Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
คามสีมาทิกถาวณฺณนา
Gāmasīmādikathāvaṇṇanā
๑๔๗. สา จาติ สา ปริจฺฉินฺทิตฺวา ทินฺนคามสีมา จ อิตรา จฯ สา กตมาติ เจ? ‘‘ปกติคามา’’ติอาทิมาหฯ พทฺธสีมาสทิสาเยว โหนฺตีติ สา จ โหติ อิตรา จ โหตีติ อธิปฺปาโย, ตสฺมาเยว ‘‘ติจีวรวิปฺปวาสปริหารํ ลภตี’’ติ เอกวจนํ กตํ, ตํ น ยุตฺตํ อุภินฺนมฺปิ คามตฺตาติ เอเกฯ ‘‘โหนฺติ, น ลภนฺตี’’ติ จ พหุวจนมฺปิ กโรนฺตีติฯ ‘‘สา จ อิตรา จา’’ติ วุตฺตา ‘‘มเชฺฌ ภินฺทิตฺวา ทินฺนคามสีมา ปกติคามาทโย อภินฺนา’’ติ จ วทนฺติฯ ‘‘ภิกฺขุวสตี’’ติ ปาโฐ, ‘‘วสนฺตี’’ติ จ ลิขิตํฯ ‘‘อถสฺส ฐิโตกาสโต’’ติ วุตฺตตฺตา เอกวจนเมว ยุตฺตํฯ สพฺพา, ภิกฺขเว, นที อสีมาติ กตรํ สีมํ ปฎิกฺขิปติ? พทฺธสีมํ, เอกาทสวิปตฺติสีมญฺญตรปฺปสงฺคโตติ อาจริยาฯ สเจ ปฐมํ สีมาย พทฺธาย ปจฺฉา นทิอาทโย โหนฺติ, ปฎิเกฺขโปติ ปสโงฺค อาปชฺชติ, ตสฺมา อพทฺธสีมเมว ปฎิกฺขิปติฯ ยถา สโพฺพ คาโม คามสีมา, ตถา สพฺพา นที อสีมาฯ กินฺตุ ตสฺส ตสฺส ภิกฺขุโน อุทกุเกฺขปสีมาติ สีมานานตฺตํ ทเสฺสตีติ โน ตโกฺกติ อาจริโยฯ ยํ มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส สมนฺตา อุทกุเกฺขปาติ ปน เอกิสฺสา นทิยา จตุวคฺคาทีนํ สงฺฆานํ วิสุํ จตุวคฺคกรณียาทิกมฺมกรณกาเล สีมาปริเจฺฉททสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ติจีวเรน วิปฺปวาสาวิปฺปวาสปริเจฺฉททสฺสนตฺถมฺปิ สตฺตพฺภนฺตรสีมาย ปริเจฺฉททสฺสนํ วิยาติ อาจริยา, ตสฺมา อุทกุเกฺขปปริเจฺฉทาภาเวปิ อโนฺตนทิยํ กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎตีติ สิทฺธํฯ
147.Sācāti sā paricchinditvā dinnagāmasīmā ca itarā ca. Sā katamāti ce? ‘‘Pakatigāmā’’tiādimāha. Baddhasīmāsadisāyeva hontīti sā ca hoti itarā ca hotīti adhippāyo, tasmāyeva ‘‘ticīvaravippavāsaparihāraṃ labhatī’’ti ekavacanaṃ kataṃ, taṃ na yuttaṃ ubhinnampi gāmattāti eke. ‘‘Honti, na labhantī’’ti ca bahuvacanampi karontīti. ‘‘Sā ca itarā cā’’ti vuttā ‘‘majjhe bhinditvā dinnagāmasīmā pakatigāmādayo abhinnā’’ti ca vadanti. ‘‘Bhikkhuvasatī’’ti pāṭho, ‘‘vasantī’’ti ca likhitaṃ. ‘‘Athassa ṭhitokāsato’’ti vuttattā ekavacanameva yuttaṃ. Sabbā, bhikkhave, nadī asīmāti kataraṃ sīmaṃ paṭikkhipati? Baddhasīmaṃ, ekādasavipattisīmaññatarappasaṅgatoti ācariyā. Sace paṭhamaṃ sīmāya baddhāya pacchā nadiādayo honti, paṭikkhepoti pasaṅgo āpajjati, tasmā abaddhasīmameva paṭikkhipati. Yathā sabbo gāmo gāmasīmā, tathā sabbā nadī asīmā. Kintu tassa tassa bhikkhuno udakukkhepasīmāti sīmānānattaṃ dassetīti no takkoti ācariyo. Yaṃ majjhimassa purisassa samantā udakukkhepāti pana ekissā nadiyā catuvaggādīnaṃ saṅghānaṃ visuṃ catuvaggakaraṇīyādikammakaraṇakāle sīmāparicchedadassanatthaṃ vuttaṃ. Ticīvarena vippavāsāvippavāsaparicchedadassanatthampi sattabbhantarasīmāya paricchedadassanaṃ viyāti ācariyā, tasmā udakukkhepaparicchedābhāvepi antonadiyaṃ kammaṃ kātuṃ vaṭṭatīti siddhaṃ.
