Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā

    ๘. คณิกาสุตฺตวณฺณนา

    8. Gaṇikāsuttavaṇṇanā

    ๕๘. อฎฺฐเม เทฺว ปูคาติ เทฺว คณาฯ อญฺญตริสฺสา คณิกายาติ อญฺญตราย นครโสภินิยาฯ สารตฺตาติ สุฎฺฐุ รตฺตาฯ ปฎิพทฺธจิตฺตาติ กิเลสวเสน พทฺธจิตฺตาฯ ราชคเห กิร เอกสฺมิํ ฉณทิวเส พหู ธุตฺตปุริสา คณพนฺธเนน วิจรนฺตา เอกเมกสฺส เอกเมกํ เวสิํ อาเนตฺวา อุยฺยานํ ปวิสิตฺวา ฉณกีฬํ กีฬิํสุฯ ตโต ปรมฺปิ เทฺว ตโย ฉณทิวเส ตํ ตํเยว เวสิํ อาเนตฺวา ฉณกีฬํ กีฬิํสุฯ อถาปรสฺมิํ ฉณทิวเส อเญฺญปิ ธุตฺตา ตเถว ฉณกีฬํ กีฬิตุกามา เวสิโย อาเนนฺตา ปุริมธุเตฺตหิ ปุเพฺพ อานีตํ เอกํ เวสิํ อาเนนฺติฯ อิตเร ตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ อมฺหากํ ปริคฺคโห’’ติ อาหํสุฯ เตปิ ตเถว อาหํสุฯ ‘‘เอวํ อมฺหากํ ปริคฺคโห, อมฺหากํ ปริคฺคโห’’ติ กลหํ วเฑฺฒตฺวา ปาณิปฺปหาราทีนิ อกํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เตน โข ปน สมเยน ราชคเห เทฺว ปูคา’’ติอาทิฯ ตตฺถ อุปกฺกมนฺตีติ ปหรนฺติฯ มรณมฺปิ นิคจฺฉนฺตีติ พลวูปกฺกเมหิ มรณํ อุปคจฺฉนฺติ, อิตเรปิ มรณมตฺตํ มรณปฺปมาณทุกฺขํ ปาปุณนฺติฯ

    58. Aṭṭhame dve pūgāti dve gaṇā. Aññatarissā gaṇikāyāti aññatarāya nagarasobhiniyā. Sārattāti suṭṭhu rattā. Paṭibaddhacittāti kilesavasena baddhacittā. Rājagahe kira ekasmiṃ chaṇadivase bahū dhuttapurisā gaṇabandhanena vicarantā ekamekassa ekamekaṃ vesiṃ ānetvā uyyānaṃ pavisitvā chaṇakīḷaṃ kīḷiṃsu. Tato parampi dve tayo chaṇadivase taṃ taṃyeva vesiṃ ānetvā chaṇakīḷaṃ kīḷiṃsu. Athāparasmiṃ chaṇadivase aññepi dhuttā tatheva chaṇakīḷaṃ kīḷitukāmā vesiyo ānentā purimadhuttehi pubbe ānītaṃ ekaṃ vesiṃ ānenti. Itare taṃ disvā ‘‘ayaṃ amhākaṃ pariggaho’’ti āhaṃsu. Tepi tatheva āhaṃsu. ‘‘Evaṃ amhākaṃ pariggaho, amhākaṃ pariggaho’’ti kalahaṃ vaḍḍhetvā pāṇippahārādīni akaṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘tena kho pana samayena rājagahe dve pūgā’’tiādi. Tattha upakkamantīti paharanti. Maraṇampi nigacchantīti balavūpakkamehi maraṇaṃ upagacchanti, itarepi maraṇamattaṃ maraṇappamāṇadukkhaṃ pāpuṇanti.

    เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ กาเมสุ เคธํ วิวาทมูลํ สพฺพานตฺถมูลนฺติ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ อนฺตทฺวเย จ มชฺฌิมาย ปฎิปตฺติยา อาทีนวานิสํสวิภาวนํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิฯ

    Etamatthaṃ viditvāti etaṃ kāmesu gedhaṃ vivādamūlaṃ sabbānatthamūlanti sabbākārato viditvā. Imaṃ udānanti antadvaye ca majjhimāya paṭipattiyā ādīnavānisaṃsavibhāvanaṃ imaṃ udānaṃ udānesi.

    ตตฺถ ยญฺจ ปตฺตนฺติ ยํ รูปาทิปญฺจกามคุณชาตํ ปตฺตํ ‘‘นตฺถิ กาเมสุ โทโส’’ติ ทิฎฺฐิํ ปุรกฺขตฺวา วา อปุรกฺขตฺวา วา เอตรหิ ลทฺธํ อนุภุยฺยมานํฯ ยญฺจ ปตฺตพฺพนฺติ ยญฺจ กามคุณชาตเมว ‘‘ภุญฺชิตพฺพา กามา, ปริภุญฺชิตพฺพา กามา, อาเสวิตพฺพา กามา, ปฎิเสวิตพฺพา กามา, โย กาเม ปริภุญฺชติ, โส โลกํ วเฑฺฒติ, โย โลกํ วเฑฺฒติ, โส พหุํ ปุญฺญํ ปสวตี’’ติ ทิฎฺฐิํ อุปนิสฺสาย ตํ อนิสฺสชฺชิตฺวา กเตน กมฺมุนา อนาคเต ปตฺตพฺพํ อนุภวิตพฺพญฺจฯ อุภยเมตํ รชานุกิณฺณนฺติ เอตํ อุภยํ ปตฺตํ ปตฺตพฺพญฺจ ราครชาทีหิ อนุกิณฺณํฯ สมฺปเตฺต หิ วตฺถุกาเม อนุภวโนฺต ราครเชน โวกิโณฺณ โหติ, ตตฺถ ปน สํกิลิฎฺฐจิตฺตสฺส ผเล อายติํ อาปเนฺน โทมนสฺสุปฺปตฺติยา โทสรเชน โวกิโณฺณ โหติ, อุภยตฺถาปิ โมหรเชน โวกิโณฺณ โหติฯ กสฺส ปเนตํ รชานุกิณฺณนฺติ อาห – ‘‘อาตุรสฺสานุสิกฺขโต’’ติ กามปตฺถนาวเสน กิเลสาตุรสฺส, ตสฺส จ ผเลน ทุกฺขาตุรสฺส จ อุภยตฺถาปิ ปฎิการาภิลาสาย กิเลสผเล อนุสิกฺขโตฯ

    Tattha yañca pattanti yaṃ rūpādipañcakāmaguṇajātaṃ pattaṃ ‘‘natthi kāmesu doso’’ti diṭṭhiṃ purakkhatvā vā apurakkhatvā vā etarahi laddhaṃ anubhuyyamānaṃ. Yañca pattabbanti yañca kāmaguṇajātameva ‘‘bhuñjitabbā kāmā, paribhuñjitabbā kāmā, āsevitabbā kāmā, paṭisevitabbā kāmā, yo kāme paribhuñjati, so lokaṃ vaḍḍheti, yo lokaṃ vaḍḍheti, so bahuṃ puññaṃ pasavatī’’ti diṭṭhiṃ upanissāya taṃ anissajjitvā katena kammunā anāgate pattabbaṃ anubhavitabbañca. Ubhayametaṃ rajānukiṇṇanti etaṃ ubhayaṃ pattaṃ pattabbañca rāgarajādīhi anukiṇṇaṃ. Sampatte hi vatthukāme anubhavanto rāgarajena vokiṇṇo hoti, tattha pana saṃkiliṭṭhacittassa phale āyatiṃ āpanne domanassuppattiyā dosarajena vokiṇṇo hoti, ubhayatthāpi moharajena vokiṇṇo hoti. Kassa panetaṃ rajānukiṇṇanti āha – ‘‘āturassānusikkhato’’ti kāmapatthanāvasena kilesāturassa, tassa ca phalena dukkhāturassa ca ubhayatthāpi paṭikārābhilāsāya kilesaphale anusikkhato.

