Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) |
ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa
ทีฆนิกาเย
Dīghanikāye
สีลกฺขนฺธวคฺคฎฺฐกถา
Sīlakkhandhavaggaṭṭhakathā
คนฺถารมฺภกถา
Ganthārambhakathā
กรุณาสีตลหทยํ , ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตมํ;
Karuṇāsītalahadayaṃ , paññāpajjotavihatamohatamaṃ;
สนรามรโลกครุํ, วเนฺท สุคตํ คติวิมุตฺตํฯ
Sanarāmaralokagaruṃ, vande sugataṃ gativimuttaṃ.
พุโทฺธปิ พุทฺธภาวํ, ภาเวตฺวา เจว สจฺฉิกตฺวา จ;
Buddhopi buddhabhāvaṃ, bhāvetvā ceva sacchikatvā ca;
ยํ อุปคโต คตมลํ, วเนฺท ตมนุตฺตรํ ธมฺมํฯ
Yaṃ upagato gatamalaṃ, vande tamanuttaraṃ dhammaṃ.
สุคตสฺส โอรสานํ, ปุตฺตานํ มารเสนมถนานํ;
Sugatassa orasānaṃ, puttānaṃ mārasenamathanānaṃ;
อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูหํ, สิรสา วเนฺท อริยสงฺฆํฯ
Aṭṭhannampi samūhaṃ, sirasā vande ariyasaṅghaṃ.
อิติ เม ปสนฺนมติโน, รตนตฺตยวนฺทนามยํ ปุญฺญํ;
Iti me pasannamatino, ratanattayavandanāmayaṃ puññaṃ;
ยํ สุวิหตนฺตราโย, หุตฺวา ตสฺสานุภาเวนฯ
Yaṃ suvihatantarāyo, hutvā tassānubhāvena.
ทีฆสฺส ทีฆสุตฺตงฺกิตสฺส, นิปุณสฺส อาคมวรสฺส;
Dīghassa dīghasuttaṅkitassa, nipuṇassa āgamavarassa;
พุทฺธานุพุทฺธสํวณฺณิตสฺส, สทฺธาวหคุณสฺสฯ
Buddhānubuddhasaṃvaṇṇitassa, saddhāvahaguṇassa.
อตฺถปฺปกาสนตฺถํ, อฎฺฐกถา อาทิโต วสิสเตหิ;
Atthappakāsanatthaṃ, aṭṭhakathā ādito vasisatehi;
ปญฺจหิ ยา สงฺคีตา, อนุสงฺคีตา จ ปจฺฉาปิฯ
Pañcahi yā saṅgītā, anusaṅgītā ca pacchāpi.
สีหฬทีปํ ปน อาภตาถ, วสินา มหามหิเนฺทน;
Sīhaḷadīpaṃ pana ābhatātha, vasinā mahāmahindena;
ฐปิตา สีหฬภาสาย, ทีปวาสีนมตฺถายฯ
Ṭhapitā sīhaḷabhāsāya, dīpavāsīnamatthāya.
อปเนตฺวาน ตโตหํ, สีหฬภาสํ มโนรมํ ภาสํ;
Apanetvāna tatohaṃ, sīhaḷabhāsaṃ manoramaṃ bhāsaṃ;
ตนฺตินยานุจฺฉวิกํ, อาโรเปโนฺต วิคตโทสํฯ
Tantinayānucchavikaṃ, āropento vigatadosaṃ.
สมยํ อวิโลเมโนฺต, เถรานํ เถรวํสปทีปานํ;
Samayaṃ avilomento, therānaṃ theravaṃsapadīpānaṃ;
สุนิปุณวินิจฺฉยานํ, มหาวิหาเร นิวาสีนํฯ
Sunipuṇavinicchayānaṃ, mahāvihāre nivāsīnaṃ.
หิตฺวา ปุนปฺปุนาคตมตฺถํ, อตฺถํ ปกาสยิสฺสามิ;
Hitvā punappunāgatamatthaṃ, atthaṃ pakāsayissāmi;
สุชนสฺส จ ตุฎฺฐตฺถํ, จิรฎฺฐิตตฺถญฺจ ธมฺมสฺสฯ
Sujanassa ca tuṭṭhatthaṃ, ciraṭṭhitatthañca dhammassa.
สีลกถา ธุตธมฺมา, กมฺมฎฺฐานานิ เจว สพฺพานิ;
Sīlakathā dhutadhammā, kammaṭṭhānāni ceva sabbāni;
จริยาวิธานสหิโต, ฌานสมาปตฺติวิตฺถาโรฯ
Cariyāvidhānasahito, jhānasamāpattivitthāro.
สพฺพา จ อภิญฺญาโย, ปญฺญาสงฺกลนนิจฺฉโย เจว;
Sabbā ca abhiññāyo, paññāsaṅkalananicchayo ceva;
ขนฺธธาตายตนินฺทฺริยานิ, อริยานิ เจว จตฺตาริฯ
Khandhadhātāyatanindriyāni, ariyāni ceva cattāri.
สจฺจานิ ปจฺจยาการเทสนา, สุปริสุทฺธนิปุณนยา;
Saccāni paccayākāradesanā, suparisuddhanipuṇanayā;
อวิมุตฺตตนฺติมคฺคา, วิปสฺสนา ภาวนา เจวฯ
Avimuttatantimaggā, vipassanā bhāvanā ceva.
อิติ ปน สพฺพํ ยสฺมา, วิสุทฺธิมเคฺค มยา สุปริสุทฺธํ;
Iti pana sabbaṃ yasmā, visuddhimagge mayā suparisuddhaṃ;
วุตฺตํ ตสฺมา ภิโยฺย, น ตํ อิธ วิจารยิสฺสามิฯ
Vuttaṃ tasmā bhiyyo, na taṃ idha vicārayissāmi.
‘‘มเชฺฌ วิสุทฺธิมโคฺค, เอส จตุนฺนมฺปิ อาคมานญฺหิ;
‘‘Majjhe visuddhimaggo, esa catunnampi āgamānañhi;
ฐตฺวา ปกาสยิสฺสติ, ตตฺถ ยถา ภาสิตํ อตฺถํ’’ฯ
Ṭhatvā pakāsayissati, tattha yathā bhāsitaṃ atthaṃ’’.
อิเจฺจว กโต ตสฺมา, ตมฺปิ คเหตฺวาน สทฺธิเมตาย;
Icceva kato tasmā, tampi gahetvāna saddhimetāya;
อฎฺฐกถาย วิชานถ, ทีฆาคมนิสฺสิตํ อตฺถนฺติฯ
Aṭṭhakathāya vijānatha, dīghāgamanissitaṃ atthanti.
นิทานกถา
Nidānakathā
ตตฺถ ทีฆาคโม นาม สีลกฺขนฺธวโคฺค, มหาวโคฺค, ปาถิกวโคฺคติ วคฺคโต ติวโคฺค โหติ; สุตฺตโต จตุตฺติํสสุตฺตสงฺคโหฯ ตสฺส วเคฺคสุ สีลกฺขนฺธวโคฺค อาทิ, สุเตฺตสุ พฺรหฺมชาลํฯ พฺรหฺมชาลสฺสาปิ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิกํ อายสฺมตา อานเนฺทน ปฐมมหาสงฺคีติกาเล วุตฺตํ นิทานมาทิฯ
Tattha dīghāgamo nāma sīlakkhandhavaggo, mahāvaggo, pāthikavaggoti vaggato tivaggo hoti; suttato catuttiṃsasuttasaṅgaho. Tassa vaggesu sīlakkhandhavaggo ādi, suttesu brahmajālaṃ. Brahmajālassāpi ‘‘evaṃ me suta’’ntiādikaṃ āyasmatā ānandena paṭhamamahāsaṅgītikāle vuttaṃ nidānamādi.
ปฐมมหาสงฺคีติกถา
Paṭhamamahāsaṅgītikathā
ปฐมมหาสงฺคีติ นาม เจสา กิญฺจาปิ วินยปิฎเก ตนฺติมารูฬฺหา, นิทานโกสลฺลตฺถํ ปน อิธาปิ เอวํ เวทิตพฺพาฯ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนญฺหิ อาทิํ กตฺวา ยาว สุภทฺทปริพฺพาชกวินยนา กตพุทฺธกิเจฺจ, กุสินารายํ อุปวตฺตเน มลฺลานํ สาลวเน ยมกสาลานมนฺตเร วิสาขปุณฺณมทิวเส ปจฺจูสสมเย อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพุเต ภควติ โลกนาเถ, ภควโต ธาตุภาชนทิวเส สนฺนิปติตานํ สตฺตนฺนํ ภิกฺขุสตสหสฺสานํ สงฺฆเตฺถโร อายสฺมา มหากสฺสโป สตฺตาหปรินิพฺพุเต ภควติ สุภเทฺทน วุฑฺฒปพฺพชิเตน – ‘‘อลํ, อาวุโส, มา โสจิตฺถ, มา ปริเทวิตฺถ, สุมุตฺตา มยํ เตน มหาสมเณน, อุปทฺทุตา จ โหม – ‘อิทํ โว กปฺปติ, อิทํ โว น กปฺปตี’ติ, อิทานิ ปน มยํ ยํ อิจฺฉิสฺสาม, ตํ กริสฺสาม, ยํ น อิจฺฉิสฺสาม น ตํ กริสฺสามา’’ติ (จูฬว. ๔๓๗) วุตฺตวจนมนุสฺสรโนฺต, อีทิสสฺส จ สงฺฆสนฺนิปาตสฺส ปุน ทุลฺลภภาวํ มญฺญมาโน, ‘‘ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ ปาปภิกฺขู ‘อตีตสตฺถุกํ ปาวจน’นฺติ มญฺญมานา ปกฺขํ ลภิตฺวา นจิรเสฺสว สทฺธมฺมํ อนฺตรธาเปยฺยุํ, ยาว จ ธมฺมวินโย ติฎฺฐติ, ตาว อนตีตสตฺถุกเมว ปาวจนํ โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Paṭhamamahāsaṅgīti nāma cesā kiñcāpi vinayapiṭake tantimārūḷhā, nidānakosallatthaṃ pana idhāpi evaṃ veditabbā. Dhammacakkappavattanañhi ādiṃ katvā yāva subhaddaparibbājakavinayanā katabuddhakicce, kusinārāyaṃ upavattane mallānaṃ sālavane yamakasālānamantare visākhapuṇṇamadivase paccūsasamaye anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbute bhagavati lokanāthe, bhagavato dhātubhājanadivase sannipatitānaṃ sattannaṃ bhikkhusatasahassānaṃ saṅghatthero āyasmā mahākassapo sattāhaparinibbute bhagavati subhaddena vuḍḍhapabbajitena – ‘‘alaṃ, āvuso, mā socittha, mā paridevittha, sumuttā mayaṃ tena mahāsamaṇena, upaddutā ca homa – ‘idaṃ vo kappati, idaṃ vo na kappatī’ti, idāni pana mayaṃ yaṃ icchissāma, taṃ karissāma, yaṃ na icchissāma na taṃ karissāmā’’ti (cūḷava. 437) vuttavacanamanussaranto, īdisassa ca saṅghasannipātassa puna dullabhabhāvaṃ maññamāno, ‘‘ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati, yaṃ pāpabhikkhū ‘atītasatthukaṃ pāvacana’nti maññamānā pakkhaṃ labhitvā nacirasseva saddhammaṃ antaradhāpeyyuṃ, yāva ca dhammavinayo tiṭṭhati, tāva anatītasatthukameva pāvacanaṃ hoti. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘โย โว, อานนฺท, มยา ธโมฺม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญโตฺต, โส โว มมจฺจเยน สตฺถา’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๖)ฯ
‘Yo vo, ānanda, mayā dhammo ca vinayo ca desito paññatto, so vo mamaccayena satthā’ti (dī. ni. 2.216).
‘ยํนูนาหํ ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคาเยยฺยํ, ยถยิทํ สาสนํ อทฺธนิยํ อสฺส จิรฎฺฐิติกํ’ฯ
‘Yaṃnūnāhaṃ dhammañca vinayañca saṅgāyeyyaṃ, yathayidaṃ sāsanaṃ addhaniyaṃ assa ciraṭṭhitikaṃ’.
ยญฺจาหํ ภควตา –
Yañcāhaṃ bhagavatā –
‘ธาเรสฺสสิ ปน เม ตฺวํ, กสฺสป, สาณานิ ปํสุกูลานิ นิพฺพสนานี’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) วตฺวา จีวเร สาธารณปริโภเคนฯ
‘Dhāressasi pana me tvaṃ, kassapa, sāṇāni paṃsukūlāni nibbasanānī’ti (saṃ. ni. 2.154) vatvā cīvare sādhāraṇaparibhogena.
‘อหํ, ภิกฺขเว, ยาวเทว อากงฺขามิ วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิ; กสฺสโปปิ, ภิกฺขเว, ยาวเทว, อากงฺขติ วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรตี’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๒)ฯ
‘Ahaṃ, bhikkhave, yāvadeva ākaṅkhāmi vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharāmi; kassapopi, bhikkhave, yāvadeva, ākaṅkhati vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharatī’ti (saṃ. ni. 2.152).
เอวมาทินา นเยน นวานุปุพฺพวิหารฉฬภิญฺญาปฺปเภเท อุตฺตริมนุสฺสธเมฺม อตฺตนา สมสมฎฺฐปเนน จ อนุคฺคหิโต, ตถา อากาเส ปาณิํ จาเลตฺวา อลคฺคจิตฺตตาย เจว จโนฺทปมปฎิปทาย จ ปสํสิโต, ตสฺส กิมญฺญํ อาณณฺยํ ภวิสฺสติฯ นนุ มํ ภควา ราชา วิย สกกวจอิสฺสริยานุปฺปทาเนน อตฺตโน กุลวํสปฺปติฎฺฐาปกํ ปุตฺตํ ‘สทฺธมฺมวํสปฺปติฎฺฐาปโก เม อยํ ภวิสฺสตี’ติ, มนฺตฺวา อิมินา อสาธารเณน อนุคฺคเหน อนุคฺคเหสิ, อิมาย จ อุฬาราย ปสํสาย ปสํสีติ จินฺตยโนฺต ธมฺมวินยสงฺคายนตฺถํ ภิกฺขูนํ อุสฺสาหํ ชเนสิฯ ยถาห –
Evamādinā nayena navānupubbavihārachaḷabhiññāppabhede uttarimanussadhamme attanā samasamaṭṭhapanena ca anuggahito, tathā ākāse pāṇiṃ cāletvā alaggacittatāya ceva candopamapaṭipadāya ca pasaṃsito, tassa kimaññaṃ āṇaṇyaṃ bhavissati. Nanu maṃ bhagavā rājā viya sakakavacaissariyānuppadānena attano kulavaṃsappatiṭṭhāpakaṃ puttaṃ ‘saddhammavaṃsappatiṭṭhāpako me ayaṃ bhavissatī’ti, mantvā iminā asādhāraṇena anuggahena anuggahesi, imāya ca uḷārāya pasaṃsāya pasaṃsīti cintayanto dhammavinayasaṅgāyanatthaṃ bhikkhūnaṃ ussāhaṃ janesi. Yathāha –
‘‘อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘เอกมิทาหํ, อาวุโส, สมยํ ปาวาย กุสินารํ อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺน มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ ปญฺจมเตฺตหิ ภิกฺขุสเตหี’’ติ (จูฬว. ๔๓๗) สพฺพํ สุภทฺทกณฺฑํ วิตฺถารโต เวทิตพฺพํฯ อตฺถํ ปนสฺส มหาปรินิพฺพานาวสาเน อาคตฎฺฐาเนเยว กถยิสฺสามฯ
‘‘Atha kho āyasmā mahākassapo bhikkhū āmantesi – ‘ekamidāhaṃ, āvuso, samayaṃ pāvāya kusināraṃ addhānamaggappaṭipanno mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ pañcamattehi bhikkhusatehī’’ti (cūḷava. 437) sabbaṃ subhaddakaṇḍaṃ vitthārato veditabbaṃ. Atthaṃ panassa mahāparinibbānāvasāne āgataṭṭhāneyeva kathayissāma.
ตโต ปรํ อาห –
Tato paraṃ āha –
‘‘หนฺท มยํ, อาวุโส, ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคายาม, ปุเร อธโมฺม ทิปฺปติ, ธโมฺม ปฎิพาหิยฺยติ; ปุเร อวินโย ทิปฺปติ, วินโย ปฎิพาหิยฺยติ; ปุเร อธมฺมวาทิโน พลวโนฺต โหนฺติ, ธมฺมวาทิโน ทุพฺพลา โหนฺติ, ปุเร อวินยวาทิโน พลวโนฺต โหนฺติ, วินยวาทิโน ทุพฺพลา โหนฺตี’’ติ (จูฬว. ๔๓๗)ฯ
‘‘Handa mayaṃ, āvuso, dhammañca vinayañca saṅgāyāma, pure adhammo dippati, dhammo paṭibāhiyyati; pure avinayo dippati, vinayo paṭibāhiyyati; pure adhammavādino balavanto honti, dhammavādino dubbalā honti, pure avinayavādino balavanto honti, vinayavādino dubbalā hontī’’ti (cūḷava. 437).
ภิกฺขู อาหํสุ – ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, เถโร ภิกฺขู อุจฺจินตู’’ติฯ เถโร ปน สกลนวงฺคสตฺถุสาสนปริยตฺติธเร ปุถุชฺชนโสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามิ สุกฺขวิปสฺสก ขีณาสวภิกฺขู อเนกสเต, อเนกสหเสฺส จ วเชฺชตฺวา ติปิฎกสพฺพปริยตฺติปฺปเภทธเร ปฎิสมฺภิทาปฺปเตฺต มหานุภาเว เยภุเยฺยน ภควโต เอตทคฺคํ อาโรปิเต เตวิชฺชาทิเภเท ขีณาสวภิกฺขูเยว เอกูนปญฺจสเต ปริคฺคเหสิฯ เย สนฺธาย อิทํ วุตฺตํ – ‘‘อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป เอเกนูนานิ ปญฺจ อรหนฺตสตานิ อุจฺจินี’’ติ (จูฬว. ๔๓๗)ฯ
Bhikkhū āhaṃsu – ‘‘tena hi, bhante, thero bhikkhū uccinatū’’ti. Thero pana sakalanavaṅgasatthusāsanapariyattidhare puthujjanasotāpannasakadāgāmianāgāmi sukkhavipassaka khīṇāsavabhikkhū anekasate, anekasahasse ca vajjetvā tipiṭakasabbapariyattippabhedadhare paṭisambhidāppatte mahānubhāve yebhuyyena bhagavato etadaggaṃ āropite tevijjādibhede khīṇāsavabhikkhūyeva ekūnapañcasate pariggahesi. Ye sandhāya idaṃ vuttaṃ – ‘‘atha kho āyasmā mahākassapo ekenūnāni pañca arahantasatāni uccinī’’ti (cūḷava. 437).
กิสฺส ปน เถโร เอเกนูนมกาสีติ? อายสฺมโต อานนฺทเตฺถรสฺส โอกาสกรณตฺถํฯ เตนหายสฺมตา สหาปิ, วินาปิ, น สกฺกา ธมฺมสงฺคีติํ กาตุํฯ โส หายสฺมา เสโกฺข สกรณีโย, ตสฺมา สหาปิ น สกฺกาฯ ยสฺมา ปนสฺส กิญฺจิ ทสพลเทสิตํ สุตฺตเคยฺยาทิกํ อปฺปจฺจกฺขํ นาม นตฺถิฯ ยถาห –
Kissa pana thero ekenūnamakāsīti? Āyasmato ānandattherassa okāsakaraṇatthaṃ. Tenahāyasmatā sahāpi, vināpi, na sakkā dhammasaṅgītiṃ kātuṃ. So hāyasmā sekkho sakaraṇīyo, tasmā sahāpi na sakkā. Yasmā panassa kiñci dasabaladesitaṃ suttageyyādikaṃ appaccakkhaṃ nāma natthi. Yathāha –
‘‘ทฺวาสีติ พุทฺธโต คณฺหิํ, เทฺว สหสฺสานิ ภิกฺขุโต;
‘‘Dvāsīti buddhato gaṇhiṃ, dve sahassāni bhikkhuto;
จตุราสีติ สหสฺสานิ, เย เม ธมฺมา ปวตฺติโน’’ติฯ (เถรคา. ๑๐๒๗);
Caturāsīti sahassāni, ye me dhammā pavattino’’ti. (theragā. 1027);
ตสฺมา วินาปิ น สกฺกาฯ
Tasmā vināpi na sakkā.
ยทิ เอวํ เสโกฺขปิ สมาโน ธมฺมสงฺคีติยา พหุการตฺตา เถเรน อุจฺจินิตโพฺพ อสฺส, อถ กสฺมา น อุจฺจินิโตติ? ปรูปวาทวิวชฺชนโตฯ เถโร หิ อายสฺมเนฺต อานเนฺท อติวิย วิสฺสโตฺถ อโหสิ, ตถา หิ นํ สิรสฺมิํ ปลิเตสุ ชาเตสุปิ ‘น วายํ กุมารโก มตฺตมญฺญาสี’ติ, (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) กุมารกวาเทน โอวทติฯ สกฺยกุลปฺปสุโต จายสฺมา ตถาคตสฺส ภาตา จูฬปิตุปุโตฺตฯ ตตฺถ เกจิ ภิกฺขู ฉนฺทาคมนํ วิย มญฺญมานา – ‘‘พหู อเสกฺขปฎิสมฺภิทาปฺปเตฺต ภิกฺขู ฐเปตฺวา อานนฺทํ เสกฺขปฎิสมฺภิทาปฺปตฺตํ เถโร อุจฺจินี’’ติ อุปวเทยฺยุํฯ ตํ ปรูปวาทํ ปริวเชฺชโนฺต, ‘อานนฺทํ วินา ธมฺมสงฺคีติํ น สกฺกา กาตุํ, ภิกฺขูนํเยว นํ อนุมติยา คเหสฺสามี’ติ น อุจฺจินิฯ
Yadi evaṃ sekkhopi samāno dhammasaṅgītiyā bahukārattā therena uccinitabbo assa, atha kasmā na uccinitoti? Parūpavādavivajjanato. Thero hi āyasmante ānande ativiya vissattho ahosi, tathā hi naṃ sirasmiṃ palitesu jātesupi ‘na vāyaṃ kumārako mattamaññāsī’ti, (saṃ. ni. 2.154) kumārakavādena ovadati. Sakyakulappasuto cāyasmā tathāgatassa bhātā cūḷapituputto. Tattha keci bhikkhū chandāgamanaṃ viya maññamānā – ‘‘bahū asekkhapaṭisambhidāppatte bhikkhū ṭhapetvā ānandaṃ sekkhapaṭisambhidāppattaṃ thero uccinī’’ti upavadeyyuṃ. Taṃ parūpavādaṃ parivajjento, ‘ānandaṃ vinā dhammasaṅgītiṃ na sakkā kātuṃ, bhikkhūnaṃyeva naṃ anumatiyā gahessāmī’ti na uccini.
อถ สยเมว ภิกฺขู อานนฺทสฺสตฺถาย เถรํ ยาจิํสุฯ ยถาห –
Atha sayameva bhikkhū ānandassatthāya theraṃ yāciṃsu. Yathāha –
‘‘ภิกฺขู อายสฺมนฺตํ มหากสฺสปํ เอตทโวจุํ – ‘อยํ, ภเนฺต, อายสฺมา อานโนฺท กิญฺจาปิ เสโกฺข อภโพฺพ ฉนฺทา โทสา โมหา ภยา อคติํ คนฺตุํ, พหุ จาเนน ภควโต สนฺติเก ธโมฺม จ วินโย จ ปริยโตฺต, เตน หิ, ภเนฺต, เถโร อายสฺมนฺตมฺปิ อานนฺทํ อุจฺจินตู’ติฯ อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป อายสฺมนฺตมฺปิ อานนฺทํ อุจฺจินี’’ติ (จูฬว. ๔๓๗)ฯ
‘‘Bhikkhū āyasmantaṃ mahākassapaṃ etadavocuṃ – ‘ayaṃ, bhante, āyasmā ānando kiñcāpi sekkho abhabbo chandā dosā mohā bhayā agatiṃ gantuṃ, bahu cānena bhagavato santike dhammo ca vinayo ca pariyatto, tena hi, bhante, thero āyasmantampi ānandaṃ uccinatū’ti. Atha kho āyasmā mahākassapo āyasmantampi ānandaṃ uccinī’’ti (cūḷava. 437).
เอวํ ภิกฺขูนํ อนุมติยา อุจฺจินิเตน เตนายสฺมตา สทฺธิํ ปญฺจเถรสตานิ อเหสุํฯ
Evaṃ bhikkhūnaṃ anumatiyā uccinitena tenāyasmatā saddhiṃ pañcatherasatāni ahesuṃ.
อถ โข เถรานํ ภิกฺขูนํ เอตทโหสิ – ‘‘กตฺถ นุ โข มยํ ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคาเยยฺยามา’’ติ? อถ โข เถรานํ ภิกฺขูนํ เอตทโหสิ – ‘‘ราชคหํ โข มหาโคจรํ ปหูตเสนาสนํ, ยํนูน มยํ ราชคเห วสฺสํ วสนฺตา ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคาเยยฺยาม, น อเญฺญ ภิกฺขู ราชคเห วสฺสํ อุปคเจฺฉยฺยุ’’นฺติ (จูฬว. ๔๓๗)ฯ
Atha kho therānaṃ bhikkhūnaṃ etadahosi – ‘‘kattha nu kho mayaṃ dhammañca vinayañca saṅgāyeyyāmā’’ti? Atha kho therānaṃ bhikkhūnaṃ etadahosi – ‘‘rājagahaṃ kho mahāgocaraṃ pahūtasenāsanaṃ, yaṃnūna mayaṃ rājagahe vassaṃ vasantā dhammañca vinayañca saṅgāyeyyāma, na aññe bhikkhū rājagahe vassaṃ upagaccheyyu’’nti (cūḷava. 437).
กสฺมา ปน เนสํ เอตทโหสิ? ‘‘อิทํ ปน อมฺหากํ ถาวรกมฺมํ, โกจิ วิสภาคปุคฺคโล สงฺฆมชฺฌํ ปวิสิตฺวา อุโกฺกเฎยฺยา’’ติฯ อถายสฺมา มหากสฺสโป ญตฺติทุติเยน กเมฺมน สาเวสิ –
Kasmā pana nesaṃ etadahosi? ‘‘Idaṃ pana amhākaṃ thāvarakammaṃ, koci visabhāgapuggalo saṅghamajjhaṃ pavisitvā ukkoṭeyyā’’ti. Athāyasmā mahākassapo ñattidutiyena kammena sāvesi –
‘‘สุณาตุ เม, อาวุโส สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ สโงฺฆ อิมานิ ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ สมฺมเนฺนยฺย ราชคเห วสฺสํ วสนฺตานิ ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคายิตุํ, น อเญฺญหิ ภิกฺขูหิ ราชคเห วสฺสํ วสิตพฺพ’’นฺติฯ เอสา ญตฺติฯ
‘‘Suṇātu me, āvuso saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ saṅgho imāni pañca bhikkhusatāni sammanneyya rājagahe vassaṃ vasantāni dhammañca vinayañca saṅgāyituṃ, na aññehi bhikkhūhi rājagahe vassaṃ vasitabba’’nti. Esā ñatti.
‘‘สุณาตุ เม, อาวุโส สโงฺฆ, สโงฺฆ อิมานิ ปญฺจภิกฺขุสตานิ สมฺมนฺน’’ติ ‘ราชคเห วสฺสํ วสนฺตานิ ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคายิตุํ, น อเญฺญหิ ภิกฺขูหิ ราชคเห วสฺสํ วสิตพฺพนฺติฯ ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิเมสํ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ สมฺมุติ’ ราชคเห วสฺสํ วสนฺตานํ ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคายิตุํ, น อเญฺญหิ ภิกฺขูหิ ราชคเห วสฺสํ วสิตพฺพนฺติ, โส ตุณฺหสฺส; ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ
‘‘Suṇātu me, āvuso saṅgho, saṅgho imāni pañcabhikkhusatāni sammanna’’ti ‘rājagahe vassaṃ vasantāni dhammañca vinayañca saṅgāyituṃ, na aññehi bhikkhūhi rājagahe vassaṃ vasitabbanti. Yassāyasmato khamati imesaṃ pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ sammuti’ rājagahe vassaṃ vasantānaṃ dhammañca vinayañca saṅgāyituṃ, na aññehi bhikkhūhi rājagahe vassaṃ vasitabbanti, so tuṇhassa; yassa nakkhamati, so bhāseyya.
‘‘สมฺมตานิ สเงฺฆน อิมานิ ปญฺจภิกฺขุสตานิ ราชคเห วสฺสํ วสนฺตานิ ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคายิตุํ, น อเญฺญหิ ภิกฺขูหิ ราชคเห วสฺสํ วสิตพฺพนฺติ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ (จูฬว. ๔๓๘)ฯ
‘‘Sammatāni saṅghena imāni pañcabhikkhusatāni rājagahe vassaṃ vasantāni dhammañca vinayañca saṅgāyituṃ, na aññehi bhikkhūhi rājagahe vassaṃ vasitabbanti, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti (cūḷava. 438).
อยํ ปน กมฺมวาจา ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานโต เอกวีสติเม ทิวเส กตาฯ ภควา หิ วิสาขปุณฺณมายํ ปจฺจูสสมเย ปรินิพฺพุโต, อถสฺส สตฺตาหํ สุวณฺณวณฺณํ สรีรํ คนฺธมาลาทีหิ ปูชยิํสุฯ เอวํ สตฺตาหํ สาธุกีฬนทิวสา นาม อเหสุํฯ ตโต สตฺตาหํ จิตกาย อคฺคินา ฌายิ, สตฺตาหํ สตฺติปญฺชรํ กตฺวา สนฺธาคารสาลายํ ธาตุปูชํ กริํสูติ, เอกวีสติ ทิวสา คตาฯ เชฎฺฐมูลสุกฺกปกฺขปญฺจมิยํเยว ธาตุโย ภาชยิํสุฯ เอตสฺมิํ ธาตุภาชนทิวเส สนฺนิปติตสฺส มหาภิกฺขุสงฺฆสฺส สุภเทฺทน วุฑฺฒปพฺพชิเตน กตํ อนาจารํ อาโรเจตฺวา วุตฺตนเยเนว จ ภิกฺขู อุจฺจินิตฺวา อยํ กมฺมวาจา กตาฯ
Ayaṃ pana kammavācā tathāgatassa parinibbānato ekavīsatime divase katā. Bhagavā hi visākhapuṇṇamāyaṃ paccūsasamaye parinibbuto, athassa sattāhaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ sarīraṃ gandhamālādīhi pūjayiṃsu. Evaṃ sattāhaṃ sādhukīḷanadivasā nāma ahesuṃ. Tato sattāhaṃ citakāya agginā jhāyi, sattāhaṃ sattipañjaraṃ katvā sandhāgārasālāyaṃ dhātupūjaṃ kariṃsūti, ekavīsati divasā gatā. Jeṭṭhamūlasukkapakkhapañcamiyaṃyeva dhātuyo bhājayiṃsu. Etasmiṃ dhātubhājanadivase sannipatitassa mahābhikkhusaṅghassa subhaddena vuḍḍhapabbajitena kataṃ anācāraṃ ārocetvā vuttanayeneva ca bhikkhū uccinitvā ayaṃ kammavācā katā.
อิมญฺจ ปน กมฺมวาจํ กตฺวา เถโร ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘อาวุโส, อิทานิ ตุมฺหากํ จตฺตาลีส ทิวสา โอกาโส กโต, ตโต ปรํ ‘อยํ นาม โน ปลิโพโธ อตฺถี’ติ, วตฺตุํ น ลพฺภา, ตสฺมา เอตฺถนฺตเร ยสฺส โรคปลิโพโธ วา อาจริยุปชฺฌายปลิโพโธ วา มาตาปิตุปลิโพโธ วา อตฺถิ, ปตฺตํ วา ปน ปจิตพฺพํ, จีวรํ วา กาตพฺพํ, โส ตํ ปลิโพธํ ฉินฺทิตฺวา ตํ กรณียํ กโรตู’’ติฯ
Imañca pana kammavācaṃ katvā thero bhikkhū āmantesi – ‘‘āvuso, idāni tumhākaṃ cattālīsa divasā okāso kato, tato paraṃ ‘ayaṃ nāma no palibodho atthī’ti, vattuṃ na labbhā, tasmā etthantare yassa rogapalibodho vā ācariyupajjhāyapalibodho vā mātāpitupalibodho vā atthi, pattaṃ vā pana pacitabbaṃ, cīvaraṃ vā kātabbaṃ, so taṃ palibodhaṃ chinditvā taṃ karaṇīyaṃ karotū’’ti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา เถโร อตฺตโน ปญฺจสตาย ปริสาย ปริวุโต ราชคหํ คโตฯ อเญฺญปิ มหาเถรา อตฺตโน อตฺตโน ปริวาเร คเหตฺวา โสกสลฺลสมปฺปิตํ มหาชนํ อสฺสาเสตุกามา ตํ ตํ ทิสํ ปกฺกนฺตาฯ ปุณฺณเตฺถโร ปน สตฺตสตภิกฺขุปริวาโร ‘ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานฎฺฐานํ อาคตาคตํ มหาชนํ อสฺสาเสสฺสามี’ติ กุสินารายํเยว อฎฺฐาสิฯ
Evañca pana vatvā thero attano pañcasatāya parisāya parivuto rājagahaṃ gato. Aññepi mahātherā attano attano parivāre gahetvā sokasallasamappitaṃ mahājanaṃ assāsetukāmā taṃ taṃ disaṃ pakkantā. Puṇṇatthero pana sattasatabhikkhuparivāro ‘tathāgatassa parinibbānaṭṭhānaṃ āgatāgataṃ mahājanaṃ assāsessāmī’ti kusinārāyaṃyeva aṭṭhāsi.
อายสฺมา อานโนฺท ยถา ปุเพฺพ อปรินิพฺพุตสฺส, เอวํ ปรินิพฺพุตสฺสาปิ ภควโต สยเมว ปตฺตจีวรมาทาย ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ เยน สาวตฺถิ เตน จาริกํ ปกฺกามิฯ คจฺฉโต คจฺฉโต ปนสฺส ปริวารา ภิกฺขู คณนปถํ วีติวตฺตาฯ เตนายสฺมตา คตคตฎฺฐาเน มหาปริเทโว อโหสิ ฯ อนุปุเพฺพน ปน สาวตฺถิมนุปฺปเตฺต เถเร สาวตฺถิวาสิโน มนุสฺสา ‘‘เถโร กิร อาคโต’’ติ สุตฺวา คนฺธมาลาทิหตฺถา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา – ‘‘ภเนฺต, อานนฺท, ปุเพฺพ ภควตา สทฺธิํ อาคจฺฉถ, อชฺช กุหิํ ภควนฺตํ ฐเปตฺวา อาคตตฺถา’’ติอาทีนิ วทมานา ปโรทิํสุฯ พุทฺธสฺส ภควโต ปรินิพฺพานทิวเส วิย มหาปริเทโว อโหสิฯ
Āyasmā ānando yathā pubbe aparinibbutassa, evaṃ parinibbutassāpi bhagavato sayameva pattacīvaramādāya pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ yena sāvatthi tena cārikaṃ pakkāmi. Gacchato gacchato panassa parivārā bhikkhū gaṇanapathaṃ vītivattā. Tenāyasmatā gatagataṭṭhāne mahāparidevo ahosi . Anupubbena pana sāvatthimanuppatte there sāvatthivāsino manussā ‘‘thero kira āgato’’ti sutvā gandhamālādihatthā paccuggantvā – ‘‘bhante, ānanda, pubbe bhagavatā saddhiṃ āgacchatha, ajja kuhiṃ bhagavantaṃ ṭhapetvā āgatatthā’’tiādīni vadamānā parodiṃsu. Buddhassa bhagavato parinibbānadivase viya mahāparidevo ahosi.
ตตฺร สุทํ อายสฺมา อานโนฺท อนิจฺจตาทิปฎิสํยุตฺตาย ธมฺมิยากถาย ตํ มหาชนํ สญฺญาเปตฺวา เชตวนํ ปวิสิตฺวา ทสพเลน วสิตคนฺธกุฎิํ วนฺทิตฺวา ทฺวารํ วิวริตฺวา มญฺจปีฐํ นีหริตฺวา ปโปฺผเฎตฺวา คนฺธกุฎิํ สมฺมชฺชิตฺวา มิลาตมาลากจวรํ ฉเฑฺฑตฺวา มญฺจปีฐํ อติหริตฺวา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา ภควโต ฐิตกาเล กรณียํ วตฺตํ สพฺพมกาสิฯ กุรุมาโน จ นฺหานโกฎฺฐกสมฺมชฺชนอุทกุปฎฺฐาปนาทิกาเลสุ คนฺธกุฎิํ วนฺทิตฺวา – ‘‘นนุ ภควา, อยํ ตุมฺหากํ นฺหานกาโล, อยํ ธมฺมเทสนากาโล, อยํ ภิกฺขูนํ โอวาททานกาโล, อยํ สีหเสยฺยกปฺปนกาโล, อยํ มุขโธวนกาโล’’ติอาทินา นเยน ปริเทวมาโนว อกาสิ, ยถา ตํ ภควโต คุณคณามตรสญฺญุตาย ปติฎฺฐิตเปโม เจว อขีณาสโว จ อเนเกสุ จ ชาติสตสหเสฺสสุ อญฺญมญฺญสฺสูปการสญฺชนิตจิตฺตมทฺทโวฯ ตเมนํ อญฺญตรา เทวตา – ‘‘ภเนฺต, อานนฺท, ตุเมฺห เอวํ ปริเทวมานา กถํ อเญฺญ อสฺสาเสสฺสถา’’ติ สํเวเชสิฯ โส ตสฺสา วจเนน สํวิคฺคหทโย สนฺถมฺภิตฺวา ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานโต ปภุติ ฐานนิสชฺชพหุลตฺตา อุสฺสนฺนธาตุกํ กายํ สมสฺสาเสตุํ ทุติยทิวเส ขีรวิเรจนํ ปิวิตฺวา วิหาเรเยว นิสีทิฯ ยํ สนฺธาย สุเภน มาณเวน ปหิตํ มาณวกํ เอตทโวจ –
Tatra sudaṃ āyasmā ānando aniccatādipaṭisaṃyuttāya dhammiyākathāya taṃ mahājanaṃ saññāpetvā jetavanaṃ pavisitvā dasabalena vasitagandhakuṭiṃ vanditvā dvāraṃ vivaritvā mañcapīṭhaṃ nīharitvā papphoṭetvā gandhakuṭiṃ sammajjitvā milātamālākacavaraṃ chaḍḍetvā mañcapīṭhaṃ atiharitvā puna yathāṭhāne ṭhapetvā bhagavato ṭhitakāle karaṇīyaṃ vattaṃ sabbamakāsi. Kurumāno ca nhānakoṭṭhakasammajjanaudakupaṭṭhāpanādikālesu gandhakuṭiṃ vanditvā – ‘‘nanu bhagavā, ayaṃ tumhākaṃ nhānakālo, ayaṃ dhammadesanākālo, ayaṃ bhikkhūnaṃ ovādadānakālo, ayaṃ sīhaseyyakappanakālo, ayaṃ mukhadhovanakālo’’tiādinā nayena paridevamānova akāsi, yathā taṃ bhagavato guṇagaṇāmatarasaññutāya patiṭṭhitapemo ceva akhīṇāsavo ca anekesu ca jātisatasahassesu aññamaññassūpakārasañjanitacittamaddavo. Tamenaṃ aññatarā devatā – ‘‘bhante, ānanda, tumhe evaṃ paridevamānā kathaṃ aññe assāsessathā’’ti saṃvejesi. So tassā vacanena saṃviggahadayo santhambhitvā tathāgatassa parinibbānato pabhuti ṭhānanisajjabahulattā ussannadhātukaṃ kāyaṃ samassāsetuṃ dutiyadivase khīravirecanaṃ pivitvā vihāreyeva nisīdi. Yaṃ sandhāya subhena māṇavena pahitaṃ māṇavakaṃ etadavoca –
‘‘อกาโล, โข มาณวก, อตฺถิ เม อชฺช เภสชฺชมตฺตา ปีตา, อเปฺปว นาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยามา’’ติ (ที. นิ. ๑.๔๔๗)ฯ
‘‘Akālo, kho māṇavaka, atthi me ajja bhesajjamattā pītā, appeva nāma svepi upasaṅkameyyāmā’’ti (dī. ni. 1.447).
ทุติยทิวเส เจตกเตฺถเรน ปจฺฉาสมเณน คนฺตฺวา สุเภน มาณเวน ปุโฎฺฐ อิมสฺมิํ ทีฆนิกาเย สุภสุตฺตํ นาม ทสมํ สุตฺตํ อภาสิฯ
Dutiyadivase cetakattherena pacchāsamaṇena gantvā subhena māṇavena puṭṭho imasmiṃ dīghanikāye subhasuttaṃ nāma dasamaṃ suttaṃ abhāsi.
อถ อานนฺทเตฺถโร เชตวนมหาวิหาเร ขณฺฑผุลฺลปฺปฎิสงฺขรณํ การาเปตฺวา อุปกฎฺฐาย วสฺสูปนายิกาย ภิกฺขุสงฺฆํ โอหาย ราชคหํ คโต ตถา อเญฺญปิ ธมฺมสงฺคาหกา ภิกฺขูติฯ เอวญฺหิ คเต, เต สนฺธาย จ อิทํ วุตฺตํ – ‘‘อถ โข เถรา ภิกฺขู ราชคหํ อคมํสุ, ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคายิตุ’’นฺติ (จูฬว. ๔๓๘)ฯ เต อาสฬฺหีปุณฺณมายํ อุโปสถํ กตฺวา ปาฎิปททิวเส สนฺนิปติตฺวา วสฺสํ อุปคจฺฉิํสุฯ
Atha ānandatthero jetavanamahāvihāre khaṇḍaphullappaṭisaṅkharaṇaṃ kārāpetvā upakaṭṭhāya vassūpanāyikāya bhikkhusaṅghaṃ ohāya rājagahaṃ gato tathā aññepi dhammasaṅgāhakā bhikkhūti. Evañhi gate, te sandhāya ca idaṃ vuttaṃ – ‘‘atha kho therā bhikkhū rājagahaṃ agamaṃsu, dhammañca vinayañca saṅgāyitu’’nti (cūḷava. 438). Te āsaḷhīpuṇṇamāyaṃ uposathaṃ katvā pāṭipadadivase sannipatitvā vassaṃ upagacchiṃsu.
เตน โข ปน สมเยน ราชคหํ ปริวาเรตฺวา อฎฺฐารส มหาวิหารา โหนฺติ, เต สเพฺพปิ ฉฑฺฑิตปติตอุกฺลาปา อเหสุํฯ ภควโต หิ ปรินิพฺพาเน สเพฺพปิ ภิกฺขู อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตจีวรมาทาย วิหาเร จ ปริเวเณ จ ฉเฑฺฑตฺวา อคมํสุฯ ตตฺถ กติกวตฺตํ กุรุมานา เถรา ภควโต วจนปูชนตฺถํ ติตฺถิยวาทปริโมจนตฺถญฺจ – ‘ปฐมํ มาสํ ขณฺฑผุลฺลปฺปฎิสงฺขรณํ กโรมา’ติ จิเนฺตสุํฯ ติตฺถิยา หิ เอวํ วเทยฺยุํ – ‘‘สมณสฺส โคตมสฺส สาวกา สตฺถริ ฐิเตเยว วิหาเร ปฎิชคฺคิํสุ, ปรินิพฺพุเต ฉเฑฺฑสุํ, กุลานํ มหาธนปริจฺจาโค วินสฺสตี’’ติฯ เตสญฺจ วาทปริโมจนตฺถํ จิเนฺตสุนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ จินฺตยิตฺวา จ ปน กติกวตฺตํ กริํสุฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –
Tena kho pana samayena rājagahaṃ parivāretvā aṭṭhārasa mahāvihārā honti, te sabbepi chaḍḍitapatitauklāpā ahesuṃ. Bhagavato hi parinibbāne sabbepi bhikkhū attano attano pattacīvaramādāya vihāre ca pariveṇe ca chaḍḍetvā agamaṃsu. Tattha katikavattaṃ kurumānā therā bhagavato vacanapūjanatthaṃ titthiyavādaparimocanatthañca – ‘paṭhamaṃ māsaṃ khaṇḍaphullappaṭisaṅkharaṇaṃ karomā’ti cintesuṃ. Titthiyā hi evaṃ vadeyyuṃ – ‘‘samaṇassa gotamassa sāvakā satthari ṭhiteyeva vihāre paṭijaggiṃsu, parinibbute chaḍḍesuṃ, kulānaṃ mahādhanapariccāgo vinassatī’’ti. Tesañca vādaparimocanatthaṃ cintesunti vuttaṃ hoti. Evaṃ cintayitvā ca pana katikavattaṃ kariṃsu. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –
‘‘อถ โข เถรานํ ภิกฺขูนํ เอตทโหสิ – ภควตา, โข อาวุโส, ขณฺฑผุลฺลปฺปฎิสงฺขรณํ วณฺณิตํ, หนฺท มยํ, อาวุโส, ปฐมํ มาสํ ขณฺฑผุลฺลปฺปฎิสงฺขรณํ กโรม, มชฺฌิมํ มาสํ สนฺนิปติตฺวา ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคายิสฺสามา’’ติ (จูฬว. ๔๓๘)ฯ
‘‘Atha kho therānaṃ bhikkhūnaṃ etadahosi – bhagavatā, kho āvuso, khaṇḍaphullappaṭisaṅkharaṇaṃ vaṇṇitaṃ, handa mayaṃ, āvuso, paṭhamaṃ māsaṃ khaṇḍaphullappaṭisaṅkharaṇaṃ karoma, majjhimaṃ māsaṃ sannipatitvā dhammañca vinayañca saṅgāyissāmā’’ti (cūḷava. 438).
เต ทุติยทิวเส คนฺตฺวา ราชทฺวาเร อฎฺฐํสุฯ ราชา อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา – ‘‘กิํ ภเนฺต, อาคตตฺถา’’ติ อตฺตนา กตฺตพฺพกิจฺจํ ปุจฺฉิฯ เถรา อฎฺฐารส มหาวิหารปฎิสงฺขรณตฺถาย หตฺถกมฺมํ ปฎิเวเทสุํฯ ราชา หตฺถกมฺมการเก มนุเสฺส อทาสิฯ เถรา ปฐมํ มาสํ สพฺพวิหาเร ปฎิสงฺขราเปตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํ – ‘‘นิฎฺฐิตํ, มหาราช, วิหารปฎิสงฺขรณํ, อิทานิ ธมฺมวินยสงฺคหํ กโรมา’’ติฯ ‘‘สาธุ ภเนฺต วิสฎฺฐา กโรถ, มยฺหํ อาณาจกฺกํ , ตุมฺหากญฺจ ธมฺมจกฺกํ โหตุ, อาณาเปถ, ภเนฺต, กิํ กโรมี’’ติฯ ‘‘สงฺคหํ กโรนฺตานํ ภิกฺขูนํ สนฺนิสชฺชฎฺฐานํ มหาราชา’’ติฯ ‘‘กตฺถ กโรมิ, ภเนฺต’’ติ? ‘‘เวภารปพฺพตปเสฺส สตฺตปณฺณิ คุหาทฺวาเร กาตุํ ยุตฺตํ มหาราชา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ โข ราชา อชาตสตฺตุ วิสฺสกมฺมุนา นิมฺมิตสทิสํ สุวิภตฺตภิตฺติถมฺภโสปานํ, นานาวิธมาลากมฺมลตากมฺมวิจิตฺตํ, อภิภวนฺตมิว ราชภวนวิภูติํ, อวหสนฺตมิว เทววิมานสิริํ, สิริยา นิเกตนมิว เอกนิปาตติตฺถมิว จ เทวมนุสฺสนยนวิหํคานํ, โลกรามเณยฺยกมิว สมฺปิณฺฑิตํ ทฎฺฐพฺพสารมณฺฑํ มณฺฑปํ การาเปตฺวา วิวิธกุสุมทาโมลมฺพกวินิคฺคลนฺตจารุวิตานํ นานารตนวิจิตฺตมณิโกฎฺฎิมตลมิว จ, นํ นานาปุปฺผูปหารวิจิตฺตสุปรินิฎฺฐิตภูมิกมฺมํ พฺรหฺมวิมานสทิสํ อลงฺกริตฺวา, ตสฺมิํ มหามณฺฑเป ปญฺจสตานํ ภิกฺขูนํ อนคฺฆานิ ปญฺจ กปฺปิยปจฺจตฺถรณสตานิ ปญฺญเปตฺวา, ทกฺขิณภาคํ นิสฺสาย อุตฺตราภิมุขํ เถราสนํ, มณฺฑปมเชฺฌ ปุรตฺถาภิมุขํ พุทฺธสฺส ภควโต อาสนารหํ ธมฺมาสนํ ปญฺญเปตฺวา, ทนฺตขจิตํ พีชนิเญฺจตฺถ ฐเปตฺวา, ภิกฺขุสงฺฆสฺส อาโรจาเปสิ – ‘‘นิฎฺฐิตํ, ภเนฺต, มม กิจฺจ’’นฺติฯ
Te dutiyadivase gantvā rājadvāre aṭṭhaṃsu. Rājā āgantvā vanditvā – ‘‘kiṃ bhante, āgatatthā’’ti attanā kattabbakiccaṃ pucchi. Therā aṭṭhārasa mahāvihārapaṭisaṅkharaṇatthāya hatthakammaṃ paṭivedesuṃ. Rājā hatthakammakārake manusse adāsi. Therā paṭhamaṃ māsaṃ sabbavihāre paṭisaṅkharāpetvā rañño ārocesuṃ – ‘‘niṭṭhitaṃ, mahārāja, vihārapaṭisaṅkharaṇaṃ, idāni dhammavinayasaṅgahaṃ karomā’’ti. ‘‘Sādhu bhante visaṭṭhā karotha, mayhaṃ āṇācakkaṃ , tumhākañca dhammacakkaṃ hotu, āṇāpetha, bhante, kiṃ karomī’’ti. ‘‘Saṅgahaṃ karontānaṃ bhikkhūnaṃ sannisajjaṭṭhānaṃ mahārājā’’ti. ‘‘Kattha karomi, bhante’’ti? ‘‘Vebhārapabbatapasse sattapaṇṇi guhādvāre kātuṃ yuttaṃ mahārājā’’ti. ‘‘Sādhu, bhante’’ti kho rājā ajātasattu vissakammunā nimmitasadisaṃ suvibhattabhittithambhasopānaṃ, nānāvidhamālākammalatākammavicittaṃ, abhibhavantamiva rājabhavanavibhūtiṃ, avahasantamiva devavimānasiriṃ, siriyā niketanamiva ekanipātatitthamiva ca devamanussanayanavihaṃgānaṃ, lokarāmaṇeyyakamiva sampiṇḍitaṃ daṭṭhabbasāramaṇḍaṃ maṇḍapaṃ kārāpetvā vividhakusumadāmolambakaviniggalantacāruvitānaṃ nānāratanavicittamaṇikoṭṭimatalamiva ca, naṃ nānāpupphūpahāravicittasupariniṭṭhitabhūmikammaṃ brahmavimānasadisaṃ alaṅkaritvā, tasmiṃ mahāmaṇḍape pañcasatānaṃ bhikkhūnaṃ anagghāni pañca kappiyapaccattharaṇasatāni paññapetvā, dakkhiṇabhāgaṃ nissāya uttarābhimukhaṃ therāsanaṃ, maṇḍapamajjhe puratthābhimukhaṃ buddhassa bhagavato āsanārahaṃ dhammāsanaṃ paññapetvā, dantakhacitaṃ bījaniñcettha ṭhapetvā, bhikkhusaṅghassa ārocāpesi – ‘‘niṭṭhitaṃ, bhante, mama kicca’’nti.
ตสฺมิญฺจ ปน ทิวเส เอกเจฺจ ภิกฺขู อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ สนฺธาย เอวมาหํสุ – ‘‘อิมสฺมิํ ภิกฺขุสเงฺฆ เอโก ภิกฺขุ วิสฺสคนฺธํ วายโนฺต วิจรตี’’ติฯ เถโร ตํ สุตฺวา อิมสฺมิํ ภิกฺขุสเงฺฆ อโญฺญ วิสฺสคนฺธํ วายโนฺต วิจรณกภิกฺขุ นาม นตฺถิฯ อทฺธา เอเต มํ สนฺธาย วทนฺตีติ สํเวคํ อาปชฺชิฯ เอกเจฺจ นํ อาหํสุเยว – ‘‘เสฺว อาวุโส, อานนฺท, สนฺนิปาโต, ตฺวญฺจ เสโกฺข สกรณีโย, เตน เต น ยุตฺตํ สนฺนิปาตํ คนฺตุํ, อปฺปมโตฺต โหหี’’ติฯ
Tasmiñca pana divase ekacce bhikkhū āyasmantaṃ ānandaṃ sandhāya evamāhaṃsu – ‘‘imasmiṃ bhikkhusaṅghe eko bhikkhu vissagandhaṃ vāyanto vicaratī’’ti. Thero taṃ sutvā imasmiṃ bhikkhusaṅghe añño vissagandhaṃ vāyanto vicaraṇakabhikkhu nāma natthi. Addhā ete maṃ sandhāya vadantīti saṃvegaṃ āpajji. Ekacce naṃ āhaṃsuyeva – ‘‘sve āvuso, ānanda, sannipāto, tvañca sekkho sakaraṇīyo, tena te na yuttaṃ sannipātaṃ gantuṃ, appamatto hohī’’ti.
อถ โข อายสฺมา อานโนฺท – ‘เสฺว สนฺนิปาโต, น โข เมตํ ปติรูปํ ยฺวาหํ เสโกฺข สมาโน สนฺนิปาตํ คเจฺฉยฺย’นฺติ, พหุเทว รตฺติํ กายคตาย สติยา วีตินาเมตฺวา รตฺติยา ปจฺจูสสมเย จงฺกมา โอโรหิตฺวา วิหารํ ปวิสิตฺวา ‘‘นิปชฺชิสฺสามี’’ติ กายํ อาวเชฺชสิ, เทฺว ปาทา ภูมิโต มุตฺตา, อปตฺตญฺจ สีสํ พิโมฺพหนํ, เอตสฺมิํ อนฺตเร อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจิฯ อยญฺหิ อายสฺมา จงฺกเมน พหิ วีตินาเมตฺวา วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ อสโกฺกโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘นนุ มํ ภควา เอตทโวจ – ‘กตปุโญฺญสิ ตฺวํ, อานนฺท, ปธานมนุยุญฺช, ขิปฺปํ โหหิสิ อนาสโว’ติ (ที. นิ. ๒.๒๐๗)ฯ พุทฺธานญฺจ กถาโทโส นาม นตฺถิ, มม ปน อจฺจารทฺธํ วีริยํ, เตน เม จิตฺตํ อุทฺธจฺจาย สํวตฺตติฯ หนฺทาหํ วีริยสมตํ โยเชมี’’ติ, จงฺกมา โอโรหิตฺวา ปาทโธวนฎฺฐาเน ฐตฺวา ปาเท โธวิตฺวา วิหารํ ปวิสิตฺวา มญฺจเก นิสีทิตฺวา, ‘‘โถกํ วิสฺสมิสฺสามี’’ติ กายํ มญฺจเก อปนาเมสิฯ เทฺว ปาทา ภูมิโต มุตฺตา, สีสํ พิโมฺพหนมปฺปตฺตํ, เอตสฺมิํ อนฺตเร อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุตฺตํ, จตุอิริยาปถวิรหิตํ เถรสฺส อรหตฺตํฯ เตน ‘‘อิมสฺมิํ สาสเน อนิปโนฺน อนิสิโนฺน อฎฺฐิโต อจงฺกมโนฺต โก ภิกฺขุ อรหตฺตํ ปโตฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘อานนฺทเตฺถโร’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ
Atha kho āyasmā ānando – ‘sve sannipāto, na kho metaṃ patirūpaṃ yvāhaṃ sekkho samāno sannipātaṃ gaccheyya’nti, bahudeva rattiṃ kāyagatāya satiyā vītināmetvā rattiyā paccūsasamaye caṅkamā orohitvā vihāraṃ pavisitvā ‘‘nipajjissāmī’’ti kāyaṃ āvajjesi, dve pādā bhūmito muttā, apattañca sīsaṃ bimbohanaṃ, etasmiṃ antare anupādāya āsavehi cittaṃ vimucci. Ayañhi āyasmā caṅkamena bahi vītināmetvā visesaṃ nibbattetuṃ asakkonto cintesi – ‘‘nanu maṃ bhagavā etadavoca – ‘katapuññosi tvaṃ, ānanda, padhānamanuyuñja, khippaṃ hohisi anāsavo’ti (dī. ni. 2.207). Buddhānañca kathādoso nāma natthi, mama pana accāraddhaṃ vīriyaṃ, tena me cittaṃ uddhaccāya saṃvattati. Handāhaṃ vīriyasamataṃ yojemī’’ti, caṅkamā orohitvā pādadhovanaṭṭhāne ṭhatvā pāde dhovitvā vihāraṃ pavisitvā mañcake nisīditvā, ‘‘thokaṃ vissamissāmī’’ti kāyaṃ mañcake apanāmesi. Dve pādā bhūmito muttā, sīsaṃ bimbohanamappattaṃ, etasmiṃ antare anupādāya āsavehi cittaṃ vimuttaṃ, catuiriyāpathavirahitaṃ therassa arahattaṃ. Tena ‘‘imasmiṃ sāsane anipanno anisinno aṭṭhito acaṅkamanto ko bhikkhu arahattaṃ patto’’ti vutte ‘‘ānandatthero’’ti vattuṃ vaṭṭati.
อถ เถรา ภิกฺขู ทุติยทิวเส ปญฺจมิยํ กาฬปกฺขสฺส กตภตฺตกิจฺจา ปตฺตจีวรํ ปฎิสาเมตฺวา ธมฺมสภายํ สนฺนิปติํสุฯ อถ โข อายสฺมา อานโนฺท อรหา สมาโน สนฺนิปาตํ อคมาสิฯ กถํ อคมาสิ? ‘‘อิทานิมฺหิ สนฺนิปาตมชฺฌํ ปวิสนารโห’’ติ หฎฺฐตุฎฺฐจิโตฺต เอกํสํ จีวรํ กตฺวา พนฺธนา มุตฺตตาลปกฺกํ วิย, ปณฺฑุกมฺพเล นิกฺขิตฺตชาติมณิ วิย, วิคตวลาหเก นเภ สมุคฺคตปุณฺณจโนฺท วิย, พาลาตปสมฺผสฺสวิกสิตเรณุปิญฺชรคพฺภํ ปทุมํ วิย จ, ปริสุเทฺธน ปริโยทาเตน สปฺปเภน สสฺสิรีเกน จ มุขวเรน อตฺตโน อรหตฺตปฺปตฺติํ อาโรจยมาโน วิย อคมาสิฯ อถ นํ ทิสฺวา อายสฺมโต มหากสฺสปสฺส เอตทโหสิ – ‘‘โสภติ วต โภ อรหตฺตปฺปโตฺต อานโนฺท, สเจ สตฺถา ธเรยฺย, อทฺธา อชฺชานนฺทสฺส สาธุการํ ทเทยฺย, หนฺท , ทานิสฺสาหํ สตฺถารา ทาตพฺพํ สาธุการํ ททามี’’ติ, ติกฺขตฺตุํ สาธุการมทาสิฯ
Atha therā bhikkhū dutiyadivase pañcamiyaṃ kāḷapakkhassa katabhattakiccā pattacīvaraṃ paṭisāmetvā dhammasabhāyaṃ sannipatiṃsu. Atha kho āyasmā ānando arahā samāno sannipātaṃ agamāsi. Kathaṃ agamāsi? ‘‘Idānimhi sannipātamajjhaṃ pavisanāraho’’ti haṭṭhatuṭṭhacitto ekaṃsaṃ cīvaraṃ katvā bandhanā muttatālapakkaṃ viya, paṇḍukambale nikkhittajātimaṇi viya, vigatavalāhake nabhe samuggatapuṇṇacando viya, bālātapasamphassavikasitareṇupiñjaragabbhaṃ padumaṃ viya ca, parisuddhena pariyodātena sappabhena sassirīkena ca mukhavarena attano arahattappattiṃ ārocayamāno viya agamāsi. Atha naṃ disvā āyasmato mahākassapassa etadahosi – ‘‘sobhati vata bho arahattappatto ānando, sace satthā dhareyya, addhā ajjānandassa sādhukāraṃ dadeyya, handa , dānissāhaṃ satthārā dātabbaṃ sādhukāraṃ dadāmī’’ti, tikkhattuṃ sādhukāramadāsi.
มชฺฌิมภาณกา ปน วทนฺติ – ‘‘อานนฺทเตฺถโร อตฺตโน อรหตฺตปฺปตฺติํ ญาเปตุกาโม ภิกฺขูหิ สทฺธิํ นาคโต, ภิกฺขู ยถาวุฑฺฒํ อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตาสเน นิสีทนฺตา อานนฺทเตฺถรสฺส อาสนํ ฐเปตฺวา นิสินฺนาฯ ตตฺถ เกจิ เอวมาหํสุ – ‘เอตํ อาสนํ กสฺสา’ติ? ‘อานนฺทสฺสา’ติฯ ‘อานโนฺท ปน กุหิํ คโต’ติ? ตสฺมิํ สมเย เถโร จิเนฺตสิ – ‘อิทานิ มยฺหํ คมนกาโล’ติฯ ตโต อตฺตโน อานุภาวํ ทเสฺสโนฺต ปถวิยํ นิมุชฺชิตฺวา อตฺตโน อาสเนเยว อตฺตานํ ทเสฺสสี’’ติ, อากาเสน คนฺตฺวา นิสีทีติปิ เอเกฯ ยถา วา ตถา วา โหตุฯ สพฺพถาปิ ตํ ทิสฺวา อายสฺมโต มหากสฺสปสฺส สาธุการทานํ ยุตฺตเมวฯ
Majjhimabhāṇakā pana vadanti – ‘‘ānandatthero attano arahattappattiṃ ñāpetukāmo bhikkhūhi saddhiṃ nāgato, bhikkhū yathāvuḍḍhaṃ attano attano pattāsane nisīdantā ānandattherassa āsanaṃ ṭhapetvā nisinnā. Tattha keci evamāhaṃsu – ‘etaṃ āsanaṃ kassā’ti? ‘Ānandassā’ti. ‘Ānando pana kuhiṃ gato’ti? Tasmiṃ samaye thero cintesi – ‘idāni mayhaṃ gamanakālo’ti. Tato attano ānubhāvaṃ dassento pathaviyaṃ nimujjitvā attano āsaneyeva attānaṃ dassesī’’ti, ākāsena gantvā nisīdītipi eke. Yathā vā tathā vā hotu. Sabbathāpi taṃ disvā āyasmato mahākassapassa sādhukāradānaṃ yuttameva.
เอวํ อาคเต ปน ตสฺมิํ อายสฺมเนฺต มหากสฺสปเตฺถโร ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘อาวุโส, กิํ ปฐมํ สงฺคายาม, ธมฺมํ วา วินยํ วา’’ติ? ภิกฺขู อาหํสุ – ‘‘ภเนฺต, มหากสฺสป, วินโย นาม พุทฺธสาสนสฺส อายุฯ วินเย ฐิเต สาสนํ ฐิตํ นาม โหติฯ ตสฺมา ปฐมํ วินยํ สงฺคายามา’’ติฯ ‘‘กํ ธุรํ กตฺวา’’ติ? ‘‘อายสฺมนฺตํ อุปาลิ’’นฺติฯ ‘‘กิํ อานโนฺท นปฺปโหตี’’ติ? ‘‘โน นปฺปโหติ’’ฯ อปิ จ โข ปน สมฺมาสมฺพุโทฺธ ธรมาโนเยว วินยปริยตฺติํ นิสฺสาย อายสฺมนฺตํ อุปาลิํ เอตทเคฺค ฐเปสิ – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ วินยธรานํ ยทิทํ อุปาลี’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๒๘)ฯ ‘ตสฺมา อุปาลิเตฺถรํ ปุจฺฉิตฺวา วินยํ สงฺคายามา’ติฯ
Evaṃ āgate pana tasmiṃ āyasmante mahākassapatthero bhikkhū āmantesi – ‘‘āvuso, kiṃ paṭhamaṃ saṅgāyāma, dhammaṃ vā vinayaṃ vā’’ti? Bhikkhū āhaṃsu – ‘‘bhante, mahākassapa, vinayo nāma buddhasāsanassa āyu. Vinaye ṭhite sāsanaṃ ṭhitaṃ nāma hoti. Tasmā paṭhamaṃ vinayaṃ saṅgāyāmā’’ti. ‘‘Kaṃ dhuraṃ katvā’’ti? ‘‘Āyasmantaṃ upāli’’nti. ‘‘Kiṃ ānando nappahotī’’ti? ‘‘No nappahoti’’. Api ca kho pana sammāsambuddho dharamānoyeva vinayapariyattiṃ nissāya āyasmantaṃ upāliṃ etadagge ṭhapesi – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ vinayadharānaṃ yadidaṃ upālī’’ti (a. ni. 1.228). ‘Tasmā upālittheraṃ pucchitvā vinayaṃ saṅgāyāmā’ti.
ตโต เถโร วินยํ ปุจฺฉนตฺถาย อตฺตนาว อตฺตานํ สมฺมนฺนิฯ อุปาลิเตฺถโรปิ วิสฺสชฺชนตฺถาย สมฺมนฺนิฯ ตตฺรายํ ปาฬิ – อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป สงฺฆํ ญาเปสิ –
Tato thero vinayaṃ pucchanatthāya attanāva attānaṃ sammanni. Upālittheropi vissajjanatthāya sammanni. Tatrāyaṃ pāḷi – atha kho āyasmā mahākassapo saṅghaṃ ñāpesi –
‘‘สุณาตุ เม, อาวุโส, สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ,
‘‘Suṇātu me, āvuso, saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ,
อหํ อุปาลิํ วินยํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติฯ
Ahaṃ upāliṃ vinayaṃ puccheyya’’nti.
อายสฺมาปิ อุปาลิ สงฺฆํ ญาเปสิ –
Āyasmāpi upāli saṅghaṃ ñāpesi –
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ,
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ,
อหํ อายสฺมตา มหากสฺสเปน วินยํ ปุโฎฺฐ วิสฺสเชฺชยฺย’’นฺติฯ (จูฬว. ๔๓๙);
Ahaṃ āyasmatā mahākassapena vinayaṃ puṭṭho vissajjeyya’’nti. (cūḷava. 439);
เอวํ อตฺตานํ สมฺมนฺนิตฺวา อายสฺมา อุปาลิ อุฎฺฐายาสนา เอกํสํ จีวรํ กตฺวา เถเร ภิกฺขู วนฺทิตฺวา ธมฺมาสเน นิสีทิ ทนฺตขจิตํ พีชนิํ คเหตฺวา, ตโต มหากสฺสปเตฺถโร เถราสเน นิสีทิตฺวา อายสฺมนฺตํ อุปาลิํ วินยํ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปฐมํ อาวุโส, อุปาลิ, ปาราชิกํ กตฺถ ปญฺญตฺต’’นฺติ? ‘‘เวสาลิยํ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กํ อารพฺภา’’ติ? ‘‘สุทินฺนํ กลนฺทปุตฺตํ อารพฺภา’’ติฯ ‘‘กิสฺมิํ วตฺถุสฺมิ’’นฺติ? ‘‘เมถุนธเมฺม’’ติฯ
Evaṃ attānaṃ sammannitvā āyasmā upāli uṭṭhāyāsanā ekaṃsaṃ cīvaraṃ katvā there bhikkhū vanditvā dhammāsane nisīdi dantakhacitaṃ bījaniṃ gahetvā, tato mahākassapatthero therāsane nisīditvā āyasmantaṃ upāliṃ vinayaṃ pucchi. ‘‘Paṭhamaṃ āvuso, upāli, pārājikaṃ kattha paññatta’’nti? ‘‘Vesāliyaṃ, bhante’’ti. ‘‘Kaṃ ārabbhā’’ti? ‘‘Sudinnaṃ kalandaputtaṃ ārabbhā’’ti. ‘‘Kismiṃ vatthusmi’’nti? ‘‘Methunadhamme’’ti.
‘‘อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป อายสฺมนฺตํ อุปาลิํ ปฐมสฺส ปาราชิกสฺส วตฺถุมฺปิ ปุจฺฉิ, นิทานมฺปิ ปุจฺฉิ, ปุคฺคลมฺปิ ปุจฺฉิ, ปญฺญตฺติมฺปิ ปุจฺฉิ, อนุปญฺญตฺติมฺปิ ปุจฺฉิ, อาปตฺติมฺปิ ปุจฺฉิ, อนาปตฺติมฺปิ ปุจฺฉิ’’ (จูฬว. ๔๓๙)ฯ ปุโฎฺฐ ปุโฎฺฐ อายสฺมา อุปาลิ วิสฺสเชฺชสิฯ
‘‘Atha kho āyasmā mahākassapo āyasmantaṃ upāliṃ paṭhamassa pārājikassa vatthumpi pucchi, nidānampi pucchi, puggalampi pucchi, paññattimpi pucchi, anupaññattimpi pucchi, āpattimpi pucchi, anāpattimpi pucchi’’ (cūḷava. 439). Puṭṭho puṭṭho āyasmā upāli vissajjesi.
กิํ ปเนตฺถ ปฐมปาราชิเก กิญฺจิ อปเนตพฺพํ วา ปกฺขิปิตพฺพํ วา อตฺถิ นตฺถีติ? อปเนตพฺพํ นตฺถิฯ พุทฺธสฺส หิ ภควโต ภาสิเต อปเนตพฺพํ นาม นตฺถิฯ น หิ ตถาคตา เอกพฺยญฺชนมฺปิ นิรตฺถกํ วทนฺติฯ สาวกานํ ปน เทวตานํ วา ภาสิเต อปเนตพฺพมฺปิ โหติ, ตํ ธมฺมสงฺคาหกเตฺถรา อปนยิํสุฯ ปกฺขิปิตพฺพํ ปน สพฺพตฺถาปิ อตฺถิ, ตสฺมา ยํ ยตฺถ ปกฺขิปิตุํ ยุตฺตํ, ตํ ปกฺขิปิํสุเยวฯ กิํ ปน ตนฺติ? ‘เตน สมเยนา’ติ วา, ‘เตน โข ปน สมเยนา’ติ วา, ‘อถ โขติ วา’, ‘เอวํ วุเตฺตติ’ วา, ‘เอตทโวจา’ติ วา, เอวมาทิกํ สมฺพนฺธวจนมตฺตํฯ เอวํ ปกฺขิปิตพฺพยุตฺตํ ปกฺขิปิตฺวา ปน – ‘‘อิทํ ปฐมปาราชิก’’นฺติ ฐเปสุํฯ ปฐมปาราชิเก สงฺคหมารูเฬฺห ปญฺจ อรหนฺตสตานิ สงฺคหํ อาโรปิตนเยเนว คณสชฺฌายมกํสุ – ‘‘เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา เวรญฺชายํ วิหรตี’’ติฯ เตสํ สชฺฌายารทฺธกาเลเยว สาธุการํ ททมานา วิย มหาปถวี อุทกปริยนฺตํ กตฺวา อกมฺปิตฺถฯ
Kiṃ panettha paṭhamapārājike kiñci apanetabbaṃ vā pakkhipitabbaṃ vā atthi natthīti? Apanetabbaṃ natthi. Buddhassa hi bhagavato bhāsite apanetabbaṃ nāma natthi. Na hi tathāgatā ekabyañjanampi niratthakaṃ vadanti. Sāvakānaṃ pana devatānaṃ vā bhāsite apanetabbampi hoti, taṃ dhammasaṅgāhakattherā apanayiṃsu. Pakkhipitabbaṃ pana sabbatthāpi atthi, tasmā yaṃ yattha pakkhipituṃ yuttaṃ, taṃ pakkhipiṃsuyeva. Kiṃ pana tanti? ‘Tena samayenā’ti vā, ‘tena kho pana samayenā’ti vā, ‘atha khoti vā’, ‘evaṃ vutteti’ vā, ‘etadavocā’ti vā, evamādikaṃ sambandhavacanamattaṃ. Evaṃ pakkhipitabbayuttaṃ pakkhipitvā pana – ‘‘idaṃ paṭhamapārājika’’nti ṭhapesuṃ. Paṭhamapārājike saṅgahamārūḷhe pañca arahantasatāni saṅgahaṃ āropitanayeneva gaṇasajjhāyamakaṃsu – ‘‘tena samayena buddho bhagavā verañjāyaṃ viharatī’’ti. Tesaṃ sajjhāyāraddhakāleyeva sādhukāraṃ dadamānā viya mahāpathavī udakapariyantaṃ katvā akampittha.
เอเตเนว นเยน เสสานิ ตีณิ ปาราชิกานิ สงฺคหํ อาโรเปตฺวา ‘‘อิทํ ปาราชิกกณฺฑ’’นฺติ ฐเปสุํฯ เตรส สงฺฆาทิเสสานิ ‘‘เตรสก’’นฺติ ฐเปสุํฯ เทฺว สิกฺขาปทานิ ‘‘อนิยตานี’’ติ ฐเปสุํฯ ติํส สิกฺขาปทานิ ‘‘นิสฺสคฺคิยานิ ปาจิตฺติยานี’’ติ ฐเปสุํ ฯ เทฺวนวุติ สิกฺขาปทานิ ‘‘ปาจิตฺติยานี’’ติ ฐเปสุํฯ จตฺตาริ สิกฺขาปทานิ ‘‘ปาฎิเทสนียานี’’ติ ฐเปสุํฯ ปญฺจสตฺตติ สิกฺขาปทานิ ‘‘เสขิยานี’’ติ ฐเปสุํฯ สตฺต ธเมฺม ‘‘อธิกรณสมถา’’ติ ฐเปสุํฯ เอวํ สตฺตวีสาธิกานิ เทฺว สิกฺขาปทสตานิ ‘‘มหาวิภโงฺค’’ติ กิเตฺตตฺวา ฐเปสุํฯ มหาวิภงฺคาวสาเนปิ ปุริมนเยเนว มหาปถวี อกมฺปิตฺถฯ
Eteneva nayena sesāni tīṇi pārājikāni saṅgahaṃ āropetvā ‘‘idaṃ pārājikakaṇḍa’’nti ṭhapesuṃ. Terasa saṅghādisesāni ‘‘terasaka’’nti ṭhapesuṃ. Dve sikkhāpadāni ‘‘aniyatānī’’ti ṭhapesuṃ. Tiṃsa sikkhāpadāni ‘‘nissaggiyāni pācittiyānī’’ti ṭhapesuṃ . Dvenavuti sikkhāpadāni ‘‘pācittiyānī’’ti ṭhapesuṃ. Cattāri sikkhāpadāni ‘‘pāṭidesanīyānī’’ti ṭhapesuṃ. Pañcasattati sikkhāpadāni ‘‘sekhiyānī’’ti ṭhapesuṃ. Satta dhamme ‘‘adhikaraṇasamathā’’ti ṭhapesuṃ. Evaṃ sattavīsādhikāni dve sikkhāpadasatāni ‘‘mahāvibhaṅgo’’ti kittetvā ṭhapesuṃ. Mahāvibhaṅgāvasānepi purimanayeneva mahāpathavī akampittha.
ตโต ภิกฺขุนีวิภเงฺค อฎฺฐ สิกฺขาปทานิ ‘‘ปาราชิกกณฺฑํ นาม อิท’’นฺติ ฐเปสุํฯ สตฺตรส สิกฺขาปทานิ ‘‘สตฺตรสก’’นฺติ ฐเปสุํฯ ติํส สิกฺขาปทานิ ‘‘นิสฺสคฺคิยานิ ปาจิตฺติยานี’’ติ ฐเปสุํฯ ฉสฎฺฐิสตสิกฺขาปทานิ ‘‘ปาจิตฺติยานี’’ติ ฐเปสุํฯ อฎฺฐ สิกฺขาปทานิ ‘‘ปาฎิเทสนียานี’’ติ ฐเปสุํฯ ปญฺจสตฺตติ สิกฺขาปทานิ ‘‘เสขิยานี’’ติ ฐเปสุํฯ สตฺต ธเมฺม ‘‘อธิกรณสมถา’’ติ ฐเปสุํฯ เอวํ ตีณิ สิกฺขาปทสตานิ จตฺตาริ จ สิกฺขาปทานิ ‘‘ภิกฺขุนีวิภโงฺค’’ติ กิเตฺตตฺวา – ‘‘อยํ อุภโต วิภโงฺค นาม จตุสฎฺฐิภาณวาโร’’ติ ฐเปสุํฯ อุภโตวิภงฺคาวสาเนปิ วุตฺตนเยเนว มหาปถวิกโมฺป อโหสิฯ
Tato bhikkhunīvibhaṅge aṭṭha sikkhāpadāni ‘‘pārājikakaṇḍaṃ nāma ida’’nti ṭhapesuṃ. Sattarasa sikkhāpadāni ‘‘sattarasaka’’nti ṭhapesuṃ. Tiṃsa sikkhāpadāni ‘‘nissaggiyāni pācittiyānī’’ti ṭhapesuṃ. Chasaṭṭhisatasikkhāpadāni ‘‘pācittiyānī’’ti ṭhapesuṃ. Aṭṭha sikkhāpadāni ‘‘pāṭidesanīyānī’’ti ṭhapesuṃ. Pañcasattati sikkhāpadāni ‘‘sekhiyānī’’ti ṭhapesuṃ. Satta dhamme ‘‘adhikaraṇasamathā’’ti ṭhapesuṃ. Evaṃ tīṇi sikkhāpadasatāni cattāri ca sikkhāpadāni ‘‘bhikkhunīvibhaṅgo’’ti kittetvā – ‘‘ayaṃ ubhato vibhaṅgo nāma catusaṭṭhibhāṇavāro’’ti ṭhapesuṃ. Ubhatovibhaṅgāvasānepi vuttanayeneva mahāpathavikampo ahosi.
เอเตเนวุปาเยน อสีติภาณวารปริมาณํ ขนฺธกํ, ปญฺจวีสติภาณวารปริมาณํ ปริวารญฺจ สงฺคหํ อาโรเปตฺวา ‘‘อิทํ วินยปิฎกํ นามา’’ติ ฐเปสุํ ฯ วินยปิฎกาวสาเนปิ วุตฺตนเยเนว มหาปถวิกโมฺป อโหสิฯ ตํ อายสฺมนฺตํ อุปาลิํ ปฎิจฺฉาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, อิมํ ตุยฺหํ นิสฺสิตเก วาเจหี’’ติฯ วินยปิฎกสงฺคหาวสาเน อุปาลิเตฺถโร ทนฺตขจิตํ พีชนิํ นิกฺขิปิตฺวา ธมฺมาสนา โอโรหิตฺวา เถเร ภิกฺขู วนฺทิตฺวา อตฺตโน ปตฺตาสเน นิสีทิฯ
Etenevupāyena asītibhāṇavāraparimāṇaṃ khandhakaṃ, pañcavīsatibhāṇavāraparimāṇaṃ parivārañca saṅgahaṃ āropetvā ‘‘idaṃ vinayapiṭakaṃ nāmā’’ti ṭhapesuṃ . Vinayapiṭakāvasānepi vuttanayeneva mahāpathavikampo ahosi. Taṃ āyasmantaṃ upāliṃ paṭicchāpesuṃ – ‘‘āvuso, imaṃ tuyhaṃ nissitake vācehī’’ti. Vinayapiṭakasaṅgahāvasāne upālitthero dantakhacitaṃ bījaniṃ nikkhipitvā dhammāsanā orohitvā there bhikkhū vanditvā attano pattāsane nisīdi.
วินยํ สงฺคายิตฺวา ธมฺมํ สงฺคายิตุกาโม อายสฺมา มหากสฺสโป ภิกฺขู ปุจฺฉิ – ‘‘ธมฺมํ สงฺคายเนฺต หิ กํ ปุคฺคลํ ธุรํ กตฺวา ธโมฺม สงฺคายิตโพฺพ’’ติ? ภิกฺขู – ‘‘อานนฺทเตฺถรํ ธุรํ กตฺวา’’ติ อาหํสุฯ
Vinayaṃ saṅgāyitvā dhammaṃ saṅgāyitukāmo āyasmā mahākassapo bhikkhū pucchi – ‘‘dhammaṃ saṅgāyante hi kaṃ puggalaṃ dhuraṃ katvā dhammo saṅgāyitabbo’’ti? Bhikkhū – ‘‘ānandattheraṃ dhuraṃ katvā’’ti āhaṃsu.
อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป สงฺฆํ ญาเปสิ –
Atha kho āyasmā mahākassapo saṅghaṃ ñāpesi –
‘‘สุณาตุ เม, อาวุโส, สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ,
‘‘Suṇātu me, āvuso, saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ,
อหํ อานนฺทํ ธมฺมํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติ;
Ahaṃ ānandaṃ dhammaṃ puccheyya’’nti;
อถ โข อายสฺมา อานโนฺท สงฺฆํ ญาเปสิ –
Atha kho āyasmā ānando saṅghaṃ ñāpesi –
‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ,
‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, yadi saṅghassa pattakallaṃ,
อหํ อายสฺมตา มหากสฺสเปน ธมฺมํ ปุโฎฺฐ วิสฺสเชฺชยฺย’’นฺติ;
Ahaṃ āyasmatā mahākassapena dhammaṃ puṭṭho vissajjeyya’’nti;
อถ โข อายสฺมา อานโนฺท อุฎฺฐายาสนา เอกํสํ จีวรํ กตฺวา เถเร ภิกฺขู วนฺทิตฺวา ธมฺมาสเน นิสีทิ ทนฺตขจิตํ พีชนิํ คเหตฺวาฯ อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป ภิกฺขู ปุจฺฉิ – ‘‘กตรํ, อาวุโส, ปิฎกํ ปฐมํ สงฺคายามา’’ติ? ‘‘สุตฺตนฺตปิฎกํ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘สุตฺตนฺตปิฎเก จตโสฺส สงฺคีติโย, ตาสุ ปฐมํ กตรํ สงฺคีติ’’นฺติ? ‘‘ทีฆสงฺคีติํ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘ทีฆสงฺคีติยํ จตุติํส สุตฺตานิ, ตโย วคฺคา, เตสุ ปฐมํ กตรํ วคฺค’’นฺติ? ‘‘สีลกฺขนฺธวคฺคํ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘สีลกฺขนฺธวเคฺค เตรส สุตฺตนฺตา, เตสุ ปฐมํ กตรํ สุตฺต’’นฺติ? ‘‘พฺรหฺมชาลสุตฺตํ นาม ภเนฺต, ติวิธสีลาลงฺกตํ, นานาวิธมิจฺฉาชีวกุห ลปนาทิวิทฺธํสนํ, ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิชาลวินิเวฐนํ, ทสสหสฺสิโลกธาตุกมฺปนํ, ตํ ปฐมํ สงฺคายามา’’ติฯ
Atha kho āyasmā ānando uṭṭhāyāsanā ekaṃsaṃ cīvaraṃ katvā there bhikkhū vanditvā dhammāsane nisīdi dantakhacitaṃ bījaniṃ gahetvā. Atha kho āyasmā mahākassapo bhikkhū pucchi – ‘‘kataraṃ, āvuso, piṭakaṃ paṭhamaṃ saṅgāyāmā’’ti? ‘‘Suttantapiṭakaṃ, bhante’’ti. ‘‘Suttantapiṭake catasso saṅgītiyo, tāsu paṭhamaṃ kataraṃ saṅgīti’’nti? ‘‘Dīghasaṅgītiṃ, bhante’’ti. ‘‘Dīghasaṅgītiyaṃ catutiṃsa suttāni, tayo vaggā, tesu paṭhamaṃ kataraṃ vagga’’nti? ‘‘Sīlakkhandhavaggaṃ, bhante’’ti. ‘‘Sīlakkhandhavagge terasa suttantā, tesu paṭhamaṃ kataraṃ sutta’’nti? ‘‘Brahmajālasuttaṃ nāma bhante, tividhasīlālaṅkataṃ, nānāvidhamicchājīvakuha lapanādividdhaṃsanaṃ, dvāsaṭṭhidiṭṭhijālaviniveṭhanaṃ, dasasahassilokadhātukampanaṃ, taṃ paṭhamaṃ saṅgāyāmā’’ti.
อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ, ‘‘พฺรหฺมชาลํ, อาวุโส อานนฺท, กตฺถ ภาสิต’’นฺติ? ‘‘อนฺตรา จ, ภเนฺต, ราชคหํ อนฺตรา จ นาฬนฺทํ ราชาคารเก อมฺพลฎฺฐิกาย’’นฺติฯ ‘‘กํ อารพฺภา’’ติ ? ‘‘สุปฺปิยญฺจ ปริพฺพาชกํ, พฺรหฺมทตฺตญฺจ มาณว’’นฺติฯ ‘‘กิสฺมิํ วตฺถุสฺมิ’’นฺติ? ‘‘วณฺณาวเณฺณ’’ติฯ อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ พฺรหฺมชาลสฺส นิทานมฺปิ ปุจฺฉิ, ปุคฺคลมฺปิ ปุจฺฉิ, วตฺถุมฺปิ ปุจฺฉิ (จูฬว. ๔๔๐)ฯ อายสฺมา อานโนฺท วิสฺสเชฺชสิฯ วิสฺสชฺชนาวสาเน ปญฺจ อรหนฺตสตานิ คณสชฺฌายมกํสุฯ วุตฺตนเยเนว จ ปถวิกโมฺป อโหสิฯ
Atha kho āyasmā mahākassapo āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca, ‘‘brahmajālaṃ, āvuso ānanda, kattha bhāsita’’nti? ‘‘Antarā ca, bhante, rājagahaṃ antarā ca nāḷandaṃ rājāgārake ambalaṭṭhikāya’’nti. ‘‘Kaṃ ārabbhā’’ti ? ‘‘Suppiyañca paribbājakaṃ, brahmadattañca māṇava’’nti. ‘‘Kismiṃ vatthusmi’’nti? ‘‘Vaṇṇāvaṇṇe’’ti. Atha kho āyasmā mahākassapo āyasmantaṃ ānandaṃ brahmajālassa nidānampi pucchi, puggalampi pucchi, vatthumpi pucchi (cūḷava. 440). Āyasmā ānando vissajjesi. Vissajjanāvasāne pañca arahantasatāni gaṇasajjhāyamakaṃsu. Vuttanayeneva ca pathavikampo ahosi.
เอวํ พฺรหฺมชาลํ สงฺคายิตฺวา ตโต ปรํ ‘‘สามญฺญผลํ, ปนาวุโส อานนฺท, กตฺถ ภาสิต’’นฺติอาทินา นเยน ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนานุกฺกเมน สทฺธิํ พฺรหฺมชาเลน สเพฺพปิ เตรส สุตฺตเนฺต สงฺคายิตฺวา – ‘‘อยํ สีลกฺขนฺธวโคฺค นามา’’ติ กิเตฺตตฺวา ฐเปสุํฯ
Evaṃ brahmajālaṃ saṅgāyitvā tato paraṃ ‘‘sāmaññaphalaṃ, panāvuso ānanda, kattha bhāsita’’ntiādinā nayena pucchāvissajjanānukkamena saddhiṃ brahmajālena sabbepi terasa suttante saṅgāyitvā – ‘‘ayaṃ sīlakkhandhavaggo nāmā’’ti kittetvā ṭhapesuṃ.
ตทนนฺตรํ มหาวคฺคํ, ตทนนฺตรํ ปาถิกวคฺคนฺติ, เอวํ ติวคฺคสงฺคหํ จตุติํสสุตฺตปฎิมณฺฑิตํ จตุสฎฺฐิภาณวารปริมาณํ ตนฺติํ สงฺคายิตฺวา ‘‘อยํ ทีฆนิกาโย นามา’’ติ วตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ ปฎิจฺฉาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, อิมํ ตุยฺหํ นิสฺสิตเก วาเจหี’’ติฯ
Tadanantaraṃ mahāvaggaṃ, tadanantaraṃ pāthikavagganti, evaṃ tivaggasaṅgahaṃ catutiṃsasuttapaṭimaṇḍitaṃ catusaṭṭhibhāṇavāraparimāṇaṃ tantiṃ saṅgāyitvā ‘‘ayaṃ dīghanikāyo nāmā’’ti vatvā āyasmantaṃ ānandaṃ paṭicchāpesuṃ – ‘‘āvuso, imaṃ tuyhaṃ nissitake vācehī’’ti.
ตโต อนนฺตรํ อสีติภาณวารปริมาณํ มชฺฌิมนิกายํ สงฺคายิตฺวา ธมฺมเสนาปติสาริปุตฺตเตฺถรสฺส นิสฺสิตเก ปฎิจฺฉาเปสุํ – ‘‘อิมํ ตุเมฺห ปริหรถา’’ติฯ
Tato anantaraṃ asītibhāṇavāraparimāṇaṃ majjhimanikāyaṃ saṅgāyitvā dhammasenāpatisāriputtattherassa nissitake paṭicchāpesuṃ – ‘‘imaṃ tumhe pariharathā’’ti.
ตโต อนนฺตรํ สตภาณวารปริมาณํ สํยุตฺตนิกายํ สงฺคายิตฺวา มหากสฺสปเตฺถรํ ปฎิจฺฉาเปสุํ – ‘‘ภเนฺต, อิมํ ตุมฺหากํ นิสฺสิตเก วาเจถา’’ติฯ
Tato anantaraṃ satabhāṇavāraparimāṇaṃ saṃyuttanikāyaṃ saṅgāyitvā mahākassapattheraṃ paṭicchāpesuṃ – ‘‘bhante, imaṃ tumhākaṃ nissitake vācethā’’ti.
ตโต อนนฺตรํ วีสติภาณวารสตปริมาณํ องฺคุตฺตรนิกายํ สงฺคายิตฺวา อนุรุทฺธเตฺถรํ ปฎิจฺฉาเปสุํ – ‘‘อิมํ ตุมฺหากํ นิสฺสิตเก วาเจถา’’ติฯ
Tato anantaraṃ vīsatibhāṇavārasataparimāṇaṃ aṅguttaranikāyaṃ saṅgāyitvā anuruddhattheraṃ paṭicchāpesuṃ – ‘‘imaṃ tumhākaṃ nissitake vācethā’’ti.
ตโต อนนฺตรํ ธมฺมสงฺคหวิภงฺคธาตุกถาปุคฺคลปญฺญตฺติกถาวตฺถุยมกปฎฺฐานํ อภิธโมฺมติ วุจฺจติฯ เอวํ สํวณฺณิตํ สุขุมญาณโคจรํ ตนฺติํ สงฺคายิตฺวา – ‘‘อิทํ อภิธมฺมปิฎกํ นามา’’ติ วตฺวา ปญฺจ อรหนฺตสตานิ สชฺฌายมกํสุฯ วุตฺตนเยเนว ปถวิกโมฺป อโหสีติฯ
Tato anantaraṃ dhammasaṅgahavibhaṅgadhātukathāpuggalapaññattikathāvatthuyamakapaṭṭhānaṃ abhidhammoti vuccati. Evaṃ saṃvaṇṇitaṃ sukhumañāṇagocaraṃ tantiṃ saṅgāyitvā – ‘‘idaṃ abhidhammapiṭakaṃ nāmā’’ti vatvā pañca arahantasatāni sajjhāyamakaṃsu. Vuttanayeneva pathavikampo ahosīti.
ตโต ปรํ ชาตกํ, นิเทฺทโส, ปฎิสมฺภิทามโคฺค, อปทานํ, สุตฺตนิปาโต, ขุทฺทกปาโฐ, ธมฺมปทํ, อุทานํ, อิติวุตฺตกํ, วิมานวตฺถุ, เปตวตฺถุ, เถรคาถา , เถรีคาถาติ อิมํ ตนฺติํ สงฺคายิตฺวา ‘‘ขุทฺทกคโนฺถ นามาย’’นฺติ จ วตฺวา ‘‘อภิธมฺมปิฎกสฺมิํเยว สงฺคหํ อาโรปยิํสู’’ติ ทีฆภาณกา วทนฺติฯ มชฺฌิมภาณกา ปน ‘‘จริยาปิฎกพุทฺธวํเสหิ สทฺธิํ สพฺพเมฺปตํ ขุทฺทกคนฺถํ นาม สุตฺตนฺตปิฎเก ปริยาปนฺน’’นฺติ วทนฺติฯ
Tato paraṃ jātakaṃ, niddeso, paṭisambhidāmaggo, apadānaṃ, suttanipāto, khuddakapāṭho, dhammapadaṃ, udānaṃ, itivuttakaṃ, vimānavatthu, petavatthu, theragāthā , therīgāthāti imaṃ tantiṃ saṅgāyitvā ‘‘khuddakagantho nāmāya’’nti ca vatvā ‘‘abhidhammapiṭakasmiṃyeva saṅgahaṃ āropayiṃsū’’ti dīghabhāṇakā vadanti. Majjhimabhāṇakā pana ‘‘cariyāpiṭakabuddhavaṃsehi saddhiṃ sabbampetaṃ khuddakaganthaṃ nāma suttantapiṭake pariyāpanna’’nti vadanti.
เอวเมตํ สพฺพมฺปิ พุทฺธวจนํ รสวเสน เอกวิธํ, ธมฺมวินยวเสน ทุวิธํ, ปฐมมชฺฌิมปจฺฉิมวเสน ติวิธํฯ ตถา ปิฎกวเสนฯ นิกายวเสน ปญฺจวิธํ, องฺควเสน นววิธํ, ธมฺมกฺขนฺธวเสน จตุราสีติสหสฺสวิธนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Evametaṃ sabbampi buddhavacanaṃ rasavasena ekavidhaṃ, dhammavinayavasena duvidhaṃ, paṭhamamajjhimapacchimavasena tividhaṃ. Tathā piṭakavasena. Nikāyavasena pañcavidhaṃ, aṅgavasena navavidhaṃ, dhammakkhandhavasena caturāsītisahassavidhanti veditabbaṃ.
กถํ รสวเสน เอกวิธํ? ยญฺหิ ภควตา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิตฺวา ยาว อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายติ, เอตฺถนฺตเร ปญฺจจตฺตาลีสวสฺสานิ เทวมนุสฺสนาคยกฺขาทโย อนุสาสเนฺตน วา ปจฺจเวกฺขเนฺตน วา วุตฺตํ, สพฺพํ ตํ เอกรสํ วิมุตฺติรสเมว โหติฯ เอวํ รสวเสน เอกวิธํฯ
Kathaṃ rasavasena ekavidhaṃ? Yañhi bhagavatā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambujjhitvā yāva anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyati, etthantare pañcacattālīsavassāni devamanussanāgayakkhādayo anusāsantena vā paccavekkhantena vā vuttaṃ, sabbaṃ taṃ ekarasaṃ vimuttirasameva hoti. Evaṃ rasavasena ekavidhaṃ.
กถํ ธมฺมวินยวเสน ทุวิธํ? สพฺพเมว เจตํ ธโมฺม เจว วินโย จาติ สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ ตตฺถ วินยปิฎกํ วินโย, อวเสสํ พุทฺธวจนํ ธโมฺมฯ เตเนวาห ‘‘ยนฺนูน มยํ ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคาเยยฺยามา’’ติ (จูฬว. ๔๓๗)ฯ ‘‘อหํ อุปาลิํ วินยํ ปุเจฺฉยฺยํ, อานนฺทํ ธมฺมํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติ จฯ เอวํ ธมฺมวินยวเสน ทุวิธํฯ
Kathaṃ dhammavinayavasena duvidhaṃ? Sabbameva cetaṃ dhammo ceva vinayo cāti saṅkhyaṃ gacchati. Tattha vinayapiṭakaṃ vinayo, avasesaṃ buddhavacanaṃ dhammo. Tenevāha ‘‘yannūna mayaṃ dhammañca vinayañca saṅgāyeyyāmā’’ti (cūḷava. 437). ‘‘Ahaṃ upāliṃ vinayaṃ puccheyyaṃ, ānandaṃ dhammaṃ puccheyya’’nti ca. Evaṃ dhammavinayavasena duvidhaṃ.
กถํ ปฐมมชฺฌิมปจฺฉิมวเสน ติวิธํ? สพฺพเมว หิทํ ปฐมพุทฺธวจนํ, มชฺฌิมพุทฺธวจนํ, ปจฺฉิมพุทฺธวจนนฺติ ติปฺปเภทํ โหติฯ ตตฺถ –
Kathaṃ paṭhamamajjhimapacchimavasena tividhaṃ? Sabbameva hidaṃ paṭhamabuddhavacanaṃ, majjhimabuddhavacanaṃ, pacchimabuddhavacananti tippabhedaṃ hoti. Tattha –
‘‘อเนกชาติสํสารํ, สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ;
‘‘Anekajātisaṃsāraṃ, sandhāvissaṃ anibbisaṃ;
คหการํ คเวสโนฺต, ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํฯ
Gahakāraṃ gavesanto, dukkhā jāti punappunaṃ.
คหการก ทิโฎฺฐสิ, ปุน เคหํ น กาหสิ;
Gahakāraka diṭṭhosi, puna gehaṃ na kāhasi;
สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา, คหกูฎํ วิสงฺขตํ;
Sabbā te phāsukā bhaggā, gahakūṭaṃ visaṅkhataṃ;
วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ, ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา’’ติฯ (ธ. ป. ๑๕๓-๕๔);
Visaṅkhāragataṃ cittaṃ, taṇhānaṃ khayamajjhagā’’ti. (dha. pa. 153-54);
อิทํ ปฐมพุทฺธวจนํฯ เกจิ ‘‘ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา’’ติ (มหาว. ๑) ขนฺธเก อุทานคาถํ วทนฺติฯ เอสา ปน ปาฎิปททิวเส สพฺพญฺญุภาวปฺปตฺตสฺส โสมนสฺสมยญาเณน ปจฺจยาการํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส อุปฺปนฺนา อุทานคาถาติ เวทิตพฺพาฯ
Idaṃ paṭhamabuddhavacanaṃ. Keci ‘‘yadā have pātubhavanti dhammā’’ti (mahāva. 1) khandhake udānagāthaṃ vadanti. Esā pana pāṭipadadivase sabbaññubhāvappattassa somanassamayañāṇena paccayākāraṃ paccavekkhantassa uppannā udānagāthāti veditabbā.
ยํ ปน ปรินิพฺพานกาเล อภาสิ – ‘‘หนฺท ทานิ, ภิกฺขเว, อามนฺตยามิ โว, วยธมฺมา สงฺขารา, อปฺปมาเทน สมฺปาเทถา’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๘) อิทํ ปจฺฉิมพุทฺธวจนํฯ อุภินฺนมนฺตเร ยํ วุตฺตํ, เอตํ มชฺฌิมพุทฺธวจนํ นามฯ เอวํ ปฐมมชฺฌิมปจฺฉิมพุทฺธวจนวเสน ติวิธํฯ
Yaṃ pana parinibbānakāle abhāsi – ‘‘handa dāni, bhikkhave, āmantayāmi vo, vayadhammā saṅkhārā, appamādena sampādethā’’ti (dī. ni. 2.218) idaṃ pacchimabuddhavacanaṃ. Ubhinnamantare yaṃ vuttaṃ, etaṃ majjhimabuddhavacanaṃ nāma. Evaṃ paṭhamamajjhimapacchimabuddhavacanavasena tividhaṃ.
กถํ ปิฎกวเสน ติวิธํ? สพฺพมฺปิ เจตํ วินยปิฎกํ สุตฺตนฺตปิฎกํ อภิธมฺมปิฎกนฺติ ติปฺปเภทเมว โหติฯ ตตฺถ ปฐมสงฺคีติยํ สงฺคีตญฺจ อสงฺคีตญฺจ สพฺพมฺปิ สโมธาเนตฺวา อุภยานิ ปาติโมกฺขานิ, เทฺว วิภงฺคา, ทฺวาวีสติ ขนฺธกา, โสฬสปริวาราติ – อิทํ วินยปิฎกํ นามฯ พฺรหฺมชาลาทิจตุตฺติํสสุตฺตสงฺคโห ทีฆนิกาโย, มูลปริยายสุตฺตาทิทิยฑฺฒสตเทฺวสุตฺตสงฺคโห มชฺฌิมนิกาโย, โอฆตรณสุตฺตาทิสตฺตสุตฺตสหสฺสสตฺตสตทฺวาสฎฺฐิสุตฺตสงฺคโห สํยุตฺตนิกาโย, จิตฺตปริยาทานสุตฺตาทินวสุตฺตสหสฺสปญฺจสตสตฺตปญฺญาสสุตฺตสงฺคโห องฺคุตฺตรนิกาโย, ขุทฺทกปาฐ-ธมฺมปท-อุทาน-อิติวุตฺตก-สุตฺตนิปาต-วิมานวตฺถุ-เปตวตฺถุ-เถรคาถา-เถรีคาถา-ชาตก-นิเทฺทส-ปฎิสมฺภิทามคฺค-อปทาน-พุทฺธวํส-จริยาปิฎกวเสน ปนฺนรสปฺปเภโท ขุทฺทกนิกาโยติ อิทํ สุตฺตนฺตปิฎกํ นามฯ ธมฺมสงฺคโห, วิภโงฺค, ธาตุกถา, ปุคฺคลปญฺญตฺติ, กถาวตฺถุ, ยมกํ, ปฎฺฐานนฺติ – อิทํ อภิธมฺมปิฎกํ นามฯ ตตฺถ –
Kathaṃ piṭakavasena tividhaṃ? Sabbampi cetaṃ vinayapiṭakaṃ suttantapiṭakaṃ abhidhammapiṭakanti tippabhedameva hoti. Tattha paṭhamasaṅgītiyaṃ saṅgītañca asaṅgītañca sabbampi samodhānetvā ubhayāni pātimokkhāni, dve vibhaṅgā, dvāvīsati khandhakā, soḷasaparivārāti – idaṃ vinayapiṭakaṃ nāma. Brahmajālādicatuttiṃsasuttasaṅgaho dīghanikāyo, mūlapariyāyasuttādidiyaḍḍhasatadvesuttasaṅgaho majjhimanikāyo, oghataraṇasuttādisattasuttasahassasattasatadvāsaṭṭhisuttasaṅgaho saṃyuttanikāyo, cittapariyādānasuttādinavasuttasahassapañcasatasattapaññāsasuttasaṅgaho aṅguttaranikāyo, khuddakapāṭha-dhammapada-udāna-itivuttaka-suttanipāta-vimānavatthu-petavatthu-theragāthā-therīgāthā-jātaka-niddesa-paṭisambhidāmagga-apadāna-buddhavaṃsa-cariyāpiṭakavasena pannarasappabhedo khuddakanikāyoti idaṃ suttantapiṭakaṃ nāma. Dhammasaṅgaho, vibhaṅgo, dhātukathā, puggalapaññatti, kathāvatthu, yamakaṃ, paṭṭhānanti – idaṃ abhidhammapiṭakaṃ nāma. Tattha –
‘‘วิวิธวิเสสนยตฺตา, วินยนโต เจว กายวาจานํ;
‘‘Vividhavisesanayattā, vinayanato ceva kāyavācānaṃ;
วินยตฺถวิทูหิ อยํ, วินโย วินโยติ อกฺขาโต’’ฯ
Vinayatthavidūhi ayaṃ, vinayo vinayoti akkhāto’’.
วิวิธา หิ เอตฺถ ปญฺจวิธปาติโมกฺขุเทฺทสปาราชิกาทิ สตฺต อาปตฺติกฺขนฺธมาติกา วิภงฺคาทิปฺปเภทา นยาฯ วิเสสภูตา จ ทฬฺหีกมฺมสิถิลกรณปฺปโยชนา อนุปญฺญตฺตินยาฯ กายิกวาจสิกอชฺฌาจารนิเสธนโต เจส กายํ วาจญฺจ วิเนติ, ตสฺมา วิวิธนยตฺตา วิเสสนยตฺตา กายวาจานํ วินยนโต เจว วินโยติ อกฺขาโตฯ เตเนตเมตสฺส วจนตฺถโกสลฺลตฺถํ วุตฺตํ –
Vividhā hi ettha pañcavidhapātimokkhuddesapārājikādi satta āpattikkhandhamātikā vibhaṅgādippabhedā nayā. Visesabhūtā ca daḷhīkammasithilakaraṇappayojanā anupaññattinayā. Kāyikavācasikaajjhācāranisedhanato cesa kāyaṃ vācañca vineti, tasmā vividhanayattā visesanayattā kāyavācānaṃ vinayanato ceva vinayoti akkhāto. Tenetametassa vacanatthakosallatthaṃ vuttaṃ –
‘‘วิวิธวิเสสนยตฺตา, วินยนโต เจว กายวาจานํ;
‘‘Vividhavisesanayattā, vinayanato ceva kāyavācānaṃ;
วินยตฺถวิทูหิ อยํ, วินโย วินโยติ อกฺขาโต’’ติฯ
Vinayatthavidūhi ayaṃ, vinayo vinayoti akkhāto’’ti.
อิตรํ ปน –
Itaraṃ pana –
‘‘อตฺถานํ สูจนโต สุวุตฺตโต, สวนโตถ สูทนโต;
‘‘Atthānaṃ sūcanato suvuttato, savanatotha sūdanato;
สุตฺตาณา สุตฺตสภาคโต จ, สุตฺตนฺติ อกฺขาตํฯ
Suttāṇā suttasabhāgato ca, suttanti akkhātaṃ.
ตญฺหิ อตฺตตฺถปรตฺถาทิเภเท อเตฺถ สูเจติฯ สุวุตฺตา เจตฺถ อตฺถา, เวเนยฺยชฺฌาสยานุโลเมน วุตฺตตฺตาฯ สวติ เจตํ อเตฺถ สสฺสมิว ผลํ, ปสวตีติ วุตฺตํ โหติฯ สูทติ เจตํ เธนุ วิย ขีรํ, ปคฺฆราเปตีติ วุตฺตํ โหติฯ สุฎฺฐุ จ เน ตายติ, รกฺขตีติ วุตฺตํ โหติฯ สุตฺตสภาคเญฺจตํ, ยถา หิ ตจฺฉกานํ สุตฺตํ ปมาณํ โหติ, เอวเมตมฺปิ วิญฺญูนํฯ ยถา จ สุเตฺตน สงฺคหิตานิ ปุปฺผานิ น วิกิรียนฺติ, น วิทฺธํสียนฺติ, เอวเมว เตน สงฺคหิตา อตฺถาฯ เตเนตเมตสฺส วจนตฺถโกสลฺลตฺถํ วุตฺตํ –
Tañhi attatthaparatthādibhede atthe sūceti. Suvuttā cettha atthā, veneyyajjhāsayānulomena vuttattā. Savati cetaṃ atthe sassamiva phalaṃ, pasavatīti vuttaṃ hoti. Sūdati cetaṃ dhenu viya khīraṃ, paggharāpetīti vuttaṃ hoti. Suṭṭhu ca ne tāyati, rakkhatīti vuttaṃ hoti. Suttasabhāgañcetaṃ, yathā hi tacchakānaṃ suttaṃ pamāṇaṃ hoti, evametampi viññūnaṃ. Yathā ca suttena saṅgahitāni pupphāni na vikirīyanti, na viddhaṃsīyanti, evameva tena saṅgahitā atthā. Tenetametassa vacanatthakosallatthaṃ vuttaṃ –
‘‘อตฺถานํ สูจนโต, สุวุตฺตโต สวนโตถ สูทนโต;
‘‘Atthānaṃ sūcanato, suvuttato savanatotha sūdanato;
สุตฺตาณา สุตฺตสภาคโต จ, สุตฺตนฺติ อกฺขาต’’นฺติฯ
Suttāṇā suttasabhāgato ca, suttanti akkhāta’’nti.
อิตโร ปน –
Itaro pana –
‘‘ยํ เอตฺถ วุฑฺฒิมโนฺต, สลกฺขณา ปูชิตา ปริจฺฉินฺนา;
‘‘Yaṃ ettha vuḍḍhimanto, salakkhaṇā pūjitā paricchinnā;
วุตฺตาธิกา จ ธมฺมา, อภิธโมฺม เตน อกฺขาโต’’ฯ
Vuttādhikā ca dhammā, abhidhammo tena akkhāto’’.
อยญฺหิ อภิสโทฺท วุฑฺฒิลกฺขณปูชิตปริจฺฉินฺนาธิเกสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส ‘‘พาฬฺหา เม ทุกฺขา เวทนา อภิกฺกมนฺติ, โน ปฎิกฺกมนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๓๘๙) วุฑฺฒิยํ อาคโตฯ ‘‘ยา ตา รตฺติโย อภิญฺญาตา อภิลกฺขิตา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๔๙) สลกฺขเณฯ ‘‘ราชาภิราชา มนุชิโนฺท’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๓๙๙) ปูชิเตฯ ‘‘ปฎิพโล วิเนตุํ อภิธเมฺม อภิวินเย’’ติอาทีสุ (มหาว. ๘๕) ปริจฺฉิเนฺนฯ อญฺญมญฺญสงฺกรวิรหิเต ธเมฺม จ วินเย จาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘อภิกฺกเนฺตน วเณฺณนา’’ติอาทีสุ (วิ. ว. ๘๑๙) อธิเกฯ
Ayañhi abhisaddo vuḍḍhilakkhaṇapūjitaparicchinnādhikesu dissati. Tathā hesa ‘‘bāḷhā me dukkhā vedanā abhikkamanti, no paṭikkamantī’’tiādīsu (ma. ni. 3.389) vuḍḍhiyaṃ āgato. ‘‘Yā tā rattiyo abhiññātā abhilakkhitā’’tiādīsu (ma. ni. 1.49) salakkhaṇe. ‘‘Rājābhirājā manujindo’’tiādīsu (ma. ni. 2.399) pūjite. ‘‘Paṭibalo vinetuṃ abhidhamme abhivinaye’’tiādīsu (mahāva. 85) paricchinne. Aññamaññasaṅkaravirahite dhamme ca vinaye cāti vuttaṃ hoti. ‘‘Abhikkantena vaṇṇenā’’tiādīsu (vi. va. 819) adhike.
เอตฺถ จ ‘‘รูปูปปตฺติยา มคฺคํ ภาเวติ’’ (ธ. ส. ๒๕๑), ‘‘เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรตี’’ติอาทินา (วิภ. ๖๔๒) นเยน วุฑฺฒิมโนฺตปิ ธมฺมา วุตฺตาฯ ‘‘รูปารมฺมณํ วา สทฺทารมฺมณํ วา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑) นเยน อารมฺมณาทีหิ ลกฺขณียตฺตา สลกฺขณาปิฯ ‘‘เสกฺขา ธมฺมา, อเสกฺขา ธมฺมา, โลกุตฺตรา ธมฺมา’’ติอาทินา (ธ. ส. ติกมาติกา ๑๑, ทุกมาติกา ๑๒) นเยน ปูชิตาปิ, ปูชารหาติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘ผโสฺส โหติ, เวทนา โหตี’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑) นเยน สภาวปริจฺฉินฺนตฺตา ปริจฺฉินฺนาปิฯ ‘‘มหคฺคตา ธมฺมา, อปฺปมาณา ธมฺมา (ธ. ส. ติกมาติกา ๑๑), อนุตฺตรา ธมฺมา’’ติอาทินา (ธ. ส. ทุกมาติกา ๑๑) นเยน อธิกาปิ ธมฺมา วุตฺตาฯ เตเนตเมตสฺส วจนตฺถโกสลฺลตฺถํ วุตฺตํ –
Ettha ca ‘‘rūpūpapattiyā maggaṃ bhāveti’’ (dha. sa. 251), ‘‘mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharatī’’tiādinā (vibha. 642) nayena vuḍḍhimantopi dhammā vuttā. ‘‘Rūpārammaṇaṃ vā saddārammaṇaṃ vā’’tiādinā (dha. sa. 1) nayena ārammaṇādīhi lakkhaṇīyattā salakkhaṇāpi. ‘‘Sekkhā dhammā, asekkhā dhammā, lokuttarā dhammā’’tiādinā (dha. sa. tikamātikā 11, dukamātikā 12) nayena pūjitāpi, pūjārahāti adhippāyo. ‘‘Phasso hoti, vedanā hotī’’tiādinā (dha. sa. 1) nayena sabhāvaparicchinnattā paricchinnāpi. ‘‘Mahaggatā dhammā, appamāṇā dhammā (dha. sa. tikamātikā 11), anuttarā dhammā’’tiādinā (dha. sa. dukamātikā 11) nayena adhikāpi dhammā vuttā. Tenetametassa vacanatthakosallatthaṃ vuttaṃ –
‘‘ยํ เอตฺถ วุฑฺฒิมโนฺต, สลกฺขณา ปูชิตา ปริจฺฉินฺนา;
‘‘Yaṃ ettha vuḍḍhimanto, salakkhaṇā pūjitā paricchinnā;
วุตฺตาธิกา จ ธมฺมา, อภิธโมฺม เตน อกฺขาโต’’ติฯ
Vuttādhikā ca dhammā, abhidhammo tena akkhāto’’ti.
ยํ ปเนตฺถ อวิสิฎฺฐํ, ตํ –
Yaṃ panettha avisiṭṭhaṃ, taṃ –
‘‘ปิฎกํ ปิฎกตฺถวิทู, ปริยตฺติพฺภาชนตฺถโต อาหุ;
‘‘Piṭakaṃ piṭakatthavidū, pariyattibbhājanatthato āhu;
เตน สโมธาเนตฺวา, ตโยปิ วินยาทโย เญยฺยา’’ฯ
Tena samodhānetvā, tayopi vinayādayo ñeyyā’’.
ปริยตฺติปิ หิ ‘‘มา ปิฎกสมฺปทาเนนา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) ปิฎกนฺติ วุจฺจติฯ ‘‘อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย กุทาลปิฎกมาทายา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๗๐) ยํ กิญฺจิ ภาชนมฺปิฯ ตสฺมา ‘ปิฎกํ ปิฎกตฺถวิทู ปริยตฺติภาชนตฺถโต อาหุฯ
Pariyattipi hi ‘‘mā piṭakasampadānenā’’tiādīsu (a. ni. 3.66) piṭakanti vuccati. ‘‘Atha puriso āgaccheyya kudālapiṭakamādāyā’’tiādīsu (a. ni. 3.70) yaṃ kiñci bhājanampi. Tasmā ‘piṭakaṃ piṭakatthavidū pariyattibhājanatthato āhu.
อิทานิ ‘เตน สโมธาเนตฺวา ตโยปิ วินยาทโย เญยฺยา’ติ, เตน เอวํ ทุวิธเตฺถน ปิฎกสเทฺทน สห สมาสํ กตฺวา วินโย จ โส ปิฎกญฺจ ปริยตฺติภาวโต, ตสฺส ตสฺส อตฺถสฺส ภาชนโต จาติ วินยปิฎกํ, ยถาวุเตฺตเนว นเยน สุตฺตนฺตญฺจ ตํ ปิฎกญฺจาติ สุตฺตนฺตปิฎกํ, อภิธโมฺม จ โส ปิฎกญฺจาติ อภิธมฺมปิฎกนฺติฯ เอวเมเต ตโยปิ วินยาทโย เญยฺยาฯ
Idāni ‘tena samodhānetvātayopi vinayādayo ñeyyā’ti, tena evaṃ duvidhatthena piṭakasaddena saha samāsaṃ katvā vinayo ca so piṭakañca pariyattibhāvato, tassa tassa atthassa bhājanato cāti vinayapiṭakaṃ, yathāvutteneva nayena suttantañca taṃ piṭakañcāti suttantapiṭakaṃ, abhidhammo ca so piṭakañcāti abhidhammapiṭakanti. Evamete tayopi vinayādayo ñeyyā.
เอวํ ญตฺวา จ ปุนปิ เตสุเยว ปิฎเกสุ นานปฺปการโกสลฺลตฺถํ –
Evaṃ ñatvā ca punapi tesuyeva piṭakesu nānappakārakosallatthaṃ –
‘‘เทสนาสาสนกถาเภทํ เตสุ ยถารหํ;
‘‘Desanāsāsanakathābhedaṃ tesu yathārahaṃ;
สิกฺขาปฺปหานคมฺภีรภาวญฺจ ปริทีปเยฯ
Sikkhāppahānagambhīrabhāvañca paridīpaye.
ปริยตฺติเภทํ สมฺปตฺติํ, วิปตฺติญฺจาปิ ยํ ยหิํ;
Pariyattibhedaṃ sampattiṃ, vipattiñcāpi yaṃ yahiṃ;
ปาปุณาติ ยถา ภิกฺขุ, ตมฺปิ สพฺพํ วิภาวเย’’ฯ
Pāpuṇāti yathā bhikkhu, tampi sabbaṃ vibhāvaye’’.
ตตฺรายํ ปริทีปนา วิภาวนา จฯ เอตานิ หิ ตีณิ ปิฎกานิ ยถากฺกมํ อาณาโวหารปรมตฺถเทสนา, ยถาปราธยถานุโลมยถาธมฺมสาสนานิ, สํวราสํวรทิฎฺฐิวินิเวฐนนามรูปปริเจฺฉทกถาติ จ วุจฺจนฺติฯ เอตฺถ หิ วินยปิฎกํ อาณารเหน ภควตา อาณาพาหุลฺลโต เทสิตตฺตา อาณาเทสนา, สุตฺตนฺตปิฎกํ โวหารกุสเลน ภควตา โวหารพาหุลฺลโต เทสิตตฺตา โวหารเทสนา, อภิธมฺมปิฎกํ ปรมตฺถกุสเลน ภควตา ปรมตฺถพาหุลฺลโต เทสิตตฺตา ปรมตฺถเทสนาติ วุจฺจติฯ
Tatrāyaṃ paridīpanā vibhāvanā ca. Etāni hi tīṇi piṭakāni yathākkamaṃ āṇāvohāraparamatthadesanā, yathāparādhayathānulomayathādhammasāsanāni, saṃvarāsaṃvaradiṭṭhiviniveṭhananāmarūpaparicchedakathāti ca vuccanti. Ettha hi vinayapiṭakaṃ āṇārahena bhagavatā āṇābāhullato desitattā āṇādesanā, suttantapiṭakaṃ vohārakusalena bhagavatā vohārabāhullato desitattā vohāradesanā, abhidhammapiṭakaṃ paramatthakusalena bhagavatā paramatthabāhullato desitattā paramatthadesanāti vuccati.
ตถา ปฐมํ – ‘เย เต ปจุราปราธา สตฺตา, เต ยถาปราธํ เอตฺถ สาสิตา’ติ ยถาปราธสาสนํ, ทุติยํ – ‘อเนกชฺฌาสยานุสยจริยาธิมุตฺติกา สตฺตา ยถานุโลมํ เอตฺถ สาสิตา’ติ ยถานุโลมสาสนํ, ตติยํ – ‘ธมฺมปุญฺชมเตฺต ‘‘อหํ มมา’’ติ สญฺญิโน สตฺตา ยถาธมฺมํ เอตฺถ สาสิตา’ติ ยถาธมฺมสาสนนฺติ วุจฺจติฯ
Tathā paṭhamaṃ – ‘ye te pacurāparādhā sattā, te yathāparādhaṃ ettha sāsitā’ti yathāparādhasāsanaṃ, dutiyaṃ – ‘anekajjhāsayānusayacariyādhimuttikā sattā yathānulomaṃ ettha sāsitā’ti yathānulomasāsanaṃ, tatiyaṃ – ‘dhammapuñjamatte ‘‘ahaṃ mamā’’ti saññino sattā yathādhammaṃ ettha sāsitā’ti yathādhammasāsananti vuccati.
ตถา ปฐมํ – อชฺฌาจารปฎิปกฺขภูโต สํวราสํวโร เอตฺถ กถิโตติ สํวราสํวรกถาฯ สํวราสํวโรติ ขุทฺทโก เจว มหโนฺต จ สํวโร, กมฺมากมฺมํ วิย, ผลาผลํ วิย จ, ทุติยํ – ‘‘ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิปฎิปกฺขภูตา ทิฎฺฐิวินิเวฐนา เอตฺถ กถิตา’’ติ ทิฎฺฐิวินิเวฐนกถา, ตติยํ – ‘‘ราคาทิปฎิปกฺขภูโต นามรูปปริเจฺฉโท เอตฺถ กถิโต’’ติ นามรูปปริเจฺฉทกถาติ วุจฺจติฯ
Tathā paṭhamaṃ – ajjhācārapaṭipakkhabhūto saṃvarāsaṃvaro ettha kathitoti saṃvarāsaṃvarakathā. Saṃvarāsaṃvaroti khuddako ceva mahanto ca saṃvaro, kammākammaṃ viya, phalāphalaṃ viya ca, dutiyaṃ – ‘‘dvāsaṭṭhidiṭṭhipaṭipakkhabhūtā diṭṭhiviniveṭhanā ettha kathitā’’ti diṭṭhiviniveṭhanakathā, tatiyaṃ – ‘‘rāgādipaṭipakkhabhūto nāmarūpaparicchedo ettha kathito’’ti nāmarūpaparicchedakathāti vuccati.
ตีสุปิ เจเตสุ ติโสฺส สิกฺขา, ตีณิ ปหานานิ, จตุพฺพิโธ จ คมฺภีรภาโว เวทิตโพฺพฯ ตถา หิ วินยปิฎเก วิเสเสน อธิสีลสิกฺขา วุตฺตา, สุตฺตนฺตปิฎเก อธิจิตฺตสิกฺขา, อภิธมฺมปิฎเก อธิปญฺญาสิกฺขาฯ
Tīsupi cetesu tisso sikkhā, tīṇi pahānāni, catubbidho ca gambhīrabhāvo veditabbo. Tathā hi vinayapiṭake visesena adhisīlasikkhā vuttā, suttantapiṭake adhicittasikkhā, abhidhammapiṭake adhipaññāsikkhā.
วินยปิฎเก จ วีติกฺกมปฺปหานํ , กิเลสานํ วีติกฺกมปฎิปกฺขตฺตา สีลสฺสฯ สุตฺตนฺตปิฎเก ปริยุฎฺฐานปฺปหานํ, ปริยุฎฺฐานปฎิปกฺขตฺตา สมาธิสฺสฯ อภิธมฺมปิฎเก อนุสยปฺปหานํ, อนุสยปฎิปกฺขตฺตา ปญฺญายฯ ปฐเม จ ตทงฺคปฺปหานํ, อิตเรสุ วิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทปฺปหานานิฯ ปฐเม จ ทุจฺจริตสํกิเลสปฺปหานํ, อิตเรสุ ตณฺหาทิฎฺฐิสํกิเลสปฺปหานํฯ
Vinayapiṭake ca vītikkamappahānaṃ, kilesānaṃ vītikkamapaṭipakkhattā sīlassa. Suttantapiṭake pariyuṭṭhānappahānaṃ, pariyuṭṭhānapaṭipakkhattā samādhissa. Abhidhammapiṭake anusayappahānaṃ, anusayapaṭipakkhattā paññāya. Paṭhame ca tadaṅgappahānaṃ, itaresu vikkhambhanasamucchedappahānāni. Paṭhame ca duccaritasaṃkilesappahānaṃ, itaresu taṇhādiṭṭhisaṃkilesappahānaṃ.
เอกเมกสฺมิเญฺจตฺถ จตุพฺพิโธปิ ธมฺมตฺถเทสนา ปฎิเวธคมฺภีรภาโว เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ ธโมฺมติ ตนฺติฯ อโตฺถติ ตสฺสาเยว อโตฺถฯ เทสนาติ ตสฺสา มนสา ววตฺถาปิตาย ตนฺติยา เทสนาฯ ปฎิเวโธติ ตนฺติยา ตนฺติอตฺถสฺส จ ยถาภูตาวโพโธฯ ตีสุปิ เจเตสุ เอเต ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธาฯ ยสฺมา สสาทีหิ วิย มหาสมุโทฺท มนฺทพุทฺธีหิ ทุโกฺขคาฬฺหา อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐา จ, ตสฺมา คมฺภีราฯ เอวํ เอกเมกสฺมิํ เอตฺถ จตุพฺพิโธปิ คมฺภีรภาโว เวทิตโพฺพฯ
Ekamekasmiñcettha catubbidhopi dhammatthadesanā paṭivedhagambhīrabhāvo veditabbo. Tattha dhammoti tanti. Atthoti tassāyeva attho. Desanāti tassā manasā vavatthāpitāya tantiyā desanā. Paṭivedhoti tantiyā tantiatthassa ca yathābhūtāvabodho. Tīsupi cetesu ete dhammatthadesanāpaṭivedhā. Yasmā sasādīhi viya mahāsamuddo mandabuddhīhi dukkhogāḷhā alabbhaneyyapatiṭṭhā ca, tasmā gambhīrā. Evaṃ ekamekasmiṃ ettha catubbidhopi gambhīrabhāvo veditabbo.
อปโร นโย, ธโมฺมติ เหตุฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘เหตุมฺหิ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา’’ติฯ อโตฺถติ เหตุผลํ, วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘เหตุผเล ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา’’ติ (วิภ. ๗๒๐)ฯ เทสนาติ ปญฺญตฺติ, ยถา ธมฺมํ ธมฺมาภิลาโปติ อธิปฺปาโยฯ อนุโลมปฎิโลมสเงฺขปวิตฺถาราทิวเสน วา กถนํฯ ปฎิเวโธติ อภิสมโย, โส จ โลกิยโลกุตฺตโร วิสยโต อสโมฺมหโต จ, อตฺถานุรูปํ ธเมฺมสุ, ธมฺมานุรูปํ อเตฺถสุ, ปญฺญตฺติปถานุรูปํ ปญฺญตฺตีสุ อวโพโธฯ เตสํ เตสํ วา ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตธมฺมานํ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ สลกฺขณสงฺขาโต อวิปรีตสภาโวฯ
Aparo nayo, dhammoti hetu. Vuttañhetaṃ – ‘‘hetumhi ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā’’ti. Atthoti hetuphalaṃ, vuttañhetaṃ – ‘‘hetuphale ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā’’ti (vibha. 720). Desanāti paññatti, yathā dhammaṃ dhammābhilāpoti adhippāyo. Anulomapaṭilomasaṅkhepavitthārādivasena vā kathanaṃ. Paṭivedhoti abhisamayo, so ca lokiyalokuttaro visayato asammohato ca, atthānurūpaṃ dhammesu, dhammānurūpaṃ atthesu, paññattipathānurūpaṃ paññattīsu avabodho. Tesaṃ tesaṃ vā tattha tattha vuttadhammānaṃ paṭivijjhitabbo salakkhaṇasaṅkhāto aviparītasabhāvo.
อิทานิ ยสฺมา เอเตสุ ปิฎเกสุ ยํ ยํ ธมฺมชาตํ วา อตฺถชาตํ วา, ยา จายํ ยถา ยถา ญาเปตโพฺพ อโตฺถ โสตูนํ ญาณสฺส อภิมุโข โหติ, ตถา ตถา ตทตฺถโชติกา เทสนา, โย เจตฺถ อวิปรีตาวโพธสงฺขาโต ปฎิเวโธ, เตสํ เตสํ วา ธมฺมานํ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ สลกฺขณสงฺขาโต อวิปรีตสภาโวฯ สพฺพเมฺปตํ อนุปจิตกุสลสมฺภาเรหิ ทุปฺปเญฺญหิ สสาทีหิ วิย มหาสมุโทฺท ทุโกฺขคาฬฺหํ อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐญฺจ, ตสฺมา คมฺภีรํฯ เอวมฺปิ เอกเมกสฺมิํ เอตฺถ จตุพฺพิโธปิ คมฺภีรภาโว เวทิตโพฺพฯ
Idāni yasmā etesu piṭakesu yaṃ yaṃ dhammajātaṃ vā atthajātaṃ vā, yā cāyaṃ yathā yathā ñāpetabbo attho sotūnaṃ ñāṇassa abhimukho hoti, tathā tathā tadatthajotikā desanā, yo cettha aviparītāvabodhasaṅkhāto paṭivedho, tesaṃ tesaṃ vā dhammānaṃ paṭivijjhitabbo salakkhaṇasaṅkhāto aviparītasabhāvo. Sabbampetaṃ anupacitakusalasambhārehi duppaññehi sasādīhi viya mahāsamuddo dukkhogāḷhaṃ alabbhaneyyapatiṭṭhañca, tasmā gambhīraṃ. Evampi ekamekasmiṃ ettha catubbidhopi gambhīrabhāvo veditabbo.
เอตฺตาวตา จ –
Ettāvatā ca –
‘‘เทสนาสาสนกถา, เภทํ เตสุ ยถารหํ;
‘‘Desanāsāsanakathā, bhedaṃ tesu yathārahaṃ;
สิกฺขาปฺปหานคมฺภีร, ภาวญฺจ ปริทีปเย’’ติ –
Sikkhāppahānagambhīra, bhāvañca paridīpaye’’ti –
อยํ คาถา วุตฺตตฺถาว โหติฯ
Ayaṃ gāthā vuttatthāva hoti.
‘‘ปริยตฺติเภทํ สมฺปตฺติํ, วิปตฺติญฺจาปิ ยํ ยหิํ;
‘‘Pariyattibhedaṃ sampattiṃ, vipattiñcāpi yaṃ yahiṃ;
ปาปุณาติ ยถา ภิกฺขุ, ตมฺปิ สพฺพํ วิภาวเย’’ติ –
Pāpuṇāti yathā bhikkhu, tampi sabbaṃ vibhāvaye’’ti –
เอตฺถ ปน ตีสุ ปิฎเกสุ ติวิโธ ปริยตฺติเภโท ทฎฺฐโพฺพฯ ติโสฺส หิ ปริยตฺติโย – อลคทฺทูปมา, นิสฺสรณตฺถา, ภณฺฑาคาริกปริยตฺตีติฯ
Ettha pana tīsu piṭakesu tividho pariyattibhedo daṭṭhabbo. Tisso hi pariyattiyo – alagaddūpamā, nissaraṇatthā, bhaṇḍāgārikapariyattīti.
ตตฺถ ยา ทุคฺคหิตา, อุปารมฺภาทิเหตุ ปริยาปุฎา, อยํ อลคทฺทูปมาฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส อลคทฺทตฺถิโก อลคทฺทคเวสี อลคทฺทปริเยสนํ จรมาโน, โส ปเสฺสยฺย มหนฺตํ อลคทฺทํ, ตเมนํ โภเค วา นงฺคุเฎฺฐ วา คเณฺหยฺย, ตสฺส โส อลคโทฺท ปฎิปริวตฺติตฺวา หเตฺถ วา พาหายํ วา อญฺญตรสฺมิํ วา องฺคปจฺจเงฺค ฑํเสยฺย, โส ตโต นิทานํ มรณํ วา นิคเจฺฉยฺย, มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ทุคฺคหิตตฺตา, ภิกฺขเว, อลคทฺทสฺสฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, อิเธกเจฺจ โมฆปุริสา ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ, สุตฺตํ…เป.… เวทลฺลํ, เต ตํ ธมฺมํ ปริยาปุณิตฺวา เตสํ ธมฺมานํ ปญฺญาย อตฺถํ น อุปปริกฺขนฺติ, เตสํ เต ธมฺมา ปญฺญาย อตฺถํ อนุปปริกฺขตํ น นิชฺฌานํ ขมนฺติ, เต อุปารมฺภานิสํสา เจว ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ, อิติวาทปฺปโมกฺขานิสํสา จ, ยสฺส จตฺถาย ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ, ตญฺจสฺส อตฺถํ นานุโภนฺติ, เตสํ เต ธมฺมา ทุคฺคหิตา ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ทุคฺคหิตตฺตา, ภิกฺขเว, ธมฺมาน’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๓๘)ฯ
Tattha yā duggahitā, upārambhādihetu pariyāpuṭā, ayaṃ alagaddūpamā. Yaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘seyyathāpi, bhikkhave, puriso alagaddatthiko alagaddagavesī alagaddapariyesanaṃ caramāno, so passeyya mahantaṃ alagaddaṃ, tamenaṃ bhoge vā naṅguṭṭhe vā gaṇheyya, tassa so alagaddo paṭiparivattitvā hatthe vā bāhāyaṃ vā aññatarasmiṃ vā aṅgapaccaṅge ḍaṃseyya, so tato nidānaṃ maraṇaṃ vā nigaccheyya, maraṇamattaṃ vā dukkhaṃ. Taṃ kissa hetu? Duggahitattā, bhikkhave, alagaddassa. Evameva kho, bhikkhave, idhekacce moghapurisā dhammaṃ pariyāpuṇanti, suttaṃ…pe… vedallaṃ, te taṃ dhammaṃ pariyāpuṇitvā tesaṃ dhammānaṃ paññāya atthaṃ na upaparikkhanti, tesaṃ te dhammā paññāya atthaṃ anupaparikkhataṃ na nijjhānaṃ khamanti, te upārambhānisaṃsā ceva dhammaṃ pariyāpuṇanti, itivādappamokkhānisaṃsā ca, yassa catthāya dhammaṃ pariyāpuṇanti, tañcassa atthaṃ nānubhonti, tesaṃ te dhammā duggahitā dīgharattaṃ ahitāya dukkhāya saṃvattanti. Taṃ kissa hetu? Duggahitattā, bhikkhave, dhammāna’’nti (ma. ni. 1.238).
ยา ปน สุคฺคหิตา สีลกฺขนฺธาทิปาริปูริํเยว อากงฺขมาเนน ปริยาปุฎา, น อุปารมฺภาทิเหตุ, อยํ นิสฺสรณตฺถาฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘เตสํ เต ธมฺมา สุคฺคหิตา ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย สํวตฺตนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? สุคฺคหิตตฺตา, ภิกฺขเว, ธมฺมาน’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๓๙)ฯ
Yā pana suggahitā sīlakkhandhādipāripūriṃyeva ākaṅkhamānena pariyāpuṭā, na upārambhādihetu, ayaṃ nissaraṇatthā. Yaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘tesaṃ te dhammā suggahitā dīgharattaṃ hitāya sukhāya saṃvattanti. Taṃ kissa hetu? Suggahitattā, bhikkhave, dhammāna’’nti (ma. ni. 1.239).
ยํ ปน ปริญฺญาตกฺขโนฺธ ปหีนกิเลโส ภาวิตมโคฺค ปฎิวิทฺธากุโปฺป สจฺฉิกตนิโรโธ ขีณาสโว เกวลํ ปเวณีปาลนตฺถาย วํสานุรกฺขณตฺถาย ปริยาปุณาติ, อยํ ภณฺฑาคาริกปริยตฺตีติฯ
Yaṃ pana pariññātakkhandho pahīnakileso bhāvitamaggo paṭividdhākuppo sacchikatanirodho khīṇāsavo kevalaṃ paveṇīpālanatthāya vaṃsānurakkhaṇatthāya pariyāpuṇāti, ayaṃ bhaṇḍāgārikapariyattīti.
วินเย ปน สุปฺปฎิปโนฺน ภิกฺขุ สีลสมฺปทํ นิสฺสาย ติโสฺส วิชฺชา ปาปุณาติ, ตาสํเยว จ ตตฺถ ปเภทวจนโตฯ สุเตฺต สุปฺปฎิปโนฺน สมาธิสมฺปทํ นิสฺสาย ฉ อภิญฺญา ปาปุณาติ, ตาสํเยว จ ตตฺถ ปเภทวจนโตฯ อภิธเมฺม สุปฺปฎิปโนฺน ปญฺญาสมฺปทํ นิสฺสาย จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา ปาปุณาติ, ตาสญฺจ ตเตฺถว ปเภทวจนโต, เอวเมเตสุ สุปฺปฎิปโนฺน ยถากฺกเมน อิมํ วิชฺชาตฺตยฉฬภิญฺญาจตุปฺปฎิสมฺภิทาเภทํ สมฺปตฺติํ ปาปุณาติฯ
Vinaye pana suppaṭipanno bhikkhu sīlasampadaṃ nissāya tisso vijjā pāpuṇāti, tāsaṃyeva ca tattha pabhedavacanato. Sutte suppaṭipanno samādhisampadaṃ nissāya cha abhiññā pāpuṇāti, tāsaṃyeva ca tattha pabhedavacanato. Abhidhamme suppaṭipanno paññāsampadaṃ nissāya catasso paṭisambhidā pāpuṇāti, tāsañca tattheva pabhedavacanato, evametesu suppaṭipanno yathākkamena imaṃ vijjāttayachaḷabhiññācatuppaṭisambhidābhedaṃ sampattiṃ pāpuṇāti.
วินเย ปน ทุปฺปฎิปโนฺน อนุญฺญาตสุขสมฺผสฺสอตฺถรณปาวุรณาทิผสฺสสามญฺญโต ปฎิกฺขิเตฺตสุ อุปาทินฺนกผสฺสาทีสุ อนวชฺชสญฺญี โหติฯ วุตฺตมฺปิ เหตํ – ‘‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ, ยถา เย เม อนฺตรายิกา ธมฺมา อนฺตรายิกา วุตฺตา ภควตา, เต ปฎิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๓๔)ฯ ตโต ทุสฺสีลภาวํ ปาปุณาติฯ สุเตฺต ทุปฺปฎิปโนฺน – ‘‘จตฺตาโร เม, ภิกฺขเว, ปุคฺคลา สโนฺต สํวิชฺชมานา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๕) อธิปฺปายํ อชานโนฺต ทุคฺคหิตํ คณฺหาติ, ยํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อตฺตนา ทุคฺคหิเตน อเมฺห เจว อพฺภาจิกฺขติ, อตฺตานญฺจ ขณติ, พหุญฺจ อปุญฺญํ ปสวตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๓๖)ฯ ตโต มิจฺฉาทิฎฺฐิตํ ปาปุณาติฯ อภิธเมฺม ทุปฺปฎิปโนฺน ธมฺมจินฺตํ อติธาวโนฺต อจิเนฺตยฺยานิปิ จิเนฺตติฯ ตโต จิตฺตเกฺขปํ ปาปุณาติ, วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, อจิเนฺตยฺยานิ, น จิเนฺตตพฺพานิ, ยานิ จิเนฺตโนฺต อุมฺมาทสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺสา’’ติ (อ. นิ. ๔.๗๗)ฯ เอวเมเตสุ ทุปฺปฎิปโนฺน ยถากฺกเมน อิมํ ทุสฺสีลภาว มิจฺฉาทิฎฺฐิตา จิตฺตเกฺขปเภทํ วิปตฺติํ ปาปุณาตี’’ติฯ
Vinaye pana duppaṭipanno anuññātasukhasamphassaattharaṇapāvuraṇādiphassasāmaññato paṭikkhittesu upādinnakaphassādīsu anavajjasaññī hoti. Vuttampi hetaṃ – ‘‘tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi, yathā ye me antarāyikā dhammā antarāyikā vuttā bhagavatā, te paṭisevato nālaṃ antarāyāyā’’ti (ma. ni. 1.234). Tato dussīlabhāvaṃ pāpuṇāti. Sutte duppaṭipanno – ‘‘cattāro me, bhikkhave, puggalā santo saṃvijjamānā’’tiādīsu (a. ni. 4.5) adhippāyaṃ ajānanto duggahitaṃ gaṇhāti, yaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘attanā duggahitena amhe ceva abbhācikkhati, attānañca khaṇati, bahuñca apuññaṃ pasavatī’’ti (ma. ni. 1.236). Tato micchādiṭṭhitaṃ pāpuṇāti. Abhidhamme duppaṭipanno dhammacintaṃ atidhāvanto acinteyyānipi cinteti. Tato cittakkhepaṃ pāpuṇāti, vuttañhetaṃ – ‘‘cattārimāni, bhikkhave, acinteyyāni, na cintetabbāni, yāni cintento ummādassa vighātassa bhāgī assā’’ti (a. ni. 4.77). Evametesu duppaṭipanno yathākkamena imaṃ dussīlabhāva micchādiṭṭhitā cittakkhepabhedaṃ vipattiṃ pāpuṇātī’’ti.
เอตฺตาวตา จ –
Ettāvatā ca –
‘‘ปริยตฺติเภทํ สมฺปตฺติํ, วิปตฺติญฺจาปิ ยํ ยหิํ;
‘‘Pariyattibhedaṃ sampattiṃ, vipattiñcāpi yaṃ yahiṃ;
ปาปุณาติ ยถา ภิกฺขุ, ตมฺปิ สพฺพํ วิภาวเย’’ติ –
Pāpuṇāti yathā bhikkhu, tampi sabbaṃ vibhāvaye’’ti –
อยมฺปิ คาถา วุตฺตตฺถาว โหติฯ เอวํ นานปฺปการโต ปิฎกานิ ญตฺวา เตสํ วเสเนตํ พุทฺธวจนํ ติวิธนฺติ ญาตพฺพํฯ
Ayampi gāthā vuttatthāva hoti. Evaṃ nānappakārato piṭakāni ñatvā tesaṃ vasenetaṃ buddhavacanaṃ tividhanti ñātabbaṃ.
กถํ นิกายวเสน ปญฺจวิธํ? สพฺพเมว เจตํ ทีฆนิกาโย, มชฺฌิมนิกาโย, สํยุตฺตนิกาโย, องฺคุตฺตรนิกาโย, ขุทฺทกนิกาโยติ ปญฺจปฺปเภทํ โหติฯ ตตฺถ กตโม ทีฆนิกาโย? ติวคฺคสงฺคหานิ พฺรหฺมชาลาทีนิ จตุตฺติํส สุตฺตานิฯ
Kathaṃ nikāyavasena pañcavidhaṃ? Sabbameva cetaṃ dīghanikāyo, majjhimanikāyo, saṃyuttanikāyo, aṅguttaranikāyo, khuddakanikāyoti pañcappabhedaṃ hoti. Tattha katamo dīghanikāyo? Tivaggasaṅgahāni brahmajālādīni catuttiṃsa suttāni.
‘‘จตุตฺติํเสว สุตฺตนฺตา, ติวโคฺค ยสฺส สงฺคโห;
‘‘Catuttiṃseva suttantā, tivaggo yassa saṅgaho;
เอส ทีฆนิกาโยติ, ปฐโม อนุโลมิโก’’ติฯ
Esa dīghanikāyoti, paṭhamo anulomiko’’ti.
กสฺมา ปเนส ทีฆนิกาโยติ วุจฺจติ? ทีฆปฺปมาณานํ สุตฺตานํ สมูหโต นิวาสโต จฯ สมูหนิวาสา หิ นิกาโยติ วุจฺจนฺติฯ ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, อญฺญํ เอกนิกายมฺปิ สมนุปสฺสามิ เอวํ จิตฺตํ, ยถยิทํ, ภิกฺขเว , ติรจฺฉานคตา ปาณา’’ (สํ. นิ. ๒.๑๐๐)ฯ โปณิกนิกาโย จิกฺขลฺลิกนิกาโยติ เอวมาทีนิ เจตฺถ สาธกานิ สาสนโต โลกโต จฯ เอวํ เสสานมฺปิ นิกายภาเว วจนโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Kasmā panesa dīghanikāyoti vuccati? Dīghappamāṇānaṃ suttānaṃ samūhato nivāsato ca. Samūhanivāsā hi nikāyoti vuccanti. ‘‘Nāhaṃ, bhikkhave, aññaṃ ekanikāyampi samanupassāmi evaṃ cittaṃ, yathayidaṃ, bhikkhave , tiracchānagatā pāṇā’’ (saṃ. ni. 2.100). Poṇikanikāyo cikkhallikanikāyoti evamādīni cettha sādhakāni sāsanato lokato ca. Evaṃ sesānampi nikāyabhāve vacanattho veditabbo.
กตโม มชฺฌิมนิกาโย? มชฺฌิมปฺปมาณานิ ปญฺจทสวคฺคสงฺคหานิ มูลปริยายสุตฺตาทีนิ ทิยฑฺฒสตํ เทฺว จ สุตฺตานิฯ
Katamo majjhimanikāyo? Majjhimappamāṇāni pañcadasavaggasaṅgahāni mūlapariyāyasuttādīni diyaḍḍhasataṃ dve ca suttāni.
‘‘ทิยฑฺฒสตสุตฺตนฺตา, เทฺว จ สุตฺตานิ ยตฺถ โส;
‘‘Diyaḍḍhasatasuttantā, dve ca suttāni yattha so;
นิกาโย มชฺฌิโม ปญฺจ, ทสวคฺคปริคฺคโห’’ติฯ
Nikāyo majjhimo pañca, dasavaggapariggaho’’ti.
กตโม สํยุตฺตนิกาโย? เทวตาสํยุตฺตาทิวเสน กถิตานิ โอฆตรณาทีนิ สตฺต สุตฺตสหสฺสานิ สตฺต จ สุตฺตสตานิ ทฺวาสฎฺฐิ จ สุตฺตานิฯ
Katamo saṃyuttanikāyo? Devatāsaṃyuttādivasena kathitāni oghataraṇādīni satta suttasahassāni satta ca suttasatāni dvāsaṭṭhi ca suttāni.
‘‘สตฺตสุตฺตสหสฺสานิ , สตฺตสุตฺตสตานิ จ;
‘‘Sattasuttasahassāni , sattasuttasatāni ca;
ทฺวาสฎฺฐิ เจว สุตฺตนฺตา, เอโส สํยุตฺตสงฺคโห’’ติฯ
Dvāsaṭṭhi ceva suttantā, eso saṃyuttasaṅgaho’’ti.
กตโม องฺคุตฺตรนิกาโย? เอเกกองฺคาติเรกวเสน กถิตานิ จิตฺตปริยาทานาทีนิ นว สุตฺตสหสฺสานิ ปญฺจ สุตฺตสตานิ สตฺตปญฺญาสญฺจ สุตฺตานิฯ
Katamo aṅguttaranikāyo? Ekekaaṅgātirekavasena kathitāni cittapariyādānādīni nava suttasahassāni pañca suttasatāni sattapaññāsañca suttāni.
‘‘นว สุตฺตสหสฺสานิ, ปญฺจ สุตฺตสตานิ จ;
‘‘Nava suttasahassāni, pañca suttasatāni ca;
สตฺตปญฺญาส สุตฺตานิ, สงฺขฺยา องฺคุตฺตเร อย’’นฺติฯ
Sattapaññāsa suttāni, saṅkhyā aṅguttare aya’’nti.
กตโม ขุทฺทกนิกาโย? สกลํ วินยปิฎกํ, อภิธมฺมปิฎกํ, ขุทฺทกปาฐาทโย จ ปุเพฺพ ทสฺสิตา ปญฺจทสปฺปเภทา, ฐเปตฺวา จตฺตาโร นิกาเย อวเสสํ พุทฺธวจนํฯ
Katamo khuddakanikāyo? Sakalaṃ vinayapiṭakaṃ, abhidhammapiṭakaṃ, khuddakapāṭhādayo ca pubbe dassitā pañcadasappabhedā, ṭhapetvā cattāro nikāye avasesaṃ buddhavacanaṃ.
‘‘ฐเปตฺวา จตุโรเปเต, นิกาเย ทีฆอาทิเก;
‘‘Ṭhapetvā caturopete, nikāye dīghaādike;
ตทญฺญํ พุทฺธวจนํ, นิกาโย ขุทฺทโก มโต’’ติฯ
Tadaññaṃ buddhavacanaṃ, nikāyo khuddako mato’’ti.
เอวํ นิกายวเสน ปญฺจวิธํฯ
Evaṃ nikāyavasena pañcavidhaṃ.
กถํ องฺควเสน นววิธํ? สพฺพเมว หิทํ สุตฺตํ, เคยฺยํ, เวยฺยากรณํ, คาถา, อุทานํ, อิติวุตฺตกํ, ชาตกํ, อพฺภุตธมฺมํ, เวทลฺลนฺติ นวปฺปเภทํ โหติฯ ตตฺถ อุภโตวิภงฺคนิเทฺทสขนฺธกปริวารา, สุตฺตนิปาเต มงฺคลสุตฺตรตนสุตฺตนาลกสุตฺตตุวฎฺฎกสุตฺตานิ จ อญฺญมฺปิ จ สุตฺตนามกํ ตถาคตวจนํ สุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ สพฺพมฺปิ สคาถกํ สุตฺตํ เคยฺยนฺติ เวทิตพฺพํฯ วิเสเสน สํยุตฺตเก สกโลปิ สคาถวโคฺค, สกลมฺปิ อภิธมฺมปิฎกํ, นิคฺคาถกํ สุตฺตํ, ยญฺจ อญฺญมฺปิ อฎฺฐหิ อเงฺคหิ อสงฺคหิตํ พุทฺธวจนํ, ตํ เวยฺยากรณนฺติ เวทิตพฺพํฯ ธมฺมปทํ, เถรคาถา, เถรีคาถา, สุตฺตนิปาเต โนสุตฺตนามิกา สุทฺธิกคาถา จ คาถาติ เวทิตพฺพาฯ โสมนสฺสญฺญาณมยิกคาถา ปฎิสํยุตฺตา เทฺวอสีติ สุตฺตนฺตา อุทานนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘วุตฺตเญฺหตํ ภควตา’’ติอาทินยปฺปวตฺตา ทสุตฺตรสตสุตฺตนฺตา อิติวุตฺตกนฺติ เวทิตพฺพํฯ อปณฺณกชาตกาทีนิ ปญฺญาสาธิกานิ ปญฺจชาตกสตานิ ‘ชาตก’นฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อจฺฉริยา อพฺภุตา ธมฺมา อานเนฺท’’ติอาทินยปฺปวตฺตา (ที. นิ. ๒.๒๐๙) สเพฺพปิ อจฺฉริยพฺภุตธมฺมปฎิสํยุตฺตสุตฺตนฺตา อพฺภุตธมฺมนฺติ เวทิตพฺพํฯ จูฬเวทลฺล-มหาเวทลฺล-สมฺมาทิฎฺฐิ-สกฺกปญฺห-สงฺขารภาชนิย-มหาปุณฺณมสุตฺตาทโย สเพฺพปิ เวทญฺจ ตุฎฺฐิญฺจ ลทฺธา ลทฺธา ปุจฺฉิตสุตฺตนฺตา เวทลฺลนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอวํ องฺควเสน นววิธํฯ
Kathaṃ aṅgavasena navavidhaṃ? Sabbameva hidaṃ suttaṃ, geyyaṃ, veyyākaraṇaṃ, gāthā, udānaṃ, itivuttakaṃ, jātakaṃ, abbhutadhammaṃ, vedallanti navappabhedaṃ hoti. Tattha ubhatovibhaṅganiddesakhandhakaparivārā, suttanipāte maṅgalasuttaratanasuttanālakasuttatuvaṭṭakasuttāni ca aññampi ca suttanāmakaṃ tathāgatavacanaṃ suttanti veditabbaṃ. Sabbampi sagāthakaṃ suttaṃ geyyanti veditabbaṃ. Visesena saṃyuttake sakalopi sagāthavaggo, sakalampi abhidhammapiṭakaṃ, niggāthakaṃ suttaṃ, yañca aññampi aṭṭhahi aṅgehi asaṅgahitaṃ buddhavacanaṃ, taṃ veyyākaraṇanti veditabbaṃ. Dhammapadaṃ, theragāthā, therīgāthā, suttanipāte nosuttanāmikā suddhikagāthā ca gāthāti veditabbā. Somanassaññāṇamayikagāthā paṭisaṃyuttā dveasīti suttantā udānanti veditabbaṃ. ‘‘Vuttañhetaṃ bhagavatā’’tiādinayappavattā dasuttarasatasuttantā itivuttakanti veditabbaṃ. Apaṇṇakajātakādīni paññāsādhikāni pañcajātakasatāni ‘jātaka’nti veditabbaṃ. ‘‘Cattārome, bhikkhave, acchariyā abbhutā dhammā ānande’’tiādinayappavattā (dī. ni. 2.209) sabbepi acchariyabbhutadhammapaṭisaṃyuttasuttantā abbhutadhammanti veditabbaṃ. Cūḷavedalla-mahāvedalla-sammādiṭṭhi-sakkapañha-saṅkhārabhājaniya-mahāpuṇṇamasuttādayo sabbepi vedañca tuṭṭhiñca laddhā laddhā pucchitasuttantā vedallanti veditabbaṃ. Evaṃ aṅgavasena navavidhaṃ.
กถํ ธมฺมกฺขนฺธวเสน จตุราสีติสหสฺสวิธํ? สพฺพเมว เจตํ พุทฺธวจนํ –
Kathaṃ dhammakkhandhavasena caturāsītisahassavidhaṃ? Sabbameva cetaṃ buddhavacanaṃ –
‘‘ทฺวาสีติ พุทฺธโต คณฺหิํ, เทฺว สหสฺสานิ ภิกฺขุโต;
‘‘Dvāsīti buddhato gaṇhiṃ, dve sahassāni bhikkhuto;
จตุราสีติ สหสฺสานิ, เย เม ธมฺมา ปวตฺติโน’’ติฯ
Caturāsīti sahassāni, ye me dhammā pavattino’’ti.
เอวํ ปริทีปิตธมฺมกฺขนฺธวเสน จตุราสีติสหสฺสปฺปเภทํ โหติฯ ตตฺถ เอกานุสนฺธิกํ สุตฺตํ เอโก ธมฺมกฺขโนฺธฯ ยํ อเนกานุสนฺธิกํ, ตตฺถ อนุสนฺธิวเสน ธมฺมกฺขนฺธคณนาฯ คาถาพเนฺธสุ ปญฺหาปุจฺฉนํ เอโก ธมฺมกฺขโนฺธ, วิสฺสชฺชนํ เอโกฯ อภิธเมฺม เอกเมกํ ติกทุกภาชนํ, เอกเมกญฺจ จิตฺตวารภาชนํ, เอกเมโก ธมฺมกฺขโนฺธฯ วินเย อตฺถิ วตฺถุ, อตฺถิ มาติกา, อตฺถิ ปทภาชนียํ, อตฺถิ อนฺตราปตฺติ, อตฺถิ อาปตฺติ, อตฺถิ อนาปตฺติ, อตฺถิ ติกเจฺฉโทฯ ตตฺถ เอกเมโก โกฎฺฐาโส เอกเมโก ธมฺมกฺขโนฺธติ เวทิตโพฺพฯ เอวํ ธมฺมกฺขนฺธวเสน จตุราสีติสหสฺสวิธํฯ
Evaṃ paridīpitadhammakkhandhavasena caturāsītisahassappabhedaṃ hoti. Tattha ekānusandhikaṃ suttaṃ eko dhammakkhandho. Yaṃ anekānusandhikaṃ, tattha anusandhivasena dhammakkhandhagaṇanā. Gāthābandhesu pañhāpucchanaṃ eko dhammakkhandho, vissajjanaṃ eko. Abhidhamme ekamekaṃ tikadukabhājanaṃ, ekamekañca cittavārabhājanaṃ, ekameko dhammakkhandho. Vinaye atthi vatthu, atthi mātikā, atthi padabhājanīyaṃ, atthi antarāpatti, atthi āpatti, atthi anāpatti, atthi tikacchedo. Tattha ekameko koṭṭhāso ekameko dhammakkhandhoti veditabbo. Evaṃ dhammakkhandhavasena caturāsītisahassavidhaṃ.
เอวเมตํ อเภทโต รสวเสน เอกวิธํ, เภทโต ธมฺมวินยาทิวเสน ทุวิธาทิเภทํ พุทฺธวจนํ สงฺคายเนฺตน มหากสฺสปปฺปมุเขน วสีคเณน ‘‘อยํ ธโมฺม, อยํ วินโย, อิทํ ปฐมพุทฺธวจนํ, อิทํ มชฺฌิมพุทฺธวจนํ, อิทํ ปจฺฉิมพุทฺธวจนํ, อิทํ วินยปิฎกํ, อิทํ สุตฺตนฺตปิฎกํ, อิทํ อภิธมฺมปิฎกํ, อยํ ทีฆนิกาโย…เป.… อยํ ขุทฺทกนิกาโย, อิมานิ สุตฺตาทีนิ นวงฺคานิ, อิมานิ จตุราสีติ ธมฺมกฺขนฺธสหสฺสานี’’ติ, อิมํ ปเภทํ ววตฺถเปตฺวาว สงฺคีตํฯ น เกวลญฺจ อิมเมว, อญฺญมฺปิ อุทฺทานสงฺคห-วคฺคสงฺคห-เปยฺยาลสงฺคห-เอกกนิปาต-ทุกนิปาตาทินิปาตสงฺคห-สํยุตฺตสงฺคห-ปณฺณาสสงฺคหาทิ-อเนกวิธํ ตีสุ ปิฎเกสุ สนฺทิสฺสมานํ สงฺคหปฺปเภทํ ววตฺถเปตฺวา เอว สตฺตหิ มาเสหิ สงฺคีตํฯ
Evametaṃ abhedato rasavasena ekavidhaṃ, bhedato dhammavinayādivasena duvidhādibhedaṃ buddhavacanaṃ saṅgāyantena mahākassapappamukhena vasīgaṇena ‘‘ayaṃ dhammo, ayaṃ vinayo, idaṃ paṭhamabuddhavacanaṃ, idaṃ majjhimabuddhavacanaṃ, idaṃ pacchimabuddhavacanaṃ, idaṃ vinayapiṭakaṃ, idaṃ suttantapiṭakaṃ, idaṃ abhidhammapiṭakaṃ, ayaṃ dīghanikāyo…pe… ayaṃ khuddakanikāyo, imāni suttādīni navaṅgāni, imāni caturāsīti dhammakkhandhasahassānī’’ti, imaṃ pabhedaṃ vavatthapetvāva saṅgītaṃ. Na kevalañca imameva, aññampi uddānasaṅgaha-vaggasaṅgaha-peyyālasaṅgaha-ekakanipāta-dukanipātādinipātasaṅgaha-saṃyuttasaṅgaha-paṇṇāsasaṅgahādi-anekavidhaṃ tīsu piṭakesu sandissamānaṃ saṅgahappabhedaṃ vavatthapetvā eva sattahi māsehi saṅgītaṃ.
สงฺคีติปริโยสาเน จสฺส – ‘‘อิทํ มหากสฺสปเตฺถเรน ทสพลสฺส สาสนํ ปญฺจวสฺสสหสฺสปริมาณกาลํ ปวตฺตนสมตฺถํ กต’’นฺติ สญฺชาตปฺปโมทา สาธุการํ วิย ททมานา อยํ มหาปถวี อุทกปริยนฺตํ กตฺวา อเนกปฺปการํ กมฺปิ สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ, อเนกานิ จ อจฺฉริยานิ ปาตุรเหสุนฺติ, อยํ ปฐมมหาสงฺคีติ นามฯ ยา โลเก –
Saṅgītipariyosāne cassa – ‘‘idaṃ mahākassapattherena dasabalassa sāsanaṃ pañcavassasahassaparimāṇakālaṃ pavattanasamatthaṃ kata’’nti sañjātappamodā sādhukāraṃ viya dadamānā ayaṃ mahāpathavī udakapariyantaṃ katvā anekappakāraṃ kampi saṅkampi sampakampi sampavedhi, anekāni ca acchariyāni pāturahesunti, ayaṃ paṭhamamahāsaṅgīti nāma. Yā loke –
‘‘สเตหิ ปญฺจหิ กตา, เตน ปญฺจสตาติ จ;
‘‘Satehi pañcahi katā, tena pañcasatāti ca;
เถเรเหว กตตฺตา จ, เถริกาติ ปวุจฺจตี’’ติฯ
Thereheva katattā ca, therikāti pavuccatī’’ti.