อยํ ปน วิเสโส – ตตฺถ นาวาคโต เจ, นาวายํ วุตฺตนเยนฯ สตฺถคโต เจ, สเตฺถ วุตฺตนเยนฯ โส เจ อติเรกจาตุมาสนิวิโฎฺฐ, คาเม วุตฺตนเยน ติจีวราวิปฺปวาโส เวทิตโพฺพฯ ตตฺถาปิ อยํ วิเสโส – สเจ สโตฺถ อุทกุเกฺขปสฺส อโนฺต โหติ, อุทกุเกฺขปสีมาปมาณนฺติ เอเกฯ สโตฺถว ปมาณนฺติ อาจริยาฯ สเจ ปเนตฺถ พหู ภิกฺขูติอาทิมฺหิ เกจิ อธิฎฺฐานุโปสถํ, เกจิ คณุโปสถํ, เกจิ สงฺฆุโปสถนฺติ วตฺตุกามตาย ‘‘พหู สงฺฆา’’ติ อวตฺวา ‘‘ภิกฺขู’’ติ วุตฺตํฯ อูนกํ ปน น วฎฺฎตีติ เอตฺถ สีมาสเมฺภทสมฺภวโตติ อุปติสฺสเตฺถโรฯ ฐเปเนฺต หิ อูนกํ น ฐเปตพฺพํฯ ‘‘อฐเปตุมฺปิ วฎฺฎติ เอวา’’ติ วุตฺตํฯ คจฺฉนฺติยา ปนาติ เอตฺถ ‘‘อุทกุเกฺขปมนติกฺกมิตฺวา ปริวตฺตมานาย กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ ลิขิตํฯ อญฺญิสฺสา สีมาย ญตฺตีติอาทิ กิํ สีมโต กมฺมวิปตฺติภยา วุตฺตํ , อุทาหุ ปริสโตติ? เอกกมฺมสฺส นานาสีมาย อสมฺภวโต สีมโตติฯ เอกกมฺมสฺส นานาสีมฎฺฐสเงฺฆน อสมฺภวโต ปริสโตติปิ เอเกฯ ‘‘สวนํ หาเปตี’’ติ วุตฺตโทสปฺปสงฺคโตติ โน ตโกฺกฯ เอกิสฺสา หิ สีมาย เอกํ กมฺมํ อนิฎฺฐเปโนฺต หาเปตีติ อาจริโยฯ
Ayaṃ pana viseso – tattha nāvāgato ce, nāvāyaṃ vuttanayena. Satthagato ce, satthe vuttanayena. So ce atirekacātumāsaniviṭṭho, gāme vuttanayena ticīvarāvippavāso veditabbo. Tatthāpi ayaṃ viseso – sace sattho udakukkhepassa anto hoti, udakukkhepasīmāpamāṇanti eke. Satthova pamāṇanti ācariyā. Sace panettha bahū bhikkhūtiādimhi keci adhiṭṭhānuposathaṃ, keci gaṇuposathaṃ, keci saṅghuposathanti vattukāmatāya ‘‘bahū saṅghā’’ti avatvā ‘‘bhikkhū’’ti vuttaṃ. Ūnakaṃ pana na vaṭṭatīti ettha sīmāsambhedasambhavatoti upatissatthero. Ṭhapente hi ūnakaṃ na ṭhapetabbaṃ. ‘‘Aṭhapetumpi vaṭṭati evā’’ti vuttaṃ. Gacchantiyā panāti ettha ‘‘udakukkhepamanatikkamitvā parivattamānāya kātuṃ vaṭṭatī’’ti likhitaṃ. Aññissā sīmāya ñattītiādi kiṃ sīmato kammavipattibhayā vuttaṃ , udāhu parisatoti? Ekakammassa nānāsīmāya asambhavato sīmatoti. Ekakammassa nānāsīmaṭṭhasaṅghena asambhavato parisatotipi eke. ‘‘Savanaṃ hāpetī’’ti vuttadosappasaṅgatoti no takko. Ekissā hi sīmāya ekaṃ kammaṃ aniṭṭhapento hāpetīti ācariyo.
