Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā)

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    ทีฆนิกาเย

    Dīghanikāye

    สีลกฺขนฺธวคฺคฎีกา

    Sīlakkhandhavaggaṭīkā

    คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา

    Ganthārambhakathāvaṇṇanā

    สํวณฺณนารเมฺภ รตนตฺตยวนฺทนา สํวเณฺณตพฺพสฺส ธมฺมสฺส ปภวนิสฺสยวิสุทฺธิปฎิเวทนตฺถํ, ตํ ปน ธมฺมสํวณฺณนาสุ วิญฺญูนํ พหุมานุปฺปาทนตฺถํ, ตํ สมฺมเทว เตสํ อุคฺคหธารณาทิกฺกมลทฺธพฺพาย สมฺมาปฎิปตฺติยา สพฺพหิตสุขนิปฺผาทนตฺถํฯ อถ วา มงฺคลภาวโต, สพฺพกิริยาสุ ปุพฺพกิจฺจภาวโต, ปณฺฑิเตหิ สมฺมาจริตภาวโต, อายติํ ปเรสํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชนโต จ สํวณฺณนายํ รตนตฺตยปณามกิริยาฯ อถ วา รตนตฺตยปณามกรณํ ปูชนียปูชาปุญฺญวิเสสนิพฺพตฺตนตฺถํ, ตํ อตฺตโน ยถาลทฺธสมฺปตฺตินิมิตฺตกสฺส กมฺมสฺส พลานุปฺปาทนตฺถํ, อนฺตรา จ ตสฺส อสโงฺกจนตฺถํ, ตทุภยํ อนนฺตราเยน อฎฺฐกถาย ปริสมาปนตฺถํฯ อิทเมว จ ปโยชนํ อาจริเยน อิธาธิเปฺปตํฯ ตถา หิ วกฺขติ – ‘‘อิติ เม ปสนฺนมติโน…เป.… ตสฺสานุภาเวนา’’ติฯ วตฺถุตฺตยปูชา หิ นิรติสยปุญฺญเกฺขตฺตสมฺพุทฺธิยา อปริเมยฺยปฺปภาโว ปุญฺญาติสโยติ พหุวิธนฺตราเยปิ โลกสนฺนิวาเส อนฺตรายนิพนฺธนสกลสํกิเลสวิทฺธํสนาย ปโหติ, ภยาทิอุปทฺทวญฺจ นิวาเรติฯ ยถาห –

    Saṃvaṇṇanārambhe ratanattayavandanā saṃvaṇṇetabbassa dhammassa pabhavanissayavisuddhipaṭivedanatthaṃ, taṃ pana dhammasaṃvaṇṇanāsu viññūnaṃ bahumānuppādanatthaṃ, taṃ sammadeva tesaṃ uggahadhāraṇādikkamaladdhabbāya sammāpaṭipattiyā sabbahitasukhanipphādanatthaṃ. Atha vā maṅgalabhāvato, sabbakiriyāsu pubbakiccabhāvato, paṇḍitehi sammācaritabhāvato, āyatiṃ paresaṃ diṭṭhānugatiāpajjanato ca saṃvaṇṇanāyaṃ ratanattayapaṇāmakiriyā. Atha vā ratanattayapaṇāmakaraṇaṃ pūjanīyapūjāpuññavisesanibbattanatthaṃ, taṃ attano yathāladdhasampattinimittakassa kammassa balānuppādanatthaṃ, antarā ca tassa asaṅkocanatthaṃ, tadubhayaṃ anantarāyena aṭṭhakathāya parisamāpanatthaṃ. Idameva ca payojanaṃ ācariyena idhādhippetaṃ. Tathā hi vakkhati – ‘‘iti me pasannamatino…pe… tassānubhāvenā’’ti. Vatthuttayapūjā hi niratisayapuññakkhettasambuddhiyā aparimeyyappabhāvo puññātisayoti bahuvidhantarāyepi lokasannivāse antarāyanibandhanasakalasaṃkilesaviddhaṃsanāya pahoti, bhayādiupaddavañca nivāreti. Yathāha –

    ‘‘ปูชารเห ปูชยโต, พุเทฺธ ยทิ ว สาวเก’’ติอาทิ (ธ. ป. ๑.๑๙๕; อป. ๑.๑๐.๑), ตถา –

    ‘‘Pūjārahe pūjayato, buddhe yadi va sāvake’’tiādi (dha. pa. 1.195; apa. 1.10.1), tathā –

    ‘‘เย ภิกฺขเว พุเทฺธ ปสนฺนา, อเคฺค เต ปสนฺนาฯ อเคฺค โข ปน ปสนฺนานํ อโคฺค วิปาโก โหตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐)ฯ

    ‘‘Ye bhikkhave buddhe pasannā, agge te pasannā. Agge kho pana pasannānaṃ aggo vipāko hotī’’tiādi (a. ni. 4.34; itivu. 90).

    ‘‘พุโทฺธติ กิตฺตยนฺตสฺส, กาเย ภวติ ยา ปีติ;

    ‘‘Buddhoti kittayantassa, kāye bhavati yā pīti;

    วรเมว หิ สา ปีติ, กสิเณนปิ ชมฺพุทีปสฺสฯ

    Varameva hi sā pīti, kasiṇenapi jambudīpassa.

    ธโมฺมติ…เป.… สโงฺฆติ…เป.… ทีปสฺสา’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๖);

    Dhammoti…pe… saṅghoti…pe… dīpassā’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.6);

    ตถา –

    Tathā –

    ‘‘ยสฺมิํ, มหานาม, สมเย อริยสาวโก ตถาคตํ อนุสฺสรติ, เนวสฺส ตสฺมิํ สมเย ราคปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, น โทส…เป.… น โมหปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๖.๑๐; ๑๑.๑๑),

    ‘‘Yasmiṃ, mahānāma, samaye ariyasāvako tathāgataṃ anussarati, nevassa tasmiṃ samaye rāgapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, na dosa…pe… na mohapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hotī’’tiādi (a. ni. 6.10; 11.11),

    ‘‘อรเญฺญ รุกฺขมูเล วา…เป.…

    ‘‘Araññe rukkhamūle vā…pe…

    ภยํ วา ฉมฺภิตตฺตํ วา,

    Bhayaṃ vā chambhitattaṃ vā,

    โลมหํโส น เหสฺสตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๔๙) จ

    Lomahaṃso na hessatī’’ti. (saṃ. ni. 1.249) ca

    ตตฺถ ยสฺส วตฺถุตฺตยสฺส วนฺทนํ กตฺตุกาโม, ตสฺส คุณาติสยโยคสนฺทสฺสนตฺถํ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติอาทินา คาถตฺตยมาหฯ คุณาติสยโยเคน หิ วนฺทนารหภาโว, วนฺทนารเห จ กตา วนฺทนา ยถาธิเปฺปตปฺปโยชนํ สาเธตีติฯ ตตฺถ ยสฺสา เทสนาย สํวณฺณนํ กตฺตุกาโม, สา น วินยเทสนา วิย กรุณาปฺปธานา, นาปิ อภิธมฺมเทสนา วิย ปญฺญาปฺปธานา, อถ โข กรุณาปญฺญาปฺปธานาติ ตทุภยปฺปธานเมว ตาว สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส โถมนํ กาตุํ ตํมูลกตฺตา เสสรตนานํ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ

    Tattha yassa vatthuttayassa vandanaṃ kattukāmo, tassa guṇātisayayogasandassanatthaṃ ‘‘karuṇāsītalahadaya’’ntiādinā gāthattayamāha. Guṇātisayayogena hi vandanārahabhāvo, vandanārahe ca katā vandanā yathādhippetappayojanaṃ sādhetīti. Tattha yassā desanāya saṃvaṇṇanaṃ kattukāmo, sā na vinayadesanā viya karuṇāppadhānā, nāpi abhidhammadesanā viya paññāppadhānā, atha kho karuṇāpaññāppadhānāti tadubhayappadhānameva tāva sammāsambuddhassa thomanaṃ kātuṃ taṃmūlakattā sesaratanānaṃ ‘‘karuṇāsītalahadaya’’ntiādi vuttaṃ.

    ตตฺถ กิรตีติ กรุณา, ปรทุกฺขํ วิกฺขิปติ, อปเนตีติ อโตฺถฯ อถ วา กิณาตีติ กรุณา, ปรทุเกฺข สติ การุณิกํ หิํสติ, วิพาธตีติ อโตฺถ, ปรทุเกฺข สติ สาธูนํ กมฺปนํ หทยเขทํ กโรตีติ วา กรุณาฯ อถ วา กมิติ สุขํ, ตํ รุนฺธตีติ กรุณาฯ เอสา หิ ปรทุกฺขาปนยนกามตาลกฺขณา, อตฺตสุขนิรเปกฺขตาย การุณิกานํ สุขํ รุนฺธติ วิพนฺธตีติฯ กรุณาย สีตลํ กรุณาสีตลํ, กรุณาสีตลํ หทยํ อสฺสาติ กรุณาสีตลหทโย, ตํ กรุณาสีตลหทยํฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ ปเรสํ หิโตปสํหารสุขาทิอปริหานิจฺฉนสภาวตาย, พฺยาปาทารตีนํ อุชุวิปจฺจนีกตาย จ สตฺตสนฺตานคตสนฺตาปวิเจฺฉทนาการปฺปวตฺติยา เมตฺตามุทิตานมฺปิ จิตฺตสีตลภาวการณตา อุปลพฺภติ, ตถาปิ ทุกฺขาปนยนาการปฺปวตฺติยา ปรูปตาปาสหนรสา อวิหิํสาภูตา กรุณา วิเสเสน ภควโต จิตฺตสฺส จิตฺตปสฺสทฺธิ วิย สีตีภาวนิมิตฺตนฺติ วุตฺตํ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติฯ กรุณามุเขน วา เมตฺตามุทิตานมฺปิ หทยสีตลภาวการณตา วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Tattha kiratīti karuṇā, paradukkhaṃ vikkhipati, apanetīti attho. Atha vā kiṇātīti karuṇā, paradukkhe sati kāruṇikaṃ hiṃsati, vibādhatīti attho, paradukkhe sati sādhūnaṃ kampanaṃ hadayakhedaṃ karotīti vā karuṇā. Atha vā kamiti sukhaṃ, taṃ rundhatīti karuṇā. Esā hi paradukkhāpanayanakāmatālakkhaṇā, attasukhanirapekkhatāya kāruṇikānaṃ sukhaṃ rundhati vibandhatīti. Karuṇāya sītalaṃ karuṇāsītalaṃ, karuṇāsītalaṃ hadayaṃ assāti karuṇāsītalahadayo, taṃ karuṇāsītalahadayaṃ. Tattha kiñcāpi paresaṃ hitopasaṃhārasukhādiaparihānicchanasabhāvatāya, byāpādāratīnaṃ ujuvipaccanīkatāya ca sattasantānagatasantāpavicchedanākārappavattiyā mettāmuditānampi cittasītalabhāvakāraṇatā upalabbhati, tathāpi dukkhāpanayanākārappavattiyā parūpatāpāsahanarasā avihiṃsābhūtā karuṇā visesena bhagavato cittassa cittapassaddhi viya sītībhāvanimittanti vuttaṃ ‘‘karuṇāsītalahadaya’’nti. Karuṇāmukhena vā mettāmuditānampi hadayasītalabhāvakāraṇatā vuttāti daṭṭhabbaṃ.

    อถ วา อสาธารณญาณวิเสสนิพนฺธนภูตา สาติสยํ นิรวเสสญฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ วิย สวิสยพฺยาปิตาย มหากรุณาภาวํ อุปคตา กรุณาว ภควโต อติสเยน หทยสีตลภาวเหตูติ อาห ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติฯ อถ วา สติปิ เมตฺตามุทิตานํ สาติสเย หทยสีตีภาวนิพนฺธนเตฺต สกลพุทฺธคุณวิเสสการณตาย ตาสมฺปิ การณนฺติ กรุณาว ภควโต หทยสีตลภาวการณํ วุตฺตาฯ กรุณานิทานา หิ สเพฺพปิ พุทฺธคุณาฯ กรุณานุภาวนิพฺพาปิยมานสํสารทุกฺขสนฺตาปสฺส หิ ภควโต ปรทุกฺขาปนยนกามตาย อเนกานิปิ อสเงฺขยฺยานิ กปฺปานํ อกิลนฺตรูปเสฺสว นิรวเสสพุทฺธกรธมฺมสมฺภรณนิยตสฺส สมธิคตธมฺมาธิปเตยฺยสฺส จ สนฺนิหิเตสุปิ สตฺตสงฺขารสมุปนีตหทยูปตาปนิมิเตฺตสุ น อีสกมฺปิ จิตฺตสีตีภาวสฺสญฺญถตฺตมโหสีติฯ เอตสฺมิญฺจ อตฺถวิกเปฺป ตีสุปิ อวตฺถาสุ ภควโต กรุณา สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Atha vā asādhāraṇañāṇavisesanibandhanabhūtā sātisayaṃ niravasesañca sabbaññutaññāṇaṃ viya savisayabyāpitāya mahākaruṇābhāvaṃ upagatā karuṇāva bhagavato atisayena hadayasītalabhāvahetūti āha ‘‘karuṇāsītalahadaya’’nti. Atha vā satipi mettāmuditānaṃ sātisaye hadayasītībhāvanibandhanatte sakalabuddhaguṇavisesakāraṇatāya tāsampi kāraṇanti karuṇāva bhagavato hadayasītalabhāvakāraṇaṃ vuttā. Karuṇānidānā hi sabbepi buddhaguṇā. Karuṇānubhāvanibbāpiyamānasaṃsāradukkhasantāpassa hi bhagavato paradukkhāpanayanakāmatāya anekānipi asaṅkheyyāni kappānaṃ akilantarūpasseva niravasesabuddhakaradhammasambharaṇaniyatassa samadhigatadhammādhipateyyassa ca sannihitesupi sattasaṅkhārasamupanītahadayūpatāpanimittesu na īsakampi cittasītībhāvassaññathattamahosīti. Etasmiñca atthavikappe tīsupi avatthāsu bhagavato karuṇā saṅgahitāti daṭṭhabbaṃ.

    ปชานาตีติ ปญฺญา, ยถาสภาวํ ปกาเรหิ ปฎิวิชฺฌตีติ อโตฺถฯ ปญฺญาว เญยฺยาวรณปฺปหานโต ปกาเรหิ ธมฺมสภาวาวโชตนเฎฺฐน ปโชฺชโตติ ปญฺญาปโชฺชโต, สวาสนปฺปหานโต วิเสเสน หตํ สมุคฺฆาฎิตํ วิหตํ, ปญฺญาปโชฺชเตน วิหตํ ปญฺญาปโชฺชตวิหตํฯ มุยฺหนฺติ เตน, สยํ วา มุยฺหติ, โมหนมตฺตเมว วา ตนฺติ โมโห, อวิชฺชา, เสฺวว วิสยสภาวปฎิจฺฉาทนโต อนฺธการสริกฺขตาย ตโม วิยาติ ตโม, ปญฺญาปโชฺชตวิหโต โมหตโม เอตสฺสาติ ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตโม, ตํ ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตมํ ฯ สเพฺพสมฺปิ หิ ขีณาสวานํ สติปิ ปญฺญาปโชฺชเตน อวิชฺชานฺธการสฺส วิหตภาเว สทฺธาธิมุเตฺตหิ วิย ทิฎฺฐิปฺปตฺตานํ สาวเกหิ, ปเจฺจกสมฺพุเทฺธหิ จ สวาสนปฺปหาเนน สมฺมาสมฺพุทฺธานํ กิเลสปฺปหานสฺส วิเสโส วิชฺชตีติ สาติสเยน อวิชฺชาปฺปหาเนน ภควนฺตํ โถเมโนฺต อาห ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ

    Pajānātīti paññā, yathāsabhāvaṃ pakārehi paṭivijjhatīti attho. Paññāva ñeyyāvaraṇappahānato pakārehi dhammasabhāvāvajotanaṭṭhena pajjototi paññāpajjoto, savāsanappahānato visesena hataṃ samugghāṭitaṃ vihataṃ, paññāpajjotena vihataṃ paññāpajjotavihataṃ. Muyhanti tena, sayaṃ vā muyhati, mohanamattameva vā tanti moho, avijjā, sveva visayasabhāvapaṭicchādanato andhakārasarikkhatāya tamo viyāti tamo, paññāpajjotavihato mohatamo etassāti paññāpajjotavihatamohatamo, taṃ paññāpajjotavihatamohatamaṃ. Sabbesampi hi khīṇāsavānaṃ satipi paññāpajjotena avijjāndhakārassa vihatabhāve saddhādhimuttehi viya diṭṭhippattānaṃ sāvakehi, paccekasambuddhehi ca savāsanappahānena sammāsambuddhānaṃ kilesappahānassa viseso vijjatīti sātisayena avijjāppahānena bhagavantaṃ thomento āha ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti.

    อถ วา อนฺตเรน ปโรปเทสํ อตฺตโน สนฺตาเน อจฺจนฺตํ อวิชฺชานฺธการวิคมสฺส นิพฺพตฺติตตฺตา, ตตฺถ จ สพฺพญฺญุตาย, พเลสุ จ วสีภาวสฺส สมธิคตตฺตา, ปรสนฺตติยญฺจ ธมฺมเทสนาติสยานุภาเวน สมฺมเทว ตสฺส ปวตฺติตตฺตา ภควาว วิเสสโต โมหตมวิคเมน โถเมตโพฺพติ อาห ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ อิมสฺมิญฺจ อตฺถวิกเปฺป ‘‘ปญฺญาปโชฺชโต’’ติ ปเทน ภควโต ปฎิเวธปญฺญา วิย เทสนาปญฺญาปิ สามญฺญนิเทฺทเสน เอกเสสนเยน วา สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Atha vā antarena paropadesaṃ attano santāne accantaṃ avijjāndhakāravigamassa nibbattitattā, tattha ca sabbaññutāya, balesu ca vasībhāvassa samadhigatattā, parasantatiyañca dhammadesanātisayānubhāvena sammadeva tassa pavattitattā bhagavāva visesato mohatamavigamena thometabboti āha ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti. Imasmiñca atthavikappe ‘‘paññāpajjoto’’ti padena bhagavato paṭivedhapaññā viya desanāpaññāpi sāmaññaniddesena ekasesanayena vā saṅgahitāti daṭṭhabbaṃ.

    อถ วา ภควโต ญาณสฺส เญยฺยปริยนฺติกตฺตา สกลเญยฺยธมฺมสภาวาโพธนสมเตฺถน อนาวรณญาณสงฺขาเตน ปญฺญาปโชฺชเตน สพฺพเญยฺยธมฺมสภาวจฺฉาทกสฺส โมหนฺธการสฺส วิธมิตตฺตา อนญฺญสาธารโณ ภควโต โมหตมวินาโสติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ เอตฺถ จ โมหตมวิธมนเนฺต อธิคตตฺตา อนาวรณญาณํ การณูปจาเรน สกสนฺตาเน โมหตมวิธมนํ ทฎฺฐพฺพํฯ อภินีหารสมฺปตฺติยา สวาสนปฺปหานเมว หิ กิเลสานํ ‘‘เญยฺยาวรณปฺปหาน’’นฺติ, ปรสนฺตาเน ปน โมหตมวิธมนสฺส การณภาวโต อนาวรณญาณํ ‘‘โมหตมวิธมน’’นฺติ วุจฺจตีติฯ

    Atha vā bhagavato ñāṇassa ñeyyapariyantikattā sakalañeyyadhammasabhāvābodhanasamatthena anāvaraṇañāṇasaṅkhātena paññāpajjotena sabbañeyyadhammasabhāvacchādakassa mohandhakārassa vidhamitattā anaññasādhāraṇo bhagavato mohatamavināsoti katvā vuttaṃ ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti. Ettha ca mohatamavidhamanante adhigatattā anāvaraṇañāṇaṃ kāraṇūpacārena sakasantāne mohatamavidhamanaṃ daṭṭhabbaṃ. Abhinīhārasampattiyā savāsanappahānameva hi kilesānaṃ ‘‘ñeyyāvaraṇappahāna’’nti, parasantāne pana mohatamavidhamanassa kāraṇabhāvato anāvaraṇañāṇaṃ ‘‘mohatamavidhamana’’nti vuccatīti.

    กิํ ปน การณํ อวิชฺชาวิคฺฆาโต เยเวโก ปหานสมฺปตฺติวเสน ภควโต โถมนานิมิตฺตํ คยฺหติ, น ปน สาติสยนิรวเสสกิเลสปฺปหานนฺติ? ตปฺปหานวจเนเนว ตเทกฎฺฐตาย สกลสํกิเลสคณสมุคฺฆาตโชติตภาวโตฯ น หิ โส ตาทิโส กิเลโส อตฺถิ, โย นิรวเสสอวิชฺชาปฺปหาเนน น ปหียตีติฯ อถ วา วิชฺชา วิย สกลกุสลธมฺมสมุปฺปตฺติยา นิรวเสสากุสลธมฺมนิพฺพตฺติยา, สํสารปฺปวตฺติยา จ อวิชฺชา ปธานการณนฺติ ตพฺพิคฺฆาตวจเนน สกลสํกิเลสคณสมุคฺฆาโต วุโตฺตเยว โหตีติ วุตฺตํ ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ

    Kiṃ pana kāraṇaṃ avijjāvigghāto yeveko pahānasampattivasena bhagavato thomanānimittaṃ gayhati, na pana sātisayaniravasesakilesappahānanti? Tappahānavacaneneva tadekaṭṭhatāya sakalasaṃkilesagaṇasamugghātajotitabhāvato. Na hi so tādiso kileso atthi, yo niravasesaavijjāppahānena na pahīyatīti. Atha vā vijjā viya sakalakusaladhammasamuppattiyā niravasesākusaladhammanibbattiyā, saṃsārappavattiyā ca avijjā padhānakāraṇanti tabbigghātavacanena sakalasaṃkilesagaṇasamugghāto vuttoyeva hotīti vuttaṃ ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti.

    นรา จ อมรา จ นรามรา, สห นรามเรหีติ สนรามโร, สนรามโร จ โส โลโก จาติ สนรามรโลโก, ตสฺส ครุติ สนรามรโลกครุ, ตํ สนรามรโลกครุํฯ เอเตน เทวมนุสฺสานํ วิย ตทวสิฎฺฐสตฺตานมฺปิ ยถารหํ คุณวิเสสาวหโต ภควโต อุปการิตํ ทเสฺสติฯ น เจตฺถ ปธานาปธานภาโว โจเทตโพฺพฯ อโญฺญ หิ สทฺทกฺกโม, อโญฺญ อตฺถกฺกโมฯ เอทิเสสุ หิ สมาสปเทสุ ปธานมฺปิ อปฺปธานํ วิย นิทฺทิสียติ ยถา – ‘‘สราชิกาย ปริสายา’’ติ (อป. อฎฺฐ. ๑.๘๒)ฯ กามเญฺจตฺถ สตฺตสงฺขารภาชนวเสน ติวิโธ โลโก, ครุภาวสฺส ปน อธิเปฺปตตฺตา ครุกรณสมตฺถเสฺสว ยุชฺชนโต สตฺตโลกสฺสวเสน อโตฺถ คเหตโพฺพฯ โส หิ โลกิยนฺติ เอตฺถ ปุญฺญปาปานิ ตพฺพิปาโก จาติ ‘‘โลโก’’ติ วุจฺจติฯ อมรคฺคหเณน เจตฺถ อุปปตฺติเทวา อธิเปฺปตาฯ

    Narā ca amarā ca narāmarā, saha narāmarehīti sanarāmaro, sanarāmaro ca so loko cāti sanarāmaraloko, tassa garuti sanarāmaralokagaru, taṃ sanarāmaralokagaruṃ. Etena devamanussānaṃ viya tadavasiṭṭhasattānampi yathārahaṃ guṇavisesāvahato bhagavato upakāritaṃ dasseti. Na cettha padhānāpadhānabhāvo codetabbo. Añño hi saddakkamo, añño atthakkamo. Edisesu hi samāsapadesu padhānampi appadhānaṃ viya niddisīyati yathā – ‘‘sarājikāya parisāyā’’ti (apa. aṭṭha. 1.82). Kāmañcettha sattasaṅkhārabhājanavasena tividho loko, garubhāvassa pana adhippetattā garukaraṇasamatthasseva yujjanato sattalokassavasena attho gahetabbo. So hi lokiyanti ettha puññapāpāni tabbipāko cāti ‘‘loko’’ti vuccati. Amaraggahaṇena cettha upapattidevā adhippetā.

    อถ วา สมูหโตฺถ โลก-สโทฺท สมุทายวเสน โลกียติ ปญฺญาปียตีติฯ สห นเรหีติ สนรา, สนรา จ เต อมรา เจติ สนรามรา, เตสํ โลโกติ สนรามรโลโกติ ปุริมนเยเนว โยเชตพฺพํฯ อมร-สเทฺทน เจตฺถ วิสุทฺธิเทวาปิ สงฺคยฺหนฺติฯ เต หิ มรณาภาวโต ปรมตฺถโต อมราฯ นรามรานํเยว จ คหณํ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทสวเสน, ยถา – ‘‘สตฺถา เทวมนุสฺสาน’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๑๕๗)ฯ ตถา หิ สพฺพานตฺถปริหรณปุพฺพงฺคมาย นิรวเสสหิตสุขวิธานตปฺปราย นิรติสยาย ปโยคสมฺปตฺติยา สเทวมนุสฺสาย ปชาย อจฺจนฺตุปการิตาย, อปริมิตนิรุปมปฺปภาวคุณวิเสสสมงฺคิตาย จ สพฺพสตฺตุตฺตโม ภควา อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ อุตฺตมํ คารวฎฺฐานํ, เตน วุตฺตํ – ‘‘สนรามรโลกครุ’’นฺติฯ

    Atha vā samūhattho loka-saddo samudāyavasena lokīyati paññāpīyatīti. Saha narehīti sanarā, sanarā ca te amarā ceti sanarāmarā, tesaṃ lokoti sanarāmaralokoti purimanayeneva yojetabbaṃ. Amara-saddena cettha visuddhidevāpi saṅgayhanti. Te hi maraṇābhāvato paramatthato amarā. Narāmarānaṃyeva ca gahaṇaṃ ukkaṭṭhaniddesavasena, yathā – ‘‘satthā devamanussāna’’nti (dī. ni. 1.157). Tathā hi sabbānatthapariharaṇapubbaṅgamāya niravasesahitasukhavidhānatapparāya niratisayāya payogasampattiyā sadevamanussāya pajāya accantupakāritāya, aparimitanirupamappabhāvaguṇavisesasamaṅgitāya ca sabbasattuttamo bhagavā aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ uttamaṃ gāravaṭṭhānaṃ, tena vuttaṃ – ‘‘sanarāmaralokagaru’’nti.

    โสภนํ คตํ คมนํ เอตสฺสาติ สุคโตฯ ภควโต หิ เวเนยฺยชนุปสงฺกมนํ เอกเนฺตน เตสํ หิตสุขนิปฺผาทนโต โสภนํ, ตถา ลกฺขณานุพฺยญฺชน (ที. นิ. ๒.๓๓; ๓.๑๙๘-๒๐๐; ม. นิ. ๒.๓๘๕, ๓๘๖) ปฎิมณฺฑิตรูปกายตายทุตวิลมฺพิต- ขลิตานุกฑฺฒนนิปฺปีฬนุกฺกุฎิกกุฎิลากุลตาทิโทสรหิตํ วิลาสิตราชหํสวสภวารณมิคราชคมนํ กายคมนํ ญาณคมนญฺจ วิปุลนิมฺมลกรุณาสติวีริยาทิคุณวิเสสสหิตมภินีหารโต ยาว มหาโพธิ อนวชฺชตาย โสภนเมวาติฯ

    Sobhanaṃ gataṃ gamanaṃ etassāti sugato. Bhagavato hi veneyyajanupasaṅkamanaṃ ekantena tesaṃ hitasukhanipphādanato sobhanaṃ, tathā lakkhaṇānubyañjana (dī. ni. 2.33; 3.198-200; ma. ni. 2.385, 386) paṭimaṇḍitarūpakāyatāyadutavilambita- khalitānukaḍḍhananippīḷanukkuṭikakuṭilākulatādidosarahitaṃ vilāsitarājahaṃsavasabhavāraṇamigarājagamanaṃ kāyagamanaṃ ñāṇagamanañca vipulanimmalakaruṇāsativīriyādiguṇavisesasahitamabhinīhārato yāva mahābodhi anavajjatāya sobhanamevāti.

    อถ วา สยมฺภุญาเณน สกลมฺปิ โลกํ ปริญฺญาภิสมยวเสน ปริชานโนฺต ญาเณน สมฺมา คโต อวคโตติ สุคโตฯ ตถา โลกสมุทยํ ปหานาภิสมยวเสน ปชหโนฺต อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปาเทโนฺต สมฺมา คโต อตีโตติ สุคโตฯ โลกนิโรธํ นิพฺพานํ สจฺฉิกิริยาภิสมยวเสน สมฺมา คโต อธิคโตติ สุคโตฯ โลกนิโรธคามินิปฎิปทํ ภาวนาภิสมยวเสน สมฺมา คโต ปฎิปโนฺนติ สุคโตฯ โสตาปตฺติมเคฺคน เย กิเลสา ปหีนา, เต กิเลเส น ปุเนติ, น ปเจฺจติ, น ปจฺจาคจฺฉตีติ สุคโตติอาทินา นเยน อยมโตฺถ วิภาเวตโพฺพ ฯ อถ วา สุนฺทรํ ฐานํ สมฺมาสโมฺพธิํ นิพฺพานเมว วา คโต อธิคโตติ สุคโตฯ ยสฺมา วา ภูตํ ตจฺฉํ อตฺถสญฺหิตํ วิเนยฺยานํ ยถารหํ กาลยุตฺตเมว จ ธมฺมํ ภาสติ, ตสฺมา สมฺมา คทตีติ สุคโต, ท-การสฺส ต-การํ กตฺวาฯ อิติ โสภนคมนตาทีหิ สุคโต, ตํ สุคตํฯ

    Atha vā sayambhuñāṇena sakalampi lokaṃ pariññābhisamayavasena parijānanto ñāṇena sammā gato avagatoti sugato. Tathā lokasamudayaṃ pahānābhisamayavasena pajahanto anuppattidhammataṃ āpādento sammā gato atītoti sugato. Lokanirodhaṃ nibbānaṃ sacchikiriyābhisamayavasena sammā gato adhigatoti sugato. Lokanirodhagāminipaṭipadaṃ bhāvanābhisamayavasena sammā gato paṭipannoti sugato. Sotāpattimaggena ye kilesā pahīnā, te kilese na puneti, na pacceti, na paccāgacchatīti sugatotiādinā nayena ayamattho vibhāvetabbo . Atha vā sundaraṃ ṭhānaṃ sammāsambodhiṃ nibbānameva vā gato adhigatoti sugato. Yasmā vā bhūtaṃ tacchaṃ atthasañhitaṃ vineyyānaṃ yathārahaṃ kālayuttameva ca dhammaṃ bhāsati, tasmā sammā gadatīti sugato, da-kārassa ta-kāraṃ katvā. Iti sobhanagamanatādīhi sugato, taṃ sugataṃ.

    ปุญฺญปาปกเมฺมหิ อุปปชฺชนวเสน คนฺตพฺพโต คติโย, อุปปตฺติภววิเสสาฯ ตา ปน นิรยาทิวเสน ปญฺจวิธา, ตาหิ สกลสฺสาปิ ภวคามิกมฺมสฺส อริยมคฺคาธิคเมน อวิปาการหภาวกรเณน นิวตฺติตตฺตา ภควา ปญฺจหิปิ คตีหิ สุฎฺฐุ มุโตฺต วิสํยุโตฺตติ อาห – ‘‘คติวิมุตฺต’’นฺติฯ เอเตน ภควโต กตฺถจิปิ คติยา อปริยาปนฺนตํ ทเสฺสติ, ยโต ภควา ‘‘เทวาติเทโว’’ติ วุจฺจติ, เตเนวาห –

    Puññapāpakammehi upapajjanavasena gantabbato gatiyo, upapattibhavavisesā. Tā pana nirayādivasena pañcavidhā, tāhi sakalassāpi bhavagāmikammassa ariyamaggādhigamena avipākārahabhāvakaraṇena nivattitattā bhagavā pañcahipi gatīhi suṭṭhu mutto visaṃyuttoti āha – ‘‘gativimutta’’nti. Etena bhagavato katthacipi gatiyā apariyāpannataṃ dasseti, yato bhagavā ‘‘devātidevo’’ti vuccati, tenevāha –

    ‘‘เยน เทวูปปตฺยสฺส, คนฺธโพฺพ วา วิหงฺคโม;

    ‘‘Yena devūpapatyassa, gandhabbo vā vihaṅgamo;

    ยกฺขตฺตํ เยน คเจฺฉยฺยํ, มนุสฺสตฺตญฺจ อพฺพเช;

    Yakkhattaṃ yena gaccheyyaṃ, manussattañca abbaje;

    เต มยฺหํ อาสวา ขีณา, วิทฺธสฺตา วินฬีกตา’’ติฯ (อ. นิ. ๔.๓๖);

    Te mayhaṃ āsavā khīṇā, viddhastā vinaḷīkatā’’ti. (a. ni. 4.36);

    ตํตํคติสํวตฺตนกานญฺหิ กมฺมกิเลสานํ อคฺคมเคฺคน โพธิมูเลเยว สุปฺปหีนตฺตา นตฺถิ ภควโต คติปริยาปนฺนตาติ อจฺจนฺตเมว ภควา สพฺพภวโยนิคติวิญฺญาณฎฺฐิติสตฺตาวาสสตฺตนิกาเยหิ สุปริมุโตฺต, ตํ คติวิมุตฺตํฯ วเนฺทติ นมามิ, โถเมมีติ วา อโตฺถฯ

    Taṃtaṃgatisaṃvattanakānañhi kammakilesānaṃ aggamaggena bodhimūleyeva suppahīnattā natthi bhagavato gatipariyāpannatāti accantameva bhagavā sabbabhavayonigativiññāṇaṭṭhitisattāvāsasattanikāyehi suparimutto, taṃ gativimuttaṃ. Vandeti namāmi, thomemīti vā attho.

    อถ วา คติวิมุตฺตนฺติ อนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุปฺปตฺติยา ภควนฺตํ โถเมติฯ เอตฺถ หิ ทฺวีหากาเรหิ ภควโต โถมนา เวทิตพฺพา – อตฺตหิตสมฺปตฺติโต, ปรหิตปฎิปตฺติโต จฯ เตสุ อตฺตหิตสมฺปตฺติ อนาวรณญาณาธิคมโต, สวาสนานํ สเพฺพสํ กิเลสานํ อจฺจนฺตปฺปหานโต, อนุปาทิเสสนิพฺพานปฺปตฺติโต จ เวทิตพฺพาฯ ปรหิตปฎิปตฺติ ลาภสกฺการาทินิรเปกฺขจิตฺตสฺส สพฺพทุกฺขนิยฺยานิกธมฺมเทสนาโต, วิรุเทฺธสุปิ นิจฺจํ หิตชฺฌาสยโต, ญาณปริปากกาลาคมนโต จฯ สา ปเนตฺถ อาสยโต ปโยคโต จ ทุวิธา ปรหิตปฎิปตฺติ, ติวิธา จ อตฺตหิตสมฺปตฺติ ปกาสิตา โหติฯ กถํ? ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติ เอเตน อาสยโต ปรหิตปฎิปตฺติ, สมฺมา คทนเตฺถน สุคต-สเทฺทน ปโยคโต ปรหิตปฎิปตฺติ, ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตมํ คติวิมุตฺต’’นฺติ เอเตหิ จตุสจฺจปฎิเวธเตฺถน จ สุคต-สเทฺทน ติวิธาปิ อตฺตหิตสมฺปตฺติ, อวสิเฎฺฐน, ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติ เอเตน จ สพฺพาปิ อตฺตหิตสมฺปตฺติปรหิตปฎิปตฺติ ปกาสิตา โหตีติฯ

    Atha vā gativimuttanti anupādisesanibbānadhātuppattiyā bhagavantaṃ thometi. Ettha hi dvīhākārehi bhagavato thomanā veditabbā – attahitasampattito, parahitapaṭipattito ca. Tesu attahitasampatti anāvaraṇañāṇādhigamato, savāsanānaṃ sabbesaṃ kilesānaṃ accantappahānato, anupādisesanibbānappattito ca veditabbā. Parahitapaṭipatti lābhasakkārādinirapekkhacittassa sabbadukkhaniyyānikadhammadesanāto, viruddhesupi niccaṃ hitajjhāsayato, ñāṇaparipākakālāgamanato ca. Sā panettha āsayato payogato ca duvidhā parahitapaṭipatti, tividhā ca attahitasampatti pakāsitā hoti. Kathaṃ? ‘‘Karuṇāsītalahadaya’’nti etena āsayato parahitapaṭipatti, sammā gadanatthena sugata-saddena payogato parahitapaṭipatti, ‘‘paññāpajjotavihatamohatamaṃ gativimutta’’nti etehi catusaccapaṭivedhatthena ca sugata-saddena tividhāpi attahitasampatti, avasiṭṭhena, ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti etena ca sabbāpi attahitasampattiparahitapaṭipatti pakāsitā hotīti.

    อถ วา ตีหากาเรหิ ภควโต โถมนา เวทิตพฺพา – เหตุโต, ผลโต, อุปการโต จฯ ตตฺถ เหตุ มหากรุณา, สา ปฐมปเทน นิทสฺสิตาฯ ผลํ จตุพฺพิธํ – ญาณสมฺปทา, ปหานสมฺปทา, อานุภาวสมฺปทา, รูปกายสมฺปทา จาติฯ ตาสุ ญาณปฺปหานสมฺปทา ทุติยปเทน สจฺจปฺปฎิเวธเตฺถน จ สุคต-สเทฺทน ปกาสิตา โหนฺติฯ อานุภาวสมฺปทา ตติยปเทน, รูปกายสมฺปทา ยถาวุตฺตกายคมนโสภนเตฺถน สุคต-สเทฺทน, ลกฺขณานุพฺยญฺชนปาริปูริยา (ที. นิ. ๒.๓๓; ๓.๑๙๘-๒๐๐; ม. นิ. ๒.๓๘๕-๓๘๖) วินา ตทภาวโตฯ อุปกาโร อนฺตรํ อพาหิรํ กริตฺวา ติวิธยานมุเขน วิมุตฺติธมฺมเทสนา, โส สมฺมา คทนเตฺถน สุคต-สเทฺทน ปกาสิโต โหตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Atha vā tīhākārehi bhagavato thomanā veditabbā – hetuto, phalato, upakārato ca. Tattha hetu mahākaruṇā, sā paṭhamapadena nidassitā. Phalaṃ catubbidhaṃ – ñāṇasampadā, pahānasampadā, ānubhāvasampadā, rūpakāyasampadā cāti. Tāsu ñāṇappahānasampadā dutiyapadena saccappaṭivedhatthena ca sugata-saddena pakāsitā honti. Ānubhāvasampadā tatiyapadena, rūpakāyasampadā yathāvuttakāyagamanasobhanatthena sugata-saddena, lakkhaṇānubyañjanapāripūriyā (dī. ni. 2.33; 3.198-200; ma. ni. 2.385-386) vinā tadabhāvato. Upakāro antaraṃ abāhiraṃ karitvā tividhayānamukhena vimuttidhammadesanā, so sammā gadanatthena sugata-saddena pakāsito hotīti veditabbaṃ.

    ตตฺถ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติ เอเตน สมฺมาสโมฺพธิยา มูลํ ทเสฺสติฯ มหากรุณาสโญฺจทิตมานโส หิ ภควา สํสารปงฺกโต สตฺตานํ สมุทฺธรณตฺถํ กตาภินีหาโร อนุปุเพฺพน ปารมิโย ปูเรตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อธิคโตติ กรุณา สมฺมาสโมฺพธิยา มูลํฯ ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติ เอเตน สมฺมาสโมฺพธิํ ทเสฺสติฯ อนาวรณญาณปทฎฺฐานญฺหิ มคฺคญาณํ, มคฺคญาณปทฎฺฐานญฺจ อนาวรณญาณํ ‘‘สมฺมาสโมฺพธี’’ติ วุจฺจตีติฯ สมฺมา คทนเตฺถน สุคต-สเทฺทน สมฺมาสโมฺพธิยา ปฎิปตฺติํ ทเสฺสติ, ลีนุทฺธจฺจปติฎฺฐานายูหนกามสุขลฺลิกตฺตกิลมถานุโยค- สสฺสตุเจฺฉทาภินิเวสาทิอนฺตทฺวยรหิตาย กรุณาปญฺญาปริคฺคหิตาย มชฺฌิมาย ปฎิปตฺติยา ปกาสนโต สุคต-สทฺทสฺสฯ อิตเรหิ สมฺมาสโมฺพธิยา ปธานาปฺปธานเภทํ ปโยชนํ ทเสฺสติฯ สํสารมโหฆโต สตฺตสนฺตารณเญฺจตฺถ ปธานํ ปโยชนํ, ตทญฺญมปฺปธานํฯ เตสุ ปธาเนน ปรหิตปฺปฎิปตฺติํ ทเสฺสติ, อิตเรน อตฺตหิตสมฺปตฺติํ, ตทุภเยน อตฺตหิตาย ปฎิปนฺนาทีสุ (ปุ. ป. ๒๔, ๑๗๓) จตูสุ ปุคฺคเลสุ ภควโต จตุตฺถปุคฺคลภาวํ ทเสฺสติฯ เตน จ อนุตฺตรทกฺขิเณยฺยภาวํ อุตฺตมวนฺทนียภาวํ, อตฺตโน จ วนฺทนกิริยาย เขตฺตงฺคตภาวํ ทเสฺสติฯ

    Tattha ‘‘karuṇāsītalahadaya’’nti etena sammāsambodhiyā mūlaṃ dasseti. Mahākaruṇāsañcoditamānaso hi bhagavā saṃsārapaṅkato sattānaṃ samuddharaṇatthaṃ katābhinīhāro anupubbena pāramiyo pūretvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ adhigatoti karuṇā sammāsambodhiyā mūlaṃ. ‘‘Paññāpajjotavihatamohatama’’nti etena sammāsambodhiṃ dasseti. Anāvaraṇañāṇapadaṭṭhānañhi maggañāṇaṃ, maggañāṇapadaṭṭhānañca anāvaraṇañāṇaṃ ‘‘sammāsambodhī’’ti vuccatīti. Sammā gadanatthena sugata-saddena sammāsambodhiyā paṭipattiṃ dasseti, līnuddhaccapatiṭṭhānāyūhanakāmasukhallikattakilamathānuyoga- sassatucchedābhinivesādiantadvayarahitāya karuṇāpaññāpariggahitāya majjhimāya paṭipattiyā pakāsanato sugata-saddassa. Itarehi sammāsambodhiyā padhānāppadhānabhedaṃ payojanaṃ dasseti. Saṃsāramahoghato sattasantāraṇañcettha padhānaṃ payojanaṃ, tadaññamappadhānaṃ. Tesu padhānena parahitappaṭipattiṃ dasseti, itarena attahitasampattiṃ, tadubhayena attahitāya paṭipannādīsu (pu. pa. 24, 173) catūsu puggalesu bhagavato catutthapuggalabhāvaṃ dasseti. Tena ca anuttaradakkhiṇeyyabhāvaṃ uttamavandanīyabhāvaṃ, attano ca vandanakiriyāya khettaṅgatabhāvaṃ dasseti.

    เอตฺถ จ กรุณาคฺคหเณน โลกิเยสุ มหคฺคตภาวปฺปตฺตาสาธารณคุณทีปนโต ภควโต สพฺพโลกิยคุณสมฺปตฺติ ทสฺสิตา โหติ, ปญฺญาคฺคหเณน สพฺพญฺญุตญฺญาณปทฎฺฐานมคฺคญาณทีปนโต สพฺพโลกุตฺตรคุณสมฺปตฺติฯ ตทุภยคฺคหณสิโทฺธ หิ อโตฺถ ‘‘สนรามรโลกครุ’’นฺติอาทินา วิปญฺจียตีติฯ กรุณาคฺคหเณน จ อุปคมนํ นิรุปกฺกิเลสํ ทเสฺสติ, ปญฺญาคฺคหเณน อปคมนํฯ ตถา กรุณาคฺคหเณน โลกสมญฺญานุรูปํ ภควโต ปวตฺติํ ทเสฺสติ, โลกโวหารวิสยตฺตา กรุณาย, ปญฺญาคฺคหเณน สมญฺญายานวิธาวนํฯ สภาวานวโพเธน หิ ธมฺมานํ สมญฺญํ อติธาวิตฺวา สตฺตาทิปรามสนํ โหตีติฯ ตถา กรุณาคฺคหเณน มหากรุณาสมาปตฺติวิหารํ ทเสฺสติ, ปญฺญาคฺคหเณน ตีสุ กาเลสุ อปฺปฎิหตญาณํ, จตุสจฺจญาณํ, จตุปฺปฎิสมฺภิทาญาณํ, จตุเวสฺสารชฺชญาณํฯ กรุณาคฺคหเณน มหากรุณาสมาปตฺติญาณสฺส คหิตตฺตา เสสาสาธารณญาณานิ, ฉ อภิญฺญา, อฎฺฐสุ ปริสาสุ (ม. นิ. ๑.๑๕๑) อกมฺปนญาณานิ, ทส พลานิ, จุทฺทส พุทฺธญาณานิ, โสฬส ญาณจริยา, อฎฺฐารส พุทฺธธมฺมา, (ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๓๐๕; วิภ. มูล. ฎี. คนฺถารมฺภวณฺณนาย) จตุจตฺตารีส ญาณวตฺถูนิ, (สํ. นิ. ๒.๓๔) สตฺตสตฺตติ ญาณวตฺถูนีติ (สํ. นิ. ๒.๓๔) เอวมาทีนํ อเนเกสํ ปญฺญาปฺปเภทานํ วเสน ญาณจารํ ทเสฺสติฯ

    Ettha ca karuṇāggahaṇena lokiyesu mahaggatabhāvappattāsādhāraṇaguṇadīpanato bhagavato sabbalokiyaguṇasampatti dassitā hoti, paññāggahaṇena sabbaññutaññāṇapadaṭṭhānamaggañāṇadīpanato sabbalokuttaraguṇasampatti. Tadubhayaggahaṇasiddho hi attho ‘‘sanarāmaralokagaru’’ntiādinā vipañcīyatīti. Karuṇāggahaṇena ca upagamanaṃ nirupakkilesaṃ dasseti, paññāggahaṇena apagamanaṃ. Tathā karuṇāggahaṇena lokasamaññānurūpaṃ bhagavato pavattiṃ dasseti, lokavohāravisayattā karuṇāya, paññāggahaṇena samaññāyānavidhāvanaṃ. Sabhāvānavabodhena hi dhammānaṃ samaññaṃ atidhāvitvā sattādiparāmasanaṃ hotīti. Tathā karuṇāggahaṇena mahākaruṇāsamāpattivihāraṃ dasseti, paññāggahaṇena tīsu kālesu appaṭihatañāṇaṃ, catusaccañāṇaṃ, catuppaṭisambhidāñāṇaṃ, catuvessārajjañāṇaṃ. Karuṇāggahaṇena mahākaruṇāsamāpattiñāṇassa gahitattā sesāsādhāraṇañāṇāni, cha abhiññā, aṭṭhasu parisāsu (ma. ni. 1.151) akampanañāṇāni, dasa balāni, cuddasa buddhañāṇāni, soḷasa ñāṇacariyā, aṭṭhārasa buddhadhammā, (dī. ni. aṭṭha. 3.305; vibha. mūla. ṭī. ganthārambhavaṇṇanāya) catucattārīsa ñāṇavatthūni, (saṃ. ni. 2.34) sattasattati ñāṇavatthūnīti (saṃ. ni. 2.34) evamādīnaṃ anekesaṃ paññāppabhedānaṃ vasena ñāṇacāraṃ dasseti.

    ตถา กรุณาคฺคหเณน จรณสมฺปตฺติํ, ปญฺญาคฺคหเณน วิชฺชาสมฺปตฺติํฯ กรุณาคฺคหเณน สตฺตาธิปติตา, ปญฺญาคฺคหเณน ธมฺมาธิปติตาฯ กรุณาคฺคหเณน โลกนาถภาโว, ปญฺญาคฺคหเณน อตฺตนาถภาโวฯ ตถา กรุณาคฺคหเณน ปุพฺพการิภาโว, ปญฺญาคฺคหเณน กตญฺญุตา ฯ ตถา กรุณาคฺคหเณน อปรนฺตปตา, ปญฺญาคฺคหเณน อนตฺตนฺตปตาฯ กรุณาคฺคหเณน วา พุทฺธกรธมฺมสิทฺธิ, ปญฺญาคฺคหเณน พุทฺธภาวสิทฺธิฯ ตถา กรุณาคฺคหเณน ปเรสํ ตารณํ, ปญฺญาคฺคหเณน สยํ ตารณํฯ ตถา กรุณาคฺคหเณน สพฺพสเตฺตสุ อนุคฺคหจิตฺตตา, ปญฺญาคฺคหเณน สพฺพธเมฺมสุ วิรตฺตจิตฺตตา ทสฺสิตา โหติฯ สเพฺพสญฺจ พุทฺธคุณานํ กรุณา อาทิ, ตนฺนิทานภาวโตฯ ปญฺญา ปริโยสานํ, ตโต อุตฺตริกรณียาภาวโตฯ อิติ อาทิปริโยสานทสฺสเนน สเพฺพ พุทฺธคุณา ทสฺสิตา โหนฺติฯ ตถา กรุณาคฺคหเณน สีลกฺขนฺธปุพฺพงฺคโม สมาธิกฺขโนฺธ ทสฺสิโต โหติฯ กรุณานิทานญฺหิ สีลํ, ตโต ปาณาติปาตาทิวิรติปฺปวตฺติโต, สา จ ฌานตฺตยสมฺปโยคินีติฯ ปญฺญาวจเนน ปญฺญากฺขโนฺธฯ สีลญฺจ สพฺพพุทฺธคุณานมาทิ, สมาธิ มเชฺฌ, ปญฺญา ปริโยสานนฺติฯ เอวมฺปิ อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณา สเพฺพ พุทฺธคุณา ทสฺสิตา โหนฺติ, นยโต ทสฺสิตตฺตาฯ เอโส เอว หิ นิรวเสสโต พุทฺธคุณานํ ทสฺสนุปาโย, ยทิทํ นยคฺคาหณํฯ อญฺญถา โก นาม สมโตฺถ ภควโต คุเณ อนุปทํ นิรวเสสโต ทเสฺสตุํฯ เตเนวาห –

    Tathā karuṇāggahaṇena caraṇasampattiṃ, paññāggahaṇena vijjāsampattiṃ. Karuṇāggahaṇena sattādhipatitā, paññāggahaṇena dhammādhipatitā. Karuṇāggahaṇena lokanāthabhāvo, paññāggahaṇena attanāthabhāvo. Tathā karuṇāggahaṇena pubbakāribhāvo, paññāggahaṇena kataññutā . Tathā karuṇāggahaṇena aparantapatā, paññāggahaṇena anattantapatā. Karuṇāggahaṇena vā buddhakaradhammasiddhi, paññāggahaṇena buddhabhāvasiddhi. Tathā karuṇāggahaṇena paresaṃ tāraṇaṃ, paññāggahaṇena sayaṃ tāraṇaṃ. Tathā karuṇāggahaṇena sabbasattesu anuggahacittatā, paññāggahaṇena sabbadhammesu virattacittatā dassitā hoti. Sabbesañca buddhaguṇānaṃ karuṇā ādi, tannidānabhāvato. Paññā pariyosānaṃ, tato uttarikaraṇīyābhāvato. Iti ādipariyosānadassanena sabbe buddhaguṇā dassitā honti. Tathā karuṇāggahaṇena sīlakkhandhapubbaṅgamo samādhikkhandho dassito hoti. Karuṇānidānañhi sīlaṃ, tato pāṇātipātādiviratippavattito, sā ca jhānattayasampayoginīti. Paññāvacanena paññākkhandho. Sīlañca sabbabuddhaguṇānamādi, samādhi majjhe, paññā pariyosānanti. Evampi ādimajjhapariyosānakalyāṇā sabbe buddhaguṇā dassitā honti, nayato dassitattā. Eso eva hi niravasesato buddhaguṇānaṃ dassanupāyo, yadidaṃ nayaggāhaṇaṃ. Aññathā ko nāma samattho bhagavato guṇe anupadaṃ niravasesato dassetuṃ. Tenevāha –

    ‘‘พุโทฺธปิ พุทฺธสฺส ภเณยฺย วณฺณํ,

    ‘‘Buddhopi buddhassa bhaṇeyya vaṇṇaṃ,

    กปฺปมฺปิ เจ อญฺญมภาสมาโน;

    Kappampi ce aññamabhāsamāno;

    ขีเยถ กโปฺป จิรทีฆมนฺตเร,

    Khīyetha kappo ciradīghamantare,

    วโณฺณ น ขีเยถ ตถาคตสฺสา’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๐๔; ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๑๔๑; ม. นิ. อฎฺฐ. ๓.๔๒๕, อุทา. อฎฺฐ. ๕๓; พุ. วํ. อฎฺฐ. ๔.๔; จริยา. อฎฺฐ. นิทานกถายํ, ปกิณฺณกกถายํ; อป. อฎฺฐ. ๒.๖.๒๐);

    Vaṇṇo na khīyetha tathāgatassā’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.304; dī. ni. aṭṭha. 3.141; ma. ni. aṭṭha. 3.425, udā. aṭṭha. 53; bu. vaṃ. aṭṭha. 4.4; cariyā. aṭṭha. nidānakathāyaṃ, pakiṇṇakakathāyaṃ; apa. aṭṭha. 2.6.20);

    เตเนว จ อายสฺมตา สาริปุตฺตเตฺถเรนาปิ พุทฺธคุณปริเจฺฉทนํ ปติ อนุยุเตฺตน ‘‘โน เหตํ ภเนฺต’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๔๕) ปฎิกฺขิปิตฺวา, ‘‘อปิ จ เม ภเนฺต ธมฺมนฺวโย วิทิโต’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๔๖) วุตฺตํฯ

    Teneva ca āyasmatā sāriputtattherenāpi buddhaguṇaparicchedanaṃ pati anuyuttena ‘‘no hetaṃ bhante’’ti (dī. ni. 2.145) paṭikkhipitvā, ‘‘api ca me bhante dhammanvayo vidito’’ti (dī. ni. 2.146) vuttaṃ.

    เอวํ สเงฺขเปน สกลสพฺพญฺญุคุเณหิ ภควนฺตํ อภิตฺถวิตฺวา อิทานิ สทฺธมฺมํ โถเมตุํ ‘‘พุโทฺธปี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ พุโทฺธติ กตฺตุนิเทฺทโสฯ พุทฺธภาวนฺติ กมฺมนิเทฺทโสฯ ภาเวตฺวา, สจฺฉิกตฺวาติ จ ปุพฺพกาลกิริยานิเทฺทโสฯ นฺติ อนิยมโต กมฺมนิเทฺทโสฯ อุปคโตติ อปรกาลกิริยานิเทฺทโสฯ วเนฺทติ กิริยานิเทฺทโส, นฺติ นิยมนํฯ ธมฺมนฺติ วนฺทนกิริยาย กมฺมนิเทฺทโสฯ คตมลํ, อนุตฺตรนฺติ จ ตพฺพิเสสนํฯ

    Evaṃ saṅkhepena sakalasabbaññuguṇehi bhagavantaṃ abhitthavitvā idāni saddhammaṃ thometuṃ ‘‘buddhopī’’tiādimāha. Tattha buddhoti kattuniddeso. Buddhabhāvanti kammaniddeso. Bhāvetvā, sacchikatvāti ca pubbakālakiriyāniddeso. Yanti aniyamato kammaniddeso. Upagatoti aparakālakiriyāniddeso. Vandeti kiriyāniddeso, tanti niyamanaṃ. Dhammanti vandanakiriyāya kammaniddeso. Gatamalaṃ, anuttaranti ca tabbisesanaṃ.

    ตตฺถ พุทฺธ-สทฺทสฺส ตาว ‘‘พุชฺฌิตา สจฺจานีติ พุโทฺธ, โพเธตา ปชายาติ พุโทฺธ’’ติอาทินา (มหานิ. ๑๙๒; จูฬนิ. ๙๕-๙๗; ปฎิ. ม. ๑.๑๖๒) นิเทฺทสนเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อถ วา สวาสนาย อญฺญาณนิทฺทาย อจฺจนฺตวิคมโต, พุทฺธิยา วา วิกสิตภาวโต พุทฺธวาติ พุโทฺธ, ชาครณวิกสนตฺถวเสนฯ อถ วา กสฺสจิปิ เญยฺยธมฺมสฺส อนวพุทฺธสฺส อภาเวน เญยฺยวิเสสสฺส กมฺมภาเวน อคฺคหณโต กมฺมวจนิจฺฉาย อภาเวน อวคมนตฺถวเสเนว กตฺตุนิเทฺทโส ลพฺภตีติ พุทฺธวาติ พุโทฺธ, ยถา ‘‘ทิกฺขิโต น ททาตี’’ติ, อตฺถโต ปน ปารมิตาปริภาวิโต สยมฺภูญาเณน สห วาสนาย วิหตวิทฺธสฺตนิรวเสสกิเลโส มหากรุณาสพฺพญฺญุตญฺญาณาทิอปริเมยฺย คุณคณาธาโร ขนฺธสนฺตาโน พุโทฺธฯ ยถาห –

    Tattha buddha-saddassa tāva ‘‘bujjhitā saccānīti buddho, bodhetā pajāyāti buddho’’tiādinā (mahāni. 192; cūḷani. 95-97; paṭi. ma. 1.162) niddesanayena attho veditabbo. Atha vā savāsanāya aññāṇaniddāya accantavigamato, buddhiyā vā vikasitabhāvato buddhavāti buddho, jāgaraṇavikasanatthavasena. Atha vā kassacipi ñeyyadhammassa anavabuddhassa abhāvena ñeyyavisesassa kammabhāvena aggahaṇato kammavacanicchāya abhāvena avagamanatthavaseneva kattuniddeso labbhatīti buddhavāti buddho, yathā ‘‘dikkhito na dadātī’’ti, atthato pana pāramitāparibhāvito sayambhūñāṇena saha vāsanāya vihataviddhastaniravasesakileso mahākaruṇāsabbaññutaññāṇādiaparimeyya guṇagaṇādhāro khandhasantāno buddho. Yathāha –

    ‘‘พุโทฺธติ โย โส ภควา สยมฺภู อนาจริยโก ปุเพฺพ อนนุสฺสุเตสุ ธเมฺมสุ สามํ สจฺจานิ อภิสมฺพุชฺฌิ, ตตฺถ จ สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต, พเลสุ จ วสีภาว’’นฺติ (มหานิ. ๑๙๒; จูฬนิ. ๙๕-๙๗; ปฎิ. ม. ๑.๑๖๒)ฯ

    ‘‘Buddhoti yo so bhagavā sayambhū anācariyako pubbe ananussutesu dhammesu sāmaṃ saccāni abhisambujjhi, tattha ca sabbaññutaṃ patto, balesu ca vasībhāva’’nti (mahāni. 192; cūḷani. 95-97; paṭi. ma. 1.162).

    อปิ-สโทฺท สมฺภาวเน, เตน ‘‘เอวํ คุณวิเสสยุโตฺต โสปิ นาม ภควา’’ติ วกฺขมานคุเณ ธเมฺม สมฺภาวนํ ทีเปติฯ พุทฺธภาวนฺติ สมฺมาสโมฺพธิํฯ ภาเวตฺวาติ อุปฺปาเทตฺวา, วเฑฺฒตฺวา จฯ สจฺฉิกตฺวาติ ปจฺจกฺขํ กตฺวาฯ อุปคโตติ ปโตฺต, อธิคโตติ อโตฺถ, เอตสฺส ‘‘พุทฺธภาว’’นฺติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ คตมลนฺติ วิคตมลํ, นิโทฺทสนฺติ อโตฺถฯ วเนฺทติ ปณมามิ, โถเมมิ วาฯ อนุตฺตรนฺติ อุตฺตรรหิตํ, โลกุตฺตรนฺติ อโตฺถฯ ธมฺมนฺติ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาเน อปายโต จ, สํสารโต จ อปตมาเน กตฺวา ธารยตีติ ธโมฺมฯ

    Api-saddo sambhāvane, tena ‘‘evaṃ guṇavisesayutto sopi nāma bhagavā’’ti vakkhamānaguṇe dhamme sambhāvanaṃ dīpeti. Buddhabhāvanti sammāsambodhiṃ. Bhāvetvāti uppādetvā, vaḍḍhetvā ca. Sacchikatvāti paccakkhaṃ katvā. Upagatoti patto, adhigatoti attho, etassa ‘‘buddhabhāva’’nti etena sambandho. Gatamalanti vigatamalaṃ, niddosanti attho. Vandeti paṇamāmi, thomemi vā. Anuttaranti uttararahitaṃ, lokuttaranti attho. Dhammanti yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāne apāyato ca, saṃsārato ca apatamāne katvā dhārayatīti dhammo.

    อยเญฺหตฺถ สเงฺขปโตฺถ – เอวํ วิวิธคุณสมนฺนาคโต พุโทฺธปิ ภควา ยํ อริยสงฺขาตํ ธมฺมํ ภาเวตฺวา, ผลนิพฺพานสงฺขาตํ ปน สจฺฉิกตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อธิคโต, ตเมตํ พุทฺธานมฺปิ พุทฺธภาวเหตุภูตํ สพฺพโทสมลรหิตํ อตฺตโน อุตฺตริตราภาเวน อนุตฺตรํ ปฎิเวธสทฺธมฺมํ นมามีติฯ ปริยตฺติสทฺธมฺมสฺสาปิ ตปฺปกาสนตฺตา อิธ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ อถ วา ‘‘อภิธมฺมนยสมุทฺทํ ภาเวตฺวา อธิคจฺฉิ, ตีณิ ปิฎกานิ สมฺมสี’’ติ จ อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา ปริยตฺติธมฺมสฺสาปิ สจฺฉิกิริยาสมฺมสนปริยาโย ลพฺภตีติ โสปิ อิธ วุโตฺต เยวาติ ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา ‘‘ยํ ธมฺมํ ภาเวตฺวา, สจฺฉิกตฺวา’’ติ จ วุตฺตตฺตา พุทฺธกรธมฺมภูตาหิ ปารมิตาหิ สห ปุพฺพภาเค อธิสีลสิกฺขาทโยปิ อิธ ธมฺม-สเทฺทน สงฺคหิตาติ เวทิตพฺพาฯ ตาปิ หิ วิคตปฎิปกฺขตาย วิคตมลา, อนญฺญสาธารณตาย อนุตฺตรา จาติฯ ตถา หิ สตฺตานํ สกลวฎฺฎทุกฺขนิสฺสรณาย กตมหาภินีหาโร มหากรุณาธิวาสเปสลชฺฌาสโย ปญฺญาวิเสสปริโยทาตนิมฺมลานํ ทานทมสญฺญมาทีนํ อุตฺตมธมฺมานํ สตสหสฺสาธิกานิ กปฺปานํ จตฺตาริ อสเงฺขยฺยานิ สกฺกจฺจํ นิรนฺตรํ นิรวเสสํ ภาวนาปจฺจกฺขกรเณหิ กมฺมาทีสุ อธิคตวสีภาโว, อจฺฉริยาจิเนฺตยฺยมหานุภาโว, อธิสีลอธิจิตฺตานํ ปรมุกฺกํสปารมิปฺปโตฺต ภควา ปจฺจยากาเร จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสมุเขน มหาวชิรญาณํ เปเสตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติฯ

    Ayañhettha saṅkhepattho – evaṃ vividhaguṇasamannāgato buddhopi bhagavā yaṃ ariyasaṅkhātaṃ dhammaṃ bhāvetvā, phalanibbānasaṅkhātaṃ pana sacchikatvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ adhigato, tametaṃ buddhānampi buddhabhāvahetubhūtaṃ sabbadosamalarahitaṃ attano uttaritarābhāvena anuttaraṃ paṭivedhasaddhammaṃ namāmīti. Pariyattisaddhammassāpi tappakāsanattā idha saṅgaho daṭṭhabbo. Atha vā ‘‘abhidhammanayasamuddaṃ bhāvetvā adhigacchi, tīṇi piṭakāni sammasī’’ti ca aṭṭhakathāyaṃ vuttattā pariyattidhammassāpi sacchikiriyāsammasanapariyāyo labbhatīti sopi idha vutto yevāti daṭṭhabbo. Tathā ‘‘yaṃ dhammaṃ bhāvetvā, sacchikatvā’’ti ca vuttattā buddhakaradhammabhūtāhi pāramitāhi saha pubbabhāge adhisīlasikkhādayopi idha dhamma-saddena saṅgahitāti veditabbā. Tāpi hi vigatapaṭipakkhatāya vigatamalā, anaññasādhāraṇatāya anuttarā cāti. Tathā hi sattānaṃ sakalavaṭṭadukkhanissaraṇāya katamahābhinīhāro mahākaruṇādhivāsapesalajjhāsayo paññāvisesapariyodātanimmalānaṃ dānadamasaññamādīnaṃ uttamadhammānaṃ satasahassādhikāni kappānaṃ cattāri asaṅkheyyāni sakkaccaṃ nirantaraṃ niravasesaṃ bhāvanāpaccakkhakaraṇehi kammādīsu adhigatavasībhāvo, acchariyācinteyyamahānubhāvo, adhisīlaadhicittānaṃ paramukkaṃsapāramippatto bhagavā paccayākāre catuvīsatikoṭisatasahassamukhena mahāvajirañāṇaṃ pesetvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddhoti.

    เอตฺถ จ ‘‘ภาเวตฺวา’’ติ เอเตน วิชฺชาสมฺปทาย ธมฺมํ โถเมติ, ‘สจฺฉิกตฺวา’ติ เอเตน วิมุตฺติสมฺปทายฯ ตถา ปฐเมน ฌานสมฺปทาย, ทุติเยน วิโมกฺขสมฺปทายฯ ปฐเมน วา สมาธิสมฺปทาย, ทุติเยน สมาปตฺติสมฺปทายฯ อถ วา ปฐเมน ขยญาณภาเวน, ทุติเยน อนุปฺปาทญาณภาเวนฯ ปุริเมน วา วิชฺชูปมตาย, ทุติเยน วชิรูปมตายฯ ปุริเมน วา วิราคสมฺปตฺติยา, ทุติเยน นิโรธสมฺปตฺติยาฯ ตถา ปฐเมน นิยฺยานภาเวน, ทุติเยน นิสฺสรณภาเวนฯ ปฐเมน วา เหตุภาเวน, ทุติเยน อสงฺขตภาเวนฯ ปฐเมน วา ทสฺสนภาเวน, ทุติเยน วิเวกภาเวนฯ ปฐเมน วา อธิปติภาเวน, ทุติเยน อมตภาเวน ธมฺมํ โถเมติฯ อถ วา ‘‘ยํ ธมฺมํ ภาเวตฺวา พุทฺธภาวํ อุปคโต’’ติ เอเตน สฺวากฺขาตตาย ธมฺมํ โถเมติ, ‘‘สจฺฉิกตฺวา’’ติ เอเตน สนฺทิฎฺฐิกตายฯ ตถา ปุริเมน อกาลิกตาย, ปจฺฉิเมน เอหิปสฺสิกตายฯ ปุริเมน วา โอปเนยฺยิกตาย, ปจฺฉิเมน ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺพตาย ธมฺมํ โถเมติฯ

    Ettha ca ‘‘bhāvetvā’’ti etena vijjāsampadāya dhammaṃ thometi, ‘sacchikatvā’ti etena vimuttisampadāya. Tathā paṭhamena jhānasampadāya, dutiyena vimokkhasampadāya. Paṭhamena vā samādhisampadāya, dutiyena samāpattisampadāya. Atha vā paṭhamena khayañāṇabhāvena, dutiyena anuppādañāṇabhāvena. Purimena vā vijjūpamatāya, dutiyena vajirūpamatāya. Purimena vā virāgasampattiyā, dutiyena nirodhasampattiyā. Tathā paṭhamena niyyānabhāvena, dutiyena nissaraṇabhāvena. Paṭhamena vā hetubhāvena, dutiyena asaṅkhatabhāvena. Paṭhamena vā dassanabhāvena, dutiyena vivekabhāvena. Paṭhamena vā adhipatibhāvena, dutiyena amatabhāvena dhammaṃ thometi. Atha vā ‘‘yaṃ dhammaṃ bhāvetvā buddhabhāvaṃ upagato’’ti etena svākkhātatāya dhammaṃ thometi, ‘‘sacchikatvā’’ti etena sandiṭṭhikatāya. Tathā purimena akālikatāya, pacchimena ehipassikatāya. Purimena vā opaneyyikatāya, pacchimena paccattaṃ veditabbatāya dhammaṃ thometi.

    ‘‘คตมล’’นฺติ อิมินา สํกิเลสาภาวทีปเนน ธมฺมสฺส ปริสุทฺธตํ ทเสฺสติ, ‘‘อนุตฺตร’’นฺติ เอเตน อญฺญสฺส วิสิฎฺฐสฺส อภาวทีปเนน วิปุลปริปุณฺณตํฯ ปฐเมน วา ปหานสมฺปทํ ธมฺมสฺส ทเสฺสติ, ทุติเยน ปภาวสมฺปทํฯ ภาเวตพฺพตาย วา ธมฺมสฺส คตมลภาโว โยเชตโพฺพ ฯ ภาวนาคุเณน หิ โส โทสานํ สมุคฺฆาตโก โหตีติฯ สจฺฉิกาตพฺพภาเวน อนุตฺตรภาโว โยเชตโพฺพฯ สจฺฉิกิริยานิพฺพตฺติโต หิ ตทุตฺตริกรณียาภาวโต อนญฺญสาธารณตาย อนุตฺตโรติฯ ตถา ‘‘ภาเวตฺวา’’ติ เอเตน สห ปุพฺพภาคสีลาทีหิ เสกฺขา สีลสมาธิปญฺญากฺขนฺธา ทสฺสิตา โหนฺติ, ‘‘สจฺฉิกตฺวา’’ติ เอเตน สห อสงฺขตาย ธาตุยา อเสกฺขา สีลสมาธิปญฺญากฺขนฺธา ทสฺสิตา โหนฺตีติฯ

    ‘‘Gatamala’’nti iminā saṃkilesābhāvadīpanena dhammassa parisuddhataṃ dasseti, ‘‘anuttara’’nti etena aññassa visiṭṭhassa abhāvadīpanena vipulaparipuṇṇataṃ. Paṭhamena vā pahānasampadaṃ dhammassa dasseti, dutiyena pabhāvasampadaṃ. Bhāvetabbatāya vā dhammassa gatamalabhāvo yojetabbo . Bhāvanāguṇena hi so dosānaṃ samugghātako hotīti. Sacchikātabbabhāvena anuttarabhāvo yojetabbo. Sacchikiriyānibbattito hi taduttarikaraṇīyābhāvato anaññasādhāraṇatāya anuttaroti. Tathā ‘‘bhāvetvā’’ti etena saha pubbabhāgasīlādīhi sekkhā sīlasamādhipaññākkhandhā dassitā honti, ‘‘sacchikatvā’’ti etena saha asaṅkhatāya dhātuyā asekkhā sīlasamādhipaññākkhandhā dassitā hontīti.

    เอวํ สเงฺขเปเนว สพฺพธมฺมคุเณหิ สทฺธมฺมํ อภิตฺถวิตฺวา, อิทานิ อริยสงฺฆํ โถเมตุํ ‘‘สุคตสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุคตสฺสาติ สมฺพนฺธนิเทฺทโส, ตสฺส ‘‘ปุตฺตาน’’นฺติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ โอรสานนฺติ ปุตฺตวิเสสนํฯ มารเสนมถนานนฺติ โอรสปุตฺตภาเว การณนิเทฺทโส, เตน กิเลสปฺปหานเมว ภควโต โอรสปุตฺตภาวการณํ อนุชานาตีติ ทเสฺสติฯ อฎฺฐนฺนนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโส, เตน จ สติปิ เตสํ สตฺตวิเสสภาเวน อเนกสตสหสฺสสงฺขฺยภาเว อิมํ คณนปริเจฺฉทํ นาติวตฺตนฺตีติ ทเสฺสติ, มคฺคฎฺฐผลฎฺฐภาวานติวตฺตนโตฯ สมูหนฺติ สมุทายนิเทฺทโสฯ อริยสงฺฆนฺติ คุณวิสิฎฺฐสงฺฆาตภาวนิเทฺทโส, เตน อสติปิ อริยปุคฺคลานํ กายสามคฺคิยํ อริยสงฺฆภาวํ ทเสฺสติ, ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สํหตภาวโตฯ ตตฺถ อุรสิ ภวา ชาตา, สํวทฺธา จ โอรสาฯ ยถา หิ สตฺตานํ โอรสปุตฺตา อตฺตชาตตาย ปิตุสนฺตกสฺส ทายชฺชสฺส วิเสเสน ภาคิโน โหนฺติ, เอวเมเตปิ อริยปุคฺคลา สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สวนเนฺต อริยาย ชาติยา ชาตตาย ภควโต สนฺตกสฺส วิมุตฺติสุขสฺส, อริยธมฺมรตนสฺส จ เอกนฺตภาคิโนติ โอรสา วิย โอรสาฯ อถ วา ภควโต ธมฺมเทสนานุภาเวน อริยภูมิํ โอกฺกมมานา, โอกฺกนฺตา จ อริยสาวกา ภควโต อุโรวายามชนิตาภิชาตตาย นิปฺปริยาเยน ‘‘โอรสปุตฺตา’’ติ วตฺตพฺพตํ อรหนฺติฯ สาวเกหิ ปวตฺติยมานาปิ หิ ธมฺมเทสนา ภควโต ‘‘ธมฺมเทสนา’’ อิเจฺจว วุจฺจติ, ตํมูลกตฺตา, ลกฺขณาทิวิเสสาภาวโต จฯ

    Evaṃ saṅkhepeneva sabbadhammaguṇehi saddhammaṃ abhitthavitvā, idāni ariyasaṅghaṃ thometuṃ ‘‘sugatassā’’tiādimāha. Tattha sugatassāti sambandhaniddeso, tassa ‘‘puttāna’’nti etena sambandho. Orasānanti puttavisesanaṃ. Mārasenamathanānanti orasaputtabhāve kāraṇaniddeso, tena kilesappahānameva bhagavato orasaputtabhāvakāraṇaṃ anujānātīti dasseti. Aṭṭhannanti gaṇanaparicchedaniddeso, tena ca satipi tesaṃ sattavisesabhāvena anekasatasahassasaṅkhyabhāve imaṃ gaṇanaparicchedaṃ nātivattantīti dasseti, maggaṭṭhaphalaṭṭhabhāvānativattanato. Samūhanti samudāyaniddeso. Ariyasaṅghanti guṇavisiṭṭhasaṅghātabhāvaniddeso, tena asatipi ariyapuggalānaṃ kāyasāmaggiyaṃ ariyasaṅghabhāvaṃ dasseti, diṭṭhisīlasāmaññena saṃhatabhāvato. Tattha urasi bhavā jātā, saṃvaddhā ca orasā. Yathā hi sattānaṃ orasaputtā attajātatāya pitusantakassa dāyajjassa visesena bhāgino honti, evametepi ariyapuggalā sammāsambuddhassa savanante ariyāya jātiyā jātatāya bhagavato santakassa vimuttisukhassa, ariyadhammaratanassa ca ekantabhāginoti orasā viya orasā. Atha vā bhagavato dhammadesanānubhāvena ariyabhūmiṃ okkamamānā, okkantā ca ariyasāvakā bhagavato urovāyāmajanitābhijātatāya nippariyāyena ‘‘orasaputtā’’ti vattabbataṃ arahanti. Sāvakehi pavattiyamānāpi hi dhammadesanā bhagavato ‘‘dhammadesanā’’ icceva vuccati, taṃmūlakattā, lakkhaṇādivisesābhāvato ca.

    ยทิปิ อริยสาวกานํ อริยมคฺคาธิคมสมเย ภควโต วิย ตทนฺตรายกรณตฺถํ เทวปุตฺตมาโร , มารวาหินี วา น เอกเนฺตน อปสาเทติ, เตหิ ปน อปสาเทตพฺพตาย การเณ วิมถิเต เตปิ วิมถิตา เอว นาม โหนฺตีติ อาห – ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ ‘มารมารเสนมถนาน’นฺติ วตฺตเพฺพ ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ เอกเทสสรูเปกเสโส กโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา ขนฺธาภิสงฺขารมารานํ วิย เทวปุตฺตมารสฺสาปิ คุณมารเณ สหายภาวูปคมนโต กิเลสพลกาโย ‘‘เสนา’’ติ วุจฺจติฯ ยถาห – ‘‘กามา เต ปฐมา เสนา’’ติอาทิ (สุ. นิ. ๔๓๘; มหานิ. ๒๘, ๖๘; จูฬนิ. ๔๗)ฯ สา จ เตหิ ทิยฑฺฒสหสฺสเภทา, อนนฺตเภทา วา กิเลสวาหินี สติธมฺมวิจยวีริยสมถาทิคุณปหรเณหิ โอธิโส วิมถิตา, วิหตา, วิทฺธสฺตา จาติ มารเสนมถนา, อริยสาวกาฯ เอเตน เตสํ ภควโต อนุชาตปุตฺตตํ ทเสฺสติฯ

    Yadipi ariyasāvakānaṃ ariyamaggādhigamasamaye bhagavato viya tadantarāyakaraṇatthaṃ devaputtamāro , māravāhinī vā na ekantena apasādeti, tehi pana apasādetabbatāya kāraṇe vimathite tepi vimathitā eva nāma hontīti āha – ‘‘mārasenamathanāna’’nti. Imasmiṃ panatthe ‘māramārasenamathanāna’nti vattabbe ‘‘mārasenamathanāna’’nti ekadesasarūpekaseso katoti daṭṭhabbaṃ. Atha vā khandhābhisaṅkhāramārānaṃ viya devaputtamārassāpi guṇamāraṇe sahāyabhāvūpagamanato kilesabalakāyo ‘‘senā’’ti vuccati. Yathāha – ‘‘kāmā te paṭhamā senā’’tiādi (su. ni. 438; mahāni. 28, 68; cūḷani. 47). Sā ca tehi diyaḍḍhasahassabhedā, anantabhedā vā kilesavāhinī satidhammavicayavīriyasamathādiguṇapaharaṇehi odhiso vimathitā, vihatā, viddhastā cāti mārasenamathanā, ariyasāvakā. Etena tesaṃ bhagavato anujātaputtataṃ dasseti.

    อารกตฺตา กิเลเสหิ, อนเย น อิริยนโต, อเย จ อิริยนโต อริยา, นิรุตฺตินเยนฯ อถ วา สเทวเกน โลเกน ‘‘สรณ’’นฺติ อรณียโต อุปคนฺตพฺพโต, อุปคตานญฺจ ตทตฺถสิทฺธิโต อริยา, อริยานํ สโงฺฆติ อริยสโงฺฆ, อริโย จ โส, สโงฺฆ จาติ วา อริยสโงฺฆ, ตํ อริยสงฺฆํฯ ภควโต อปรภาเค พุทฺธธมฺมรตนานมฺปิ สมธิคโม สงฺฆรตนาธีโนติ อสฺส อริยสงฺฆสฺส พหูปการตํ ทเสฺสตุํ อิเธว ‘‘สิรสา วเนฺท’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Ārakattā kilesehi, anaye na iriyanato, aye ca iriyanato ariyā, niruttinayena. Atha vā sadevakena lokena ‘‘saraṇa’’nti araṇīyato upagantabbato, upagatānañca tadatthasiddhito ariyā, ariyānaṃ saṅghoti ariyasaṅgho, ariyo ca so, saṅgho cāti vā ariyasaṅgho, taṃ ariyasaṅghaṃ. Bhagavato aparabhāge buddhadhammaratanānampi samadhigamo saṅgharatanādhīnoti assa ariyasaṅghassa bahūpakārataṃ dassetuṃ idheva ‘‘sirasā vande’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ.

    เอตฺถ จ ‘‘สุคตสฺส โอรสานํ ปุตฺตาน’’นฺติ เอเตน อริยสงฺฆสฺส ปภวสมฺปทํ ทเสฺสติ, ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ เอเตน ปหานสมฺปทํ, สกลสํกิเลสปฺปหานทีปนโตฯ ‘‘อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูห’’นฺติ เอเตน ญาณสมฺปทํ, มคฺคฎฺฐผลฎฺฐภาวทีปนโตฯ ‘‘อริยสงฺฆ’’นฺติ เอเตน ปภวสมฺปทํ ทเสฺสติ, สพฺพสงฺฆานํ อคฺคภาวทีปนโตฯ อถ วา ‘‘สุคตสฺส โอรสานํ ปุตฺตาน’’นฺติ อริยสงฺฆสฺส วิสุทฺธนิสฺสยภาวทีปนํ, ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ สมฺมาอุชุญายสามีจิปฺปฎิปนฺนภาวทีปนํ, ‘‘อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูห’’นฺติ อาหุเนยฺยาทิภาวทีปนํ, ‘‘อริยสงฺฆ’’นฺติ อนุตฺตรปุญฺญเกฺขตฺตภาวทีปนํฯ ตถา ‘‘สุคตสฺส โอรสานํ ปุตฺตาน’’นฺติ เอเตน อริยสงฺฆสฺส โลกุตฺตรสรณคมนสพฺภาวํ ทีเปติฯ โลกุตฺตรสรณคมเนน หิ เต ภควโต โอรสปุตฺตา ชาตาฯ ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ เอเตน อภินีหารสมฺปทาสิทฺธํ ปุพฺพภาเค สมฺมาปฎิปตฺติํ ทเสฺสติฯ กตาภินีหารา หิ สมฺมา ปฎิปนฺนา มารํ, มารปริสํ วา อภิวิชินนฺติฯ ‘‘อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูห’’นฺติ เอเตน วิทฺธสฺตวิปเกฺข เสกฺขาเสกฺขธเมฺม ทเสฺสติ, ปุคฺคลาธิฎฺฐาเนน มคฺคผลธมฺมานํ ปกาสิตตฺตาฯ ‘‘อริยสงฺฆ’’นฺติ อคฺคทกฺขิเณยฺยภาวํ ทเสฺสติฯ สรณคมนญฺจ สาวกานํ สพฺพคุณานมาทิ, สปุพฺพภาคปฺปฎิปทา เสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย มเชฺฌ, อเสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย ปริโยสานนฺติ อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณา สเงฺขปโต สเพฺพ อริยสงฺฆคุณา ปกาสิตา โหนฺติฯ

    Ettha ca ‘‘sugatassa orasānaṃ puttāna’’nti etena ariyasaṅghassa pabhavasampadaṃ dasseti, ‘‘mārasenamathanāna’’nti etena pahānasampadaṃ, sakalasaṃkilesappahānadīpanato. ‘‘Aṭṭhannampi samūha’’nti etena ñāṇasampadaṃ, maggaṭṭhaphalaṭṭhabhāvadīpanato. ‘‘Ariyasaṅgha’’nti etena pabhavasampadaṃ dasseti, sabbasaṅghānaṃ aggabhāvadīpanato. Atha vā ‘‘sugatassa orasānaṃ puttāna’’nti ariyasaṅghassa visuddhanissayabhāvadīpanaṃ, ‘‘mārasenamathanāna’’nti sammāujuñāyasāmīcippaṭipannabhāvadīpanaṃ, ‘‘aṭṭhannampi samūha’’nti āhuneyyādibhāvadīpanaṃ, ‘‘ariyasaṅgha’’nti anuttarapuññakkhettabhāvadīpanaṃ. Tathā ‘‘sugatassa orasānaṃ puttāna’’nti etena ariyasaṅghassa lokuttarasaraṇagamanasabbhāvaṃ dīpeti. Lokuttarasaraṇagamanena hi te bhagavato orasaputtā jātā. ‘‘Mārasenamathanāna’’nti etena abhinīhārasampadāsiddhaṃ pubbabhāge sammāpaṭipattiṃ dasseti. Katābhinīhārā hi sammā paṭipannā māraṃ, māraparisaṃ vā abhivijinanti. ‘‘Aṭṭhannampi samūha’’nti etena viddhastavipakkhe sekkhāsekkhadhamme dasseti, puggalādhiṭṭhānena maggaphaladhammānaṃ pakāsitattā. ‘‘Ariyasaṅgha’’nti aggadakkhiṇeyyabhāvaṃ dasseti. Saraṇagamanañca sāvakānaṃ sabbaguṇānamādi, sapubbabhāgappaṭipadā sekkhā sīlakkhandhādayo majjhe, asekkhā sīlakkhandhādayo pariyosānanti ādimajjhapariyosānakalyāṇā saṅkhepato sabbe ariyasaṅghaguṇā pakāsitā honti.

