Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เนตฺติปฺปกรณ-ฎีกา • Nettippakaraṇa-ṭīkā |
ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa
ขุทฺทกนิกาเย
Khuddakanikāye
เนตฺติปฺปกรณ-ฎีกา
Nettippakaraṇa-ṭīkā
คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา
Ganthārambhakathāvaṇṇanā
สํวณฺณนารเมฺภ (ที. นิ. ฎี. ๑.คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา; ม. นิ. ฎี. ๑.๑ คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา; สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑ คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา) รตนตฺตยวนฺทนา สํวเณฺณตพฺพสฺส ธมฺมสฺส ปภวนิสฺสยวิสุทฺธิปฎิเวทนตฺถํ, ตํ ปน ธมฺมสํวณฺณนาสุ วิญฺญูนํ พหุมานุปฺปาทนตฺถํ, ตํ สมฺมเทว เตสํ อุคฺคหณธารณาทิกฺกมลทฺธพฺพาย สมฺมาปฎิปตฺติยา สพฺพหิตสุขนิปฺผาทนตฺถํฯ อถ วา มงฺคลภาวโต, สพฺพกิริยาสุ ปุพฺพกิจฺจภาวโต, ปณฺฑิเตหิ สมฺมาจริตภาวโต, อายติํ ปเรสํ ทิฎฺฐานุคติอาปชฺชนโต จ สํวณฺณนายํ รตนตฺตยปณามกิริยาฯ อถ วา รตนตฺตยปณามกรณํ ปูชนียปูชาปุญฺญวิเสสนิพฺพตฺตนตฺถํ, ตํ อตฺตโน ยถาลทฺธสมฺปตฺตินิมิตฺตสฺส กมฺมสฺส พลานุปฺปทานตฺถํ, อนฺตรา จ ตสฺส อสโงฺกจนตฺถํ, ตทุภยํ อนนฺตราเยน อฎฺฐกถาย ปริสมาปนตฺถํฯ อิทเมว จ ปโยชนํ อาจริเยน อิธาธิเปฺปตํฯ ตถา หิ วกฺขติ ‘‘วนฺทนาชนิตํ…เป.… ตสฺส เตชสา’’ติฯ วตฺถุตฺตยปูชา หิ นิรติสยปุญฺญเกฺขตฺตสมฺพุทฺธิยา อปริเมยฺยปฺปภาโว ปุญฺญาติสโยติ พหุวิธนฺตราเยปิ โลกสนฺนิวาเส อนฺตรายนิพนฺธนสกลสํกิเลสวิทฺธํสนาย ปโหติ, ภยาทิอุปทฺทวญฺจ นิวาเรติฯ ยถาห –
Saṃvaṇṇanārambhe (dī. ni. ṭī. 1.ganthārambhakathāvaṇṇanā; ma. ni. ṭī. 1.1 ganthārambhakathāvaṇṇanā; saṃ. ni. ṭī. 1.1.1 ganthārambhakathāvaṇṇanā) ratanattayavandanā saṃvaṇṇetabbassa dhammassa pabhavanissayavisuddhipaṭivedanatthaṃ, taṃ pana dhammasaṃvaṇṇanāsu viññūnaṃ bahumānuppādanatthaṃ, taṃ sammadeva tesaṃ uggahaṇadhāraṇādikkamaladdhabbāya sammāpaṭipattiyā sabbahitasukhanipphādanatthaṃ. Atha vā maṅgalabhāvato, sabbakiriyāsu pubbakiccabhāvato, paṇḍitehi sammācaritabhāvato, āyatiṃ paresaṃ diṭṭhānugatiāpajjanato ca saṃvaṇṇanāyaṃ ratanattayapaṇāmakiriyā. Atha vā ratanattayapaṇāmakaraṇaṃ pūjanīyapūjāpuññavisesanibbattanatthaṃ, taṃ attano yathāladdhasampattinimittassa kammassa balānuppadānatthaṃ, antarā ca tassa asaṅkocanatthaṃ, tadubhayaṃ anantarāyena aṭṭhakathāya parisamāpanatthaṃ. Idameva ca payojanaṃ ācariyena idhādhippetaṃ. Tathā hi vakkhati ‘‘vandanājanitaṃ…pe… tassa tejasā’’ti. Vatthuttayapūjā hi niratisayapuññakkhettasambuddhiyā aparimeyyappabhāvo puññātisayoti bahuvidhantarāyepi lokasannivāse antarāyanibandhanasakalasaṃkilesaviddhaṃsanāya pahoti, bhayādiupaddavañca nivāreti. Yathāha –
‘‘ปูชารเห ปูชยโต, พุเทฺธ ยทิ ว สาวเก’’ติฯ (ธ. ป. ๑๙๕; อป. เถร ๑.๑๐.๑) จ,
‘‘Pūjārahe pūjayato, buddhe yadi va sāvake’’ti. (dha. pa. 195; apa. thera 1.10.1) ca,
ตถา –
Tathā –
‘‘เย, ภิกฺขเว, พุเทฺธ ปสนฺนา, อเคฺค เต ปสนฺนา, อเคฺค โข ปน ปสนฺนานํ อโคฺค วิปาโก โหตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐) จ,
‘‘Ye, bhikkhave, buddhe pasannā, agge te pasannā, agge kho pana pasannānaṃ aggo vipāko hotī’’ti (a. ni. 4.34; itivu. 90) ca,
ตถา –
Tathā –
‘‘‘พุโทฺธ’ติ กิตฺตยนฺตสฺส, กาเย ภวติ ยา ปีติ;
‘‘‘Buddho’ti kittayantassa, kāye bhavati yā pīti;
วรเมว หิ สา ปีติ, กสิเณนปิ ชมฺพุทีปสฺส;
Varameva hi sā pīti, kasiṇenapi jambudīpassa;
‘‘‘ธโมฺม’ติ…เป.… ‘สโงฺฆ’ติ…เป.… ทีปสฺสา’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๖; อิติวุ. อฎฺฐ ๙๐; ที. นิ. ฎี. ๑.คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา; ม. นิ. ฎี. ๑.๑; อ. นิ. ฎี. ๒.๔.๓๔) จ,
‘‘‘Dhammo’ti…pe… ‘saṅgho’ti…pe… dīpassā’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.6; itivu. aṭṭha 90; dī. ni. ṭī. 1.ganthārambhakathāvaṇṇanā; ma. ni. ṭī. 1.1; a. ni. ṭī. 2.4.34) ca,
ตถา –
Tathā –
‘‘ยสฺมิํ, มหานาม, สมเย อริยสาวโก ตถาคตํ อนุสฺสรติ, เนวสฺส ตสฺมิํ สมเย ราคปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, น โทส…เป.… น โมหปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหตี’’ติ (อ. นิ. ๖.๑๐; ๑๑.๑๑) จ,
‘‘Yasmiṃ, mahānāma, samaye ariyasāvako tathāgataṃ anussarati, nevassa tasmiṃ samaye rāgapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, na dosa…pe… na mohapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hotī’’ti (a. ni. 6.10; 11.11) ca,
ตถา –
Tathā –
‘‘อรเญฺญ รุกฺขมูเล วา…เป.…;
‘‘Araññe rukkhamūle vā…pe…;
ภยํ วา ฉมฺภิตตฺตํ วา, โลมหํโส น เหสฺสตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๔๙) จ;
Bhayaṃ vā chambhitattaṃ vā, lomahaṃso na hessatī’’ti. (saṃ. ni. 1.249) ca;
ตตฺถ ยสฺส รตนตฺตยสฺส วนฺทนํ กตฺตุกาโม, ตสฺส คุณาติสยโยคสนฺทสฺสนตฺถํ ‘‘มหาการุณิก’’นฺติอาทินา คาถาตฺตยมาหฯ คุณาติสยโยเคน หิ วนฺทนารหภาโว, วนฺทนารเห จ กตา วนฺทนา ยถาธิเปฺปตปฺปโยชนํ สาเธตีติฯ ตตฺถ ยสฺสา สํวณฺณนํ กตฺตุกาโม, สา เนตฺติ วิเสสโต ยถานุโลมสาสนสนฺนิสฺสยา, ตสฺส จ วิจิตฺตาการปฺปวตฺติวิภาวินีฯ ตถา หิ สุตฺตนฺตเทสนา น วินยเทสนา วิย กรุณาปฺปธานา, นาปิ อภิธมฺมเทสนา วิย ปญฺญาปฺปธานา, อถ โข กรุณาปญฺญาปฺปธานาติ ตทุภยปฺปธานเทสนาวิเสสวิภาวนํ ตาว สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส โถมนํ กาตุํ ตมฺมูลกตฺตา เสสรตนานํ ‘‘มหาการุณิกํ นาถ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
Tattha yassa ratanattayassa vandanaṃ kattukāmo, tassa guṇātisayayogasandassanatthaṃ ‘‘mahākāruṇika’’ntiādinā gāthāttayamāha. Guṇātisayayogena hi vandanārahabhāvo, vandanārahe ca katā vandanā yathādhippetappayojanaṃ sādhetīti. Tattha yassā saṃvaṇṇanaṃ kattukāmo, sā netti visesato yathānulomasāsanasannissayā, tassa ca vicittākārappavattivibhāvinī. Tathā hi suttantadesanā na vinayadesanā viya karuṇāppadhānā, nāpi abhidhammadesanā viya paññāppadhānā, atha kho karuṇāpaññāppadhānāti tadubhayappadhānadesanāvisesavibhāvanaṃ tāva sammāsambuddhassa thomanaṃ kātuṃ tammūlakattā sesaratanānaṃ ‘‘mahākāruṇikaṃ nātha’’ntiādi vuttaṃ.
ตตฺถ กิรตีติ (ที. นิ. ฎี. ๑.คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา; ม. นิ. ฎี. ๑.๑; สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑; อ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑) กรุณา, ปรทุกฺขํ วิกฺขิปติ อปเนตีติ อโตฺถฯ อถ วา กิณาตีติ กรุณา, ปรทุเกฺข สติ การุณิกํ หิํสติ วิพาธตีติ อโตฺถ ฯ กมฺปนํ กโรตีติ วา กรุณา, ปรทุเกฺข สติ สาธูนํ หทยเขทํ กโรตีติ อโตฺถฯ กมิติ วา สุขํ, ตํ รุนฺธตีติ กรุณาฯ เอสา หิ ปรทุกฺขาปนยนกามตาลกฺขณา, อตฺตสุขนิรเปกฺขตาย การุณิกานํ สุขํ รุนฺธติ วิพนฺธตีติ อโตฺถฯ กิริยติ ทุกฺขิเตสุ ปสาริยตีติ วา กรุณา, กรุณาย นิยุโตฺตติ การุณิโก ยถา ‘‘โทวาริโก’’ติ (อ. นิ. ๗.๖๗)ฯ ยถา หิ ทฺวารฎฺฐานโต อญฺญตฺถ วตฺตมาโนปิ ทฺวารปฎิพทฺธชีวิโก ปุริโส ทฺวารานติวตฺตวุตฺติตาย ทฺวาเร นิยุโตฺตติ ‘‘โทวาริโก’’ติ วุจฺจติ, เอวํ ภควา เมตฺตาทิวเสน กรุณาวิหารโต อญฺญตฺถ วตฺตมาโนปิ กรุณานติวตฺตวุตฺติตาย กรุณาย นิยุโตฺตติ ‘‘การุณิโก’’ติ วุจฺจติฯ มหาภินีหารโต ปฎฺฐาย หิ ยาว มหาปรินิพฺพานา โลกหิตตฺถเมว โลกนาถา ติฎฺฐนฺตีติฯ มหโนฺต การุณิโกติ มหาการุณิโกฯ สติปิ ภควโต ตทญฺญคุณานมฺปิ วเสน มหนฺตภาเว การุณิกสทฺทสนฺนิธาเนน วุตฺตตฺตา กรุณาวเสเนเวตฺถ มหนฺตภาโว เวทิตโพฺพ ยถา ‘‘มหาเวยฺยากรโณ’’ติฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘มหาการุณิโก’’ติ อิมินา ปเทน ปุคฺคลาธิฎฺฐาเนน สตฺถุ มหากรุณา วุตฺตา โหติฯ
Tattha kiratīti (dī. ni. ṭī. 1.ganthārambhakathāvaṇṇanā; ma. ni. ṭī. 1.1; saṃ. ni. ṭī. 1.1.1; a. ni. ṭī. 1.1.1) karuṇā, paradukkhaṃ vikkhipati apanetīti attho. Atha vā kiṇātīti karuṇā, paradukkhe sati kāruṇikaṃ hiṃsati vibādhatīti attho . Kampanaṃ karotīti vā karuṇā, paradukkhe sati sādhūnaṃ hadayakhedaṃ karotīti attho. Kamiti vā sukhaṃ, taṃ rundhatīti karuṇā. Esā hi paradukkhāpanayanakāmatālakkhaṇā, attasukhanirapekkhatāya kāruṇikānaṃ sukhaṃ rundhati vibandhatīti attho. Kiriyati dukkhitesu pasāriyatīti vā karuṇā, karuṇāya niyuttoti kāruṇiko yathā ‘‘dovāriko’’ti (a. ni. 7.67). Yathā hi dvāraṭṭhānato aññattha vattamānopi dvārapaṭibaddhajīviko puriso dvārānativattavuttitāya dvāre niyuttoti ‘‘dovāriko’’ti vuccati, evaṃ bhagavā mettādivasena karuṇāvihārato aññattha vattamānopi karuṇānativattavuttitāya karuṇāya niyuttoti ‘‘kāruṇiko’’ti vuccati. Mahābhinīhārato paṭṭhāya hi yāva mahāparinibbānā lokahitatthameva lokanāthā tiṭṭhantīti. Mahanto kāruṇikoti mahākāruṇiko. Satipi bhagavato tadaññaguṇānampi vasena mahantabhāve kāruṇikasaddasannidhānena vuttattā karuṇāvasenevettha mahantabhāvo veditabbo yathā ‘‘mahāveyyākaraṇo’’ti. Evañca katvā ‘‘mahākāruṇiko’’ti iminā padena puggalādhiṭṭhānena satthu mahākaruṇā vuttā hoti.
อปโร นโย – อตฺถสาธนโต กรุณํ กรุณายนํ กรุณาสมฺปวตฺตนํ อรหตีติ การุณิโก ฯ ภควโต หิ สพฺพญฺญุตาย อนวเสสโต สตฺตานํ หิตํ, หิตุปายญฺจ ชานโต, ตตฺถ จ อกิลาสุโน หิเตสิตา สตฺถิกา, น ตถา อเญฺญสนฺติฯ อถ วา กรุณา กรุณายนํ สีลํ ปกติ สภาโว เอตสฺสาติ การุณิโกฯ ภควา หิ ปถวีผสฺสาทโย วิย กกฺขฬผุสนาทิสภาวา กรุณาสภาโว สภาวภูตกรุโณติ อโตฺถฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ อถ วา มหาวิสยตาย, มหานุภาวตาย, มหปฺผลตาย จ มหตี กรุณาติ มหากรุณาฯ ภควโต หิ กรุณา นิรวเสเสสุ สเตฺตสุ ปวตฺตติ, ปวตฺตมานา จ อนญฺญสาธารณา ปวตฺตติ, ทิฎฺฐธมฺมิกาทิเภทญฺจ มหนฺตเมว สตฺตานํ หิตสุขํ เอกนฺตโต นิปฺผาเทติ, มหากรุณาย นิยุโตฺตติ มหาการุณิโก, ตํ มหาการุณิกํฯ เสสํ สพฺพํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ สุมาคธาทิปทานํ วิย เจตฺถ สทฺทสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ
Aparo nayo – atthasādhanato karuṇaṃ karuṇāyanaṃ karuṇāsampavattanaṃ arahatīti kāruṇiko. Bhagavato hi sabbaññutāya anavasesato sattānaṃ hitaṃ, hitupāyañca jānato, tattha ca akilāsuno hitesitā satthikā, na tathā aññesanti. Atha vā karuṇā karuṇāyanaṃ sīlaṃ pakati sabhāvo etassāti kāruṇiko. Bhagavā hi pathavīphassādayo viya kakkhaḷaphusanādisabhāvā karuṇāsabhāvo sabhāvabhūtakaruṇoti attho. Sesaṃ purimasadisameva. Atha vā mahāvisayatāya, mahānubhāvatāya, mahapphalatāya ca mahatī karuṇāti mahākaruṇā. Bhagavato hi karuṇā niravasesesu sattesu pavattati, pavattamānā ca anaññasādhāraṇā pavattati, diṭṭhadhammikādibhedañca mahantameva sattānaṃ hitasukhaṃ ekantato nipphādeti, mahākaruṇāya niyuttoti mahākāruṇiko, taṃ mahākāruṇikaṃ. Sesaṃ sabbaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Sumāgadhādipadānaṃ viya cettha saddasiddhi veditabbā.
นาถตีติ นาโถ, เวเนยฺยานํ หิตสุขํ อาสีสติ ปเตฺถตีติ อโตฺถ, เมตฺตายนวเสน เจตฺถ หิตสุขาสีสนํ เวทิตพฺพํ, น กรุณายนวเสน ปฐมปเทน วุตฺตตฺตาฯ อถ วา นาถติ เวเนยฺยคตํ กิเลสพฺยสนํ อุปตาเปตีติ นาโถ, นาถตีติ วา นาโถ, ยาจตีติ อโตฺถฯ ภควา หิ ‘‘สาธุ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ กาเลน กาลํ อตฺตสมฺปตฺติํ ปจฺจเวกฺขิตา’’ติอาทินา (อ. นิ. ๘.๗, ๘) สตฺตานํ ตํ ตํ หิตปฺปฎิปตฺติํ ยาจิตฺวาปิ มหากรุณาย สมุสฺสาหิโต เต ตตฺถ นิโยเชติฯ ปรเมน วา จิตฺติสฺสริเยน สมนฺนาคโต, สพฺพสเตฺต วา สีลาทิคุเณหิ อีสติ อภิภวตีติ ปรมิสฺสโร ภควา ‘‘นาโถ’’ติ วุจฺจติ, ตํ นาถํฯ
Nāthatīti nātho, veneyyānaṃ hitasukhaṃ āsīsati patthetīti attho, mettāyanavasena cettha hitasukhāsīsanaṃ veditabbaṃ, na karuṇāyanavasena paṭhamapadena vuttattā. Atha vā nāthati veneyyagataṃ kilesabyasanaṃ upatāpetīti nātho, nāthatīti vā nātho, yācatīti attho. Bhagavā hi ‘‘sādhu, bhikkhave, bhikkhu kālena kālaṃ attasampattiṃ paccavekkhitā’’tiādinā (a. ni. 8.7, 8) sattānaṃ taṃ taṃ hitappaṭipattiṃ yācitvāpi mahākaruṇāya samussāhito te tattha niyojeti. Paramena vā cittissariyena samannāgato, sabbasatte vā sīlādiguṇehi īsati abhibhavatīti paramissaro bhagavā ‘‘nātho’’ti vuccati, taṃ nāthaṃ.
ญาตพฺพนฺติ เญยฺยํ, อตีตาทิเภทภินฺนํ สพฺพํ สงฺขตํ, อสงฺขตญฺจฯ สงฺครณเฎฺฐน สาคโร, ปติตปติตานํ อตฺตโน ปุถุลคมฺภีรภาเวหิ สํสีทนํ นิมฺมุชฺชนํ กโรตีติ อโตฺถฯ สํ-สทฺทสฺส เจตฺถ ‘‘สาภาโว, สาราโค’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๓๘๙, ๓๙๑) วิย นิรุตฺตินเยน ทฎฺฐโพฺพฯ สงฺครณเฎฺฐนาติ วา สงฺครกรณเฎฺฐน, ฐิตธมฺมตาย ‘‘อยํ เม มริยาทา, อิมํ เวลํ นาติกฺกมามี’’ติ โลเกน สงฺครํ สเงฺกตํ กโรโนฺต วิย โหตีติ อโตฺถฯ สงฺครณํ วา สมนฺตโต คลนํ สนฺทนํ อุทเกน กโรตีติ สาคโรฯ กปฺปวุฎฺฐานกาเล หิ มหาสมุโทฺท อิโต จิโต จ ปคฺฆริตฺวา สกลํ โลกธาตุํ เอโกฆํ กโรตีติฯ โลกิยา ปน วทนฺติ ‘‘สาครสฺส รโญฺญ ปุเตฺตหิ สาคเรหิ นิพฺพตฺติโต ขโตติ สาคโร, ปุรตฺถิโม สมุทฺทปฺปเทโส, ตํสมฺพนฺธตาย รุฬฺหิวเสน สโพฺพปิ สมุโทฺท ตถา โวหรียตี’’ติฯ สาครสทิสตฺตา สาคโร, เญยฺยเมว สาคโรติ เญยฺยสาคโรฯ สทิสตา เจตฺถ ปุถุลทุตฺตรคมฺภีรานาทิกาลิกตาหิ เวทิตพฺพา, นิหีนํ เจตโมปมฺมํฯ ตถา หิ เญยฺยเสฺสว สาติสยา ปุถุลตา อปริมาณโลกธาตุพฺยาปนโต, สพฺพญฺญุตญฺญาณเสฺสว ตรณียตาย ทุตฺตรตา, คมฺภีรตา, อาทิโกฎิรหิตา จ ปวตฺติ, น อิตรสฺส ปริจฺฉินฺนเทสตฺตา พาหิรกวีตราเคหิปิ อิตฺตเรน ขเณน อติกฺกมิตพฺพตฺตา, ปริมิตคมฺภีรตฺตา, ปริมิตกาลตฺตา จฯ เญยฺยสาครสฺส ปารํ ปริยนฺตํ คโตติ เญยฺยสาครปารคู, ตํ เญยฺยสาครปารคุํฯ
Ñātabbanti ñeyyaṃ, atītādibhedabhinnaṃ sabbaṃ saṅkhataṃ, asaṅkhatañca. Saṅgaraṇaṭṭhena sāgaro, patitapatitānaṃ attano puthulagambhīrabhāvehi saṃsīdanaṃ nimmujjanaṃ karotīti attho. Saṃ-saddassa cettha ‘‘sābhāvo, sārāgo’’tiādīsu (dha. sa. 389, 391) viya niruttinayena daṭṭhabbo. Saṅgaraṇaṭṭhenāti vā saṅgarakaraṇaṭṭhena, ṭhitadhammatāya ‘‘ayaṃ me mariyādā, imaṃ velaṃ nātikkamāmī’’ti lokena saṅgaraṃ saṅketaṃ karonto viya hotīti attho. Saṅgaraṇaṃ vā samantato galanaṃ sandanaṃ udakena karotīti sāgaro. Kappavuṭṭhānakāle hi mahāsamuddo ito cito ca paggharitvā sakalaṃ lokadhātuṃ ekoghaṃ karotīti. Lokiyā pana vadanti ‘‘sāgarassa rañño puttehi sāgarehi nibbattito khatoti sāgaro, puratthimo samuddappadeso, taṃsambandhatāya ruḷhivasena sabbopi samuddo tathā voharīyatī’’ti. Sāgarasadisattā sāgaro, ñeyyameva sāgaroti ñeyyasāgaro. Sadisatā cettha puthuladuttaragambhīrānādikālikatāhi veditabbā, nihīnaṃ cetamopammaṃ. Tathā hi ñeyyasseva sātisayā puthulatā aparimāṇalokadhātubyāpanato, sabbaññutaññāṇasseva taraṇīyatāya duttaratā, gambhīratā, ādikoṭirahitā ca pavatti, na itarassa paricchinnadesattā bāhirakavītarāgehipi ittarena khaṇena atikkamitabbattā, parimitagambhīrattā, parimitakālattā ca. Ñeyyasāgarassa pāraṃ pariyantaṃ gatoti ñeyyasāgarapāragū, taṃ ñeyyasāgarapāraguṃ.
คมนเญฺจตฺถ ญาณคมนเมว, น อิตรํ เญยฺยคฺคหณโต, ตํ ปน ญาณํ ทุวิธํ สมฺมสนปฎิเวธเภทโต, ตถา เหตุผลเภทโตฯ ตตฺถ ‘‘กิจฺฉํ วตายํ โลโก อาปโนฺน’’ติอาทินา (ที. นิ. ๒.๕๗; สํ. นิ. ๒.๔, ๑๐; เปฎโก. ๒๓) กรุณายนวเสเนว อภินิวิสิตฺวา อเนกาการโวกาเร สงฺขาเร สมฺมสนฺตํ ภควโต สมฺมสนญาณํ ฉตฺติํสโกฎิสตสหสฺสมุเขน เญยฺยสาครํ อโชฺฌคาเหตฺวา ตสฺส ปารํ ปริยนฺตํ อคมาสิ, ยํ ‘‘มหาวชิรญาณ’’นฺติ วุจฺจติฯ ปฎิเวธญาณํ ปน สพฺพญฺญุตญฺญาณปทฎฺฐานํ อาสวกฺขยญาณํ, อาสวกฺขยญาณปทฎฺฐานญฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, ยํ ‘‘มหาโพธี’’ติ วุจฺจติฯ ปารคมนญฺจ ตสฺส กิจฺจสิทฺธิยา, สมตฺถตาย จ เวทิตพฺพํฯ ตถา ยถาวุตฺตํ สมฺมสนญาณํ เหตุ, อิตรํ ผลํฯ สห สมฺมสนญาเณน วา อาสวกฺขยญาณํ เหตุ, สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ผลํ ตทานิสํสภาวโตติ เวทิตพฺพํฯ
Gamanañcettha ñāṇagamanameva, na itaraṃ ñeyyaggahaṇato, taṃ pana ñāṇaṃ duvidhaṃ sammasanapaṭivedhabhedato, tathā hetuphalabhedato. Tattha ‘‘kicchaṃ vatāyaṃ loko āpanno’’tiādinā (dī. ni. 2.57; saṃ. ni. 2.4, 10; peṭako. 23) karuṇāyanavaseneva abhinivisitvā anekākāravokāre saṅkhāre sammasantaṃ bhagavato sammasanañāṇaṃ chattiṃsakoṭisatasahassamukhena ñeyyasāgaraṃ ajjhogāhetvā tassa pāraṃ pariyantaṃ agamāsi, yaṃ ‘‘mahāvajirañāṇa’’nti vuccati. Paṭivedhañāṇaṃ pana sabbaññutaññāṇapadaṭṭhānaṃ āsavakkhayañāṇaṃ, āsavakkhayañāṇapadaṭṭhānañca sabbaññutaññāṇaṃ, yaṃ ‘‘mahābodhī’’ti vuccati. Pāragamanañca tassa kiccasiddhiyā, samatthatāya ca veditabbaṃ. Tathā yathāvuttaṃ sammasanañāṇaṃ hetu, itaraṃ phalaṃ. Saha sammasanañāṇena vā āsavakkhayañāṇaṃ hetu, sabbaññutaññāṇaṃ phalaṃ tadānisaṃsabhāvatoti veditabbaṃ.
วเนฺทติ นมามิ, อภิตฺถวามิ วาฯ สณฺหเฎฺฐน นิปุณา, อนุปจิตญาณสมฺภารานํ อคาธเฎฺฐน คมฺภีรา, เอกตฺตาทิเภทโต นนฺทิยาวฎฺฎาทิวิภาคโต จ วิจิตฺรา วิสิฎฺฐา นานาวิธา นยา เอติสฺสาติ นิปุณคมฺภีรวิจิตฺรนยา, นิปุณคมฺภีรวิจิตฺรนยา เทสนา อสฺสาติ นิปุณคมฺภีรวิจิตฺรนยเทสโน, ตํ นิปุณ…เป.… เทสนํฯ นยตีติ วา นโย, ปาฬิคติ, สา จ วุตฺตนเยน อตฺถโต นิปุณา, อตฺถโต พฺยญฺชนโต จ คมฺภีรา, สเงฺขปวิตฺถารานุโลมาทิปฺปวตฺติยา นานาวิธตาย วิจิตฺราฯ ตถา หิ ปญฺญตฺติอนุปญฺญตฺติอาทิวเสน, สํกิเลสภาคิยาทิโลกิยาทิตทุภยโวมิสฺสตาทิวเสน, กุสลาทิขนฺธาทิสงฺคหาทิสมยวิมุตฺตาทิฐปนาทิกุสลมูลาทิติกปฎฺฐานาทิวเสน จ อเนกวิธา ปาฬิคตีติฯ
Vandeti namāmi, abhitthavāmi vā. Saṇhaṭṭhena nipuṇā, anupacitañāṇasambhārānaṃ agādhaṭṭhena gambhīrā, ekattādibhedato nandiyāvaṭṭādivibhāgato ca vicitrā visiṭṭhā nānāvidhā nayā etissāti nipuṇagambhīravicitranayā, nipuṇagambhīravicitranayā desanā assāti nipuṇagambhīravicitranayadesano, taṃ nipuṇa…pe… desanaṃ. Nayatīti vā nayo, pāḷigati, sā ca vuttanayena atthato nipuṇā, atthato byañjanato ca gambhīrā, saṅkhepavitthārānulomādippavattiyā nānāvidhatāya vicitrā. Tathā hi paññattianupaññattiādivasena, saṃkilesabhāgiyādilokiyāditadubhayavomissatādivasena, kusalādikhandhādisaṅgahādisamayavimuttādiṭhapanādikusalamūlāditikapaṭṭhānādivasena ca anekavidhā pāḷigatīti.
ตตฺถ (ที. นิ. ฎี. ๑.คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา) ทฺวีหากาเรหิ ภควโต โถมนา เวทิตพฺพา อตฺตหิตสมฺปตฺติโต, ปรหิตปฺปฎิปตฺติโต จฯ เตสุ อตฺตหิตสมฺปตฺติ อนาวรณญาณาธิคมโต, สวาสนานํ สเพฺพสํ กิเลสานํ อจฺจนฺตปฺปหานโต จ เวทิตพฺพา, ปรหิตปฺปฎิปตฺติ ลาภสกฺการาทินิรเปกฺขจิตฺตสฺส สพฺพทุกฺขนิยฺยานิกธมฺมเทสนโต, ปฎิวิรุเทฺธสุปิ นิจฺจํ หิตชฺฌาสยญาณปริปากกาลาคมนโต จ เวทิตพฺพาฯ สา ปเนตฺถ ปโยคโต, อาสยโต จ ทุวิธา, ปรหิตปฺปฎิปตฺติ, ยถาวุตฺตเภทา ทุวิธา จ อตฺตหิตสมฺปตฺติ ปกาสิตา โหติฯ กถํ? ‘‘มหาการุณิก’’นฺติ อิมินา อาสยโต , ‘‘นิปุณ…เป.… เทสน’’นฺติ อิมินา ปโยคโต, ‘‘นาถ’’นฺติ อิมินา ปน อุภยถาปิ ภควโต ปรหิตปฺปฎิปตฺติ ปกาสิตา กรุณากิจฺจทีปนโต, ‘‘เญยฺยสาครปารคุ’’นฺติ อิมินา สาติสยํ อตฺตหิตสมฺปตฺติ ปรมุกฺกํสคตญาณกิจฺจทีปนโตฯ
Tattha (dī. ni. ṭī. 1.ganthārambhakathāvaṇṇanā) dvīhākārehi bhagavato thomanā veditabbā attahitasampattito, parahitappaṭipattito ca. Tesu attahitasampatti anāvaraṇañāṇādhigamato, savāsanānaṃ sabbesaṃ kilesānaṃ accantappahānato ca veditabbā, parahitappaṭipatti lābhasakkārādinirapekkhacittassa sabbadukkhaniyyānikadhammadesanato, paṭiviruddhesupi niccaṃ hitajjhāsayañāṇaparipākakālāgamanato ca veditabbā. Sā panettha payogato, āsayato ca duvidhā, parahitappaṭipatti, yathāvuttabhedā duvidhā ca attahitasampatti pakāsitā hoti. Kathaṃ? ‘‘Mahākāruṇika’’nti iminā āsayato , ‘‘nipuṇa…pe… desana’’nti iminā payogato, ‘‘nātha’’nti iminā pana ubhayathāpi bhagavato parahitappaṭipatti pakāsitā karuṇākiccadīpanato, ‘‘ñeyyasāgarapāragu’’nti iminā sātisayaṃ attahitasampatti paramukkaṃsagatañāṇakiccadīpanato.
อถ วา ตีหากาเรหิ ภควโต โถมนา เวทิตพฺพา เหตุโต, ผลโต, อุปการโต จฯ ตตฺถ เหตุ มหากรุณา, สา ปน ปฐมปเทน สรูเปเนว ทสฺสิตาฯ ผลํ จตุพฺพิธํ ญาณสมฺปทา ปหานสมฺปทา อานุภาวสมฺปทา รูปกายสมฺปทา จาติฯ ตาสุ ปธานภูตา ญาณปหานสมฺปทา ‘‘เญยฺยสาครปารคุ’’นฺติ อิมินา ปเทน ปกาสิตาฯ ปธาเน หิ ทสฺสิเต อวินาภาวโต อิตรมฺปิ ทฺวยํ ทสฺสิตเมว โหติฯ น หิ พุทฺธานํ อานุภาวรูปกายสมฺปตฺตีหิ วินา กทาจิปิ ธมฺมกายสิรี วตฺตตีติฯ อุปกาโร อนนฺตรํ อพาหิรํ กตฺวา ติวิธยานมุเขน วิมุตฺติธมฺมเทสนา, สา ‘‘นาถํ, นิปุณ…เป.… เทสน’’นฺติ ปททฺวเยน ปกาสิตาติ เวทิตพฺพํฯ
Atha vā tīhākārehi bhagavato thomanā veditabbā hetuto, phalato, upakārato ca. Tattha hetu mahākaruṇā, sā pana paṭhamapadena sarūpeneva dassitā. Phalaṃ catubbidhaṃ ñāṇasampadā pahānasampadā ānubhāvasampadā rūpakāyasampadā cāti. Tāsu padhānabhūtā ñāṇapahānasampadā ‘‘ñeyyasāgarapāragu’’nti iminā padena pakāsitā. Padhāne hi dassite avinābhāvato itarampi dvayaṃ dassitameva hoti. Na hi buddhānaṃ ānubhāvarūpakāyasampattīhi vinā kadācipi dhammakāyasirī vattatīti. Upakāro anantaraṃ abāhiraṃ katvā tividhayānamukhena vimuttidhammadesanā, sā ‘‘nāthaṃ, nipuṇa…pe… desana’’nti padadvayena pakāsitāti veditabbaṃ.
ตตฺถ (ที. นิ. ฎี. ๑.คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา) ‘‘มหาการุณิก’’นฺติ เอเตน สมฺมาสโมฺพธิยา มูลํ ทเสฺสติฯ มหากรุณาสโญฺจทิตมานโส หิ ภควา สํสารปงฺกโต สตฺตานํ สมุทฺธรณตฺถํ กตาภินีหาโร อนุปุเพฺพน ปารมิโย ปูเรตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อธิคโตติ กรุณา สมฺมาสโมฺพธิยา มูลํฯ ‘‘เญยฺยสาครปารคุ’’นฺติ เอเตน ปุพฺพภาคปฺปฎิปตฺติยา สทฺธิํ สมฺมาสโมฺพธิํ ทเสฺสติฯ อนาวรณญาณปทฎฺฐานญฺหิ มคฺคญาณํ, มคฺคญาณปทฎฺฐานญฺจ อนาวรณญาณํ ‘‘สมฺมาสโมฺพธี’’ติ วุจฺจติฯ วุตฺตปฺปเภทํ ปน สมฺมสนญาณํ สห ปญฺญาปารมิยา ตสฺสา ปุพฺพภาคปฎิปทาฯ ตสฺสา หิ อานุภาเวน ลีนุทฺธจฺจปติฎฺฐานายูหนกามสุขลฺลิกตฺตกิลมถานุโยคสสฺสตุเจฺฉทาทิอนฺตทฺวยวิรหิตา อุกฺกํสปารมิปฺปตฺตา มชฺฌิมา ปฎิปทา ภาวนาปาริปูริํ คตาฯ ‘‘นาถ’’นฺติ อิมินา สมฺมาสโมฺพธิยา ผลํ ทเสฺสติ โลกตฺตยนายกภาวทีปนโตฯ ตถา หิ สพฺพานตฺถปริหารปุพฺพงฺคมาย นิรวเสสหิตสุขวิธานตปฺปราย นิรติสยาย ปโยคสมฺปตฺติยา, สเทวมนุสฺสาย ปชาย อจฺจนฺตุปการิตาย อปริมิตนิรุปมภาวคุณวิเสสสมงฺคิตาย จ สพฺพสตฺตุตฺตโม ภควา อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ อนุตฺตรคารวฎฺฐานภูตตาย จ ‘‘นาโถ’’ติ วุจฺจตีติฯ ‘‘นิปุณ…เป.… เทสน’’นฺติ อิมินา สมฺมาสโมฺพธิยา ปโยชนํ ทเสฺสติฯ สํสารมโหฆโต สตฺตสนฺตารณตฺถญฺหิ ภควตา สมฺมาสโมฺพธิ อภิปตฺถิตา, ตญฺจ สตฺตสนฺตารณํ ยถาวุตฺตเทสนาสมฺปตฺติยา สมิชฺฌติ ตทวินาภาวโตฯ อิมินา ภควโต สาติสยา ปรหิตปฺปฎิปตฺติ ทสฺสิตา, อิตเรหิ อตฺตหิตสมฺปตฺตีติ ตทุภเยน อตฺตหิตาย ปฎิปนฺนาทีสุ จตูสุ ปุคฺคเลสุ ภควโต จตุตฺถปุคฺคลภาวํ ทีเปติ, เตน จ อนุตฺตรทกฺขิเณยฺยภาวํ, อุตฺตมวนฺทนียภาวํ, อตฺตโน จ วนฺทนกิริยาย เขตฺตงฺคตภาวํ ทีเปติฯ
Tattha (dī. ni. ṭī. 1.ganthārambhakathāvaṇṇanā) ‘‘mahākāruṇika’’nti etena sammāsambodhiyā mūlaṃ dasseti. Mahākaruṇāsañcoditamānaso hi bhagavā saṃsārapaṅkato sattānaṃ samuddharaṇatthaṃ katābhinīhāro anupubbena pāramiyo pūretvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ adhigatoti karuṇā sammāsambodhiyā mūlaṃ. ‘‘Ñeyyasāgarapāragu’’nti etena pubbabhāgappaṭipattiyā saddhiṃ sammāsambodhiṃ dasseti. Anāvaraṇañāṇapadaṭṭhānañhi maggañāṇaṃ, maggañāṇapadaṭṭhānañca anāvaraṇañāṇaṃ ‘‘sammāsambodhī’’ti vuccati. Vuttappabhedaṃ pana sammasanañāṇaṃ saha paññāpāramiyā tassā pubbabhāgapaṭipadā. Tassā hi ānubhāvena līnuddhaccapatiṭṭhānāyūhanakāmasukhallikattakilamathānuyogasassatucchedādiantadvayavirahitā ukkaṃsapāramippattā majjhimā paṭipadā bhāvanāpāripūriṃ gatā. ‘‘Nātha’’nti iminā sammāsambodhiyā phalaṃ dasseti lokattayanāyakabhāvadīpanato. Tathā hi sabbānatthaparihārapubbaṅgamāya niravasesahitasukhavidhānatapparāya niratisayāya payogasampattiyā, sadevamanussāya pajāya accantupakāritāya aparimitanirupamabhāvaguṇavisesasamaṅgitāya ca sabbasattuttamo bhagavā aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ anuttaragāravaṭṭhānabhūtatāya ca ‘‘nātho’’ti vuccatīti. ‘‘Nipuṇa…pe… desana’’nti iminā sammāsambodhiyā payojanaṃ dasseti. Saṃsāramahoghato sattasantāraṇatthañhi bhagavatā sammāsambodhi abhipatthitā, tañca sattasantāraṇaṃ yathāvuttadesanāsampattiyā samijjhati tadavinābhāvato. Iminā bhagavato sātisayā parahitappaṭipatti dassitā, itarehi attahitasampattīti tadubhayena attahitāya paṭipannādīsu catūsu puggalesu bhagavato catutthapuggalabhāvaṃ dīpeti, tena ca anuttaradakkhiṇeyyabhāvaṃ, uttamavandanīyabhāvaṃ, attano ca vandanakiriyāya khettaṅgatabhāvaṃ dīpeti.
เอตฺถ จ ยถา ‘‘มหาการุณิก’’นฺติ อิมินา ปเทน ภควโต มหากรุณา ทสฺสิตา, เอวํ ‘‘เญยฺยสาครปารคุ’’นฺติ เอเตน มหาปญฺญา ทสฺสิตาฯ เตสุ กรุณาคฺคหเณน โลกิเยสุ มหคฺคตภาวปฺปตฺตาสาธารณคุณทีปนโต ภควโต สพฺพโลกิยคุณสมฺปตฺติ ทสฺสิตา โหติ, ปญฺญาคฺคหเณน สพฺพญฺญุตญฺญาณปทฎฺฐานมคฺคญาณทีปนโต สพฺพโลกุตฺตรคุณสมฺปตฺติฯ ตทุภยคฺคหณสิโทฺธ เอว จโตฺถ นาถสเทฺทน ปกาสียติฯ กรุณาวจเนน อุปคมนํ นิรุปกฺกิเลสํ ทเสฺสติ, ปญฺญาวจเนน อปคมนํฯ ตถา กรุณาคฺคหเณน โลกสมญฺญานุรูปํ ภควโต ปวตฺติํ ทเสฺสติ โลกโวหารวิสยตฺตา กรุณาย, ปญฺญาคฺคหเณน สมญฺญาย อนติธาวนํฯ สภาวานวโพเธน หิ ธมฺมานํ สมญฺญํ อติธาวิตฺวา สตฺตาทิสมฺมสนํ โหตีติฯ ตถา กรุณาคฺคหเณน มหากรุณาสมาปตฺติวิหารํ ทเสฺสติ, ปญฺญาคฺคหเณน ตีสุ กาเลสุ อปฺปฎิหตญาณํ, จตุสจฺจญาณํ, จตุปฎิสมฺภิทาญาณํ, จตุเวสารชฺชญาณํฯ กรุณาคฺคหเณน มหากรุณาสมาปตฺติญาณสฺส คหิตตฺตา เสสาสาธารณญาณานิ, ฉ อภิญฺญา, อฎฺฐสุ ปริสาสุ (ม. นิ. ๑.๑๕๑, ๑๗๘) อกมฺปนญาณานิ, ทส พลานิ, จุทฺทส พุทฺธญาณานิ, โสฬส ญาณจริยา, อฎฺฐารส พุทฺธธมฺมา (มหานิ. ๖๙, ๑๕๖; จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๕; ปฎิ. ม. ๓.๕; ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๓๐๕; วิภ. มูลฎี. สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา; ที. นิ. ฎี. ๓.๑๔๑), จตุจตฺตาลีส ญาณวตฺถูนิ สตฺตสตฺตติ ญาณวตฺถูนีติ (สํ. นิ. ๒.๓๔) เอวมาทีนํ อเนเกสํ ปญฺญาปฺปเภทานํ วเสน ญาณจารํ ทเสฺสติฯ
Ettha ca yathā ‘‘mahākāruṇika’’nti iminā padena bhagavato mahākaruṇā dassitā, evaṃ ‘‘ñeyyasāgarapāragu’’nti etena mahāpaññā dassitā. Tesu karuṇāggahaṇena lokiyesu mahaggatabhāvappattāsādhāraṇaguṇadīpanato bhagavato sabbalokiyaguṇasampatti dassitā hoti, paññāggahaṇena sabbaññutaññāṇapadaṭṭhānamaggañāṇadīpanato sabbalokuttaraguṇasampatti. Tadubhayaggahaṇasiddho eva cattho nāthasaddena pakāsīyati. Karuṇāvacanena upagamanaṃ nirupakkilesaṃ dasseti, paññāvacanena apagamanaṃ. Tathā karuṇāggahaṇena lokasamaññānurūpaṃ bhagavato pavattiṃ dasseti lokavohāravisayattā karuṇāya, paññāggahaṇena samaññāya anatidhāvanaṃ. Sabhāvānavabodhena hi dhammānaṃ samaññaṃ atidhāvitvā sattādisammasanaṃ hotīti. Tathā karuṇāggahaṇena mahākaruṇāsamāpattivihāraṃ dasseti, paññāggahaṇena tīsu kālesu appaṭihatañāṇaṃ, catusaccañāṇaṃ, catupaṭisambhidāñāṇaṃ, catuvesārajjañāṇaṃ. Karuṇāggahaṇena mahākaruṇāsamāpattiñāṇassa gahitattā sesāsādhāraṇañāṇāni, cha abhiññā, aṭṭhasu parisāsu (ma. ni. 1.151, 178) akampanañāṇāni, dasa balāni, cuddasa buddhañāṇāni, soḷasa ñāṇacariyā, aṭṭhārasa buddhadhammā (mahāni. 69, 156; cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddesa 85; paṭi. ma. 3.5; dī. ni. aṭṭha. 3.305; vibha. mūlaṭī. suttantabhājanīyavaṇṇanā; dī. ni. ṭī. 3.141), catucattālīsa ñāṇavatthūni sattasattati ñāṇavatthūnīti (saṃ. ni. 2.34) evamādīnaṃ anekesaṃ paññāppabhedānaṃ vasena ñāṇacāraṃ dasseti.
ตถา กรุณาคฺคหเณน จรณสมฺปตฺติ, ปญฺญาคฺคหเณน วิชฺชาสมฺปตฺติฯ กรุณาคฺคหเณน สตฺตาธิปติตา, ปญฺญาคฺคหเณน ธมฺมาธิปติตาฯ กรุณาคฺคหเณน โลกนาถภาโว, ปญฺญาคฺคหเณน อตฺตนาถภาโวฯ ตถา กรุณาคฺคหเณน ปุพฺพการิภาโว, ปญฺญาคฺคหเณน กตญฺญุตาฯ กรุณาคฺคหเณน อปรนฺตปตา, ปญฺญาคฺคหเณน อนตฺตนฺตปตาฯ กรุณาคฺคหเณน วา พุทฺธกรธมฺมสิทฺธิ, ปญฺญาคฺคหเณน พุทฺธภาวสิทฺธิฯ ตถา กรุณาคฺคหเณน ปเรสํ ตารณํ, ปญฺญาคฺคหเณน สยํ ตารณํฯ ตถา กรุณาคฺคหเณน สพฺพสเตฺตสุ อนุคฺคหจิตฺตตา, ปญฺญาคฺคหเณน สพฺพธเมฺมสุ วิรตฺตจิตฺตตา ทสฺสิตา โหติฯ สเพฺพสญฺจ พุทฺธคุณานํ กรุณา อาทิ ตํนิทานภาวโต, ปญฺญา ปริโยสานํ ตโต อุตฺตริ กรณียาภาวโต, อิติ อาทิปริโยสานทสฺสเนน สเพฺพ พุทฺธคุณา ทสฺสิตา โหนฺติฯ ตถา กรุณาวจเนน สีลกฺขนฺธปุพฺพงฺคโม สมาธิกฺขโนฺธ ทสฺสิโต โหติฯ กรุณานิทานญฺหิ สีลํ ตโต ปาณาติปาตาทิวิรติปฺปวตฺติโต, สา จ ฌานตฺตยสมฺปโยคินีติฯ ปญฺญาวจเนน ปญฺญากฺขโนฺธฯ สีลญฺจ สพฺพพุทฺธคุณานํ อาทิ, สมาธิ มเชฺฌ, ปญฺญา ปริโยสานนฺติ เอวมฺปิ อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณา สเพฺพ พุทฺธคุณา ทสฺสิตา โหนฺติ นยโต ทสฺสิตตฺตาฯ เอโส เอว หิ นิรวเสสโต พุทฺธคุณานํ ทสฺสนุปาโย, ยทิทํ นยคฺคาหณํ, อญฺญถา โก นาม สมโตฺถ ภควโต คุเณ อนุปทํ นิรวเสสโต ทเสฺสตุํฯ เตเนวาห –
Tathā karuṇāggahaṇena caraṇasampatti, paññāggahaṇena vijjāsampatti. Karuṇāggahaṇena sattādhipatitā, paññāggahaṇena dhammādhipatitā. Karuṇāggahaṇena lokanāthabhāvo, paññāggahaṇena attanāthabhāvo. Tathā karuṇāggahaṇena pubbakāribhāvo, paññāggahaṇena kataññutā. Karuṇāggahaṇena aparantapatā, paññāggahaṇena anattantapatā. Karuṇāggahaṇena vā buddhakaradhammasiddhi, paññāggahaṇena buddhabhāvasiddhi. Tathā karuṇāggahaṇena paresaṃ tāraṇaṃ, paññāggahaṇena sayaṃ tāraṇaṃ. Tathā karuṇāggahaṇena sabbasattesu anuggahacittatā, paññāggahaṇena sabbadhammesu virattacittatā dassitā hoti. Sabbesañca buddhaguṇānaṃ karuṇā ādi taṃnidānabhāvato, paññā pariyosānaṃ tato uttari karaṇīyābhāvato, iti ādipariyosānadassanena sabbe buddhaguṇā dassitā honti. Tathā karuṇāvacanena sīlakkhandhapubbaṅgamo samādhikkhandho dassito hoti. Karuṇānidānañhi sīlaṃ tato pāṇātipātādiviratippavattito, sā ca jhānattayasampayoginīti. Paññāvacanena paññākkhandho. Sīlañca sabbabuddhaguṇānaṃ ādi, samādhi majjhe, paññā pariyosānanti evampi ādimajjhapariyosānakalyāṇā sabbe buddhaguṇā dassitā honti nayato dassitattā. Eso eva hi niravasesato buddhaguṇānaṃ dassanupāyo, yadidaṃ nayaggāhaṇaṃ, aññathā ko nāma samattho bhagavato guṇe anupadaṃ niravasesato dassetuṃ. Tenevāha –
‘‘พุโทฺธปิ พุทฺธสฺส ภเณยฺย วณฺณํ, กปฺปมฺปิ เจ อญฺญมภาสมาโน;
‘‘Buddhopi buddhassa bhaṇeyya vaṇṇaṃ, kappampi ce aññamabhāsamāno;
ขีเยถ กโปฺป จิรทีฆมนฺตเร, วโณฺณ น ขีเยถ ตถาคตสฺสา’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๐๔; ๓.๑๔๑; ม. นิ. อฎฺฐ. ๓.๔๒๕; อุทา. อฎฺฐ. ๕๓; อป. อฎฺฐ. ๒.๗.๒๐; พุ. วํ. อฎฺฐ. ๔.๔; จริยา. อฎฺฐ. นิทานกถา, ปกิณฺณกกถา; ที. นิ. ฎี. ๑.คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา; ม. นิ. ฎี. ๑.๑; สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑; อ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑; วชิร. ฎี. คนฺถารมฺภกถา; สารตฺถ. ฎี. ๑.คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา);
Khīyetha kappo ciradīghamantare, vaṇṇo na khīyetha tathāgatassā’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.304; 3.141; ma. ni. aṭṭha. 3.425; udā. aṭṭha. 53; apa. aṭṭha. 2.7.20; bu. vaṃ. aṭṭha. 4.4; cariyā. aṭṭha. nidānakathā, pakiṇṇakakathā; dī. ni. ṭī. 1.ganthārambhakathāvaṇṇanā; ma. ni. ṭī. 1.1; saṃ. ni. ṭī. 1.1.1; a. ni. ṭī. 1.1.1; vajira. ṭī. ganthārambhakathā; sārattha. ṭī. 1.ganthārambhakathāvaṇṇanā);
เตเนว จ อายสฺมตา สาริปุตฺตเตฺถเรนาปิ พุทฺธคุณปริเจฺฉทนํ ปติ อนุยุเตฺตน ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๔๕) ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘อปิจ เม, ภเนฺต, ธมฺมนฺวโย วิทิโต’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๔๖) วุตฺตํฯ
Teneva ca āyasmatā sāriputtattherenāpi buddhaguṇaparicchedanaṃ pati anuyuttena ‘‘no hetaṃ, bhante’’ti (dī. ni. 2.145) paṭikkhipitvā ‘‘apica me, bhante, dhammanvayo vidito’’ti (dī. ni. 2.146) vuttaṃ.
เอวํ สเงฺขเปน สกลสพฺพญฺญุคุเณหิ ภควนฺตํ อภิตฺถวิตฺวา อิทานิ สทฺธมฺมํ โถเมตุํ ‘‘วิชฺชาจรณสมฺปนฺนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ วิชฺชาจรณสมฺปนฺนา หุตฺวาติ วจนเสโสฯ วินฺทิยํ ธมฺมานํ สลกฺขณํ, สามญฺญลกฺขณญฺจ วินฺทตีติ วิชฺชา, โลภกฺขนฺธาทีนิ วา วิชฺฌนเฎฺฐน วิชฺชา, จตุนฺนํ วา อริยสจฺจานํ วิทิตกรณเฎฺฐน วิชฺชาติ เอวํ ตาเวตฺถ วจนตฺถโต วิชฺชา เวทิตพฺพาฯ ปเภทโต ปน ติโสฺสปิ วิชฺชา วิชฺชา ภยเภรวสุเตฺต อาคตนิยาเมเนว, อฎฺฐปิ วิชฺชา วิชฺชา อมฺพฎฺฐสุตฺตาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๗๘ อาทโย) อาคตนิยาเมเนวฯ จรนฺติ เตหีติ จรณานิ, สีลสํวราทโย ปญฺจทส ธมฺมา, อิติ อิมาหิ วิชฺชาหิ, อิเมหิ จ จรเณหิ สมฺปนฺนา สมฺปนฺนาคตาติ วิชฺชาจรณสมฺปนฺนาฯ
Evaṃ saṅkhepena sakalasabbaññuguṇehi bhagavantaṃ abhitthavitvā idāni saddhammaṃ thometuṃ ‘‘vijjācaraṇasampannā’’tiādimāha. Tattha vijjācaraṇasampannā hutvāti vacanaseso. Vindiyaṃ dhammānaṃ salakkhaṇaṃ, sāmaññalakkhaṇañca vindatīti vijjā, lobhakkhandhādīni vā vijjhanaṭṭhena vijjā, catunnaṃ vā ariyasaccānaṃ viditakaraṇaṭṭhena vijjāti evaṃ tāvettha vacanatthato vijjā veditabbā. Pabhedato pana tissopi vijjā vijjā bhayabheravasutte āgataniyāmeneva, aṭṭhapi vijjā vijjā ambaṭṭhasuttādīsu (dī. ni. 1.278 ādayo) āgataniyāmeneva. Caranti tehīti caraṇāni, sīlasaṃvarādayo pañcadasa dhammā, iti imāhi vijjāhi, imehi ca caraṇehi sampannā sampannāgatāti vijjācaraṇasampannā.
เยนาติ เยน ธเมฺมน กรณภูเตน, เหตุภูเตน จฯ ตตฺถ มคฺคธมฺมสฺส กรณโตฺถ เวทิตโพฺพ นิยฺยานกิริยาสาธกตมภาวโต, นิพฺพานธมฺมสฺส เหตุอโตฺถ อารมฺมณปจฺจยภาวโตฯ ปจฺจยโตฺถ หิ อยํ เหตฺวโตฺถฯ ปริยตฺติธมฺมสฺสปิ เหตุอโตฺถ ยุชฺชเตว ปรมฺปราย เหตุภาวโตฯ ผลธเมฺม ปน อุภยมฺปิ สมฺภวติฯ กถํ? ‘‘ตาย สทฺธาย อวูปสนฺตายา’’ติ วจนโต มเคฺคน สมุจฺฉินฺนานํ กิเลสานํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานกิจฺจตาย ผลสฺส นิยฺยานานุคุณตา, นิยฺยานปริโยสานตา จาติ อิมินา ปริยาเยน สิยา กรณโตฺถ นิยฺยานกิริยายฯ สกทาคามิมคฺควิปสฺสนาทีนํ ปน อุปนิสฺสยปจฺจยภาวโต สิยา เหตุอโตฺถฯ เอวญฺจ กตฺวา อคฺคปฺปสาทสุตฺตาทีสุ (อิติวุ. ๙๐) อคฺคาทิภาเวน อคฺคหิตาปิ ผลปริยตฺติธมฺมา ฉตฺตมาณวกวิมานาทีสุ (วิ. ว. ๘๘๖ อาทโย) สรณียภาเวน คหิตาติ เตสํ มคฺคนิพฺพานานํ วิย มหาอฎฺฐกถายํ สรณภาโว อุทฺธโฎฯ วิเสสโต เจตฺถ มคฺคปริยาปนฺนา เอว วิชฺชาจรณธมฺมา เวทิตพฺพาฯ เต หิ นิปฺปริยาเยน นิยฺยานกิริยาย สาธกตมภูตา, น อิตเรฯ อิตเรสํ ปน นิยฺยานตฺถตาย นิยฺยานตาฯ ยทิ เอวํ กสฺมา ‘‘วิชฺชาจรณสมฺปนฺนา หุตฺวา’’ติ วุตฺตํ, นิยฺยานสมกาลเมว หิ ยถาวุตฺตวิชฺชาจรณสมฺปตฺติสมธิคโมติ? นายํ วิโรโธ สมานกาลตาย เอว อธิเปฺปตตฺตา ยถา ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณ’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๐๔, ๔๐๐; ๓.๔๒๑, ๔๒๕, ๔๒๖; สํ. นิ. ๒.๔๓-๔๕; ๔.๖๐; กถา. ๔๖๕, ๔๖๗)ฯ สมฺปนฺนาติ วา ปทสฺส วตฺตมานกาลตฺถตา เวทิตพฺพา ‘‘อุปฺปนฺนา ธมฺมา’’ติ (ธ. ส. ติกมาติกา ๑๗) เอตฺถ อุปฺปนฺนสทฺทสฺส วิยฯ เอวญฺจ กตฺวา วจนเสสมนฺตเรเนว ปทโยชนา สิทฺธา โหติฯ ‘‘เยนา’’ติ จ ปทํ อุภยตฺถ สมฺพนฺธิตพฺพํ ‘‘เยน ธเมฺมน วิชฺชาจรณสมฺปนฺนา, เยน ธเมฺมน นิยฺยนฺตี’’ติฯ
Yenāti yena dhammena karaṇabhūtena, hetubhūtena ca. Tattha maggadhammassa karaṇattho veditabbo niyyānakiriyāsādhakatamabhāvato, nibbānadhammassa hetuattho ārammaṇapaccayabhāvato. Paccayattho hi ayaṃ hetvattho. Pariyattidhammassapi hetuattho yujjateva paramparāya hetubhāvato. Phaladhamme pana ubhayampi sambhavati. Kathaṃ? ‘‘Tāya saddhāya avūpasantāyā’’ti vacanato maggena samucchinnānaṃ kilesānaṃ paṭippassaddhippahānakiccatāya phalassa niyyānānuguṇatā, niyyānapariyosānatā cāti iminā pariyāyena siyā karaṇattho niyyānakiriyāya. Sakadāgāmimaggavipassanādīnaṃ pana upanissayapaccayabhāvato siyā hetuattho. Evañca katvā aggappasādasuttādīsu (itivu. 90) aggādibhāvena aggahitāpi phalapariyattidhammā chattamāṇavakavimānādīsu (vi. va. 886 ādayo) saraṇīyabhāvena gahitāti tesaṃ magganibbānānaṃ viya mahāaṭṭhakathāyaṃ saraṇabhāvo uddhaṭo. Visesato cettha maggapariyāpannā eva vijjācaraṇadhammā veditabbā. Te hi nippariyāyena niyyānakiriyāya sādhakatamabhūtā, na itare. Itaresaṃ pana niyyānatthatāya niyyānatā. Yadi evaṃ kasmā ‘‘vijjācaraṇasampannā hutvā’’ti vuttaṃ, niyyānasamakālameva hi yathāvuttavijjācaraṇasampattisamadhigamoti? Nāyaṃ virodho samānakālatāya eva adhippetattā yathā ‘‘cakkhuñca paṭicca rūpe ca uppajjati cakkhuviññāṇa’’nti (ma. ni. 1.204, 400; 3.421, 425, 426; saṃ. ni. 2.43-45; 4.60; kathā. 465, 467). Sampannāti vā padassa vattamānakālatthatā veditabbā ‘‘uppannā dhammā’’ti (dha. sa. tikamātikā 17) ettha uppannasaddassa viya. Evañca katvā vacanasesamantareneva padayojanā siddhā hoti. ‘‘Yenā’’ti ca padaṃ ubhayattha sambandhitabbaṃ ‘‘yena dhammena vijjācaraṇasampannā, yena dhammena niyyantī’’ti.
โลกโตติ ขนฺธาทิโลกโต, วฎฺฎโตติ อโตฺถฯ นฺติ ตํ มคฺคนิพฺพานผลปริยตฺติเภทํ ธมฺมํฯ อุตฺตมนฺติ เสฎฺฐํฯ ตถา เหส อตฺตนา อุตฺตริตรสฺส อภาเวน ‘‘อนุตฺตโร’’ติ วุจฺจติฯ ตตฺถ มคฺคสฺส นิยฺยานเหตุอาทิอเตฺถน, นิพฺพานสฺส นิสฺสรณวิเวกาทิอเตฺถน, ผลสฺส อริยสนฺตภาวาทิอเตฺถน จ เสฎฺฐตา เวทิตพฺพาฯ สฺวายมโตฺถ ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, ธมฺมา สงฺขตา, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติ (อิติวุ. ๙๐; อ. นิ. ๔.๓๔) อาทิสุตฺตปทานุสาเรน วิภาเวตโพฺพฯ
Lokatoti khandhādilokato, vaṭṭatoti attho. Nti taṃ magganibbānaphalapariyattibhedaṃ dhammaṃ. Uttamanti seṭṭhaṃ. Tathā hesa attanā uttaritarassa abhāvena ‘‘anuttaro’’ti vuccati. Tattha maggassa niyyānahetuādiatthena, nibbānassa nissaraṇavivekādiatthena, phalassa ariyasantabhāvādiatthena ca seṭṭhatā veditabbā. Svāyamattho ‘‘yāvatā, bhikkhave, dhammā saṅkhatā, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo tesaṃ aggamakkhāyatī’’ti (itivu. 90; a. ni. 4.34) ādisuttapadānusārena vibhāvetabbo.
ธมฺมนฺติ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาเน อปายโต, สํสารโต จ อปตมาเน กตฺวา ธาเรตีติ ธโมฺมฯ สมฺมา, สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุโทฺธ, สพฺพญฺญุตาอนาวรณญาโณ สมนฺตจกฺขุ ภควา, เตน ยถา สมฺมาสโมฺพธิสมธิคเมเนว สเพฺพ พุทฺธคุณา สมฺปาปุณียนฺติ, เอวํ สมฺมเทว อาเสวนาย ภาวนาย พหุลีกิริยาย สมฺมาปฎิปตฺติยา สมฺมเทว ปจฺจเวกฺขณาย สกฺกจฺจํ ธมฺมเทสนาย เวเนยฺยสนฺตาเนสุ ปติฎฺฐาปเนน –
Dhammanti yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāne apāyato, saṃsārato ca apatamāne katvā dhāretīti dhammo. Sammā, sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā sammāsambuddho, sabbaññutāanāvaraṇañāṇo samantacakkhu bhagavā, tena yathā sammāsambodhisamadhigameneva sabbe buddhaguṇā sampāpuṇīyanti, evaṃ sammadeva āsevanāya bhāvanāya bahulīkiriyāya sammāpaṭipattiyā sammadeva paccavekkhaṇāya sakkaccaṃ dhammadesanāya veneyyasantānesu patiṭṭhāpanena –
‘‘อริยํ , โว ภิกฺขเว, สมฺมาสมาธิํ เทเสสฺสามิ (ม. นิ. ๓.๑๓๖; เปฎโก. ๒๔)ฯ มคฺคานฎฺฐงฺคิโก เสโฎฺฐ (ธ. ป. ๒๗๓; เนตฺติ. ๑๗๐; เปฎโก. ๓๐)ฯ ยาวตา, ภิกฺขเว, ธมฺมา สงฺขตา วา อสงฺขตา วา, วิราโค เตสํ อคฺคมกฺขายติ (อิติวุ. ๙๐; อ. นิ. ๔.๓๔)ฯ เอกายโน อยํ, ภิกฺขเว, มโคฺค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา (ที. นิ. ๒.๓๗๓; ม. นิ. ๑.๑๐๖; สํ. นิ. ๕.๓๖๗, ๓๘๔)ฯ ธมฺมํ, โว ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ อาทิกลฺยาณ’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๔๒๐; เนตฺติ. ๕) –
‘‘Ariyaṃ , vo bhikkhave, sammāsamādhiṃ desessāmi (ma. ni. 3.136; peṭako. 24). Maggānaṭṭhaṅgiko seṭṭho (dha. pa. 273; netti. 170; peṭako. 30). Yāvatā, bhikkhave, dhammā saṅkhatā vā asaṅkhatā vā, virāgo tesaṃ aggamakkhāyati (itivu. 90; a. ni. 4.34). Ekāyano ayaṃ, bhikkhave, maggo sattānaṃ visuddhiyā (dī. ni. 2.373; ma. ni. 1.106; saṃ. ni. 5.367, 384). Dhammaṃ, vo bhikkhave, desessāmi ādikalyāṇa’’nti (ma. ni. 3.420; netti. 5) –
อาทิวจเนหิ, อภิตฺถวเนน จ ปูชิโต มานิโต อปจิโตติ สมฺมาสมฺพุทฺธปูชิโต, ตํ สมฺมาสมฺพุทฺธปูชิตํ ธมฺมํ วเนฺทติ สมฺพโนฺธฯ
Ādivacanehi, abhitthavanena ca pūjito mānito apacitoti sammāsambuddhapūjito, taṃ sammāsambuddhapūjitaṃ dhammaṃ vandeti sambandho.
อยํ ปเนตฺถ สเงฺขปโตฺถ – ยสฺส ธมฺมสฺส อธิคมเน วิชฺชาสมฺปนฺนา เจว โหนฺติ จรณสมฺปนฺนา จ, สพฺพวฎฺฎทุกฺขโต จ นิยฺยนฺติ, ตเมว อริยานํ สกลคุณสมงฺคิภาวนิมิตฺตํ, อนวเสสทุกฺขนิสฺสรณเหตุภูตญฺจ อุตฺตมํ ปวรํ สทฺธิํ ปริยตฺติธเมฺมน นววิธํ โลกุตฺตรธมฺมํ ภควตาปิ สมฺมาปฎิปตฺติอาทิวิธินา ปูชิตํ นมามิ, อภิตฺถวามิ วาติฯ
Ayaṃ panettha saṅkhepattho – yassa dhammassa adhigamane vijjāsampannā ceva honti caraṇasampannā ca, sabbavaṭṭadukkhato ca niyyanti, tameva ariyānaṃ sakalaguṇasamaṅgibhāvanimittaṃ, anavasesadukkhanissaraṇahetubhūtañca uttamaṃ pavaraṃ saddhiṃ pariyattidhammena navavidhaṃ lokuttaradhammaṃ bhagavatāpi sammāpaṭipattiādividhinā pūjitaṃ namāmi, abhitthavāmi vāti.
เอตฺถ จ ‘‘เยน โลกโต นิยฺยนฺติ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺนา จ โหนฺตี’’ติ ปททฺวเยน ยถากฺกมํ ธมฺมสฺส ภาเวตพฺพภาโว, สจฺฉิกาตพฺพภาโว จ วุโตฺตฯ เตสุ ปฐเมน วิชฺชาสมฺปตฺติยา ธมฺมํ โถเมติ, ทุติเยน วิมุตฺติสมฺปตฺติยาฯ ตถา ปฐเมน ฌานสมฺปทาย, ทุติเยน วิโมกฺขสมฺปทายฯ ปฐเมน วา สมาธิสมฺปทาย, ทุติเยน สมาปตฺติสมฺปทายฯ ปฐเมน วา ขยญาณภาเวน, ทุติเยน อนุปฺปาทญาณภาเวนฯ อถ วา ปุริเมน วิชฺชูปมตาย, ทุติเยน วชิรูปมตายฯ ปุริเมน วา วิราคสมฺปตฺติยา, ทุติเยน นิโรธสมฺปตฺติยาฯ ตถา ปฐเมน นิยฺยานภาเวน, ทุติเยน นิสฺสรณภาเวนฯ ปฐเมน วา เหตุภาเวน, ทุติเยน อสงฺขตภาเวนฯ ปฐเมน วา ทสฺสนภาเวน, ทุติเยน วิเวกภาเวนฯ ปฐเมน วา อธิปติภาเวน, ทุติเยน อมตภาเวน ธมฺมํ โถเมติฯ อถ วา ปฐเมน นิยฺยานิกภาวทสฺสนโต สฺวากฺขาตตาย ธมฺมํ โถเมติ, ทุติเยน สจฺฉิกาตพฺพภาวโต สนฺทิฎฺฐิกตายฯ ตถา ปุริเมน อกาลิกตาย, ปจฺฉิเมน เอหิปสฺสิกตายฯ ปุริเมน วา โอปเนยฺยิกตาย, ปจฺฉิเมน ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺพตาย ธมฺมํ โถเมติฯ
Ettha ca ‘‘yena lokato niyyanti, vijjācaraṇasampannā ca hontī’’ti padadvayena yathākkamaṃ dhammassa bhāvetabbabhāvo, sacchikātabbabhāvo ca vutto. Tesu paṭhamena vijjāsampattiyā dhammaṃ thometi, dutiyena vimuttisampattiyā. Tathā paṭhamena jhānasampadāya, dutiyena vimokkhasampadāya. Paṭhamena vā samādhisampadāya, dutiyena samāpattisampadāya. Paṭhamena vā khayañāṇabhāvena, dutiyena anuppādañāṇabhāvena. Atha vā purimena vijjūpamatāya, dutiyena vajirūpamatāya. Purimena vā virāgasampattiyā, dutiyena nirodhasampattiyā. Tathā paṭhamena niyyānabhāvena, dutiyena nissaraṇabhāvena. Paṭhamena vā hetubhāvena, dutiyena asaṅkhatabhāvena. Paṭhamena vā dassanabhāvena, dutiyena vivekabhāvena. Paṭhamena vā adhipatibhāvena, dutiyena amatabhāvena dhammaṃ thometi. Atha vā paṭhamena niyyānikabhāvadassanato svākkhātatāya dhammaṃ thometi, dutiyena sacchikātabbabhāvato sandiṭṭhikatāya. Tathā purimena akālikatāya, pacchimena ehipassikatāya. Purimena vā opaneyyikatāya, pacchimena paccattaṃ veditabbatāya dhammaṃ thometi.
‘‘อุตฺตม’’นฺติ จ เอเตน อญฺญสฺส วิสิฎฺฐสฺส อภาวทีปเนน ปริปุณฺณตาย ธมฺมํ โถเมติ , ‘‘สมฺมาสมฺพุทฺธปูชิต’’นฺติ เอเตน ปริสุทฺธตายฯ สพฺพโทสาปคเมน หิสฺส ปูชนียตาฯ ปริสุทฺธตาย จสฺส ปหานสมฺปทา, ปริปุณฺณตาย ปภวสมฺปทาฯ ปหานสมฺปตฺติยา จ ภาวนาปาริปูรี อนวเสสโทสสมุคฺฆาฎนโต, ปภวสมฺปตฺติยา สจฺฉิกิริยนิพฺพตฺติ ตตุตฺตริ กรณียาภาวโตฯ อนญฺญสาธารณตาย หิ อุตฺตโมติฯ ตถา ภาเวตพฺพภาเวนสฺส สห ปุพฺพภาคสีลาทีหิ เสกฺขา สีลสมาธิปญฺญากฺขนฺธา, สจฺฉิกาตพฺพภาเวน สห อสงฺขตาย ธาตุยา อเสกฺขา สีลสมาธิปญฺญากฺขนฺธา ทสฺสิตา โหนฺตีติฯ
‘‘Uttama’’nti ca etena aññassa visiṭṭhassa abhāvadīpanena paripuṇṇatāya dhammaṃ thometi , ‘‘sammāsambuddhapūjita’’nti etena parisuddhatāya. Sabbadosāpagamena hissa pūjanīyatā. Parisuddhatāya cassa pahānasampadā, paripuṇṇatāya pabhavasampadā. Pahānasampattiyā ca bhāvanāpāripūrī anavasesadosasamugghāṭanato, pabhavasampattiyā sacchikiriyanibbatti tatuttari karaṇīyābhāvato. Anaññasādhāraṇatāya hi uttamoti. Tathā bhāvetabbabhāvenassa saha pubbabhāgasīlādīhi sekkhā sīlasamādhipaññākkhandhā, sacchikātabbabhāvena saha asaṅkhatāya dhātuyā asekkhā sīlasamādhipaññākkhandhā dassitā hontīti.
เอวํ สเงฺขเปน สพฺพสทฺธมฺมคุเณหิ สทฺธมฺมํ โถเมตฺวา อิทานิ อริยสงฺฆํ โถเมตุํ ‘‘สีลาทิคุณสมฺปโนฺน’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สีลาทิคุณสมฺปโนฺนติ สีลสมาธิปญฺญาวิมุตฺติยาทิคุเณหิ สมฺปโนฺน สมนฺนาคโต, สมฺปนฺนสีลาทิคุโณ วาฯ อริยานญฺหิ ตํตํมคฺควชฺฌกิเลสปฺปหาเนน หตปฎิปกฺขา สุวิสุทฺธา สีลาทโย ‘‘สมฺปนฺนา’’ติ วตฺตพฺพตํ อรหนฺติ , น ปุถูชฺชนานํ, ยโต ‘‘สุปฺปฎิปโนฺน’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๗๔; อ. นิ. ๖.๑๐; อุทา. ๑๘) อริยสโงฺฆ โถมียติฯ อถ วา สีลาทิคุณสมฺปโนฺนติ ปริปุณฺณสีลาทิคุโณฯ อริยปุคฺคลานญฺหิ อริยสจฺจปฺปฎิเวเธน สเหว ยถารหํ เสกฺขาเสกฺขา สีลาทิธมฺมกฺขนฺธา ปาริปูริํ คจฺฉนฺตีติฯ ฐิโต มคฺคผเลสูติ มเคฺคสุ, ผเลสุ จ ฐิโต, มคฺคโฎฺฐ, ผลโฎฺฐ จาติ อโตฺถฯ โยติ อนิยมโต อริยสงฺฆํ นิทฺทิสติ, ตสฺส ‘‘ต’’นฺติ อิมินา นิยมํ เวทิตพฺพํฯ
Evaṃ saṅkhepena sabbasaddhammaguṇehi saddhammaṃ thometvā idāni ariyasaṅghaṃ thometuṃ ‘‘sīlādiguṇasampanno’’tiādi vuttaṃ. Tattha sīlādiguṇasampannoti sīlasamādhipaññāvimuttiyādiguṇehi sampanno samannāgato, sampannasīlādiguṇo vā. Ariyānañhi taṃtaṃmaggavajjhakilesappahānena hatapaṭipakkhā suvisuddhā sīlādayo ‘‘sampannā’’ti vattabbataṃ arahanti , na puthūjjanānaṃ, yato ‘‘suppaṭipanno’’tiādinā (ma. ni. 1.74; a. ni. 6.10; udā. 18) ariyasaṅgho thomīyati. Atha vā sīlādiguṇasampannoti paripuṇṇasīlādiguṇo. Ariyapuggalānañhi ariyasaccappaṭivedhena saheva yathārahaṃ sekkhāsekkhā sīlādidhammakkhandhā pāripūriṃ gacchantīti. Ṭhito maggaphalesūti maggesu, phalesu ca ṭhito, maggaṭṭho, phalaṭṭho cāti attho. Yoti aniyamato ariyasaṅghaṃ niddisati, tassa ‘‘ta’’nti iminā niyamaṃ veditabbaṃ.
นนุ จ อริยสเงฺฆ น สเพฺพ อริยปุคฺคลา มคฺคฎฺฐา, นาปิ สเพฺพ ผลฎฺฐาติ? สจฺจเมตํ, อวยวธเมฺมน ปน สมุทายํ นิทฺทิสโนฺต เอวมาห ยถา ‘‘สมํ จุณฺณ’’นฺติฯ ยถา หิ โยคจุณฺณสฺส อวยเวสุ ลพฺภมาโน สมภาโว สมุทาเย อปทิสียติ ‘‘สมํ จุณฺณ’’นฺติ, เอวํ อริยสงฺฆสฺส อวยวภูเตสุ อริยปุคฺคเลสุ ลพฺภมาโน มคฺคฎฺฐผลฎฺฐภาโว สมุทายภูเต อริยสเงฺฆ ฐิโต ‘‘มคฺคผเลสู’’ติ อปทิโฎฺฐติ เวทิตพฺพํฯ
Nanu ca ariyasaṅghe na sabbe ariyapuggalā maggaṭṭhā, nāpi sabbe phalaṭṭhāti? Saccametaṃ, avayavadhammena pana samudāyaṃ niddisanto evamāha yathā ‘‘samaṃ cuṇṇa’’nti. Yathā hi yogacuṇṇassa avayavesu labbhamāno samabhāvo samudāye apadisīyati ‘‘samaṃ cuṇṇa’’nti, evaṃ ariyasaṅghassa avayavabhūtesu ariyapuggalesu labbhamāno maggaṭṭhaphalaṭṭhabhāvo samudāyabhūte ariyasaṅghe ṭhito ‘‘maggaphalesū’’ti apadiṭṭhoti veditabbaṃ.
อารกตฺตา กิเลเสหิ, อนเย น อิริยนโต, อเย จ อิริยนโต, สเทวเกน จ โลเกน ‘‘สรณ’’นฺติ อรณียโต อริโย, ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สํหตตฺตา สโงฺฆ, อริโย จ โส สโงฺฆ จาติ อริยสโงฺฆ, ตํ อริยสงฺฆํฯ ปุชฺชภวผลนิพฺพตฺตนโต อตฺตโน สนฺตานํ ปุนาตีติ วา ปุญฺญํ, ขิตฺตํ วุตฺตํ พีชํ วิรุหนฎฺฐานตาย ตายติ รกฺขตีติ เขตฺตํ เกทาราทิ, เขตฺตํ วิยาติ เขตฺตํ, สตฺตานํ ปุญฺญสฺส มหปฺผลภาวกรเณน วิรุหนฎฺฐานตาย เขตฺตนฺติ ปุญฺญเกฺขตฺตํฯ อนุตฺตรํ วเนฺทติ สมฺพโนฺธฯ
Ārakattā kilesehi, anaye na iriyanato, aye ca iriyanato, sadevakena ca lokena ‘‘saraṇa’’nti araṇīyato ariyo, diṭṭhisīlasāmaññena saṃhatattā saṅgho, ariyo ca so saṅgho cāti ariyasaṅgho, taṃ ariyasaṅghaṃ. Pujjabhavaphalanibbattanato attano santānaṃ punātīti vā puññaṃ, khittaṃ vuttaṃ bījaṃ viruhanaṭṭhānatāya tāyati rakkhatīti khettaṃ kedārādi, khettaṃ viyāti khettaṃ, sattānaṃ puññassa mahapphalabhāvakaraṇena viruhanaṭṭhānatāya khettanti puññakkhettaṃ. Anuttaraṃ vandeti sambandho.
เอตฺถ จ ‘‘สีลาทิคุณสมฺปโนฺน’’ติ เอเตน อริยสงฺฆสฺส ภควโต อนุชาตปุตฺตตํ ทเสฺสติ, เตนสฺส ปภวสมฺปทา ทีปิตา โหติฯ ‘‘ฐิโต มคฺคผเลสู’’ติ เอเตน ปหานสมฺปทํ, ญาณสมฺปทญฺจ ทเสฺสติ กิเลสานํ สมุเจฺฉทปฺปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานทีปนโต, มคฺคผลญาณาธิคมทีปนโต จฯ ‘‘อริยสงฺฆ’’นฺติ เอเตน ปภวสมฺปทํ สพฺพสงฺฆานํ อคฺคภาวทีปนโต, สเทวเกน จ โลเกน อรณียภาวทีปนโตฯ ‘‘ปุญฺญเกฺขตฺตํ อนุตฺตร’’นฺติ เอเตน โลกสฺส พหูปการตํ ทเสฺสติ อคฺคทกฺขิเณยฺยภาวทีปนโตฯ
Ettha ca ‘‘sīlādiguṇasampanno’’ti etena ariyasaṅghassa bhagavato anujātaputtataṃ dasseti, tenassa pabhavasampadā dīpitā hoti. ‘‘Ṭhito maggaphalesū’’ti etena pahānasampadaṃ, ñāṇasampadañca dasseti kilesānaṃ samucchedappaṭippassaddhippahānadīpanato, maggaphalañāṇādhigamadīpanato ca. ‘‘Ariyasaṅgha’’nti etena pabhavasampadaṃ sabbasaṅghānaṃ aggabhāvadīpanato, sadevakena ca lokena araṇīyabhāvadīpanato. ‘‘Puññakkhettaṃ anuttara’’nti etena lokassa bahūpakārataṃ dasseti aggadakkhiṇeyyabhāvadīpanato.
ตถา ‘‘สีลาทิคุณสมฺปโนฺน’’ติ อิทํ อริยสงฺฆสฺส สมฺมาอุชุญายสามีจิปฺปฎิปนฺนภาวทีปนํฯ ‘‘ฐิโต มคฺคผเลสู’’ติ อิทํ สติปิ สนฺตานวิภาเคน อเนกภาเว จตุปุริสยุคอฎฺฐปุริสปุคฺคลภาวทีปนํฯ ‘‘อริยสงฺฆ’’นฺติ อิทํ อาหุเนยฺยาทิภาวทีปนํฯ ‘‘ปุญฺญเกฺขตฺตํ อนุตฺตร’’นฺติ อิทํ โลกสฺส หิตสุขาย ปฎิปนฺนตาทีปนํฯ ตถา ‘‘ฐิโต มคฺคผเลสู’’ติ อิทํ อริยสงฺฆสฺส โลกุตฺตรสรณคมนสพฺภาวทีปนํ, เตนสฺส ภควโต โอรสปุตฺตภาโว ทสฺสิโต โหติฯ ‘‘สีลาทิคุณสมฺปโนฺน’’ติ อิมินา ปนสฺส วิหตวิธสฺตกิเลสา อนวเสสา เสกฺขาเสกฺขา สีลาทิธมฺมกฺขนฺธา ทสฺสิตาฯ ‘‘อริยสงฺฆํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ อนุตฺตร’’นฺติ อิมินา เตสํ เตสเญฺญว ยถาวุตฺตคุณวิเสสานํ สุปริสุทฺธตํ ทีเปติฯ เตนสฺส มหานุภาวตํ, อนุตฺตรทกฺขิเณยฺยภาวํ, วนฺทนารหภาวํ, อตฺตโน จ วนฺทนากิริยาย เขตฺตงฺคตภาวํ ทีเปติฯ สรณคมนญฺจ สาวกานํ สพฺพคุณานํ อาทิ, สปุพฺพภาคปฺปฎิปทา เสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย มเชฺฌ, อเสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย ปริโยสานนฺติ อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณา สเพฺพ อริยสงฺฆคุณา อิมาย คาถาย ปกาสิตาติ เวทิตพฺพํฯ
Tathā ‘‘sīlādiguṇasampanno’’ti idaṃ ariyasaṅghassa sammāujuñāyasāmīcippaṭipannabhāvadīpanaṃ. ‘‘Ṭhito maggaphalesū’’ti idaṃ satipi santānavibhāgena anekabhāve catupurisayugaaṭṭhapurisapuggalabhāvadīpanaṃ. ‘‘Ariyasaṅgha’’nti idaṃ āhuneyyādibhāvadīpanaṃ. ‘‘Puññakkhettaṃ anuttara’’nti idaṃ lokassa hitasukhāya paṭipannatādīpanaṃ. Tathā ‘‘ṭhito maggaphalesū’’ti idaṃ ariyasaṅghassa lokuttarasaraṇagamanasabbhāvadīpanaṃ, tenassa bhagavato orasaputtabhāvo dassito hoti. ‘‘Sīlādiguṇasampanno’’ti iminā panassa vihatavidhastakilesā anavasesā sekkhāsekkhā sīlādidhammakkhandhā dassitā. ‘‘Ariyasaṅghaṃ puññakkhettaṃ anuttara’’nti iminā tesaṃ tesaññeva yathāvuttaguṇavisesānaṃ suparisuddhataṃ dīpeti. Tenassa mahānubhāvataṃ, anuttaradakkhiṇeyyabhāvaṃ, vandanārahabhāvaṃ, attano ca vandanākiriyāya khettaṅgatabhāvaṃ dīpeti. Saraṇagamanañca sāvakānaṃ sabbaguṇānaṃ ādi, sapubbabhāgappaṭipadā sekkhā sīlakkhandhādayo majjhe, asekkhā sīlakkhandhādayo pariyosānanti ādimajjhapariyosānakalyāṇā sabbe ariyasaṅghaguṇā imāya gāthāya pakāsitāti veditabbaṃ.
เอวํ คาถาตฺตเยน สเงฺขปโต สกลคุณสํกิตฺตนมุเขน รตนตฺตยสฺส ปณามํ กตฺวา อิทานิ ตํ นิปจฺจการํ ยถาธิเปฺปเต ปโยชเน ปริณาเมโนฺต ‘‘วนฺทนาชนิต’’นฺติ คาถมาหฯ ตตฺถ วนฺทนาชนิตนฺติ วนฺทนากาเรน นิพฺพตฺติตํ, รตนตฺตยคุณาภิตฺถวนวเสน, นิปจฺจการวเสน วา อุปฺปาทิตนฺติ อโตฺถฯ อิตีติ เอวํ ‘‘มหาการุณิก’’นฺติอาทิปฺปกาเรนฯ รติชนนเฎฺฐน รตนํ, พุทฺธธมฺมสงฺฆา, จิตฺตีกตาทิภาโว วา รตนโฎฺฐฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Evaṃ gāthāttayena saṅkhepato sakalaguṇasaṃkittanamukhena ratanattayassa paṇāmaṃ katvā idāni taṃ nipaccakāraṃ yathādhippete payojane pariṇāmento ‘‘vandanājanita’’nti gāthamāha. Tattha vandanājanitanti vandanākārena nibbattitaṃ, ratanattayaguṇābhitthavanavasena, nipaccakāravasena vā uppāditanti attho. Itīti evaṃ ‘‘mahākāruṇika’’ntiādippakārena. Ratijananaṭṭhena ratanaṃ, buddhadhammasaṅghā, cittīkatādibhāvo vā ratanaṭṭho. Vuttañhetaṃ –
‘‘จิตฺตีกตํ มหคฺฆญฺจ, อตุลํ ทุลฺลภทสฺสนํ;
‘‘Cittīkataṃ mahagghañca, atulaṃ dullabhadassanaṃ;
อโนมสตฺตปริโภคํ, รตนํ เตน วุจฺจตี’’ติฯ (ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๖.๓; ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๓; สํ. นิ. ๕.๒๒๓; สุ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๒๖; มหานิ. อฎฺฐ. ๕๐; ที. นิ. ฎี. ๑.คนฺถารมฺภกถา; ม. นิ. ฎี. ๑.๔; สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๔; อ. นิ. ฎี. ๑.๑.๔; สารตฺถ. ฎี. ๑.คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา);
Anomasattaparibhogaṃ, ratanaṃ tena vuccatī’’ti. (khu. pā. aṭṭha. 6.3; dī. ni. aṭṭha. 2.33; saṃ. ni. 5.223; su. ni. aṭṭha. 1.226; mahāni. aṭṭha. 50; dī. ni. ṭī. 1.ganthārambhakathā; ma. ni. ṭī. 1.4; saṃ. ni. ṭī. 1.1.4; a. ni. ṭī. 1.1.4; sārattha. ṭī. 1.ganthārambhakathāvaṇṇanā);
จิตฺตีกตภาวาทโย จ อนญฺญสาธารณา พุทฺธาทีสุ เอว ลพฺภนฺติ, รตนานํ ตยํ รตนตฺตยํ, ตสฺมิํ รตนตฺตเยฯ หตนฺตราโยติ วิธสฺตอุปทฺทโว หุตฺวาติ สมฺพโนฺธ, เอเตน อตฺตโน ปสาทสมฺปตฺติยา, รตนตฺตยสฺส จ เขตฺตภาวสมฺปตฺติยา ตสฺส ปุญฺญสฺส อตฺถสํวณฺณนาย อุปฆาตกอุปทฺทวานํ วิหนเน สมตฺถตํ ทเสฺสติฯ สพฺพตฺถาติ สพฺพสฺมิํ อโนฺต เจว พหิ จ, อชฺฌตฺติกพาหิรวตฺถูสูติ อโตฺถฯ สพฺพตฺถาติ วา สพฺพสฺมิํ กาเล, สํวณฺณนาย อาทิมชฺฌปริโยสานกาเลสูติ วุตฺตํ โหติฯ หุตฺวาติ ปุพฺพกาลกิริยา, ตสฺส ‘‘กริสฺสามตฺถวณฺณน’’นฺติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ ตสฺสาติ ยํ รตนตฺตเย วนฺทนาชนิตํ ปุญฺญํ, ตสฺสฯ เตชสาติ อานุภาเวน พเลนฯ
Cittīkatabhāvādayo ca anaññasādhāraṇā buddhādīsu eva labbhanti, ratanānaṃ tayaṃ ratanattayaṃ, tasmiṃ ratanattaye. Hatantarāyoti vidhastaupaddavo hutvāti sambandho, etena attano pasādasampattiyā, ratanattayassa ca khettabhāvasampattiyā tassa puññassa atthasaṃvaṇṇanāya upaghātakaupaddavānaṃ vihanane samatthataṃ dasseti. Sabbatthāti sabbasmiṃ anto ceva bahi ca, ajjhattikabāhiravatthūsūti attho. Sabbatthāti vā sabbasmiṃ kāle, saṃvaṇṇanāya ādimajjhapariyosānakālesūti vuttaṃ hoti. Hutvāti pubbakālakiriyā, tassa ‘‘karissāmatthavaṇṇana’’nti etena sambandho. Tassāti yaṃ ratanattaye vandanājanitaṃ puññaṃ, tassa. Tejasāti ānubhāvena balena.
เอวํ รตนตฺตยวนฺทนาย ปโยชนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เนตฺติปฺปกรณสฺส คมฺภีรตฺถตฺตา อตฺถสํวณฺณนาย ทุกฺกรภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘ฐิติ’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ฐิตินฺติ ฐานํ อนนฺตรธานํ อวิเจฺฉทปฺปวตฺติํฯ อากงฺขมาเนนาติ อิจฺฉมาเนน ปตฺถยเนฺตน, ‘‘อโหวตายํ สทฺธมฺมเนตฺติ จิรํ ติเฎฺฐยฺยา’’ติ เอวํ ปตฺถยเนฺตนาติ วุตฺตํ โหติฯ จิรนฺติ ทีฆกาลํ, ปญฺจวสฺสสหสฺสปริมาณํ กาลนฺติ อโตฺถฯ สทฺธมฺมเนตฺติยาติ สทฺธมฺมสงฺขาตาย เนตฺติยาฯ สทฺธโมฺม หิ เวเนยฺยสนฺตาเนสุ อริยคุณานํ นยนโต เนตฺติ, สทฺธมฺมสฺส วา เนตฺติ สทฺธมฺมเนตฺติ, ตสฺสา สทฺธมฺมเนตฺติยา, สฺวายมโตฺถ อฎฺฐกถายํ วิจาริโต เอวฯ เถเรนาติ ถิรคุณยุเตฺตนฯ อภิยาจิโตติ อาทรคารเวน ยาจิโตฯ อภิมุขํ วา ยาจิโต, อนุตฺตรํ กตฺวา ยาจิโตติ อโตฺถฯ อุทฺทิสฺส วา ยาจิโต, ครุตรํ กตฺวา ยาจิโตติ อโตฺถ, ‘‘กโรตุ อายสฺมา เนตฺติปฺปกรณสฺส กญฺจิ อตฺถสํวณฺณน’’นฺติ เอวํ เนตฺติยา อตฺถสํวณฺณนํ ปติ อเชฺฌสิโตติ วุตฺตํ โหติฯ เอตฺถ จ สทฺธมฺมสฺส จิรํ ฐิติกาเมน อชฺฌาสยสมฺปเนฺนน สาสเน ถิรคุณยุเตฺตน สพฺรหฺมจารินา อาทรคารเวน, อภิมุขํ วา ยาจิเตน เม น สกฺกา ตสฺส อภิยาจนํ ปฎิกฺขิปิตุนฺติ ทเสฺสติ ‘‘ฐิติํ อากงฺขมาเนนา’’ติ คาถายฯ
Evaṃ ratanattayavandanāya payojanaṃ dassetvā idāni nettippakaraṇassa gambhīratthattā atthasaṃvaṇṇanāya dukkarabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘ṭhiti’’ntiādimāha. Tattha ṭhitinti ṭhānaṃ anantaradhānaṃ avicchedappavattiṃ. Ākaṅkhamānenāti icchamānena patthayantena, ‘‘ahovatāyaṃ saddhammanetti ciraṃ tiṭṭheyyā’’ti evaṃ patthayantenāti vuttaṃ hoti. Ciranti dīghakālaṃ, pañcavassasahassaparimāṇaṃ kālanti attho. Saddhammanettiyāti saddhammasaṅkhātāya nettiyā. Saddhammo hi veneyyasantānesu ariyaguṇānaṃ nayanato netti, saddhammassa vā netti saddhammanetti, tassā saddhammanettiyā, svāyamattho aṭṭhakathāyaṃ vicārito eva. Therenāti thiraguṇayuttena. Abhiyācitoti ādaragāravena yācito. Abhimukhaṃ vā yācito, anuttaraṃ katvā yācitoti attho. Uddissa vā yācito, garutaraṃ katvā yācitoti attho, ‘‘karotu āyasmā nettippakaraṇassa kañci atthasaṃvaṇṇana’’nti evaṃ nettiyā atthasaṃvaṇṇanaṃ pati ajjhesitoti vuttaṃ hoti. Ettha ca saddhammassa ciraṃ ṭhitikāmena ajjhāsayasampannena sāsane thiraguṇayuttena sabrahmacārinā ādaragāravena, abhimukhaṃ vā yācitena me na sakkā tassa abhiyācanaṃ paṭikkhipitunti dasseti ‘‘ṭhitiṃ ākaṅkhamānenā’’ti gāthāya.
ปทุมุตฺตรนาถสฺสาติ ปทุมุตฺตรสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ ปสฺสตาติ ปุเพฺพนิวาสจกฺขุนา, สมนฺตจกฺขุนา เอว วา หตฺถตเล ฐปิตอามลกํ วิย อภินีหารํ ปสฺสเนฺตนฯ ตาทินาติ ตาทิภาวยุเตฺตน , สพฺพตฺถ วา นิพฺพิกาเรน, ‘‘อมฺหากํ ภควตา’’ติ วจนเสโสฯ ยสฺสาติ อายสฺมโต มหากจฺจานเตฺถรสฺสฯ ฐปิโตติ –
Padumuttaranāthassāti padumuttarassa sammāsambuddhassa. Passatāti pubbenivāsacakkhunā, samantacakkhunā eva vā hatthatale ṭhapitaāmalakaṃ viya abhinīhāraṃ passantena. Tādināti tādibhāvayuttena , sabbattha vā nibbikārena, ‘‘amhākaṃ bhagavatā’’ti vacanaseso. Yassāti āyasmato mahākaccānattherassa. Ṭhapitoti –
‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ วิภชนฺตานํ ยทิทํ มหากจฺจาโน’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๘๘, ๑๙๗) –
‘‘Etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ vibhajantānaṃ yadidaṃ mahākaccāno’’ti (a. ni. 1.188, 197) –
เอวํ ฐปิโตฯ สีลาทิคุณวิเสเสหิ มหนฺตา สาวกาติ มหาสาวกา (เถรคา. อฎฺฐ. ๒.๑๒๘๘; อ. นิ. ฎี. ๒.๓.๕๙), มหากสฺสปาทโย, เตสุ อยมายสฺมา อญฺญตโรติ, มหาสาวโก จ โส คุณวิเสสโยคโต อุตฺตโม จาติ มหาสาวกุตฺตโมฯ
Evaṃ ṭhapito. Sīlādiguṇavisesehi mahantā sāvakāti mahāsāvakā (theragā. aṭṭha. 2.1288; a. ni. ṭī. 2.3.59), mahākassapādayo, tesu ayamāyasmā aññataroti, mahāsāvako ca so guṇavisesayogato uttamo cāti mahāsāvakuttamo.
ฌานาทีสุ สาติสยานํ อาวชฺชนาทิวสีภาวานํ, อริยิทฺธิวเสน ปรมสฺส จ เจโตวสีภาวสฺส อธิคตตฺตา วสิปฺปโตฺตฯ อตฺถาทีสุ สวิเสสเภทคตปฎิสมฺภิทาญาณตฺตา ปภินฺนปฎิสมฺภิโทฯ ‘‘ปณฺฑิโต, ภิกฺขเว, มหากจฺจาโน, มหาปโญฺญ, ภิกฺขเว, มหากจฺจาโน’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๐๕) อเนเกสุ ฐาเนสุ ภควตา ปสํสิตตฺตา สมฺพุเทฺธน ปสํสิโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สตฺถุ เจว สํวณฺณิโต สํภาวิโต, วิญฺญูนญฺจ สพฺรหฺมจาริน’’นฺติฯ
Jhānādīsu sātisayānaṃ āvajjanādivasībhāvānaṃ, ariyiddhivasena paramassa ca cetovasībhāvassa adhigatattā vasippatto. Atthādīsu savisesabhedagatapaṭisambhidāñāṇattā pabhinnapaṭisambhido. ‘‘Paṇḍito, bhikkhave, mahākaccāno, mahāpañño, bhikkhave, mahākaccāno’’tiādinā (ma. ni. 1.205) anekesu ṭhānesu bhagavatā pasaṃsitattā sambuddhena pasaṃsito. Tena vuttaṃ ‘‘satthu ceva saṃvaṇṇito saṃbhāvito, viññūnañca sabrahmacārina’’nti.
อนุโมทิตาติ ‘‘สาธุ สาธุ, กจฺจาน, สาธุ โข, ตฺวํ กจฺจาน, อิมํ ธมฺมสํวณฺณนํ อภาสี’’ติ เอวํ อนุโมทิตาฯ เอกสฺมิํ กิร สมเย อยํ มหาเถโร ชมฺพุวนสเณฺฑ วิหรโนฺต อตฺตโน สนฺติกาวจรานํ ภิกฺขูนํ อิมํ หารนยปฎิมณฺฑิตํ ปกรณํ อภาสิฯ ภาสิตฺวา จ ภควโต สนฺติกํ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ยถาภาสิตํ อิมํ ปกรณํ ภควโต นิเวเทสิฯ ตํ สุตฺวา ภควา ‘‘สาธุ สาธู’’ติอาทินา อนุโมทิตฺวา ‘‘ตสฺมาติห, ตฺวํ กจฺจาน, อิมํ ธมฺมสํวณฺณนํ ธมฺมเนตฺติเตฺวว ธาเรหี’’ติ นามคฺคหณํ อกาสีติ วทนฺติฯ เทสนาหาราทินนฺทิยาวฎฺฎนยาทิหารนยานุสาเรเนว สพฺพธมฺมสํวณฺณนานํ คติโยติ อาห ‘‘สาสนสฺส สทายตฺตา, นวงฺคสฺสตฺถวณฺณนา’’ติฯ
Anumoditāti ‘‘sādhu sādhu, kaccāna, sādhu kho, tvaṃ kaccāna, imaṃ dhammasaṃvaṇṇanaṃ abhāsī’’ti evaṃ anumoditā. Ekasmiṃ kira samaye ayaṃ mahāthero jambuvanasaṇḍe viharanto attano santikāvacarānaṃ bhikkhūnaṃ imaṃ hāranayapaṭimaṇḍitaṃ pakaraṇaṃ abhāsi. Bhāsitvā ca bhagavato santikaṃ upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisinno yathābhāsitaṃ imaṃ pakaraṇaṃ bhagavato nivedesi. Taṃ sutvā bhagavā ‘‘sādhu sādhū’’tiādinā anumoditvā ‘‘tasmātiha, tvaṃ kaccāna, imaṃ dhammasaṃvaṇṇanaṃ dhammanettitveva dhārehī’’ti nāmaggahaṇaṃ akāsīti vadanti. Desanāhārādinandiyāvaṭṭanayādihāranayānusāreneva sabbadhammasaṃvaṇṇanānaṃ gatiyoti āha ‘‘sāsanassa sadāyattā, navaṅgassatthavaṇṇanā’’ti.
คมฺภีรญาเณหีหิ คมฺภีเรหิ ญาเณหิ, น สทฺธามตฺตเกน, คมฺภีรญาเณหิ วา มหาปเญฺญหิ อริเยหิฯ ปกรณสฺส คมฺภีรตฺถตํ, อตฺตโน จ ญาณสฺส นาติวิสยตํ วิทิตฺวา สํวณฺณนารเมฺภ สํสีทนฺตมฺปิ มํ สาสนคุณาทิอุปนิสฺสยสมฺปทา อุสฺสาเหสีติ อิมมตฺถํ ทเสฺสติ ‘‘กิญฺจาปี’’ติอาทินาฯ
Gambhīrañāṇehīhi gambhīrehi ñāṇehi, na saddhāmattakena, gambhīrañāṇehi vā mahāpaññehi ariyehi. Pakaraṇassa gambhīratthataṃ, attano ca ñāṇassa nātivisayataṃ viditvā saṃvaṇṇanārambhe saṃsīdantampi maṃ sāsanaguṇādiupanissayasampadā ussāhesīti imamatthaṃ dasseti ‘‘kiñcāpī’’tiādinā.
‘‘ปญฺจปิ นิกาเย โอคาเหตฺวา’’ติ อิมินา เนตฺติยา ปญฺจปิ มหานิกาเย อนุปวิสิตฺวา อวฎฺฐานํ, เตสํ สํวณฺณนาภาวญฺจ ทีเปติฯ ตตฺถ ‘‘กตโม อสฺสาโท จ อาทีนโว จา’’ติอาทิเปฎโกปเทสปาฬิํ (เปฎโก. ๒๓) อาเนตฺวา อิธ เทสนาหาราทีนํ ปทตฺถวินิจฺฉโย เปฎเกน สํสนฺทนํ นามฯ ‘‘ยถาพล’’นฺติ อิมินา สพฺพถา สพฺพภาเคนาปิ เนตฺติยา สํวณฺณนา มยา น สุกรา กาตุํ, อตฺตโน ปน ญาณพลานุรูปํ กริสฺสามีติ นิรติมานตํ ทีเปติฯ
‘‘Pañcapinikāye ogāhetvā’’ti iminā nettiyā pañcapi mahānikāye anupavisitvā avaṭṭhānaṃ, tesaṃ saṃvaṇṇanābhāvañca dīpeti. Tattha ‘‘katamo assādo ca ādīnavo cā’’tiādipeṭakopadesapāḷiṃ (peṭako. 23) ānetvā idha desanāhārādīnaṃ padatthavinicchayo peṭakena saṃsandanaṃ nāma. ‘‘yathābala’’nti iminā sabbathā sabbabhāgenāpi nettiyā saṃvaṇṇanā mayā na sukarā kātuṃ, attano pana ñāṇabalānurūpaṃ karissāmīti niratimānataṃ dīpeti.
สุวิสุทฺธนฺติ สุฎฺฐุ วิสุทฺธํ, นิกายนฺตรลทฺธิโทเสหิ อนฺตรนฺตรา อนุปฺปเวสิเตหิ อสมฺมิสฺสนฺติ อธิปฺปาโยฯ อสํกิณฺณนฺติ สนิกาเยปิ ปทตฺถนฺตรปริกปฺปนาทินา อสํกิณฺณํ ตาทิสสงฺกรรหิตํ อนากุลํ สุปริจฺฉินฺนํฯ วิวิเธหิ อากาเรหิ นิจฺฉิโนตีติ วินิจฺฉโยฯ อตฺถานํ วินิจฺฉโย อตฺถวินิจฺฉโยฯ คณฺฐิฎฺฐานภูเตสุ อเตฺถสุ ขิลมทฺทนากาเรน ปวตฺตา วิมติเจฺฉทกถา, นิปุโณ สุขุโม สโณฺห อตฺถวินิจฺฉโย เอตสฺสาติ นิปุณตฺถวินิจฺฉโยฯ อถ วา อเตฺถ วินิจฺฉิโนตีติ อตฺถวินิจฺฉโย, ยถาวุตฺตอตฺถวิสยญาณํ, นิปุโณ เฉโก อตฺถวินิจฺฉโย เอตสฺสาติ นิปุณตฺถวินิจฺฉโย, ตํ นิปุณตฺถวินิจฺฉยํฯ สมยนฺติ สิทฺธนฺตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – มหาวิหารวาสีนํ สิทฺธโนฺต วุตฺตนเยน สุปริสุโทฺธ, อนากุโล, สณฺหสุขุมวินิจฺฉโย จ, สิทฺธนฺตํ ตํ อวิโลเมโนฺต อนุกูลโต ตตฺถ สิทฺธํเยว ธมฺมเนตฺติํ ปกาสยโนฺต เนตฺติปฺปกรณสฺส อตฺถสํวณฺณนํ กริสฺสามีติฯ
Suvisuddhanti suṭṭhu visuddhaṃ, nikāyantaraladdhidosehi antarantarā anuppavesitehi asammissanti adhippāyo. Asaṃkiṇṇanti sanikāyepi padatthantaraparikappanādinā asaṃkiṇṇaṃ tādisasaṅkararahitaṃ anākulaṃ suparicchinnaṃ. Vividhehi ākārehi nicchinotīti vinicchayo. Atthānaṃ vinicchayo atthavinicchayo. Gaṇṭhiṭṭhānabhūtesu atthesu khilamaddanākārena pavattā vimaticchedakathā, nipuṇo sukhumo saṇho atthavinicchayo etassāti nipuṇatthavinicchayo. Atha vā atthe vinicchinotīti atthavinicchayo, yathāvuttaatthavisayañāṇaṃ, nipuṇo cheko atthavinicchayo etassāti nipuṇatthavinicchayo, taṃ nipuṇatthavinicchayaṃ. Samayanti siddhantaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – mahāvihāravāsīnaṃ siddhanto vuttanayena suparisuddho, anākulo, saṇhasukhumavinicchayo ca, siddhantaṃ taṃ avilomento anukūlato tattha siddhaṃyeva dhammanettiṃ pakāsayanto nettippakaraṇassa atthasaṃvaṇṇanaṃ karissāmīti.
ปมาทเลขนฺติ อปรภาเค โปตฺถการุฬฺหกาเล ปมชฺชิตฺวา ลิขนวเสน ปวตฺตปฺปมาทปาฐํฯ วเชฺชตฺวาติ อปเนตฺวาฯ ปาฬิํ สมฺมา นิโยชยนฺติ ตํ ตํ เนตฺติปาฬิํ ตตฺถ ตตฺถ อุทาหรณภาเวน อานีตสุเตฺต สมฺมเทว นิโยเชโนฺต, อตฺถสํวณฺณนาย วา ตํ ตํ อุทาหรณสุตฺตสงฺขาตํ ปาฬิํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ลกฺขณภูเต เนตฺติคเนฺถ สมฺมเทว นิโยเชโนฺตฯ อุปเทสนฺติ เนตฺติอุปนิสํ เนตฺติหทยํฯ ยฺวายํ สปฎฺฐานวิภาคสฺส เตตฺติํสวิธสฺส เนตฺติปทตฺถสฺส สห นิมิตฺตวิภาเคน อสงฺกรโต ววตฺถิโต วิสโย, ตํฯ วิภาเวโนฺต ปกาเสโนฺตฯ ตสฺสา เนตฺติยา กริสฺสามิ อตฺถวณฺณนนฺติ สมฺพโนฺธฯ
Pamādalekhanti aparabhāge potthakāruḷhakāle pamajjitvā likhanavasena pavattappamādapāṭhaṃ. Vajjetvāti apanetvā. Pāḷiṃ sammā niyojayanti taṃ taṃ nettipāḷiṃ tattha tattha udāharaṇabhāvena ānītasutte sammadeva niyojento, atthasaṃvaṇṇanāya vā taṃ taṃ udāharaṇasuttasaṅkhātaṃ pāḷiṃ tasmiṃ tasmiṃ lakkhaṇabhūte nettiganthe sammadeva niyojento. Upadesanti nettiupanisaṃ nettihadayaṃ. Yvāyaṃ sapaṭṭhānavibhāgassa tettiṃsavidhassa nettipadatthassa saha nimittavibhāgena asaṅkarato vavatthito visayo, taṃ. Vibhāvento pakāsento. Tassā nettiyā karissāmi atthavaṇṇananti sambandho.
เอตฺถ จ ‘‘อภิยาจิโต’’ติ อิมินา อตฺถสํวณฺณนาย นิมิตฺตํ ทเสฺสติ, ‘‘ฐิติํ อากงฺขมาเนน จิรํ สทฺธมฺมเนตฺติยา’’ติ อิมินา ปโยชนํ, ‘‘กริสฺสามตฺถวณฺณน’’นฺติ อิมินา ปิณฺฑตฺถํฯ สํวณฺณิยมานา หิ ปกรณตฺถา สํวณฺณนาย ปิณฺฑโตฺถฯ ‘‘ตมุปนิสฺสายา’’ติอาทินา กรณปฺปการํฯ
Ettha ca ‘‘abhiyācito’’ti iminā atthasaṃvaṇṇanāya nimittaṃ dasseti, ‘‘ṭhitiṃ ākaṅkhamānena ciraṃ saddhammanettiyā’’ti iminā payojanaṃ, ‘‘karissāmatthavaṇṇana’’nti iminā piṇḍatthaṃ. Saṃvaṇṇiyamānā hi pakaraṇatthā saṃvaṇṇanāya piṇḍattho. ‘‘Tamupanissāyā’’tiādinā karaṇappakāraṃ.
อิทานิ สํวณฺณนาย สวเน นิโยเชโนฺต ‘‘อิติ อตฺถ’’นฺติ โอสานคาถมาหฯ ตตฺถ ‘‘สกฺกจฺจ’’นฺติ ปทํ อุภยตฺถ โยเชตพฺพํ ‘‘สกฺกจฺจํ วิภชนฺตสฺส, สกฺกจฺจํ นิสามยถา’’ติฯ
Idāni saṃvaṇṇanāya savane niyojento ‘‘iti attha’’nti osānagāthamāha. Tattha ‘‘sakkacca’’nti padaṃ ubhayattha yojetabbaṃ ‘‘sakkaccaṃ vibhajantassa, sakkaccaṃ nisāmayathā’’ti.
คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Ganthārambhakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ขุทฺทกนิกาย (อฎฺฐกถา) • Khuddakanikāya (aṭṭhakathā) / เนตฺติปฺปกรณ-อฎฺฐกถา • Nettippakaraṇa-aṭṭhakathā / คนฺถารมฺภกถา • Ganthārambhakathā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ขุทฺทกนิกาย (ฎีกา) • Khuddakanikāya (ṭīkā) / เนตฺติวิภาวินี • Nettivibhāvinī / คนฺถารมฺภกถา • Ganthārambhakathā