พหินทิตีเร ชาตรุกฺขสฺส อโนฺตนทิยํ ปวิฎฺฐสาขาย วาติ เอตฺถ จ นทิตีเร ขาณุกํ โกเฎฺฎตฺวาติ เอตฺถ จ สเจ ปน เสตุ วา เสตุปาทา วา พหิตีเร ปติฎฺฐิตาติ เอตฺถ จ สีมาโสธนํ นาม คามสีมเฎฺฐ หตฺถปาสานยนํฯ ขณฺฑสีมาย อุฎฺฐิตรุกฺขโต วิโยเชตฺวา กาตุํ วฎฺฎติฯ กสฺมา? ตีรเฎฺฐ รุเกฺข พทฺธนาวาย คาโม อาธาโรติฯ ‘‘อุภโตภาเคน คามสีมํ ผุสิตฺวา ฐิตเสตุ ขณฺฑสีมามหาสีมาโย ผุสิตฺวา ฐิตรุเกฺขน อุปเมตโพฺพ’’ติ จ ลิขิตํฯ ตตฺถ ปุริมนเย ตาว อิทํ วิจาเรตพฺพํ – ตาทิเส ฐาเน กตกมฺมํ กิํ นทิยํ กตสงฺขฺยํ คจฺฉติ, อุทาหุ คามสีมายํ, อถ อุภยตฺถาติ? กิเญฺจตฺถ ตํ เจ นทิยํ กตสงฺขฺยํ คจฺฉติ, อุทกุเกฺขปสีมาว โสเธตพฺพา, น อิตราฯ อถ คามสีมายํ กตสงฺขฺยํ คจฺฉติ, อุทกุเกฺขปสีมา น โสเธตพฺพาฯ ยทิ อุภยตฺถ กตสงฺขฺยํ คจฺฉติ, ทฺวีสุ สีมาสุ เอกกมฺมํ กาตุํ วฎฺฎตีติ อนิฎฺฐปฺปสโงฺค อาปชฺชติฯ ตโต ‘‘อญฺญิสฺสา สีมาย ญตฺติ, อญฺญิสฺสา อนุสฺสาวนา โหตี’’ติ อิทญฺจ ‘‘ขณฺฑสีมามหาสีมฎฺฐานํ กายสามคฺคิยา กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ อิทญฺจานิฎฺฐํ อาปชฺชตีติ? เอตฺถ วุจฺจเต – ยถาวุตฺตํ กมฺมํ อุภยตฺถ กตสงฺขฺยํ คจฺฉติ, น จ ยถาวุตฺตํ อนิฎฺฐํ อาปชฺชติฯ กสฺมา? ‘‘ญตฺติอนุสฺสาวนานํ เอเกกสีมายํ ปวตฺตตฺตา, การกภิกฺขูนํ วา เอเกกสีมายํ ฐิตตฺตา’’ติ วทนฺติฯ อุภยตฺถาปิ ฐาตุํ สกฺกุเณยฺยตาย ปน ตํ อการณํฯ เอกีภาวํ อุปคตสีมฎฺฐาเน กตตฺตาติ อิทํ อจลการณํฯ เอกีภาวํ อุปคตาสุ หิ ทฺวีสุ นทีคามสีมาสุ กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎตีติ จฯ สตฺตพฺภนฺตรสีมายํ เจ นที โหติ, สมุโทฺท วา, ชาตสฺสโร วาฯ เตสุ ฐิตภิกฺขุ สตฺตพฺภนฺตรสีมายํ ฐิตสงฺขฺยํ น คจฺฉติฯ ตตฺถ เจ นทิอาทิลกฺขณํ อปฺปโตฺต ทีปโก, ปาสาโณ, รุโกฺข วา โหติ, สตฺตพฺภนฺตรสงฺขฺยํ คจฺฉติฯ มนุเสฺสหิ วฬญฺชนฎฺฐานํ เจ ตํ โหติ, คามเขตฺตสงฺขฺยํ คจฺฉติฯ กตรคามเขตฺตํ? ยโต มนุสฺสา สญฺจรนฺติ, สเพฺพ เจ สญฺจรนฺติ, วิสุํ คามเขตฺตสงฺขฺยํ คจฺฉตีติ จ อาจริยาฯ
