Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๒๑๙] ๙. ครหิตชาตกวณฺณนา

    [219] 9. Garahitajātakavaṇṇanā

    หิรญฺญํ เม สุวณฺณํ เมติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อนภิรติยา อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ เอตสฺส หิ ปเจฺจกํ คหิตํ อารมฺมณํ นาม นตฺถิ, อนภิรติวาสํ วสนฺตํ ปน ตํ สตฺถุ สนฺติกํ อาเนสุํฯ โส สตฺถารา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, ภิกฺขุ, อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘สจฺจ’’นฺติ วตฺวา ‘‘กิํการณา’’ติ วุเตฺต ‘‘กิเลสวเสนา’’ติ อาหฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘อยํ, ภิกฺขุ, กิเลโส นาม ปุเพฺพ ติรจฺฉาเนหิปิ ครหิโต, ตฺวํ เอวรูเป สาสเน ปพฺพชิโต กสฺมา ติรจฺฉาเนหิปิ ครหิตกิเลสวเสน อุกฺกณฺฐิโต’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Hiraññaṃ me suvaṇṇaṃ meti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ anabhiratiyā ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Etassa hi paccekaṃ gahitaṃ ārammaṇaṃ nāma natthi, anabhirativāsaṃ vasantaṃ pana taṃ satthu santikaṃ ānesuṃ. So satthārā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, bhikkhu, ukkaṇṭhitosī’’ti puṭṭho ‘‘sacca’’nti vatvā ‘‘kiṃkāraṇā’’ti vutte ‘‘kilesavasenā’’ti āha. Atha naṃ satthā ‘‘ayaṃ, bhikkhu, kileso nāma pubbe tiracchānehipi garahito, tvaṃ evarūpe sāsane pabbajito kasmā tiracchānehipi garahitakilesavasena ukkaṇṭhito’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต หิมวนฺตปเทเส วานรโยนิยํ นิพฺพตฺติฯ ตเมนํ เอโก วนจรโก คเหตฺวา อาเนตฺวา รโญฺญ อทาสิฯ โส จิรํ ราชเคเห วสมาโน วตฺตสมฺปโนฺน อโหสิ, มนุสฺสโลเก วตฺตมานํ กิริยํ เยภุเยฺยน อญฺญาสิฯ ราชา ตสฺส วเตฺต ปสีทิตฺวา วนจรกํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อิมํ วานรํ คหิตฎฺฐาเนเยว วิสฺสเชฺชหี’’ติ อาณาเปสิ , โส ตถา อกาสิฯ วานรคโณ โพธิสตฺตสฺส อาคตภาวํ ญตฺวา ตสฺส ทสฺสนตฺถาย มหเนฺต ปาสาณปิเฎฺฐ สนฺนิปติตฺวา โพธิสเตฺตน สทฺธิํ สโมฺมทนียํ กถํ กตฺวา ‘‘สมฺม, กหํ เอตฺตกํ กาลํ วุโตฺถสี’’ติ อาหฯ ‘‘พาราณสิยํ ราชนิเวสเน’’ติฯ ‘‘อถ กถํ มุโตฺตสี’’ติ? ‘‘ราชา มํ เกฬิมกฺกฎํ กตฺวา มม วเตฺต ปสโนฺน มํ วิสฺสเชฺชสี’’ติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto himavantapadese vānarayoniyaṃ nibbatti. Tamenaṃ eko vanacarako gahetvā ānetvā rañño adāsi. So ciraṃ rājagehe vasamāno vattasampanno ahosi, manussaloke vattamānaṃ kiriyaṃ yebhuyyena aññāsi. Rājā tassa vatte pasīditvā vanacarakaṃ pakkosāpetvā ‘‘imaṃ vānaraṃ gahitaṭṭhāneyeva vissajjehī’’ti āṇāpesi , so tathā akāsi. Vānaragaṇo bodhisattassa āgatabhāvaṃ ñatvā tassa dassanatthāya mahante pāsāṇapiṭṭhe sannipatitvā bodhisattena saddhiṃ sammodanīyaṃ kathaṃ katvā ‘‘samma, kahaṃ ettakaṃ kālaṃ vutthosī’’ti āha. ‘‘Bārāṇasiyaṃ rājanivesane’’ti. ‘‘Atha kathaṃ muttosī’’ti? ‘‘Rājā maṃ keḷimakkaṭaṃ katvā mama vatte pasanno maṃ vissajjesī’’ti.