    เอวํ คาถาตฺตเยน สเงฺขปโต สกลคุณสงฺกิตฺตนมุเขน รตนตฺตยสฺส ปณามํ กตฺวา, อิทานิ ตํ นิปจฺจการํ ยถาธิเปฺปเต ปโยชเน ปริณาเมโนฺต ‘‘อิติ เม’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ รติชนนเฎฺฐน รตนํ, พุทฺธธมฺมสงฺฆาฯ เตสญฺหิ ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินา ยถาภูตคุเณ อาวชฺชนฺตสฺส อมตาธิคมเหตุภูตํ อนปฺปกํ ปีติปาโมชฺชํ อุปฺปชฺชติฯ ยถาห –

    Evaṃ gāthāttayena saṅkhepato sakalaguṇasaṅkittanamukhena ratanattayassa paṇāmaṃ katvā, idāni taṃ nipaccakāraṃ yathādhippete payojane pariṇāmento ‘‘iti me’’tiādimāha. Tattha ratijananaṭṭhena ratanaṃ, buddhadhammasaṅghā. Tesañhi ‘‘itipi so bhagavā’’tiādinā yathābhūtaguṇe āvajjantassa amatādhigamahetubhūtaṃ anappakaṃ pītipāmojjaṃ uppajjati. Yathāha –

    ‘‘ยสฺมิํ, มหานาม, สมเย อริยสาวโก ตถาคตํ อนุสฺสรติ, เนวสฺส ตสฺมิํ สมเย ราคปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, น โทสปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, น โมหปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, อุชุคตเมวสฺส ตสฺมิํ สมเย จิตฺตํ โหติ ตถาคตํ อารพฺภฯ อุชุคตจิโตฺต โข ปน, มหานาม, อริยสาวโก ลภติ อตฺถเวทํ, ลภติ ธมฺมเวทํ, ลภติ ธมฺมูปสํหิตํ ปาโมชฺชํ, ปมุทิตสฺส ปีติ ชายตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๖.๑๐; อ. นิ. ๑๑.๑๑)ฯ

    ‘‘Yasmiṃ, mahānāma, samaye ariyasāvako tathāgataṃ anussarati, nevassa tasmiṃ samaye rāgapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, na dosapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, na mohapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, ujugatamevassa tasmiṃ samaye cittaṃ hoti tathāgataṃ ārabbha. Ujugatacitto kho pana, mahānāma, ariyasāvako labhati atthavedaṃ, labhati dhammavedaṃ, labhati dhammūpasaṃhitaṃ pāmojjaṃ, pamuditassa pīti jāyatī’’tiādi (a. ni. 6.10; a. ni. 11.11).

    จิตฺตีกตาทิภาโว วา รตนโฎฺฐฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Cittīkatādibhāvo vā ratanaṭṭho. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘จิตฺตีกตํ มหคฺฆญฺจ, อตุลํ ทุลฺลภทสฺสนํ;

    ‘‘Cittīkataṃ mahagghañca, atulaṃ dullabhadassanaṃ;

    อโนมสตฺตปริโภคํ, รตนํ เตน วุจฺจตี’’ติฯ (ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๖.๓; ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๓; สุ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๒๖; มหานิ. อฎฺฐ. ๕๐);

    Anomasattaparibhogaṃ, ratanaṃ tena vuccatī’’ti. (khu. pā. aṭṭha. 6.3; dī. ni. aṭṭha. 2.33; su. ni. aṭṭha. 1.226; mahāni. aṭṭha. 50);

    จิตฺตีกตภาวาทโย จ อนญฺญสาธารณา พุทฺธาทีสุ เอว ลพฺภนฺตีติฯ วนฺทนาว วนฺทนามยํ, ยถา ‘‘ทานมยํ, สีลมย’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๓๐๕; อิติวุ. ๖๐; เนตฺติ. ๓๔)ฯ วนฺทนา เจตฺถ กายวาจาจิเตฺตหิ ติณฺณํ รตนานํ คุณนินฺนตา, โถมนา วาฯ ปุชฺชภวผลนิพฺพตฺตนโต ปุญฺญํ, อตฺตโน สนฺตานํ ปุณาตีติ วาฯ สุวิหตนฺตราโยติ สุฎฺฐุ วิหตนฺตราโย, เอเตน อตฺตโน ปสาทสมฺปตฺติยา, รตฺตนตฺตยสฺส จ เขตฺตภาวสมฺปตฺติยา ตํ ปุญฺญํ อตฺถปฺปกาสนสฺส อุปฆาตกอุปทฺทวานํ วิหนเน สมตฺถนฺติ ทเสฺสติฯ หุตฺวาติ ปุพฺพกาลกิริยา, ตสฺส ‘‘อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ ตสฺสาติ ยํ รตนตฺตยวนฺทนามยํ ปุญฺญํ, ตสฺสฯ อานุภาเวนาติ พเลนฯ

    Cittīkatabhāvādayo ca anaññasādhāraṇā buddhādīsu eva labbhantīti. Vandanāva vandanāmayaṃ, yathā ‘‘dānamayaṃ, sīlamaya’’nti (dī. ni. 3.305; itivu. 60; netti. 34). Vandanā cettha kāyavācācittehi tiṇṇaṃ ratanānaṃ guṇaninnatā, thomanā vā. Pujjabhavaphalanibbattanato puññaṃ, attano santānaṃ puṇātīti vā. Suvihatantarāyoti suṭṭhu vihatantarāyo, etena attano pasādasampattiyā, rattanattayassa ca khettabhāvasampattiyā taṃ puññaṃ atthappakāsanassa upaghātakaupaddavānaṃ vihanane samatthanti dasseti. Hutvāti pubbakālakiriyā, tassa ‘‘atthaṃ pakāsayissāmī’’ti etena sambandho. Tassāti yaṃ ratanattayavandanāmayaṃ puññaṃ, tassa. Ānubhāvenāti balena.

    เอวํ รตนตฺตยสฺส นิปจฺจการกรเณ ปโยชนํ ทเสฺสตฺวา, อิทานิ ยสฺสา ธมฺมเทสนาย อตฺถํ สํวเณฺณตุกาโม, ตสฺสา ตาว คุณาภิตฺถวนวเสน อุปญฺญาปนตฺถํ ‘‘ทีฆสฺสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ทีฆสุตฺตงฺกิตสฺสาติ ทีฆปฺปมาณสุตฺตลกฺขิตสฺส, เอเตน ‘‘ทีโฆ’’ติ อยํ อิมสฺส อาคมสฺส อตฺถานุคตา สมญฺญาติ ทเสฺสติฯ นนุ จ สุตฺตานิเยว อาคโม, กสฺส ปน สุเตฺตหิ องฺกนนฺติ? สจฺจเมตํ ปรมตฺถโต, สุตฺตานิ ปน อุปาทายปญฺญโตฺต อาคโมฯ ยถา หิ อตฺถพฺยญฺชนสมุทาเย ‘‘สุตฺต’’นฺติ โวหาโร, เอวํ สุตฺตสมุทาเย ‘‘อาคโม’’ติ โวหาโรฯ ปฎิจฺจสมุปฺปาทาทินิปุณตฺถสพฺภาวโต นิปุณสฺสฯ อาคมิสฺสนฺติ เอตฺถ, เอเตน, เอตสฺมา วา อตฺตตฺถปรตฺถาทโยติ อาคโม, อาคโม จ โส วโร จาติ อาคมวโร, อาคมสมฺมเตหิ วา วโรติ อาคมวโร, ตสฺสฯ พุทฺธานํ อนุพุทฺธา พุทฺธานุพุทฺธา, พุทฺธานํ สจฺจปฎิเวธํ อนุคมฺม ปฎิวิทฺธสจฺจา อคฺคสาวกาทโย อริยาฯ เตหิ อตฺถสํวณฺณนาวเสน, คุณสํวณฺณนาวเสน จ สํวณฺณิตสฺสฯ อถ วา พุทฺธา จ อนุพุทฺธา จ พุทฺธานุพุทฺธาติ โยเชตพฺพํฯ สมฺมาสมฺพุเทฺธเนว หิ ติณฺณมฺปิ ปิฎกานํ อตฺถวณฺณนากฺกโม ภาสิโต, ยา ‘‘ปกิณฺณกเทสนา’’ติ วุจฺจติ, ตโต สงฺคายนาทิวเสน สาวเกหีติ อาจริยา วทนฺติฯ

    Evaṃ ratanattayassa nipaccakārakaraṇe payojanaṃ dassetvā, idāni yassā dhammadesanāya atthaṃ saṃvaṇṇetukāmo, tassā tāva guṇābhitthavanavasena upaññāpanatthaṃ ‘‘dīghassā’’tiādi vuttaṃ. Tattha dīghasuttaṅkitassāti dīghappamāṇasuttalakkhitassa, etena ‘‘dīgho’’ti ayaṃ imassa āgamassa atthānugatā samaññāti dasseti. Nanu ca suttāniyeva āgamo, kassa pana suttehi aṅkananti? Saccametaṃ paramatthato, suttāni pana upādāyapaññatto āgamo. Yathā hi atthabyañjanasamudāye ‘‘sutta’’nti vohāro, evaṃ suttasamudāye ‘‘āgamo’’ti vohāro. Paṭiccasamuppādādinipuṇatthasabbhāvato nipuṇassa. Āgamissanti ettha, etena, etasmā vā attatthaparatthādayoti āgamo, āgamo ca so varo cāti āgamavaro, āgamasammatehi vā varoti āgamavaro, tassa. Buddhānaṃ anubuddhā buddhānubuddhā, buddhānaṃ saccapaṭivedhaṃ anugamma paṭividdhasaccā aggasāvakādayo ariyā. Tehi atthasaṃvaṇṇanāvasena, guṇasaṃvaṇṇanāvasena ca saṃvaṇṇitassa. Atha vā buddhā ca anubuddhā ca buddhānubuddhāti yojetabbaṃ. Sammāsambuddheneva hi tiṇṇampi piṭakānaṃ atthavaṇṇanākkamo bhāsito, yā ‘‘pakiṇṇakadesanā’’ti vuccati, tato saṅgāyanādivasena sāvakehīti ācariyā vadanti.

    สทฺธาวหคุณสฺสาติ พุทฺธาทีสุ ปสาทาวหสมฺปตฺติกสฺสฯ อยญฺหิ อาคโม พฺรหฺมชาลาทีสุ (ที. นิ. ๑.๕-๗, ๒๖-๒๘) สีลทิฎฺฐาทีนํ อนวเสสนิเทฺทสาทิวเสน, มหาปทานาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓-๕) ปุริมพุทฺธานมฺปิ คุณนิเทฺทสาทิวเสน, ปาถิกสุตฺตาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓,๔) ติตฺถิเย นิมทฺทิตฺวา อปฺปฎิวตฺติยสีหนาท นทนาทิวเสน, อนุตฺตริยสุตฺตาทีสุ (อ. นิ. ๖.๘) จ วิเสสโต พุทฺธคุณวิภาวเนน รตนตฺตเย สาติสยปฺปสาทํ อาวหติฯ สํวณฺณนาสุ จายํ อาจริยสฺส ปกติ, ยา ตํตํสํวณฺณนาสุ อาทิโต ตสฺส ตสฺส สํวเณฺณตพฺพสฺส ธมฺมสฺส วิเสสคุณกิตฺตเนน โถมนาฯ ตถา หิ ปปญฺจสูทนีสารตฺถปฺปกาสินีมโนรถปูรณีสุ อฎฺฐสาลินีอาทีสุ จ ยถากฺกมํ ‘‘ปรวาทมถนสฺส ญาณปฺปเภทชนนสฺส ธมฺมกถิกปุงฺควานํ วิจิตฺตปฺปฎิภานชนนสฺส ตสฺส คมฺภีรญาเณหิ โอคาฬฺหสฺส อภิณฺหโส นานานยวิจิตฺตสฺส อภิธมฺมสฺสา’’ติอาทินา โถมนา กตาฯ

    Saddhāvahaguṇassāti buddhādīsu pasādāvahasampattikassa. Ayañhi āgamo brahmajālādīsu (dī. ni. 1.5-7, 26-28) sīladiṭṭhādīnaṃ anavasesaniddesādivasena, mahāpadānādīsu (dī. ni. 2.3-5) purimabuddhānampi guṇaniddesādivasena, pāthikasuttādīsu (dī. ni. 3.3,4) titthiye nimadditvā appaṭivattiyasīhanāda nadanādivasena, anuttariyasuttādīsu (a. ni. 6.8) ca visesato buddhaguṇavibhāvanena ratanattaye sātisayappasādaṃ āvahati. Saṃvaṇṇanāsu cāyaṃ ācariyassa pakati, yā taṃtaṃsaṃvaṇṇanāsu ādito tassa tassa saṃvaṇṇetabbassa dhammassa visesaguṇakittanena thomanā. Tathā hi papañcasūdanīsāratthappakāsinīmanorathapūraṇīsu aṭṭhasālinīādīsu ca yathākkamaṃ ‘‘paravādamathanassa ñāṇappabhedajananassa dhammakathikapuṅgavānaṃ vicittappaṭibhānajananassa tassa gambhīrañāṇehi ogāḷhassa abhiṇhaso nānānayavicittassa abhidhammassā’’tiādinā thomanā katā.

    อโตฺถ กถียติ เอตายาติ อตฺถกถา, สา เอว อฎฺฐกถา, ตฺถ-การสฺส ฎฺฐ-การํ กตฺวา, ยถา ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ’’ติ (ปฎิ. ม. ๒.๘)ฯ อาทิโต ติอาทิมฺหิ ปฐมสงฺคีติยํฯ ฉฬภิญฺญตาย ปรเมน จิตฺตวสีภาเวน สมนฺนาคตตฺตา, ฌานาทีสุ ปญฺจวิธวสิตาสพฺภาวโต จ วสิโน, เถรา มหากสฺสปาทโยฯ เตสํ สเตหิ ปญฺจหิยาติ ยา อฎฺฐกถาฯ สงฺคีตาติ อตฺถํ ปกาเสตุํ ยุตฺตฎฺฐาเน ‘‘อยํ เอตสฺส อโตฺถ, อยํ เอตสฺส อโตฺถ’’ติ สงฺคเหตฺวา วุตฺตาฯ อนุสงฺคีตา จ ยสเตฺถราทีหิ ปจฺฉาปิ ทุติยตติยสงฺคีตีสุ, อิมินา อตฺตโน สํวณฺณนาย อาคมนสุทฺธิํ ทเสฺสติฯ

    Attho kathīyati etāyāti atthakathā, sā eva aṭṭhakathā, ttha-kārassa ṭṭha-kāraṃ katvā, yathā ‘‘dukkhassa pīḷanaṭṭho’’ti (paṭi. ma. 2.8). Ādito tiādimhi paṭhamasaṅgītiyaṃ. Chaḷabhiññatāya paramena cittavasībhāvena samannāgatattā, jhānādīsu pañcavidhavasitāsabbhāvato ca vasino, therā mahākassapādayo. Tesaṃ satehi pañcahi. ti yā aṭṭhakathā. Saṅgītāti atthaṃ pakāsetuṃ yuttaṭṭhāne ‘‘ayaṃ etassa attho, ayaṃ etassa attho’’ti saṅgahetvā vuttā. Anusaṅgītā ca yasattherādīhi pacchāpi dutiyatatiyasaṅgītīsu, iminā attano saṃvaṇṇanāya āgamanasuddhiṃ dasseti.

    สีหสฺส ลานโต คหณโต สีหโฬ, สีหกุมาโรฯ ตํวํสชาตตาย ตมฺพปณฺณิทีเป ขตฺติยานํ, เตสํ นิวาสตาย ตมฺพปณฺณิทีปสฺส จ สีหฬภาโว เวทิตโพฺพฯ อาภตาติ ชมฺพุทีปโต อานีตาฯ อถาติ ปจฺฉาฯ อปรภาเค หิ อสงฺกรตฺถํ สีหฬภาสาย อฎฺฐกถา ฐปิตาติฯ เตนสฺส มูลฎฺฐกถา สพฺพสาธารณา น โหตีติ อิทํ อตฺถปฺปกาสนํ เอกเนฺตน กรณียนฺติ ทเสฺสติฯ เตเนวาห – ‘‘ทีปวาสีนมตฺถายา’’ติฯ ตตฺถ ทีปวาสีนนฺติ ชมฺพุทีปวาสีนํฯ ทีปวาสีนนฺติ วา สีหฬทีปวาสีนํ อตฺถาย สีหฬภาสาย ฐปิตาติ โยชนาฯ

    Sīhassa lānato gahaṇato sīhaḷo, sīhakumāro. Taṃvaṃsajātatāya tambapaṇṇidīpe khattiyānaṃ, tesaṃ nivāsatāya tambapaṇṇidīpassa ca sīhaḷabhāvo veditabbo. Ābhatāti jambudīpato ānītā. Athāti pacchā. Aparabhāge hi asaṅkaratthaṃ sīhaḷabhāsāya aṭṭhakathā ṭhapitāti. Tenassa mūlaṭṭhakathā sabbasādhāraṇā na hotīti idaṃ atthappakāsanaṃ ekantena karaṇīyanti dasseti. Tenevāha – ‘‘dīpavāsīnamatthāyā’’ti. Tattha dīpavāsīnanti jambudīpavāsīnaṃ. Dīpavāsīnanti vā sīhaḷadīpavāsīnaṃ atthāya sīhaḷabhāsāya ṭhapitāti yojanā.

    อปเนตฺวานาติ กญฺจุกสทิสํ สีหฬภาสํ อปเนตฺวาฯ ตโตติ อฎฺฐกถาโตฯ อหนฺติ อตฺตานํ นิทฺทิสติฯ มโนรมํ ภาสนฺติ มาคธภาสํฯ สา หิ สภาวนิรุตฺติภูตา ปณฺฑิตานํ มนํ รมยตีติฯ เตเนวาห – ‘‘ตนฺตินยานุจฺฉวิก’’นฺติ, ปาฬิคติยา อนุโลมิกํ ปาฬิภาสายานุวิธายินินฺติ อโตฺถฯ วิคตโทสนฺติ อสภาวนิรุตฺติภาสนฺตรรหิตํฯ

    Apanetvānāti kañcukasadisaṃ sīhaḷabhāsaṃ apanetvā. Tatoti aṭṭhakathāto. Ahanti attānaṃ niddisati. Manoramaṃ bhāsanti māgadhabhāsaṃ. Sā hi sabhāvaniruttibhūtā paṇḍitānaṃ manaṃ ramayatīti. Tenevāha – ‘‘tantinayānucchavika’’nti, pāḷigatiyā anulomikaṃ pāḷibhāsāyānuvidhāyininti attho. Vigatadosanti asabhāvaniruttibhāsantararahitaṃ.

    สมยํ อวิโลเมโนฺตติ สิทฺธนฺตํ อวิโรเธโนฺต, เอเตน อตฺถโทสาภาวมาหฯ อวิรุทฺธตฺตา เอว หิ เถรวาทาปิ อิธ ปกาสิยิสฺสนฺติฯ เถรวํสปทีปานนฺติ ถิเรหิ สีลกฺขนฺธาทีหิ สมนฺนาคตตฺตา เถรา, มหากสฺสปาทโยฯ เตหิ อาคตา อาจริยปรมฺปรา เถรวํโส, ตปฺปริยาปนฺนา หุตฺวา อาคมาธิคมสมฺปนฺนตฺตา ปญฺญาปโชฺชเตน ตสฺส สมุชฺชลนโต เถรวํสปทีปา, มหาวิหารวาสิโน เถรา, เตสํฯ วิวิเธหิ อากาเรหิ นิจฺฉียตีติ วินิจฺฉโย, คณฺฐิฎฺฐาเนสุ ขีลมทฺทนากาเรน ปวตฺตา วิมติเจฺฉทกถาฯ สุฎฺฐุ นิปุโณ สโณฺห วินิจฺฉโย เอเตสนฺติ สุนิปุณวินิจฺฉยาฯ อถ วา วินิจฺฉิโนตีติ วินิจฺฉโย, ยถาวุตฺตวิสยํ ญาณํฯ สุฎฺฐุ นิปุโณ เฉโก วินิจฺฉโย เอเตสนฺติ สุนิปุณวินิจฺฉยา, เอเตน มหากสฺสปาทิเถรปรมฺปราภโต, ตโตเยว จ อวิปรีโต สณฺหสุขุโม มหาวิหารวาสีนํ วินิจฺฉโยติ ตสฺส ปมาณภูตตํ ทเสฺสติฯ

    Samayaṃ avilomentoti siddhantaṃ avirodhento, etena atthadosābhāvamāha. Aviruddhattā eva hi theravādāpi idha pakāsiyissanti. Theravaṃsapadīpānanti thirehi sīlakkhandhādīhi samannāgatattā therā, mahākassapādayo. Tehi āgatā ācariyaparamparā theravaṃso, tappariyāpannā hutvā āgamādhigamasampannattā paññāpajjotena tassa samujjalanato theravaṃsapadīpā, mahāvihāravāsino therā, tesaṃ. Vividhehi ākārehi nicchīyatīti vinicchayo, gaṇṭhiṭṭhānesu khīlamaddanākārena pavattā vimaticchedakathā. Suṭṭhu nipuṇo saṇho vinicchayo etesanti sunipuṇavinicchayā. Atha vā vinicchinotīti vinicchayo, yathāvuttavisayaṃ ñāṇaṃ. Suṭṭhu nipuṇo cheko vinicchayo etesanti sunipuṇavinicchayā, etena mahākassapāditheraparamparābhato, tatoyeva ca aviparīto saṇhasukhumo mahāvihāravāsīnaṃ vinicchayoti tassa pamāṇabhūtataṃ dasseti.

    สุชนสฺส จาติ -สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถ, เตน น เกวลํ ชมฺพุทีปวาสีนเมว อตฺถาย, อถ โข สาธุชนโตสนตฺถญฺจาติ ทเสฺสติ, เตน จ ตมฺพปณฺณิทีปวาสีนมฺปิ อตฺถายาติ อยมโตฺถ สิโทฺธ โหติ, อุคฺคหณาทิสุกรตาย เตสมฺปิ พหุปการตฺตาฯ จิรฎฺฐิตตฺถนฺติ จิรฎฺฐิติอตฺถํ , จิรกาลฎฺฐิติยาติ อโตฺถฯ อิทญฺหิ อตฺถปฺปกาสนํ อวิปรีตพฺยญฺชนสุนิเกฺขปสฺส อตฺถสุนยสฺส จ อุปายภาวโต สทฺธมฺมสฺส จิรฎฺฐิติยา สํวตฺตติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –

    Sujanassa cāti ca-saddo sampiṇḍanattho, tena na kevalaṃ jambudīpavāsīnameva atthāya, atha kho sādhujanatosanatthañcāti dasseti, tena ca tambapaṇṇidīpavāsīnampi atthāyāti ayamattho siddho hoti, uggahaṇādisukaratāya tesampi bahupakārattā. Ciraṭṭhitatthanti ciraṭṭhitiatthaṃ , cirakālaṭṭhitiyāti attho. Idañhi atthappakāsanaṃ aviparītabyañjanasunikkhepassa atthasunayassa ca upāyabhāvato saddhammassa ciraṭṭhitiyā saṃvattati. Vuttañhetaṃ bhagavatā –

    ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส ฐิติยา อสโมฺมสาย อนนฺตรธานาย สํวตฺตนฺติฯ กตเม เทฺว? สุนิกฺขตฺตญฺจ ปทพฺยญฺชนํ, อโตฺถ จ สุนีโต’’ติ (อ. นิ. ๒.๒๑)ฯ

    ‘‘Dveme, bhikkhave, dhammā saddhammassa ṭhitiyā asammosāya anantaradhānāya saṃvattanti. Katame dve? Sunikkhattañca padabyañjanaṃ, attho ca sunīto’’ti (a. ni. 2.21).

    ยํ อตฺถวณฺณนํ กตฺตุกาโม, ตสฺสา มหตฺตํ ปริหริตุํ ‘‘สีลกถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เตเนวาห – ‘‘น ตํ อิธ วิจารยิสฺสามี’’ติฯ อถ วา ยํ อฎฺฐกถํ กตฺตุกาโม, ตเทกเทสภาเวน วิสุทฺธิมโคฺค จ คเหตโพฺพติ กถิกานํ อุปเทสํ กโรโนฺต ตตฺถ วิจาริตธเมฺม อุเทฺทสวเสน ทเสฺสติ ‘‘สีลกถา’’ ติอาทินาฯ ตตฺถ สีลกถาติ จาริตฺตวาริตฺตาทิวเสน สีลวิตฺถารกถาฯ ธุตธมฺมาติ ปิณฺฑปาติกงฺคาทโย (วิสุทฺธิ. ๑.๒๒; เถรคา. อฎฺฐ. ๒.๘๔๕, ๘๔๙) เตรส กิเลสธุนนกธมฺมาฯ กมฺมฎฺฐานานิ สพฺพานีติ ปาฬิยํ อาคตานิ อฎฺฐติํส, อฎฺฐกถายํ เทฺวติ นิรวเสสานิ โยคกมฺมสฺส ภาวนาย ปวตฺติฎฺฐานานิฯ จริยาวิธานสหิโตติ ราคจริตาทีนํ สภาวาทิวิธาเนน สหิโตฯ ฌานานิ จตฺตาริ รูปาวจรชฺฌานานิ, สมาปตฺติโย จตโสฺส อรูปสมาปตฺติโยฯ อฎฺฐปิ วา ปฎิลทฺธมตฺตานิ ฌานานิ, สมาปชฺชนวสีภาวปฺปตฺติยา สมาปตฺติโยฯ ฌานานิ วา รูปารูปาวจรชฺฌานานิ , สมาปตฺติโย ผลสมาปตฺตินิโรธสมาปตฺติโยฯ

    Yaṃ atthavaṇṇanaṃ kattukāmo, tassā mahattaṃ pariharituṃ ‘‘sīlakathā’’tiādi vuttaṃ. Tenevāha – ‘‘na taṃ idha vicārayissāmī’’ti. Atha vā yaṃ aṭṭhakathaṃ kattukāmo, tadekadesabhāvena visuddhimaggo ca gahetabboti kathikānaṃ upadesaṃ karonto tattha vicāritadhamme uddesavasena dasseti ‘‘sīlakathā’’ tiādinā. Tattha sīlakathāti cārittavārittādivasena sīlavitthārakathā. Dhutadhammāti piṇḍapātikaṅgādayo (visuddhi. 1.22; theragā. aṭṭha. 2.845, 849) terasa kilesadhunanakadhammā. Kammaṭṭhānāni sabbānīti pāḷiyaṃ āgatāni aṭṭhatiṃsa, aṭṭhakathāyaṃ dveti niravasesāni yogakammassa bhāvanāya pavattiṭṭhānāni. Cariyāvidhānasahitoti rāgacaritādīnaṃ sabhāvādividhānena sahito. Jhānāni cattāri rūpāvacarajjhānāni, samāpattiyo catasso arūpasamāpattiyo. Aṭṭhapi vā paṭiladdhamattāni jhānāni, samāpajjanavasībhāvappattiyā samāpattiyo. Jhānāni vā rūpārūpāvacarajjhānāni , samāpattiyo phalasamāpattinirodhasamāpattiyo.

    โลกิยโลกุตฺตรเภทา ฉ อภิญฺญาโย สพฺพา อภิญฺญาโยฯ ญาณวิภงฺคาทีสุ อาคตนเยน เอกวิธาทินา ปญฺญาย สงฺกเลตฺวา สมฺปิเณฺฑตฺวา นิจฺฉโย ปญฺญาสงฺกลนนิจฺฉโยฯ

    Lokiyalokuttarabhedā cha abhiññāyo sabbā abhiññāyo. Ñāṇavibhaṅgādīsu āgatanayena ekavidhādinā paññāya saṅkaletvā sampiṇḍetvā nicchayo paññāsaṅkalananicchayo.