Bahinaditīre jātarukkhassa antonadiyaṃ paviṭṭhasākhāya vāti ettha ca naditīre khāṇukaṃ koṭṭetvāti ettha ca sace pana setu vā setupādā vā bahitīre patiṭṭhitāti ettha ca sīmāsodhanaṃ nāma gāmasīmaṭṭhe hatthapāsānayanaṃ. Khaṇḍasīmāya uṭṭhitarukkhato viyojetvā kātuṃ vaṭṭati. Kasmā? Tīraṭṭhe rukkhe baddhanāvāya gāmo ādhāroti. ‘‘Ubhatobhāgena gāmasīmaṃ phusitvā ṭhitasetu khaṇḍasīmāmahāsīmāyo phusitvā ṭhitarukkhena upametabbo’’ti ca likhitaṃ. Tattha purimanaye tāva idaṃ vicāretabbaṃ – tādise ṭhāne katakammaṃ kiṃ nadiyaṃ katasaṅkhyaṃ gacchati, udāhu gāmasīmāyaṃ, atha ubhayatthāti? Kiñcettha taṃ ce nadiyaṃ katasaṅkhyaṃ gacchati, udakukkhepasīmāva sodhetabbā, na itarā. Atha gāmasīmāyaṃ katasaṅkhyaṃ gacchati, udakukkhepasīmā na sodhetabbā. Yadi ubhayattha katasaṅkhyaṃ gacchati, dvīsu sīmāsu ekakammaṃ kātuṃ vaṭṭatīti aniṭṭhappasaṅgo āpajjati. Tato ‘‘aññissā sīmāya ñatti, aññissā anussāvanā hotī’’ti idañca ‘‘khaṇḍasīmāmahāsīmaṭṭhānaṃ kāyasāmaggiyā kammaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti idañcāniṭṭhaṃ āpajjatīti? Ettha vuccate – yathāvuttaṃ kammaṃ ubhayattha katasaṅkhyaṃ gacchati, na ca yathāvuttaṃ aniṭṭhaṃ āpajjati. Kasmā? ‘‘Ñattianussāvanānaṃ ekekasīmāyaṃ pavattattā, kārakabhikkhūnaṃ vā ekekasīmāyaṃ ṭhitattā’’ti vadanti. Ubhayatthāpi ṭhātuṃ sakkuṇeyyatāya pana taṃ akāraṇaṃ. Ekībhāvaṃ upagatasīmaṭṭhāne katattāti idaṃ acalakāraṇaṃ. Ekībhāvaṃ upagatāsu hi dvīsu nadīgāmasīmāsu kammaṃ kātuṃ vaṭṭatīti ca. Sattabbhantarasīmāyaṃ ce nadī hoti, samuddo vā, jātassaro vā. Tesu ṭhitabhikkhu sattabbhantarasīmāyaṃ ṭhitasaṅkhyaṃ na gacchati. Tattha ce nadiādilakkhaṇaṃ appatto dīpako, pāsāṇo, rukkho vā hoti, sattabbhantarasaṅkhyaṃ gacchati. Manussehi vaḷañjanaṭṭhānaṃ ce taṃ hoti, gāmakhettasaṅkhyaṃ gacchati. Kataragāmakhettaṃ? Yato manussā sañcaranti, sabbe ce sañcaranti, visuṃ gāmakhettasaṅkhyaṃ gacchatīti ca ācariyā.
ปจฺฉิมนเย สเจ เสตุ นทีลกฺขณฎฺฐานํ อผุสิตฺวา ฐิโต, คามสีมาสงฺขฺยํ คจฺฉติฯ ตตฺถ เอโก เจ คาโม, ตํ โสเธตฺวา, ทฺวีสุ ตีเรสุ สเจ เทฺว, เทฺวปิ คาเม โสเธตฺวา กมฺมํ กาตพฺพํฯ เอวญฺหิ กตํ อุภยตฺร กตํ โหติฯ อิมินา นเยน ทฺวีสุ นทีสุ, ชาตสฺสเรสุ จ เอกกมฺมปสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ อยํ ปน นโย ขณฺฑสีมามหาสีมานมฺปิ ลพฺภเตวฯ สเจ เสตุ นทีลกฺขณฎฺฐานํ ผุสิตฺวา ฐิโต, อุทกุเกฺขปสีมาปิ โสเธตพฺพาฯ
Pacchimanaye sace setu nadīlakkhaṇaṭṭhānaṃ aphusitvā ṭhito, gāmasīmāsaṅkhyaṃ gacchati. Tattha eko ce gāmo, taṃ sodhetvā, dvīsu tīresu sace dve, dvepi gāme sodhetvā kammaṃ kātabbaṃ. Evañhi kataṃ ubhayatra kataṃ hoti. Iminā nayena dvīsu nadīsu, jātassaresu ca ekakammapasiddhi veditabbā. Ayaṃ pana nayo khaṇḍasīmāmahāsīmānampi labbhateva. Sace setu nadīlakkhaṇaṭṭhānaṃ phusitvā ṭhito, udakukkhepasīmāpi sodhetabbā.
สีมานเมว เจกตฺตํ, เวหาสฎฺฐํ วินา คโต;
Sīmānameva cekattaṃ, vehāsaṭṭhaṃ vinā gato;
วิทิตฺวา เอกกมฺมสฺส, สีมโต อิทมาทิเสฯ
Viditvā ekakammassa, sīmato idamādise.
เอกสีมํ ทฺวิสีมํ วา, ติสีมํ จตุสีมกํ;
Ekasīmaṃ dvisīmaṃ vā, tisīmaṃ catusīmakaṃ;
เอกกมฺมํ สิยา ตสฺส, โกโป ปริสโต สิยาติฯ
Ekakammaṃ siyā tassa, kopo parisato siyāti.
อยํ ปเนตฺถ วิเสโส – นทิยํ กโรนฺตานํ อุทกุเกฺขปโต พหิ รุกฺขาทิสมฺพโนฺธ อปฺปมาณํฯ คาเม กโรนฺตานํ นทิยํ สมฺพนฺธรุกฺขสฺส อุทกุเกฺขปโต พหิ ฐิตภิกฺขุ อปฺปมาณํ, ตโต โอรํ ปมาณํฯ พทฺธสีมาย สมฺพนฺธรุกฺขสฺส พทฺธสีมาย ฐิตภิกฺขุ ปมาณนฺติ เวทิตพฺพํ, เตเนว วุตฺตํ ‘‘สีมํ โสเธตฺวา กมฺมํ กาตพฺพ’’นฺติฯ ‘‘สเจ ปน เสตุ วา เสตุปาทา วา พหิตีเร ปติฎฺฐิตา กมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วจนมฺปิ ปาโรหาทีสุ วิย สกลสีมาโสธนเมว กาตพฺพนฺติ สาเธติ, วีมํสิตพฺพํฯ อติวุฎฺฐิกาเล ปนาติ เอตฺถ อติวุฎฺฐิ นาม ยถา จาตุมาสิกายาติ เวทิตพฺพา, ตสฺมา จตุมาสํ อติวุฎฺฐิเยว สเจ โหติ, สโพฺพปิ โอเฆน โอตฺถโฎกาโส นที เอวฯ อถ เอกิสฺสาปิ อติวุฎฺฐิยา โอโฆ จตุมาสํ ติฎฺฐติ, สนฺทติ วา, พหิตีเร ปติฎฺฐิตโอเฆน โอตฺถโฎกาโส สโพฺพปิ นที เอวฯ นทิํ โอตฺถริตฺวา สนฺทนฎฺฐานโต ปฎฺฐายาติ ตเมว วา นทิํ อญฺญํ วา อปุพฺพํ วา ปเทสํ อตฺตโน ปวตฺตวเสน นทิลกฺขณปฺปตฺตํ โอตฺถริตฺวา สนฺทนฎฺฐานโต ปฎฺฐาย วฎฺฎติฯ คามนิคมสีมํ โอตฺถริตฺวาติ จตุมาสปฺปวตฺติํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ‘‘อคมนปเถติ ตทหุ คตปจฺจาคตํ กาตุํ อสกฺกุเณยฺยเก’’ติ ลิขิตํฯ ยํ ปน อนฺธกฎฺฐกถายํ วุตฺตํ, ตํ น คเหตพฺพํฯ กสฺมา? นทิยมฺปิ ตํโทสปฺปสงฺคโตฯ ติปุสกาทีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน กมลุปฺปลาทีนิปิ สงฺคหํ คจฺฉนฺติ ฯ สโพฺพปิ อชาตสฺสโร โหติ, คามสีมาสงฺขฺยเมว คจฺฉตีติ เยหิ กตํ, เตสํ คามสีมาสงฺขฺยํ วา, สมนฺตโต ตีรฎฺฐคาเมหิ เจ กตํ, สพฺพคามสงฺขฺยํ วา, อเญฺญหิ คามเขเตฺตหิ อสมฺพนฺธฎฺฐานํ เจ, วิสุํคามสีมาสงฺขฺยํ วา คจฺฉตีติ อโตฺถฯ
Ayaṃ panettha viseso – nadiyaṃ karontānaṃ udakukkhepato bahi rukkhādisambandho appamāṇaṃ. Gāme karontānaṃ nadiyaṃ sambandharukkhassa udakukkhepato bahi ṭhitabhikkhu appamāṇaṃ, tato oraṃ pamāṇaṃ. Baddhasīmāya sambandharukkhassa baddhasīmāya ṭhitabhikkhu pamāṇanti veditabbaṃ, teneva vuttaṃ ‘‘sīmaṃ sodhetvā kammaṃ kātabba’’nti. ‘‘Sace pana setu vā setupādā vā bahitīre patiṭṭhitā kammaṃ kātuṃ na vaṭṭatī’’ti vacanampi pārohādīsu viya sakalasīmāsodhanameva kātabbanti sādheti, vīmaṃsitabbaṃ. Ativuṭṭhikāle panāti ettha ativuṭṭhi nāma yathā cātumāsikāyāti veditabbā, tasmā catumāsaṃ ativuṭṭhiyeva sace hoti, sabbopi oghena otthaṭokāso nadī eva. Atha ekissāpi ativuṭṭhiyā ogho catumāsaṃ tiṭṭhati, sandati vā, bahitīre patiṭṭhitaoghena otthaṭokāso sabbopi nadī eva. Nadiṃ ottharitvā sandanaṭṭhānato paṭṭhāyāti tameva vā nadiṃ aññaṃ vā apubbaṃ vā padesaṃ attano pavattavasena nadilakkhaṇappattaṃ ottharitvā sandanaṭṭhānato paṭṭhāya vaṭṭati. Gāmanigamasīmaṃ ottharitvāti catumāsappavattiṃ sandhāya vuttaṃ. ‘‘Agamanapatheti tadahu gatapaccāgataṃ kātuṃ asakkuṇeyyake’’ti likhitaṃ. Yaṃ pana andhakaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ, taṃ na gahetabbaṃ. Kasmā? Nadiyampi taṃdosappasaṅgato. Tipusakādīti ettha ādi-saddena kamaluppalādīnipi saṅgahaṃ gacchanti . Sabbopi ajātassaro hoti, gāmasīmāsaṅkhyameva gacchatīti yehi kataṃ, tesaṃ gāmasīmāsaṅkhyaṃ vā, samantato tīraṭṭhagāmehi ce kataṃ, sabbagāmasaṅkhyaṃ vā, aññehi gāmakhettehi asambandhaṭṭhānaṃ ce, visuṃgāmasīmāsaṅkhyaṃ vā gacchatīti attho.
๑๔๘. สํสฎฺฐวิฎปาติ อิมินา อาสนฺนตฺตํ ทีเปติ, เตน ปเทสสมฺภินฺทนา อิธ สเมฺภโทติ ทีเปติฯ โส ปน วฑฺฒโนฺต สีมาสงฺกรํ กโรตีติ พทฺธสีมฎฺฐานปฺปเวสนวเสน ‘‘เอกเทสพทฺธสีมา’’ติ วตฺตพฺพโต สงฺกรโทโส โหติฯ น, ภิกฺขเว, สีมาย สีมา สมฺภินฺทิตพฺพาติ เอตฺถ ‘‘ปฐมํ พทฺธสีมาย ปจฺฉา อตฺตนา พนฺธิตพฺพสีมา น สมฺภินฺทิตพฺพา’’ติ เอเก อธิปฺปายํ สํวณฺณยนฺติฯ ปฐมํ สมฺมตสีมายํ สเมฺภทาภาวโต สฺวาธิปฺปาโย อโชฺฌตฺถรเณน ยุชฺชติ, ตสฺมา ปจฺฉา พนฺธิตพฺพสีมาย ปฐมํ พทฺธสีมา น สมฺภินฺทิตพฺพาฯ สกลํ วา เอกเทสโต วา นิมิตฺตานํ อโนฺตกรเณน ปฐมํ พทฺธสีมาย สีมนฺตริเก อกิเตฺตตฺวา สมฺมนฺนนโต หิ สมฺภินฺทติ นาม, ปเรสํ พทฺธสีมํ สกลํ วา เอกเทสโต วา นิมิตฺตานํ อโนฺตกรเณน อโชฺฌตฺถรติ นาม, เตเนวาห ‘‘สีมํ สมฺมนฺนเนฺตน สีมนฺตริกํ ฐเปตฺวา’’ติอาทิฯ ตสฺสโตฺถ – ปฐมํ พทฺธสีมาย สีมนฺตริกํ ปจฺฉา พนฺธิตพฺพสีมาย นิมิตฺตภูตํ ฐเปตฺวา ปจฺฉา สีมํ สมฺมนฺนิตุนฺติฯ อิมา เทฺวปิ วิปตฺติโย ภิกฺขุภิกฺขุนีสีมานํ อญฺญมญฺญํ น สมฺภวนฺติฯ โส ปน วฑฺฒโนฺต สีมาสงฺกรํ กโรตีติ เอตฺถ เกวลํ สีมาสงฺกรเมว กโรติฯ ตสฺมิํ กตกมฺมานิ น กุปฺปนฺตีติ เกจิ, ตํ นยุตฺตํ สาขาปาโรหเฉทนสีมาโสธนานํ วุตฺตตฺตาฯ อิทํ สพฺพํ สุฎฺฐุ วิจาเรตฺวา ครุกุเล ปยิรุปาสิตฺวา คเหตพฺพยุตฺตกํ คเหตพฺพํ, อิตรํ ฉเฑฺฑตพฺพํฯ
148.Saṃsaṭṭhaviṭapāti iminā āsannattaṃ dīpeti, tena padesasambhindanā idha sambhedoti dīpeti. So pana vaḍḍhanto sīmāsaṅkaraṃ karotīti baddhasīmaṭṭhānappavesanavasena ‘‘ekadesabaddhasīmā’’ti vattabbato saṅkaradoso hoti. Na, bhikkhave, sīmāya sīmā sambhinditabbāti ettha ‘‘paṭhamaṃ baddhasīmāya pacchā attanā bandhitabbasīmā na sambhinditabbā’’ti eke adhippāyaṃ saṃvaṇṇayanti. Paṭhamaṃ sammatasīmāyaṃ sambhedābhāvato svādhippāyo ajjhottharaṇena yujjati, tasmā pacchā bandhitabbasīmāya paṭhamaṃ baddhasīmā na sambhinditabbā. Sakalaṃ vā ekadesato vā nimittānaṃ antokaraṇena paṭhamaṃ baddhasīmāya sīmantarike akittetvā sammannanato hi sambhindati nāma, paresaṃ baddhasīmaṃ sakalaṃ vā ekadesato vā nimittānaṃ antokaraṇena ajjhottharati nāma, tenevāha ‘‘sīmaṃ sammannantena sīmantarikaṃ ṭhapetvā’’tiādi. Tassattho – paṭhamaṃ baddhasīmāya sīmantarikaṃ pacchā bandhitabbasīmāya nimittabhūtaṃ ṭhapetvā pacchā sīmaṃ sammannitunti. Imā dvepi vipattiyo bhikkhubhikkhunīsīmānaṃ aññamaññaṃ na sambhavanti. So pana vaḍḍhanto sīmāsaṅkaraṃ karotīti ettha kevalaṃ sīmāsaṅkarameva karoti. Tasmiṃ katakammāni na kuppantīti keci, taṃ nayuttaṃ sākhāpārohachedanasīmāsodhanānaṃ vuttattā. Idaṃ sabbaṃ suṭṭhu vicāretvā garukule payirupāsitvā gahetabbayuttakaṃ gahetabbaṃ, itaraṃ chaḍḍetabbaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๗๖. คามสีมาทิ • 76. Gāmasīmādi
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / คามสีมาทิกถา • Gāmasīmādikathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / คามสีมาทิกถาวณฺณนา • Gāmasīmādikathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / คามสีมาทิกถาวณฺณนา • Gāmasīmādikathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๗๖. คามสีมาทิกถา • 76. Gāmasīmādikathā