    อถ นํ เต วานรา ‘‘มนุสฺสโลเก วตฺตมานกิริยํ นาม ตุเมฺห ชานิสฺสถ , อมฺหากมฺปิ ตาว กเถถ, โสตุกามมฺหา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘มา มํ มนุสฺสานํ กิริยํ ปุจฺฉถา’’ติฯ ‘‘กเถถ โสตุกามมฺหา’’ติฯ โพธิสโตฺตปิ ‘‘มนุสฺสา นาม ขตฺติยาปิ พฺราหฺมณาปิ ‘มยฺหํ มยฺห’นฺติ วทนฺติ, หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจตํ น ชานนฺติ, สุณาถ ทานิ เตสํ อนฺธพาลานํ การณ’’นฺติ วตฺวา อิมา คาถา อโวจ –

    Atha naṃ te vānarā ‘‘manussaloke vattamānakiriyaṃ nāma tumhe jānissatha , amhākampi tāva kathetha, sotukāmamhā’’ti āhaṃsu. ‘‘Mā maṃ manussānaṃ kiriyaṃ pucchathā’’ti. ‘‘Kathetha sotukāmamhā’’ti. Bodhisattopi ‘‘manussā nāma khattiyāpi brāhmaṇāpi ‘mayhaṃ mayha’nti vadanti, hutvā abhāvaṭṭhena aniccataṃ na jānanti, suṇātha dāni tesaṃ andhabālānaṃ kāraṇa’’nti vatvā imā gāthā avoca –

    ๑๓๗.

    137.

    ‘‘หิรญฺญํ เม สุวณฺณํ เม, เอสา รตฺติํ ทิวา กถา;

    ‘‘Hiraññaṃ me suvaṇṇaṃ me, esā rattiṃ divā kathā;

    ทุเมฺมธานํ มนุสฺสานํ, อริยธมฺมํ อปสฺสตํฯ

    Dummedhānaṃ manussānaṃ, ariyadhammaṃ apassataṃ.

    ๑๓๘.

    138.

    ‘‘เทฺว เทฺว คหปตโย เคเห, เอโก ตตฺถ อมสฺสุโก;

    ‘‘Dve dve gahapatayo gehe, eko tattha amassuko;

    ลมฺพตฺถโน เวณิกโต, อโถ องฺกิตกณฺณโก;

    Lambatthano veṇikato, atho aṅkitakaṇṇako;

    กีโต ธเนน พหุนา, โส ตํ วิตุทเต ชน’’นฺติฯ

    Kīto dhanena bahunā, so taṃ vitudate jana’’nti.

    ตตฺถ หิรญฺญํ เม สุวณฺณํ เมติ เทสนาสีสมตฺตเมตํ, อิมินา ปน ปททฺวเยน ทสวิธมฺปิ รตนํ สพฺพํ, ปุพฺพณฺณาปรณฺณํ เขตฺตวตฺถุํ ทฺวิปทจตุปฺปทญฺจ สพฺพํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิทํ เม อิทํ เม’’ติ อาหฯ เอสา รตฺติํ ทิวา กถาติ เอสา มนุสฺสานํ รตฺติญฺจ ทิวา จ นิจฺจกาลํ กถาฯ อญฺญํ ปน เต ‘‘ปญฺจกฺขนฺธา อนิจฺจา’’ติ วา ‘‘หุตฺวา น ภวนฺตี’’ติ วา น ชานนฺติ, เอวเมว ปริเทวนฺตา วิจรนฺติฯ ทุเมฺมธานนฺติ อปฺปปญฺญานํฯ อริยธมฺมํ อปสฺสตนฺติ อริยานํ พุทฺธาทีนํ ธมฺมํ, อริยํ วา นิโทฺทสํ นววิธํ โลกุตฺตรธมฺมํ อปสฺสนฺตานํ เอสาว กถาฯ อญฺญา ปน ‘‘อนิจฺจํ วา ทุกฺขํ วา’’ติ เตสํ กถา นาม นตฺถิฯ

    Tattha hiraññaṃ me suvaṇṇaṃ meti desanāsīsamattametaṃ, iminā pana padadvayena dasavidhampi ratanaṃ sabbaṃ, pubbaṇṇāparaṇṇaṃ khettavatthuṃ dvipadacatuppadañca sabbaṃ dassento ‘‘idaṃ me idaṃ me’’ti āha. Esā rattiṃ divā kathāti esā manussānaṃ rattiñca divā ca niccakālaṃ kathā. Aññaṃ pana te ‘‘pañcakkhandhā aniccā’’ti vā ‘‘hutvā na bhavantī’’ti vā na jānanti, evameva paridevantā vicaranti. Dummedhānanti appapaññānaṃ. Ariyadhammaṃ apassatanti ariyānaṃ buddhādīnaṃ dhammaṃ, ariyaṃ vā niddosaṃ navavidhaṃ lokuttaradhammaṃ apassantānaṃ esāva kathā. Aññā pana ‘‘aniccaṃ vā dukkhaṃ vā’’ti tesaṃ kathā nāma natthi.

    คหปตโยติ เคเห อธิปติภูตาฯ เอโก ตตฺถาติ เตสุ ทฺวีสุ ฆรสามิเกสุ ‘‘เอโก’’ติ มาตุคามํ สนฺธาย วทติฯ ตตฺถ เวณิกโตติ กตเวณี, นานปฺปกาเรน สณฺฐาปิตเกสกลาโปติ อโตฺถฯ อโถ องฺกิตกณฺณโกติ อถ เสฺวว วิทฺธกโณฺณ ฉิทฺทกโณฺณติ ลมฺพกณฺณตํ สนฺธายาหฯ กีโต ธเนน พหุนาติ โส ปเนส อมสฺสุโก ลมฺพตฺถโน เวณิกโต องฺกิตกโณฺณ มาตาปิตูนํ พหุํ ธนํ ทตฺวา กีโต, มเณฺฑตฺวา ปสาเธตฺวา ยานํ อาโรเปตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน ฆรํ อานีโตฯ โส ตํ วิตุทเต ชนนฺติ โส คหปติ อาคตกาลโต ปฎฺฐาย ตสฺมิํ เคเห ทาสกมฺมกราทิเภทํ ชนํ ‘‘อเร ทุฎฺฐทาส ทุฎฺฐทาสิ, อิมํ น กโรสี’’ติ มุขสตฺตีหิ วิตุทติ, สามิโก วิย หุตฺวา มหาชนํ วิจาเรติฯ เอวํ ตาว ‘‘มนุสฺสโลเก อติวิย อยุตฺต’’นฺติ มนุสฺสโลกํ ครหิฯ

    Gahapatayoti gehe adhipatibhūtā. Eko tatthāti tesu dvīsu gharasāmikesu ‘‘eko’’ti mātugāmaṃ sandhāya vadati. Tattha veṇikatoti kataveṇī, nānappakārena saṇṭhāpitakesakalāpoti attho. Atho aṅkitakaṇṇakoti atha sveva viddhakaṇṇo chiddakaṇṇoti lambakaṇṇataṃ sandhāyāha. Kīto dhanena bahunāti so panesa amassuko lambatthano veṇikato aṅkitakaṇṇo mātāpitūnaṃ bahuṃ dhanaṃ datvā kīto, maṇḍetvā pasādhetvā yānaṃ āropetvā mahantena parivārena gharaṃ ānīto. So taṃ vitudate jananti so gahapati āgatakālato paṭṭhāya tasmiṃ gehe dāsakammakarādibhedaṃ janaṃ ‘‘are duṭṭhadāsa duṭṭhadāsi, imaṃ na karosī’’ti mukhasattīhi vitudati, sāmiko viya hutvā mahājanaṃ vicāreti. Evaṃ tāva ‘‘manussaloke ativiya ayutta’’nti manussalokaṃ garahi.

    ตํ สุตฺวา สเพฺพ วานรา ‘‘มา กเถถ, มา กเถถ, อโสตพฺพยุตฺตกํ อสฺสุมฺหา’’ติ อุโภหิ หเตฺถหิ กเณฺณ ทฬฺหํ ปิทหิํสุฯ ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน อเมฺหหิ อิทํ อยุตฺตํ สุต’’นฺติ ตํ ฐานมฺปิ ครหิตฺวา อญฺญตฺถ อคมํสุฯ โส ปิฎฺฐิปาสาโณ ครหิตปิฎฺฐิปาสาโณเยว กิร นาม ชาโตฯ

    Taṃ sutvā sabbe vānarā ‘‘mā kathetha, mā kathetha, asotabbayuttakaṃ assumhā’’ti ubhohi hatthehi kaṇṇe daḷhaṃ pidahiṃsu. ‘‘Imasmiṃ ṭhāne amhehi idaṃ ayuttaṃ suta’’nti taṃ ṭhānampi garahitvā aññattha agamaṃsu. So piṭṭhipāsāṇo garahitapiṭṭhipāsāṇoyeva kira nāma jāto.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน โส ภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ‘‘ตทา วานรคโณ พุทฺธปริสา อโหสิ, วานริโนฺท ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne so bhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. ‘‘Tadā vānaragaṇo buddhaparisā ahosi, vānarindo pana ahameva ahosi’’nti.

    ครหิตชาตกวณฺณนา นวมาฯ

    Garahitajātakavaṇṇanā navamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๑๙. ครหิตชาตกํ • 219. Garahitajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact