Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā

    คมิกาทินิสฺสยวตฺถุกถาวณฺณนา

    Gamikādinissayavatthukathāvaṇṇanā

    ๑๒๑. ‘‘อทฺธานมคฺคปฺปฎิปเนฺนน ภิกฺขุนา นิสฺสยํ อลภมาเนน อนิสฺสิเตน วตฺถุนฺติ อวสฺสกาเลเยว วสฺสกาเล อทฺธานคมนสฺส ปาฬิยํเยว ปฎิกฺขิตฺตตฺตา’’ติ วุตฺตํ, ตํ อปฺปมาณํ สตฺตาหํ วสฺสเจฺฉทาทิวเสน อทฺธานคมนสมฺภวโต, คจฺฉนฺตเสฺสว วสฺสกาลคมนสมฺภวโต จฯ อนฺตรามเคฺค…เป.… อนาปตฺตีติ นิสฺสยทายกาภาเวเยวฯ ‘‘ตสฺส นิสฺสายา’’ติ ปาฐานุรูปํ วุตฺตํ, ตํ นิสฺสายาติ อโตฺถฯ ‘‘ยทา ปติรูโป นิสฺสยทายโก อาคจฺฉิสฺสตี’’ติ วจเนน อยํ วิธิ อวสฺสกาเล เอวาติ สิทฺธํฯ ‘‘อโนฺตวเสฺส ปน กสฺสจิ อาคมนาภาวา’’ติ วุตฺตํฯ สเจ โส ชลปฎฺฎเน วา ถลปฎฺฎเน วา วสโนฺต วสฺสูปนายิกาย อาสนฺนาย คนฺตุกาโม สุณาติ ‘‘อสุโก มหาเถโร อาคมิสฺสตี’’ติ, ตํ เจ อาคเมติ, วฎฺฎติฯ อาคเมนฺตเสฺสว เจ วสฺสูปนายิกทิวโส โหติ, โหตุ, คนฺตพฺพํ ตตฺถ, ยตฺถ นิสฺสยทายกํ ลภตีติฯ ปาติโมกฺขุเทฺทสกาภาเวน เจ คนฺตุํ วฎฺฎติ, ปเคว นิสฺสยทายกาภาเวนฯ สเจ โส คจฺฉโนฺต ชีวิตนฺตรายํ, พฺรหฺมจริยนฺตรายํ วา ปสฺสติ, ตเตฺถว วสิตพฺพนฺติ เอเกฯ

    121.‘‘Addhānamaggappaṭipannena bhikkhunā nissayaṃ alabhamānena anissitena vatthunti avassakāleyeva vassakāle addhānagamanassa pāḷiyaṃyeva paṭikkhittattā’’ti vuttaṃ, taṃ appamāṇaṃ sattāhaṃ vassacchedādivasena addhānagamanasambhavato, gacchantasseva vassakālagamanasambhavato ca. Antarāmagge…pe… anāpattīti nissayadāyakābhāveyeva. ‘‘Tassa nissāyā’’ti pāṭhānurūpaṃ vuttaṃ, taṃ nissāyāti attho. ‘‘Yadā patirūpo nissayadāyako āgacchissatī’’ti vacanena ayaṃ vidhi avassakāle evāti siddhaṃ. ‘‘Antovasse pana kassaci āgamanābhāvā’’ti vuttaṃ. Sace so jalapaṭṭane vā thalapaṭṭane vā vasanto vassūpanāyikāya āsannāya gantukāmo suṇāti ‘‘asuko mahāthero āgamissatī’’ti, taṃ ce āgameti, vaṭṭati. Āgamentasseva ce vassūpanāyikadivaso hoti, hotu, gantabbaṃ tattha, yattha nissayadāyakaṃ labhatīti. Pātimokkhuddesakābhāvena ce gantuṃ vaṭṭati, pageva nissayadāyakābhāvena. Sace so gacchanto jīvitantarāyaṃ, brahmacariyantarāyaṃ vā passati, tattheva vasitabbanti eke.

    ๑๒๒. ‘‘นาหํ อุสฺสหามิ เถรสฺส นามํ คเหตุ’’นฺติ อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามสฺส อายสฺมโตติ ลกฺขณโต อาหฯ ‘‘โคเตฺตนาปี’ติ วจนโต เยน โวหาเรน โวหริยนฺติ, เตน วฎฺฎตีติ สิทฺธํ, ตสฺมา ‘โก นาโม เต อุปชฺฌาโย’ติ ปุเฎฺฐนาปิ โคตฺตเมว นามํ กตฺวา วตฺตพฺพนฺติ สิทฺธํ โหติ, ตสฺมา จตุพฺพิเธสุ นาเมสุ เยน เกนจิ นาเมน อนุสฺสาวนา กาตพฺพา’’ติ วทนฺติฯ เอกสฺส พหูนิ นามานิ โหนฺติ, ตตฺถ เอกํ นามํ ญตฺติยา, เอกํ อนุสฺสาวนาย กาตุํ น วฎฺฎติ, อตฺถโต, พฺยญฺชนโต จ อภินฺนาหิ อนุสฺสาวนาหิ ภวิตพฺพนฺติฯ กตฺถจิ ‘‘อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตเตฺถรสฺสา’’ติ วตฺวา กตฺถจิ เกวลํ ‘‘พุทฺธรกฺขิตสฺสา’’ติ สาเวติ, ‘‘สาวนํ หาเปตี’’ติ น วุจฺจติ นามสฺส อหาปิตตฺตาติ เอเกฯ สเจ กตฺถจิ ‘‘อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตสฺสา’’ติ วตฺวา กตฺถจิ ‘‘พุทฺธรกฺขิตสฺสายสฺมโต’’ติ สาเวติ, ปาฐานุรูปตฺตา เขตฺตเมว โอติณฺณนฺติปิ เอเกฯ พฺยญฺชนเภทปฺปสงฺคโต อนุสฺสาวเน ตํ น วฎฺฎตีติ เอเกฯ สเจ ปน สพฺพฎฺฐาเนปิ ตเถว วทติ, วฎฺฎติ ภควตา ทินฺนลกฺขณานุรูปตฺตาฯ ลกฺขณวิโรธโต อญฺญถา น วฎฺฎตีติ เจ? น, ปโยคานุรูปตฺตาฯ ตตฺถ ตถา, อิธ อญฺญถา ปโยโคติ เจ? น, วิปตฺติลกฺขณานํ วิโรธโตฯ น สเพฺพน สพฺพํ, สาวนาหาปนา เอว หิ ปาฬิยํ ตทตฺถวิภาวเน อาคตาติ อญฺญปเทสุ สาวเนสุ ปริหาโร น สมฺภวติ อาจิณฺณกปฺปวิโรธโตฯ โสปิ กิํปมาณนฺติ เจ? ปมาณํ อาจริยุคฺคหสฺส ปมาณตฺตาฯ

    122. ‘‘Nāhaṃ ussahāmi therassa nāmaṃ gahetu’’nti itthannāmo itthannāmassa āyasmatoti lakkhaṇato āha. ‘‘Gottenāpī’ti vacanato yena vohārena vohariyanti, tena vaṭṭatīti siddhaṃ, tasmā ‘ko nāmo te upajjhāyo’ti puṭṭhenāpi gottameva nāmaṃ katvā vattabbanti siddhaṃ hoti, tasmā catubbidhesu nāmesu yena kenaci nāmena anussāvanā kātabbā’’ti vadanti. Ekassa bahūni nāmāni honti, tattha ekaṃ nāmaṃ ñattiyā, ekaṃ anussāvanāya kātuṃ na vaṭṭati, atthato, byañjanato ca abhinnāhi anussāvanāhi bhavitabbanti. Katthaci ‘‘āyasmato buddharakkhitattherassā’’ti vatvā katthaci kevalaṃ ‘‘buddharakkhitassā’’ti sāveti, ‘‘sāvanaṃ hāpetī’’ti na vuccati nāmassa ahāpitattāti eke. Sace katthaci ‘‘āyasmato buddharakkhitassā’’ti vatvā katthaci ‘‘buddharakkhitassāyasmato’’ti sāveti, pāṭhānurūpattā khettameva otiṇṇantipi eke. Byañjanabhedappasaṅgato anussāvane taṃ na vaṭṭatīti eke. Sace pana sabbaṭṭhānepi tatheva vadati, vaṭṭati bhagavatā dinnalakkhaṇānurūpattā. Lakkhaṇavirodhato aññathā na vaṭṭatīti ce? Na, payogānurūpattā. Tattha tathā, idha aññathā payogoti ce? Na, vipattilakkhaṇānaṃ virodhato. Na sabbena sabbaṃ, sāvanāhāpanā eva hi pāḷiyaṃ tadatthavibhāvane āgatāti aññapadesu sāvanesu parihāro na sambhavati āciṇṇakappavirodhato. Sopi kiṃpamāṇanti ce? Pamāṇaṃ ācariyuggahassa pamāṇattā.

    ๑๒๓. เทฺว เอกานุสฺสาวเนติ เอตฺถ คณฺฐิปเท ตาว เอวํ ลิขิตํ ‘‘เอกโต ปวตฺตอนุสฺสาวเน’’ฯ อิทํ สนฺธายาติ นานุปชฺฌายํ เอกาจริยํ อนุสฺสาวนกิริยํ สนฺธาย, ตญฺจ อนุสฺสาวนกิริยํ เอเกนุปชฺฌาเยน นานาจริเยหิ อนุชานามีติ อโตฺถฯ นานุปชฺฌาเยหิ เอเกนาจริเยน น เตฺวว อนุชานามีติ อโตฺถติฯ โปราณคณฺฐิปเทปิ ตเถว วตฺวา ‘‘ติณฺณํ อุทฺธํ น เกนจิ อากาเรน เอกโต วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํ, ตํ ยุตฺตํ, น หิ สโงฺฆ สงฺฆสฺส กมฺมํ กโรตีติ อาจริโยฯ อิทํ ปเนตฺถ จิเนฺตตพฺพํฯ กถํ? จตฺตาโร วา อติเรกา วา อุปสมฺปทาเปกฺขา สงฺฆโวหารํ น ลภนฺติ ภิกฺขุภาวํ อปฺปตฺตตฺตาฯ เกวลํ ภควตา ปริจฺฉินฺทิตฺวา ‘‘ตโย’’ติ วุตฺตตฺตา ตโต อุทฺธํ น วฎฺฎตีติ โน ตโกฺกติ อาจริโยฯ อนุคณฺฐิปเทปิ อยเมวโตฺถ พหุธา วิจาเรตฺวา วุโตฺตฯ ตถา อนฺธกฎฺฐกถายมฺปิฯ น สพฺพตฺถ อิมสฺมิํ อตฺถวิกเปฺป มติเภโท อตฺถิฯ ยา ปเนสา อุโภ ปริปุณฺณวีสติวสฺสา, อุภินฺนเมกุปชฺฌาโย, เอกาจริโย, เอกา กมฺมวาจา, เอโก อุปสมฺปโนฺน, เอโก อนุปสมฺปโนฺนติ ปริวารกถา, ตํ ทเสฺสตฺวา เอโก เจ อาจริโย ทฺวินฺนํ, ติณฺณํ วา อุปสมฺปทาเปกฺขานํ เอกํ กมฺมวาจํ เอเกนุปชฺฌาเยน สาเวติ, วฎฺฎตีติ เอเกฯ ตํ อยุตฺตํ, น หิ สกฺกา สิถิลธนิตาทิพฺยญฺชนลกฺขณสมฺปนฺนํ ตสฺมิํ ขเณ กมฺมวาจํ ทเสฺสตุํ วิมุตฺตโทสาทีสุ ปตนโต ฯ วิสุํ วิสุํ กรณํ สนฺธาย อิทํ วุตฺตนฺติ ทีปนตฺถํ ‘‘ตโย ปริปุณฺณวีสติวสฺสา , ติณฺณเมกุปชฺฌาโย, เอกาจริโย, เอกา กมฺมวาจา, เทฺว อุปสมฺปนฺนา, เอโก อนุปสมฺปโนฺน’’ติ น วุโตฺตฯ เอวญฺหิ วุเตฺต สกฺกา ตีสุ อากาสฎฺฐมปเนตฺวา สีมฎฺฐานํ ทฺวินฺนมนุรูปํ กมฺมวาจํ ทเสฺสตุํ, ตมนิฎฺฐปฺปสงฺคํ นิวาเรตุํ ‘‘อุโภ’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ตตฺถ ปริปุณฺณวีสติวสฺสวจเนน วตฺถุสมฺปตฺติ, ปริสาย ปธานตฺตา, อาจริยุปชฺฌายวจเนน ปริสสมฺปตฺติ, กมฺมวาจาย อนุสฺสาวนสมฺปตฺติ ทสฺสิตา, สีมสมฺปตฺติ เอเวกา น ทสฺสิตาฯ ตโต วิปตฺติ ชาตา กมฺมวาจานํ นานากฺขณิกตฺตาฯ เอกกฺขณภาเว สติ อุภินฺนํ สมฺปตฺติ วา สิยา วิปตฺติ วา, น เอกเสฺสว สมฺปตฺติ เอกสฺส วิปตฺตีติ สมฺภวติ วิมุตฺตาทิพฺยญฺชนโทสปฺปสงฺคโต’’ติ วุตฺตํ, ตํ วจนํ อุโภปิ เจเต สีมคตาว โหนฺติ, อุภินฺนํ เอกโต กมฺมสมฺปตฺติทีปนโต ทฺวินฺนํ เอกโต อนุสฺสาวนํ เอเกน อุปชฺฌาเยน เอเกนาจริเยน วฎฺฎตีติ สาเธติฯ ทฺวินฺนํ, ติณฺณญฺจ เอกโต สสมนุภาสนา จ ปาฬิยํเยว ทสฺสิตา, ตญฺจ อนุโลเมติฯ อฎฺฐกถาจริเยหิ นานุญฺญาตํ, น ปฎิกฺขิตฺตํ, วิจาเรตฺวา คเหตพฺพนฺติ อาจริโย, ตํ ธมฺมตาย วิรุชฺฌติฯ

    123.Dve ekānussāvaneti ettha gaṇṭhipade tāva evaṃ likhitaṃ ‘‘ekato pavattaanussāvane’’. Idaṃ sandhāyāti nānupajjhāyaṃ ekācariyaṃ anussāvanakiriyaṃ sandhāya, tañca anussāvanakiriyaṃ ekenupajjhāyena nānācariyehi anujānāmīti attho. Nānupajjhāyehi ekenācariyena na tveva anujānāmīti atthoti. Porāṇagaṇṭhipadepi tatheva vatvā ‘‘tiṇṇaṃ uddhaṃ na kenaci ākārena ekato vaṭṭatī’’ti vuttaṃ, taṃ yuttaṃ, na hi saṅgho saṅghassa kammaṃ karotīti ācariyo. Idaṃ panettha cintetabbaṃ. Kathaṃ? Cattāro vā atirekā vā upasampadāpekkhā saṅghavohāraṃ na labhanti bhikkhubhāvaṃ appattattā. Kevalaṃ bhagavatā paricchinditvā ‘‘tayo’’ti vuttattā tato uddhaṃ na vaṭṭatīti no takkoti ācariyo. Anugaṇṭhipadepi ayamevattho bahudhā vicāretvā vutto. Tathā andhakaṭṭhakathāyampi. Na sabbattha imasmiṃ atthavikappe matibhedo atthi. Yā panesā ubho paripuṇṇavīsativassā, ubhinnamekupajjhāyo, ekācariyo, ekā kammavācā, eko upasampanno, eko anupasampannoti parivārakathā, taṃ dassetvā eko ce ācariyo dvinnaṃ, tiṇṇaṃ vā upasampadāpekkhānaṃ ekaṃ kammavācaṃ ekenupajjhāyena sāveti, vaṭṭatīti eke. Taṃ ayuttaṃ, na hi sakkā sithiladhanitādibyañjanalakkhaṇasampannaṃ tasmiṃ khaṇe kammavācaṃ dassetuṃ vimuttadosādīsu patanato . Visuṃ visuṃ karaṇaṃ sandhāya idaṃ vuttanti dīpanatthaṃ ‘‘tayo paripuṇṇavīsativassā , tiṇṇamekupajjhāyo, ekācariyo, ekā kammavācā, dve upasampannā, eko anupasampanno’’ti na vutto. Evañhi vutte sakkā tīsu ākāsaṭṭhamapanetvā sīmaṭṭhānaṃ dvinnamanurūpaṃ kammavācaṃ dassetuṃ, tamaniṭṭhappasaṅgaṃ nivāretuṃ ‘‘ubho’’ti vuttaṃ. ‘‘Tattha paripuṇṇavīsativassavacanena vatthusampatti, parisāya padhānattā, ācariyupajjhāyavacanena parisasampatti, kammavācāya anussāvanasampatti dassitā, sīmasampatti evekā na dassitā. Tato vipatti jātā kammavācānaṃ nānākkhaṇikattā. Ekakkhaṇabhāve sati ubhinnaṃ sampatti vā siyā vipatti vā, na ekasseva sampatti ekassa vipattīti sambhavati vimuttādibyañjanadosappasaṅgato’’ti vuttaṃ, taṃ vacanaṃ ubhopi cete sīmagatāva honti, ubhinnaṃ ekato kammasampattidīpanato dvinnaṃ ekato anussāvanaṃ ekena upajjhāyena ekenācariyena vaṭṭatīti sādheti. Dvinnaṃ, tiṇṇañca ekato sasamanubhāsanā ca pāḷiyaṃyeva dassitā, tañca anulometi. Aṭṭhakathācariyehi nānuññātaṃ, na paṭikkhittaṃ, vicāretvā gahetabbanti ācariyo, taṃ dhammatāya virujjhati.

    อยญฺหิ พุทฺธานํ ธมฺมตา – ยทิทํ ยตฺถ ยตฺถ วจนนานตฺตมตฺถิ, ตตฺถ ตตฺถ ครุเกสุ ฐาเนสุ วตฺตพฺพยุตฺตํ วทนฺติฯ ทูเตน อุปสมฺปทาทโย เจตฺถ นิทสฺสนํฯ ยสฺมา เจตฺถ ปุเพฺพ อนุญฺญาตกมฺมวาจาย นานตฺตํ นตฺถิ, ตสฺมา ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, เทฺว ตโย เอกานุสฺสาวเน กาตุ’’นฺติ วตฺวา ‘‘เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, กาตโพฺพ’’ติ น วุตฺตํฯ นานเตฺต สติปิ ตตฺถ ตตฺถ ทฺวินฺนํ, พหูนํ วา วเสน วุตฺตกมฺมวาจานุสาเรน คเหตพฺพโต อวุตฺตนฺติ เจ? น หิ ลหุเกสุ ฐาเนสุ วตฺวา ครุเกสุ อวจนํ ธมฺมตาติ อาจริโยฯ อญฺญตรสฺมิํ ปน คณฺฐิปเท เอวํ ปปญฺจิตํ เทฺว เอกานุสฺสาวเนติ เทฺว เอกโต อนุสฺสาวเนฯ ‘‘เอเกน’’ อิติ ปาโฐ, เอเกน อาจริเยนาติ อโตฺถฯ ปุริมนเยเนวาติ ‘‘เอเกน วา ทฺวีหิ วา อาจริเยหี’’ติ วุตฺตนเยน เอว, ตสฺมา เอเกนาจริเยน เทฺว วา ตโย วา อนุสฺสาเวตพฺพาฯ ‘‘ทฺวีหิ วา ตีหิ วา’’ติ ปาโฐฯ นานาจริยา นานุปชฺฌายาติ เอตฺถ ‘‘ตญฺจ โข เอเกน อุปชฺฌาเยน, น เตฺวว นานุปชฺฌาเยนา’’ติ วุตฺตตฺตา น วฎฺฎตีติ เจ? วฎฺฎติฯ กถํ? เอเกน อนุสฺสาวเน เอกานุสฺสาวเนติ วิคฺคหสฺส ปากฎตฺตา ลีนเมว ทเสฺสตุํ ‘‘เอกโต อนุสฺสาวเน’’ติ วิคฺคโหว วุโตฺต, ตสฺมา อุชุกตฺตเมว สนฺธาย ตญฺจ โข เอเกน อนุสฺสาวนํ เอกานุสฺสาวนํ, เอเกน อุปชฺฌาเยน อนุชานามิ, น เตฺวว นานุปชฺฌาเยนาติ อโตฺถฯ อิทํ สนฺธาย หิ ทฺวิธา วิคฺคโห, ตสฺมา ‘‘นานาจริเยหิ นานุปชฺฌายา น วฎฺฎนฺตีติ สิทฺธเมวา’’ติ อญฺญถาปิ วทนฺติฯ ตญฺจ โข เอเกน อุปชฺฌาเยน เอกสฺส อุปชฺฌายสฺส วา วตฺตพฺพํ อนุสฺสาวนํ, น เตฺวว นานุปชฺฌาเยน อนุชานามีติ อโตฺถฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ‘‘เอโก อาจริโย, เทฺว วา ตโย วา อุปสมฺปทาเปกฺขา ทฺวินฺนํ ติณฺณํ วา อุปชฺฌายานํ น เตฺวว อนุชานามี’’ติ กิร วุตฺตนฺติฯ อปรสฺมิํ ปน คณฺฐิปเท ‘‘เอเกน อนุสฺสาวเนติ วิคฺคหสฺส ปากฎตฺตา ตํ ปกาเสตุํ ‘เอเกนา’ติ วุตฺตํฯ เอวํ วุเตฺต อวสฺสํ ปณฺฑิตา ชานนฺติฯ ตํปากฎตฺตา เจ ชานนฺติ, เอเกนาติ อิมินา กินฺติ เจ? กิญฺจาปิ ชานนฺติ, วิวาโท ปน โหติ อลทฺธเลสตฺตา, ชานิตุญฺจ น สกฺกา, ‘เอเกนา’ติ วุเตฺต ปน ตํ สพฺพํ น โหตีติ วุตฺต’’นฺติ ลิขิตํฯ เอวํ เอตฺถ อเนเก อาจริยา จ ตกฺกิกา จ อเนกธา ปปเญฺจนฺติ, ตํ สพฺพํ สุฎฺฐุ อุปปริกฺขิตฺวา ครุกุลํ ปยิรุปาสิตฺวา วํสานุคโตว อโตฺถ คเหตโพฺพฯ ‘‘น สพฺพตฺถ อิมสฺมิํ อตฺถวิกเปฺป มติเภโท อตฺถี’’ติ วุตฺตเมวฯ

    Ayañhi buddhānaṃ dhammatā – yadidaṃ yattha yattha vacananānattamatthi, tattha tattha garukesu ṭhānesu vattabbayuttaṃ vadanti. Dūtena upasampadādayo cettha nidassanaṃ. Yasmā cettha pubbe anuññātakammavācāya nānattaṃ natthi, tasmā ‘‘anujānāmi, bhikkhave, dve tayo ekānussāvane kātu’’nti vatvā ‘‘evañca pana, bhikkhave, kātabbo’’ti na vuttaṃ. Nānatte satipi tattha tattha dvinnaṃ, bahūnaṃ vā vasena vuttakammavācānusārena gahetabbato avuttanti ce? Na hi lahukesu ṭhānesu vatvā garukesu avacanaṃ dhammatāti ācariyo. Aññatarasmiṃ pana gaṇṭhipade evaṃ papañcitaṃ dve ekānussāvaneti dve ekato anussāvane. ‘‘Ekena’’ iti pāṭho, ekena ācariyenāti attho. Purimanayenevāti ‘‘ekena vā dvīhi vā ācariyehī’’ti vuttanayena eva, tasmā ekenācariyena dve vā tayo vā anussāvetabbā. ‘‘Dvīhi vā tīhi vā’’ti pāṭho. Nānācariyā nānupajjhāyāti ettha ‘‘tañca kho ekena upajjhāyena, na tveva nānupajjhāyenā’’ti vuttattā na vaṭṭatīti ce? Vaṭṭati. Kathaṃ? Ekena anussāvane ekānussāvaneti viggahassa pākaṭattā līnameva dassetuṃ ‘‘ekato anussāvane’’ti viggahova vutto, tasmā ujukattameva sandhāya tañca kho ekena anussāvanaṃ ekānussāvanaṃ, ekena upajjhāyena anujānāmi, na tveva nānupajjhāyenāti attho. Idaṃ sandhāya hi dvidhā viggaho, tasmā ‘‘nānācariyehi nānupajjhāyā na vaṭṭantīti siddhamevā’’ti aññathāpi vadanti. Tañca kho ekena upajjhāyena ekassa upajjhāyassa vā vattabbaṃ anussāvanaṃ, na tveva nānupajjhāyena anujānāmīti attho. Kiṃ vuttaṃ hoti? ‘‘Eko ācariyo, dve vā tayo vā upasampadāpekkhā dvinnaṃ tiṇṇaṃ vā upajjhāyānaṃ na tveva anujānāmī’’ti kira vuttanti. Aparasmiṃ pana gaṇṭhipade ‘‘ekena anussāvaneti viggahassa pākaṭattā taṃ pakāsetuṃ ‘ekenā’ti vuttaṃ. Evaṃ vutte avassaṃ paṇḍitā jānanti. Taṃpākaṭattā ce jānanti, ekenāti iminā kinti ce? Kiñcāpi jānanti, vivādo pana hoti aladdhalesattā, jānituñca na sakkā, ‘ekenā’ti vutte pana taṃ sabbaṃ na hotīti vutta’’nti likhitaṃ. Evaṃ ettha aneke ācariyā ca takkikā ca anekadhā papañcenti, taṃ sabbaṃ suṭṭhu upaparikkhitvā garukulaṃ payirupāsitvā vaṃsānugatova attho gahetabbo. ‘‘Na sabbattha imasmiṃ atthavikappe matibhedo atthī’’ti vuttameva.







    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā / คมิกาทินิสฺสยวตฺถุกถา • Gamikādinissayavatthukathā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๕๙. คมิกาทินิสฺสยวตฺถุกถา • 59. Gamikādinissayavatthukathā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact