Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā |
คามสีมาทิกถาวณฺณนา
Gāmasīmādikathāvaṇṇanā
๑๔๗. ปาฬิยํ ‘‘อสมฺมตาย, ภิกฺขเว, สีมายา’’ติอาทินา คามสีมา เอว พทฺธสีมาย เขตฺตํ, อรญฺญนทิอาทโย วิย สตฺตพฺภนฺตรอุทกุเกฺขปาทีนํฯ สา จ คามสีมา พทฺธสีมาวิรหิตฎฺฐาเน สยเมว สมานสํวาสา โหตีติ ทเสฺสติฯ ยา ตสฺส วา คามสฺส คามสีมาติ เอตฺถ คามสีมาปริเจฺฉทสฺส อโนฺต จ พหิ จ เขตฺตวตฺถุอรญฺญปพฺพตาทิกํ สพฺพํ คามเขตฺตํ สนฺธาย ‘‘คามสฺสา’’ติ วุตฺตํ, น อนฺตรฆรเมวฯ ตสฺมา ตสฺส สกลสฺส คามเขตฺตสฺส สมฺพนฺธนียา คามสีมาติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ โย หิ โส อนฺตรฆรเขตฺตาทีสุ อเนเกสุ ภูมิภาเคสุ ‘‘คาโม’’ติ เอกเตฺตน โลกชเนหิ ปญฺญโตฺต คามโวหาโร, โสว อิธ ‘‘คามสีมา’’ติปิ วุจฺจตีติ อธิปฺปาโย, คาโม เอว หิ คามสีมาฯ อิมินาว นเยน อุปริ อรญฺญํ นที สมุโทฺท ชาตสฺสโรติ เอวํ เตสุ ภูมิปฺปเทเสสุ เอกเตฺตน โลกชนปญฺญตฺตานเมว อรญฺญาทีนํ อรญฺญสีมาทิภาโว เวทิตโพฺพฯ โลเก ปน คามสีมาทิโวหาโร คามาทีนํ มริยาทายเมว วตฺตุํ วฎฺฎติ, น คามเขตฺตาทีสุ สพฺพตฺถฯ สาสเน ปน เต คามาทโย อิตรนิวตฺติอเตฺถน สยเมว อตฺตโน มริยาทาติ กตฺวา คาโม เอว คามสีมา, อรญฺญเมว อรญฺญสีมา…เป.… สมุโทฺท เอว สมุทฺทสีมาติ สีมาโวหาเรน วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ
147. Pāḷiyaṃ ‘‘asammatāya, bhikkhave, sīmāyā’’tiādinā gāmasīmā eva baddhasīmāya khettaṃ, araññanadiādayo viya sattabbhantaraudakukkhepādīnaṃ. Sā ca gāmasīmā baddhasīmāvirahitaṭṭhāne sayameva samānasaṃvāsā hotīti dasseti. Yā tassa vā gāmassa gāmasīmāti ettha gāmasīmāparicchedassa anto ca bahi ca khettavatthuaraññapabbatādikaṃ sabbaṃ gāmakhettaṃ sandhāya ‘‘gāmassā’’ti vuttaṃ, na antaragharameva. Tasmā tassa sakalassa gāmakhettassa sambandhanīyā gāmasīmāti evamattho veditabbo. Yo hi so antaragharakhettādīsu anekesu bhūmibhāgesu ‘‘gāmo’’ti ekattena lokajanehi paññatto gāmavohāro, sova idha ‘‘gāmasīmā’’tipi vuccatīti adhippāyo, gāmo eva hi gāmasīmā. Imināva nayena upari araññaṃ nadī samuddo jātassaroti evaṃ tesu bhūmippadesesu ekattena lokajanapaññattānameva araññādīnaṃ araññasīmādibhāvo veditabbo. Loke pana gāmasīmādivohāro gāmādīnaṃ mariyādāyameva vattuṃ vaṭṭati, na gāmakhettādīsu sabbattha. Sāsane pana te gāmādayo itaranivattiatthena sayameva attano mariyādāti katvā gāmo eva gāmasīmā, araññameva araññasīmā…pe… samuddo eva samuddasīmāti sīmāvohārena vuttāti veditabbā.
‘‘นิคมสฺส วา’’ติ อิทํ คามสีมปฺปเภทํ สพฺพํ อุปลกฺขณวเสน ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘นครมฺปิ คหิตเมวา’’ติฯ ‘‘พลิํ ลภนฺตี’’ติ อิทํ เยภุยฺยวเสน วุตฺตํ, ‘‘อยํ คาโม เอตฺตโก กรีสภาโค’’ติอาทินา ปน ราชปเณฺณสุ อาโรปิเตสุ ภูมิภาเคสุ ยสฺมิํ ยสฺมิํ ตฬากมาติกาสุสานปพฺพตาทิเก ปเทเส พลิํ น คณฺหนฺติ, โสปิ คามสีมา เอวฯ ราชาทีหิ ปริจฺฉินฺนภูมิภาโค หิ สโพฺพว ฐเปตฺวา นทิโลณิชาตสฺสเร คามสีมาติ เวทิตโพฺพฯ เตนาห ‘‘ปริจฺฉินฺทิตฺวา ราชา กสฺสจิ เทตี’’ติฯ สเจ ปน ตตฺถ ราชา กญฺจิ ปเทสํ คามนฺตเรน โยเชติ, โส ปวิฎฺฐคามสีมตํ เอว ภชติ, นทิชาตสฺสเรสุ วินาเสตฺวา ตฬากาทิภาวํ วา ปูเรตฺวา เขตฺตาทิภาวํ วา ปาปิเตสุปิ เอเสว นโยฯ
‘‘Nigamassa vā’’ti idaṃ gāmasīmappabhedaṃ sabbaṃ upalakkhaṇavasena dassetuṃ vuttaṃ. Tenāha ‘‘nagarampi gahitamevā’’ti. ‘‘Baliṃ labhantī’’ti idaṃ yebhuyyavasena vuttaṃ, ‘‘ayaṃ gāmo ettako karīsabhāgo’’tiādinā pana rājapaṇṇesu āropitesu bhūmibhāgesu yasmiṃ yasmiṃ taḷākamātikāsusānapabbatādike padese baliṃ na gaṇhanti, sopi gāmasīmā eva. Rājādīhi paricchinnabhūmibhāgo hi sabbova ṭhapetvā nadiloṇijātassare gāmasīmāti veditabbo. Tenāha ‘‘paricchinditvā rājā kassaci detī’’ti. Sace pana tattha rājā kañci padesaṃ gāmantarena yojeti, so paviṭṭhagāmasīmataṃ eva bhajati, nadijātassaresu vināsetvā taḷākādibhāvaṃ vā pūretvā khettādibhāvaṃ vā pāpitesupi eseva nayo.
เย ปน คามา ราชโจราทิภยปีฬิเตหิ มนุเสฺสหิ ฉฑฺฑิตา จิรมฺปิ นิมฺมนุสฺสา ติฎฺฐนฺติ, สมนฺตา ปน คามา สนฺติ, เตปิ ปาเฎกฺกํ คามสีมาวฯ เตสุ หิ ราชาโน สมนฺตคามวาสีหิ กสาเปตฺวา วา เยหิ เกหิจิ กสิตฎฺฐานํ ลิขิตฺวา วา พลิํ คณฺหนฺติ, อเญฺญน วา คาเมน เอกีภาวํ วา อุปเนนฺติฯ เย ปน คามา ราชูหิปิ ปริจฺจตฺตา คามเขตฺตานนฺตริกา มหารเญฺญน เอกีภูตา, เต อคามการญฺญสีมตํ ปาปุณนฺติ, ปุริมา คามสีมา วินสฺสติฯ ราชาโน ปน เอกสฺมิํ อรญฺญาทิปฺปเทเส มหนฺตํ คามํ กตฺวา อเนกสหสฺสานิ กุลานิ วาสาเปตฺวา ตตฺถ วาสีนํ โภคคามาติ สมนฺตา ภูตคาเม ปริจฺฉินฺทิตฺวา เทนฺติฯ ปุราณนามํ, ปน ปริเจฺฉทญฺจ น วินาเสนฺติ, เตปิ ปเจฺจกํ คามสีมา เอวฯ เอตฺตาวตา ปุริมคามสีมตฺตํ น วิชหนฺติฯ สา จ อิตรา จาติอาทิ ‘‘สมานสํวาสา เอกูโปสถา’’ติ ปาฬิปทสฺส อธิปฺปายวิวรณํฯ ตตฺถ หิ สา จ ราชิจฺฉาวเสน ปริวตฺติตฺวา สมุปฺปนฺนา อภินวา, อิตรา จ อปริวตฺตา ปกติคามสีมา, ยถา พทฺธสีมาย สพฺพํ สงฺฆกมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติ, เอวเมตาปิ สพฺพกมฺมารหตาสทิเสน พทฺธสีมาสทิสา, สา สมานสํวาสา เอกูโปสถาติ อธิปฺปาโยฯ สามญฺญโต ‘‘พทฺธสีมาสทิสา’’ติ วุเตฺต ติจีวราวิปฺปวาสสีมํ พทฺธสีมํ เอว มญฺญนฺตีติ ตํสทิสตานิวตฺตนมุเขน อุปริ สตฺตพฺภนฺตรสีมาย ตํสทิสตาปิ อตฺถีติ ทสฺสนนยสฺส อิเธว ปสงฺคํ ทเสฺสตุํ ‘‘เกวล’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
Ye pana gāmā rājacorādibhayapīḷitehi manussehi chaḍḍitā cirampi nimmanussā tiṭṭhanti, samantā pana gāmā santi, tepi pāṭekkaṃ gāmasīmāva. Tesu hi rājāno samantagāmavāsīhi kasāpetvā vā yehi kehici kasitaṭṭhānaṃ likhitvā vā baliṃ gaṇhanti, aññena vā gāmena ekībhāvaṃ vā upanenti. Ye pana gāmā rājūhipi pariccattā gāmakhettānantarikā mahāraññena ekībhūtā, te agāmakāraññasīmataṃ pāpuṇanti, purimā gāmasīmā vinassati. Rājāno pana ekasmiṃ araññādippadese mahantaṃ gāmaṃ katvā anekasahassāni kulāni vāsāpetvā tattha vāsīnaṃ bhogagāmāti samantā bhūtagāme paricchinditvā denti. Purāṇanāmaṃ, pana paricchedañca na vināsenti, tepi paccekaṃ gāmasīmā eva. Ettāvatā purimagāmasīmattaṃ na vijahanti. Sā ca itarā cātiādi ‘‘samānasaṃvāsā ekūposathā’’ti pāḷipadassa adhippāyavivaraṇaṃ. Tattha hi sā ca rājicchāvasena parivattitvā samuppannā abhinavā, itarā ca aparivattā pakatigāmasīmā, yathā baddhasīmāya sabbaṃ saṅghakammaṃ kātuṃ vaṭṭati, evametāpi sabbakammārahatāsadisena baddhasīmāsadisā, sā samānasaṃvāsā ekūposathāti adhippāyo. Sāmaññato ‘‘baddhasīmāsadisā’’ti vutte ticīvarāvippavāsasīmaṃ baddhasīmaṃ eva maññantīti taṃsadisatānivattanamukhena upari sattabbhantarasīmāya taṃsadisatāpi atthīti dassananayassa idheva pasaṅgaṃ dassetuṃ ‘‘kevala’’ntiādi vuttaṃ.
วิญฺฌาฎวิสทิเส อรเญฺญติ ยตฺถ ‘‘อสุกคามสฺส อิทํ เขตฺต’’นฺติ คามโวหาโร นตฺถิ, ยตฺถ จ น กสนฺติ น วปนฺติ, ตาทิเส อรเญฺญฯ มจฺฉพนฺธานํ อคมนปถา นิมฺมนุสฺสาวาสา สมุทฺทนฺตรทีปกาปิ เอเตฺถว สงฺคยฺหนฺติฯ ยํ ยญฺหิ อคามเขตฺตภูตํ นทิสมุทฺทชาตสฺสรวิรหิตํ ปเทสํ, ตํ สพฺพํ อรญฺญสีมาติ เวทิตพฺพํฯ สา จ สตฺตพฺภนฺตรสีมํ วินาว สยเมว สมานสํวาสา พทฺธสีมาสทิสาฯ นทิอาทิสีมาสุ วิย สพฺพเมตฺถ สงฺฆกมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติฯ นทิสมุทฺทชาตสฺสรานํ ตาว อฎฺฐกถายํ ‘‘อตฺตโน สภาเวเนว พทฺธสีมาสทิสา’’ติอาทินา วุตฺตตฺตา สีมตา สิทฺธาฯ อรญฺญสฺส ปน สีมตา กถนฺติ? สตฺตพฺภนฺตรสีมานุชานนสุตฺตาทิสามตฺถิยโตฯ ยถา หิ คามสีมาย วคฺคกมฺมปริหารตฺถํ พหู พทฺธสีมาโย อนุญฺญาตา, ตาสญฺจ ทฺวินฺนมนฺตรา อญฺญมญฺญํ อสเมฺภทตฺถํ สีมนฺตริกา อนุญฺญาตา, เอวมิธารเญฺญปิ สตฺตพฺภนฺตรสีมาฯ ตาสญฺจ ทฺวินฺนํ อนฺตรา สีมนฺตริกาย ปาฬิอฎฺฐกถาสุปิ วิธานสามตฺถิยโต อรญฺญสฺสปิ สภาเวเนว นทิอาทีนํ วิย สีมาภาโว ตตฺถ วคฺคกมฺมปริหารตฺถเมว สตฺตพฺภนฺตรสีมาย อนุญฺญาตตฺตาว สิโทฺธติ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ สีมายเมว หิ ฐิตา สีมฎฺฐานํ วคฺคกมฺมํ กโรนฺติ, น อสีมายํ อากาเส ฐิตา วิย อากาสฎฺฐานํฯ เอวเมว หิ สามตฺถิยํ คเหตฺวา ‘‘สพฺพา, ภิกฺขเว, นที อสีมา’’ติอาทินา ปฎิกฺขิตฺตพทฺธสีมานมฺปิ นทิสมุทฺทชาตสฺสรานํ อตฺตโน สภาเวเนว สีมาภาโว อฎฺฐกถายํ วุโตฺตติ คเหตโพฺพฯ
Viñjhāṭavisadise araññeti yattha ‘‘asukagāmassa idaṃ khetta’’nti gāmavohāro natthi, yattha ca na kasanti na vapanti, tādise araññe. Macchabandhānaṃ agamanapathā nimmanussāvāsā samuddantaradīpakāpi ettheva saṅgayhanti. Yaṃ yañhi agāmakhettabhūtaṃ nadisamuddajātassaravirahitaṃ padesaṃ, taṃ sabbaṃ araññasīmāti veditabbaṃ. Sā ca sattabbhantarasīmaṃ vināva sayameva samānasaṃvāsā baddhasīmāsadisā. Nadiādisīmāsu viya sabbamettha saṅghakammaṃ kātuṃ vaṭṭati. Nadisamuddajātassarānaṃ tāva aṭṭhakathāyaṃ ‘‘attano sabhāveneva baddhasīmāsadisā’’tiādinā vuttattā sīmatā siddhā. Araññassa pana sīmatā kathanti? Sattabbhantarasīmānujānanasuttādisāmatthiyato. Yathā hi gāmasīmāya vaggakammaparihāratthaṃ bahū baddhasīmāyo anuññātā, tāsañca dvinnamantarā aññamaññaṃ asambhedatthaṃ sīmantarikā anuññātā, evamidhāraññepi sattabbhantarasīmā. Tāsañca dvinnaṃ antarā sīmantarikāya pāḷiaṭṭhakathāsupi vidhānasāmatthiyato araññassapi sabhāveneva nadiādīnaṃ viya sīmābhāvo tattha vaggakammaparihāratthameva sattabbhantarasīmāya anuññātattāva siddhoti veditabbo. Tattha sīmāyameva hi ṭhitā sīmaṭṭhānaṃ vaggakammaṃ karonti, na asīmāyaṃ ākāse ṭhitā viya ākāsaṭṭhānaṃ. Evameva hi sāmatthiyaṃ gahetvā ‘‘sabbā, bhikkhave, nadī asīmā’’tiādinā paṭikkhittabaddhasīmānampi nadisamuddajātassarānaṃ attano sabhāveneva sīmābhāvo aṭṭhakathāyaṃ vuttoti gahetabbo.
อถสฺส ฐิโตกาสโตติ อสฺส ภิกฺขุสฺส ฐิโตกาสโตฯ สเจปิ หิ ภิกฺขุสหสฺสํ ติฎฺฐติ, ตสฺส ฐิโตกาสสฺส พาหิรนฺตโต ปฎฺฐาย ภิกฺขูนํ วคฺคกมฺมปริหารตฺถํ สีมาเปกฺขาย อุปฺปนฺนาย ตาย สห สยเมว สญฺชาตา สตฺตพฺภนฺตรสีมา สมานสํวาสาติ อธิปฺปาโยฯ ยตฺถ ปน ขุทฺทเก อรเญฺญ มหเนฺตหิ ภิกฺขูหิ ปริปุณฺณตาย วคฺคกมฺมสงฺกาภาเวน สตฺตพฺภนฺตรสีมาเปกฺขา นตฺถิ, ตตฺถ สตฺตพฺภนฺตรสีมา น อุปฺปชฺชติ, เกวลารญฺญสีมายเมว, ตตฺถ สเงฺฆน กมฺมํ กาตพฺพํฯ นทิอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ วกฺขติ หิ ‘‘สเจ นที นาติทีฆา โหติ, ปภวโต ปฎฺฐาย ยาว มุขทฺวารา สพฺพตฺถ สโงฺฆ นิสีทติ, อุทกุเกฺขปสีมากมฺมํ นตฺถี’’ติอาทิ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๗)ฯ อิมินา เอว จ วจเนน วคฺคกมฺมปริหารตฺถํ สีมาเปกฺขาย สติ เอว อุทกุเกฺขปสตฺตพฺภนฺตรสีมา อุปฺปชฺชนฺติ, นาสตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Athassa ṭhitokāsatoti assa bhikkhussa ṭhitokāsato. Sacepi hi bhikkhusahassaṃ tiṭṭhati, tassa ṭhitokāsassa bāhirantato paṭṭhāya bhikkhūnaṃ vaggakammaparihāratthaṃ sīmāpekkhāya uppannāya tāya saha sayameva sañjātā sattabbhantarasīmā samānasaṃvāsāti adhippāyo. Yattha pana khuddake araññe mahantehi bhikkhūhi paripuṇṇatāya vaggakammasaṅkābhāvena sattabbhantarasīmāpekkhā natthi, tattha sattabbhantarasīmā na uppajjati, kevalāraññasīmāyameva, tattha saṅghena kammaṃ kātabbaṃ. Nadiādīsupi eseva nayo. Vakkhati hi ‘‘sace nadī nātidīghā hoti, pabhavato paṭṭhāya yāva mukhadvārā sabbattha saṅgho nisīdati, udakukkhepasīmākammaṃ natthī’’tiādi (mahāva. aṭṭha. 147). Iminā eva ca vacanena vaggakammaparihāratthaṃ sīmāpekkhāya sati eva udakukkhepasattabbhantarasīmā uppajjanti, nāsatīti daṭṭhabbaṃ.
เกจิ ปน ‘‘สมนฺตา อพฺภนฺตรํ มินิตฺวา ปริเจฺฉทกรเณเนว สีมา สญฺชายติ, น สยเมวา’’ติ วทนฺติ, ตํ น คเหตพฺพํฯ ยทิ หิ อพฺภนฺตรปริเจฺฉทกรณปฺปกาเรน สีมา อุปฺปเชฺชยฺย, อพทฺธสีมา จ น สิยา ภิกฺขูนํ กิริยาปการสิทฺธิโตฯ อปิจ วฑฺฒกีหตฺถานํ, ปกติหตฺถานญฺจ โลเก อเนกวิธตฺตา, วินเย อีทิสํ หตฺถปฺปมาณนฺติ อวุตฺตตฺตา จ เยน เกนจิ มินิเต จ ภควตา อนุญฺญาเตน นุ โข หเตฺถน มินิตํ, น นุ โขติ สีมาย วิปตฺติสงฺกา ภเวยฺยฯ มินเนฺตหิ จ อณุมตฺตมฺปิ อูนมธิกํ อกตฺวา มินิตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย วิปตฺติ เอว สิยาฯ ปริสวเสน จายํ วฑฺฒมานา เตสํ มินเนน วฑฺฒติ วา หายติ วาฯ สเงฺฆ จ กมฺมํ กตฺวา คเต อยํ ภิกฺขูนํ ปโยเคน สมุปฺปนฺนสีมา เตสํ ปโยเคน วิคจฺฉติ น วิคจฺฉติ จฯ กถํ พทฺธสีมา วิย ยาว สาสนนฺตรธานา น ติเฎฺฐยฺย, ฐิติยา จ ปุราณวิหาเรสุ วิย สกเลปิ อรเญฺญ กถํ สีมาสเมฺภทสงฺกา น ภเวยฺยฯ ตสฺมา สีมาเปกฺขาย เอว สมุปฺปชฺชติ, ตพฺพิคเมน วิคจฺฉตีติ คเหตพฺพํฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ อุทกุเกฺขปสีมายมฺปิ นทิอาทีสุปิฯ
Keci pana ‘‘samantā abbhantaraṃ minitvā paricchedakaraṇeneva sīmā sañjāyati, na sayamevā’’ti vadanti, taṃ na gahetabbaṃ. Yadi hi abbhantaraparicchedakaraṇappakārena sīmā uppajjeyya, abaddhasīmā ca na siyā bhikkhūnaṃ kiriyāpakārasiddhito. Apica vaḍḍhakīhatthānaṃ, pakatihatthānañca loke anekavidhattā, vinaye īdisaṃ hatthappamāṇanti avuttattā ca yena kenaci minite ca bhagavatā anuññātena nu kho hatthena minitaṃ, na nu khoti sīmāya vipattisaṅkā bhaveyya. Minantehi ca aṇumattampi ūnamadhikaṃ akatvā minituṃ asakkuṇeyyatāya vipatti eva siyā. Parisavasena cāyaṃ vaḍḍhamānā tesaṃ minanena vaḍḍhati vā hāyati vā. Saṅghe ca kammaṃ katvā gate ayaṃ bhikkhūnaṃ payogena samuppannasīmā tesaṃ payogena vigacchati na vigacchati ca. Kathaṃ baddhasīmā viya yāva sāsanantaradhānā na tiṭṭheyya, ṭhitiyā ca purāṇavihāresu viya sakalepi araññe kathaṃ sīmāsambhedasaṅkā na bhaveyya. Tasmā sīmāpekkhāya eva samuppajjati, tabbigamena vigacchatīti gahetabbaṃ. Yathā cettha, evaṃ udakukkhepasīmāyampi nadiādīsupi.
ตตฺถาปิ หิ มชฺฌิมปุริโส น ญายติฯ ตถา สพฺพถาเมน ขิปนํ อุภยตฺถาปิ จ ยสฺสํ ทิสายํ สตฺตพฺภนฺตรสฺส, อุทกุเกฺขปสฺส วา โอกาโส น ปโหติ, ตตฺถ กถํ มินนํ, ขิปนํ วา ภเวยฺย? คามเขตฺตาทีสุ ปวิสนโต อเขเตฺต สีมา ปวิฎฺฐา นามาติ สีมา วิปเชฺชยฺยฯ อเปกฺขาย สีมุปฺปตฺติยํ ปน ยโต ปโหติ, ตตฺถ สตฺตพฺภนฺตรอุทกุเกฺขปสีมา สยเมว ปริปุณฺณา ชายนฺติฯ ยโต ปน น ปโหติ, ตตฺถ อตฺตโน เขตฺตปฺปมาเณเนว ชายนฺติ, น พหิฯ ยํ ปเนตฺถ อพฺภนฺตรมินนปมาณสฺส, วาลุกาทิขิปนกมฺมสฺส จ ทสฺสนํ, ตํ สญฺชาตสีมานํ ฐิตฎฺฐานสฺส ปริเจฺฉทนตฺถํ กตํ คามูปจารฆรูปจารชานนตฺถํ เลฑฺฑุสุปฺปาทิขิปนวิธานทสฺสนํ วิยฯ เตเนว มาติกาฎฺฐกถายํ ‘‘สีมํ วา สมฺมนฺนติ อุทกุเกฺขปํ วา ปริจฺฉินฺทตี’’ติ วุตฺตํ (กงฺขา. อฎฺฐ. อูนวีสติวสฺสสิกฺขาปทวณฺณนา)ฯ เอวํ กเตปิ ตสฺส ปริเจฺฉทสฺส ยาถาวโต ญาตุํ อสกฺกุเณยฺยเตฺตน ปุถุลโต ญตฺวา อโนฺต ติฎฺฐเนฺตหิ นิราสงฺกฎฺฐาเน ฐาตพฺพํ, อญฺญํ พหิ กโรเนฺตหิ อติทูเร นิราสงฺกฎฺฐาเน เปเสตพฺพํฯ
Tatthāpi hi majjhimapuriso na ñāyati. Tathā sabbathāmena khipanaṃ ubhayatthāpi ca yassaṃ disāyaṃ sattabbhantarassa, udakukkhepassa vā okāso na pahoti, tattha kathaṃ minanaṃ, khipanaṃ vā bhaveyya? Gāmakhettādīsu pavisanato akhette sīmā paviṭṭhā nāmāti sīmā vipajjeyya. Apekkhāya sīmuppattiyaṃ pana yato pahoti, tattha sattabbhantaraudakukkhepasīmā sayameva paripuṇṇā jāyanti. Yato pana na pahoti, tattha attano khettappamāṇeneva jāyanti, na bahi. Yaṃ panettha abbhantaraminanapamāṇassa, vālukādikhipanakammassa ca dassanaṃ, taṃ sañjātasīmānaṃ ṭhitaṭṭhānassa paricchedanatthaṃ kataṃ gāmūpacāragharūpacārajānanatthaṃ leḍḍusuppādikhipanavidhānadassanaṃ viya. Teneva mātikāṭṭhakathāyaṃ ‘‘sīmaṃ vā sammannati udakukkhepaṃ vā paricchindatī’’ti vuttaṃ (kaṅkhā. aṭṭha. ūnavīsativassasikkhāpadavaṇṇanā). Evaṃ katepi tassa paricchedassa yāthāvato ñātuṃ asakkuṇeyyattena puthulato ñatvā anto tiṭṭhantehi nirāsaṅkaṭṭhāne ṭhātabbaṃ, aññaṃ bahi karontehi atidūre nirāsaṅkaṭṭhāne pesetabbaṃ.
อปเร ปน ‘‘สีมาเปกฺขาย กิจฺจํ นตฺถิ, มคฺคคมนนหานาทิอเตฺถหิ เอกภิกฺขุสฺมิมฺปิ อรเญฺญ วา นทิอาทีสุ วา ปวิเฎฺฐ ตํ ปริกฺขิปิตฺวา สตฺตพฺภนฺตรอุทกุเกฺขปสีมา สยเมว ปภา วิย ปทีปสฺส สมุปฺปชฺชติ, คามเขตฺตาทีสุ ตสฺมิํ โอติณฺณมเตฺต วิคจฺฉติฯ เตเนว เจตฺถ ทฺวินฺนํ สงฺฆานํ วิสุํ กมฺมํ กโรนฺตานํ สีมาทฺวยสฺส อนฺตรา สีมนฺตริกา อญฺญํ สตฺตพฺภนฺตรํ, อุทกุเกฺขปญฺจ ฐเปตุํ อนุญฺญาตํ, สีมาปริยเนฺต หิ เกนจิ กเมฺมน เปสิตสฺส ภิกฺขุโน สมนฺตา สญฺชาตสีมา อิตเรสํ สีมาย ผุสิตฺวา สีมาสเมฺภทํ กเรยฺย, โส มา โหตูติ, อิตรถา หตฺถจตุรงฺคุลมตฺตายเปตฺถ สีมนฺตริกาย อนุชานิตพฺพโตฯ อปิจ สีมนฺตริกาย ฐิตสฺสาปิ อุภยตฺถ กมฺมโกปวจนโตปิ เจตํ สิชฺฌติฯ ตมฺปิ ปริกฺขิปิตฺวา สยเมว สญฺชาตาย สีมาย อุภินฺนมฺปิ สีมานํ, เอกาย เอว วา สงฺกรโตฯ อิตรถา ตสฺส กมฺมโกปวจนํ น ยุเชฺชยฺยฯ วุตฺตญฺหิ มาติกาฎฺฐกถายํ ‘ปริเจฺฉทพฺภนฺตเร หตฺถปาสํ วิชหิตฺวา ฐิโตปิ ปริเจฺฉทโต พหิ อญฺญํ ตตฺตกํเยว ปริเจฺฉทํ อนติกฺกมิตฺวา ฐิโตปิ กมฺมํ โกเปตี’ติ (กงฺขา. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา)ฯ กิญฺจ อคามการเญฺญ ฐิตสฺส กมฺมกรณิจฺฉาวิรหิตสฺสาปิ ภิกฺขุโน สตฺตพฺภนฺตรปริจฺฉิเนฺน อโชฺฌกาเส จีวรวิปฺปวาโส ภควตา อนุญฺญาโต, โส จ ปริเจฺฉโท สีมาฯ เอวํ อเปกฺขํ วินา สมุปฺปนฺนาฯ เตเนเวตฺถ ‘อยํ สีมา ติจีวรวิปฺปวาสปริหารมฺปิ ลภตี’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๗) วุตฺตํฯ ตสฺมา กมฺมกรณิจฺฉํ วินาปิ วุตฺตนเยน สมุปฺปตฺติ คเหตพฺพา’’ติ วทนฺติ, ตํ น ยุตฺตํ ปทีปสฺส ปภา วิย สพฺพปุคฺคลานมฺปิ ปเจฺจกํ สีมาสมฺภเวน สเงฺฆ, คเณ วา กมฺมํ กโรเนฺต ตตฺรฎฺฐานํ ภิกฺขูนํ สมนฺตา ปเจฺจกํ สมุปฺปนฺนานํ อเนกสีมานํ อญฺญมญฺญํ สงฺกรโทสปฺปสงฺคโตฯ ปริสวเสน จสฺสา วฑฺฒิ, หานิ จ สมฺภวติฯ ปจฺฉา อาคตานํ อภินวสีมนฺตรุปฺปตฺติ เอว, คตานํ สมนฺตา ฐิตสีมาปิ วินาโส จ ภเวยฺยฯ
Apare pana ‘‘sīmāpekkhāya kiccaṃ natthi, maggagamananahānādiatthehi ekabhikkhusmimpi araññe vā nadiādīsu vā paviṭṭhe taṃ parikkhipitvā sattabbhantaraudakukkhepasīmā sayameva pabhā viya padīpassa samuppajjati, gāmakhettādīsu tasmiṃ otiṇṇamatte vigacchati. Teneva cettha dvinnaṃ saṅghānaṃ visuṃ kammaṃ karontānaṃ sīmādvayassa antarā sīmantarikā aññaṃ sattabbhantaraṃ, udakukkhepañca ṭhapetuṃ anuññātaṃ, sīmāpariyante hi kenaci kammena pesitassa bhikkhuno samantā sañjātasīmā itaresaṃ sīmāya phusitvā sīmāsambhedaṃ kareyya, so mā hotūti, itarathā hatthacaturaṅgulamattāyapettha sīmantarikāya anujānitabbato. Apica sīmantarikāya ṭhitassāpi ubhayattha kammakopavacanatopi cetaṃ sijjhati. Tampi parikkhipitvā sayameva sañjātāya sīmāya ubhinnampi sīmānaṃ, ekāya eva vā saṅkarato. Itarathā tassa kammakopavacanaṃ na yujjeyya. Vuttañhi mātikāṭṭhakathāyaṃ ‘paricchedabbhantare hatthapāsaṃ vijahitvā ṭhitopi paricchedato bahi aññaṃ tattakaṃyeva paricchedaṃ anatikkamitvā ṭhitopi kammaṃ kopetī’ti (kaṅkhā. aṭṭha. nidānavaṇṇanā). Kiñca agāmakāraññe ṭhitassa kammakaraṇicchāvirahitassāpi bhikkhuno sattabbhantaraparicchinne ajjhokāse cīvaravippavāso bhagavatā anuññāto, so ca paricchedo sīmā. Evaṃ apekkhaṃ vinā samuppannā. Tenevettha ‘ayaṃ sīmā ticīvaravippavāsaparihārampi labhatī’ti (mahāva. aṭṭha. 147) vuttaṃ. Tasmā kammakaraṇicchaṃ vināpi vuttanayena samuppatti gahetabbā’’ti vadanti, taṃ na yuttaṃ padīpassa pabhā viya sabbapuggalānampi paccekaṃ sīmāsambhavena saṅghe, gaṇe vā kammaṃ karonte tatraṭṭhānaṃ bhikkhūnaṃ samantā paccekaṃ samuppannānaṃ anekasīmānaṃ aññamaññaṃ saṅkaradosappasaṅgato. Parisavasena cassā vaḍḍhi, hāni ca sambhavati. Pacchā āgatānaṃ abhinavasīmantaruppatti eva, gatānaṃ samantā ṭhitasīmāpi vināso ca bhaveyya.
ปาฬิยํ ปน ‘‘สมนฺตา สตฺตพฺภนฺตรา, อยํ ตตฺถ สมานสํวาสา’’ติอาทินา (มหาว. ๑๔๗) เอกา เอว สตฺตพฺภนฺตรา, อุทกุเกฺขปา จ อนุญฺญาตา, น เจสา สีมา สภาเวน, การณสามตฺถิเยน วา ปภา วิย ปทีปสฺส อุปฺปชฺชติฯ กินฺตุ ภควโต อนุชานเนเนว, ภควา จ อิมาโย อนุชานโนฺต ภิกฺขูนํ วคฺคกมฺมปริหาเรน กมฺมกรณสุขตฺถเมว อนุญฺญาสีติ กถํ นหานาทิกิเจฺจน ปวิฎฺฐานมฺปิ สมนฺตา ตาสํ สีมานํ สมุปฺปตฺติ ปโยชนาภาวา? ปโยชเน จ เอกํ เอว ปโยชนนฺติ กถํ ปเจฺจกํ ภิกฺขุคณนาย อเนกสีมาสมุปฺปตฺติ ? ‘‘เอกสีมายํ หตฺถปาสํ อวิชหิตฺวา ฐิตา’’ติ (กงฺขา. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา) วุตฺตํฯ ยํ ปน ทฺวินฺนํ สีมานํ อนฺตรา ตตฺตกปริเจฺฉเทเนว สีมนฺตริกฎฺฐปนวจนํ, ตตฺถ ฐิตานํ กมฺมโกปวจนญฺจ, ตมฺปิ อิมาสํ สีมานํ ปริเจฺฉทสฺส ทุโพฺพธตาย สีมาย สเมฺภทสงฺกํ, กมฺมโกปสงฺกญฺจ ทูรโต ปริหริตุํ วุตฺตํฯ
Pāḷiyaṃ pana ‘‘samantā sattabbhantarā, ayaṃ tattha samānasaṃvāsā’’tiādinā (mahāva. 147) ekā eva sattabbhantarā, udakukkhepā ca anuññātā, na cesā sīmā sabhāvena, kāraṇasāmatthiyena vā pabhā viya padīpassa uppajjati. Kintu bhagavato anujānaneneva, bhagavā ca imāyo anujānanto bhikkhūnaṃ vaggakammaparihārena kammakaraṇasukhatthameva anuññāsīti kathaṃ nahānādikiccena paviṭṭhānampi samantā tāsaṃ sīmānaṃ samuppatti payojanābhāvā? Payojane ca ekaṃ eva payojananti kathaṃ paccekaṃ bhikkhugaṇanāya anekasīmāsamuppatti ? ‘‘Ekasīmāyaṃ hatthapāsaṃ avijahitvā ṭhitā’’ti (kaṅkhā. aṭṭha. nidānavaṇṇanā) vuttaṃ. Yaṃ pana dvinnaṃ sīmānaṃ antarā tattakaparicchedeneva sīmantarikaṭṭhapanavacanaṃ, tattha ṭhitānaṃ kammakopavacanañca, tampi imāsaṃ sīmānaṃ paricchedassa dubbodhatāya sīmāya sambhedasaṅkaṃ, kammakopasaṅkañca dūrato pariharituṃ vuttaṃ.
โย จ จีวราวิปฺปวาสตฺถํ ภควตา อโพฺภกาเส ทสฺสิโต สตฺตพฺภนฺตรปริเจฺฉโท, โส สีมา เอว น โหติ, เขตฺตตฬากาทิปริเจฺฉโท วิย อยเมตฺถ เอโก ปริเจฺฉโทวฯ ตตฺถ จ พหูสุ ภิกฺขูสุ เอกโต ฐิเตสุ เตสํ วิสุํ วิสุํ อตฺตโน ฐิตฎฺฐานโต ปฎฺฐาย สมนฺตา สตฺตพฺภนฺตรปริเจฺฉทพฺภนฺตเร เอว จีวรํ ฐเปตพฺพํฯ น ปริสปริยนฺตโต ปฎฺฐายฯ ปริสปริยนฺตโต ปฎฺฐาย หิ อพฺภนฺตเร คยฺหมาเน อพฺภนฺตรปริโยสาเน ฐปิตจีวรํ มเชฺฌ ฐิตสฺส อพฺภนฺตรโต พหิ โหตีติ ตํ อรุณุคฺคมเน นิสฺสคฺคิยํ สิยาฯ สีมา ปน ปริสปริยนฺตโตว คเหตพฺพาฯ จีวรวิปฺปวาสปริหาโรเปตฺถ อโพฺภกาสปริเจฺฉทสฺส วิชฺชมานตฺตา วุโตฺต, น ปน ยาว สีมาปริเจฺฉทํ ลพฺภมานตฺตา มหาสีมาย อวิปฺปวาสสีมาโวหาโร วิยฯ มหาสีมายมฺปิ หิ คามคามูปจาเรสุ จีวรํ นิสฺสคฺคิยํ โหติฯ อิธาปิ มเชฺฌ ฐิตสฺส สีมาปริยเนฺต นิสฺสคฺคิยํ โหติฯ ตสฺมา ยถาวุตฺตสีมาเปกฺขวเสเนเวตาสํ สตฺตพฺภนฺตรอุทกุเกฺขปสีมานํ อุปฺปตฺติ, ตพฺพิคเมน วินาโส จ คเหตพฺพาติ อมฺหากํ ขนฺติฯ วีมํสิตฺวา คเหตพฺพํฯ อโญฺญ วา ปกาโร อิโต ยุตฺตตโร คเวสิตโพฺพฯ
Yo ca cīvarāvippavāsatthaṃ bhagavatā abbhokāse dassito sattabbhantaraparicchedo, so sīmā eva na hoti, khettataḷākādiparicchedo viya ayamettha eko paricchedova. Tattha ca bahūsu bhikkhūsu ekato ṭhitesu tesaṃ visuṃ visuṃ attano ṭhitaṭṭhānato paṭṭhāya samantā sattabbhantaraparicchedabbhantare eva cīvaraṃ ṭhapetabbaṃ. Na parisapariyantato paṭṭhāya. Parisapariyantato paṭṭhāya hi abbhantare gayhamāne abbhantarapariyosāne ṭhapitacīvaraṃ majjhe ṭhitassa abbhantarato bahi hotīti taṃ aruṇuggamane nissaggiyaṃ siyā. Sīmā pana parisapariyantatova gahetabbā. Cīvaravippavāsaparihāropettha abbhokāsaparicchedassa vijjamānattā vutto, na pana yāva sīmāparicchedaṃ labbhamānattā mahāsīmāya avippavāsasīmāvohāro viya. Mahāsīmāyampi hi gāmagāmūpacāresu cīvaraṃ nissaggiyaṃ hoti. Idhāpi majjhe ṭhitassa sīmāpariyante nissaggiyaṃ hoti. Tasmā yathāvuttasīmāpekkhavasenevetāsaṃ sattabbhantaraudakukkhepasīmānaṃ uppatti, tabbigamena vināso ca gahetabbāti amhākaṃ khanti. Vīmaṃsitvā gahetabbaṃ. Añño vā pakāro ito yuttataro gavesitabbo.
อิธ ปน ‘‘อรเญฺญ สมนฺตา สตฺตพฺภนฺตรา’’ติ เอวํ ปาฬิยํ วิญฺฌาฎวิสทิเส อรเญฺญ สมนฺตา สตฺตพฺภนฺตราติ อฎฺฐกถายญฺจ รุกฺขาทินิรนฺตเรปิ อรเญฺญ สตฺตพฺภนฺตรสีมาย วิหิตตฺตา อตฺตโน นิสฺสยภูตาย อรญฺญสีมาย สห เอตสฺสา รุกฺขาทิสมฺพเนฺธ โทสาภาโว ปเคว อคามเก รุเกฺขติ นิสฺสิเตปิ ปเทเส จีวรวิปฺปวาสสฺส รุกฺขปริหารํ วินาว อโพฺภกาสปริหาโรว อนุมโตติ สิโทฺธติ เวทิตโพฺพฯ
Idha pana ‘‘araññe samantā sattabbhantarā’’ti evaṃ pāḷiyaṃ viñjhāṭavisadise araññe samantā sattabbhantarāti aṭṭhakathāyañca rukkhādinirantarepi araññe sattabbhantarasīmāya vihitattā attano nissayabhūtāya araññasīmāya saha etassā rukkhādisambandhe dosābhāvo pageva agāmake rukkheti nissitepi padese cīvaravippavāsassa rukkhaparihāraṃ vināva abbhokāsaparihārova anumatoti siddhoti veditabbo.
อุปจารตฺถายาติ สีมนฺตริกตฺถาย สตฺตพฺภนฺตรโต อธิกํ วฎฺฎติฯ อูนกํ ปน น วฎฺฎติ เอว สตฺตพฺภนฺตรปริเจฺฉทสฺส ทุพฺพิชานตฺตาฯ ตสฺมา สงฺฆํ วินา เอเกนาปิ ภิกฺขุนา พหิ ติฎฺฐเนฺตน อญฺญํ สตฺตพฺภนฺตรํ อติกฺกมิตฺวา อติทูเร เอว ฐาตพฺพํ, อิตรถา กมฺมโกปสงฺกโตฯ อุทกุเกฺขเปปิ เอเสว นโยฯ เตเนว วกฺขติ ‘‘อูนกํ ปน น วฎฺฎตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๗)ฯ อิทเญฺจตฺถ สีมนฺตริกวิธานํ ทฺวินฺนํ พทฺธสีมานํ สีมนฺตริกานุชานนสุตฺตานุโลมโต สิทฺธนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ กิญฺจาปิ หิ ภควตา นิทานวเสน เอกคามสีมานิสฺสิตานํ , เอกสภาคานญฺจ ทฺวินฺนํ พทฺธสีมานเมว อญฺญมญฺญํ สเมฺภทโชฺฌตฺถรณโทสปริหาราย สีมนฺตริกา อนุญฺญาตา, ตถาปิ ตทนุโลมโต เอกอรญฺญสีมานทิอาทิสีมญฺจ นิสฺสิตานํ เอกสภาคานํ ทฺวินฺนํ สตฺตพฺภนฺตรสีมานมฺปิ อุทกุเกฺขปสีมานมฺปิ อญฺญมญฺญํ สเมฺภทโชฺฌตฺถรณํ, สีมนฺตริกํ วินา อพฺยวธาเนน ฐานญฺจ ภควตา อนภิมตเมวาติ ญตฺวา อฎฺฐกถาจริยา อิธาปิ สีมนฺตริกวิธานมกํสุฯ วิสภาคสีมานมฺปิ หิ เอกสีมานิสฺสิตตฺตํ, เอกสภาคตฺตญฺจาติ ทฺวีหเงฺคหิ สมนฺนาคเต สติ เอกํ สีมนฺตริกํ วินา ฐานํ สเมฺภทาย โหติ, นาสตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ สีมนฺตริกวิธานสามตฺถิเยเนว เจตาสํ รุกฺขาทิสมฺพโนฺธปิ พทฺธสีมานํ วิย อญฺญมญฺญํ น วฎฺฎตีติ อยมฺปิ นยโต ทสฺสิโต เอวาติ คเหตพฺพํฯ
Upacāratthāyāti sīmantarikatthāya sattabbhantarato adhikaṃ vaṭṭati. Ūnakaṃ pana na vaṭṭati eva sattabbhantaraparicchedassa dubbijānattā. Tasmā saṅghaṃ vinā ekenāpi bhikkhunā bahi tiṭṭhantena aññaṃ sattabbhantaraṃ atikkamitvā atidūre eva ṭhātabbaṃ, itarathā kammakopasaṅkato. Udakukkhepepi eseva nayo. Teneva vakkhati ‘‘ūnakaṃ pana na vaṭṭatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 147). Idañcettha sīmantarikavidhānaṃ dvinnaṃ baddhasīmānaṃ sīmantarikānujānanasuttānulomato siddhanti daṭṭhabbaṃ. Kiñcāpi hi bhagavatā nidānavasena ekagāmasīmānissitānaṃ , ekasabhāgānañca dvinnaṃ baddhasīmānameva aññamaññaṃ sambhedajjhottharaṇadosaparihārāya sīmantarikā anuññātā, tathāpi tadanulomato ekaaraññasīmānadiādisīmañca nissitānaṃ ekasabhāgānaṃ dvinnaṃ sattabbhantarasīmānampi udakukkhepasīmānampi aññamaññaṃ sambhedajjhottharaṇaṃ, sīmantarikaṃ vinā abyavadhānena ṭhānañca bhagavatā anabhimatamevāti ñatvā aṭṭhakathācariyā idhāpi sīmantarikavidhānamakaṃsu. Visabhāgasīmānampi hi ekasīmānissitattaṃ, ekasabhāgattañcāti dvīhaṅgehi samannāgate sati ekaṃ sīmantarikaṃ vinā ṭhānaṃ sambhedāya hoti, nāsatīti daṭṭhabbaṃ. Sīmantarikavidhānasāmatthiyeneva cetāsaṃ rukkhādisambandhopi baddhasīmānaṃ viya aññamaññaṃ na vaṭṭatīti ayampi nayato dassito evāti gahetabbaṃ.
‘‘สภาเวเนวา’’ติ อิมินา คามสีมา วิย อพทฺธสีมาติ ทเสฺสติฯ สพฺพเมตฺถ สงฺฆกมฺมํ กาตุํ วฎฺฎตีติ สมานสํวาสา เอกูโปสถาติ ทเสฺสติฯ เยน เกนจีติ อนฺตมโส สูกราทินา สเตฺตนฯ มโหเฆน ปน อุนฺนตฎฺฐานโต นินฺนฎฺฐาเน ปตเนฺตน ขโต ขุทฺทโก วา มหโนฺต วา ลกฺขณยุโตฺต ชาตสฺสโรวฯ เอตฺถาปิ ขุทฺทเก อุทกุเกฺขปกิจฺจํ นตฺถิ, สมุเทฺท ปน สพฺพถา อุทกุเกฺขปสีมายเมว กมฺมํ กาตพฺพํ โสเธตุํ ทุกฺกรตฺตาฯ
‘‘Sabhāvenevā’’ti iminā gāmasīmā viya abaddhasīmāti dasseti. Sabbamettha saṅghakammaṃ kātuṃ vaṭṭatīti samānasaṃvāsā ekūposathāti dasseti. Yena kenacīti antamaso sūkarādinā sattena. Mahoghena pana unnataṭṭhānato ninnaṭṭhāne patantena khato khuddako vā mahanto vā lakkhaṇayutto jātassarova. Etthāpi khuddake udakukkhepakiccaṃ natthi, samudde pana sabbathā udakukkhepasīmāyameva kammaṃ kātabbaṃ sodhetuṃ dukkarattā.
ปุน ตตฺถาติ โลกโวหารสิทฺธาสุ เอตาสุ นทิอาทีสุ ตีสุ อพทฺธสีมาสุ ปุน วคฺคกมฺมปริหารตฺถํ สาสนโวหารสิทฺธาย อพทฺธสีมาย ปริเจฺฉทํ ทเสฺสโนฺตติ อธิปฺปาโยฯ ปาฬิยํ ยํ มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺสาติอาทีสุ อุทกํ อุกฺขิปิตฺวา ขิปียติ เอตฺถาติ อุทกุเกฺขโป, อุทกสฺส ปตโนกาโส, ตสฺมา อุทกุเกฺขปาฯ อยเญฺหตฺถ ปทสมฺพนฺธวเสน อโตฺถ – ปริสปริยนฺตโต ปฎฺฐาย สมนฺตา ยาว มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส อุทกุเกฺขโป อุทกปตนฎฺฐานํ, ตาว ยํ ตํ ปริจฺฉินฺนฎฺฐานํ, อยํ ตตฺถ นทิอาทีสุ อปรา สมานสํวาสา อุทกุเกฺขปสีมาติฯ
Puna tatthāti lokavohārasiddhāsu etāsu nadiādīsu tīsu abaddhasīmāsu puna vaggakammaparihāratthaṃ sāsanavohārasiddhāya abaddhasīmāya paricchedaṃ dassentoti adhippāyo. Pāḷiyaṃ yaṃ majjhimassa purisassātiādīsu udakaṃ ukkhipitvā khipīyati etthāti udakukkhepo, udakassa patanokāso, tasmā udakukkhepā. Ayañhettha padasambandhavasena attho – parisapariyantato paṭṭhāya samantā yāva majjhimassa purisassa udakukkhepo udakapatanaṭṭhānaṃ, tāva yaṃ taṃ paricchinnaṭṭhānaṃ, ayaṃ tattha nadiādīsu aparā samānasaṃvāsā udakukkhepasīmāti.
ตสฺส อโนฺตติ ตสฺส อุทกุเกฺขปปริจฺฉินฺนสฺส ฐานสฺส อโนฺตฯ น เกวลญฺจ ตเสฺสว อโนฺต, ตโต พหิปิ, เอกสฺส อุทกุเกฺขปสฺส อโนฺต ฐาตุํ น วฎฺฎตีติ วจนํ อุทกุเกฺขปปริเจฺฉทสฺส ทุพฺพิชานโต กมฺมโกปสงฺกา โหตีติฯ เตเนว มาติกาฎฺฐกถายํ ‘‘ปริเจฺฉทพฺภนฺตเร หตฺถปาสํ วิชหิตฺวา ฐิโตปิ ปริเจฺฉทโต พหิ อญฺญํ ตตฺตกํเยว ปริเจฺฉทํ อนติกฺกมิตฺวา ฐิโตปิ กมฺมํ โกเปติ อิทํ สพฺพอฎฺฐกถาสุ สนฺนิฎฺฐาน’’นฺติ (กงฺขา. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา) วุตฺตํฯ ยํ ปเนตฺถ สารตฺถทีปนิยํ ‘‘ตสฺส อโนฺต หตฺถปาสํ วิชหิตฺวา ฐิโต กมฺมํ โกเปตีติ อิมินา พหิปริเจฺฉทโต ยตฺถ กตฺถจิ ฐิโต กมฺมํ น โกเปตี’’ติ (สารตฺถ. ฎี. มหาวคฺค ๓.๑๔๗) วตฺวา มาติกาฎฺฐกถาวจนมฺปิ ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘เนว ปาฬิยํ น อฎฺฐกถายํ อุปลพฺภตี’’ติอาทิ พหุ ปปญฺจิตํ, ตํ น สุนฺทรํ อิธ อฎฺฐกถาวจเนน มาติกาฎฺฐกถาวจนสฺส นยโต สํสนฺทนโต สงฺฆฎนโตฯ ตถา หิ ทฺวินฺนํ อุทกุเกฺขปปริเจฺฉทานมนฺตรา วิทตฺถิจตุรงฺคุลมตฺตมฺปิ สีมนฺตริกํ อฎฺฐเปตฺวา ‘‘อโญฺญ อุทกุเกฺขโป สีมนฺตริกาย ฐเปตโพฺพ, ตโต อธิกํ วฎฺฎติ เอว, อูนกํ ปน น วฎฺฎตี’’ติ เอวํ อิเธว วุเตฺตน อิมินา อฎฺฐกถาวจเนน สีมนฺตริโกปจาเรน อุทกุเกฺขปโต อูนเก ฐปิเต สีมาย สีมาสเมฺภทโต กมฺมโกโปปิ วุโตฺต เอวฯ ยทเคฺคน จ เอวํ วุโตฺต, ตทเคฺคน ตตฺถ เอกภิกฺขุโน ปเวเสปิ สติ ตสฺส สีมฎฺฐภาวโต กมฺมโกโป วุโตฺต เอว โหติฯ อฎฺฐกถายํ ‘‘อูนกํ ปน น วฎฺฎตี’’ติ กถนเญฺจตํ อุทกุเกฺขปปริเจฺฉทสฺส ทุพฺพิชานเนฺตนปิ สีมาสเมฺภทสงฺกอาปริหารตฺถํ วุตฺตํฯ สตฺตพฺภนฺตรสีมานมนฺตรา ตตฺตกปริเจฺฉเทเนว สีมนฺตริกวิธานวจนโตปิ เอตาสํ ทุพฺพิชานปริเจฺฉทตา, ตตฺถ จ ฐิตานํ กมฺมโกปสงฺกา สิชฺฌติฯ กมฺมโกปสงฺกฎฺฐานมฺปิ อาจริยา ทูรโต ปริหารตฺถํ กมฺมโกปฎฺฐานนฺติ วตฺวาว ฐเปสุนฺติ คเหตพฺพํฯ
Tassa antoti tassa udakukkhepaparicchinnassa ṭhānassa anto. Na kevalañca tasseva anto, tato bahipi, ekassa udakukkhepassa anto ṭhātuṃ na vaṭṭatīti vacanaṃ udakukkhepaparicchedassa dubbijānato kammakopasaṅkā hotīti. Teneva mātikāṭṭhakathāyaṃ ‘‘paricchedabbhantare hatthapāsaṃ vijahitvā ṭhitopi paricchedato bahi aññaṃ tattakaṃyeva paricchedaṃ anatikkamitvā ṭhitopi kammaṃ kopeti idaṃ sabbaaṭṭhakathāsu sanniṭṭhāna’’nti (kaṅkhā. aṭṭha. nidānavaṇṇanā) vuttaṃ. Yaṃ panettha sāratthadīpaniyaṃ ‘‘tassa anto hatthapāsaṃ vijahitvā ṭhito kammaṃ kopetīti iminā bahiparicchedato yattha katthaci ṭhito kammaṃ na kopetī’’ti (sārattha. ṭī. mahāvagga 3.147) vatvā mātikāṭṭhakathāvacanampi paṭikkhipitvā ‘‘neva pāḷiyaṃ na aṭṭhakathāyaṃ upalabbhatī’’tiādi bahu papañcitaṃ, taṃ na sundaraṃ idha aṭṭhakathāvacanena mātikāṭṭhakathāvacanassa nayato saṃsandanato saṅghaṭanato. Tathā hi dvinnaṃ udakukkhepaparicchedānamantarā vidatthicaturaṅgulamattampi sīmantarikaṃ aṭṭhapetvā ‘‘añño udakukkhepo sīmantarikāya ṭhapetabbo, tato adhikaṃ vaṭṭati eva, ūnakaṃ pana na vaṭṭatī’’ti evaṃ idheva vuttena iminā aṭṭhakathāvacanena sīmantarikopacārena udakukkhepato ūnake ṭhapite sīmāya sīmāsambhedato kammakopopi vutto eva. Yadaggena ca evaṃ vutto, tadaggena tattha ekabhikkhuno pavesepi sati tassa sīmaṭṭhabhāvato kammakopo vutto eva hoti. Aṭṭhakathāyaṃ ‘‘ūnakaṃ pana na vaṭṭatī’’ti kathanañcetaṃ udakukkhepaparicchedassa dubbijānantenapi sīmāsambhedasaṅkaāparihāratthaṃ vuttaṃ. Sattabbhantarasīmānamantarā tattakaparicchedeneva sīmantarikavidhānavacanatopi etāsaṃ dubbijānaparicchedatā, tattha ca ṭhitānaṃ kammakopasaṅkā sijjhati. Kammakopasaṅkaṭṭhānampi ācariyā dūrato parihāratthaṃ kammakopaṭṭhānanti vatvāva ṭhapesunti gahetabbaṃ.
ตนฺติ สีมํฯ ‘‘สีฆเมว อติกฺกาเมตี’’ติ อิมินา ตํ อนติกฺกมิตฺวา อโนฺต เอว ปริวตฺตมานาย กาตุํ วฎฺฎตีติ ทเสฺสติฯ เอตทตฺถเมว หิ วาลุกาทีหิ สีมาปริจฺฉินฺทนํ, อิตรถา พหิ ปริวตฺตา นุ โข, โน วาติ กมฺมโกปสงฺกา ภเวยฺยาติฯ อญฺญิสฺสา อนุสฺสาวนาติ เกวลาย นทิสีมาย อนุสฺสาวนา ฯ อโนฺตนทิยํ ชาตรุเกฺข วาติ อุทกุเกฺขปปริเจฺฉทสฺส พหิ ฐิเต รุเกฺขปิ วาฯ พหินทิตีรเมว หิ วิสภาคสีมตฺตา อพนฺธิตพฺพฎฺฐานํ, น อโนฺตนที นิสฺสยเตฺตน สภาคตฺตาฯ เตเนว ‘‘พหินทิตีเร วิหารสีมาย วา’’ติอาทินา ตีรเมว อพนฺธิตพฺพฎฺฐานเตฺตน ทสฺสิตํ, น ปน นทีฯ ‘‘รุเกฺขปิ ฐิเตหี’’ติ อิทํ อโนฺตอุทกุเกฺขปฎฺฐํ สนฺธาย วุตฺตํฯ น หิ พหิอุทกุเกฺขเป ภิกฺขูนํ ฐาตุํ วฎฺฎติฯ
Tanti sīmaṃ. ‘‘Sīghameva atikkāmetī’’ti iminā taṃ anatikkamitvā anto eva parivattamānāya kātuṃ vaṭṭatīti dasseti. Etadatthameva hi vālukādīhi sīmāparicchindanaṃ, itarathā bahi parivattā nu kho, no vāti kammakopasaṅkā bhaveyyāti. Aññissā anussāvanāti kevalāya nadisīmāya anussāvanā . Antonadiyaṃ jātarukkhe vāti udakukkhepaparicchedassa bahi ṭhite rukkhepi vā. Bahinaditīrameva hi visabhāgasīmattā abandhitabbaṭṭhānaṃ, na antonadī nissayattena sabhāgattā. Teneva ‘‘bahinaditīre vihārasīmāya vā’’tiādinā tīrameva abandhitabbaṭṭhānattena dassitaṃ, na pana nadī. ‘‘Rukkhepi ṭhitehī’’ti idaṃ antoudakukkhepaṭṭhaṃ sandhāya vuttaṃ. Na hi bahiudakukkhepe bhikkhūnaṃ ṭhātuṃ vaṭṭati.
รุกฺขสฺสาติ ตเสฺสว อโนฺตอุทกุเกฺขปฎฺฐสฺส รุกฺขสฺสฯ สีมํ วา โสเธตฺวาติ ยถาวุตฺตํ วิหาเร พทฺธสีมํ, คามสีมญฺจ ตตฺถ ฐิตภิกฺขูนํ หตฺถปาสานยนพหิสีมากรณวเสเนว โสเธตฺวาฯ ยถา จ อุทกุเกฺขปสีมายํ กมฺมํ กโรเนฺตหิ, เอวํ พทฺธสีมายํ, คามสีมายํ วา กมฺมํ กโรเนฺตหิปิ อุทกุเกฺขปสีมเฎฺฐ โสเธตฺวาว กาตพฺพํฯ เอเตเนว สตฺตพฺภนฺตรอรญฺญสีมาหิปิ อุทกุเกฺขปสีมาย, อิมาย จ สทฺธิํ ตาสํ รุกฺขาทิสมฺพนฺธโทโสปิ นยโต ทสฺสิโตว โหติฯ อิมินาว นเยน สตฺตพฺภนฺตรสีมาย พทฺธสีมาคามสีมาหิปิ สทฺธิํ, เอตาสญฺจ สตฺตพฺภนฺตรสีมาย สทฺธิํ สมฺพนฺธโทโส ญาตโพฺพฯ อฎฺฐกถายํ ปเนตํ สพฺพํ วุตฺตนยโต สกฺกา ญาตุนฺติ อญฺญมญฺญสมาสนฺนานเมเวตฺถ ทสฺสิตํฯ
Rukkhassāti tasseva antoudakukkhepaṭṭhassa rukkhassa. Sīmaṃ vā sodhetvāti yathāvuttaṃ vihāre baddhasīmaṃ, gāmasīmañca tattha ṭhitabhikkhūnaṃ hatthapāsānayanabahisīmākaraṇavaseneva sodhetvā. Yathā ca udakukkhepasīmāyaṃ kammaṃ karontehi, evaṃ baddhasīmāyaṃ, gāmasīmāyaṃ vā kammaṃ karontehipi udakukkhepasīmaṭṭhe sodhetvāva kātabbaṃ. Eteneva sattabbhantaraaraññasīmāhipi udakukkhepasīmāya, imāya ca saddhiṃ tāsaṃ rukkhādisambandhadosopi nayato dassitova hoti. Imināva nayena sattabbhantarasīmāya baddhasīmāgāmasīmāhipi saddhiṃ, etāsañca sattabbhantarasīmāya saddhiṃ sambandhadoso ñātabbo. Aṭṭhakathāyaṃ panetaṃ sabbaṃ vuttanayato sakkā ñātunti aññamaññasamāsannānamevettha dassitaṃ.
ตตฺริทํ สุตฺตานุโลมโต นยคฺคหณมุขํ – ยถา หิ พทฺธสีมายํ สมฺมตา วิปตฺติสีมา โหตีติ ตาสํ อญฺญมญฺญํ รุกฺขาทิสมฺพโนฺธ น วฎฺฎติ, เอวํ นทิอาทีสุ สมฺมตาปิ พทฺธสีมา วิปตฺติสีมาว โหตีติ ตาหิปิ สทฺธิํ ตสฺสา รุกฺขาทิสมฺพโนฺธ น วฎฺฎตีติ สิชฺฌติฯ อิมินา นเยน สตฺตพฺภนฺตรสีมาย คามนทิอาทีหิ สทฺธิํ, อุทกุเกฺขปสีมาย จ อรญฺญาทีหิ สทฺธิํ รุกฺขาทิสมฺพนฺธสฺส น วฎฺฎนกภาโว ญาตโพฺพ, เอวเมตา ภควตา อนุญฺญาตา พทฺธสีมา สตฺตพฺภนฺตรอุทกุเกฺขปสีมา อญฺญมญฺญเญฺจว อตฺตโน นิสฺสยวิรหิตาหิ อิตรีตราสํ นิสฺสยสีมาหิ จ รุกฺขาทิสมฺพเนฺธ สติ สเมฺภทโทสมาปชฺชตีติ สุตฺตานุโลมนโย ญาตโพฺพวฯ
Tatridaṃ suttānulomato nayaggahaṇamukhaṃ – yathā hi baddhasīmāyaṃ sammatā vipattisīmā hotīti tāsaṃ aññamaññaṃ rukkhādisambandho na vaṭṭati, evaṃ nadiādīsu sammatāpi baddhasīmā vipattisīmāva hotīti tāhipi saddhiṃ tassā rukkhādisambandho na vaṭṭatīti sijjhati. Iminā nayena sattabbhantarasīmāya gāmanadiādīhi saddhiṃ, udakukkhepasīmāya ca araññādīhi saddhiṃ rukkhādisambandhassa na vaṭṭanakabhāvo ñātabbo, evametā bhagavatā anuññātā baddhasīmā sattabbhantaraudakukkhepasīmā aññamaññañceva attano nissayavirahitāhi itarītarāsaṃ nissayasīmāhi ca rukkhādisambandhe sati sambhedadosamāpajjatīti suttānulomanayo ñātabbova.
อตฺตโน อตฺตโน ปน นิสฺสยภูตคามาทีหิ สทฺธิํ พทฺธสีมาทีนํ ติสฺสนฺนํ อุปฺปตฺติกาเล ภควตา อนุญฺญาตสฺส สเมฺภทโชฺฌตฺถรณสฺส อนุโลมโต รุกฺขาทิสมฺพโนฺธปิ อนุญฺญาโตว โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยทิ เอวํ อุทกุเกฺขปพทฺธสีมาทีนํ อนฺตรา กสฺมา สีมนฺตริกา น วิหิตาติ? นิสฺสยเภทสภาวเภเทหิ สยเมว ภินฺนตฺตาฯ เอกนิสฺสยเอกสภาวานเมว หิ สีมนฺตริกาย วินาสํ กโรตีติ วุโตฺตวายมโตฺถฯ เอเตเนว นทินิมิตฺตํ กตฺวา พทฺธาย สีมาย สเงฺฆ กมฺมํ กโรเนฺต นทิยมฺปิ ยาว คามเขตฺตํ อาหจฺจ ฐิตาย อุทกุเกฺขปสีมาย อเญฺญสํ กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎตีติ สิทฺธํ โหติฯ ยา ปเนตา โลกโวหารสิทฺธา คามารญฺญนทิสมุทฺทชาตสฺสรสีมา ปญฺจ, ตา อญฺญมญฺญรุกฺขาทิสมฺพเนฺธปิ สเมฺภทโทสํ นาปชฺชติ, ตถา โลกโวหาราภาวโตฯ น หิ คามาทโย คามนฺตราทีหิ, นทิอาทีหิ จ รุกฺขาทิสมฺพนฺธมเตฺตน สมฺภินฺนาติ โลเก โวหรนฺติฯ โลกโวหารสิทฺธานญฺจ โลกโวหารโตว สเมฺภโท วา อสเมฺภโท วา คเหตโพฺพ, นาญฺญโตฯ เตเนว อฎฺฐกถายํ ตาสํ อญฺญมญฺญํ กตฺถจิปิ สเมฺภทนโย น ทสฺสิโต, สาสนโวหารสิโทฺธเยว ทสฺสิโตติฯ
Attano attano pana nissayabhūtagāmādīhi saddhiṃ baddhasīmādīnaṃ tissannaṃ uppattikāle bhagavatā anuññātassa sambhedajjhottharaṇassa anulomato rukkhādisambandhopi anuññātova hotīti daṭṭhabbaṃ. Yadi evaṃ udakukkhepabaddhasīmādīnaṃ antarā kasmā sīmantarikā na vihitāti? Nissayabhedasabhāvabhedehi sayameva bhinnattā. Ekanissayaekasabhāvānameva hi sīmantarikāya vināsaṃ karotīti vuttovāyamattho. Eteneva nadinimittaṃ katvā baddhāya sīmāya saṅghe kammaṃ karonte nadiyampi yāva gāmakhettaṃ āhacca ṭhitāya udakukkhepasīmāya aññesaṃ kammaṃ kātuṃ vaṭṭatīti siddhaṃ hoti. Yā panetā lokavohārasiddhā gāmāraññanadisamuddajātassarasīmā pañca, tā aññamaññarukkhādisambandhepi sambhedadosaṃ nāpajjati, tathā lokavohārābhāvato. Na hi gāmādayo gāmantarādīhi, nadiādīhi ca rukkhādisambandhamattena sambhinnāti loke voharanti. Lokavohārasiddhānañca lokavohāratova sambhedo vā asambhedo vā gahetabbo, nāññato. Teneva aṭṭhakathāyaṃ tāsaṃ aññamaññaṃ katthacipi sambhedanayo na dassito, sāsanavohārasiddhoyeva dassitoti.
เอตฺถ ปน พทฺธสีมาย ตาว ‘‘เหฎฺฐา ปถวีสนฺธารกํ อุทกปริยนฺตํ กตฺวา สีมาคตา โหตี’’ติอาทินา (มหาว. อฎฺฐ. ๑๓๘) อโธภาคปริเจฺฉโท อฎฺฐกถายํ สพฺพถา ทสฺสิโตฯ คามสีมาทีนํ ปน น ทสฺสิโตฯ กถมยํ ชานิตโพฺพติ? เกจิ ตาเวตฺถ ‘‘คามสีมาทโยปิ พทฺธสีมา วิย ปถวีสนฺธารกํ อุทกํ อาหจฺจ ติฎฺฐตี’’ติ วทนฺติฯ
Ettha pana baddhasīmāya tāva ‘‘heṭṭhā pathavīsandhārakaṃ udakapariyantaṃ katvā sīmāgatā hotī’’tiādinā (mahāva. aṭṭha. 138) adhobhāgaparicchedo aṭṭhakathāyaṃ sabbathā dassito. Gāmasīmādīnaṃ pana na dassito. Kathamayaṃ jānitabboti? Keci tāvettha ‘‘gāmasīmādayopi baddhasīmā viya pathavīsandhārakaṃ udakaṃ āhacca tiṭṭhatī’’ti vadanti.
เกจิ ปน ตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘นทิสมุทฺทชาตสฺสรสีมา, ตาว ตนฺนิสฺสิตอุทกุเกฺขปสีมา จ ปถวิยา อุปริตเล, เหฎฺฐา จ อุทกโชฺฌตฺถรณปฺปเทเส เอว ติฎฺฐนฺติ, น ตโต เหฎฺฐา อุทกสฺส อโชฺฌตฺถรณาภาวาฯ สเจ ปน อุทโกฆาทินา โยชนปฺปมาณมฺปิ นินฺนฎฺฐานํ โหติ, นทิสีมาทโยว โหนฺติ, น ตโต เหฎฺฐาฯ ตสฺมา นทิอาทีนํ เหฎฺฐา พหิตีรมุเขน อุมเงฺคน, อิทฺธิยา วา ปวิโฎฺฐ ภิกฺขุ นทิยํ ฐิตานํ กมฺมํ น โกเปติฯ โส ปน อาสนฺนคาเม ภิกฺขูนํ กมฺมํ โกเปติฯ สเจ ปน โส อุภินฺนํ ตีรคามานํ มเชฺฌ นิสิโนฺน โหติ, อุภยคามฎฺฐานํ กมฺมํ โกเปติฯ สเจ ปน ตีรํ คามเขตฺตํ น โหติ, อคามการญฺญเมวฯ ตตฺถ ปน ตีรทฺวเยปิ สตฺตพฺภนฺตรสีมํ วินา เกวลาย ขุทฺทการญฺญสีมาย กมฺมํ กโรนฺตานํ กมฺมํ โกเปติฯ สเจ สตฺตพฺภนฺตรสีมายํ กโรนฺติ, ตทา ยทิ เตสํ สตฺตพฺภนฺตรสีมาย ปริเจฺฉโท เอตสฺส นิสิโนฺนกาสสฺส ปรโต เอกํ สตฺตพฺภนฺตรํ อติกฺกมิตฺวา ฐิโต น กมฺมโกโป ฯ โน เจ, กมฺมโกโปฯ คามสีมายํ ปน อโนฺตอุมเงฺค วา พิเล วา ยตฺถ ปวิสิตุํ สกฺกา, ยตฺถ วา สุวณฺณมณิอาทิํ ขณิตฺวา คณฺหนฺติ, คเหตุํ สกฺกาติ วา สมฺภาวนา โหติ, ตตฺตกํ เหฎฺฐาปิ คามสีมา, ตตฺถ อิทฺธิยา อโนฺต นิสิโนฺนปิ กมฺมํ โกเปติฯ ยตฺถ ปน ปกติมนุสฺสานํ ปเวสสมฺภาวนาปิ นตฺถิ, ตํ สพฺพํ ยาว ปถวิสนฺธารกอุทกา อรญฺญสีมาว, น คามสีมาฯ อรญฺญสีมายมฺปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถปิ หิ ยตฺตเก ปเทเส ปเวสสมฺภาวนา, ตตฺตกเมว อุปริตเล อรญฺญสีมา ปวตฺตติฯ ตโต ปน เหฎฺฐา น อรญฺญสีมา, ตตฺถ อุปริตเลน สห เอการญฺญโวหาราภาวโตฯ น หิ ตตฺถ ปวิฎฺฐํ อรญฺญํ ปวิโฎฺฐ ติ โวหรนฺติฯ ตสฺมา ตตฺรโฎฺฐ อุปริ อรญฺญฎฺฐานํ กมฺมํ น โกเปติ อุมงฺคนทิยํ ฐิโต วิย อุปรินทิยํ ฐิตานํฯ เอกสฺมิญฺหิ จกฺกวาเฬ คามนทิสมุทฺทชาตสฺสเร มุญฺจิตฺวา ตทวเสสํ อมนุสฺสาวาสํ เทวพฺรหฺมโลกํ อุปาทาย สพฺพํ อรญฺญเมวฯ ‘คามา วา อรญฺญา วา’ติ วุตฺตตฺตา หิ นทิสมุทฺทชาตสฺสราทิปิ อรญฺญเมวฯ อิธ ปน นทิอาทีนํ วิสุํ สีมาภาเวน คหิตตฺตา ตทวเสสเมว อรญฺญํ คเหตพฺพํฯ ตตฺถ จ ยตฺตเก ปเทเส เอกํ ‘อรญฺญ’นฺติ โวหรนฺติ, อยเมการญฺญสีมาฯ อินฺทปุรญฺหิ สพฺพํ เอการญฺญสีมาฯ ตถา อสุรยกฺขปุราทิฯ อากาสฎฺฐเทวพฺรหฺมวิมานานิ ปน สมนฺตา อากาสปริจฺฉินฺนานิ ปเจฺจกํ อรญฺญสีมา สมุทฺทมเชฺฌ ปพฺพตทีปกา วิยฯ ตตฺถ สพฺพตฺถ สตฺตพฺภนฺตรสีมายํ, อรญฺญสีมายเมว วาติ กมฺมํ กาตพฺพํฯ ตสฺมา อิธาปิ อุปริอรญฺญตเลน สทฺธิํ เหฎฺฐาปถวิยา อรญฺญโวหาราภาวา วิสุํ อรญฺญสีมาติ คเหตพฺพํฯ เตเนเวตฺถ คามนทิอาทิสีมากถาย อฎฺฐกถายํ ‘อิทฺธิมา ภิกฺขุ เหฎฺฐาปถวิตเล ฐิโต กมฺมํ โกเปตี’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๓๘) พทฺธสีมายํ ทสฺสิตนโย น ทสฺสิโต’’ติ วทนฺติฯ
Keci pana taṃ paṭikkhipitvā ‘‘nadisamuddajātassarasīmā, tāva tannissitaudakukkhepasīmā ca pathaviyā uparitale, heṭṭhā ca udakajjhottharaṇappadese eva tiṭṭhanti, na tato heṭṭhā udakassa ajjhottharaṇābhāvā. Sace pana udakoghādinā yojanappamāṇampi ninnaṭṭhānaṃ hoti, nadisīmādayova honti, na tato heṭṭhā. Tasmā nadiādīnaṃ heṭṭhā bahitīramukhena umaṅgena, iddhiyā vā paviṭṭho bhikkhu nadiyaṃ ṭhitānaṃ kammaṃ na kopeti. So pana āsannagāme bhikkhūnaṃ kammaṃ kopeti. Sace pana so ubhinnaṃ tīragāmānaṃ majjhe nisinno hoti, ubhayagāmaṭṭhānaṃ kammaṃ kopeti. Sace pana tīraṃ gāmakhettaṃ na hoti, agāmakāraññameva. Tattha pana tīradvayepi sattabbhantarasīmaṃ vinā kevalāya khuddakāraññasīmāya kammaṃ karontānaṃ kammaṃ kopeti. Sace sattabbhantarasīmāyaṃ karonti, tadā yadi tesaṃ sattabbhantarasīmāya paricchedo etassa nisinnokāsassa parato ekaṃ sattabbhantaraṃ atikkamitvā ṭhito na kammakopo . No ce, kammakopo. Gāmasīmāyaṃ pana antoumaṅge vā bile vā yattha pavisituṃ sakkā, yattha vā suvaṇṇamaṇiādiṃ khaṇitvā gaṇhanti, gahetuṃ sakkāti vā sambhāvanā hoti, tattakaṃ heṭṭhāpi gāmasīmā, tattha iddhiyā anto nisinnopi kammaṃ kopeti. Yattha pana pakatimanussānaṃ pavesasambhāvanāpi natthi, taṃ sabbaṃ yāva pathavisandhārakaudakā araññasīmāva, na gāmasīmā. Araññasīmāyampi eseva nayo. Tatthapi hi yattake padese pavesasambhāvanā, tattakameva uparitale araññasīmā pavattati. Tato pana heṭṭhā na araññasīmā, tattha uparitalena saha ekāraññavohārābhāvato. Na hi tattha paviṭṭhaṃ araññaṃ paviṭṭho ti voharanti. Tasmā tatraṭṭho upari araññaṭṭhānaṃ kammaṃ na kopeti umaṅganadiyaṃ ṭhito viya uparinadiyaṃ ṭhitānaṃ. Ekasmiñhi cakkavāḷe gāmanadisamuddajātassare muñcitvā tadavasesaṃ amanussāvāsaṃ devabrahmalokaṃ upādāya sabbaṃ araññameva. ‘Gāmā vā araññā vā’ti vuttattā hi nadisamuddajātassarādipi araññameva. Idha pana nadiādīnaṃ visuṃ sīmābhāvena gahitattā tadavasesameva araññaṃ gahetabbaṃ. Tattha ca yattake padese ekaṃ ‘arañña’nti voharanti, ayamekāraññasīmā. Indapurañhi sabbaṃ ekāraññasīmā. Tathā asurayakkhapurādi. Ākāsaṭṭhadevabrahmavimānāni pana samantā ākāsaparicchinnāni paccekaṃ araññasīmā samuddamajjhe pabbatadīpakā viya. Tattha sabbattha sattabbhantarasīmāyaṃ, araññasīmāyameva vāti kammaṃ kātabbaṃ. Tasmā idhāpi upariaraññatalena saddhiṃ heṭṭhāpathaviyā araññavohārābhāvā visuṃ araññasīmāti gahetabbaṃ. Tenevettha gāmanadiādisīmākathāya aṭṭhakathāyaṃ ‘iddhimā bhikkhu heṭṭhāpathavitale ṭhito kammaṃ kopetī’ti (mahāva. aṭṭha. 138) baddhasīmāyaṃ dassitanayo na dassito’’ti vadanti.
อิทเญฺจตาสํ คามสีมาทีนํ เหฎฺฐาปมาณทสฺสนํ สุตฺตาทิวิโรธาภาวา ยุตฺตํ วิย ทิสฺสติฯ วีมํสิตฺวา คเหตพฺพํฯ เอวํ คหเณ จ คามสีมายํ สมฺมตา พทฺธสีมา อุปริ คามสีมํ, เหฎฺฐา อุทกปริยนฺตํ อรญฺญสีมญฺจ อวตฺถรตีติ ตสฺสา อรญฺญสีมาปิ เขตฺตนฺติ สิชฺฌติฯ ภควตา จ ‘‘สพฺพา, ภิกฺขเว, นที อสีมา’’ติอาทินา (มหาว. อฎฺฐ. ๑๔๗) นทิสมุทฺทชาตสฺสรา พทฺธสีมาย อเขตฺตภาเวน วุตฺตา, น ปน อรญฺญํฯ ตสฺมา อรญฺญมฺปิ พทฺธสีมาย เขตฺตเมวาติ คเหตพฺพํฯ ยทิ เอวํ กสฺมา ตตฺถ สา น พชฺฌตีติ? ปโยชนาภาวาฯ สีมาเปกฺขานนฺตรเมว สตฺตพฺภนฺตรสีมาย สมฺภวโตฯ ตสฺสา จ อุปริ สมฺมตาย พทฺธสีมาย สเมฺภทโชฺฌตฺถรณานุโลมโต วิปตฺติสีมา เอว สิยาฯ คามเขเตฺต ปน ฐตฺวา อคามการเญฺญกเทสมฺปิ อโนฺตกริตฺวา สมฺมตา กิญฺจาปิ สุสมฺมตา, อคามการเญฺญ ภควตา วิหิตาย สตฺตพฺภนฺตรสีมายปิ อนิวตฺติโตฯ ตตฺถ ปน กมฺมํ กาตุํ ปวิฎฺฐานมฺปิ ตโต พหิ เกวลารเญฺญ กโรนฺตานมฺปิ อนฺตรา ตีณิ สตฺตพฺภนฺตรานิ ฐเปตพฺพานิ, อญฺญถา วิปตฺติ เอว สิยาติ สพฺพถา นิรตฺถกเมว อคามการเญฺญ พทฺธสีมากรณนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Idañcetāsaṃ gāmasīmādīnaṃ heṭṭhāpamāṇadassanaṃ suttādivirodhābhāvā yuttaṃ viya dissati. Vīmaṃsitvā gahetabbaṃ. Evaṃ gahaṇe ca gāmasīmāyaṃ sammatā baddhasīmā upari gāmasīmaṃ, heṭṭhā udakapariyantaṃ araññasīmañca avattharatīti tassā araññasīmāpi khettanti sijjhati. Bhagavatā ca ‘‘sabbā, bhikkhave, nadī asīmā’’tiādinā (mahāva. aṭṭha. 147) nadisamuddajātassarā baddhasīmāya akhettabhāvena vuttā, na pana araññaṃ. Tasmā araññampi baddhasīmāya khettamevāti gahetabbaṃ. Yadi evaṃ kasmā tattha sā na bajjhatīti? Payojanābhāvā. Sīmāpekkhānantarameva sattabbhantarasīmāya sambhavato. Tassā ca upari sammatāya baddhasīmāya sambhedajjhottharaṇānulomato vipattisīmā eva siyā. Gāmakhette pana ṭhatvā agāmakāraññekadesampi antokaritvā sammatā kiñcāpi susammatā, agāmakāraññe bhagavatā vihitāya sattabbhantarasīmāyapi anivattito. Tattha pana kammaṃ kātuṃ paviṭṭhānampi tato bahi kevalāraññe karontānampi antarā tīṇi sattabbhantarāni ṭhapetabbāni, aññathā vipatti eva siyāti sabbathā niratthakameva agāmakāraññe baddhasīmākaraṇanti veditabbaṃ.
อโนฺตนทิยํ ปวิฎฺฐสาขายาติ นทิยา ปถวิตลํ อาหจฺจ ฐิตาย สาขายปิ, ปเคว อนาหจฺจ ฐิตายฯ ปาโรเหปิ เอเสว นโยฯ เอเตน สภาคํ นทิสีมํ ผุสิตฺวา ฐิเตนปิ วิสภาคสีมาสมฺพนฺธสาขาทินา อุทกุเกฺขปสีมาย สมฺพโนฺธ น วฎฺฎตีติ ทเสฺสติฯ เอเตเนว มหาสีมํ, คามสีมญฺจ ผุสิตฺวา ฐิเตน สาขาทินา มาฬกสีมาย สมฺพโนฺธ น วฎฺฎตีติ ญาปิโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ
Antonadiyaṃ paviṭṭhasākhāyāti nadiyā pathavitalaṃ āhacca ṭhitāya sākhāyapi, pageva anāhacca ṭhitāya. Pārohepi eseva nayo. Etena sabhāgaṃ nadisīmaṃ phusitvā ṭhitenapi visabhāgasīmāsambandhasākhādinā udakukkhepasīmāya sambandho na vaṭṭatīti dasseti. Eteneva mahāsīmaṃ, gāmasīmañca phusitvā ṭhitena sākhādinā māḷakasīmāya sambandho na vaṭṭatīti ñāpitoti daṭṭhabbo.
อโนฺตนทิยํเยวาติ เสตุปาทานํ ตีรฎฺฐตํ นิวเตฺตติฯ เตน อุทกุเกฺขปปริเจฺฉทโต พหิ นทิยํ ปติฎฺฐิตเตฺตปิ สเมฺภทาภาวํ ทเสฺสติฯ เตนาห ‘‘พหิตีเร ปติฎฺฐิตา’’ติอาทิฯ ยทิ หิ อุทกุเกฺขปโต พหิ อโนฺตนทิยมฺปิ ปติฎฺฐิตเตฺต สเมฺภโท ภเวยฺย, ตมฺปิ ปฎิกฺขิปิตพฺพํ ภเวยฺย กมฺมโกปสฺส สมานตฺตา, น จ ปฎิกฺขิตฺตํฯ ตสฺมา สพฺพตฺถ อตฺตโน นิสฺสยสีมาย สเมฺภทโทโส นเตฺถวาติ คเหตพฺพํฯ
Antonadiyaṃyevāti setupādānaṃ tīraṭṭhataṃ nivatteti. Tena udakukkhepaparicchedato bahi nadiyaṃ patiṭṭhitattepi sambhedābhāvaṃ dasseti. Tenāha ‘‘bahitīre patiṭṭhitā’’tiādi. Yadi hi udakukkhepato bahi antonadiyampi patiṭṭhitatte sambhedo bhaveyya, tampi paṭikkhipitabbaṃ bhaveyya kammakopassa samānattā, na ca paṭikkhittaṃ. Tasmā sabbattha attano nissayasīmāya sambhedadoso natthevāti gahetabbaṃ.
อาวรเณน วาติ ทารุอาทิํ นิขณิตฺวา อุทกนิวารเณนฯ โกฎฺฎกพนฺธเนน วาติ มตฺติกาทีหิ ปูเรตฺวา กตเสตุพเนฺธนฯ อุภเยนาปิ อาวรณเมว ทเสฺสติฯ ‘‘นทิํ วินาเสตฺวา’’ติ วุตฺตเมวตฺถํ วิภาเวติ ‘‘เหฎฺฐา ปาฬิ พทฺธา’’ติ, เหฎฺฐา นทิํ อาวริตฺวา ปาฬิ พทฺธาติ อโตฺถฯ ฉฑฺฑิตโมทกนฺติ อติริโตฺตทกํฯ ‘‘นทิํ โอตฺถริตฺวา สนฺทนฎฺฐานโต’’ติ อิมินา ตฬากนทีนํ อนฺตรา ปวตฺตนฎฺฐาเน น วฎฺฎตีติ ทเสฺสติฯ อุปฺปติตฺวาติ ตีราทิภินฺทนวเสน วิปุลา หุตฺวาฯ วิหารสีมนฺติ พทฺธสีมํฯ
Āvaraṇena vāti dāruādiṃ nikhaṇitvā udakanivāraṇena. Koṭṭakabandhanena vāti mattikādīhi pūretvā katasetubandhena. Ubhayenāpi āvaraṇameva dasseti. ‘‘Nadiṃ vināsetvā’’ti vuttamevatthaṃ vibhāveti ‘‘heṭṭhā pāḷi baddhā’’ti, heṭṭhā nadiṃ āvaritvā pāḷi baddhāti attho. Chaḍḍitamodakanti atirittodakaṃ. ‘‘Nadiṃ ottharitvā sandanaṭṭhānato’’ti iminā taḷākanadīnaṃ antarā pavattanaṭṭhāne na vaṭṭatīti dasseti. Uppatitvāti tīrādibhindanavasena vipulā hutvā. Vihārasīmanti baddhasīmaṃ.
อคมนปเถติ ตทเหว คนฺตฺวา นิวตฺติตุํ อสกฺกุเณเยฺยฯ อรญฺญสีมาสงฺขฺยเมว คจฺฉตีติ โลกโวหารสิทฺธํ อคามการญฺญสีมํ สนฺธาย วทติฯ ตตฺถาติ ปกติยา มจฺฉพนฺธานํ คมนปเถสุ ทีปเกสุฯ
Agamanapatheti tadaheva gantvā nivattituṃ asakkuṇeyye. Araññasīmāsaṅkhyameva gacchatīti lokavohārasiddhaṃ agāmakāraññasīmaṃ sandhāya vadati. Tatthāti pakatiyā macchabandhānaṃ gamanapathesu dīpakesu.
ตํ ฐานนฺติ อาวาฎาทีนํ กตฎฺฐานเมว, น อกตนฺติ อโตฺถฯ โลณีติ สมุโทฺททกสฺส อุปฺปตฺติเวคนิโนฺน มาติกากาเรน ปวตฺตนโกฯ
Taṃ ṭhānanti āvāṭādīnaṃ kataṭṭhānameva, na akatanti attho. Loṇīti samuddodakassa uppattiveganinno mātikākārena pavattanako.
๑๔๘. สมฺภินฺทนฺตีติ ยตฺถ จตูหิ ภิกฺขูหิ นิสีทิตุํ น สกฺกา, ตตฺตกโต ปฎฺฐาย ยาว เกสคฺคมตฺตมฺปิ อโนฺตสีมาย กโรโนฺต สมฺภินฺทติฯ จตุนฺนํ ภิกฺขูนํ ปโหนกโต ปฎฺฐาย ยาว สกลมฺปิ อโนฺต กโรโนฺต อโชฺฌตฺถรนฺตีติ เวทิตพฺพํฯ สํสฎฺฐวิฎปาติ อญฺญมญฺญํ สิพฺพิตฺวา ฐิตมหาสาขมูลา, เอเตน อญฺญมญฺญสฺส อจฺจาสนฺนตํ ทีเปติฯ สาขาย สาขํ ผุสนฺตา หิ ทูรฎฺฐาปิ สิยฺยุํ, ตโต เอกํสโต สเมฺภทลกฺขณํ ทสฺสิตํ น สิยาติ ตํ ทเสฺสตุํ วิฎปคฺคหณํ กตํฯ เอวญฺหิ ภิกฺขูนํ นิสีทิตุํ อปฺปโหนกฎฺฐานํ อตฺตโน สีมาย อโนฺตสีมฎฺฐํ กริตฺวา ปุราณวิหารํ กโรโนฺต สีมาย สีมํ สมฺภินฺทติ นาม, น ตโต ปรนฺติ ทสฺสิตเมว โหติฯ พทฺธา โหตีติ โปราณกวิหารสีมํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อมฺพนฺติ อปเรน สมเยน ปุราณวิหารปริเกฺขปาทีนํ วินฎฺฐตฺตา อชานนฺตานํ ตํ ปุราณสีมาย นิมิตฺตภูตํ อมฺพํฯ อตฺตโน สีมาย อโนฺตสีมฎฺฐํ กริตฺวา ปุราณวิหารสีมฎฺฐํ ชมฺพุํ กิเตฺตตฺวา อมฺพชมฺพูนํ อนฺตเร ยํ ฐานํ, ตํ อตฺตโน สีมาย ปเวเสตฺวา พนฺธนฺตีติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ปุราณสีมาย นิมิตฺตภูตสฺส คามฎฺฐสฺส อมฺพรุกฺขสฺส อโนฺตสีมฎฺฐาย ชมฺพุยา สห สํสฎฺฐวิฎปเตฺตปิ สีมาย พนฺธนกาเล วิปตฺติ วา ปจฺฉา คามสีมาย สห สเมฺภโท วา กมฺมวิปตฺติ วา น โหตีติ มุขโตว วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
148.Sambhindantīti yattha catūhi bhikkhūhi nisīdituṃ na sakkā, tattakato paṭṭhāya yāva kesaggamattampi antosīmāya karonto sambhindati. Catunnaṃ bhikkhūnaṃ pahonakato paṭṭhāya yāva sakalampi anto karonto ajjhottharantīti veditabbaṃ. Saṃsaṭṭhaviṭapāti aññamaññaṃ sibbitvā ṭhitamahāsākhamūlā, etena aññamaññassa accāsannataṃ dīpeti. Sākhāya sākhaṃ phusantā hi dūraṭṭhāpi siyyuṃ, tato ekaṃsato sambhedalakkhaṇaṃ dassitaṃ na siyāti taṃ dassetuṃ viṭapaggahaṇaṃ kataṃ. Evañhi bhikkhūnaṃ nisīdituṃ appahonakaṭṭhānaṃ attano sīmāya antosīmaṭṭhaṃ karitvā purāṇavihāraṃ karonto sīmāya sīmaṃ sambhindati nāma, na tato paranti dassitameva hoti. Baddhā hotīti porāṇakavihārasīmaṃ sandhāya vuttaṃ. Ambanti aparena samayena purāṇavihāraparikkhepādīnaṃ vinaṭṭhattā ajānantānaṃ taṃ purāṇasīmāya nimittabhūtaṃ ambaṃ. Attano sīmāya antosīmaṭṭhaṃ karitvā purāṇavihārasīmaṭṭhaṃ jambuṃ kittetvā ambajambūnaṃ antare yaṃ ṭhānaṃ, taṃ attano sīmāya pavesetvā bandhantīti attho. Ettha ca purāṇasīmāya nimittabhūtassa gāmaṭṭhassa ambarukkhassa antosīmaṭṭhāya jambuyā saha saṃsaṭṭhaviṭapattepi sīmāya bandhanakāle vipatti vā pacchā gāmasīmāya saha sambhedo vā kammavipatti vā na hotīti mukhatova vuttanti veditabbaṃ.
ปเทสนฺติ สงฺฆสฺส นิสีทนปฺปโหนกปฺปเทสํฯ ‘‘สีมนฺตริกํ ฐเปตฺวา’’ติอาทินา สเมฺภทโชฺฌตฺถรณํ อกตฺวา พทฺธสีมาหิ อญฺญมญฺญํ ผุสาเปตฺวา อพฺยวธาเนน พทฺธาปิ สีมา อสีมา เอวาติ ทเสฺสติฯ ตสฺมา เอกทฺวงฺคุลมตฺตาปิ สีมนฺตริกา วฎฺฎติ เอวฯ สา ปน ทุโพฺพธาติ อฎฺฐกถาสุ จตุรงฺคุลาทิกา วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ทฺวินฺนํ สีมานนฺติ ทฺวินฺนํ พทฺธสีมานํฯ นิมิตฺตํ โหตีติ นิมิตฺตสฺส สีมโต พาหิรตฺตา พนฺธนกาเล ตาว สเมฺภทโทโส นตฺถีติ อธิปฺปาโย ฯ น เกวลญฺจ นิมิตฺตกตฺตา เอว สงฺกรํ กโรติ , อถ โข สีมนฺตริกาย ฐิโต อโญฺญปิ รุโกฺข กโรติ เอวฯ ตสฺมา อปฺปมตฺติกาย สีมนฺตริกาย วฑฺฒนกา รุกฺขาทโย น วฎฺฎนฺติ เอวฯ เอตฺถ จ อุปริ ทิสฺสมานขนฺธสาขาทิปเวเส เอว สงฺกรโทสสฺส สพฺพตฺถ ทสฺสิตตฺตา อทิสฺสมานานํ มูลานํ ปเวเสปิ ภูมิคติกตฺตา โทโส นตฺถีติ สิชฺฌติฯ สเจ ปน มูลานิปิ ทิสฺสมานาเนว ปวิสนฺติ, สงฺกโรวฯ ปพฺพตปาสาณา ปน ทิสฺสมานาปิ ภูมิคติกา เอวฯ ยทิ ปน พนฺธนกาเล เอว เอโก ถูลรุโกฺข อุภยมฺปิ สีมํ อาหจฺจ ติฎฺฐติ, ปจฺฉา พทฺธา อสีมา โหตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Padesanti saṅghassa nisīdanappahonakappadesaṃ. ‘‘Sīmantarikaṃ ṭhapetvā’’tiādinā sambhedajjhottharaṇaṃ akatvā baddhasīmāhi aññamaññaṃ phusāpetvā abyavadhānena baddhāpi sīmā asīmā evāti dasseti. Tasmā ekadvaṅgulamattāpi sīmantarikā vaṭṭati eva. Sā pana dubbodhāti aṭṭhakathāsu caturaṅgulādikā vuttāti daṭṭhabbaṃ. Dvinnaṃ sīmānanti dvinnaṃ baddhasīmānaṃ. Nimittaṃ hotīti nimittassa sīmato bāhirattā bandhanakāle tāva sambhedadoso natthīti adhippāyo . Na kevalañca nimittakattā eva saṅkaraṃ karoti , atha kho sīmantarikāya ṭhito aññopi rukkho karoti eva. Tasmā appamattikāya sīmantarikāya vaḍḍhanakā rukkhādayo na vaṭṭanti eva. Ettha ca upari dissamānakhandhasākhādipavese eva saṅkaradosassa sabbattha dassitattā adissamānānaṃ mūlānaṃ pavesepi bhūmigatikattā doso natthīti sijjhati. Sace pana mūlānipi dissamānāneva pavisanti, saṅkarova. Pabbatapāsāṇā pana dissamānāpi bhūmigatikā eva. Yadi pana bandhanakāle eva eko thūlarukkho ubhayampi sīmaṃ āhacca tiṭṭhati, pacchā baddhā asīmā hotīti daṭṭhabbaṃ.
สีมาสงฺกรนฺติ สีมาสเมฺภทํฯ ยํ ปน สารตฺถทีปนิยํ วุตฺตํ ‘‘สีมาสงฺกรํ กโรตีติ วฑฺฒิตฺวา สีมปฺปเทสํ ปวิเฎฺฐ ทฺวินฺนํ สีมานํ คตฎฺฐานสฺส ทุวิเญฺญยฺยตฺตา วุตฺต’’นฺติ (สารตฺถ. ฎี. มหาวคฺค ๓.๑๔๘), ตํ น ยุตฺตํ คามสีมายปิ สห สงฺกรํ กโรตีติ วตฺตพฺพโตฯ ตตฺถาปิ หิ นิมิเตฺต วฑฺฒิเต คามสีมาพทฺธสีมานํ คตฎฺฐานํ ทุพฺพิเญฺญยฺยเมว โหติ, ตตฺถ ปน อวตฺวา ทฺวินฺนํ พทฺธสีมานเมว สงฺกรสฺส วุตฺตตฺตา ยถาวุตฺตสมฺพทฺธโทโสว สงฺกร-สเทฺทน วุโตฺตติ คเหตพฺพํฯ ปาฬิยํ ปน นิทานวเสน ‘‘เยสํ, ภิกฺขเว, สีมา ปจฺฉา สมฺมตา, เตสํ ตํ กมฺมํ อธมฺมิก’’นฺติอาทินา (มหาว. ๑๔๘) ปจฺฉา สมฺมตาย อสีมเตฺต วุเตฺตปิ ทฺวีสุ คามสีมาสุ ฐตฺวา ทฺวีหิ สเงฺฆหิ สเมฺภทํ วา อโชฺฌตฺถรณํ วา กตฺวา สีมนฺตริกํ อฎฺฐเปตฺวา วา รุกฺขปาโรหาทิสมฺพนฺธํ อวิโยเชตฺวา วา เอกสฺมิํ ขเณ กมฺมวาจานิฎฺฐาปนวเสน เอกโต สมฺมตานํ ทฺวินฺนํ สีมานมฺปิ อสีมตา ปกาสิตาติ เวทิตพฺพํฯ
Sīmāsaṅkaranti sīmāsambhedaṃ. Yaṃ pana sāratthadīpaniyaṃ vuttaṃ ‘‘sīmāsaṅkaraṃ karotīti vaḍḍhitvā sīmappadesaṃ paviṭṭhe dvinnaṃ sīmānaṃ gataṭṭhānassa duviññeyyattā vutta’’nti (sārattha. ṭī. mahāvagga 3.148), taṃ na yuttaṃ gāmasīmāyapi saha saṅkaraṃ karotīti vattabbato. Tatthāpi hi nimitte vaḍḍhite gāmasīmābaddhasīmānaṃ gataṭṭhānaṃ dubbiññeyyameva hoti, tattha pana avatvā dvinnaṃ baddhasīmānameva saṅkarassa vuttattā yathāvuttasambaddhadosova saṅkara-saddena vuttoti gahetabbaṃ. Pāḷiyaṃ pana nidānavasena ‘‘yesaṃ, bhikkhave, sīmā pacchā sammatā, tesaṃ taṃ kammaṃ adhammika’’ntiādinā (mahāva. 148) pacchā sammatāya asīmatte vuttepi dvīsu gāmasīmāsu ṭhatvā dvīhi saṅghehi sambhedaṃ vā ajjhottharaṇaṃ vā katvā sīmantarikaṃ aṭṭhapetvā vā rukkhapārohādisambandhaṃ aviyojetvā vā ekasmiṃ khaṇe kammavācāniṭṭhāpanavasena ekato sammatānaṃ dvinnaṃ sīmānampi asīmatā pakāsitāti veditabbaṃ.
คามสีมาทิกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Gāmasīmādikathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๗๖. คามสีมาทิ • 76. Gāmasīmādi
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / คามสีมาทิกถา • Gāmasīmādikathā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / คามสีมาทิกถาวณฺณนา • Gāmasīmādikathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / คามสีมาทิกถาวณฺณนา • Gāmasīmādikathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๗๖. คามสีมาทิกถา • 76. Gāmasīmādikathā