    ปจฺจยธมฺมานํ เหตาทีนํ ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมานํ เหตุปจฺจยาทิภาโว ปจฺจยากาโร, ตสฺส เทสนา ปจฺจยาการเทสนา, ปฎิจฺจสมุปฺปาทกถาติ อโตฺถฯ สา ปน ฆนวินิโพฺภคสฺส สุทุกฺกรตาย สณฺหสุขุมา, นิกายนฺตรลทฺธิสงฺกรรหิตา, เอกตฺตนยาทิสหิตา จ ตตฺถ วิจาริตาติ อาห – ‘‘สุปริสุทฺธนิปุณนยา’’ติฯ ปฎิสมฺภิทาทีสุ อาคตนยํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว วิจาริตตฺตา อวิมุตฺตตนฺติ มคฺคาฯ

    Paccayadhammānaṃ hetādīnaṃ paccayuppannadhammānaṃ hetupaccayādibhāvo paccayākāro, tassa desanā paccayākāradesanā, paṭiccasamuppādakathāti attho. Sā pana ghanavinibbhogassa sudukkaratāya saṇhasukhumā, nikāyantaraladdhisaṅkararahitā, ekattanayādisahitā ca tattha vicāritāti āha – ‘‘suparisuddhanipuṇanayā’’ti. Paṭisambhidādīsu āgatanayaṃ avissajjetvāva vicāritattā avimuttatanti maggā.

    อิติ ปน สพฺพนฺติ อิติ-สโทฺท ปริสมาปเน, ปน-สโทฺท วจนาลงฺกาเร, เอตํ สพฺพนฺติ อโตฺถฯ อิธาติ อิมิสฺสา อฎฺฐกถายํฯ น วิจารยิสฺสามิ, ปุนรุตฺติภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ

    Itipana sabbanti iti-saddo parisamāpane, pana-saddo vacanālaṅkāre, etaṃ sabbanti attho. Idhāti imissā aṭṭhakathāyaṃ. Na vicārayissāmi, punaruttibhāvatoti adhippāyo.

    อิทานิ ตเสฺสว อวิจารณสฺส เอกนฺตการณํ นิทฺธาเรโนฺต ‘‘มเชฺฌ วิสุทฺธิมโคฺค’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ‘‘มเชฺฌ ฐตฺวา’’ติ เอเตน มเชฺฌภาวทีปเนน วิเสสโต จตุนฺนํ อาคมานํ สาธารณฎฺฐกถา วิสุทฺธิมโคฺค, น สุมงฺคลวิลาสินีอาทโย วิย อสาธารณฎฺฐกถาติ ทเสฺสติฯ ‘‘วิเสสโต’’ติ อิทํ วินยาภิธมฺมานมฺปิ วิสุทฺธิมโคฺค ยถารหํ อตฺถวณฺณนา โหติ เยวาติ กตฺวา วุตฺตํฯ

    Idāni tasseva avicāraṇassa ekantakāraṇaṃ niddhārento ‘‘majjhe visuddhimaggo’’tiādimāha. Tattha ‘‘majjhe ṭhatvā’’ti etena majjhebhāvadīpanena visesato catunnaṃ āgamānaṃ sādhāraṇaṭṭhakathā visuddhimaggo, na sumaṅgalavilāsinīādayo viya asādhāraṇaṭṭhakathāti dasseti. ‘‘Visesato’’ti idaṃ vinayābhidhammānampi visuddhimaggo yathārahaṃ atthavaṇṇanā hoti yevāti katvā vuttaṃ.

    อิเจฺจวาติ อิติ เอวฯ ตมฺปีติ วิสุทฺธิมคฺคมฺปิฯ เอตายาติ สุมงฺคลวิลาสินิยาฯ เอตฺถ จ ‘‘สีหฬทีปํ อาภตา’’ติอาทินา อตฺถปฺปกาสนสฺส นิมิตฺตํ ทเสฺสติ, ‘‘ทีปวาสีนมตฺถาย, สุชนสฺส จ ตุฎฺฐตฺถํ, จิรฎฺฐิตตฺถญฺจ ธมฺมสฺสา’’ติ เอเตน ปโยชนํ, อวสิเฎฺฐน กรณปฺปการํฯ สีลกถาทีนํ อวิจารณมฺปิ หิ อิธ กรณปฺปกาโร เอวาติฯ

    Iccevāti iti eva. Tampīti visuddhimaggampi. Etāyāti sumaṅgalavilāsiniyā. Ettha ca ‘‘sīhaḷadīpaṃ ābhatā’’tiādinā atthappakāsanassa nimittaṃ dasseti, ‘‘dīpavāsīnamatthāya, sujanassa ca tuṭṭhatthaṃ, ciraṭṭhitatthañca dhammassā’’ti etena payojanaṃ, avasiṭṭhena karaṇappakāraṃ. Sīlakathādīnaṃ avicāraṇampi hi idha karaṇappakāro evāti.

    คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ganthārambhakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิทานกถาวณฺณนา

    Nidānakathāvaṇṇanā

    วิภาควนฺตานํ สภาววิภาวนํ วิภาคทสฺสนวเสเนว โหตีติ ปฐมํ ตาว วคฺคสุตฺตวเสน วิภาคํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ ทีฆาคโม นามา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตตฺถาติ ‘‘ทีฆสฺส อาคมวรสฺส อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ ยทิทํ วุตฺตํ, ตสฺมิํ วจเนฯ ยสฺส อตฺถํ ปกาสยิสฺสามีติ ปฎิญฺญาตํ, โส ทีฆาคโม นาม วคฺคสุตฺตวเสน เอวํ วิภาโคติ อโตฺถฯ อถ วา ตตฺถาติ ‘‘ทีฆาคมนิสฺสิตมตฺถ’’นฺติ เอตสฺมิํ วจเนฯ โย ทีฆาคโม วุโตฺต, โส วคฺคาทิวเสน เอทิโสติ อโตฺถฯ อตฺตโน สํวณฺณนาย ปฐมมหาสงฺคีติยํ นิกฺขิตฺตานุกฺกเมเนว ปวตฺตภาวทสฺสนตฺถํ ‘‘ตสฺส วเคฺคสุ…เป.… วุตฺตํ นิทานมาที’’ติ อาหฯ กสฺมา ปน จตูสุ อาคเมสุ ทีฆาคโม ปฐมํ สงฺคีโต, ตตฺถ จ สีลกฺขนฺธวโคฺค อาทิโต นิกฺขิโตฺต, ตสฺมิญฺจ พฺรหฺมชาลนฺติ? นายมนุโยโค กตฺถจิปิ น ปวตฺตติ, อปิ จ สทฺธาวหคุณโต ทีฆนิกาโย ปฐมํ สงฺคีโตฯ สทฺธา หิ กุสลธมฺมานํ พีชํฯ ยถาห – ‘‘สทฺธา พีชํ ตโป วุฎฺฐี’’ติ, (สํ. นิ. ๑.๑๙๗; สุ. นิ. ๗๗) สทฺธาวหคุณตา จสฺส ทสฺสิตาเยวฯ กิญฺจ กติปยสุตฺตสงฺคหโต, อปฺปปริมาณโต จ คหณธารณาทิสุขโตฯ ตถาเหส จตุตฺติํสสุตฺตสงฺคโห จตุสฎฺฐิภาณวารปริมาโณ จฯ สีลกถาพาหุลฺลโต ปน สีลกฺขนฺธวโคฺค ปฐมํ นิกฺขิโตฺตฯ สีลญฺหิ สาสนสฺส อาทิ, สีลปติฎฺฐานตฺตา สพฺพคุณานํฯ เตเนวาห – ‘‘ตสฺมา ติห, ตฺวํ ภิกฺขุ, อาทิเมว วิโสเธหิ กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ โก จาทิ กุสลานํ ธมฺมานํ? สีลญฺจ สุวิสุทฺธ’’นฺติอาทิ (สํ. นิ. ๕.๓๙๕)ฯ เอเตน จสฺส วคฺคสฺส อนฺวตฺถสญฺญตา วุตฺตา โหติฯ ทิฎฺฐิวินิเวฐนกถาภาวโต ปน สุตฺตนฺตปิฎกสฺส นิรวเสสทิฎฺฐิวิภชนํ พฺรหฺมชาลํ ปฐมํ นิกฺขิตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เตปิฎเก หิ พุทฺธวจเน พฺรหฺมชาลสทิสํ ทิฎฺฐิคตานิ นิคฺคุมฺพํ นิชฺชฎํ กตฺวา วิภตฺตสุตฺตํ นตฺถีติฯ

    Vibhāgavantānaṃ sabhāvavibhāvanaṃ vibhāgadassanavaseneva hotīti paṭhamaṃ tāva vaggasuttavasena vibhāgaṃ dassetuṃ ‘‘tattha dīghāgamo nāmā’’tiādimāha. Tattha tatthāti ‘‘dīghassa āgamavarassa atthaṃ pakāsayissāmī’’ti yadidaṃ vuttaṃ, tasmiṃ vacane. Yassa atthaṃ pakāsayissāmīti paṭiññātaṃ, so dīghāgamo nāma vaggasuttavasena evaṃ vibhāgoti attho. Atha vā tatthāti ‘‘dīghāgamanissitamattha’’nti etasmiṃ vacane. Yo dīghāgamo vutto, so vaggādivasena edisoti attho. Attano saṃvaṇṇanāya paṭhamamahāsaṅgītiyaṃ nikkhittānukkameneva pavattabhāvadassanatthaṃ ‘‘tassa vaggesu…pe… vuttaṃ nidānamādī’’ti āha. Kasmā pana catūsu āgamesu dīghāgamo paṭhamaṃ saṅgīto, tattha ca sīlakkhandhavaggo ādito nikkhitto, tasmiñca brahmajālanti? Nāyamanuyogo katthacipi na pavattati, api ca saddhāvahaguṇato dīghanikāyo paṭhamaṃ saṅgīto. Saddhā hi kusaladhammānaṃ bījaṃ. Yathāha – ‘‘saddhā bījaṃ tapo vuṭṭhī’’ti, (saṃ. ni. 1.197; su. ni. 77) saddhāvahaguṇatā cassa dassitāyeva. Kiñca katipayasuttasaṅgahato, appaparimāṇato ca gahaṇadhāraṇādisukhato. Tathāhesa catuttiṃsasuttasaṅgaho catusaṭṭhibhāṇavāraparimāṇo ca. Sīlakathābāhullato pana sīlakkhandhavaggo paṭhamaṃ nikkhitto. Sīlañhi sāsanassa ādi, sīlapatiṭṭhānattā sabbaguṇānaṃ. Tenevāha – ‘‘tasmā tiha, tvaṃ bhikkhu, ādimeva visodhehi kusalesu dhammesu. Ko cādi kusalānaṃ dhammānaṃ? Sīlañca suvisuddha’’ntiādi (saṃ. ni. 5.395). Etena cassa vaggassa anvatthasaññatā vuttā hoti. Diṭṭhiviniveṭhanakathābhāvato pana suttantapiṭakassa niravasesadiṭṭhivibhajanaṃ brahmajālaṃ paṭhamaṃ nikkhittanti daṭṭhabbaṃ. Tepiṭake hi buddhavacane brahmajālasadisaṃ diṭṭhigatāni niggumbaṃ nijjaṭaṃ katvā vibhattasuttaṃ natthīti.

    ปฐมมหาสงฺคีติกถาวณฺณนา

    Paṭhamamahāsaṅgītikathāvaṇṇanā

    ยสฺสา ปฐมมหาสงฺคีติยํ นิกฺขิตฺตานุกฺกเมน สํวณฺณนํ กตฺตุกาโม, ตํ, ตสฺสา จ ตนฺติอารุฬฺหาย อิธ วจเน การณํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปฐมมหาสงฺคีติ…เป.… เวทิตพฺพา’’ติ อาหฯ ตตฺถ ยถาปจฺจยํ ตตฺถ ตตฺถ เทสิตตฺตา , ปญฺญตฺตตฺตา จ วิปฺปกิณฺณานํ ธมฺมวินยานํ สงฺคเหตฺวา คายนํ กถนํ สงฺคีติ, เอเตน ตํตํสิกฺขาปทานํ สุตฺตานญฺจ อาทิปริโยสาเนสุ, อนฺตรนฺตรา จ สมฺพนฺธวเสน ฐปิตํ สงฺคีติการวจนํ สงฺคหิตํ โหติฯ มหาวิสยตฺตา, ปูชนียตฺตา จ มหตี สงฺคีติ มหาสงฺคีติ, ปฐมา มหาสงฺคีติ ปฐมมหาสงฺคีติ, ตสฺสา ปวตฺติกาโล ปฐมมหาสงฺคีติกาโล, ตสฺมิํ ปฐมมหาสงฺคีติกาเลฯ นิทานนฺติ จ เทสนํ เทสกาลาทิวเสน อวิทิตํ วิทิตํ กตฺวา นิทเสฺสตีติ นิทานํฯ สตฺตานํ ทสฺสนานุตฺตริยสรณาทิปฎิลาภเหตุภูตาสุ วิชฺชมานาสุปิ อญฺญาสุ ภควโต กิริยาสุ ‘‘พุโทฺธ โพเธยฺย’’นฺติ (พุ. วํ. อฎฺฐ. รตนจงฺกมนกณฺฑวณฺณนา; จริยา. อุทฺธานคาถาวณฺณนา) ปฎิญฺญาย อนุโลมโต เวเนยฺยานํ มคฺคผลปฺปตฺตีนํ เหตุภูตา กิริยา นิปฺปริยาเยน พุทฺธกิจฺจนฺติ อาห – ‘‘ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนญฺหิ อาทิํ กตฺวา’’ติฯ ตตฺถ สทฺธินฺทฺริยาทิธโมฺมเยว ปวตฺตนเฎฺฐน จกฺกนฺติ ธมฺมจกฺกํฯ อถ วา จกฺกนฺติ อาณา, ธมฺมโต อนเปตตฺตา ธมฺมญฺจ ตํ จกฺกญฺจาติ ธมฺมจกฺกํ, ธเมฺมน ญาเยน จกฺกนฺติปิ ธมฺมจกฺกํฯ ยถาห –

    Yassā paṭhamamahāsaṅgītiyaṃ nikkhittānukkamena saṃvaṇṇanaṃ kattukāmo, taṃ, tassā ca tantiāruḷhāya idha vacane kāraṇaṃ dassento ‘‘paṭhamamahāsaṅgīti…pe… veditabbā’’ti āha. Tattha yathāpaccayaṃ tattha tattha desitattā , paññattattā ca vippakiṇṇānaṃ dhammavinayānaṃ saṅgahetvā gāyanaṃ kathanaṃ saṅgīti, etena taṃtaṃsikkhāpadānaṃ suttānañca ādipariyosānesu, antarantarā ca sambandhavasena ṭhapitaṃ saṅgītikāravacanaṃ saṅgahitaṃ hoti. Mahāvisayattā, pūjanīyattā ca mahatī saṅgīti mahāsaṅgīti, paṭhamā mahāsaṅgīti paṭhamamahāsaṅgīti, tassā pavattikālo paṭhamamahāsaṅgītikālo, tasmiṃ paṭhamamahāsaṅgītikāle. Nidānanti ca desanaṃ desakālādivasena aviditaṃ viditaṃ katvā nidassetīti nidānaṃ. Sattānaṃ dassanānuttariyasaraṇādipaṭilābhahetubhūtāsu vijjamānāsupi aññāsu bhagavato kiriyāsu ‘‘buddho bodheyya’’nti (bu. vaṃ. aṭṭha. ratanacaṅkamanakaṇḍavaṇṇanā; cariyā. uddhānagāthāvaṇṇanā) paṭiññāya anulomato veneyyānaṃ maggaphalappattīnaṃ hetubhūtā kiriyā nippariyāyena buddhakiccanti āha – ‘‘dhammacakkappavattanañhi ādiṃ katvā’’ti. Tattha saddhindriyādidhammoyeva pavattanaṭṭhena cakkanti dhammacakkaṃ. Atha vā cakkanti āṇā, dhammato anapetattā dhammañca taṃ cakkañcāti dhammacakkaṃ, dhammena ñāyena cakkantipi dhammacakkaṃ. Yathāha –

    ‘‘ธมฺมญฺจ ปวเตฺตติ จกฺกญฺจาติ ธมฺมจกฺกํ, จกฺกญฺจ ปวเตฺตติ ธมฺมญฺจาติ ธมฺมจกฺกํ, ธเมฺมน ปวเตฺตตีติ ธมฺมจกฺกํ, ธมฺมจริยาย ปวเตฺตตีติ ธมฺมจกฺก’’นฺติอาทิ (ปฎิ. ม. ๒, ๓๙, ๔๑)ฯ

    ‘‘Dhammañca pavatteti cakkañcāti dhammacakkaṃ, cakkañca pavatteti dhammañcāti dhammacakkaṃ, dhammena pavattetīti dhammacakkaṃ, dhammacariyāya pavattetīti dhammacakka’’ntiādi (paṭi. ma. 2, 39, 41).

    ‘‘กตพุทฺธกิเจฺจ’’ติ เอเตน พุทฺธกตฺตพฺพสฺส กสฺสจิปิ อเสสิตภาวํ ทเสฺสติฯ นนุ จ สาวเกหิ วินีตาปิ วิเนยฺยา ภควตาเยว วินีตา โหนฺติ, ยโต สาวกภาสิตํ สุตฺตํ ‘‘พุทฺธวจน’’นฺติ วุจฺจติ, สาวกวิเนยฺยา จ น ตาว วินีตาติ? นายํ โทโส เตสํ วินยนุปายสฺส สาวเกสุ ฐปิตตฺตาฯ เตเนวาห –

    ‘‘Katabuddhakicce’’ti etena buddhakattabbassa kassacipi asesitabhāvaṃ dasseti. Nanu ca sāvakehi vinītāpi vineyyā bhagavatāyeva vinītā honti, yato sāvakabhāsitaṃ suttaṃ ‘‘buddhavacana’’nti vuccati, sāvakavineyyā ca na tāva vinītāti? Nāyaṃ doso tesaṃ vinayanupāyassa sāvakesu ṭhapitattā. Tenevāha –

    ‘‘น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม ภิกฺขู น สาวกา ภวิสฺสนฺติ วิยตฺตา วินีตา วิสารทา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา…เป.… อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สห ธเมฺมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฎิหาริยํ ธมฺมํ เทเสสฺส’’นฺติอาทิ (ที. นิ. ๒.๑๖๘; สํ. นิ. ๕.๘๒๒; อุทา. ๕๑)ฯ

    ‘‘Na tāvāhaṃ, pāpima, parinibbāyissāmi, yāva me bhikkhū na sāvakā bhavissanti viyattā vinītā visāradā bahussutā dhammadharā…pe… uppannaṃ parappavādaṃ saha dhammena suniggahitaṃ niggahetvā sappāṭihāriyaṃ dhammaṃ desessa’’ntiādi (dī. ni. 2.168; saṃ. ni. 5.822; udā. 51).

    ‘‘กุสินาราย’’นฺติอาทิ ภควโต ปรินิพฺพุตเทสกาลวิเสสทสฺสนํ ‘‘อปรินิพฺพุโต ภควา’’ติ คาหสฺส มิจฺฉาภาวทสฺสนตฺถํ, โลเก ชาตสํวทฺธภาวทสฺสนตฺถญฺจ ฯ ตถา หิ มนุสฺสภาวสฺส สุปากฎกรณตฺถํ มหาโพธิสตฺตา จริมภเว ทารปริคฺคหาทีนิปิ กโรนฺตีติฯ อุปาทียเต กมฺมกิเลเสหีติ อุปาทิ, วิปากกฺขนฺธา กฎตฺตา จ รูปํฯ โส ปน อุปาทิ กิเลสาภิสงฺขารมารนิมฺมถเนน นิพฺพานปฺปตฺติยํ อโนสฺสโฎฺฐ, อิธ ขนฺธมจฺจุมารนิมฺมถเนน โอสฺสโฎฺฐ นิเสฺสสิโตติ อยํ อนุปาทิเสสา, นิพฺพานธาตุฯ นิพฺพานธาตูติ เจตฺถ นิพฺพุติมตฺตํ อธิเปฺปตํ, อิตฺถมฺภูตลกฺขเณ จายํ กรณนิเทฺทโสฯ ‘‘ธาตุภาชนทิวเส’’ติ อิทํ น ‘‘สนฺนิปติตาน’’นฺติ เอตสฺส วิเสสนํ, อุสฺสาหชนนสฺส ปน วิเสสนํ, ‘‘ธาตุภาชนทิวเส ภิกฺขูนํ อุสฺสาหํ ชเนสี’’ติฯ ธาตุภาชนทิวสโต หิ ปุริมปุริมตรทิวเสสุ ภิกฺขู สมาคตาติฯ อถ วา ธาตุภาชนทิวเส สนฺนิปติตานํ กายสามคฺคีวเสน สหิตานนฺติ อโตฺถฯ สงฺฆสฺส เถโร สงฺฆเตฺถโร, โส ปน สโงฺฆ กิํ ปริมาณานนฺติ อาห – ‘‘สตฺตนฺนํ ภิกฺขุสตสหสฺสาน’’นฺติฯ นิจฺจสาเปกฺขตาย หิ เอทิเสสุ สมาโส โหติเยว, ยถา – ‘‘เทวทตฺตสฺส ครุกุล’’นฺติฯ

    ‘‘Kusinārāya’’ntiādi bhagavato parinibbutadesakālavisesadassanaṃ ‘‘aparinibbuto bhagavā’’ti gāhassa micchābhāvadassanatthaṃ, loke jātasaṃvaddhabhāvadassanatthañca . Tathā hi manussabhāvassa supākaṭakaraṇatthaṃ mahābodhisattā carimabhave dārapariggahādīnipi karontīti. Upādīyate kammakilesehīti upādi, vipākakkhandhā kaṭattā ca rūpaṃ. So pana upādi kilesābhisaṅkhāramāranimmathanena nibbānappattiyaṃ anossaṭṭho, idha khandhamaccumāranimmathanena ossaṭṭho nissesitoti ayaṃ anupādisesā, nibbānadhātu. Nibbānadhātūti cettha nibbutimattaṃ adhippetaṃ, itthambhūtalakkhaṇe cāyaṃ karaṇaniddeso. ‘‘Dhātubhājanadivase’’ti idaṃ na ‘‘sannipatitāna’’nti etassa visesanaṃ, ussāhajananassa pana visesanaṃ, ‘‘dhātubhājanadivase bhikkhūnaṃ ussāhaṃ janesī’’ti. Dhātubhājanadivasato hi purimapurimataradivasesu bhikkhū samāgatāti. Atha vā dhātubhājanadivase sannipatitānaṃ kāyasāmaggīvasena sahitānanti attho. Saṅghassa thero saṅghatthero, so pana saṅgho kiṃ parimāṇānanti āha – ‘‘sattannaṃ bhikkhusatasahassāna’’nti. Niccasāpekkhatāya hi edisesu samāso hotiyeva, yathā – ‘‘devadattassa garukula’’nti.

    อายสฺมา มหากสฺสโป ปุน ทุลฺลภภาวํ มญฺญมาโน ภิกฺขูนํ อุสฺสาหํ ชเนสีติ สมฺพโนฺธฯ ‘‘ธาตุภาชนทิวเส สนฺนิปติตาน’’นฺติ อิทํ ‘‘ภิกฺขูนํ อุสฺสาหํ ชเนสี’’ติ เอตฺถ ‘‘ภิกฺขูน’’นฺติ อิมินาปิ ปเทน สมฺพนฺธนียํฯ สุภเทฺทน วุฑฺฒปพฺพชิเตน วุตฺตวจนมนุสฺสรโนฺตติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถ อนุสฺสรโนฺต ธมฺมสํเวควเสนาติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘สทฺธมฺมํ อนฺตรธาเปยฺยุํ สงฺคาเยยฺยํ…เป.… จิรฎฺฐิติกํ ตสฺส กิมญฺญํ อาณณฺยํ ภวิสฺสตี’’ติ เอเตสํ ปทานํ ‘‘อิติ จินฺตยโนฺต’’ติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ ตถา ‘‘ยญฺจาห’’นฺติ เอตสฺส ‘‘อนุคฺคหิโต ปสํสิโต’’ติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ ยํ ปาปภิกฺขูติ เอตฺถ นฺติ นิปาตมตฺตํ, การณนิเทฺทโส วา, เยน การเณน อนฺตรธาเปยฺยุํ, ตเทตํ การณํ วิชฺชตีติ อโตฺถ, อทฺธนิยนฺติ อทฺธานมคฺคคามิ, อทฺธานกฺขมนฺติ อโตฺถฯ

    Āyasmā mahākassapo puna dullabhabhāvaṃ maññamāno bhikkhūnaṃ ussāhaṃ janesīti sambandho. ‘‘Dhātubhājanadivase sannipatitāna’’nti idaṃ ‘‘bhikkhūnaṃ ussāhaṃ janesī’’ti ettha ‘‘bhikkhūna’’nti imināpi padena sambandhanīyaṃ. Subhaddena vuḍḍhapabbajitena vuttavacanamanussarantoti sambandho. Tattha anussaranto dhammasaṃvegavasenāti adhippāyo. ‘‘Saddhammaṃ antaradhāpeyyuṃ saṅgāyeyyaṃ…pe… ciraṭṭhitikaṃ tassa kimaññaṃ āṇaṇyaṃ bhavissatī’’ti etesaṃ padānaṃ ‘‘iti cintayanto’’ti etena sambandho. Tathā ‘‘yañcāha’’nti etassa ‘‘anuggahito pasaṃsito’’ti etena sambandho. Yaṃ pāpabhikkhūti ettha yanti nipātamattaṃ, kāraṇaniddeso vā, yena kāraṇena antaradhāpeyyuṃ, tadetaṃ kāraṇaṃ vijjatīti attho, addhaniyanti addhānamaggagāmi, addhānakkhamanti attho.

    ยญฺจาหนฺติ เอตฺถ นฺติ ยสฺมา, เยน การเณนาติ วุตฺตํ โหติ, กิริยาปรามสนํ วา เอตํ, เตน ‘‘อนุคฺคหิโต ปสํสิโต’’ติ เอตฺถ อนุคฺคณฺหนํ ปสํสนญฺจ ปรามสติฯ ‘‘จีวเร สาธารณปริโภเคนา’’ติ เอตฺถ ‘‘อตฺตนา สมสมฎฺฐปเนนา’’ติ อิธ อตฺตนา-สทฺทํ อาเนตฺวา จีวเร อตฺตนา สาธารณปริโภเคนาติ โยเชตพฺพํฯ ยสฺส เยน หิ สมฺพโนฺธ ทูรฎฺฐมฺปิ จ ตสฺส ตนฺติ อถ วา ภควตา จีวเร สาธารณปริโภเคน ภควตา อนุคฺคหิโตติ โยชนียํ, เอตสฺสาปิ หิ กรณนิเทฺทสสฺส สหโยคกตฺตุตฺถโชตกตฺตสมฺภวโตฯ ยาวเทติ ยาวเทว, ยตฺตกํ กาลํ, ยตฺตเก วา สมาปตฺติวิหาเร, อภิญฺญาวิหาเร วา อากงฺขโนฺต วิหรามิ เจว โวหรามิ จ, ตถา กสฺสโปปีติ อโตฺถฯ อิทญฺจ นวานุปุพฺพวิหารฉฬภิญฺญภาวสามเญฺญน ถุติมตฺตํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ น หิ อายสฺมา มหากสฺสโป ภควา วิย เทวสิกํ จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสงฺขฺยา สมาปตฺติโย สมาปชฺชติ, ยมกปาฎิหาริยาทิวเสน วา อภิญฺญาโย วฬเญฺชตีติฯ เตเนวาห – ‘‘นวานุปุพฺพวิหารฉฬภิญฺญาปฺปเภเท’’ติ ฯ ตสฺส กิมญฺญํ อาณณฺยํ ภวิสฺสติ, อญฺญตฺร ธมฺมวินยสงฺคายนาติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘นนุ มํ ภควา’’ติอาทินา วุตฺตเมวตฺถํ อุปมาวเสน วิภาเวติฯ

    Yañcāhanti ettha yanti yasmā, yena kāraṇenāti vuttaṃ hoti, kiriyāparāmasanaṃ vā etaṃ, tena ‘‘anuggahito pasaṃsito’’ti ettha anuggaṇhanaṃ pasaṃsanañca parāmasati. ‘‘Cīvare sādhāraṇaparibhogenā’’ti ettha ‘‘attanā samasamaṭṭhapanenā’’ti idha attanā-saddaṃ ānetvā cīvare attanā sādhāraṇaparibhogenāti yojetabbaṃ. Yassa yena hi sambandho dūraṭṭhampi ca tassa tanti atha vā bhagavatā cīvare sādhāraṇaparibhogena bhagavatā anuggahitoti yojanīyaṃ, etassāpi hi karaṇaniddesassa sahayogakattutthajotakattasambhavato. Yāvadeti yāvadeva, yattakaṃ kālaṃ, yattake vā samāpattivihāre, abhiññāvihāre vā ākaṅkhanto viharāmi ceva voharāmi ca, tathā kassapopīti attho. Idañca navānupubbavihārachaḷabhiññabhāvasāmaññena thutimattaṃ vuttanti daṭṭhabbaṃ. Na hi āyasmā mahākassapo bhagavā viya devasikaṃ catuvīsatikoṭisatasahassasaṅkhyā samāpattiyo samāpajjati, yamakapāṭihāriyādivasena vā abhiññāyo vaḷañjetīti. Tenevāha – ‘‘navānupubbavihārachaḷabhiññāppabhede’’ti . Tassa kimaññaṃ āṇaṇyaṃ bhavissati, aññatra dhammavinayasaṅgāyanāti adhippāyo. ‘‘Nanu maṃ bhagavā’’tiādinā vuttamevatthaṃ upamāvasena vibhāveti.