    ตถา ยญฺจ ปตฺตนฺติ ยํ อเจลกวตาทิวเสน ปตฺตํ อตฺตปริตาปนํ ฯ ยญฺจ ปตฺตพฺพนฺติ ยํ มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานเหตุ อปาเยสุ ปตฺตพฺพํ ผลํฯ อุภยเมตํ รชานุกิณฺณนฺติ ตทุภยํ ทุกฺขรชานุกิณฺณํฯ อาตุรสฺสาติ กายกิลมเถน ทุกฺขาตุรสฺสฯ อนุสิกฺขโตติ มิจฺฉาทิฎฺฐิํ, ตสฺสา สมาทายเก ปุคฺคเล จ อนุสิกฺขโตฯ

    Tathā yañca pattanti yaṃ acelakavatādivasena pattaṃ attaparitāpanaṃ . Yañca pattabbanti yaṃ micchādiṭṭhikammasamādānahetu apāyesu pattabbaṃ phalaṃ. Ubhayametaṃ rajānukiṇṇanti tadubhayaṃ dukkharajānukiṇṇaṃ. Āturassāti kāyakilamathena dukkhāturassa. Anusikkhatoti micchādiṭṭhiṃ, tassā samādāyake puggale ca anusikkhato.

    เย จ สิกฺขาสาราติ เยหิ ยถาสมาทินฺนํ สีลพฺพตาทิสงฺขาตํ สิกฺขํ สารโต คเหตฺวา ‘‘อิมินา สํสารสุทฺธี’’ติ กถิตาฯ เตนาห – สีลพฺพตํ ชีวิตํ พฺรหฺมจริยํ อุปฎฺฐานสาราติฯ ตตฺถ ยํ ‘‘น กโรมี’’ติ โอรมติ, ตํ สีลํ, วิสโภชนกิจฺฉาจรณาทิกํ วตํ, สากภกฺขตาทิชีวิกา ชีวิตํ, เมถุนวิรติ พฺรหฺมจริยํ, เอเตสํ อนุติฎฺฐนํ อุปฎฺฐานํ, ภูตปิณฺฑกปริภณฺฑาทิวเสน ขนฺธเทวสิวาทิปริจรณํ วา อุปฎฺฐานํ, เอวเมเตหิ ยถาวุเตฺตหิ สีลาทีหิ สํสารสุทฺธิ โหตีติ ตานิ สารโต คเหตฺวา ฐิตา สมณพฺราหฺมณา สิกฺขาสารา สีลพฺพตํ ชีวิตํ พฺรหฺมจริยํ ‘‘อุปฎฺฐานสารา’’ติ เวทิตพฺพาฯ อยเมโก อโนฺตติ อยํ สีลพฺพตปรามาสวเสน อตฺตกิลมถานุโยคสงฺขาโต มชฺฌิมาย ปฎิปตฺติยา อุปฺปถภูโต ลามกเฎฺฐน จ เอโก อโนฺตฯ อยํ ทุติโย อโนฺตติ อยํ กามสุขลฺลิกานุโยโค กาเมสุ ปาตพฺยตาปตฺติสงฺขาโต ทุติโย วุตฺตนเยน อโนฺตฯ

    Ye ca sikkhāsārāti yehi yathāsamādinnaṃ sīlabbatādisaṅkhātaṃ sikkhaṃ sārato gahetvā ‘‘iminā saṃsārasuddhī’’ti kathitā. Tenāha – sīlabbataṃ jīvitaṃ brahmacariyaṃ upaṭṭhānasārāti. Tattha yaṃ ‘‘na karomī’’ti oramati, taṃ sīlaṃ, visabhojanakicchācaraṇādikaṃ vataṃ, sākabhakkhatādijīvikā jīvitaṃ, methunavirati brahmacariyaṃ, etesaṃ anutiṭṭhanaṃ upaṭṭhānaṃ, bhūtapiṇḍakaparibhaṇḍādivasena khandhadevasivādiparicaraṇaṃ vā upaṭṭhānaṃ, evametehi yathāvuttehi sīlādīhi saṃsārasuddhi hotīti tāni sārato gahetvā ṭhitā samaṇabrāhmaṇā sikkhāsārā sīlabbataṃ jīvitaṃ brahmacariyaṃ ‘‘upaṭṭhānasārā’’ti veditabbā. Ayameko antoti ayaṃ sīlabbataparāmāsavasena attakilamathānuyogasaṅkhāto majjhimāya paṭipattiyā uppathabhūto lāmakaṭṭhena ca eko anto. Ayaṃ dutiyo antoti ayaṃ kāmasukhallikānuyogo kāmesu pātabyatāpattisaṅkhāto dutiyo vuttanayena anto.

    อิเจฺจเต อุโภ อนฺตาติ กามสุขลฺลิกานุโยโค อตฺตกิลมถานุโยโค จ อิติ เอเต อุโภ อนฺตาฯ เต จ โข เอตรหิ ปเตฺต, อายติํ ปตฺตเพฺพ จ กิเลสทุกฺขรชานุกิเณฺณ กามคุเณ อตฺตปริตาปเน จ อลฺลีเนหิ กิเลสทุกฺขาตุรานํ อนุสิกฺขเนฺตหิ, สยญฺจ กิเลสทุกฺขาตุเรหิ ปฎิปชฺชิตพฺพตฺตา ลามกา อุปฺปถภูตา จาติ อนฺตาฯ กฎสิวฑฺฒนาติ อนฺธปุถุชฺชเนหิ อภิกงฺขิตพฺพเฎฺฐน กฎสิสงฺขาตานํ ตณฺหาอวิชฺชานํ อภิวฑฺฒนาฯ กฎสิโย ทิฎฺฐิํ วเฑฺฒนฺตีติ ตา ปน กฎสิโย นานปฺปการทิฎฺฐิํ วเฑฺฒนฺติฯ วตฺถุกาเมสุ อสฺสาทานุปสฺสิโน หิ เต ปชหิตุํ อสโกฺกนฺตสฺส ตณฺหาอวิชฺชาสหการีการณํ ลภิตฺวา ‘‘นตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทินา (ธ. ส. ๑๒๒๑; วิภ. ๙๓๘) นตฺถิกทิฎฺฐิํ อกิริยทิฎฺฐิํ อเหตุกทิฎฺฐิญฺจ คณฺหาเปนฺติ, อตฺตปริตาปนํ อนุยุตฺตสฺส ปน อวิชฺชาตณฺหาสหการีการณํ ลภิตฺวา ‘‘สีเลน สุทฺธิ วเตน สุทฺธี’’ติอาทินา อตฺตสุทฺธิอภิลาเสน สีลพฺพตปรามาสทิฎฺฐิํ คณฺหาเปนฺติฯ สกฺกายทิฎฺฐิยา ปน เตสํ ปจฺจยภาโว ปากโฎเยวฯ เอวํ อนฺตทฺวยูปนิสฺสเยน ตณฺหาอวิชฺชานํ ทิฎฺฐิวฑฺฒกตา เวทิตพฺพาฯ เกจิ ปน ‘‘กฎสีติ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อธิวจน’’นฺติ วทนฺติฯ เตสํ ยทเคฺคน ตโต อนฺตทฺวยโต สํสารสุทฺธิ น โหติ, ตทเคฺคน เต อุปาทานกฺขเนฺธ อภิวเฑฺฒตีติ อธิปฺปาโยฯ อปเร ปน ‘‘กฎสิวฑฺฒนา’’ติ ปทสฺส ‘‘อปราปรํ ชรามรเณหิ สิวถิกวฑฺฒนา’’ติ อตฺถํ วทนฺติฯ เตหิปิ อนฺตทฺวยสฺส สํสารสุทฺธิเหตุภาวาภาโวเยว วุโตฺต, กฎสิยา ปน ทิฎฺฐิวฑฺฒนการณภาโว วตฺตโพฺพฯ

    Iccete ubho antāti kāmasukhallikānuyogo attakilamathānuyogo ca iti ete ubho antā. Te ca kho etarahi patte, āyatiṃ pattabbe ca kilesadukkharajānukiṇṇe kāmaguṇe attaparitāpane ca allīnehi kilesadukkhāturānaṃ anusikkhantehi, sayañca kilesadukkhāturehi paṭipajjitabbattā lāmakā uppathabhūtā cāti antā. Kaṭasivaḍḍhanāti andhaputhujjanehi abhikaṅkhitabbaṭṭhena kaṭasisaṅkhātānaṃ taṇhāavijjānaṃ abhivaḍḍhanā. Kaṭasiyo diṭṭhiṃ vaḍḍhentīti tā pana kaṭasiyo nānappakāradiṭṭhiṃ vaḍḍhenti. Vatthukāmesu assādānupassino hi te pajahituṃ asakkontassa taṇhāavijjāsahakārīkāraṇaṃ labhitvā ‘‘natthi dinna’’ntiādinā (dha. sa. 1221; vibha. 938) natthikadiṭṭhiṃ akiriyadiṭṭhiṃ ahetukadiṭṭhiñca gaṇhāpenti, attaparitāpanaṃ anuyuttassa pana avijjātaṇhāsahakārīkāraṇaṃ labhitvā ‘‘sīlena suddhi vatena suddhī’’tiādinā attasuddhiabhilāsena sīlabbataparāmāsadiṭṭhiṃ gaṇhāpenti. Sakkāyadiṭṭhiyā pana tesaṃ paccayabhāvo pākaṭoyeva. Evaṃ antadvayūpanissayena taṇhāavijjānaṃ diṭṭhivaḍḍhakatā veditabbā. Keci pana ‘‘kaṭasīti pañcannaṃ khandhānaṃ adhivacana’’nti vadanti. Tesaṃ yadaggena tato antadvayato saṃsārasuddhi na hoti, tadaggena te upādānakkhandhe abhivaḍḍhetīti adhippāyo. Apare pana ‘‘kaṭasivaḍḍhanā’’ti padassa ‘‘aparāparaṃ jarāmaraṇehi sivathikavaḍḍhanā’’ti atthaṃ vadanti. Tehipi antadvayassa saṃsārasuddhihetubhāvābhāvoyeva vutto, kaṭasiyā pana diṭṭhivaḍḍhanakāraṇabhāvo vattabbo.

    เอเต เต อุโภ อเนฺต อนภิญฺญายาติ เต เอเต ยถาวุเตฺต อุโภปิ อเนฺต อชานิตฺวา ‘‘อิเม อนฺตา เต จ เอวํคหิตา เอวํอนุฎฺฐิตา เอวํคติกา เอวํอภิสมฺปรายา’’ติ เอวํ อชานนเหตุ อชานนการณาฯ ‘‘ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา’’ติอาทีสุ (ปุ. ป. ๒๐๘; อ. นิ. ๙.๔๓) วิยสฺส เหตุอตฺถตา ทฎฺฐพฺพาฯ โอลียนฺติ เอเกติ เอเก กามสุขานุโยควเสน สโงฺกจํ อาปชฺชนฺติฯ อติธาวนฺติ เอเกติ เอเก อตฺตกิลมถานุโยควเสน อติกฺกมนฺติฯ กามสุขมนุยุตฺตา หิ วีริยสฺส อกรณโต โกสชฺชวเสน สมฺมาปฎิปตฺติโต สโงฺกจมาปนฺนตา โอลียนฺติ นาม, อตฺตปริตาปนมนุยุตฺตา ปน โกสชฺชํ ปหาย อนุปาเยน วีริยารมฺภํ กโรนฺตา สมฺมาปฎิปตฺติยา อติกฺกมนโต อติธาวนฺติ นาม, ตทุภยํ ปน ตตฺถ อาทีนวาทสฺสนโตฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อุโภ อเนฺต อนภิญฺญาย โอลียนฺติ เอเก อติธาวนฺติ เอเก’’ติฯ ตตฺถ ตณฺหาภินนฺทนวเสน โอลียนฺติ, ทิฎฺฐาภินนฺทนวเสน อติธาวนฺตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Ete te ubho ante anabhiññāyāti te ete yathāvutte ubhopi ante ajānitvā ‘‘ime antā te ca evaṃgahitā evaṃanuṭṭhitā evaṃgatikā evaṃabhisamparāyā’’ti evaṃ ajānanahetu ajānanakāraṇā. ‘‘Paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā’’tiādīsu (pu. pa. 208; a. ni. 9.43) viyassa hetuatthatā daṭṭhabbā. Olīyanti eketi eke kāmasukhānuyogavasena saṅkocaṃ āpajjanti. Atidhāvanti eketi eke attakilamathānuyogavasena atikkamanti. Kāmasukhamanuyuttā hi vīriyassa akaraṇato kosajjavasena sammāpaṭipattito saṅkocamāpannatā olīyanti nāma, attaparitāpanamanuyuttā pana kosajjaṃ pahāya anupāyena vīriyārambhaṃ karontā sammāpaṭipattiyā atikkamanato atidhāvanti nāma, tadubhayaṃ pana tattha ādīnavādassanato. Tena vuttaṃ – ‘‘ubho ante anabhiññāya olīyanti eke atidhāvanti eke’’ti. Tattha taṇhābhinandanavasena olīyanti, diṭṭhābhinandanavasena atidhāvantīti veditabbaṃ.

    อถ วา สสฺสตาภินิเวสวเสน โอลียนฺติ เอเก, อุเจฺฉทาภินิเวสวเสน อติธาวนฺติ เอเกฯ โคสีลาทิวเสน หิ อตฺตปริตาปนมนุยุตฺตา เอกเจฺจ ‘‘อิมินาหํ สีเลน วา วเตน วา ตเปน วา พฺรหฺมจริเยน วา เทโว วา ภวิสฺสามิ เทวญฺญตโร วา, ตตฺถ นิโจฺจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธโมฺม สสฺสติสมํ ตเถว ฐสฺสามี’’ติ สสฺสตทสฺสนํ อภินิวิสนฺตา สํสาเร โอลียนฺติ นาม, กามสุขมนุยุตฺตา ปน เอกเจฺจ ยํกิญฺจิ กตฺวา อินฺทฺริยานิ สนฺตเปฺปตุกามา โลกายติกา วิย ตทนุคุณํ อุเจฺฉททสฺสนํ อภินิวิสนฺตา อนุปาเยน วฎฺฎุปเจฺฉทสฺส ปริเยสนโต อติธาวนฺติ นามฯ เอวํ สสฺสตุเจฺฉทวเสนปิ โอลียนาติธาวนานิ เวทิตพฺพานิฯ

    Atha vā sassatābhinivesavasena olīyanti eke, ucchedābhinivesavasena atidhāvanti eke. Gosīlādivasena hi attaparitāpanamanuyuttā ekacce ‘‘imināhaṃ sīlena vā vatena vā tapena vā brahmacariyena vā devo vā bhavissāmi devaññataro vā, tattha nicco dhuvo sassato avipariṇāmadhammo sassatisamaṃ tatheva ṭhassāmī’’ti sassatadassanaṃ abhinivisantā saṃsāre olīyanti nāma, kāmasukhamanuyuttā pana ekacce yaṃkiñci katvā indriyāni santappetukāmā lokāyatikā viya tadanuguṇaṃ ucchedadassanaṃ abhinivisantā anupāyena vaṭṭupacchedassa pariyesanato atidhāvanti nāma. Evaṃ sassatucchedavasenapi olīyanātidhāvanāni veditabbāni.

    เย จ โข เต อภิญฺญายาติ เย จ โข ปน อริยปุคฺคลา เต ยถาวุเตฺต อุโภ อเนฺต ‘‘อิเม อนฺตา เอวํคหิตา เอวํอนุฎฺฐิตา เอวํคติกา เอวํอภิสมฺปรายา’’ติ อภิวิสิเฎฺฐน ญาเณน วิปสฺสนาสหิตาย มคฺคปญฺญาย ชานิตฺวา มชฺฌิมปฎิปทํ สมฺมาปฎิปนฺนา, ตาย สมฺมาปฎิปตฺติยาฯ ตตฺร จ นาเหสุนฺติ ตตฺร ตสฺมิํ อนฺตทฺวเย ปติตา น อเหสุํ, ตํ อนฺตทฺวยํ ปชหิํสูติ อโตฺถฯ เตน จ นามญฺญิํสูติ เตน อนฺตทฺวยปหาเนน ‘‘มม อิทํ อนฺตทฺวยปหานํ, อหํ อนฺตทฺวยํ ปหาสิํ, อิมินา อนฺตทฺวยปหาเนน เสโยฺย’’ติอาทินา ตณฺหาทิฎฺฐิมานมญฺญนาวเสน น อมญฺญิํสุ สพฺพมญฺญนานํ สมฺมเทว ปหีนตฺตาฯ เอตฺถ จ อคฺคผเล ฐิเต อริยปุคฺคเล สนฺธาย ‘‘ตตฺร จ นาเหสุํ, เตน จ นามญฺญิํสู’’ติ อตีตกาลวเสน อยํ เทสนา ปวตฺตา, มคฺคกฺขเณ ปน อธิเปฺปเต วตฺตมานกาลวเสเนว วตฺตพฺพํ สิยาฯ วฎฺฎํ เตสํ นตฺถิ ปญฺญาปนายาติ เย เอวํ ปหีนสพฺพมญฺญนา อุตฺตมปุริสา, เตสํ อนุปาทาปรินิพฺพุตานํ กมฺมวิปากกิเลสวเสน ติวิธมฺปิ วฎฺฎํ นตฺถิ ปญฺญาปนาย, วตฺตมานกฺขนฺธเภทโต อุทฺธํ อนุปาทาโน วิย ชาตเวโท อปญฺญตฺติกภาวเมว คจฺฉตีติ อโตฺถฯ

    Ye ca kho te abhiññāyāti ye ca kho pana ariyapuggalā te yathāvutte ubho ante ‘‘ime antā evaṃgahitā evaṃanuṭṭhitā evaṃgatikā evaṃabhisamparāyā’’ti abhivisiṭṭhena ñāṇena vipassanāsahitāya maggapaññāya jānitvā majjhimapaṭipadaṃ sammāpaṭipannā, tāya sammāpaṭipattiyā. Tatra ca nāhesunti tatra tasmiṃ antadvaye patitā na ahesuṃ, taṃ antadvayaṃ pajahiṃsūti attho. Tena ca nāmaññiṃsūti tena antadvayapahānena ‘‘mama idaṃ antadvayapahānaṃ, ahaṃ antadvayaṃ pahāsiṃ, iminā antadvayapahānena seyyo’’tiādinā taṇhādiṭṭhimānamaññanāvasena na amaññiṃsu sabbamaññanānaṃ sammadeva pahīnattā. Ettha ca aggaphale ṭhite ariyapuggale sandhāya ‘‘tatra ca nāhesuṃ, tena ca nāmaññiṃsū’’ti atītakālavasena ayaṃ desanā pavattā, maggakkhaṇe pana adhippete vattamānakālavaseneva vattabbaṃ siyā. Vaṭṭaṃ tesaṃ natthi paññāpanāyāti ye evaṃ pahīnasabbamaññanā uttamapurisā, tesaṃ anupādāparinibbutānaṃ kammavipākakilesavasena tividhampi vaṭṭaṃ natthi paññāpanāya, vattamānakkhandhabhedato uddhaṃ anupādāno viya jātavedo apaññattikabhāvameva gacchatīti attho.

    อฎฺฐมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Aṭṭhamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๘. คณิกาสุตฺตํ • 8. Gaṇikāsuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact