Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๒๑] ๕. คงฺคมาลชาตกวณฺณนา

    [421] 5. Gaṅgamālajātakavaṇṇanā

    องฺคารชาตาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุโปสถกมฺมํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกทิวสญฺหิ สตฺถา อุโปสถิเก อุปาสเก อามเนฺตตฺวา ‘‘อุปาสกา สาธุรูปํ โว กตํ อุโปสถํ อุปวสเนฺตหิ, ทานํ ทาตพฺพํ, สีลํ รกฺขิตพฺพํ, โกโธ น กาตโพฺพ, เมตฺตา ภาเวตพฺพา, อุโปสถวาโส วสิตโพฺพ, โปราณกปณฺฑิตา หิ เอกํ อุปฑฺฒุโปสถกมฺมํ นิสฺสาย มหายสํ ลภิํสู’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Aṅgārajātāti idaṃ satthā jetavane viharanto uposathakammaṃ ārabbha kathesi. Ekadivasañhi satthā uposathike upāsake āmantetvā ‘‘upāsakā sādhurūpaṃ vo kataṃ uposathaṃ upavasantehi, dānaṃ dātabbaṃ, sīlaṃ rakkhitabbaṃ, kodho na kātabbo, mettā bhāvetabbā, uposathavāso vasitabbo, porāṇakapaṇḍitā hi ekaṃ upaḍḍhuposathakammaṃ nissāya mahāyasaṃ labhiṃsū’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต ตสฺมิํ นคเร สุจิปริวาโร นาม เสฎฺฐิ อโหสิ อสีติโกฎิธนวิภโว ทานาทิปุญฺญาภิรโตฯ ตสฺส ปุตฺตทาราปิ ปริชโนปิ อนฺตมโส ตสฺมิํ ฆเร วจฺฉปาลกาปิ สเพฺพ มาสสฺส ฉ ทิวเส อุโปสถํ อุปวสนฺติฯ ตทา โพธิสโตฺต เอกสฺมิํ ทลิทฺทกุเล นิพฺพตฺติตฺวา ภติํ กตฺวา กิเจฺฉน ชีวติฯ โส ‘‘ภติํ กริสฺสามี’’ติ ตสฺส เคหํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต ‘‘กิํ อาคโตสี’’ติ วุเตฺต ‘‘ตุมฺหากํ เคเห ภติยา กมฺมกรณตฺถ’’นฺติ อาหฯ เสฎฺฐิ อเญฺญสํ ภติกานํ อาคตทิวเสเยว ‘‘อิมสฺมิํ เคเห กมฺมํ กโรนฺตา สีลํ รกฺขนฺติ, สีลํ รกฺขิตุํ สโกฺกนฺตา กมฺมํ กโรถา’’ติ วทติ, โพธิสตฺตสฺส ปน สีลรกฺขณอาจิกฺขเณ สญฺญํ อกตฺวา ‘‘สาธุ , ตาต, อตฺตโน ภติํ ชานิตฺวา กมฺมํ กโรหี’’ติ อาหฯ โส ตโต ปฎฺฐาย สุวโจ หุตฺวา อุรํ ทตฺวา อตฺตโน กิลมถํ อคเณตฺวา ตสฺส สพฺพกิจฺจานิ กโรติ, ปาโตว กมฺมนฺตํ คนฺตฺวา สายํ อาคจฺฉติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente tasmiṃ nagare suciparivāro nāma seṭṭhi ahosi asītikoṭidhanavibhavo dānādipuññābhirato. Tassa puttadārāpi parijanopi antamaso tasmiṃ ghare vacchapālakāpi sabbe māsassa cha divase uposathaṃ upavasanti. Tadā bodhisatto ekasmiṃ daliddakule nibbattitvā bhatiṃ katvā kicchena jīvati. So ‘‘bhatiṃ karissāmī’’ti tassa gehaṃ gantvā vanditvā ekamantaṃ ṭhito ‘‘kiṃ āgatosī’’ti vutte ‘‘tumhākaṃ gehe bhatiyā kammakaraṇattha’’nti āha. Seṭṭhi aññesaṃ bhatikānaṃ āgatadivaseyeva ‘‘imasmiṃ gehe kammaṃ karontā sīlaṃ rakkhanti, sīlaṃ rakkhituṃ sakkontā kammaṃ karothā’’ti vadati, bodhisattassa pana sīlarakkhaṇaācikkhaṇe saññaṃ akatvā ‘‘sādhu , tāta, attano bhatiṃ jānitvā kammaṃ karohī’’ti āha. So tato paṭṭhāya suvaco hutvā uraṃ datvā attano kilamathaṃ agaṇetvā tassa sabbakiccāni karoti, pātova kammantaṃ gantvā sāyaṃ āgacchati.

    อเถกทิวสํ นคเร ฉณํ โฆเสสุํฯ มหาเสฎฺฐิ ทาสิํ อามเนฺตตฺวา ‘‘อชฺชุโปสถทิวโส, เคเห กมฺมกรานํ ปาโตว ภตฺตํ ปจิตฺวา เทหิ, กาลเสฺสว ภุญฺชิตฺวา อุโปสถิกา ภวิสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต กาลเสฺสว อุฎฺฐาย กมฺมนฺตํ อคมาสิ, ‘‘อชฺชุโปสถิโก ภเวยฺยาสี’’ติ ตสฺส โกจิ นาโรเจสิฯ เสสกมฺมกรา ปาโตว ภุญฺชิตฺวา อุโปสถิกาว อเหสุํฯ เสฎฺฐิปิ สปุตฺตทาโร สปริชโน อุโปสถํ อธิฎฺฐหิ, สเพฺพปิ อุโปสถิกา อตฺตโน อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา สีลํ อาวเชฺชนฺตา นิสีทิํสุฯ โพธิสโตฺต สกลทิวสํ กมฺมํ กตฺวา สูริยตฺถงฺคมนเวลาย อาคโตฯ อถสฺส ภตฺตการิกา หตฺถโธวนํ ทตฺวา ปาติยํ ภตฺตํ วเฑฺฒตฺวา อุปนาเมสิฯ โพธิสโตฺต ‘‘อเญฺญสุ ทิวเสสุ อิมาย เวลาย มหาสโทฺท โหติ, อชฺช กหํ คตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สเพฺพ อุโปสถํ สมาทิยิตฺวา อตฺตโน อตฺตโน วสนฎฺฐานานิ คตา’’ติฯ ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘เอตฺตกานํ สีลวนฺตานํ อนฺตเร อหํ เอโก ทุสฺสีโล หุตฺวา น วสิสฺสามิ, อิทานิ อุโปสถเงฺคสุ อธิฎฺฐิเตสุ โหติ นุ โข อุโปสถกมฺมํ, โน’’ติฯ โส คนฺตฺวา เสฎฺฐิํ ปุจฺฉิฯ อถ นํ เสฎฺฐิ ‘‘ตาต ปาโตว อนธิฎฺฐิตตฺตา สกลํ อุโปสถกมฺมํ น โหติ, อุปฑฺฒุโปสถกมฺมํ ปน โหตี’’ติ อาหฯ

    Athekadivasaṃ nagare chaṇaṃ ghosesuṃ. Mahāseṭṭhi dāsiṃ āmantetvā ‘‘ajjuposathadivaso, gehe kammakarānaṃ pātova bhattaṃ pacitvā dehi, kālasseva bhuñjitvā uposathikā bhavissantī’’ti āha. Bodhisatto kālasseva uṭṭhāya kammantaṃ agamāsi, ‘‘ajjuposathiko bhaveyyāsī’’ti tassa koci nārocesi. Sesakammakarā pātova bhuñjitvā uposathikāva ahesuṃ. Seṭṭhipi saputtadāro saparijano uposathaṃ adhiṭṭhahi, sabbepi uposathikā attano attano vasanaṭṭhānaṃ gantvā sīlaṃ āvajjentā nisīdiṃsu. Bodhisatto sakaladivasaṃ kammaṃ katvā sūriyatthaṅgamanavelāya āgato. Athassa bhattakārikā hatthadhovanaṃ datvā pātiyaṃ bhattaṃ vaḍḍhetvā upanāmesi. Bodhisatto ‘‘aññesu divasesu imāya velāya mahāsaddo hoti, ajja kahaṃ gatā’’ti pucchi. ‘‘Sabbe uposathaṃ samādiyitvā attano attano vasanaṭṭhānāni gatā’’ti. Taṃ sutvā bodhisatto cintesi ‘‘ettakānaṃ sīlavantānaṃ antare ahaṃ eko dussīlo hutvā na vasissāmi, idāni uposathaṅgesu adhiṭṭhitesu hoti nu kho uposathakammaṃ, no’’ti. So gantvā seṭṭhiṃ pucchi. Atha naṃ seṭṭhi ‘‘tāta pātova anadhiṭṭhitattā sakalaṃ uposathakammaṃ na hoti, upaḍḍhuposathakammaṃ pana hotī’’ti āha.

    โส ‘‘เอตฺตกมฺปิ โหตู’’ติ เสฎฺฐิสฺส สนฺติเก สมาทินฺนสีโล หุตฺวา อุโปสถกมฺมํ อธิฎฺฐาย อตฺตโน วสโนกาสํ ปวิสิตฺวา สีลํ อาวเชฺชโนฺต นิปชฺชิฯ อถสฺส สกลทิวสํ นิราหารตาย ปจฺฉิมยามสมนนฺตเร สตฺถกวาตา สมุฎฺฐหิํสุฯ เสฎฺฐินา นานาวิธานิ เภสชฺชานิ อาหริตฺวา ‘‘ภุญฺชา’’ติ วุจฺจมาโนปิ ‘‘อุโปสถํ น ภินฺทิสฺสามิ, ชีวิตปริยนฺติกํ กตฺวา สมาทิยิ’’นฺติ อาหฯ พลวเวทนา อุปฺปชฺชิ, อรุณุคฺคมนเวลาย สติํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตุํ นาสกฺขิฯ อถ นํ ‘‘อิทานิ มริสฺสตี’’ติ นีหริตฺวา ‘‘โอสารเก นิปชฺชาเปสุํฯ ตสฺมิํ ขเณ พาราณสิราชา รถวรคโต มหเนฺตน ปริวาเรน นครํ ปทกฺขิณํ กโรโนฺต ตํ ฐานํ สมฺปาปุณิฯ โพธิสโตฺต ตสฺส สิริํ โอโลเกตฺวา ตสฺมิํ โลภํ อุปฺปาเทตฺวา รชฺชํ ปเตฺถสิฯ โส จวิตฺวา อุปฑฺฒุโปสถกมฺมนิสฺสเนฺทน ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ สา ลทฺธคพฺภปริหารา ทสมาสจฺจเยน ปุตฺตํ วิชายิ, ‘‘อุทยกุมาโร’’ติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต สพฺพสิเปฺปสุ นิปฺผตฺติํ ปาปุณิ, ชาติสฺสรญาเณน อตฺตโน ปุพฺพกมฺมํ สริตฺวา ‘‘อปฺปกสฺส กมฺมสฺส ผลํ มม อิท’’นฺติ อภิกฺขณํ อุทานํ อุทาเนสิฯ โส ปิตุ อจฺจเยน รชฺชํ ปตฺวาปิ อตฺตโน มหนฺตํ สิริวิภวํ โอโลเกตฺวา ตเทว อุทานํ อุทาเนสิฯ

    So ‘‘ettakampi hotū’’ti seṭṭhissa santike samādinnasīlo hutvā uposathakammaṃ adhiṭṭhāya attano vasanokāsaṃ pavisitvā sīlaṃ āvajjento nipajji. Athassa sakaladivasaṃ nirāhāratāya pacchimayāmasamanantare satthakavātā samuṭṭhahiṃsu. Seṭṭhinā nānāvidhāni bhesajjāni āharitvā ‘‘bhuñjā’’ti vuccamānopi ‘‘uposathaṃ na bhindissāmi, jīvitapariyantikaṃ katvā samādiyi’’nti āha. Balavavedanā uppajji, aruṇuggamanavelāya satiṃ paccupaṭṭhāpetuṃ nāsakkhi. Atha naṃ ‘‘idāni marissatī’’ti nīharitvā ‘‘osārake nipajjāpesuṃ. Tasmiṃ khaṇe bārāṇasirājā rathavaragato mahantena parivārena nagaraṃ padakkhiṇaṃ karonto taṃ ṭhānaṃ sampāpuṇi. Bodhisatto tassa siriṃ oloketvā tasmiṃ lobhaṃ uppādetvā rajjaṃ patthesi. So cavitvā upaḍḍhuposathakammanissandena tassa aggamahesiyā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Sā laddhagabbhaparihārā dasamāsaccayena puttaṃ vijāyi, ‘‘udayakumāro’’tissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto sabbasippesu nipphattiṃ pāpuṇi, jātissarañāṇena attano pubbakammaṃ saritvā ‘‘appakassa kammassa phalaṃ mama ida’’nti abhikkhaṇaṃ udānaṃ udānesi. So pitu accayena rajjaṃ patvāpi attano mahantaṃ sirivibhavaṃ oloketvā tadeva udānaṃ udānesi.

    อเถกทิวสํ นคเร ฉณํ สชฺชยิํสุ, มหาชโน กีฬาปสุโต อโหสิฯ ตทา พาราณสิยา อุตฺตรทฺวารวาสี เอโก ภติโก อุทกภติํ กตฺวา ลทฺธํ อฑฺฒมาสกํ ปาการิฎฺฐกาย อนฺตเร ฐเปตฺวา ภติํ กโรโนฺต ทกฺขิณทฺวารํ ปตฺวา ตตฺถ อุทกภติเมว กตฺวา ชีวมานาย เอกาย กปณิตฺถิยา สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปสิฯ สา ตํ อาห – ‘‘สามิ, นคเร ฉโณ วตฺตติ, สเจ เต กิญฺจิ อตฺถิ, มยมฺปิ กีเฬยฺยามา’’ติ? ‘‘อาม, อตฺถี’’ติฯ ‘‘กิตฺตกํ, สามี’’ติ? ‘‘อฑฺฒมาสโก’’ติฯ ‘‘กหํ โส’’ติ? ‘‘อุตฺตรทฺวาเร อิฎฺฐกพฺภนฺตเร ฐปิโตติ อิโต เม ทฺวาทสโยชนนฺตเร นิธานํ, ตว ปน หเตฺถ กิญฺจิ อตฺถี’’ติ? ‘‘อาม, อตฺถี’’ติฯ ‘‘กิตฺตก’’นฺติ? ‘‘อฑฺฒมาสโกวา’’ติฯ ‘‘อิติ ตว อฑฺฒมาสโก, มม อฑฺฒมาสโกติ มาสโกว โหติ, ตโต เอเกน โกฎฺฐาเสน มาลํ, เอเกน โกฎฺฐาเสน คนฺธํ, เอเกน โกฎฺฐาเสน สุรํ คเหตฺวา กีฬิสฺสาม, คจฺฉ ตยา ฐปิตํ อฑฺฒมาสกํ อาหรา’’ติฯ โส ‘‘ภริยาย เม สนฺติกา กถา ลทฺธา’’ติ หฎฺฐตุโฎฺฐ ‘‘ภเทฺท, มา จินฺตยิ, อาหริสฺสามิ น’’นฺติ วตฺวา ปกฺกามิฯ นาคพโล ภติโก ฉ โยชนานิ อติกฺกมฺม มชฺฌนฺหิกสมเย วีตจฺจิกงฺคารสนฺถตํ วิย อุณฺหํ วาลุกํ มทฺทโนฺต ธนโลเภน หฎฺฐปหโฎฺฐ กสาวรตฺตนิวาสโน กเณฺณ ตาลปณฺณํ ปิฬนฺธิตฺวา เอเกน อาโยควเตฺตน คีตํ คายโนฺต ราชงฺคเณน ปายาสิฯ

    Athekadivasaṃ nagare chaṇaṃ sajjayiṃsu, mahājano kīḷāpasuto ahosi. Tadā bārāṇasiyā uttaradvāravāsī eko bhatiko udakabhatiṃ katvā laddhaṃ aḍḍhamāsakaṃ pākāriṭṭhakāya antare ṭhapetvā bhatiṃ karonto dakkhiṇadvāraṃ patvā tattha udakabhatimeva katvā jīvamānāya ekāya kapaṇitthiyā saddhiṃ saṃvāsaṃ kappesi. Sā taṃ āha – ‘‘sāmi, nagare chaṇo vattati, sace te kiñci atthi, mayampi kīḷeyyāmā’’ti? ‘‘Āma, atthī’’ti. ‘‘Kittakaṃ, sāmī’’ti? ‘‘Aḍḍhamāsako’’ti. ‘‘Kahaṃ so’’ti? ‘‘Uttaradvāre iṭṭhakabbhantare ṭhapitoti ito me dvādasayojanantare nidhānaṃ, tava pana hatthe kiñci atthī’’ti? ‘‘Āma, atthī’’ti. ‘‘Kittaka’’nti? ‘‘Aḍḍhamāsakovā’’ti. ‘‘Iti tava aḍḍhamāsako, mama aḍḍhamāsakoti māsakova hoti, tato ekena koṭṭhāsena mālaṃ, ekena koṭṭhāsena gandhaṃ, ekena koṭṭhāsena suraṃ gahetvā kīḷissāma, gaccha tayā ṭhapitaṃ aḍḍhamāsakaṃ āharā’’ti. So ‘‘bhariyāya me santikā kathā laddhā’’ti haṭṭhatuṭṭho ‘‘bhadde, mā cintayi, āharissāmi na’’nti vatvā pakkāmi. Nāgabalo bhatiko cha yojanāni atikkamma majjhanhikasamaye vītaccikaṅgārasanthataṃ viya uṇhaṃ vālukaṃ maddanto dhanalobhena haṭṭhapahaṭṭho kasāvarattanivāsano kaṇṇe tālapaṇṇaṃ piḷandhitvā ekena āyogavattena gītaṃ gāyanto rājaṅgaṇena pāyāsi.

    อุทยราชา สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา ฐิโต ตํ ตถา คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข เอส เอวรูปํ วาตาตปํ อคเณตฺวา หฎฺฐตุโฎฺฐ คายโนฺต คจฺฉติ, ปุจฺฉิสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ปโกฺกสนตฺถาย เอกํ ปุริสํ ปหิณิฯ เตน คนฺตฺวา ‘‘ราชา ตํ ปโกฺกสตี’’ติ วุเตฺต ‘‘ราชา มยฺหํ กิํ โหติ, นาหํ ราชานํ ชานามี’’ติ วตฺวา พลกฺกาเรน นีโต เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ อถ นํ ราชา ปุจฺฉโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Udayarājā sīhapañjaraṃ vivaritvā ṭhito taṃ tathā gacchantaṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho esa evarūpaṃ vātātapaṃ agaṇetvā haṭṭhatuṭṭho gāyanto gacchati, pucchissāmi na’’nti cintetvā pakkosanatthāya ekaṃ purisaṃ pahiṇi. Tena gantvā ‘‘rājā taṃ pakkosatī’’ti vutte ‘‘rājā mayhaṃ kiṃ hoti, nāhaṃ rājānaṃ jānāmī’’ti vatvā balakkārena nīto ekamantaṃ aṭṭhāsi. Atha naṃ rājā pucchanto dve gāthā abhāsi –

    ๓๖.

    36.

    ‘‘องฺคารชาตา ปถวี, กุกฺกุฬานุคตา มหี;

    ‘‘Aṅgārajātā pathavī, kukkuḷānugatā mahī;

    อถ คายสิ วตฺตานิ, น ตํ ตปติ อาตโปฯ

    Atha gāyasi vattāni, na taṃ tapati ātapo.

    ๓๗.

    37.

    ‘‘อุทฺธํ ตปติ อาทิโจฺจ, อโธ ตปติ วาลุกา;

    ‘‘Uddhaṃ tapati ādicco, adho tapati vālukā;

    อถ คายสิ วตฺตานิ, น ตํ ตปติ อาตโป’’ติฯ

    Atha gāyasi vattāni, na taṃ tapati ātapo’’ti.

    ตตฺถ องฺคารชาตาติ โภ ปุริส, อยํ ปถวี วีตจฺจิกงฺคารา วิย อุณฺหชาตาฯ กุกฺกุฬานุคตาติ อาทิตฺตฉาริกสงฺขาเตน กุกฺกุเฬน วิย อุณฺหวาลุกาย อนุคตาฯ วตฺตานีติ อาโยควตฺตานิ อาโรเปตฺวา คีตํ คายสีติฯ

    Tattha aṅgārajātāti bho purisa, ayaṃ pathavī vītaccikaṅgārā viya uṇhajātā. Kukkuḷānugatāti ādittachārikasaṅkhātena kukkuḷena viya uṇhavālukāya anugatā. Vattānīti āyogavattāni āropetvā gītaṃ gāyasīti.

    โส รโญฺญ กถํ สุตฺวา ตติยํ คาถมาห –

    So rañño kathaṃ sutvā tatiyaṃ gāthamāha –

    ๓๘.

    38.

    ‘‘น มํ ตปติ อาตโป, อาตปา ตปยนฺติ มํ;

    ‘‘Na maṃ tapati ātapo, ātapā tapayanti maṃ;

    อตฺถา หิ วิวิธา ราช, เต ตปนฺติ น อาตโป’’ติฯ

    Atthā hi vividhā rāja, te tapanti na ātapo’’ti.

    ตตฺถ อาตปาติ วตฺถุกามกิเลสกามาฯ ปุริสญฺหิ เต อภิตปนฺติ, ตสฺมา ‘‘อาตปา’’ติ วุตฺตาฯ อตฺถา หิ วิวิธาติ, มหาราช, มยฺหํ วตฺถุกามกิเลสกาเม นิสฺสาย กตฺตพฺพา นานากิจฺจสงฺขาตา วิวิธา อตฺถา อตฺถิ, เต มํ ตปนฺติ, น อาตโปติฯ

    Tattha ātapāti vatthukāmakilesakāmā. Purisañhi te abhitapanti, tasmā ‘‘ātapā’’ti vuttā. Atthā hi vividhāti, mahārāja, mayhaṃ vatthukāmakilesakāme nissāya kattabbā nānākiccasaṅkhātā vividhā atthā atthi, te maṃ tapanti, na ātapoti.

    อถ นํ ราชา ‘‘โก นาม เต อโตฺถ’’ติ ปุจฺฉิฯ โส อาห ‘‘อหํ, เทว, ทกฺขิณทฺวาเร กปณิตฺถิยา สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปสิํ, สา มํ ‘ฉณํ กีฬิสฺสาม, อตฺถิ เต กิญฺจิ หเตฺถ’ติ ปุจฺฉิ, อถ นํ อหํ ‘มม นิธานํ อุตฺตรทฺวาเร ปาการนฺตเร ฐปิต’นฺติ อวจํ, สา ‘คจฺฉ ตํ อาหร, อุโภปิ กีฬิสฺสามา’ติ มํ ปหิณิ, สา เม ตสฺสา กถา หทยํ น วิชหติ, ตํ มํ อนุสฺสรนฺตํ กามตโป ตปติ, อยํ เม, เทว, อโตฺถ’’ติฯ อถ ‘‘เอวรูปํ วาตาตปํ อคเณตฺวา กิํ เต ตุสฺสนการณํ, เยน คายโนฺต คจฺฉสี’’ติ? ‘‘เทว, ตํ นิธานํ อาหริตฺวา ‘ตาย สทฺธิํ อภิรมิสฺสามี’ติ อิมินา การเณน ตุโฎฺฐ คายามี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน เต, โภ ปุริส, อุตฺตรทฺวาเร ฐปิตนิธานํ สตสหสฺสมตฺตํ อตฺถี’’ติ? ‘‘นตฺถิ, เทวา’’ติฯ ราชา ‘‘เตน หิ ปญฺญาส สหสฺสานิ, จตฺตาลีส, ติํส, วีส, ทส, สหสฺสํ, ปญฺจ สตานิ, จตฺตาริ, ตีณิ, เทฺว, เอกํ, สตํ, ปญฺญาสํ, จตฺตาลีสํ, ติํสํ, วีสํ, ทส, ปญฺจ, จตฺตาริ, ตโย, เทฺว, เอโก กหาปโณ, อโฑฺฒ, ปาโท, จตฺตาโร มาสกา, ตโย, เทฺว, เอโก มาสโก’’ติ ปุจฺฉิฯ สพฺพํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘อฑฺฒมาสโก’’ติ วุโตฺต ‘‘อาม, เทว, เอตฺตกํ มยฺหํ ธนํ, ตํ อาหริตฺวา ตาย สทฺธิํ อภิรมิสฺสามีติ คจฺฉามิ, ตาย ปีติยา เตน โสมนเสฺสน น มํ เอส วาตาตโป ตปตี’’ติ อาหฯ

    Atha naṃ rājā ‘‘ko nāma te attho’’ti pucchi. So āha ‘‘ahaṃ, deva, dakkhiṇadvāre kapaṇitthiyā saddhiṃ saṃvāsaṃ kappesiṃ, sā maṃ ‘chaṇaṃ kīḷissāma, atthi te kiñci hatthe’ti pucchi, atha naṃ ahaṃ ‘mama nidhānaṃ uttaradvāre pākārantare ṭhapita’nti avacaṃ, sā ‘gaccha taṃ āhara, ubhopi kīḷissāmā’ti maṃ pahiṇi, sā me tassā kathā hadayaṃ na vijahati, taṃ maṃ anussarantaṃ kāmatapo tapati, ayaṃ me, deva, attho’’ti. Atha ‘‘evarūpaṃ vātātapaṃ agaṇetvā kiṃ te tussanakāraṇaṃ, yena gāyanto gacchasī’’ti? ‘‘Deva, taṃ nidhānaṃ āharitvā ‘tāya saddhiṃ abhiramissāmī’ti iminā kāraṇena tuṭṭho gāyāmī’’ti. ‘‘Kiṃ pana te, bho purisa, uttaradvāre ṭhapitanidhānaṃ satasahassamattaṃ atthī’’ti? ‘‘Natthi, devā’’ti. Rājā ‘‘tena hi paññāsa sahassāni, cattālīsa, tiṃsa, vīsa, dasa, sahassaṃ, pañca satāni, cattāri, tīṇi, dve, ekaṃ, sataṃ, paññāsaṃ, cattālīsaṃ, tiṃsaṃ, vīsaṃ, dasa, pañca, cattāri, tayo, dve, eko kahāpaṇo, aḍḍho, pādo, cattāro māsakā, tayo, dve, eko māsako’’ti pucchi. Sabbaṃ paṭikkhipitvā ‘‘aḍḍhamāsako’’ti vutto ‘‘āma, deva, ettakaṃ mayhaṃ dhanaṃ, taṃ āharitvā tāya saddhiṃ abhiramissāmīti gacchāmi, tāya pītiyā tena somanassena na maṃ esa vātātapo tapatī’’ti āha.

    อถ นํ ราชา ‘‘โภ ปุริส, เอวรูเป อาตเป ตตฺถ มา คมิ, อหํ เต อฑฺฒมาสกํ ทสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘เทว, อหํ ตุมฺหากํ กถาย ฐตฺวา ตญฺจ คณฺหิสฺสามิ, อิตรญฺจ ธนํ น นาเสสฺสามิ, มม คมนํ อหาเปตฺวา ตมฺปิ คเหสฺสามี’’ติฯ ‘‘โภ ปุริส, นิวตฺต, มาสกํ เต ทสฺสามิ, เทฺว มาสเกหิ เอวํ วเฑฺฒตฺวา โกฎิํ โกฎิสตํ อปริมิตํ ธนํ ทสฺสามิ, นิวตฺตา’’ติ วุเตฺตปิ ‘‘เทว, ตํ คเหตฺวา อิตรมฺปิ คณฺหิสฺสามิ’’อิเจฺจว อาหฯ ตโต เสฎฺฐิฎฺฐานาทีหิ ฐานนฺตเรหิ ปโลภิโต ยาว อุปรชฺชา ตเถว วตฺวา ‘‘อุปฑฺฒรชฺชํ เต ทสฺสามิ, นิวตฺตา’’ติ วุเตฺต สมฺปฎิจฺฉิฯ ราชา ‘‘คจฺฉถ มม สหายสฺส เกสมสฺสุํ กาเรตฺวา นฺหาเปตฺวา อลงฺกริตฺวา อาเนถ น’’นฺติ อมเจฺจ อาณาเปสิฯ อมจฺจา ตถา อกํสุฯ ราชา รชฺชํ ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา ตสฺส อุปฑฺฒรชฺชํ อทาสิฯ ‘‘โส ปน ตํ คเหตฺวาปิ อฑฺฒมาสกเปเมน อุตฺตรปสฺสํ คโตเยวา’’ติ วทนฺติฯ โส อฑฺฒมาสกราชา นาม อโหสิฯ เต สมคฺคา สโมฺมทมานา รชฺชํ กาเรนฺตา เอกทิวสํ อุยฺยานํ คมิํสุฯ ตตฺถ กีฬิตฺวา อุทยราชา อฑฺฒมาสกรโญฺญ อเงฺก สีสํ กตฺวา นิปชฺชิฯ ตสฺมิํ นิทฺทํ โอกฺกเนฺต ปริวารมนุสฺสา กีฬานุภวนวเสน ตตฺถ ตตฺถ อคมํสุฯ

    Atha naṃ rājā ‘‘bho purisa, evarūpe ātape tattha mā gami, ahaṃ te aḍḍhamāsakaṃ dassāmī’’ti āha. ‘‘Deva, ahaṃ tumhākaṃ kathāya ṭhatvā tañca gaṇhissāmi, itarañca dhanaṃ na nāsessāmi, mama gamanaṃ ahāpetvā tampi gahessāmī’’ti. ‘‘Bho purisa, nivatta, māsakaṃ te dassāmi, dve māsakehi evaṃ vaḍḍhetvā koṭiṃ koṭisataṃ aparimitaṃ dhanaṃ dassāmi, nivattā’’ti vuttepi ‘‘deva, taṃ gahetvā itarampi gaṇhissāmi’’icceva āha. Tato seṭṭhiṭṭhānādīhi ṭhānantarehi palobhito yāva uparajjā tatheva vatvā ‘‘upaḍḍharajjaṃ te dassāmi, nivattā’’ti vutte sampaṭicchi. Rājā ‘‘gacchatha mama sahāyassa kesamassuṃ kāretvā nhāpetvā alaṅkaritvā ānetha na’’nti amacce āṇāpesi. Amaccā tathā akaṃsu. Rājā rajjaṃ dvidhā bhinditvā tassa upaḍḍharajjaṃ adāsi. ‘‘So pana taṃ gahetvāpi aḍḍhamāsakapemena uttarapassaṃ gatoyevā’’ti vadanti. So aḍḍhamāsakarājā nāma ahosi. Te samaggā sammodamānā rajjaṃ kārentā ekadivasaṃ uyyānaṃ gamiṃsu. Tattha kīḷitvā udayarājā aḍḍhamāsakarañño aṅke sīsaṃ katvā nipajji. Tasmiṃ niddaṃ okkante parivāramanussā kīḷānubhavanavasena tattha tattha agamaṃsu.

    อฑฺฒมาสกราชา ‘‘กิํ เม นิจฺจกาลํ อุปฑฺฒรเชฺชน, อิมํ มาเรตฺวา อหเมว สกลรชฺชํ กาเรสฺสามี’’ติ ขคฺคํ อพฺพาหิตฺวา ‘‘ปหริสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ปุน ‘‘อยํ ราชา มํ ทลิทฺทกปณํ มนุสฺสํ อตฺตนา สมานํ กตฺวา มหเนฺต อิสฺสริเย ปติฎฺฐเปสิ, เอวรูปํ นาม ยสทายกํ มาเรตฺวา รชฺชํ กาเรสฺสามีติ มม อิจฺฉา อุปฺปนฺนา, อยุตฺตํ วต เม กมฺม’’นฺติ สติํ ปฎิลภิตฺวา อสิํ ปเวเสสิฯ อถสฺส ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ ตเถว จิตฺตํ อุปฺปชฺชิฯ ตโต จิเนฺตสิ ‘‘อิทํ จิตฺตํ ปุนปฺปุนํ อุปฺปชฺชมานํ มํ ปาปกเมฺม นิโยเชยฺยา’’ติฯ โส อสิํ ภูมิยํ ขิปิตฺวา ราชานํ อุฎฺฐาเปตฺวา ‘‘ขมาหิ เม, เทวา’’ติ ปาเทสุ ปติฯ ‘‘นนุ สมฺม, ตว มมนฺตเร โทโส นตฺถี’’ติ? ‘‘อตฺถิ, มหาราช, อหํ อิทํ นาม อกาสิ’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ สมฺม, ขมามิ เต, อิจฺฉโนฺต ปน รชฺชํ กาเรหิ, อหํ อุปราชา หุตฺวา ตํ อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติฯ โส ‘‘น เม, เทว, รเชฺชน อโตฺถ, อยญฺหิ ตณฺหา มํ อปาเยสุ นิพฺพตฺตาเปสฺสติ, ตว รชฺชํ ตฺวเมว คณฺห, อหํ ปพฺพชิสฺสามิ, ทิฎฺฐํ เม กามสฺส มูลํ, อยญฺหิ สงฺกเปฺปน วฑฺฒติ, น ทานิ นํ ตโต ปฎฺฐาย สงฺกเปฺปสฺสามี’’ติ อุทาเนโนฺต จตุตฺถํ คาถมาห –

    Aḍḍhamāsakarājā ‘‘kiṃ me niccakālaṃ upaḍḍharajjena, imaṃ māretvā ahameva sakalarajjaṃ kāressāmī’’ti khaggaṃ abbāhitvā ‘‘paharissāmi na’’nti cintetvā puna ‘‘ayaṃ rājā maṃ daliddakapaṇaṃ manussaṃ attanā samānaṃ katvā mahante issariye patiṭṭhapesi, evarūpaṃ nāma yasadāyakaṃ māretvā rajjaṃ kāressāmīti mama icchā uppannā, ayuttaṃ vata me kamma’’nti satiṃ paṭilabhitvā asiṃ pavesesi. Athassa dutiyampi tatiyampi tatheva cittaṃ uppajji. Tato cintesi ‘‘idaṃ cittaṃ punappunaṃ uppajjamānaṃ maṃ pāpakamme niyojeyyā’’ti. So asiṃ bhūmiyaṃ khipitvā rājānaṃ uṭṭhāpetvā ‘‘khamāhi me, devā’’ti pādesu pati. ‘‘Nanu samma, tava mamantare doso natthī’’ti? ‘‘Atthi, mahārāja, ahaṃ idaṃ nāma akāsi’’nti. ‘‘Tena hi samma, khamāmi te, icchanto pana rajjaṃ kārehi, ahaṃ uparājā hutvā taṃ upaṭṭhahissāmī’’ti. So ‘‘na me, deva, rajjena attho, ayañhi taṇhā maṃ apāyesu nibbattāpessati, tava rajjaṃ tvameva gaṇha, ahaṃ pabbajissāmi, diṭṭhaṃ me kāmassa mūlaṃ, ayañhi saṅkappena vaḍḍhati, na dāni naṃ tato paṭṭhāya saṅkappessāmī’’ti udānento catutthaṃ gāthamāha –

    ๓๙.

    39.

    ‘‘อทฺทสํ กาม เต มูลํ, สงฺกปฺปา กาม ชายสิ;

    ‘‘Addasaṃ kāma te mūlaṃ, saṅkappā kāma jāyasi;

    น ตํ สงฺกปฺปยิสฺสามิ, เอวํ กาม น เหหิสี’’ติฯ

    Na taṃ saṅkappayissāmi, evaṃ kāma na hehisī’’ti.

    ตตฺถ เอวนฺติ เอวํ มมนฺตเรฯ น เหหิสีติ น อุปฺปชฺชิสฺสสีติฯ

    Tattha evanti evaṃ mamantare. Na hehisīti na uppajjissasīti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ปุน กาเมสุ อนุยุญฺชนฺตสฺส มหาชนสฺส ธมฺมํ เทเสโนฺต ปญฺจมํ คาถมาห –

    Evañca pana vatvā puna kāmesu anuyuñjantassa mahājanassa dhammaṃ desento pañcamaṃ gāthamāha –

    ๔๐.

    40.

    ‘‘อปฺปาปิ กามา น อลํ, พหูหิปิ น ตปฺปติ;

    ‘‘Appāpi kāmā na alaṃ, bahūhipi na tappati;

    อหหา พาลลปนา, ปริวเชฺชถ ชคฺคโต’’ติฯ

    Ahahā bālalapanā, parivajjetha jaggato’’ti.

    ตตฺถ อหหาติ สํเวคทีปนํฯ ชคฺคโตติ ชคฺคโนฺตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – มหาราช, อิมสฺส มหาชนสฺส อปฺปกาปิ วตฺถุกามกิเลสกามา น อลํ ปริยตฺตาว, พหูหิปิ จ เตหิ น ตปฺปเตว, ‘‘อโห อิเม มม รูปา มม สทฺทา’’ติ ลปนโต พาลลปนา กามา, อิเม วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา โพธิปกฺขิยานํ ธมฺมานํ ภาวนานุโยคมนุยุโตฺต ชคฺคโนฺต กุลปุโตฺต ปริวเชฺชถ, ปริญฺญาปหานาภิสมเยหิ อภิสเมตฺวา ปชเหยฺยาติฯ

    Tattha ahahāti saṃvegadīpanaṃ. Jaggatoti jagganto. Idaṃ vuttaṃ hoti – mahārāja, imassa mahājanassa appakāpi vatthukāmakilesakāmā na alaṃ pariyattāva, bahūhipi ca tehi na tappateva, ‘‘aho ime mama rūpā mama saddā’’ti lapanato bālalapanā kāmā, ime vipassanaṃ vaḍḍhetvā bodhipakkhiyānaṃ dhammānaṃ bhāvanānuyogamanuyutto jagganto kulaputto parivajjetha, pariññāpahānābhisamayehi abhisametvā pajaheyyāti.

    เอวํ โส มหาชนสฺส ธมฺมํ เทเสตฺวา อุทยราชานํ รชฺชํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา มหาชนํ อสฺสุมุขํ โรทมานํ ปหาย หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิตฺวา ฌานาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา วิหาสิฯ ตสฺส ปพฺพชิตกาเล ราชา ตํ อุทานํ สกลํ กตฺวา อุทาเนโนฺต ฉฎฺฐํ คาถมาห –

    Evaṃ so mahājanassa dhammaṃ desetvā udayarājānaṃ rajjaṃ paṭicchāpetvā mahājanaṃ assumukhaṃ rodamānaṃ pahāya himavantaṃ pavisitvā pabbajitvā jhānābhiññāyo nibbattetvā vihāsi. Tassa pabbajitakāle rājā taṃ udānaṃ sakalaṃ katvā udānento chaṭṭhaṃ gāthamāha –

    ๔๑.

    41.

    ‘‘อปฺปสฺส กมฺมสฺส ผลํ มเมทํ, อุทโย อชฺฌาคมา มหตฺตปตฺตํ;

    ‘‘Appassa kammassa phalaṃ mamedaṃ, udayo ajjhāgamā mahattapattaṃ;

    สุลทฺธลาโภ วต มาณวสฺส, โย ปพฺพชี กามราคํ ปหายา’’ติฯ

    Suladdhalābho vata māṇavassa, yo pabbajī kāmarāgaṃ pahāyā’’ti.

    ตตฺถ อุทโยติ อตฺตานํ สนฺธาย วทติฯ มหตฺตปตฺตนฺติ มหนฺตภาวปฺปตฺตํ วิปุลํ อิสฺสริยํ อชฺฌาคมาฯ มาณวสฺสาติ สตฺตสฺส มยฺหํ สหายสฺส สุลทฺธลาโภ, โย กามราคํ ปหาย ปพฺพชิโตติ อธิปฺปาเยเนวมาหฯ

    Tattha udayoti attānaṃ sandhāya vadati. Mahattapattanti mahantabhāvappattaṃ vipulaṃ issariyaṃ ajjhāgamā. Māṇavassāti sattassa mayhaṃ sahāyassa suladdhalābho, yo kāmarāgaṃ pahāya pabbajitoti adhippāyenevamāha.

    อิมิสฺสา ปน คาถาย น โกจิ อตฺถํ ชานาติฯ อถ นํ เอกทิวสํ อคฺคมเหสี คาถาย อตฺถํ ปุจฺฉิ, ราชา น กเถสิฯ เอโก ปนสฺส คงฺคมาโล นาม มงฺคลนฺหาปิโต, โส รโญฺญ มสฺสุํ กโรโนฺต ปฐมํ ขุรปริกมฺมํ กตฺวา ปจฺฉา สณฺฑาเสน โลมานิ คณฺหาติ, รโญฺญ จ ขุรปริกมฺมกาเล สุขํ โหติ, โลมหรณกาเล ทุกฺขํฯ โส ปฐมํ ตสฺส วรํ ทาตุกาโม โหติ, ปจฺฉา สีสเจฺฉทนมากงฺขติฯ อเถกทิวสํ ‘‘ภเทฺท, อมฺหากํ คงฺคมาลกปฺปโก พาโล’’ติ เทวิยา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘กิ ปน, เทว, กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุเตฺต ‘‘ปฐมํ สณฺฑาเสน โลมานิ คเหตฺวา ปจฺฉา ขุรปริกมฺม’’นฺติ อาหฯ สา ตํ กปฺปกํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาต, อิทานิ รโญฺญ มสฺสุกรณทิวเส ปฐมํ โลมานิ คเหตฺวา ปจฺฉา ขุรปริกมฺมํ กเรยฺยาสิ, รญฺญา จ ‘วรํ คณฺหาหี’ติ วุเตฺต ‘อเญฺญน, เทว, เม อโตฺถ นตฺถิ, ตุมฺหากํ อุทานคาถาย อตฺถํ อาจิกฺขถา’ติ วเทยฺยาสิ, อหํ เต พหุํ ธนํ ทสฺสามี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา มสฺสุกรณทิวเส ปฐมํ สณฺฑาสํ คณฺหิฯ ‘‘กิํ, ภเณ คงฺคมาล, อปุพฺพํ เต กรณ’’นฺติ รญฺญา วุเตฺต ‘‘เทว, กปฺปกา นาม อปุพฺพมฺปิ กโรนฺตี’’ติ วตฺวา ปฐมํ โลมานิ คเหตฺวา ปจฺฉา ขุรปริกมฺมํ อกาสิฯ ราชา ‘‘วรํ คณฺหาหี’’ติ อาหฯ ‘‘เทว, อเญฺญน เม อโตฺถ นตฺถิ, ตุมฺหากํ อุทานคาถาย อตฺถํ กเถถา’’ติฯ ราชา อตฺตโน ทลิทฺทกาเล กตํ กเถตุํ ลชฺชโนฺต ‘‘ตาต, อิมินา เต วเรน โก อโตฺถ, อญฺญํ คณฺหาหี’’ติ อาหฯ ‘‘เอตเมว เทหิ, เทวา’’ติฯ โส มุสาวาทภเยน ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา กุมฺมาสปิณฺฑิชาตเก วุตฺตนเยเนว สพฺพํ สํวิทหาเปตฺวา รตนปลฺลเงฺก นิสีทิตฺวา ‘‘อหํ คงฺคมาล, ปุริมภเว อิมสฺมิํเยว นคเร’’ติ สพฺพํ ปุริมกิริยํ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘อิมินา การเณน อุปฑฺฒคาถํ, ‘สหาโย ปน เม ปพฺพชิโต, อหํ ปมโตฺต หุตฺวา รชฺชเมว กาเรมี’ติ อิมินา การเณน ปจฺฉา อุปฑฺฒคาถํ วทามี’’ติ อุทานสฺส อตฺถํ กเถสิฯ

    Imissā pana gāthāya na koci atthaṃ jānāti. Atha naṃ ekadivasaṃ aggamahesī gāthāya atthaṃ pucchi, rājā na kathesi. Eko panassa gaṅgamālo nāma maṅgalanhāpito, so rañño massuṃ karonto paṭhamaṃ khuraparikammaṃ katvā pacchā saṇḍāsena lomāni gaṇhāti, rañño ca khuraparikammakāle sukhaṃ hoti, lomaharaṇakāle dukkhaṃ. So paṭhamaṃ tassa varaṃ dātukāmo hoti, pacchā sīsacchedanamākaṅkhati. Athekadivasaṃ ‘‘bhadde, amhākaṃ gaṅgamālakappako bālo’’ti deviyā tamatthaṃ ārocetvā ‘‘ki pana, deva, kātuṃ vaṭṭatī’’ti vutte ‘‘paṭhamaṃ saṇḍāsena lomāni gahetvā pacchā khuraparikamma’’nti āha. Sā taṃ kappakaṃ pakkosāpetvā ‘‘tāta, idāni rañño massukaraṇadivase paṭhamaṃ lomāni gahetvā pacchā khuraparikammaṃ kareyyāsi, raññā ca ‘varaṃ gaṇhāhī’ti vutte ‘aññena, deva, me attho natthi, tumhākaṃ udānagāthāya atthaṃ ācikkhathā’ti vadeyyāsi, ahaṃ te bahuṃ dhanaṃ dassāmī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā massukaraṇadivase paṭhamaṃ saṇḍāsaṃ gaṇhi. ‘‘Kiṃ, bhaṇe gaṅgamāla, apubbaṃ te karaṇa’’nti raññā vutte ‘‘deva, kappakā nāma apubbampi karontī’’ti vatvā paṭhamaṃ lomāni gahetvā pacchā khuraparikammaṃ akāsi. Rājā ‘‘varaṃ gaṇhāhī’’ti āha. ‘‘Deva, aññena me attho natthi, tumhākaṃ udānagāthāya atthaṃ kathethā’’ti. Rājā attano daliddakāle kataṃ kathetuṃ lajjanto ‘‘tāta, iminā te varena ko attho, aññaṃ gaṇhāhī’’ti āha. ‘‘Etameva dehi, devā’’ti. So musāvādabhayena ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā kummāsapiṇḍijātake vuttanayeneva sabbaṃ saṃvidahāpetvā ratanapallaṅke nisīditvā ‘‘ahaṃ gaṅgamāla, purimabhave imasmiṃyeva nagare’’ti sabbaṃ purimakiriyaṃ ācikkhitvā ‘‘iminā kāraṇena upaḍḍhagāthaṃ, ‘sahāyo pana me pabbajito, ahaṃ pamatto hutvā rajjameva kāremī’ti iminā kāraṇena pacchā upaḍḍhagāthaṃ vadāmī’’ti udānassa atthaṃ kathesi.

    ตํ สุตฺวา กปฺปโก ‘‘อุปฑฺฒุโปสถกเมฺมน กิร รญฺญา อยํ สมฺปตฺติ ลทฺธา, กุสลํ นาม กาตพฺพเมว, ยํนูนาหํ ปพฺพชิตฺวา อตฺตโน ปติฎฺฐํ กเรยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ญาติโภคปริวฎฺฎํ ปหาย ราชานํ ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปตฺวา หิมวนฺตํ คนฺตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ติลกฺขณํ อาโรเปโนฺต วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ปเจฺจกโพธิํ ปตฺวา อิทฺธิยา นิพฺพตฺตปตฺตจีวรธโร คนฺธมาทนปพฺพเต ปญฺจฉพฺพสฺสานิ วสิตฺวา ‘‘พาราณสิราชานํ โอโลเกสฺสามี’’ติ อากาเสนาคนฺตฺวา อุยฺยาเน มงฺคลสิลายํ นิสีทิฯ อุยฺยานปาโล สญฺชานิตฺวา คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิ ‘‘เทว, คงฺคมาโล ปเจฺจกพุโทฺธ หุตฺวา อากาเสนาคนฺตฺวา อุยฺยาเน นิสิโนฺน’’ติฯ ราชา ตํ สุตฺวา ‘‘ปเจฺจกพุทฺธํ วนฺทิสฺสามี’’ติ เวเคน นิกฺขมิฯ ราชมาตา จ ปุเตฺตน สทฺธิํเยว นิกฺขมิฯ ราชา อุยฺยานํ ปวิสิตฺวา ตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ สทฺธิํ ปริสายฯ โส รญฺญา สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กโรโนฺต ‘‘กิํ, พฺรหฺมทตฺต, อปฺปมโตฺตสิ, ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิ, ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กโรสี’’ติ ราชานํ กุลนาเมน อาลปิตฺวา ปฎิสนฺถารํ กโรติฯ ตํ สุตฺวา รโญฺญ มาตา ‘‘อยํ หีนชโจฺจ มลมชฺชโก นฺหาปิตปุโตฺต อตฺตานํ น ชานาติ, มม ปุตฺตํ ปถวิสฺสรํ ชาติขตฺติยํ ‘พฺรหฺมทตฺตา’ติ นาเมนาลปตี’’ติ กุชฺฌิตฺวา สตฺตมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā kappako ‘‘upaḍḍhuposathakammena kira raññā ayaṃ sampatti laddhā, kusalaṃ nāma kātabbameva, yaṃnūnāhaṃ pabbajitvā attano patiṭṭhaṃ kareyya’’nti cintetvā ñātibhogaparivaṭṭaṃ pahāya rājānaṃ pabbajjaṃ anujānāpetvā himavantaṃ gantvā isipabbajjaṃ pabbajitvā tilakkhaṇaṃ āropento vipassanaṃ vaḍḍhetvā paccekabodhiṃ patvā iddhiyā nibbattapattacīvaradharo gandhamādanapabbate pañcachabbassāni vasitvā ‘‘bārāṇasirājānaṃ olokessāmī’’ti ākāsenāgantvā uyyāne maṅgalasilāyaṃ nisīdi. Uyyānapālo sañjānitvā gantvā rañño ārocesi ‘‘deva, gaṅgamālo paccekabuddho hutvā ākāsenāgantvā uyyāne nisinno’’ti. Rājā taṃ sutvā ‘‘paccekabuddhaṃ vandissāmī’’ti vegena nikkhami. Rājamātā ca puttena saddhiṃyeva nikkhami. Rājā uyyānaṃ pavisitvā taṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi saddhiṃ parisāya. So raññā saddhiṃ paṭisanthāraṃ karonto ‘‘kiṃ, brahmadatta, appamattosi, dhammena rajjaṃ kāresi, dānādīni puññāni karosī’’ti rājānaṃ kulanāmena ālapitvā paṭisanthāraṃ karoti. Taṃ sutvā rañño mātā ‘‘ayaṃ hīnajacco malamajjako nhāpitaputto attānaṃ na jānāti, mama puttaṃ pathavissaraṃ jātikhattiyaṃ ‘brahmadattā’ti nāmenālapatī’’ti kujjhitvā sattamaṃ gāthamāha –

    ๔๒.

    42.

    ‘‘ตปสา ปชหนฺติ ปาปกมฺมํ, ตปสา นฺหาปิตกุมฺภการภาวํ;

    ‘‘Tapasā pajahanti pāpakammaṃ, tapasā nhāpitakumbhakārabhāvaṃ;

    ตปสา อภิภุยฺย คงฺคมาล, นาเมนาลปสชฺช พฺรหฺมทตฺตา’’ติฯ

    Tapasā abhibhuyya gaṅgamāla, nāmenālapasajja brahmadattā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – อิเม ตาว สตฺตา ตปสา อตฺตนา กเตน ตโปคุเณน ปาปกมฺมํ ชหนฺติ, กิํ ปเนเต ตปสา นฺหาปิตกุมฺภการภาวมฺปิ ชหนฺติ, ยํ ตฺวํ คงฺคมาล, อตฺตโน ตปสา อภิภุยฺย มม ปุตฺตํ พฺรหฺมทตฺตํ นาเมนาลปสิ, ปติรูปํ นุ เต เอตนฺติ?

    Tassattho – ime tāva sattā tapasā attanā katena tapoguṇena pāpakammaṃ jahanti, kiṃ panete tapasā nhāpitakumbhakārabhāvampi jahanti, yaṃ tvaṃ gaṅgamāla, attano tapasā abhibhuyya mama puttaṃ brahmadattaṃ nāmenālapasi, patirūpaṃ nu te etanti?

    ราชา มาตรํ วาเรตฺวา ปเจฺจกพุทฺธสฺส คุณํ ปกาเสโนฺต อฎฺฐมํ คาถมาห –

    Rājā mātaraṃ vāretvā paccekabuddhassa guṇaṃ pakāsento aṭṭhamaṃ gāthamāha –

    ๔๓.

    43.

    ‘‘สนฺทิฎฺฐิกเมว อมฺม ปสฺสถ, ขนฺตีโสรจฺจสฺส อยํ วิปาโก;

    ‘‘Sandiṭṭhikameva amma passatha, khantīsoraccassa ayaṃ vipāko;

    โย สพฺพชนสฺส วนฺทิโตหุ, ตํ วนฺทาม สราชิกา สมจฺจา’’ติฯ

    Yo sabbajanassa vanditohu, taṃ vandāma sarājikā samaccā’’ti.

    ตตฺถ ขนฺตีโสรจฺจสฺสาติ อธิวาสนขนฺติยา จ โสรจฺจสฺส จฯ ตํ วนฺทามาติ ตํ อิทานิ มยํ สราชิกา สมจฺจา สเพฺพ วนฺทาม, ปสฺสถ อมฺม, ขนฺตีโสรจฺจานํ วิปากนฺติฯ

    Tattha khantīsoraccassāti adhivāsanakhantiyā ca soraccassa ca. Taṃ vandāmāti taṃ idāni mayaṃ sarājikā samaccā sabbe vandāma, passatha amma, khantīsoraccānaṃ vipākanti.

    รญฺญา มาตริ วาริตาย เสสมหาชโน อุฎฺฐหิตฺวา ‘‘อยุตฺตํ วต, เทว, เอวรูปสฺส หีนชจฺจสฺส ตุเมฺห นาเมนาลปน’’นฺติ อาหฯ ราชา มหาชนมฺปิ ปฎิพาหิตฺวา ตสฺส คุณกถํ กเถตุํ โอสานคาถมาห –

    Raññā mātari vāritāya sesamahājano uṭṭhahitvā ‘‘ayuttaṃ vata, deva, evarūpassa hīnajaccassa tumhe nāmenālapana’’nti āha. Rājā mahājanampi paṭibāhitvā tassa guṇakathaṃ kathetuṃ osānagāthamāha –

    ๔๔.

    44.

    ‘‘มา กิญฺจิ อวจุตฺถ คงฺคมาลํ, มุนินํ โมนปเถสุ สิกฺขมานํ;

    ‘‘Mā kiñci avacuttha gaṅgamālaṃ, muninaṃ monapathesu sikkhamānaṃ;

    เอโส หิ อตริ อณฺณวํ, ยํ ตริตฺวา จรนฺติ วีตโสกา’’ติฯ

    Eso hi atari aṇṇavaṃ, yaṃ taritvā caranti vītasokā’’ti.

    ตตฺถ มุนินนฺติ อคาริกานคาริกเสกฺขาเสกฺขปเจฺจกมุนีสุ ปเจฺจกมุนิํฯ โมนปเถสุ สิกฺขมานนฺติ ปุพฺพภาคปฎิปทาโพธิปกฺขิยธมฺมสงฺขาเตสุ โมนปเถสุ สิกฺขมานํฯ อณฺณวนฺติ สํสารมหาสมุทฺทํฯ

    Tattha muninanti agārikānagārikasekkhāsekkhapaccekamunīsu paccekamuniṃ. Monapathesu sikkhamānanti pubbabhāgapaṭipadābodhipakkhiyadhammasaṅkhātesu monapathesu sikkhamānaṃ. Aṇṇavanti saṃsāramahāsamuddaṃ.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ราชา ปเจฺจกพุทฺธํ วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ มาตุ ขมถา’’ติ อาหฯ ‘‘ขมามิ, มหาราชา’’ติฯ ราชปริสาปิ นํ ขมาเปสิฯ ราชา อตฺตานํ นิสฺสาย วสนตฺถาย ปฎิญฺญํ ยาจิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ ปน ปฎิญฺญํ อทตฺวา สราชิกาย ปริสาย ปสฺสนฺติยาว อากาเส ฐตฺวา รโญฺญ โอวาทํ ทตฺวา คนฺธมาทนเมว คโตฯ

    Evañca pana vatvā rājā paccekabuddhaṃ vanditvā ‘‘bhante, mayhaṃ mātu khamathā’’ti āha. ‘‘Khamāmi, mahārājā’’ti. Rājaparisāpi naṃ khamāpesi. Rājā attānaṃ nissāya vasanatthāya paṭiññaṃ yāci. Paccekabuddho pana paṭiññaṃ adatvā sarājikāya parisāya passantiyāva ākāse ṭhatvā rañño ovādaṃ datvā gandhamādanameva gato.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวญฺจ อุปาสกา อุโปสถวาโส นาม วสิตพฺพยุตฺตโก’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ปเจฺจกพุโทฺธ ปรินิพฺพายิ, อฑฺฒมาสกราชา อานโนฺท อโหสิ, รโญฺญ มาตา มหามายา, อคฺคมเหสี ราหุลมาตา, อุทยราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evañca upāsakā uposathavāso nāma vasitabbayuttako’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā paccekabuddho parinibbāyi, aḍḍhamāsakarājā ānando ahosi, rañño mātā mahāmāyā, aggamahesī rāhulamātā, udayarājā pana ahameva ahosi’’nti.

    คงฺคมาลชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ

    Gaṅgamālajātakavaṇṇanā pañcamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๒๑. คงฺคมาลชาตกํ • 421. Gaṅgamālajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact