagatosi mama visayaṃ, mukhapānenapi dvayasannipāto bhavati. Saṃkiccassa ca, mahārāja, kumārassa isisiṅgassa ca tāpasassa therassa ca kumārakassapassa gabbhāvakkamanaṃ sampaṭicchasī’’ti? ‘‘Āma, bhante, sannipāto osaratī’’ti.
‘‘สาโมปิ, มหาราช, กุมาโร มณฺฑโพฺยปิ มาณวโก ตีสุ สนฺนิปาเตสุ อโนฺตคธา, เอกรสา เยว ปุริเมน, ตตฺถ การณํ วกฺขามิฯ ทุกูโล จ, มหาราช, ตาปโส ปาริกา จ ตาปสี อุโภปิ เต อรญฺญวาสา อเหสุํ ปวิเวกาธิมุตฺตา อุตฺตมตฺถคเวสกา, ตปเตเชน ยาว พฺรหฺมโลกํ สนฺตาเปสุํ ฯ เตสํ ตทา สโกฺก เทวานมิโนฺท สายํ ปาตํ อุปฎฺฐานํ อาคจฺฉติฯ โส เตสํ ครุกตเมตฺตตาย อุปธาเรโนฺต อทฺทส อนาคตมทฺธาเน ทฺวินฺนมฺปิ เตสํ จกฺขูนํ อนฺตรธานํ, ทิสฺวา เต เอวมาห ‘เอกํ เม, โภโนฺต, วจนํ กโรถ, สาธุ เอกํ ปุตฺตํ ชเนยฺยาถ, โส ตุมฺหากํ อุปฎฺฐาโก ภวิสฺสติ อาลมฺพโน จา’ติฯ ‘อลํ, โกสิย, มา เอวํ ภณี’ติฯ เต ตสฺส ตํ วจนํ น สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ อนุกมฺปโก อตฺถกาโม สโกฺก เทวานมิโนฺท ทุติยมฺปิ…เป.… ตติยมฺปิ เต เอวมาห ‘เอกํ เม, โภโนฺต, วจนํ กโรถ, สาธุ เอกํ ปุตฺตํ ชเนยฺยาถ, โส ตุมฺหากํ อุปฎฺฐาโก ภวิสฺสติ อาลมฺพโน จา’ติฯ ตติยมฺปิ เต อาหํสุ ‘อลํ, โกสิย, มา ตฺวํ โข อเมฺห อนเตฺถ นิโยเชหิ, กทายํ กาโย น ภิชฺชิสฺสติ, ภิชฺชตุ อยํ กาโย เภทนธโมฺม, ภิชฺชนฺติยาปิ ธรณิยา ปตเนฺตปิ เสลสิขเร ผลเนฺตปิ อากาเส ปตเนฺตปิ จนฺทิมสูริเย เนว มยํ โลกธเมฺมหิ มิสฺสยิสฺสาม, มา ตฺวํ อมฺหากํ สมฺมุขภาวํ อุปคจฺฉ, อุปคตสฺส เต เอโส วิสฺสาโส, อนตฺถจโร ตฺวํ มเญฺญ’ติฯ
‘‘Sāmopi, mahārāja, kumāro maṇḍabyopi māṇavako tīsu sannipātesu antogadhā, ekarasā yeva purimena, tattha kāraṇaṃ vakkhāmi. Dukūlo ca, mahārāja, tāpaso pārikā ca tāpasī ubhopi te araññavāsā ahesuṃ pavivekādhimuttā uttamatthagavesakā, tapatejena yāva brahmalokaṃ santāpesuṃ . Tesaṃ tadā sakko devānamindo sāyaṃ pātaṃ upaṭṭhānaṃ āgacchati. So tesaṃ garukatamettatāya upadhārento addasa anāgatamaddhāne dvinnampi tesaṃ cakkhūnaṃ antaradhānaṃ, disvā te evamāha ‘ekaṃ me, bhonto, vacanaṃ karotha, sādhu ekaṃ puttaṃ janeyyātha, so tumhākaṃ upaṭṭhāko bhavissati ālambano cā’ti. ‘Alaṃ, kosiya, mā evaṃ bhaṇī’ti. Te tassa taṃ vacanaṃ na sampaṭicchiṃsu. Anukampako atthakāmo sakko devānamindo dutiyampi…pe… tatiyampi te evamāha ‘ekaṃ me, bhonto, vacanaṃ karotha, sādhu ekaṃ puttaṃ janeyyātha, so tumhākaṃ upaṭṭhāko bhavissati ālambano cā’ti. Tatiyampi te āhaṃsu ‘alaṃ, kosiya, mā tvaṃ kho amhe anatthe niyojehi, kadāyaṃ kāyo na bhijjissati, bhijjatu ayaṃ kāyo bhedanadhammo, bhijjantiyāpi dharaṇiyā patantepi selasikhare phalantepi ākāse patantepi candimasūriye neva mayaṃ lokadhammehi missayissāma, mā tvaṃ amhākaṃ sammukhabhāvaṃ upagaccha, upagatassa te eso vissāso, anatthacaro tvaṃ maññe’ti.
ตโต สโกฺก เทวานมิโนฺท เตสํ มนํ อลภมาโน ครุกโต ปญฺชลิโก ปุน ยาจิ ‘ยทิ เม วจนํ น อุสฺสหถ กาตุํ, ยทา ตาปสี อุตุนี โหติ ปุปฺผวตี, ตทา ตฺวํ, ภเนฺต, ทกฺขิเณน หตฺถงฺคุเฎฺฐน นาภิํ ปรามเสยฺยาสิ, เตน สา คพฺภํ ลจฺฉติ, สนฺนิปาโต เยเวส คพฺภาวกฺกนฺติยา’ติฯ ‘สโกฺกมหํ, โกสิย, ตํ วจนํ กาตุํ, น ตาวตเกน อมฺหากํ ตโป ภิชฺชติ, โหตู’ติ สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ ตาย จ ปน เวลาย เทวภวเน อตฺถิ เทวปุโตฺต อุสฺสนฺนกุสลมูโล ขีณายุโก อายุกฺขยปฺปโตฺต ยทิจฺฉกํ สมโตฺถ โอกฺกมิตุํ อปิ จกฺกวตฺติกุเลปิฯ อถ สโกฺก เทวานมิโนฺท ตํ เทวปุตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาห ‘เอหิ โข, มาริส, สุปภาโต เต ทิวโส, อตฺถสิทฺธิ อุปคตา, ยมหํ เต อุปฎฺฐานมาคมิํ, รมณีเย เต โอกาเส วาโส ภวิสฺสติ, ปติรูเป กุเล ปฎิสนฺธิ ภวิสฺสติ, สุนฺทเรหิ มาตาปิตูหิ วเฑฺฒตโพฺพ, เอหิ เม วจนํ กโรหี’ติ ยาจิฯ ทุติยมฺปิ…เป.… ตติยมฺปิ ยาจิ สิรสิ ปญฺชลิกโตฯ
Tato sakko devānamindo tesaṃ manaṃ alabhamāno garukato pañjaliko puna yāci ‘yadi me vacanaṃ na ussahatha kātuṃ, yadā tāpasī utunī hoti pupphavatī, tadā tvaṃ, bhante, dakkhiṇena hatthaṅguṭṭhena nābhiṃ parāmaseyyāsi, tena sā gabbhaṃ lacchati, sannipāto yevesa gabbhāvakkantiyā’ti. ‘Sakkomahaṃ, kosiya, taṃ vacanaṃ kātuṃ, na tāvatakena amhākaṃ tapo bhijjati, hotū’ti sampaṭicchiṃsu. Tāya ca pana velāya devabhavane atthi devaputto ussannakusalamūlo khīṇāyuko āyukkhayappatto yadicchakaṃ samattho okkamituṃ api cakkavattikulepi. Atha sakko devānamindo taṃ devaputtaṃ upasaṅkamitvā evamāha ‘ehi kho, mārisa, supabhāto te divaso, atthasiddhi upagatā, yamahaṃ te upaṭṭhānamāgamiṃ, ramaṇīye te okāse vāso bhavissati, patirūpe kule paṭisandhi bhavissati, sundarehi mātāpitūhi vaḍḍhetabbo, ehi me vacanaṃ karohī’ti yāci. Dutiyampi…pe… tatiyampi yāci sirasi pañjalikato.
ตโต โส เทวปุโตฺต เอวมาห ‘กตมํ ตํ, มาริส, กุลํ, ยํ ตฺวํ อภิกฺขณํ กิตฺตยสิ ปุนปฺปุน’นฺติฯ ‘ทุกูโล จ ตาปโส ปาริกา จ ตาปสี’ติฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ตุโฎฺฐ สมฺปฎิจฺฉิ ‘สาธุ, มาริส, โย ตว ฉโนฺท, โส โหตุ, อากงฺขมาโน อหํ, มาริส, ปตฺถิเต กุเล อุปฺปเชฺชยฺยํ, กิมฺหิ กุเล อุปฺปชฺชามิ อณฺฑเช วา ชลาพุเช วา สํเสทเช วา โอปปาติเก วา’ติ? ‘ชลาพุชาย, มาริส, โยนิยา อุปฺปชฺชาหี’ติฯ อถ สโกฺก เทวานมิโนฺท อุปฺปตฺติทิวสํ วิคเณตฺวา ทุกูลสฺส ตาปสสฺส อาโรเจสิ ‘อสุกสฺมิํ นาม ทิวเส ตาปสี อุตุนี ภวิสฺสติ ปุปฺผวตี, ตทา ตฺวํ, ภเนฺต, ทกฺขิเณน หตฺถงฺคุเฎฺฐน นาภิํ ปรามเสยฺยาสี’ติฯ ตสฺมิํ, มหาราช, ทิวเส ตาปสี จ อุตุนี ปุปฺผวตี อโหสิ, เทวปุโตฺต จ ตตฺถูปโค ปจฺจุปฎฺฐิโต อโหสิ, ตาปโส จ ทกฺขิเณน หตฺถงฺคุเฎฺฐน ตาปสิยา นาภิํ ปรามสิ, อิติ เต ตโย สนฺนิปาตา อเหสุํ, นาภิปรามสเนน ตาปสิยา ราโค อุทปาทิ, โส ปนสฺสา ราโค นาภิปรามสนํ ปฎิจฺจ มา ตฺวํ สนฺนิปาตํ อชฺฌาจารเมว มญฺญิ, อูหสนมฺปิ 3 สนฺนิปาโต, อุลฺลปนมฺปิ สนฺนิปาโต, อุปนิชฺฌายนมฺปิ สนฺนิปาโต, ปุพฺพภาคภาวโต ราคสฺส อุปฺปาทาย อามสเนน สนฺนิปาโต ชายติ, สนฺนิปาตา โอกฺกมนํ โหตีติฯ
Tato so devaputto evamāha ‘katamaṃ taṃ, mārisa, kulaṃ, yaṃ tvaṃ abhikkhaṇaṃ kittayasi punappuna’nti. ‘Dukūlo ca tāpaso pārikā ca tāpasī’ti. So tassa vacanaṃ sutvā tuṭṭho sampaṭicchi ‘sādhu, mārisa, yo tava chando, so hotu, ākaṅkhamāno ahaṃ, mārisa, patthite kule uppajjeyyaṃ, kimhi kule uppajjāmi aṇḍaje vā jalābuje vā saṃsedaje vā opapātike vā’ti? ‘Jalābujāya, mārisa, yoniyā uppajjāhī’ti. Atha sakko devānamindo uppattidivasaṃ vigaṇetvā dukūlassa tāpasassa ārocesi ‘asukasmiṃ nāma divase tāpasī utunī bhavissati pupphavatī, tadā tvaṃ, bhante, dakkhiṇena hatthaṅguṭṭhena nābhiṃ parāmaseyyāsī’ti. Tasmiṃ, mahārāja, divase tāpasī ca utunī pupphavatī ahosi, devaputto ca tatthūpago paccupaṭṭhito ahosi, tāpaso ca dakkhiṇena hatthaṅguṭṭhena tāpasiyā nābhiṃ parāmasi, iti te tayo sannipātā ahesuṃ, nābhiparāmasanena tāpasiyā rāgo udapādi, so panassā rāgo nābhiparāmasanaṃ paṭicca mā tvaṃ sannipātaṃ ajjhācārameva maññi, ūhasanampi 4 sannipāto, ullapanampi sannipāto, upanijjhāyanampi sannipāto, pubbabhāgabhāvato rāgassa uppādāya āmasanena sannipāto jāyati, sannipātā okkamanaṃ hotīti.
‘‘อนชฺฌาจาเรปิ, มหาราช, ปรามสเนน คพฺภาวกฺกนฺติ โหติฯ ยถา, มหาราช, อคฺคิ ชลมาโน อปรามสโนปิ อุปคตสฺส สีตํ พฺยปหนฺติ, เอวเมว โข, มหาราช, อนชฺฌาจาเรปิ ปรามสเนน คพฺภาวกฺกนฺติ โหติฯ
‘‘Anajjhācārepi, mahārāja, parāmasanena gabbhāvakkanti hoti. Yathā, mahārāja, aggi jalamāno aparāmasanopi upagatassa sītaṃ byapahanti, evameva kho, mahārāja, anajjhācārepi parāmasanena gabbhāvakkanti hoti.
‘‘จตุนฺนํ, มหาราช, วเสน สตฺตานํ คพฺภาวกฺกนฺติ โหติ กมฺมวเสน โยนิวเสน กุลวเสน อายาจนวเสน, อปิ จ สเพฺพเปเต สตฺตา กมฺมสมฺภวา กมฺมสมุฎฺฐานา ฯ
‘‘Catunnaṃ, mahārāja, vasena sattānaṃ gabbhāvakkanti hoti kammavasena yonivasena kulavasena āyācanavasena, api ca sabbepete sattā kammasambhavā kammasamuṭṭhānā .
‘‘กถํ, มหาราช, กมฺมวเสน สตฺตานํ คพฺภาวกฺกนฺติ โหติ? อุสฺสนฺนกุสลมูลา, มหาราช, สตฺตา ยทิจฺฉกํ อุปฺปชฺชนฺติ ขตฺติยมหาสาลกุเล วา พฺราหฺมณมหาสาลกุเล วา คหปติมหาสาลกุเล วา เทเวสุ วา อณฺฑชาย วา โยนิยา ชลาพุชาย วา โยนิยา สํเสทชาย วา โยนิยา โอปปาติกาย วา โยนิยาฯ ยถา, มหาราช, ปุริโส อโฑฺฒ มหทฺธโน มหาโภโค ปหูตชาตรูปรชโต ปหูตวิตฺตูปกรโณ ปหูตธนธโญฺญ ปหูตญาติปโกฺข ทาสิํ วา ทาสํ วา เขตฺตํ วา วตฺถุํ วา คามํ วา นิคมํ วา ชนปทํ วา ยํ กิญฺจิ มนสา อภิปตฺถิตํ, ยทิจฺฉกํ ทฺวิคุณติคุณมฺปิ ธนํ ทตฺวา กิณาติ, เอวเมว โข, มหาราช, อุสฺสนฺนกุสลมูลา สตฺตา ยทิจฺฉกํ อุปฺปชฺชนฺติ ขตฺติยมหาสาลกุเล วา พฺราหฺมณมหาสาลกุเล วา คหปติมหาสาลกุเล วา เทเวสุ วา อณฺฑชาย วา โยนิยา ชลาพุชาย วา โยนิยา สํเสทชย วา โยนิยา โอปปาติกาย วา โยนิยาฯ เอวํ กมฺมวเสน สตฺตานํ คพฺภาวกฺกนฺติ โหติฯ
‘‘Kathaṃ, mahārāja, kammavasena sattānaṃ gabbhāvakkanti hoti? Ussannakusalamūlā, mahārāja, sattā yadicchakaṃ uppajjanti khattiyamahāsālakule vā brāhmaṇamahāsālakule vā gahapatimahāsālakule vā devesu vā aṇḍajāya vā yoniyā jalābujāya vā yoniyā saṃsedajāya vā yoniyā opapātikāya vā yoniyā. Yathā, mahārāja, puriso aḍḍho mahaddhano mahābhogo pahūtajātarūparajato pahūtavittūpakaraṇo pahūtadhanadhañño pahūtañātipakkho dāsiṃ vā dāsaṃ vā khettaṃ vā vatthuṃ vā gāmaṃ vā nigamaṃ vā janapadaṃ vā yaṃ kiñci manasā abhipatthitaṃ, yadicchakaṃ dviguṇatiguṇampi dhanaṃ datvā kiṇāti, evameva kho, mahārāja, ussannakusalamūlā sattā yadicchakaṃ uppajjanti khattiyamahāsālakule vā brāhmaṇamahāsālakule vā gahapatimahāsālakule vā devesu vā aṇḍajāya vā yoniyā jalābujāya vā yoniyā saṃsedajaya vā yoniyā opapātikāya vā yoniyā. Evaṃ kammavasena sattānaṃ gabbhāvakkanti hoti.
‘‘กถํ โยนิวเสน สตฺตานํ คพฺภาวกฺกนฺติ โหติ? กุกฺกุฎานํ, มหาราช, วาเตน คพฺภาวกฺกนฺติ โหติฯ พลากานํ เมฆสเทฺทน คพฺภาวกฺกนฺติ โหติฯ สเพฺพปิ เทวา อคพฺภเสยฺยกา สตฺตา เยว, เตสํ นานาวเณฺณน คพฺภาวกฺกนฺติ โหติฯ ยถา, มหาราช, มนุสฺสา นานาวเณฺณน มหิยา จรนฺติ, เกจิ ปุรโต ปฎิจฺฉาเทนฺติ, เกจิ ปจฺฉโต ปฎิจฺฉาเทนฺติ, เกจิ นคฺคา โหนฺติ, เกจิ ภณฺฑู โหนฺติ เสตปฎธรา, เกจิ โมฬิพทฺธา โหนฺติ, เกจิ ภณฺฑู กาสาววสนา โหนฺติ, เกจิ กาสาววสนา โมฬิพทฺธา โหนฺติ, เกจิ ชฎิโน วากจีรธรา 5 โหนฺติ, เกจิ จมฺมวสนา โหนฺติ, เกจิ รสฺมิโย นิวาเสนฺติ, สเพฺพเปเต มนุสฺสา นานาวเณฺณน มหิยา จรนฺติ, เอวเมว โข, มหาราช, สตฺตา เยว เต สเพฺพ, เตสํ นานาวเณฺณน คพฺภาวกฺกนฺติ โหติฯ เอวํ โยนิวเสน สตฺตานํ คพฺภาวกฺกนฺติ โหติฯ
‘‘Kathaṃ yonivasena sattānaṃ gabbhāvakkanti hoti? Kukkuṭānaṃ, mahārāja, vātena gabbhāvakkanti hoti. Balākānaṃ meghasaddena gabbhāvakkanti hoti. Sabbepi devā agabbhaseyyakā sattā yeva, tesaṃ nānāvaṇṇena gabbhāvakkanti hoti. Yathā, mahārāja, manussā nānāvaṇṇena mahiyā caranti, keci purato paṭicchādenti, keci pacchato paṭicchādenti, keci naggā honti, keci bhaṇḍū honti setapaṭadharā, keci moḷibaddhā honti, keci bhaṇḍū kāsāvavasanā honti, keci kāsāvavasanā moḷibaddhā honti, keci jaṭino vākacīradharā 6 honti, keci cammavasanā honti, keci rasmiyo nivāsenti, sabbepete manussā nānāvaṇṇena mahiyā caranti, evameva kho, mahārāja, sattā yeva te sabbe, tesaṃ nānāvaṇṇena gabbhāvakkanti hoti. Evaṃ yonivasena sattānaṃ gabbhāvakkanti hoti.
‘‘กถํ กุลวเสน สตฺตานํ คพฺภาวกฺกนฺติ โหติ? กุลํ นาม, มหาราช, จตฺตาริ กุลานิ อณฺฑชํ ชลาพุชํ สํเสทชํ โอปปาติกํฯ ยทิ ตตฺถ คนฺธโพฺพ ยโต กุโตจิ อาคนฺตฺวา อณฺฑเช กุเล อุปฺปชฺชติ, โส ตตฺถ อณฺฑโช โหติ…เป.… ชลาพุเช กุเล…เป.… สํเสทเช กุเล…เป.… โอปปาติเก กุเล อุปฺปชฺชติ, โส ตตฺถ โอปปาติโก โหติฯ เตสุ เตสุ กุเลสุ ตาทิสา เยว สตฺตา สมฺภวนฺติฯ ยถา, มหาราช, หิมวติ เนรุปพฺพตํ เย เกจิ มิคปกฺขิโน อุเปนฺติ, สเพฺพ เต สกวณฺณํ วิชหิตฺวา สุวณฺณวณฺณา โหนฺติ, เอวเมว โข, มหาราช, โย โกจิ คนฺธโพฺพ ยโต กุโตจิ อาคนฺตฺวา อณฺฑชํ โยนิํ อุปคนฺตฺวา สภาววณฺณํ วิชหิตฺวา อณฺฑโช โหติ…เป.… ชลาพุชํ…เป.… สํเสทชํ…เป.… โอปปาติกํ โยนิํ อุปคนฺตฺวา สภาววณฺณํ วิชหิตฺวา โอปปาติโก โหติ, เอวํ กุลวเสน สตฺตานํ คพฺภาวกฺกนฺติ โหติฯ
‘‘Kathaṃ kulavasena sattānaṃ gabbhāvakkanti hoti? Kulaṃ nāma, mahārāja, cattāri kulāni aṇḍajaṃ jalābujaṃ saṃsedajaṃ opapātikaṃ. Yadi tattha gandhabbo yato kutoci āgantvā aṇḍaje kule uppajjati, so tattha aṇḍajo hoti…pe… jalābuje kule…pe… saṃsedaje kule…pe… opapātike kule uppajjati, so tattha opapātiko hoti. Tesu tesu kulesu tādisā yeva sattā sambhavanti. Yathā, mahārāja, himavati nerupabbataṃ ye keci migapakkhino upenti, sabbe te sakavaṇṇaṃ vijahitvā suvaṇṇavaṇṇā honti, evameva kho, mahārāja, yo koci gandhabbo yato kutoci āgantvā aṇḍajaṃ yoniṃ upagantvā sabhāvavaṇṇaṃ vijahitvā aṇḍajo hoti…pe… jalābujaṃ…pe… saṃsedajaṃ…pe… opapātikaṃ yoniṃ upagantvā sabhāvavaṇṇaṃ vijahitvā opapātiko hoti, evaṃ kulavasena sattānaṃ gabbhāvakkanti hoti.
‘‘กถํ อายาจนวเสน สตฺตานํ คพฺภาวกฺกนฺติ โหติ? อิธ, มหาราช, กุลํ โหติ อปุตฺตกํ พหุสาปเตยฺยํ สทฺธํ ปสนฺนํ สีลวนฺตํ กลฺยาณธมฺมํ ตปนิสฺสิตํ, เทวปุโตฺต จ อุสฺสนฺนกุสลมูโล จวนธโมฺม โหติฯ อถ สโกฺก เทวานมิโนฺท ตสฺส กุลสฺส อนุกมฺปาย ตํ เทวปุตฺตํ อายาจติ ‘ปณิเธหิ, มาริส, อสุกสฺส กุลสฺส มเหสิยา กุจฺฉิ’นฺติฯ โส ตสฺส อายาจนเหตุ ตํ กุลํ ปณิเธติฯ ยถา, มหาราช, มนุสฺสา ปุญฺญกามา สมณํ มโนภาวนียํ อายาจิตฺวา เคหํ อุปเนนฺติ, อยํ อุปคนฺตฺวา สพฺพสฺส กุลสฺส สุขาวโห ภวิสฺสตีติฯ เอวเมว โข, มหาราช, สโกฺก เทวานมิโนฺท ตํ เทวปุตฺตํ อายาจิตฺวา ตํ กุลํ อุปเนติฯ เอวํ อายาจนวเสน สตฺตานํ คพฺภาวกฺกนฺติ โหติฯ
‘‘Kathaṃ āyācanavasena sattānaṃ gabbhāvakkanti hoti? Idha, mahārāja, kulaṃ hoti aputtakaṃ bahusāpateyyaṃ saddhaṃ pasannaṃ sīlavantaṃ kalyāṇadhammaṃ tapanissitaṃ, devaputto ca ussannakusalamūlo cavanadhammo hoti. Atha sakko devānamindo tassa kulassa anukampāya taṃ devaputtaṃ āyācati ‘paṇidhehi, mārisa, asukassa kulassa mahesiyā kucchi’nti. So tassa āyācanahetu taṃ kulaṃ paṇidheti. Yathā, mahārāja, manussā puññakāmā samaṇaṃ manobhāvanīyaṃ āyācitvā gehaṃ upanenti, ayaṃ upagantvā sabbassa kulassa sukhāvaho bhavissatīti. Evameva kho, mahārāja, sakko devānamindo taṃ devaputtaṃ āyācitvā taṃ kulaṃ upaneti. Evaṃ āyācanavasena sattānaṃ gabbhāvakkanti hoti.
‘‘สาโม, มหาราช, กุมาโร สเกฺกน เทวานมิเนฺทน อายาจิโต ปาริกาย ตาปสิยา กุจฺฉิํ โอกฺกโนฺตฯ สาโม, มหาราช, กุมาโร กตปุโญฺญ, มาตาปิตโร สีลวโนฺต กลฺยาณธมฺมา, อายาจโก สโกฺก, ติณฺณํ เจโตปณิธิยา สาโม กุมาโร นิพฺพโตฺตฯ อิธ, มหาราช, นยกุสโล ปุริโส สุกเฎฺฐ อนูปเขเตฺต พีชํ โรเปยฺย, อปิ นุ ตสฺส พีชสฺส อนฺตรายํ วิวเชฺชนฺตสฺส วุฑฺฒิยา โกจิ อนฺตราโย ภเวยฺยา’’ติ ? ‘‘น หิ, ภเนฺต, นิรุปฆาตํ พีชํ ขิปฺปํ สํวิรุเหยฺยา’’ติฯ ‘‘เอวเมว โข, มหาราช, สาโม กุมาโร มุโตฺต อุปฺปนฺนนฺตราเยหิ ติณฺณํ เจโตปณิธิยา นิพฺพโตฺตฯ
‘‘Sāmo, mahārāja, kumāro sakkena devānamindena āyācito pārikāya tāpasiyā kucchiṃ okkanto. Sāmo, mahārāja, kumāro katapuñño, mātāpitaro sīlavanto kalyāṇadhammā, āyācako sakko, tiṇṇaṃ cetopaṇidhiyā sāmo kumāro nibbatto. Idha, mahārāja, nayakusalo puriso sukaṭṭhe anūpakhette bījaṃ ropeyya, api nu tassa bījassa antarāyaṃ vivajjentassa vuḍḍhiyā koci antarāyo bhaveyyā’’ti ? ‘‘Na hi, bhante, nirupaghātaṃ bījaṃ khippaṃ saṃviruheyyā’’ti. ‘‘Evameva kho, mahārāja, sāmo kumāro mutto uppannantarāyehi tiṇṇaṃ cetopaṇidhiyā nibbatto.
‘‘อปิ นุ โข, มหาราช, สุตปุพฺพํ ตยา อิสีนํ มโนปโทเสน อิโทฺธ ผีโต มหาชนปโท สชโน สมุจฺฉิโนฺน’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต, สุยฺยติฯ มหิยา ทณฺฑการญฺญํ 7 มชฺฌารญฺญํ กาลิงฺคารญฺญํ มาตงฺคารญฺญํ, สพฺพํ ตํ อรญฺญํ อรญฺญภูตํ, สเพฺพเปเต ชนปทา อิสีนํ มโนปโทเสน ขยํ คตา’’ติฯ ‘‘ยทิ , มหาราช, เตสํ มโนปโทเสน สุสมิทฺธา ชนปทา อุจฺฉิชฺชนฺติ, อปิ นุ โข เตสํ มโนปสาเทน กิญฺจิ นิพฺพเตฺตยฺยา’’ติ? ‘‘อาม ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เตน หิ, มหาราช, สาโม กุมาโร ติณฺณํ พลวนฺตานํ เจโตปสาเทน นิพฺพโตฺต อิสินิมฺมิโต เทวนิมฺมิโต ปุญฺญนิมฺมิโตติฯ เอวเมตํ, มหาราช, ธาเรหิฯ
‘‘Api nu kho, mahārāja, sutapubbaṃ tayā isīnaṃ manopadosena iddho phīto mahājanapado sajano samucchinno’’ti? ‘‘Āma, bhante, suyyati. Mahiyā daṇḍakāraññaṃ 8 majjhāraññaṃ kāliṅgāraññaṃ mātaṅgāraññaṃ, sabbaṃ taṃ araññaṃ araññabhūtaṃ, sabbepete janapadā isīnaṃ manopadosena khayaṃ gatā’’ti. ‘‘Yadi , mahārāja, tesaṃ manopadosena susamiddhā janapadā ucchijjanti, api nu kho tesaṃ manopasādena kiñci nibbatteyyā’’ti? ‘‘Āma bhante’’ti. ‘‘Tena hi, mahārāja, sāmo kumāro tiṇṇaṃ balavantānaṃ cetopasādena nibbatto isinimmito devanimmito puññanimmitoti. Evametaṃ, mahārāja, dhārehi.
‘‘ตโยเม, มหาราช, เทวปุตฺตา สเกฺกน เทวานมิเนฺทน อายาจิตา กุลํ อุปฺปนฺนาฯ กตเม ตโย? สาโม กุมาโร มหาปนาโท กุสราชา, ตโยเปเต โพธิสตฺตา’’ติฯ ‘‘สุนิทฺทิฎฺฐา, ภเนฺต นาคเสน, คพฺภาวกฺกนฺติ, สุกถิตํ การณํ, อนฺธกาโร อาโลโก กโต, ชฎา วิชฎิตา, นิจฺฉุทฺธา ปรวาทา, เอวเมตํ ตถา สมฺปฎิจฺฉามี’’ติฯ
‘‘Tayome, mahārāja, devaputtā sakkena devānamindena āyācitā kulaṃ uppannā. Katame tayo? Sāmo kumāro mahāpanādo kusarājā, tayopete bodhisattā’’ti. ‘‘Suniddiṭṭhā, bhante nāgasena, gabbhāvakkanti, sukathitaṃ kāraṇaṃ, andhakāro āloko kato, jaṭā vijaṭitā, nicchuddhā paravādā, evametaṃ tathā sampaṭicchāmī’’ti.
คพฺภาวกฺกนฺติปโญฺห ฉโฎฺฐฯ
Gabbhāvakkantipañho chaṭṭho.
Footnotes: