Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๒. คนฺธารวโคฺค
2. Gandhāravaggo
[๔๐๖] ๑. คนฺธารชาตกวณฺณนา
[406] 1. Gandhārajātakavaṇṇanā
หิตฺวา คามสหสฺสานีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เภสชฺชสนฺนิธิการสิกฺขาปทํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ ปน ราชคเห สมุฎฺฐิตํฯ อายสฺมตา หิ ปิลินฺทวเจฺฉน อารามิกกุลํ โมเจตุํ ราชนิเวสนํ คนฺตฺวา รโญฺญ ปาสาเท อิทฺธิพเลน โสวณฺณมเย กเต มนุสฺสา ปสีทิตฺวา เถรสฺส ปญฺจ เภสชฺชานิ ปหิณิํสุฯ โส ตานิ ปริสาย วิสฺสเชฺชสิฯ ปริสา ปนสฺส พาหุลฺลิกา อโหสิ, ลทฺธํ ลทฺธํ โกฬเมฺพปิ ฆเฎปิ ปตฺตตฺถวิกาโยปิ ปูเรตฺวา ปฎิสาเมสิฯ มนุสฺสา ทิสฺวา ‘‘มหิจฺฉา อิเม สมณา อโนฺตโกฎฺฐาคาริกา’’ติ อุชฺฌายิํสุฯ สตฺถา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘ยานิ โข ปน ตานิ คิลานานํ ภิกฺขูน’’นฺติ (ปารา. ๖๒๒-๖๒๓) สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตฺวา ‘‘ภิกฺขเว, โปราณกปณฺฑิตา อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ พาหิรกปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ปญฺจสีลมตฺตกํ รกฺขนฺตาปิ โลณสกฺขรมตฺตกํ ปุนทิวสตฺถาย นิทหเนฺต ครหิํสุ, ตุเมฺห ปน เอวรูเป นิยฺยานิกสาสเน ปพฺพชิตฺวา ทุติยตติยทิวสตฺถาย สนฺนิธิํ กโรนฺตา อยุตฺตํ กโรถา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Hitvāgāmasahassānīti idaṃ satthā jetavane viharanto bhesajjasannidhikārasikkhāpadaṃ ārabbha kathesi. Vatthu pana rājagahe samuṭṭhitaṃ. Āyasmatā hi pilindavacchena ārāmikakulaṃ mocetuṃ rājanivesanaṃ gantvā rañño pāsāde iddhibalena sovaṇṇamaye kate manussā pasīditvā therassa pañca bhesajjāni pahiṇiṃsu. So tāni parisāya vissajjesi. Parisā panassa bāhullikā ahosi, laddhaṃ laddhaṃ koḷambepi ghaṭepi pattatthavikāyopi pūretvā paṭisāmesi. Manussā disvā ‘‘mahicchā ime samaṇā antokoṭṭhāgārikā’’ti ujjhāyiṃsu. Satthā taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘yāni kho pana tāni gilānānaṃ bhikkhūna’’nti (pārā. 622-623) sikkhāpadaṃ paññapetvā ‘‘bhikkhave, porāṇakapaṇḍitā anuppanne buddhe bāhirakapabbajjaṃ pabbajitvā pañcasīlamattakaṃ rakkhantāpi loṇasakkharamattakaṃ punadivasatthāya nidahante garahiṃsu, tumhe pana evarūpe niyyānikasāsane pabbajitvā dutiyatatiyadivasatthāya sannidhiṃ karontā ayuttaṃ karothā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต คนฺธารรเฎฺฐ โพธิสโตฺต คนฺธารรโญฺญ ปุโตฺต หุตฺวา ปิตุ อจฺจเยน รเชฺช ปติฎฺฐาย ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ มชฺฌิมปเทเสปิ วิเทหรเฎฺฐ วิเทโห นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ เต เทฺวปิ ราชาโน อทิฎฺฐสหายา หุตฺวา อญฺญมญฺญํ ถิรวิสฺสาสา อเหสุํฯ ตทา มนุสฺสา ทีฆายุกา โหนฺติ, ติํส วสฺสสหสฺสานิ ชีวนฺติฯ อเถกทา คนฺธารราชา ปุณฺณมุโปสถทิวเส สมาทินฺนสีโล มหาตเล ปญฺญตฺตวรปลฺลงฺกมชฺฌคโต วิวเฎน สีหปญฺชเรน ปาจีนโลกธาตุํ โอโลเกโนฺต อมจฺจานํ ธมฺมตฺถยุตฺตกถํ กเถโนฺต นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ คคนตลํ อติลงฺฆนฺตมิว ปริปุณฺณํ จนฺทมณฺฑลํ ราหุ อวตฺถริ, จนฺทปฺปภา อนฺตรธายิฯ อมจฺจา จนฺทาโลกํ อปสฺสนฺตา จนฺทสฺส ราหุนา คหิตภาวํ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา จนฺทํ โอโลเกตฺวา ‘‘อยํ จโนฺท อาคนฺตุกอุปกฺกิเลเสน อุปกฺกิลิโฎฺฐ นิปฺปโภ ชาโต, มยฺหเมฺปส ราชปริวาโร อุปกฺกิเลโส, น โข ปน เมตํ ปติรูปํ, ยาหํ ราหุนา คหิตจโนฺท วิย นิปฺปโภ ภเวยฺยํ, วิสุเทฺธ คคนตเร วิโรจนฺตํ จนฺทมณฺฑลํ วิย รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, กิํ เม ปเรน โอวทิเตน , กุเล จ คเณ จ อลโคฺค หุตฺวา อตฺตานเมว โอวทโนฺต วิจริสฺสามิ, อิทํ เม ปติรูป’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ยํ อิจฺฉถ, ตํ ราชานํ กโรถา’’ติ รชฺชํ อมจฺจานํ นิยฺยาเทสิฯ โส รชฺชํ ฉเฑฺฑตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ฌานาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา ฌานรติสมปฺปิโต หิมวนฺตปเทเส วาสํ กเปฺปสิฯ
Atīte gandhāraraṭṭhe bodhisatto gandhārarañño putto hutvā pitu accayena rajje patiṭṭhāya dhammena rajjaṃ kāresi. Majjhimapadesepi videharaṭṭhe videho nāma rājā rajjaṃ kāresi. Te dvepi rājāno adiṭṭhasahāyā hutvā aññamaññaṃ thiravissāsā ahesuṃ. Tadā manussā dīghāyukā honti, tiṃsa vassasahassāni jīvanti. Athekadā gandhārarājā puṇṇamuposathadivase samādinnasīlo mahātale paññattavarapallaṅkamajjhagato vivaṭena sīhapañjarena pācīnalokadhātuṃ olokento amaccānaṃ dhammatthayuttakathaṃ kathento nisīdi. Tasmiṃ khaṇe gaganatalaṃ atilaṅghantamiva paripuṇṇaṃ candamaṇḍalaṃ rāhu avatthari, candappabhā antaradhāyi. Amaccā candālokaṃ apassantā candassa rāhunā gahitabhāvaṃ rañño ārocesuṃ. Rājā candaṃ oloketvā ‘‘ayaṃ cando āgantukaupakkilesena upakkiliṭṭho nippabho jāto, mayhampesa rājaparivāro upakkileso, na kho pana metaṃ patirūpaṃ, yāhaṃ rāhunā gahitacando viya nippabho bhaveyyaṃ, visuddhe gaganatare virocantaṃ candamaṇḍalaṃ viya rajjaṃ pahāya pabbajissāmi, kiṃ me parena ovaditena , kule ca gaṇe ca alaggo hutvā attānameva ovadanto vicarissāmi, idaṃ me patirūpa’’nti cintetvā ‘‘yaṃ icchatha, taṃ rājānaṃ karothā’’ti rajjaṃ amaccānaṃ niyyādesi. So rajjaṃ chaḍḍetvā isipabbajjaṃ pabbajitvā jhānābhiññāyo nibbattetvā jhānaratisamappito himavantapadese vāsaṃ kappesi.
วิเทหราชาปิ ‘‘สุขํ เม สหายสฺสา’’ติ วาณิเช ปุจฺฉิตฺวา ตสฺส ปพฺพชิตภาวํ สุตฺวา ‘‘มม สหาเย ปพฺพชิเต อหํ รเชฺชน กิํ กริสฺสามี’’ติ สตฺตโยชนิเก มิถิลนคเร ติโยชนสติเก วิเทหรเฎฺฐ โสฬสสุ คามสหเสฺสสุ ปูริตานิ โกฎฺฐาคารานิ, โสฬสสหสฺสา จ นาฎกิตฺถิโย ฉเฑฺฑตฺวา ปุตฺตธีตโร อมนสิกตฺวา หิมวนฺตปเทสํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิตฺวา ปวตฺตผลโภชโน หุตฺวา สมปฺปวตฺตวาสํ วสโนฺต วิจริฯ เต อุโภปิ สมวตฺตจารํ จรนฺตา อปรภาเค สมาคจฺฉิํสุ, น ปน อญฺญมญฺญํ สญฺชานิํสุ, สโมฺมทมานา เอกโตว สมปฺปวตฺตวาสํ วสิํสุฯ ตทา วิเทหตาปโส คนฺธารตาปสสฺส อุปฎฺฐานํ กโรติฯ เตสํ เอกสฺมิํ ปุณฺณมทิวเส อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสีทิตฺวา ธมฺมตฺถยุตฺตกถํ กเถนฺตานํ คคนตเล วิโรจมานํ จนฺทมณฺฑลํ ราหุ อวตฺถริฯ วิเทหตาปโส ‘‘กิํ นุ โข จนฺทสฺส ปภา นฎฺฐา’’ติ โอโลเกตฺวา ราหุนา คหิตํ จนฺทํ ทิสฺวา ‘‘โก นุ โข เอส อาจริย, จนฺทํ อวตฺถริตฺวา นิปฺปภมกาสี’’ติ ปุจฺฉิฯ อเนฺตวาสิก อยํ ราหุ นาม จนฺทเสฺสโก อุปกฺกิเลโส, วิโรจิตุํ น เทติ, อหมฺปิ ราหุคหิตํ จนฺทมณฺฑลํ ทิสฺวา ‘‘อิทํ ปริสุทฺธสฺส จนฺทมณฺฑลสฺส อาคนฺตุเกน อุปกฺกิเลเสน นิปฺปภํ ชาตํ, มยฺหมฺปิ อิทํ รชฺชํ อุปกฺกิเลโส, ยาว จนฺทมณฺฑลํ ราหุ วิย อิทํ นิปฺปภํ น กโรติ, ตาว ปพฺพชิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตเทว ราหุคหิตํ จนฺทมณฺฑลํ อารมฺมณํ กตฺวา มหารชฺชํ ฉเฑฺฑตฺวา ปพฺพชิโตติฯ ‘‘อาจริย, ตฺวํ คนฺธารราชา’’ติ ? ‘‘อาม, อห’’นฺติฯ ‘‘อาจริย, อหมฺปิ วิเทหรเฎฺฐ มิถิลนคเร วิเทหราชา นาม, นนุ มยํ อญฺญมญฺญํ อทิฎฺฐสหายา’’ติฯ ‘‘กิํ ปน เต อารมฺมณํ อโหสี’’ติ? อหํ ‘‘ตุเมฺห ปพฺพชิตา’’ติ สุตฺวา ‘‘อทฺธา ปพฺพชฺชาย มหนฺตํ คุณํ อทฺทสา’’ติ ตุเมฺหเยว อารมฺมณํ กตฺวา รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิโตติฯ เต ตโต ปฎฺฐาย อติวิย สมคฺคา สโมฺมทมานา ปวตฺตผลโภชนา หุตฺวา วิหริํสุฯ ตตฺถ ทีฆรตฺตํ วสิตฺวา จ ปน โลณมฺพิลเสวนตฺถาย หิมวนฺตโต โอตริตฺวา เอกํ ปจฺจนฺตคามํ สมฺปาปุณิํสุฯ
Videharājāpi ‘‘sukhaṃ me sahāyassā’’ti vāṇije pucchitvā tassa pabbajitabhāvaṃ sutvā ‘‘mama sahāye pabbajite ahaṃ rajjena kiṃ karissāmī’’ti sattayojanike mithilanagare tiyojanasatike videharaṭṭhe soḷasasu gāmasahassesu pūritāni koṭṭhāgārāni, soḷasasahassā ca nāṭakitthiyo chaḍḍetvā puttadhītaro amanasikatvā himavantapadesaṃ pavisitvā pabbajitvā pavattaphalabhojano hutvā samappavattavāsaṃ vasanto vicari. Te ubhopi samavattacāraṃ carantā aparabhāge samāgacchiṃsu, na pana aññamaññaṃ sañjāniṃsu, sammodamānā ekatova samappavattavāsaṃ vasiṃsu. Tadā videhatāpaso gandhāratāpasassa upaṭṭhānaṃ karoti. Tesaṃ ekasmiṃ puṇṇamadivase aññatarasmiṃ rukkhamūle nisīditvā dhammatthayuttakathaṃ kathentānaṃ gaganatale virocamānaṃ candamaṇḍalaṃ rāhu avatthari. Videhatāpaso ‘‘kiṃ nu kho candassa pabhā naṭṭhā’’ti oloketvā rāhunā gahitaṃ candaṃ disvā ‘‘ko nu kho esa ācariya, candaṃ avattharitvā nippabhamakāsī’’ti pucchi. Antevāsika ayaṃ rāhu nāma candasseko upakkileso, virocituṃ na deti, ahampi rāhugahitaṃ candamaṇḍalaṃ disvā ‘‘idaṃ parisuddhassa candamaṇḍalassa āgantukena upakkilesena nippabhaṃ jātaṃ, mayhampi idaṃ rajjaṃ upakkileso, yāva candamaṇḍalaṃ rāhu viya idaṃ nippabhaṃ na karoti, tāva pabbajissāmī’’ti cintetvā tadeva rāhugahitaṃ candamaṇḍalaṃ ārammaṇaṃ katvā mahārajjaṃ chaḍḍetvā pabbajitoti. ‘‘Ācariya, tvaṃ gandhārarājā’’ti ? ‘‘Āma, aha’’nti. ‘‘Ācariya, ahampi videharaṭṭhe mithilanagare videharājā nāma, nanu mayaṃ aññamaññaṃ adiṭṭhasahāyā’’ti. ‘‘Kiṃ pana te ārammaṇaṃ ahosī’’ti? Ahaṃ ‘‘tumhe pabbajitā’’ti sutvā ‘‘addhā pabbajjāya mahantaṃ guṇaṃ addasā’’ti tumheyeva ārammaṇaṃ katvā rajjaṃ pahāya pabbajitoti. Te tato paṭṭhāya ativiya samaggā sammodamānā pavattaphalabhojanā hutvā vihariṃsu. Tattha dīgharattaṃ vasitvā ca pana loṇambilasevanatthāya himavantato otaritvā ekaṃ paccantagāmaṃ sampāpuṇiṃsu.
มนุสฺสา เตสํ อิริยาปเถ ปสีทิตฺวา ภิกฺขํ ทตฺวา ปฎิญฺญํ คเหตฺวา อรเญฺญ รตฺติทิวฎฺฐานาทีนิ มาเปตฺวา วสาเปสุํฯ อนฺตรามเคฺคปิ เนสํ ภตฺตกิจฺจกรณตฺถาย อุทกผาสุกฎฺฐาเน ปณฺณสาลํ กาเรสุํฯ เต ปจฺจนฺตคาเม ภิกฺขํ จริตฺวา ตาย ปณฺณสาลาย นิสีทิตฺวา ปริภุญฺชิตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คจฺฉนฺติฯ เตปิ มนุสฺสา เตสํ อาหารํ ททมานา เอกทา โลณํ ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา เทนฺติ, เอกทา ปณฺณปุเฎ พนฺธิตฺวา เทนฺติ, เอกทา อโลณกาหารเมว เทนฺติฯ เต เอกทิวสํ ปณฺณปุเฎ พหุตรํ โลณํ อทํสุฯ วิเทหตาปโส โลณํ อาทาย คนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส ภตฺตกิจฺจกาเล ปโหนกํ ทตฺวา อตฺตโนปิ ปมาณยุตฺตํ คเหตฺวา อติเรกํ ปณฺณปุเฎ พนฺธิตฺวา ‘‘อโลณกทิวเส ภวิสฺสตี’’ติ ติณวฎฺฎิกอนฺตเร ฐเปสิฯ อเถกทิวสํ อโลณเก อาหาเร ลเทฺธ วิเทโห คนฺธารสฺส ภิกฺขาภาชนํ ทตฺวา ติณวฎฺฎิกอนฺตรโต โลณํ อาหริตฺวา ‘‘อาจริย, โลณํ คณฺหถา’’ติ อาหฯ ‘‘อชฺช มนุเสฺสหิ โลณํ น ทินฺนํ, ตฺวํ กุโต ลภสี’’ติ? ‘‘อาจริย, ปุริมทิวเส มนุสฺสา พหุํ โลณมทํสุ, อถาหํ ‘อโลณกทิวเส ภวิสฺสตี’ติ อติเรกํ โลณํ ฐเปสิ’’นฺติฯ อถ นํ โพธิสโตฺต ‘‘โมฆปุริส, ติโยชนสติกํ วิเทหรฎฺฐํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา อกิญฺจนภาวํ ปตฺวา อิทานิ โลณสกฺขราย ตณฺหํ ชเนสี’’ติ ตเชฺชตฺวา โอวทโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Manussā tesaṃ iriyāpathe pasīditvā bhikkhaṃ datvā paṭiññaṃ gahetvā araññe rattidivaṭṭhānādīni māpetvā vasāpesuṃ. Antarāmaggepi nesaṃ bhattakiccakaraṇatthāya udakaphāsukaṭṭhāne paṇṇasālaṃ kāresuṃ. Te paccantagāme bhikkhaṃ caritvā tāya paṇṇasālāya nisīditvā paribhuñjitvā attano vasanaṭṭhānaṃ gacchanti. Tepi manussā tesaṃ āhāraṃ dadamānā ekadā loṇaṃ patte pakkhipitvā denti, ekadā paṇṇapuṭe bandhitvā denti, ekadā aloṇakāhārameva denti. Te ekadivasaṃ paṇṇapuṭe bahutaraṃ loṇaṃ adaṃsu. Videhatāpaso loṇaṃ ādāya gantvā bodhisattassa bhattakiccakāle pahonakaṃ datvā attanopi pamāṇayuttaṃ gahetvā atirekaṃ paṇṇapuṭe bandhitvā ‘‘aloṇakadivase bhavissatī’’ti tiṇavaṭṭikaantare ṭhapesi. Athekadivasaṃ aloṇake āhāre laddhe videho gandhārassa bhikkhābhājanaṃ datvā tiṇavaṭṭikaantarato loṇaṃ āharitvā ‘‘ācariya, loṇaṃ gaṇhathā’’ti āha. ‘‘Ajja manussehi loṇaṃ na dinnaṃ, tvaṃ kuto labhasī’’ti? ‘‘Ācariya, purimadivase manussā bahuṃ loṇamadaṃsu, athāhaṃ ‘aloṇakadivase bhavissatī’ti atirekaṃ loṇaṃ ṭhapesi’’nti. Atha naṃ bodhisatto ‘‘moghapurisa, tiyojanasatikaṃ videharaṭṭhaṃ pahāya pabbajitvā akiñcanabhāvaṃ patvā idāni loṇasakkharāya taṇhaṃ janesī’’ti tajjetvā ovadanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๗๖.
76.
‘‘หิตฺวา คามสหสฺสานิ, ปริปุณฺณานิ โสฬส;
‘‘Hitvā gāmasahassāni, paripuṇṇāni soḷasa;
โกฎฺฐาคารานิ ผีตานิ, สนฺนิธิํ ทานิ กุพฺพสี’’ติฯ
Koṭṭhāgārāni phītāni, sannidhiṃ dāni kubbasī’’ti.
ตตฺถ โกฎฺฐาคารานีติ สุวณฺณรชตมณิมุตฺตาทิรตนโกฎฺฐาคารานิ เจว ทุสฺสโกฎฺฐาคารานิ จ ธญฺญโกฎฺฐาคารานิ จฯ ผีตานีติ ปูรานิฯ สนฺนิธิํ ทานิ กุพฺพสีติ อิทานิ ‘‘เสฺว ภวิสฺสติ, ตติยทิวเส ภวิสฺสตี’’ติ โลณมตฺตํ สนฺนิธิํ กโรสีติฯ
Tattha koṭṭhāgārānīti suvaṇṇarajatamaṇimuttādiratanakoṭṭhāgārāni ceva dussakoṭṭhāgārāni ca dhaññakoṭṭhāgārāni ca. Phītānīti pūrāni. Sannidhiṃ dāni kubbasīti idāni ‘‘sve bhavissati, tatiyadivase bhavissatī’’ti loṇamattaṃ sannidhiṃ karosīti.
วิเทโห เอวํ ครหิยมาโน ครหํ อสหโนฺต ปฎิปโกฺข หุตฺวา ‘‘อาจริย, ตุเมฺห อตฺตโน โทสํ อทิสฺวา มยฺหเมว โทสํ ปสฺสถ, นนุ ตุเมฺห ‘กิํ เม ปเรน โอวทิเตน, อตฺตานเมว โอวทิสฺสามี’ติ รชฺชํ ฉเฑฺฑตฺวา ปพฺพชิตา, ตุเมฺห อิทานิ มํ กสฺมา โอวทถา’’ติ โจเทโนฺต ทุติยํ คาถมาห –
Videho evaṃ garahiyamāno garahaṃ asahanto paṭipakkho hutvā ‘‘ācariya, tumhe attano dosaṃ adisvā mayhameva dosaṃ passatha, nanu tumhe ‘kiṃ me parena ovaditena, attānameva ovadissāmī’ti rajjaṃ chaḍḍetvā pabbajitā, tumhe idāni maṃ kasmā ovadathā’’ti codento dutiyaṃ gāthamāha –
๗๗.
77.
‘‘หิตฺวา คนฺธารวิสยํ, ปหูตธนธาริยํ;
‘‘Hitvā gandhāravisayaṃ, pahūtadhanadhāriyaṃ;
ปสาสนโต นิกฺขโนฺต, อิธ ทานิ ปสาสสี’’ติฯ
Pasāsanato nikkhanto, idha dāni pasāsasī’’ti.
ตตฺถ ปสาสนโตติ โอวาทานุสาสนีทานโตฯ อิธ ทานีติ อิทานิ อิธ อรเญฺญ กสฺมา มํ โอวทถาติฯ
Tattha pasāsanatoti ovādānusāsanīdānato. Idha dānīti idāni idha araññe kasmā maṃ ovadathāti.
ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต ตติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā bodhisatto tatiyaṃ gāthamāha –
๗๘.
78.
‘‘ธมฺมํ ภณามิ เวเทห, อธโมฺม เม น รุจฺจติ;
‘‘Dhammaṃ bhaṇāmi vedeha, adhammo me na ruccati;
ธมฺมํ เม ภณมานสฺส, น ปาปมุปลิมฺปตี’’ติฯ
Dhammaṃ me bhaṇamānassa, na pāpamupalimpatī’’ti.
ตตฺถ ธมฺมนฺติ สภาวํ, พุทฺธาทีหิ วณฺณิตํ ปสตฺถํ การณเมวฯ อธโมฺม เม น รุจฺจตีติ อธโมฺม นาม อสภาโว มยฺหํ กทาจิปิ น รุจฺจติฯ น ปาปมุปลิมฺปตีติ มม สภาวเมว การณเมว ภณนฺตสฺส ปาปํ นาม หทเย น ลิมฺปติ น อลฺลียติฯ โอวาททานํ นาเมตํ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธสาวกโพธิสตฺตานํ ปเวณีฯ เตหิ ทิโนฺนวาทํ พาลา น คณฺหนฺติ, โอวาททายกสฺส ปน ปาปํ นาม นตฺถิฯ
Tattha dhammanti sabhāvaṃ, buddhādīhi vaṇṇitaṃ pasatthaṃ kāraṇameva. Adhammo me na ruccatīti adhammo nāma asabhāvo mayhaṃ kadācipi na ruccati. Na pāpamupalimpatīti mama sabhāvameva kāraṇameva bhaṇantassa pāpaṃ nāma hadaye na limpati na allīyati. Ovādadānaṃ nāmetaṃ buddhapaccekabuddhasāvakabodhisattānaṃ paveṇī. Tehi dinnovādaṃ bālā na gaṇhanti, ovādadāyakassa pana pāpaṃ nāma natthi.
‘‘นิธีนํว ปวตฺตารํ, ยํ ปเสฺส วชฺชทสฺสินํ;
‘‘Nidhīnaṃva pavattāraṃ, yaṃ passe vajjadassinaṃ;
นิคฺคยฺหวาทิํ เมธาวิํ, ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช;
Niggayhavādiṃ medhāviṃ, tādisaṃ paṇḍitaṃ bhaje;
ตาทิสํ ภชมานสฺส, เสโยฺย โหติ น ปาปิโยฯ
Tādisaṃ bhajamānassa, seyyo hoti na pāpiyo.
‘‘โอวเทยฺยานุสาเสยฺย, อสพฺภา จ นิวารเย;
‘‘Ovadeyyānusāseyya, asabbhā ca nivāraye;
สตญฺหิ โส ปิโย โหติ, อสตํ โหติ อปฺปิโย’’ติฯ (ธ. ป. ๗๖-๗๗);
Satañhi so piyo hoti, asataṃ hoti appiyo’’ti. (dha. pa. 76-77);
วิเทหตาปโส โพธิสตฺตสฺส กถํ สุตฺวา ‘‘อาจริย, อตฺถนิสฺสิตํ กเถเนฺตนปิ ปรํ ฆเฎฺฎตฺวา โรเสตฺวา กเถตุํ น วฎฺฎติ, ตฺวํ มํ กุณฺฐสตฺถเกน มุเณฺฑโนฺต วิย อติผรุสํ กเถสี’’ติ วตฺวา จตุตฺถํ คาถมาห –
Videhatāpaso bodhisattassa kathaṃ sutvā ‘‘ācariya, atthanissitaṃ kathentenapi paraṃ ghaṭṭetvā rosetvā kathetuṃ na vaṭṭati, tvaṃ maṃ kuṇṭhasatthakena muṇḍento viya atipharusaṃ kathesī’’ti vatvā catutthaṃ gāthamāha –
๗๙.
79.
‘‘เยน เกนจิ วเณฺณน, ปโร ลภติ รุปฺปนํ;
‘‘Yena kenaci vaṇṇena, paro labhati ruppanaṃ;
มหตฺถิยมฺปิ เจ วาจํ, น ตํ ภาเสยฺย ปณฺฑิโต’’ติฯ
Mahatthiyampi ce vācaṃ, na taṃ bhāseyya paṇḍito’’ti.
ตตฺถ เยน เกนจีติ ธมฺมยุเตฺตนาปิ การเณนฯ ลภติ รุปฺปนนฺติ ฆฎฺฎนํ ทุสฺสนํ กุปฺปนํ ลภติเยวฯ น ตํ ภาเสยฺยาติ ตสฺมา ตํ ปรปุคฺคลํ ยาย โส วาจาย ทุสฺสติ, ตํ มหตฺถิยํ มหนฺตํ อตฺถนิสฺสิตมฺปิ วาจํ น ภาเสยฺยาติ อโตฺถฯ
Tattha yena kenacīti dhammayuttenāpi kāraṇena. Labhati ruppananti ghaṭṭanaṃ dussanaṃ kuppanaṃ labhatiyeva. Na taṃ bhāseyyāti tasmā taṃ parapuggalaṃ yāya so vācāya dussati, taṃ mahatthiyaṃ mahantaṃ atthanissitampi vācaṃ na bhāseyyāti attho.
อถสฺส โพธิสโตฺต ปญฺจมํ คาถมาห –
Athassa bodhisatto pañcamaṃ gāthamāha –
๘๐.
80.
‘‘กามํ รุปฺปตุ วา มา วา, ภุสํว วิกิรียตุ;
‘‘Kāmaṃ ruppatu vā mā vā, bhusaṃva vikirīyatu;
ธมฺมํ เม ภณมานสฺส, น ปาปมุปลิมฺปตี’’ติฯ
Dhammaṃ me bhaṇamānassa, na pāpamupalimpatī’’ti.
ตตฺถ กามนฺติ เอกํเสนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อยุตฺตการโก ปุคฺคโล ‘‘อยุตฺตํ เต กต’’นฺติ โอวทิยมาโน เอกํเสเนว กุชฺฌตุ วา มา วา กุชฺฌตุ, อถ วา ภุสมุฎฺฐิ วิย วิกิรียตุ, มยฺหํ ปน ธมฺมํ ภณนฺตสฺส ปาปํ นาม นตฺถีติฯ
Tattha kāmanti ekaṃsena. Idaṃ vuttaṃ hoti – ayuttakārako puggalo ‘‘ayuttaṃ te kata’’nti ovadiyamāno ekaṃseneva kujjhatu vā mā vā kujjhatu, atha vā bhusamuṭṭhi viya vikirīyatu, mayhaṃ pana dhammaṃ bhaṇantassa pāpaṃ nāma natthīti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘น โว อหํ, อานนฺท, ตถา ปรกฺกมิสฺสามิ, ยถา กุมฺภกาโร อามเก อามกมเตฺตฯ นิคฺคยฺห นิคฺคยฺหาหํ อานนฺท, วกฺขามิ, โย สาโร โส ฐสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๙๖) อิมสฺส สุคโตวาทสฺส อนุรูปาย ปฎิปตฺติยา ฐตฺวา ‘‘ยถา กุมฺภกาโร ภาชเนสุ ปุนปฺปุนํ อาโกเฎตฺวา อาโกเฎตฺวา อามกํ อคฺคเหตฺวา สุปกฺกเมว ภาชนํ คณฺหาติ, เอวํ ปุนปฺปุนํ โอวทิตฺวา นิคฺคณฺหิตฺวา ปกฺกภาชนสทิโส ปุคฺคโล คเหตโพฺพ’’ติ ทเสฺสตุํ ปุน ตํ โอวทโนฺต –
Evañca pana vatvā ‘‘na vo ahaṃ, ānanda, tathā parakkamissāmi, yathā kumbhakāro āmake āmakamatte. Niggayha niggayhāhaṃ ānanda, vakkhāmi, yo sāro so ṭhassatī’’ti (ma. ni. 3.196) imassa sugatovādassa anurūpāya paṭipattiyā ṭhatvā ‘‘yathā kumbhakāro bhājanesu punappunaṃ ākoṭetvā ākoṭetvā āmakaṃ aggahetvā supakkameva bhājanaṃ gaṇhāti, evaṃ punappunaṃ ovaditvā niggaṇhitvā pakkabhājanasadiso puggalo gahetabbo’’ti dassetuṃ puna taṃ ovadanto –
๘๑.
81.
‘‘โน เจ อสฺส สกา พุทฺธิ, วินโย วา สุสิกฺขิโต;
‘‘No ce assa sakā buddhi, vinayo vā susikkhito;
วเน อนฺธมหิํโสว, จเรยฺย พหุโก ชโนฯ
Vane andhamahiṃsova, careyya bahuko jano.
๘๒.
82.
‘‘ยสฺมา จ ปนิเธกเจฺจ, อาเจรมฺหิ สุสิกฺขิตา;
‘‘Yasmā ca panidhekacce, āceramhi susikkhitā;
ตสฺมา วินีตวินยา, จรนฺติ สุสมาหิตา’’ติฯ – อิทํ คาถาทฺวยมาห;
Tasmā vinītavinayā, caranti susamāhitā’’ti. – idaṃ gāthādvayamāha;
ตสฺสโตฺถ – สมฺม เวเทห, อิเมสญฺหิ สตฺตานํ สเจ อตฺตโน พุทฺธิ วา ปณฺฑิเต โอวาททายเก นิสฺสาย อาจารปณฺณตฺติวินโย วา สุสิกฺขิโต น ภเวยฺย, เอวํ สเนฺต ยถา ติณลตาทิคหเน วเน อนฺธมหิํโส โคจราโคจรํ สาสงฺกนิราสงฺกญฺจ ฐานํ อชานโนฺต จรติ, ตถา ตุมฺหาทิโส พหุโก ชโน จเรยฺยฯ ยสฺมา ปน อิธ เอกเจฺจ สกาย พุทฺธิยา รหิตา สตฺตา อาจริยสนฺติเก อาจารปณฺณตฺติสุสิกฺขิตา, ตสฺมา อาจริเยหิ อตฺตโน อตฺตโน อนุรูเปน วินเยน วินีตตฺตา วินีตวินยา สุสมาหิตา เอกคฺคจิตฺตา หุตฺวา จรนฺตีติฯ
Tassattho – samma vedeha, imesañhi sattānaṃ sace attano buddhi vā paṇḍite ovādadāyake nissāya ācārapaṇṇattivinayo vā susikkhito na bhaveyya, evaṃ sante yathā tiṇalatādigahane vane andhamahiṃso gocarāgocaraṃ sāsaṅkanirāsaṅkañca ṭhānaṃ ajānanto carati, tathā tumhādiso bahuko jano careyya. Yasmā pana idha ekacce sakāya buddhiyā rahitā sattā ācariyasantike ācārapaṇṇattisusikkhitā, tasmā ācariyehi attano attano anurūpena vinayena vinītattā vinītavinayā susamāhitā ekaggacittā hutvā carantīti.
อิมินา อิทํ ทเสฺสติ – อิมินา หิ สเตฺตน คิหินา หุตฺวา อตฺตโน กุลานุรูปา, ปพฺพชิเตน ปพฺพชิตานุรูปา สิกฺขา สิกฺขิตพฺพาฯ คิหิโนปิ หิ อตฺตโน กุลานุรูเปสุ กสิโครกฺขาทีสุ สิกฺขิตาว สมฺปนฺนาชีวา หุตฺวา สุสมาหิตา จรนฺติ, ปพฺพชิตาปิ ปพฺพชิตานุรูเปสุ ปาสาทิเกสุ อภิกฺกนฺตปฎิกฺกนฺตาทีสุ อธิสีลอธิจิตฺตอธิปญฺญาสิกฺขาสุ สิกฺขิตาว วิคตวิเกฺขปา สุสมาหิตา จรนฺติฯ โลกสฺมิญฺหิ –
Iminā idaṃ dasseti – iminā hi sattena gihinā hutvā attano kulānurūpā, pabbajitena pabbajitānurūpā sikkhā sikkhitabbā. Gihinopi hi attano kulānurūpesu kasigorakkhādīsu sikkhitāva sampannājīvā hutvā susamāhitā caranti, pabbajitāpi pabbajitānurūpesu pāsādikesu abhikkantapaṭikkantādīsu adhisīlaadhicittaadhipaññāsikkhāsu sikkhitāva vigatavikkhepā susamāhitā caranti. Lokasmiñhi –
‘‘พาหุสจฺจญฺจ สิปฺปญฺจ, วินโย จ สุสิกฺขิโต;
‘‘Bāhusaccañca sippañca, vinayo ca susikkhito;
สุภาสิตา จ ยา วาจา, เอตํ มงฺคลมุตฺตม’’นฺติฯ (ขุ. ปา. ๕.๕; สุ. นิ. ๒๖๔);
Subhāsitā ca yā vācā, etaṃ maṅgalamuttama’’nti. (khu. pā. 5.5; su. ni. 264);
ตํ สุตฺวา เวเทหตาปโส ‘‘อาจริย, อิโต ปฎฺฐาย มํ โอวทถ อนุสาสถ, อหํ อนธิวาสนชาติกตาย ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กเถสิํ, ตํ เม ขมถา’’ติ วนฺทิตฺวา มหาสตฺตํ ขมาเปสิฯ เต สมคฺควาสํ วสิตฺวา ปุน หิมวนฺตเมว อคมํสุฯ ตตฺร โพธิสโตฺต เวเทหตาปสสฺส กสิณปริกมฺมํ กเถสิฯ โส ตํ กตฺวา อภิญฺญา จ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตสิฯ อิติ เต อุโภปิ อปริหีนชฺฌานา พฺรหฺมโลกปรายณา อเหสุํฯ
Taṃ sutvā vedehatāpaso ‘‘ācariya, ito paṭṭhāya maṃ ovadatha anusāsatha, ahaṃ anadhivāsanajātikatāya tumhehi saddhiṃ kathesiṃ, taṃ me khamathā’’ti vanditvā mahāsattaṃ khamāpesi. Te samaggavāsaṃ vasitvā puna himavantameva agamaṃsu. Tatra bodhisatto vedehatāpasassa kasiṇaparikammaṃ kathesi. So taṃ katvā abhiññā ca samāpattiyo ca nibbattesi. Iti te ubhopi aparihīnajjhānā brahmalokaparāyaṇā ahesuṃ.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา เวเทโห อานโนฺท อโหสิ, คนฺธารราชา ปน อหเมว อโหสี’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā vedeho ānando ahosi, gandhārarājā pana ahameva ahosī’’nti.
คนฺธารชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Gandhārajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๐๖. คนฺธารชาตกํ • 406. Gandhārajātakaṃ