    ตโต ปรนฺติ ตโต ภิกฺขูนํ อุสฺสาหชนนโต ปรโตฯ ปุเร อธโมฺม ทิปฺปตีติ อปินาม ทิพฺพติ, ยาว อธโมฺม ธมฺมํ ปฎิพาหิตุํ สมโตฺถ โหติ, ตโต ปุเรตรเมวาติ อโตฺถฯ อาสเนฺน อนิจฺฉิเต หิ อยํ ปุเร-สโทฺทฯ ทิปฺปตีติ จ ทิปฺปิสฺสติฯ ปุเรสทฺทสนฺนิโยเคน หิ อนาคตเตฺถ อยํ วตฺตมานปฺปโยโค, ยถา – ‘‘ปุรา วสฺสติ เทโว’’ติฯ

    Tato paranti tato bhikkhūnaṃ ussāhajananato parato. Pure adhammo dippatīti apināma dibbati, yāva adhammo dhammaṃ paṭibāhituṃ samattho hoti, tato puretaramevāti attho. Āsanne anicchite hi ayaṃ pure-saddo. Dippatīti ca dippissati. Puresaddasanniyogena hi anāgatatthe ayaṃ vattamānappayogo, yathā – ‘‘purā vassati devo’’ti.

    ‘‘สกลนวงฺคสตฺถุสาสนปริยตฺติธเร…เป.… เอกูนปญฺจสเต ปริคฺคเหสี’’ติ เอเตน สุกฺขวิปสฺสกขีณาสวปริยนฺตานํ ยถาวุตฺตปุคฺคลานํ สติปิ อาคมาธิคมสพฺภาเว สห ปฎิสมฺภิทาหิ ปน เตวิชฺชาทิคุณยุตฺตานํ อาคมาธิคมสมฺปตฺติยา อุกฺกํสคตตฺตา สงฺคีติยา พหุปการตํ ทเสฺสติฯ อิทํ วุตฺตํ สงฺคีติกฺขนฺธเก, (ปารา. ๔๓๗) อปจฺจกฺขํ นาม นตฺถิ ปคุณปฺปวตฺติภาวโต, สมนฺตปาสาทิกายํ ปน ‘‘อสมฺมุขา ปฎิคฺคหิตํ นาม นตฺถี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ปฐมมหาสงฺคีติกถา) วุตฺตํ, ตํ ‘‘เทฺว สหสฺสานิ ภิกฺขุโต’’ติ วุตฺตมฺปิ ภควโต สนฺติเก ปฎิคฺคหิตเมวาติ กตฺวา วุตฺตํฯ จตุราสีติสหสฺสานีติ ธมฺมกฺขเนฺธ สนฺธายาหฯ ปวตฺติโนติ ปคุณานิฯ อานนฺทเตฺถรสฺส นวปฺปายาย ปริสาย วิพฺภมเนน มหากสฺสปเตฺถโร เอวมาห – ‘‘น วายํ กุมารโก มตฺตมญฺญาสี’’ติฯ ตตฺถ มตฺตนฺติ ปมาณํฯ ฉนฺทา อาคมนํ วิยาติ ปทวิภาโคฯ ‘‘กิญฺจาปิ เสโกฺข’’ติ อิทํ น เสกฺขานํ อคติคมนสพฺภาเวน วุตฺตํ, อเสกฺขานเมว ปน อุจฺจินิตตฺตาติ ทฎฺฐพฺพํ ฯ ปฐมมเคฺคเนว หิ จตฺตาริ อคติคมนานิ ปหียนฺตีติฯ ‘‘อภโพฺพ ฉนฺทา…เป.… อคติํ คนฺตุ’’นฺติ จ ธมฺมสงฺคีติยา ตสฺส โยคฺยภาวทสฺสเนน วิชฺชมานคุณกถนํฯ ปริยโตฺตติ อธีโตฯ

    ‘‘Sakalanavaṅgasatthusāsanapariyattidhare…pe… ekūnapañcasate pariggahesī’’ti etena sukkhavipassakakhīṇāsavapariyantānaṃ yathāvuttapuggalānaṃ satipi āgamādhigamasabbhāve saha paṭisambhidāhi pana tevijjādiguṇayuttānaṃ āgamādhigamasampattiyā ukkaṃsagatattā saṅgītiyā bahupakārataṃ dasseti. Idaṃ vuttaṃ saṅgītikkhandhake, (pārā. 437) apaccakkhaṃ nāma natthi paguṇappavattibhāvato, samantapāsādikāyaṃ pana ‘‘asammukhā paṭiggahitaṃ nāma natthī’’ti (pārā. aṭṭha. paṭhamamahāsaṅgītikathā) vuttaṃ, taṃ ‘‘dve sahassāni bhikkhuto’’ti vuttampi bhagavato santike paṭiggahitamevāti katvā vuttaṃ. Caturāsītisahassānīti dhammakkhandhe sandhāyāha. Pavattinoti paguṇāni. Ānandattherassa navappāyāya parisāya vibbhamanena mahākassapatthero evamāha – ‘‘na vāyaṃ kumārako mattamaññāsī’’ti. Tattha mattanti pamāṇaṃ. Chandā āgamanaṃ viyāti padavibhāgo. ‘‘Kiñcāpi sekkho’’ti idaṃ na sekkhānaṃ agatigamanasabbhāvena vuttaṃ, asekkhānameva pana uccinitattāti daṭṭhabbaṃ . Paṭhamamaggeneva hi cattāri agatigamanāni pahīyantīti. ‘‘Abhabbo chandā…pe… agatiṃ gantu’’nti ca dhammasaṅgītiyā tassa yogyabhāvadassanena vijjamānaguṇakathanaṃ. Pariyattoti adhīto.

    คาโว จรนฺติ เอตฺถาติ โคจโร, โคจโร วิย โคจโร, ภิกฺขาจรณฎฺฐานํฯ วิสภาคปุคฺคโล สุภทฺทสทิโสฯ สตฺติปญฺชรนฺติ สตฺติขคฺคาทิหเตฺถหิ ปุริเสหิ มลฺลราชูนํ ภควโต ธาตุอารกฺขกรณํ สนฺธายาหฯ ตํ ปลิโพธํ ฉินฺทิตฺวา ตํ กรณียํ กโรตูติ สงฺคาหเกน ฉินฺทิตพฺพํ ฉินฺทิตฺวา เอกนฺตกรณียํ กโรตูติ อโตฺถฯ มหาชนนฺติ พหุชนํฯ คนฺธกุฎิํ วนฺทิตฺวา ปริโภคเจติยภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ ยถา ตนฺติ ยถา อโญฺญปิ ยถาวุตฺตสภาโว, เอวนฺติ อโตฺถฯ สํเวเชสีติ ‘‘นนุ ภควตา ปฎิกเจฺจว อกฺขาตํ – ‘สเพฺพเหว ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว’’’ติอาทินา (ที. นิ. ๒.๑๘๓; สํ. นิ. ๕.๓๗๙; อ. นิ. ๑๐.๔๘; จูฬว. ๔๓๗) สํเวคํ ชเนสิฯ อุสฺสนฺนธาตุกนฺติ อุปจิตโทสํฯ เภสชฺชมตฺตาติ อปฺปกํ เภสชฺชํฯ อปฺปโตฺถ หิ อยํ มตฺตา-สโทฺท, ‘‘มตฺตาสุขปริจฺจาโค’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๒๙๐) วิยฯ ทุติยทิวเสติ เทวตาย สํเวชิตทิวสโต, เชตวนวิหารํ ปวิฎฺฐทิวสโต วา ทุติยทิวเสฯ อาณาว จกฺกํ อาณาจกฺกํฯ

    Gāvo caranti etthāti gocaro, gocaro viya gocaro, bhikkhācaraṇaṭṭhānaṃ. Visabhāgapuggalo subhaddasadiso. Sattipañjaranti sattikhaggādihatthehi purisehi mallarājūnaṃ bhagavato dhātuārakkhakaraṇaṃ sandhāyāha. Taṃ palibodhaṃ chinditvā taṃ karaṇīyaṃ karotūti saṅgāhakena chinditabbaṃ chinditvā ekantakaraṇīyaṃ karotūti attho. Mahājananti bahujanaṃ. Gandhakuṭiṃ vanditvā paribhogacetiyabhāvatoti adhippāyo. Yathā tanti yathā aññopi yathāvuttasabhāvo, evanti attho. Saṃvejesīti ‘‘nanu bhagavatā paṭikacceva akkhātaṃ – ‘sabbeheva piyehi manāpehi nānābhāvo vinābhāvo’’’tiādinā (dī. ni. 2.183; saṃ. ni. 5.379; a. ni. 10.48; cūḷava. 437) saṃvegaṃ janesi. Ussannadhātukanti upacitadosaṃ. Bhesajjamattāti appakaṃ bhesajjaṃ. Appattho hi ayaṃ mattā-saddo, ‘‘mattāsukhapariccāgo’’tiādīsu (dha. pa. 290) viya. Dutiyadivaseti devatāya saṃvejitadivasato, jetavanavihāraṃ paviṭṭhadivasato vā dutiyadivase. Āṇāva cakkaṃ āṇācakkaṃ.

    เอตทคฺคนฺติ เอโส อโคฺคฯ ลิงฺควิปลฺลาเสน หิ อยํ นิเทฺทโสฯ ยทิทนฺติ จ โย อยํ, ยทิทํ ขนฺธปญฺจกนฺติ วา โยเชตพฺพํฯ ‘‘ปฐมํ อาวุโส อุปาลิ ปาราชิกํ กตฺถ ปญฺญตฺต’’นฺติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ ตสฺส สงฺคีติยา ปุริมกาเล ปฐมภาโว น ยุโตฺตติ? โน น ยุโตฺต, ภควตา ปญฺญตฺตานุกฺกเมน ปาติโมกฺขุเทฺทสานุกฺกเมน จ ปฐมภาวสฺส สิทฺธตฺตาฯ เยภุเยฺยน หิ ตีณิ ปิฎกานิ ภควโต ธรมานกาเล ฐิตานุกฺกเมเนว สงฺคีตานิ, วิเสสโต วินยาภิธมฺมปิฎกานีติ ทฎฺฐพฺพํฯ ‘‘วตฺถุมฺปิ ปุจฺฉี’’ติอาทิ ‘กตฺถ ปญฺญตฺต’นฺติอาทินา ทสฺสิเตน สห ตทวสิฎฺฐมฺปิ สงฺคเหตฺวา ทสฺสนวเสน วุตฺตํฯ ปฐมปาราชิเกติ ปฐมปาราชิกปาฬิยํ (ปารา. ๒๔), เตเนวาห – ‘‘น หิ ตถาคตา เอกพฺยญฺชนมฺปิ นิรตฺถกํ วทนฺตี’’ติฯ

    Etadagganti eso aggo. Liṅgavipallāsena hi ayaṃ niddeso. Yadidanti ca yo ayaṃ, yadidaṃ khandhapañcakanti vā yojetabbaṃ. ‘‘Paṭhamaṃ āvuso upāli pārājikaṃ kattha paññatta’’nti kasmā vuttaṃ, nanu tassa saṅgītiyā purimakāle paṭhamabhāvo na yuttoti? No na yutto, bhagavatā paññattānukkamena pātimokkhuddesānukkamena ca paṭhamabhāvassa siddhattā. Yebhuyyena hi tīṇi piṭakāni bhagavato dharamānakāle ṭhitānukkameneva saṅgītāni, visesato vinayābhidhammapiṭakānīti daṭṭhabbaṃ. ‘‘Vatthumpi pucchī’’tiādi ‘kattha paññatta’ntiādinā dassitena saha tadavasiṭṭhampi saṅgahetvā dassanavasena vuttaṃ. Paṭhamapārājiketi paṭhamapārājikapāḷiyaṃ (pārā. 24), tenevāha – ‘‘na hi tathāgatā ekabyañjanampi niratthakaṃ vadantī’’ti.

    ชาตกาทิเก ขุทฺทกนิกายปริยาปเนฺน, เยภุเยฺยน จ ธมฺมนิเทฺทสภูเต ตาทิเส อภิธมฺมปิฎเก สงฺคณฺหิตุํ ยุตฺตํ, น ปน ทีฆนิกายาทิปฺปกาเร สุตฺตนฺตปิฎเก, นาปิ ปญฺญตฺตินิเทฺทสภูเต วินยปิฎเกติ ทีฆภาณกา ‘‘ชาตกาทีนํ อภิธมฺมปิฎเก สงฺคโห’’ติ วทนฺติฯ จริยาปิฎกพุทฺธวํสานเญฺจตฺถ อคฺคหณํ, ชาตกคติกตฺตาฯ มชฺฌิมภาณกา ปน ‘‘อฎฺฐุปฺปตฺติวเสน เทสิตานํ ชาตกาทีนํ ยถานุโลมเทสนาภาวโต ตาทิเส สุตฺตนฺตปิฎเก สงฺคโห ยุโตฺต, น ปน สภาวธมฺมนิเทฺทสภูเต ยถาธมฺมสาสเน อภิธมฺมปิฎเก’’ติ ชาตกาทีนํ สุตฺตนฺตปิฎกปริยาปนฺนตํ กถยนฺติฯ ตตฺถ จ ยุตฺตํ วิจาเรตฺวา คเหตพฺพํฯ

    Jātakādike khuddakanikāyapariyāpanne, yebhuyyena ca dhammaniddesabhūte tādise abhidhammapiṭake saṅgaṇhituṃ yuttaṃ, na pana dīghanikāyādippakāre suttantapiṭake, nāpi paññattiniddesabhūte vinayapiṭaketi dīghabhāṇakā ‘‘jātakādīnaṃ abhidhammapiṭake saṅgaho’’ti vadanti. Cariyāpiṭakabuddhavaṃsānañcettha aggahaṇaṃ, jātakagatikattā. Majjhimabhāṇakā pana ‘‘aṭṭhuppattivasena desitānaṃ jātakādīnaṃ yathānulomadesanābhāvato tādise suttantapiṭake saṅgaho yutto, na pana sabhāvadhammaniddesabhūte yathādhammasāsane abhidhammapiṭake’’ti jātakādīnaṃ suttantapiṭakapariyāpannataṃ kathayanti. Tattha ca yuttaṃ vicāretvā gahetabbaṃ.

    เอวํ นิมิตฺตปโยชนกาลเทสการกกรณปฺปกาเรหิ ปฐมํ สงฺคีติํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตตฺถ ววตฺถาปิตสิเทฺธสุ ธมฺมวินเยสุ นานปฺปการโกสลฺลตฺถํ เอกวิธาทิเภเท ทเสฺสตุํ ‘‘เอวเมต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ วิมุตฺติรสนฺติ วิมุตฺติคุณํ, วิมุตฺติสมฺปตฺติกํ วา, อคฺคผลนิปฺผาทนโต, วิมุตฺติกิจฺจํ วา, กิเลสานํ อจฺจนฺตํ วิมุตฺติสมฺปาทนโตฯ เกจิ ปน ‘‘วิมุตฺติอสฺสาท’’นฺติ วทนฺติฯ

    Evaṃ nimittapayojanakāladesakārakakaraṇappakārehi paṭhamaṃ saṅgītiṃ dassetvā idāni tattha vavatthāpitasiddhesu dhammavinayesu nānappakārakosallatthaṃ ekavidhādibhede dassetuṃ ‘‘evameta’’ntiādimāha. Tattha vimuttirasanti vimuttiguṇaṃ, vimuttisampattikaṃ vā, aggaphalanipphādanato, vimuttikiccaṃ vā, kilesānaṃ accantaṃ vimuttisampādanato. Keci pana ‘‘vimuttiassāda’’nti vadanti.

    กิญฺจาปิ อวิเสเสน สพฺพมฺปิ พุทฺธวจนํ กิเลสวินยเนน วินโย, ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาเน อปายปตนาทิโต ธารเณน ธโมฺม, อิธาธิเปฺปเต ปน ธมฺมวินเย นิทฺธาเรตุํ ‘‘ตตฺถ วินยปิฎก’’นฺติอาทิมาหฯ อวเสสํ พุทฺธวจนํ ธโมฺม, ขนฺธาทิวเสน สภาวธมฺมเทสนาพาหุลฺลโตฯ อถ วา ยทิปิ ธโมฺมเยว วินโยปิ, ปริยตฺติยาทิภาวโต, วินยสทฺทสนฺนิธาเน ปน ภินฺนาธิกรณภาเวน ปยุโตฺต ธมฺม-สโทฺท วินยตนฺติวิธุรํ ตนฺติํ ทีเปติ ยถา ‘‘ปุญฺญญาณสมฺภารา, โคพลิพทฺธ’’นฺติ จฯ

    Kiñcāpi avisesena sabbampi buddhavacanaṃ kilesavinayanena vinayo, yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāne apāyapatanādito dhāraṇena dhammo, idhādhippete pana dhammavinaye niddhāretuṃ ‘‘tattha vinayapiṭaka’’ntiādimāha. Avasesaṃ buddhavacanaṃ dhammo, khandhādivasena sabhāvadhammadesanābāhullato. Atha vā yadipi dhammoyeva vinayopi, pariyattiyādibhāvato, vinayasaddasannidhāne pana bhinnādhikaraṇabhāvena payutto dhamma-saddo vinayatantividhuraṃ tantiṃ dīpeti yathā ‘‘puññañāṇasambhārā, gobalibaddha’’nti ca.

    ‘‘อเนกชาติสํสาร’’นฺติ อยํ คาถา ภควตา อตฺตโน สพฺพญฺญุตญาณปทฎฺฐานํ อรหตฺตปฺปตฺติํ ปจฺจเวกฺขเนฺตน เอกูนวีสติมสฺส ปจฺจเวกฺขณญาณสฺส อนนฺตรํ ภาสิตาฯ เตนาห ‘‘อิทํ ปฐมพุทฺธวจน’’นฺติฯ อิทํ กิร สพฺพพุเทฺธหิ อวิชหิตํ อุทานํฯ อยมสฺส สเงฺขปโตฺถ – อหํ อิมสฺส อตฺตภาวเคหสฺส การกํ ตณฺหาวฑฺฒกิํ คเวสโนฺต เยน ญาเณน ตํ ทฎฺฐุํ สกฺกา, ตสฺส โพธิญาณสฺสตฺถาย ทีปงฺกรปาทมูเล กตาภินีหาโร เอตฺตกํ กาลํ อเนกชาติสํสารํ อเนกชาติสตสหสฺสสงฺขฺยํ สํสารวฎฺฎํ อนิพฺพิสํ ตํ ญาณํ อวินฺทโนฺต อลภโนฺตเยว สนฺธาวิสฺสํ สํสริํฯ ยสฺมา ชราวฺยาธิมรณมิสฺสตาย ชาติ นาเมสา ปุนปฺปุนํ อุปคนฺตุํ ทุกฺขา, น จ สา ตสฺมิํ อทิเฎฺฐ นิวตฺตติ, ตสฺมา ตํ คเวสโนฺต สนฺธาวิสฺสนฺติ อโตฺถฯ ทิโฎฺฐสีติ อิทานิ มยา สพฺพญฺญุตญาณํ ปฎิวิชฺฌเนฺตน ทิโฎฺฐ อสิฯ ปุน เคหนฺติ ปุน อิมํ อตฺตภาวสงฺขาตํ มม เคหํฯ น กาหสิ น กริสฺสสิฯ ตว สพฺพา อวเสสากิเลสผาสุกา มยา ภคฺคาฯ อิมสฺส ตยา กตสฺส อตฺตภาวเคหสฺส กูฎํ อวิชฺชาสงฺขาตํ กณฺณิกมณฺฑลํ วิสงฺขตํ วิทฺธํสิตํฯ วิสงฺขารํ นิพฺพานํ อารมฺมณกรณวเสน คตํ อนุปวิฎฺฐํ อิทานิ มม จิตฺตํ, อหญฺจ ตณฺหานํ ขยสงฺขาตํ อรหตฺตมคฺคํ อชฺฌคา อธิคโต ปโตฺตสฺมีติฯ อยํ มนสา ปวตฺติตธมฺมานมาทิฯ ‘‘ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา’’ติ (อุทา. ๑, ๒, ๓) อยํ ปน วาจาย ปวตฺติตธมฺมานํ อาทีติ วทนฺติฯ อโนฺตชปฺปนวเสน กิร ภควา ‘‘อเนกชาติสํสาร’’นฺติอาทิมาห (ธ. ป. ๑๕๓)ฯ ‘‘ปาฎิปททิวเส’’ติ อิทํ ‘‘สพฺพญฺญุภาวปฺปตฺตสฺสา’’ติ น เอเตน สมฺพนฺธิตพฺพํ, ‘‘ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส อุปฺปนฺนา’’ติ เอเตน ปน สมฺพนฺธิตพฺพํฯ วิสาขปุณฺณมายเมว หิ ภควา ปจฺจูสสมเย สพฺพญฺญุตํ ปโตฺตติฯ

    ‘‘Anekajātisaṃsāra’’nti ayaṃ gāthā bhagavatā attano sabbaññutañāṇapadaṭṭhānaṃ arahattappattiṃ paccavekkhantena ekūnavīsatimassa paccavekkhaṇañāṇassa anantaraṃ bhāsitā. Tenāha ‘‘idaṃ paṭhamabuddhavacana’’nti. Idaṃ kira sabbabuddhehi avijahitaṃ udānaṃ. Ayamassa saṅkhepattho – ahaṃ imassa attabhāvagehassa kārakaṃ taṇhāvaḍḍhakiṃ gavesanto yena ñāṇena taṃ daṭṭhuṃ sakkā, tassa bodhiñāṇassatthāya dīpaṅkarapādamūle katābhinīhāro ettakaṃ kālaṃ anekajātisaṃsāraṃ anekajātisatasahassasaṅkhyaṃ saṃsāravaṭṭaṃ anibbisaṃ taṃ ñāṇaṃ avindanto alabhantoyeva sandhāvissaṃ saṃsariṃ. Yasmā jarāvyādhimaraṇamissatāya jāti nāmesā punappunaṃ upagantuṃ dukkhā, na ca sā tasmiṃ adiṭṭhe nivattati, tasmā taṃ gavesanto sandhāvissanti attho. Diṭṭhosīti idāni mayā sabbaññutañāṇaṃ paṭivijjhantena diṭṭho asi. Puna gehanti puna imaṃ attabhāvasaṅkhātaṃ mama gehaṃ. Na kāhasi na karissasi. Tava sabbā avasesākilesaphāsukā mayā bhaggā. Imassa tayā katassa attabhāvagehassa kūṭaṃ avijjāsaṅkhātaṃ kaṇṇikamaṇḍalaṃ visaṅkhataṃ viddhaṃsitaṃ. Visaṅkhāraṃ nibbānaṃ ārammaṇakaraṇavasena gataṃ anupaviṭṭhaṃ idāni mama cittaṃ, ahañca taṇhānaṃ khayasaṅkhātaṃ arahattamaggaṃ ajjhagā adhigato pattosmīti. Ayaṃ manasā pavattitadhammānamādi. ‘‘Yadā have pātubhavanti dhammā’’ti (udā. 1, 2, 3) ayaṃ pana vācāya pavattitadhammānaṃ ādīti vadanti. Antojappanavasena kira bhagavā ‘‘anekajātisaṃsāra’’ntiādimāha (dha. pa. 153). ‘‘Pāṭipadadivase’’ti idaṃ ‘‘sabbaññubhāvappattassā’’ti na etena sambandhitabbaṃ, ‘‘paccavekkhantassa uppannā’’ti etena pana sambandhitabbaṃ. Visākhapuṇṇamāyameva hi bhagavā paccūsasamaye sabbaññutaṃ pattoti.

    วยธมฺมาติ อนิจฺจลกฺขณมุเขน ทุกฺขานตฺตลกฺขณมฺปิ สงฺขารานํ วิภาเวติ ‘‘ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ, ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตา’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑๕; ปฎิ. ม. ๒.๑๐) วจนโตฯ ลกฺขณตฺตยวิภาวนนเยเนว จ ตทารมฺมณํ วิปสฺสนํ ทเสฺสโนฺต สพฺพติตฺถิยานํ อวิสยภูตํ พุทฺธาเวณิกํ จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานาธิฎฺฐานํ อวิปรีตํ นิพฺพานคามินิปฺปฎิปทํ ปกาเสตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ อิทานิ ตตฺถ สมฺมาปฎิปตฺติยํ นิโยเชติ ‘‘อปฺปมาเทน สมฺปาเทถา’’ติฯ อถ วา ‘‘วยธมฺมา สงฺขารา’’ติ เอเตน สเงฺขเปน สํเวเชตฺวา ‘‘อปฺปมาเทน สมฺปาเทถา’’ติ สเงฺขเปเนว นิรวเสสํ สมฺมาปฎิปตฺติํ ทเสฺสติฯ อปฺปมาทปทญฺหิ สิกฺขาตฺตยสงฺคหิตํ เกวลปริปุณฺณํ สาสนํ ปริยาทิยิตฺวา ติฎฺฐตีติฯ

    Vayadhammāti aniccalakkhaṇamukhena dukkhānattalakkhaṇampi saṅkhārānaṃ vibhāveti ‘‘yadaniccaṃ taṃ dukkhaṃ, yaṃ dukkhaṃ tadanattā’’ti (saṃ. ni. 3.15; paṭi. ma. 2.10) vacanato. Lakkhaṇattayavibhāvananayeneva ca tadārammaṇaṃ vipassanaṃ dassento sabbatitthiyānaṃ avisayabhūtaṃ buddhāveṇikaṃ catusaccakammaṭṭhānādhiṭṭhānaṃ aviparītaṃ nibbānagāminippaṭipadaṃ pakāsetīti daṭṭhabbaṃ. Idāni tattha sammāpaṭipattiyaṃ niyojeti ‘‘appamādena sampādethā’’ti. Atha vā ‘‘vayadhammā saṅkhārā’’ti etena saṅkhepena saṃvejetvā ‘‘appamādena sampādethā’’ti saṅkhepeneva niravasesaṃ sammāpaṭipattiṃ dasseti. Appamādapadañhi sikkhāttayasaṅgahitaṃ kevalaparipuṇṇaṃ sāsanaṃ pariyādiyitvā tiṭṭhatīti.

    ปฐมสงฺคีติยํ อสงฺคีตํ สงฺคีติกฺขนฺธกกถาวตฺถุปฺปกรณาทิฯ เกจิ ปน ‘‘สุภสุตฺตมฺปิ (ที. นิ. ๑.๔๔๔) ปฐมสงฺคีติยํ อสงฺคีต’’นฺติ วทนฺติ, ตํ ปน น ยุชฺชติฯ ปฐมสงฺคีติโต ปุเรตรเมว หิ อายสฺมตา อานเนฺทน เชตวเน วิหรเนฺตน สุภสฺส มาณวสฺส ภาสิตนฺติฯ

    Paṭhamasaṅgītiyaṃ asaṅgītaṃ saṅgītikkhandhakakathāvatthuppakaraṇādi. Keci pana ‘‘subhasuttampi (dī. ni. 1.444) paṭhamasaṅgītiyaṃ asaṅgīta’’nti vadanti, taṃ pana na yujjati. Paṭhamasaṅgītito puretarameva hi āyasmatā ānandena jetavane viharantena subhassa māṇavassa bhāsitanti.

    ทฬฺหิกมฺมสิถิลีกรณปฺปโยชนา ยถากฺกมํ ปกติสาวชฺชปณฺณตฺติสาวเชฺชสุ สิกฺขาปเทสุฯ เตนาติ วิวิธนยตฺตาทินาฯ เอตนฺติ วิวิธวิเสสนยตฺตาติ คาถาวจนํฯ เอตสฺสาติ วินยสฺสฯ

    Daḷhikammasithilīkaraṇappayojanā yathākkamaṃ pakatisāvajjapaṇṇattisāvajjesu sikkhāpadesu. Tenāti vividhanayattādinā. Etanti vividhavisesanayattāti gāthāvacanaṃ. Etassāti vinayassa.

    อตฺตตฺถปรตฺถาทิเภเทติ โย ตํ สุตฺตํ สชฺฌายติ, สุณาติ, วาเจติ, จิเนฺตติ, เทเสติ จ, สุเตฺตน สงฺคหิโต สีลาทิอโตฺถ ตสฺสาปิ โหติ, เตน ปรสฺส สาเธตพฺพโต ปรสฺสาปิ โหตีติ, ตทุภยํ ตํ สุตฺตํ สูเจติ ทีเปติฯ ตถา ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกํ โลกิยโลกุตฺตรญฺจาติ เอวมาทิเภเท อเตฺถ อาทิ-สเทฺทน สงฺคณฺหาติฯ อตฺถ-สโทฺท จายํ หิตปริยายวจนํ, น ภาสิตตฺถวจนํ, ยทิ สิยา, สุตฺตํ อตฺตโนปิ ภาสิตตฺถํ สูเจติ, ปรสฺสาปีติ อยมโตฺถ วุโตฺต สิยาฯ สุเตฺตน จ โย อโตฺถ ปกาสิโต โส ตเสฺสว โหตีติ, น เตน ปรโตฺถ สูจิโต โหติ, เตน สูเจตพฺพสฺส ปรตฺถสฺส นิวเตฺตตพฺพสฺส อภาวา อตฺถคหณญฺจ น กตฺตพฺพํฯ อตฺตตฺถปรตฺถวินิมฺมุตฺตสฺส ภาสิตตฺถสฺส อภาวา อาทิคฺคหณญฺจ น กตฺตพฺพํฯ ตสฺมา ยถาวุตฺตสฺส หิตปริยายสฺส อตฺถสฺส สุเตฺต อสมฺภวโต สุตฺตธารสฺส ปุคฺคลสฺส วเสน อตฺตตฺถปรตฺถา วุตฺตาฯ

    Attatthaparatthādibhedeti yo taṃ suttaṃ sajjhāyati, suṇāti, vāceti, cinteti, deseti ca, suttena saṅgahito sīlādiattho tassāpi hoti, tena parassa sādhetabbato parassāpi hotīti, tadubhayaṃ taṃ suttaṃ sūceti dīpeti. Tathā diṭṭhadhammikasamparāyikaṃ lokiyalokuttarañcāti evamādibhede atthe ādi-saddena saṅgaṇhāti. Attha-saddo cāyaṃ hitapariyāyavacanaṃ, na bhāsitatthavacanaṃ, yadi siyā, suttaṃ attanopi bhāsitatthaṃ sūceti, parassāpīti ayamattho vutto siyā. Suttena ca yo attho pakāsito so tasseva hotīti, na tena parattho sūcito hoti, tena sūcetabbassa paratthassa nivattetabbassa abhāvā atthagahaṇañca na kattabbaṃ. Attatthaparatthavinimmuttassa bhāsitatthassa abhāvā ādiggahaṇañca na kattabbaṃ. Tasmā yathāvuttassa hitapariyāyassa atthassa sutte asambhavato suttadhārassa puggalassa vasena attatthaparatthā vuttā.

    อถ วา สุตฺตํ อนเปกฺขิตฺวา เย อตฺตตฺถาทโย อตฺถปฺปเภทา วุตฺตา ‘‘น หญฺญทตฺถตฺถิปสํสลาภา’’ติ เอตสฺส ปทสฺส นิเทฺทเส (มหานิ. ๖๓; จูฬนิ. ๘๕) ‘‘อตฺตโตฺถ, ปรโตฺถ, อุภยโตฺถ, ทิฎฺฐธมฺมิโก อโตฺถ, สมฺปรายิโก อโตฺถ, อุตฺตาโน อโตฺถ, คมฺภีโร อโตฺถ, คูโฬฺห อโตฺถ, ปฎิจฺฉโนฺน อโตฺถ, เนโยฺย อโตฺถ, นีโต อโตฺถ, อนวโชฺช อโตฺถ, นิกฺกิเลโส อโตฺถ, โวทาโน อโตฺถ, ปรมโตฺถ’’ติ เต สุตฺตํ สูเจตีติ อโตฺถฯ อิมสฺมิํ อตฺถวิกเปฺป อตฺถ-สโทฺท ภาสิตตฺถปริยาโยปิ โหติฯ เอตฺถ หิ ปุริมกา ปญฺจ อตฺถปฺปเภทา หิตปริยายา, ตโต ปเร ฉ ภาสิตตฺถเภทา, ปจฺฉิมกา ปน อุภยสภาวาฯ ตตฺถ ทุรธิคมตาย วิภาวเน อลทฺธคาโธ คมฺภีโรฯ น วิวโฎ คูโฬฺหฯ มูลุทกาทโย วิย ปํสุนา อกฺขรสนฺนิเวสาทินา ติโรหิโต ปฎิจฺฉโนฺน ฯ นิทฺธาเรตฺวา ญาเปตโพฺพ เนโยฺยฯ ยถารุตวเสน เวทิตโพฺพ นีโตฯ อนวชฺชนิกฺกิเลสโวทานา ปริยายวเสน วุตฺตา, กุสลวิปากกิริยาธมฺมวเสน วาฯ ปรมโตฺถ นิพฺพานํ, ธมฺมานํ อวิปรีตสภาโว เอว วาฯ อถ วา ‘‘อตฺตนา จ อปฺปิโจฺฉ โหตี’’ติ อตฺตตฺถํ, ‘‘อปฺปิจฺฉากถญฺจ ปเรสํ กตฺตา โหตี’’ติ ปรตฺถํ สูเจติฯ เอวํ ‘‘อตฺตนา จ ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๔.๙๙, ๒๖๕) สุตฺตานิ โยเชตพฺพานิฯ วินยาภิธเมฺมหิ จ วิเสเสตฺวา สุตฺต-สทฺทสฺส อโตฺถ วตฺตโพฺพฯ ตสฺมา เวเนยฺยชฺฌาสยวสปฺปวตฺตาย เทสนาย อตฺตหิตปรหิตตาทีนิ สาติสยํ ปกาสิตานิ โหติ ตปฺปรภาวโต, น อาณาธมฺมสภาววสปฺปวตฺตายาติ อิทเมว จ ‘‘อตฺถานํ สูจนโต สุตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Atha vā suttaṃ anapekkhitvā ye attatthādayo atthappabhedā vuttā ‘‘na haññadatthatthipasaṃsalābhā’’ti etassa padassa niddese (mahāni. 63; cūḷani. 85) ‘‘attattho, parattho, ubhayattho, diṭṭhadhammiko attho, samparāyiko attho, uttāno attho, gambhīro attho, gūḷho attho, paṭicchanno attho, neyyo attho, nīto attho, anavajjo attho, nikkileso attho, vodāno attho, paramattho’’ti te suttaṃ sūcetīti attho. Imasmiṃ atthavikappe attha-saddo bhāsitatthapariyāyopi hoti. Ettha hi purimakā pañca atthappabhedā hitapariyāyā, tato pare cha bhāsitatthabhedā, pacchimakā pana ubhayasabhāvā. Tattha duradhigamatāya vibhāvane aladdhagādho gambhīro. Na vivaṭo gūḷho. Mūludakādayo viya paṃsunā akkharasannivesādinā tirohito paṭicchanno. Niddhāretvā ñāpetabbo neyyo. Yathārutavasena veditabbo nīto. Anavajjanikkilesavodānā pariyāyavasena vuttā, kusalavipākakiriyādhammavasena vā. Paramattho nibbānaṃ, dhammānaṃ aviparītasabhāvo eva vā. Atha vā ‘‘attanā ca appiccho hotī’’ti attatthaṃ, ‘‘appicchākathañca paresaṃ kattā hotī’’ti paratthaṃ sūceti. Evaṃ ‘‘attanā ca pāṇātipātā paṭivirato hotī’’tiādi (a. ni. 4.99, 265) suttāni yojetabbāni. Vinayābhidhammehi ca visesetvā sutta-saddassa attho vattabbo. Tasmā veneyyajjhāsayavasappavattāya desanāya attahitaparahitatādīni sātisayaṃ pakāsitāni hoti tapparabhāvato, na āṇādhammasabhāvavasappavattāyāti idameva ca ‘‘atthānaṃ sūcanato sutta’’nti vuttaṃ.

    สุเตฺต จ อาณาธมฺมสภาวา จ เวเนยฺยชฺฌาสยํ อนุวตฺตนฺติ, น วินยาภิธเมฺมสุ วิย เวเนยฺยชฺฌาสโย อาณาธมฺมสภาเวฯ ตสฺมา เวเนยฺยานํ เอกนฺตหิตปฎิลาภสํวตฺตนิกา สุตฺตนฺตเทสนา โหตีติ ‘‘สุวุตฺตา เจตฺถา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปสวตีติ ผลติฯ ‘‘สุตฺตาณา’’ติ เอตสฺส อตฺถํ ปกาเสตุํ ‘‘สุฎฺฐุ จ เน ตายตี’’ติ วุตฺตํฯ อตฺตตฺถาทิวิธาเนสุ จ สุตฺตสฺส ปมาณภาโว, อตฺตตฺถาทีนญฺจ สงฺคาหกตฺตํ โยเชตพฺพํ ตทตฺถปฺปกาสนปธานตฺตา สุตฺตสฺสฯ วินยาภิธเมฺมหิ วิเสสนญฺจ โยเชตพฺพํฯ เอตนฺติ ‘‘อตฺถานํ สูจนโต’’ติอาทิกํ อตฺถวจนํฯ เอตสฺสาติ สุตฺตสฺสฯ

    Sutte ca āṇādhammasabhāvā ca veneyyajjhāsayaṃ anuvattanti, na vinayābhidhammesu viya veneyyajjhāsayo āṇādhammasabhāve. Tasmā veneyyānaṃ ekantahitapaṭilābhasaṃvattanikā suttantadesanā hotīti ‘‘suvuttā cetthā’’tiādi vuttaṃ. Pasavatīti phalati. ‘‘Suttāṇā’’ti etassa atthaṃ pakāsetuṃ ‘‘suṭṭhu ca ne tāyatī’’ti vuttaṃ. Attatthādividhānesu ca suttassa pamāṇabhāvo, attatthādīnañca saṅgāhakattaṃ yojetabbaṃ tadatthappakāsanapadhānattā suttassa. Vinayābhidhammehi visesanañca yojetabbaṃ. Etanti ‘‘atthānaṃ sūcanato’’tiādikaṃ atthavacanaṃ. Etassāti suttassa.

    อภิกฺกมนฺตีติ เอตฺถ อภิ-สโทฺท กมนกิริยาย วุทฺธิภาวํ อติเรกตํ ทีเปติ, อภิญฺญาตา อภิลกฺขิตาติ เอตฺถ ญาณลกฺขณกิริยานํ สุปากฎตาวิเสสํ, อภิกฺกเนฺตนาติ เอตฺถ กนฺติยา อธิกตฺตํ วิสิฎฺฐตนฺติ ยุตฺตํ กิริยาวิเสสกตฺตา อุปสคฺคสฺสฯ อภิราชา อภิวินเยติ ปน ปูชิตปริจฺฉิเนฺนสุ ราชวินเยสุ อภิ-สโทฺท ปวตฺตตีติ กถเมตํ ยุเชฺชยฺยาติ ? ปูชนปริเจฺฉทนกิริยาทีปนโต, ตาหิ จ กิริยาหิ ราชวินยานํ ยุตฺตตฺตาฯ เอตฺถ หิ อติมาลาทีสุ อติ-สโทฺท วิย, อภิ-สโทฺท ยถา สห สาธเนน กิริยํ วทตีติ อภิราชอภิวินย-สทฺทา สิทฺธา, เอวํ อภิธมฺมสเทฺท อภิ-สโทฺท สห สาธเนน วุฑฺฒิยาทิกิริยํ ทีเปตีติ อยมโตฺถ ทสฺสิโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Abhikkamantīti ettha abhi-saddo kamanakiriyāya vuddhibhāvaṃ atirekataṃ dīpeti, abhiññātā abhilakkhitāti ettha ñāṇalakkhaṇakiriyānaṃ supākaṭatāvisesaṃ, abhikkantenāti ettha kantiyā adhikattaṃ visiṭṭhatanti yuttaṃ kiriyāvisesakattā upasaggassa. Abhirājā abhivinayeti pana pūjitaparicchinnesu rājavinayesu abhi-saddo pavattatīti kathametaṃ yujjeyyāti ? Pūjanaparicchedanakiriyādīpanato, tāhi ca kiriyāhi rājavinayānaṃ yuttattā. Ettha hi atimālādīsu ati-saddo viya, abhi-saddo yathā saha sādhanena kiriyaṃ vadatīti abhirājaabhivinaya-saddā siddhā, evaṃ abhidhammasadde abhi-saddo saha sādhanena vuḍḍhiyādikiriyaṃ dīpetīti ayamattho dassitoti daṭṭhabbo.

    ภาวนาผรณวุฑฺฒีหิ วุฑฺฒิมโนฺตปิ ธมฺมา วุตฺตาฯ อารมฺมณาทีหีติ อารมฺมณสมฺปยุตฺตกมฺมทฺวารปฎิปทาทีหิฯ อวิสิฎฺฐนฺติ อญฺญมญฺญวิสิเฎฺฐสุ วินยสุตฺตาภิธเมฺมสุ อวิสิฎฺฐํ สมานํฯ ตํ ปิฎกสทฺทนฺติ อโตฺถฯ ยถาวุเตฺตนาติ ‘‘เอวํ ทุวิธเตฺถนา’’ติอาทินา วุตฺตปฺปกาเรนฯ

    Bhāvanāpharaṇavuḍḍhīhi vuḍḍhimantopi dhammā vuttā. Ārammaṇādīhīti ārammaṇasampayuttakammadvārapaṭipadādīhi. Avisiṭṭhanti aññamaññavisiṭṭhesu vinayasuttābhidhammesu avisiṭṭhaṃ samānaṃ. Taṃ piṭakasaddanti attho. Yathāvuttenāti ‘‘evaṃ duvidhatthenā’’tiādinā vuttappakārena.

    กเถตพฺพานํ อตฺถานํ เทสกายเตฺตน อาณาทิวิธินา อติสชฺชนํ ปโพธนํ เทสนาฯ สาสิตพฺพปุคฺคลคเตน ยถาปราธาทิสาสิตพฺพภาเวน อนุสาสนํ วินยนํ สาสนํฯ กเถตพฺพสฺส สํวราสํวราทิโน อตฺถสฺส กถนํ วจนปฎิพทฺธตากรณํ กถาฯ กถียติ วา เอตฺถาติ กถาฯ สํวราสํวรสฺส กถา สํวราสํวรกถาฯ เอส นโย อิตเรสุปิฯ เภท-สโทฺท วิสุํ วิสุํ โยเชตโพฺพ ‘‘เทสนาเภทํ สาสนเภทํ กถาเภทญฺจ ยถารหํ ปริทีปเย’’ติฯ เภทนฺติ จ นานตฺตนฺติ อโตฺถฯ สิกฺขา จ ปหานานิ จ คมฺภีรภาโว จ สิกฺขาปฺปหานคมฺภีรภาวํ, ตญฺจ ปริทีปเยฯ เอตฺถ ยถาติ อุปารมฺภนิสฺสรณธมฺมโกสรกฺขณเหตุปริยาปุณนํ สุปฺปฎิปตฺติ ทุปฺปฎิปตฺตีติ เอเตหิ ปกาเรหิฯ อาณํ ปเณตุํ อรหตีติ อาณารโห สมฺมาสมฺพุทฺธตฺตาฯ โวหารปรมตฺถานมฺปิ สพฺภาวโต อาห อาณาพาหุลฺลโตติฯ อิโต ปเรสุปิ เอเสว นโยฯ ปจุราปราธา เสยฺยสกาทโยฯ อชฺฌาสโย อาสโยว อตฺถโต ทิฎฺฐิ, ญาณญฺจฯ วุตฺตเญฺจตํ –

    Kathetabbānaṃ atthānaṃ desakāyattena āṇādividhinā atisajjanaṃ pabodhanaṃ desanā. Sāsitabbapuggalagatena yathāparādhādisāsitabbabhāvena anusāsanaṃ vinayanaṃ sāsanaṃ. Kathetabbassa saṃvarāsaṃvarādino atthassa kathanaṃ vacanapaṭibaddhatākaraṇaṃ kathā. Kathīyati vā etthāti kathā. Saṃvarāsaṃvarassa kathā saṃvarāsaṃvarakathā. Esa nayo itaresupi. Bheda-saddo visuṃ visuṃ yojetabbo ‘‘desanābhedaṃ sāsanabhedaṃ kathābhedañca yathārahaṃ paridīpaye’’ti. Bhedanti ca nānattanti attho. Sikkhā ca pahānāni ca gambhīrabhāvo ca sikkhāppahānagambhīrabhāvaṃ, tañca paridīpaye. Ettha yathāti upārambhanissaraṇadhammakosarakkhaṇahetupariyāpuṇanaṃ suppaṭipatti duppaṭipattīti etehi pakārehi. Āṇaṃ paṇetuṃ arahatīti āṇāraho sammāsambuddhattā. Vohāraparamatthānampi sabbhāvato āha āṇābāhullatoti. Ito paresupi eseva nayo. Pacurāparādhā seyyasakādayo. Ajjhāsayo āsayova atthato diṭṭhi, ñāṇañca. Vuttañcetaṃ –

    ‘‘สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐิ จ, ขนฺติ เจวานุโลมิเก;

    ‘‘Sassatucchedadiṭṭhi ca, khanti cevānulomike;

    ยถาภูตญฺจ ยํ ญาณํ, เอตํ อาสยสทฺทิต’’นฺติฯ (วิสุทฺธิ. ฎี. ๑.๑๓๖);

    Yathābhūtañca yaṃ ñāṇaṃ, etaṃ āsayasaddita’’nti. (visuddhi. ṭī. 1.136);

    อนุสยา กามราคภวราคทิฎฺฐิปฎิฆวิจิกิจฺฉามานาวิชฺชาวเสน สตฺต อนาคตา กิเลสา, อตีตา ปจฺจุปฺปนฺนา จ ตเถว วุจฺจนฺติฯ น หิ กาลเภเทน ธมฺมานํ สภาวเภโท อตฺถีติฯ จริยาติ ฉ มูลจริยา, อนฺตรเภเทน อเนกวิธา, สํสคฺควเสน เตสฎฺฐิ โหนฺติฯ เต ปน อเมฺหหิ อสโมฺมหนฺตรธานสุตฺตฎีกายํ วิภาคโต ทสฺสิตา, อตฺถิเกหิ ตโต คเหตพฺพาฯ อถ วา จริยาติ จริตํ, ตํ สุจริตทุจฺจริตวเสน ทุวิธํฯ อธิมุตฺติ นาม สตฺตานํ ปุพฺพปริจยวเสน อภิรุจิ, สา ทุวิธา หีนปณีตเภเทนฯ ฆนวินิโพฺภคาภาวโต ทิฎฺฐิมานตณฺหาวเสน ‘‘อหํ มมา’’ติ สญฺญิโนฯ มหโนฺต สํวโร อสํวโรฯ พุทฺธิอโตฺถ หิ อย’มกาโร ยถา ‘‘อเสกฺขา ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ๑๑)ฯ

    Anusayā kāmarāgabhavarāgadiṭṭhipaṭighavicikicchāmānāvijjāvasena satta anāgatā kilesā, atītā paccuppannā ca tatheva vuccanti. Na hi kālabhedena dhammānaṃ sabhāvabhedo atthīti. Cariyāti cha mūlacariyā, antarabhedena anekavidhā, saṃsaggavasena tesaṭṭhi honti. Te pana amhehi asammohantaradhānasuttaṭīkāyaṃ vibhāgato dassitā, atthikehi tato gahetabbā. Atha vā cariyāti caritaṃ, taṃ sucaritaduccaritavasena duvidhaṃ. Adhimutti nāma sattānaṃ pubbaparicayavasena abhiruci, sā duvidhā hīnapaṇītabhedena. Ghanavinibbhogābhāvato diṭṭhimānataṇhāvasena ‘‘ahaṃ mamā’’ti saññino. Mahanto saṃvaro asaṃvaro. Buddhiattho hi aya’makāro yathā ‘‘asekkhā dhammā’’ti (dha. sa. 11).

    ตีสุปิ เจเตสุ เอเต ธมฺมตฺถเทสนา ปฎิเวธาติ เอตฺถ ตนฺติอโตฺถ ตนฺติเทสนา ตนฺติอตฺถปฎิเวโธ จ ตนฺติวิสยา โหนฺตีติ วินยปิฎกาทีนํ อตฺถเทสนาปฎิเวธาธารภาโว ยุโตฺต, ปิฎกานิ ปน ตนฺติ เยวาติ เตสํ ธมฺมาธารภาโว กถํ ยุเชฺชยฺยาติ? ตนฺติสมุทายสฺส อวยวตนฺติยา อาธารภาวโตฯ อวยวสฺส หิ สมุทาโย อาธารภาเวน วุจฺจติ, ยถา – ‘‘รุเกฺข สาขา’’ติฯ ธมฺมาทีนญฺจ ทุโกฺขคาหภาวโต เตหิ วินยาทโย คมฺภีราติ วินยาทีนญฺจ จตุพฺพิโธ คมฺภีรภาโว วุโตฺตฯ ตสฺมา ธมฺมาทโย เอว ทุโกฺขคาหตฺตา คมฺภีรา, น วินยาทโยติ น โจเทตพฺพเมตํ สมุเขน, วิสยวิสยีมุเขน จ วินยาทีนํเยว คมฺภีรภาวสฺส วุตฺตตฺตาฯ ธโมฺม หิ วินยาทโย, เตสํ วิสโย อโตฺถ, ธมฺมตฺถวิสยา จ เทสนาปฎิเวโธติฯ ตตฺถ ปฎิเวธสฺส ทุกฺกรภาวโต ธมฺมตฺถานํ, เทสนาญาณสฺส ทุกฺกรภาวโต เทสนาย จ ทุโกฺขคาหภาโว เวทิตโพฺพ, ปฎิเวธสฺส ปน อุปฺปาเทตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา, ตพฺพิสยญาณุปฺปตฺติยา จ ทุกฺกรภาวโต ทุโกฺขคาหตา เวทิตพฺพาฯ

    Tīsupicetesu ete dhammatthadesanā paṭivedhāti ettha tantiattho tantidesanā tantiatthapaṭivedho ca tantivisayā hontīti vinayapiṭakādīnaṃ atthadesanāpaṭivedhādhārabhāvo yutto, piṭakāni pana tanti yevāti tesaṃ dhammādhārabhāvo kathaṃ yujjeyyāti? Tantisamudāyassa avayavatantiyā ādhārabhāvato. Avayavassa hi samudāyo ādhārabhāvena vuccati, yathā – ‘‘rukkhe sākhā’’ti. Dhammādīnañca dukkhogāhabhāvato tehi vinayādayo gambhīrāti vinayādīnañca catubbidho gambhīrabhāvo vutto. Tasmā dhammādayo eva dukkhogāhattā gambhīrā, na vinayādayoti na codetabbametaṃ samukhena, visayavisayīmukhena ca vinayādīnaṃyeva gambhīrabhāvassa vuttattā. Dhammo hi vinayādayo, tesaṃ visayo attho, dhammatthavisayā ca desanāpaṭivedhoti. Tattha paṭivedhassa dukkarabhāvato dhammatthānaṃ, desanāñāṇassa dukkarabhāvato desanāya ca dukkhogāhabhāvo veditabbo, paṭivedhassa pana uppādetuṃ asakkuṇeyyattā, tabbisayañāṇuppattiyā ca dukkarabhāvato dukkhogāhatā veditabbā.

    ‘‘เหตุมฺหิ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา’’ติ เอเตน วจเนน ธมฺมสฺส เหตุภาโว กถํ ญาตโพฺพติ? ‘‘ธมฺมปฎิสมฺภิทา’’ติ เอตสฺส สมาสปทสฺส อวยวปทตฺถํ ทเสฺสเนฺตน ‘‘เหตุมฺหิ ญาณ’’นฺติ วุตฺตตฺตาฯ ‘‘ธเมฺม ปฎิสมฺภิทา’’ติ เอตฺถ หิ ‘‘ธเมฺม’’ติ เอตสฺส อตฺถํ ทเสฺสเนฺตน ‘‘เหตุมฺหี’’ติ วุตฺตํ, ‘‘ปฎิสมฺภิทา’’ติ เอตสฺส จ อตฺถํ ทเสฺสเนฺตน ‘‘ญาณ’’นฺติฯ ตสฺมา เหตุธมฺม-สทฺทา เอกตฺถา, ญาณปฎิสมฺภิทา-สทฺทา จาติ อิมมตฺถํ วทเนฺตน สาธิโต ธมฺมสฺส เหตุภาโว, อตฺถสฺส เหตุผลภาโว จ เอวเมว ทฎฺฐโพฺพฯ

    ‘‘Hetumhi ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā’’ti etena vacanena dhammassa hetubhāvo kathaṃ ñātabboti? ‘‘Dhammapaṭisambhidā’’ti etassa samāsapadassa avayavapadatthaṃ dassentena ‘‘hetumhi ñāṇa’’nti vuttattā. ‘‘Dhamme paṭisambhidā’’ti ettha hi ‘‘dhamme’’ti etassa atthaṃ dassentena ‘‘hetumhī’’ti vuttaṃ, ‘‘paṭisambhidā’’ti etassa ca atthaṃ dassentena ‘‘ñāṇa’’nti. Tasmā hetudhamma-saddā ekatthā, ñāṇapaṭisambhidā-saddā cāti imamatthaṃ vadantena sādhito dhammassa hetubhāvo, atthassa hetuphalabhāvo ca evameva daṭṭhabbo.

    ยถาธมฺมนฺติ เจตฺถ ธมฺม-สโทฺท เหตุํ เหตุผลญฺจ สพฺพํ สงฺคณฺหาติฯ สภาววาจโก เหส, น ปริยตฺติเหตุภาววาจโก, ตสฺมา ยถาธมฺมนฺติ โย โย อวิชฺชาสงฺขาราทิธโมฺม , ตสฺมิํ ตสฺมินฺติ อโตฺถฯ ธมฺมานุรูปํ วา ยถาธมฺมํฯ เทสนาปิ หิ ปฎิเวโธ วิย อวิปรีตสวิสยวิภาวนโต ธมฺมานุรูปํ ปวตฺตติ, ยโต ‘อวิปรีตาภิลาโป’ติ วุจฺจติฯ ธมฺมาภิลาโปติ อตฺถพฺยญฺชนโก อวิปรีตาภิลาโป, เอเตน ‘‘ตตฺร ธมฺมนิรุตฺตาภิลาเป ญาณํ นิรุตฺติปฎิสมฺภิทา’’ติ (วิภ. ๗๑๘) เอตฺถ วุตฺตํ สภาวธมฺมนิรุตฺติํ ทเสฺสติ, สทฺทสภาวตฺตา เทสนายฯ ตถา หิ นิรุตฺติปฎิสมฺภิทาย ปริตฺตารมฺมณาทิภาโว ปฎิสมฺภิทาวิภงฺคปาฬิยํ (วิภ. ๗๔๙) วุโตฺตฯ อฎฺฐกถายญฺจ ‘‘ตํ สภาวนิรุตฺติํ สทฺทํ อารมฺมณํ กตฺวา’’ติอาทินา (วิภ. อฎฺฐ. ๖๔๒) สทฺทารมฺมณตา ทสฺสิตาฯ ‘‘อิมสฺส อตฺถสฺส อยํ สโทฺท วาจโก’’ติ วจนวจนีเย ววตฺถเปตฺวา ตํตํวจนีย วิภาวนวเสน ปวตฺติโต หิ สโทฺท เทสนาติฯ ‘‘อนุโลมาทิวเสน วา กถน’’นฺติ เอเตน ตสฺสา ธมฺมนิรุตฺติยา อภิลาปํ กถนํ ตสฺส วจนสฺส ปวตฺตนํ ทเสฺสติฯ ‘‘อธิปฺปาโย’’ติ เอเตน ‘‘เทสนาติ ปญฺญตฺตี’’ติ เอตํ วจนํ ธมฺมนิรุตฺตาภิลาปํ สนฺธาย วุตฺตํ, น ตพฺพินิมุตฺตํ ปญฺญตฺติํ สนฺธายาติ ทเสฺสติฯ

    Yathādhammanti cettha dhamma-saddo hetuṃ hetuphalañca sabbaṃ saṅgaṇhāti. Sabhāvavācako hesa, na pariyattihetubhāvavācako, tasmā yathādhammanti yo yo avijjāsaṅkhārādidhammo , tasmiṃ tasminti attho. Dhammānurūpaṃ vā yathādhammaṃ. Desanāpi hi paṭivedho viya aviparītasavisayavibhāvanato dhammānurūpaṃ pavattati, yato ‘aviparītābhilāpo’ti vuccati. Dhammābhilāpoti atthabyañjanako aviparītābhilāpo, etena ‘‘tatra dhammaniruttābhilāpe ñāṇaṃ niruttipaṭisambhidā’’ti (vibha. 718) ettha vuttaṃ sabhāvadhammaniruttiṃ dasseti, saddasabhāvattā desanāya. Tathā hi niruttipaṭisambhidāya parittārammaṇādibhāvo paṭisambhidāvibhaṅgapāḷiyaṃ (vibha. 749) vutto. Aṭṭhakathāyañca ‘‘taṃ sabhāvaniruttiṃ saddaṃ ārammaṇaṃ katvā’’tiādinā (vibha. aṭṭha. 642) saddārammaṇatā dassitā. ‘‘Imassa atthassa ayaṃ saddo vācako’’ti vacanavacanīye vavatthapetvā taṃtaṃvacanīya vibhāvanavasena pavattito hi saddo desanāti. ‘‘Anulomādivasena vā kathana’’nti etena tassā dhammaniruttiyā abhilāpaṃ kathanaṃ tassa vacanassa pavattanaṃ dasseti. ‘‘Adhippāyo’’ti etena ‘‘desanāti paññattī’’ti etaṃ vacanaṃ dhammaniruttābhilāpaṃ sandhāya vuttaṃ, na tabbinimuttaṃ paññattiṃ sandhāyāti dasseti.

    นนุ จ ‘‘ธโมฺม ตนฺตี’’ติ อิมสฺมิํ ปเกฺข ธมฺมสฺส สทฺทสภาวตฺตา ธมฺมเทสนานํ วิเสโส น สิยาติ? น, เตสํ เตสํ อตฺถานํ โพธกภาเวน ญาโต, อุคฺคหณาทิวเสน จ ปุเพฺพ ววตฺถาปิโต สทฺทปฺปพโนฺธ ธโมฺม, ปจฺฉา ปเรสํ อวโพธนตฺถํ ปวตฺติโต ตทตฺถปฺปกาสโก สโทฺท เทสนาติฯ อถ วา ยถาวุตฺตสทฺทสมุฎฺฐาปโก จิตฺตุปฺปาโท เทสนา, มุสาวาทาทโย วิยฯ ‘‘วจนสฺส ปวตฺตน’’นฺติ จ ยถาวุตฺตจิตฺตุปฺปาทวเสน ยุชฺชติฯ โส หิ วจนํ ปวเตฺตติ, ตญฺจ เตน ปวตฺตียติ เทสียติฯ ‘‘โส จ โลกิยโลกุตฺตโร’’ติ เอวํ วุตฺตํ อภิสมยํ เยน ปกาเรน อภิสเมติ, ยํ อภิสเมติ, โย จ ตสฺส สภาโว, เตหิ ปากฎํ กาตุํ ‘‘วิสยโต อสโมฺมหโต จ อตฺถานุรูปํ ธเมฺมสู’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ หิ วิสยโต อตฺถาทิอนุรูปํ ธมฺมาทีสุ อวโพโธ อวิชฺชาทิธมฺมสงฺขาราทิอตฺถตทุภยปญฺญาปนารมฺมโณ โลกิโย อภิสมโย, อสโมฺมหโต อตฺถาทิอนุรูปํ ธมฺมาทีสุ อวโพโธ นิพฺพานารมฺมโณ มคฺคสมฺปยุโตฺต ยถาวุตฺตธมฺมตฺถปญฺญตฺตีสุ สโมฺมหวิทฺธํสโน โลกุตฺตโร อภิสมโยติฯ อภิสมยโต อญฺญมฺปิ ปฎิเวธตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘เตสํ เตสํ วา’’ติอาทิมาหฯ ‘ปฎิเวธนํ ปฎิเวโธ’ติ อิมินา หิ วจนเตฺถน อภิสมโย, ‘ปฎิวิชฺฌียตีติ ปฎิเวโธ’ติ อิมินา ตํตํรูปาทิธมฺมานํ อวิปรีตสภาโว จ ‘‘ปฎิเวโธ’’ติ วุจฺจตีติฯ

    Nanu ca ‘‘dhammo tantī’’ti imasmiṃ pakkhe dhammassa saddasabhāvattā dhammadesanānaṃ viseso na siyāti? Na, tesaṃ tesaṃ atthānaṃ bodhakabhāvena ñāto, uggahaṇādivasena ca pubbe vavatthāpito saddappabandho dhammo, pacchā paresaṃ avabodhanatthaṃ pavattito tadatthappakāsako saddo desanāti. Atha vā yathāvuttasaddasamuṭṭhāpako cittuppādo desanā, musāvādādayo viya. ‘‘Vacanassa pavattana’’nti ca yathāvuttacittuppādavasena yujjati. So hi vacanaṃ pavatteti, tañca tena pavattīyati desīyati. ‘‘So ca lokiyalokuttaro’’ti evaṃ vuttaṃ abhisamayaṃ yena pakārena abhisameti, yaṃ abhisameti, yo ca tassa sabhāvo, tehi pākaṭaṃ kātuṃ ‘‘visayato asammohato ca atthānurūpaṃ dhammesū’’tiādimāha. Tattha hi visayato atthādianurūpaṃ dhammādīsu avabodho avijjādidhammasaṅkhārādiatthatadubhayapaññāpanārammaṇo lokiyo abhisamayo, asammohato atthādianurūpaṃ dhammādīsu avabodho nibbānārammaṇo maggasampayutto yathāvuttadhammatthapaññattīsu sammohaviddhaṃsano lokuttaro abhisamayoti. Abhisamayato aññampi paṭivedhatthaṃ dassetuṃ ‘‘tesaṃ tesaṃ vā’’tiādimāha. ‘Paṭivedhanaṃ paṭivedho’ti iminā hi vacanatthena abhisamayo, ‘paṭivijjhīyatīti paṭivedho’ti iminā taṃtaṃrūpādidhammānaṃ aviparītasabhāvo ca ‘‘paṭivedho’’ti vuccatīti.

    ยถาวุเตฺตหิ ธมฺมาทีหิ ปิฎกานํ คมฺภีรภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิทานิ ยสฺมา เอเตสุ ปิฎเกสู’’ติอาทิมาหฯ โย เจตฺถาติ เอเตสุ ตํตํปิฎกคเตสุ ธมฺมาทีสุ โย ปฎิเวโธ, เอเตสุ จ ปิฎเกสุ เตสํ เตสํ ธมฺมานํ โย อวิปรีตสภาโวติ โยเชตพฺพํฯ ทุโกฺขคาหตา จ อวิชฺชาสงฺขาราทีนํ ธมฺมตฺถานํ ทุปฺปฎิวิชฺฌตาย, เตสํ ปญฺญาปนสฺส ทุกฺกรภาวโต ตํเทสนาย, ปฎิเวธนสงฺขาตสฺส ปฎิเวธสฺส อุปฺปาทนวิสยิกรณานํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา, อวิปรีตสภาวสงฺขาตสฺส ปฎิเวธสฺส ทุวิเญฺญยฺยตาย เอว เวทิตพฺพาฯ

    Yathāvuttehi dhammādīhi piṭakānaṃ gambhīrabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘idāni yasmā etesu piṭakesū’’tiādimāha. Yo cetthāti etesu taṃtaṃpiṭakagatesu dhammādīsu yo paṭivedho, etesu ca piṭakesu tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ yo aviparītasabhāvoti yojetabbaṃ. Dukkhogāhatā ca avijjāsaṅkhārādīnaṃ dhammatthānaṃ duppaṭivijjhatāya, tesaṃ paññāpanassa dukkarabhāvato taṃdesanāya, paṭivedhanasaṅkhātassa paṭivedhassa uppādanavisayikaraṇānaṃ asakkuṇeyyattā, aviparītasabhāvasaṅkhātassa paṭivedhassa duviññeyyatāya eva veditabbā.

    นฺติ ยํ ปริยตฺติทุคฺคหณํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อตฺถนฺติ ภาสิตตฺถํ, ปโยชนตฺถญฺจฯ น อุปปริกฺขนฺตีติ น วิจาเรนฺติฯ น นิชฺฌานํ ขมนฺตีติ นิชฺฌานปญฺญํ นกฺขมนฺติ, นิชฺฌายิตฺวา ปญฺญาย ทิสฺวา โรเจตฺวา คเหตพฺพา น โหนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ อิตีติ เอวํ เอตาย ปริยตฺติยาฯ วาทปฺปโมกฺขานิสํสา อตฺตโน อุปริ ปเรหิ อาโรปิตวาทสฺส นิคฺคหสฺส ปโมกฺขปฺปโยชนา หุตฺวา ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ, วาทปฺปโมกฺขา วา นินฺทาปโมกฺขาฯ ยสฺส จตฺถายาติ ยสฺส จ สีลาทิปูรณสฺส อนุปาทาวิโมกฺขสฺส วา อตฺถาย ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ ญาเยน ปริยาปุณนฺตีติ อธิปฺปาโยฯ อสฺสาติ อสฺส ธมฺมสฺสฯ นานุโภนฺตีติ น วินฺทนฺติฯ เตสํ เต ธมฺมา ทุคฺคหิตตฺตา อุปารมฺภมานทพฺพมกฺขปลาสาทิเหตุภาเวน ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติฯ ภณฺฑาคาเร นิยุโตฺต ภณฺฑาคาริโก, ภณฺฑาคาริโก วิย ภณฺฑาคาริโก, ธมฺมรตนานุปาลโกฯ อญฺญตฺถํ อนเปกฺขิตฺวา ภณฺฑาคาริกเสฺสว สโต ปริยตฺติ ภณฺฑาคาริกปริยตฺติฯ

    Yanti yaṃ pariyattiduggahaṇaṃ sandhāya vuttaṃ. Atthanti bhāsitatthaṃ, payojanatthañca. Na upaparikkhantīti na vicārenti. Na nijjhānaṃ khamantīti nijjhānapaññaṃ nakkhamanti, nijjhāyitvā paññāya disvā rocetvā gahetabbā na hontīti adhippāyo. Itīti evaṃ etāya pariyattiyā. Vādappamokkhānisaṃsā attano upari parehi āropitavādassa niggahassa pamokkhappayojanā hutvā dhammaṃ pariyāpuṇanti, vādappamokkhā vā nindāpamokkhā. Yassa catthāyāti yassa ca sīlādipūraṇassa anupādāvimokkhassa vā atthāya dhammaṃ pariyāpuṇanti ñāyena pariyāpuṇantīti adhippāyo. Assāti assa dhammassa. Nānubhontīti na vindanti. Tesaṃ te dhammā duggahitattā upārambhamānadabbamakkhapalāsādihetubhāvena dīgharattaṃ ahitāya dukkhāya saṃvattanti. Bhaṇḍāgāre niyutto bhaṇḍāgāriko, bhaṇḍāgāriko viya bhaṇḍāgāriko, dhammaratanānupālako. Aññatthaṃ anapekkhitvā bhaṇḍāgārikasseva sato pariyatti bhaṇḍāgārikapariyatti.

    ‘‘ตาสํเยวา’’ติ อวธารณํ ปาปุณิตพฺพานํ ฉฬภิญฺญาจตุปฺปฎิสมฺภิทาทีนํ วินเย ปเภทวจนาภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เวรญฺชกเณฺฑ (ปารา. ๑๒) หิ ติโสฺส วิชฺชาว วิภตฺตาฯ ทุติเย ปน ‘‘ตาสํเยวา’’ติ อวธารณํ จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา อเปกฺขิตฺวา กตํ, น ติโสฺส วิชฺชาฯ ตา หิ ฉสุ อภิญฺญาสุ อโนฺตคธาติ สุเตฺต วิภตฺตา เยวาติฯ

    ‘‘Tāsaṃyevā’’ti avadhāraṇaṃ pāpuṇitabbānaṃ chaḷabhiññācatuppaṭisambhidādīnaṃ vinaye pabhedavacanābhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Verañjakaṇḍe (pārā. 12) hi tisso vijjāva vibhattā. Dutiye pana ‘‘tāsaṃyevā’’ti avadhāraṇaṃ catasso paṭisambhidā apekkhitvā kataṃ, na tisso vijjā. Tā hi chasu abhiññāsu antogadhāti sutte vibhattā yevāti.

    ทุคฺคหิตํ คณฺหาติ, ‘‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ, ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ อนญฺญ’’นฺติอาทินา (ม. นิ. ๑.๓๙๖)ฯ ธมฺมจินฺตนฺติ ธมฺมสภาววิจารณํ, ‘‘จิตฺตุปฺปาทมเตฺตเนว ทานํ โหติ, สยเมว จิตฺตํ อตฺตโน อารมฺมณํ โหติ, สพฺพํ จิตฺตํ อสภาวธมฺมารมฺมณ’’นฺติ จ เอวมาทิฯ เตสนฺติ เตสํ ปิฎกานํฯ

    Duggahitaṃ gaṇhāti, ‘‘tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi, yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati anañña’’ntiādinā (ma. ni. 1.396). Dhammacintanti dhammasabhāvavicāraṇaṃ, ‘‘cittuppādamatteneva dānaṃ hoti, sayameva cittaṃ attano ārammaṇaṃ hoti, sabbaṃ cittaṃ asabhāvadhammārammaṇa’’nti ca evamādi. Tesanti tesaṃ piṭakānaṃ.

    เอตนฺติ เอตํ พุทฺธวจนํฯ อตฺถานุโลมโต อนุโลมิโกฯ อนุโลมิกตํเยว วิภาเวตุํ ‘‘กสฺมา ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เอกนิกายมฺปีติ เอกสมูหมฺปิ ฯ โปณิกา จิกฺขลฺลิกา จ ขตฺติยา, เตสํ นิวาโส โปณิกนิกาโย จิกฺขลฺลิกนิกาโย จฯ

    Etanti etaṃ buddhavacanaṃ. Atthānulomato anulomiko. Anulomikataṃyeva vibhāvetuṃ ‘‘kasmā panā’’tiādi vuttaṃ. Ekanikāyampīti ekasamūhampi . Poṇikā cikkhallikā ca khattiyā, tesaṃ nivāso poṇikanikāyo cikkhallikanikāyo ca.

    นวปฺปเภทนฺติ เอตฺถ กถํ นวปฺปเภทํ? สคาถกญฺหิ สุตฺตํ เคยฺยํ, นิคฺคาถกญฺจ สุตฺตํ เวยฺยากรณํ, ตทุภยวินิมุตฺตญฺจ สุตฺตํ อุทานาทิวิเสสสญฺญารหิตํ นตฺถิ, ยํ สุตฺตงฺคํ สิยา, มงฺคลสุตฺตาทีนญฺจ (ขุ. ปา. ๕.๒; สุ. นิ. ๒๒๕) สุตฺตงฺคสงฺคโห น สิยา, คาถาภาวโต, ธมฺมปทาทีนํ วิย, เคยฺยงฺคสงฺคโห วา สิยา, สคาถกตฺตา, สคาถวคฺคสฺส วิย, ตถา อุภโตวิภงฺคาทีสุ สคาถกปฺปเทสานนฺติ? วุจฺจเต –

    Navappabhedanti ettha kathaṃ navappabhedaṃ? Sagāthakañhi suttaṃ geyyaṃ, niggāthakañca suttaṃ veyyākaraṇaṃ, tadubhayavinimuttañca suttaṃ udānādivisesasaññārahitaṃ natthi, yaṃ suttaṅgaṃ siyā, maṅgalasuttādīnañca (khu. pā. 5.2; su. ni. 225) suttaṅgasaṅgaho na siyā, gāthābhāvato, dhammapadādīnaṃ viya, geyyaṅgasaṅgaho vā siyā, sagāthakattā, sagāthavaggassa viya, tathā ubhatovibhaṅgādīsu sagāthakappadesānanti? Vuccate –

    ‘‘สุตฺตนฺติ สามญฺญวิธิ, วิเสสวิธโย ปเร;

    ‘‘Suttanti sāmaññavidhi, visesavidhayo pare;

    สนิมิตฺตา นิรุฬฺหตฺตา สหตาเญฺญน นาญฺญโต’’ฯ (สารตฺถ. ฎี. ๑.ปฐมมหาสงฺคีติกถาวณฺณนา);

    Sanimittā niruḷhattā sahatāññena nāññato’’. (sārattha. ṭī. 1.paṭhamamahāsaṅgītikathāvaṇṇanā);

    สพฺพสฺสาปิ หิ พุทฺธวจนสฺส สุตฺตนฺติ อยํ สามญฺญวิธิฯ เตเนวาห อายสฺมา มหากจฺจาโน เนตฺติยํ – ‘‘นววิธสุตฺตนฺตปริเยฎฺฐี’’ติ (เนตฺติ. สงฺคหวาร)ฯ ‘‘เอตฺตกํ ตสฺส ภควโต สุตฺตาคตํ สุตฺตปริยาปนฺนํ (ปาจิ. ๒๕๕, ๑๒๔๒), สกวาเท ปญฺจสุตฺตสตานี’’ติ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา; กถา. อฎฺฐ. นิทานกถา) เอวมาทิ จ เอตสฺส อตฺถสฺส สาธกํฯ

    Sabbassāpi hi buddhavacanassa suttanti ayaṃ sāmaññavidhi. Tenevāha āyasmā mahākaccāno nettiyaṃ – ‘‘navavidhasuttantapariyeṭṭhī’’ti (netti. saṅgahavāra). ‘‘Ettakaṃ tassa bhagavato suttāgataṃ suttapariyāpannaṃ (pāci. 255, 1242), sakavāde pañcasuttasatānī’’ti (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā; kathā. aṭṭha. nidānakathā) evamādi ca etassa atthassa sādhakaṃ.

    วิเสสวิธโย ปเร สนิมิตฺตา ตเทกเทเสสุ เคยฺยาทโย วิเสสวิธโย เตน เตน นิมิเตฺตน ปติฎฺฐิตาฯ ตถา หิ เคยฺยสฺส สคาถกตฺตํ ตพฺภาวนิมิตฺตํฯ โลเกปิ หิ สสิโลกํ สคาถกํ (เนตฺติ. อฎฺฐ. ๑๓) จุณฺณิยคนฺถํ ‘เคยฺย’นฺติ วทนฺติฯ คาถาวิรเห ปน สติ ปุจฺฉํ กตฺวา วิสฺสชฺชนภาโว เวยฺยากรณสฺส ตพฺภาวนิมิตฺตํฯ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนญฺหิ ‘พฺยากรณ’นฺติ วุจฺจติ, พฺยากรณเมว เวยฺยากรณํฯ เอวํ สเนฺต สคาถกาทีนมฺปิ ปุจฺฉํ กตฺวา วิสฺสชฺชนวเสน ปวตฺตานํ เวยฺยากรณภาโว อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ, เคยฺยาทิสญฺญานํ อโนกาสภาวโต, ‘คาถาวิรเห สตี’ติ วิเสสิตตฺตา จฯ ตถา หิ ธมฺมปทาทีสุ เกวลํ คาถาพเนฺธสุ, สคาถกเตฺตปิ โสมนสฺสญาณมยิกคาถายุเตฺตสุ, ‘วุตฺตเญฺหต’นฺติอาทิวจนสมฺพเนฺธสุ, อพฺภุตธมฺมปฎิสํยุเตฺตสุ จ สุตฺตวิเสเสสุ ยถากฺกมํ คาถาอุทานอิติวุตฺตกอพฺภุตธมฺมสญฺญา ปติฎฺฐิตา, ตถา สติปิ คาถาพนฺธภาเว ภควโต อตีตาสุ ชาตีสุ จริยานุภาวปฺปกาสเกสุ ชาตกสญฺญา, สติปิ ปญฺหาวิสฺสชฺชนภาเว, สคาถกเตฺต จ เกสุจิ สุตฺตเนฺตสุ เวทสฺส ลภาปนโต เวทลฺลสญฺญา ปติฎฺฐิตาติ เอวํ เตน เตน สคาถกตฺตาทินา นิมิเตฺตน เตสุ เตสุ สุตฺตวิเสเสสุ เคยฺยาทิสญฺญา ปติฎฺฐิตาติ วิเสสวิธโย สุตฺตงฺคโต ปเร เคยฺยาทโยฯ ยํ ปเนตฺถ เคยฺยงฺคาทินิมิตฺตรหิตํ, ตํ สุตฺตงฺคํ วิเสสสญฺญาปริหาเรน สามญฺญสญฺญาย ปวตฺตนโตติฯ นนุ จ สคาถกํ สุตฺตํ เคยฺยํ, นิคฺคาถกํ สุตฺตํ เวยฺยากรณนฺติ สุตฺตงฺคํ น สมฺภวตีติ โจทนา ตทวตฺถา วาติ? น ตทวตฺถา, โสธิตตฺตาฯ โสธิตญฺหิ ปุเพฺพ คาถาวิรเห สติ ปุจฺฉาวิสฺสชฺชนภาโว เวยฺยากรณสฺส ตพฺภาวนิมิตฺตนฺติฯ

    Visesavidhayopare sanimittā tadekadesesu geyyādayo visesavidhayo tena tena nimittena patiṭṭhitā. Tathā hi geyyassa sagāthakattaṃ tabbhāvanimittaṃ. Lokepi hi sasilokaṃ sagāthakaṃ (netti. aṭṭha. 13) cuṇṇiyaganthaṃ ‘geyya’nti vadanti. Gāthāvirahe pana sati pucchaṃ katvā vissajjanabhāvo veyyākaraṇassa tabbhāvanimittaṃ. Pucchāvissajjanañhi ‘byākaraṇa’nti vuccati, byākaraṇameva veyyākaraṇaṃ. Evaṃ sante sagāthakādīnampi pucchaṃ katvā vissajjanavasena pavattānaṃ veyyākaraṇabhāvo āpajjatīti? Nāpajjati, geyyādisaññānaṃ anokāsabhāvato, ‘gāthāvirahe satī’ti visesitattā ca. Tathā hi dhammapadādīsu kevalaṃ gāthābandhesu, sagāthakattepi somanassañāṇamayikagāthāyuttesu, ‘vuttañheta’ntiādivacanasambandhesu, abbhutadhammapaṭisaṃyuttesu ca suttavisesesu yathākkamaṃ gāthāudānaitivuttakaabbhutadhammasaññā patiṭṭhitā, tathā satipi gāthābandhabhāve bhagavato atītāsu jātīsu cariyānubhāvappakāsakesu jātakasaññā, satipi pañhāvissajjanabhāve, sagāthakatte ca kesuci suttantesu vedassa labhāpanato vedallasaññā patiṭṭhitāti evaṃ tena tena sagāthakattādinā nimittena tesu tesu suttavisesesu geyyādisaññā patiṭṭhitāti visesavidhayo suttaṅgato pare geyyādayo. Yaṃ panettha geyyaṅgādinimittarahitaṃ, taṃ suttaṅgaṃ visesasaññāparihārena sāmaññasaññāya pavattanatoti. Nanu ca sagāthakaṃ suttaṃ geyyaṃ, niggāthakaṃ suttaṃ veyyākaraṇanti suttaṅgaṃ na sambhavatīti codanā tadavatthā vāti? Na tadavatthā, sodhitattā. Sodhitañhi pubbe gāthāvirahe sati pucchāvissajjanabhāvo veyyākaraṇassa tabbhāvanimittanti.

    ยญฺจ วุตฺตํ – ‘‘คาถาภาวโต มงฺคลสุตฺตาทีนํ (ขุ. ปา. ๕.๑, ๒, ๓) สุตฺตงฺคสงฺคโห น สิยา’’ติ, ตํ น, นิรุฬฺหตฺตาฯ นิรุโฬฺห หิ มงฺคลสุตฺตาทีนํ สุตฺตภาโวฯ น หิ ตานิ ธมฺมปทพุทฺธวํสาทโย วิย คาถาภาเวน ปญฺญาตานิ, อถ โข สุตฺตภาเวนฯ เตเนว หิ อฎฺฐกถายํ ‘‘สุตฺตนามก’’นฺติ นามคฺคหณํ กตํฯ ยญฺจ ปน วุตฺตํ – ‘‘สคาถกตฺตา เคยฺยงฺคสงฺคโห สิยา’’ติ, ตทปิ นตฺถิ, ยสฺมา สหตาเญฺญนฯ สห คาถาหีติ หิ สคาถกํฯ สหภาโว นาม อตฺถโต อเญฺญน โหติ, น จ มงฺคลสุตฺตาทีสุ กถาวินิมุโตฺต โกจิ สุตฺตปเทโส อตฺถิ, โย ‘สห คาถาหี’ติ วุเจฺจยฺย, น จ สมุทาโย นาม โกจิ อตฺถิ, ยทปิ วุตฺตํ – ‘‘อุภโตวิภงฺคาทีสุ สคาถกปฺปเทสานํ เคยฺยงฺคสงฺคโห สิยา’’ติ ตทปิ น, อญฺญโตฯ อญฺญา เอว หิ ตา คาถา ชาตกาทิปริยาปนฺนตฺตาฯ อโต น ตาหิ อุภโตวิภงฺคาทีนํ เคยฺยงฺคภาโวติฯ เอวํ สุตฺตาทีนํ องฺคานํ อญฺญมญฺญสงฺกราภาโว เวทิตโพฺพฯ

    Yañca vuttaṃ – ‘‘gāthābhāvato maṅgalasuttādīnaṃ (khu. pā. 5.1, 2, 3) suttaṅgasaṅgaho na siyā’’ti, taṃ na, niruḷhattā. Niruḷho hi maṅgalasuttādīnaṃ suttabhāvo. Na hi tāni dhammapadabuddhavaṃsādayo viya gāthābhāvena paññātāni, atha kho suttabhāvena. Teneva hi aṭṭhakathāyaṃ ‘‘suttanāmaka’’nti nāmaggahaṇaṃ kataṃ. Yañca pana vuttaṃ – ‘‘sagāthakattā geyyaṅgasaṅgaho siyā’’ti, tadapi natthi, yasmā sahatāññena. Saha gāthāhīti hi sagāthakaṃ. Sahabhāvo nāma atthato aññena hoti, na ca maṅgalasuttādīsu kathāvinimutto koci suttapadeso atthi, yo ‘saha gāthāhī’ti vucceyya, na ca samudāyo nāma koci atthi, yadapi vuttaṃ – ‘‘ubhatovibhaṅgādīsu sagāthakappadesānaṃ geyyaṅgasaṅgaho siyā’’ti tadapi na, aññato. Aññā eva hi tā gāthā jātakādipariyāpannattā. Ato na tāhi ubhatovibhaṅgādīnaṃ geyyaṅgabhāvoti. Evaṃ suttādīnaṃ aṅgānaṃ aññamaññasaṅkarābhāvo veditabbo.

    ‘‘อยํ ธโมฺม…เป.… อยํ วินโย, อิมานิ จตุราสีติ ธมฺมกฺขนฺธสหสฺสานี’’ติ พุทฺธวจนํ ธมฺมวินยาทิเภเทน ววตฺถเปตฺวา สงฺคายเนฺตน มหากสฺสปปฺปมุเขน วสิคเณน อเนกจฺฉริยปาตุภาวปฎิมณฺฑิตาย สงฺคีติยา อิมสฺส ทีฆาคมสฺส ปฐมมชฺฌิมพุทฺธวจนาทิภาโว ววตฺถาปิโตติ ทเสฺสติ, ‘‘เอวเมตํ อเภทโต’’ติอาทินาฯ

    ‘‘Ayaṃ dhammo…pe… ayaṃ vinayo, imāni caturāsīti dhammakkhandhasahassānī’’ti buddhavacanaṃ dhammavinayādibhedena vavatthapetvā saṅgāyantena mahākassapappamukhena vasigaṇena anekacchariyapātubhāvapaṭimaṇḍitāya saṅgītiyā imassa dīghāgamassa paṭhamamajjhimabuddhavacanādibhāvo vavatthāpitoti dasseti, ‘‘evametaṃ abhedato’’tiādinā.

    นิทานกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Nidānakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact