Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā

    ๓๒. ครุกาปตฺติวุฎฺฐานวินิจฺฉยกถา

    32. Garukāpattivuṭṭhānavinicchayakathā

    ๒๓๖. ครุกาปตฺติวุฎฺฐานนฺติ ปริวาสมานตฺตาทีหิ วินยกเมฺมหิ ครุกาปตฺติโต วุฎฺฐานํฯ ตตฺถ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) ติวิโธ ปริวาโส ปฎิจฺฉนฺนปริวาโส สุทฺธนฺตปริวาโส สโมธานปริวาโสติฯ เตสุ ปฎิจฺฉนฺนปริวาโส ตาว ยถาปฎิจฺฉนฺนาย อาปตฺติยา ทาตโพฺพฯ กสฺสจิ หิ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนา อาปตฺติ โหติ, กสฺสจิ ทฺวีหปฺปฎิจฺฉนฺนา, กสฺสจิ เอกาปตฺติ โหติ, กสฺสจิ เทฺว ติโสฺส ตตุตฺตริ วาฯ ตสฺมา ปฎิจฺฉนฺนปริวาสํ เทเนฺตน ปฐมํ ตาว ปฎิจฺฉนฺนภาโว ชานิตโพฺพฯ อยญฺหิ อาปตฺติ นาม ทสหากาเรหิ ปฎิจฺฉนฺนา โหติฯ

    236.Garukāpattivuṭṭhānanti parivāsamānattādīhi vinayakammehi garukāpattito vuṭṭhānaṃ. Tattha (cūḷava. aṭṭha. 102) tividho parivāso paṭicchannaparivāso suddhantaparivāso samodhānaparivāsoti. Tesu paṭicchannaparivāso tāva yathāpaṭicchannāya āpattiyā dātabbo. Kassaci hi ekāhappaṭicchannā āpatti hoti, kassaci dvīhappaṭicchannā, kassaci ekāpatti hoti, kassaci dve tisso tatuttari vā. Tasmā paṭicchannaparivāsaṃ dentena paṭhamaṃ tāva paṭicchannabhāvo jānitabbo. Ayañhi āpatti nāma dasahākārehi paṭicchannā hoti.

    ตตฺรายํ มาติกา – อาปตฺติ จ โหติ อาปตฺติสญฺญี จ, ปกตโตฺต จ โหติ ปกตตฺตสญฺญี จ, อนนฺตรายิโก จ โหติ อนนฺตรายิกสญฺญี จ, ปหุ จ โหติ ปหุสญฺญี จ, ฉาเทตุกาโม จ โหติ ฉาเทติ จาติฯ ตตฺถ อาปตฺติ จ โหติ อาปตฺติสญฺญี จาติ ยํ อาปโนฺน, สา อาปตฺติเยว โหติ, โสปิ จ ตตฺถ อาปตฺติสญฺญีเยวฯ อิติ ชานโนฺต ฉาเทติ, ฉนฺนา โหติ, อถ ปนายํ ตตฺถ อนาปตฺติสญฺญี, อจฺฉนฺนา โหติฯ อนาปตฺติ ปน อาปตฺติสญฺญายปิ อนาปตฺติสญฺญายปิ ฉาเทเนฺตน อจฺฉาทิตาว โหติ, ลหุกํ วา ครุกาติ ครุกํ วา ลหุกาติ ฉาเทติ, อลชฺชิปเกฺข ติฎฺฐติ, อาปตฺติ ปน อจฺฉนฺนา โหติ, ครุกํ ลหุกาติ มญฺญมาโน เทเสติ, เนว เทสิตา โหติ, น ฉนฺนา, ครุกํ วา ครุกาติ ญตฺวา ฉาเทติ, ฉนฺนา โหติ, ครุกลหุกภาวํ น ชานาติ, อาปตฺติํ ฉาเทมีติ ฉาเทติ, ฉนฺนาว โหติฯ

    Tatrāyaṃ mātikā – āpatti ca hoti āpattisaññī ca, pakatatto ca hoti pakatattasaññī ca, anantarāyiko ca hoti anantarāyikasaññī ca, pahu ca hoti pahusaññī ca, chādetukāmo ca hoti chādeti cāti. Tattha āpatti ca hoti āpattisaññī cāti yaṃ āpanno, sā āpattiyeva hoti, sopi ca tattha āpattisaññīyeva. Iti jānanto chādeti, channā hoti, atha panāyaṃ tattha anāpattisaññī, acchannā hoti. Anāpatti pana āpattisaññāyapi anāpattisaññāyapi chādentena acchāditāva hoti, lahukaṃ vā garukāti garukaṃ vā lahukāti chādeti, alajjipakkhe tiṭṭhati, āpatti pana acchannā hoti, garukaṃ lahukāti maññamāno deseti, neva desitā hoti, na channā, garukaṃ vā garukāti ñatvā chādeti, channā hoti, garukalahukabhāvaṃ na jānāti, āpattiṃ chādemīti chādeti, channāva hoti.

    ปกตโตฺตติ ติวิธํ อุเกฺขปนียกมฺมํ อกโตฯ โส เจ ปกตตฺตสญฺญี หุตฺวา ฉาเทติ, ฉนฺนา โหติฯ อถ ‘‘มยฺหํ สเงฺฆน กมฺมํ กต’’นฺติ อปกตตฺตสญฺญี หุตฺวา ฉาเทติ, อจฺฉนฺนา โหติฯ อปกตเตฺตน ปน ปกตตฺตสญฺญินา วา อปกตตฺตสญฺญินา วา ฉาทิตาปิ อจฺฉนฺนาว โหติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Pakatattoti tividhaṃ ukkhepanīyakammaṃ akato. So ce pakatattasaññī hutvā chādeti, channā hoti. Atha ‘‘mayhaṃ saṅghena kammaṃ kata’’nti apakatattasaññī hutvā chādeti, acchannā hoti. Apakatattena pana pakatattasaññinā vā apakatattasaññinā vā chāditāpi acchannāva hoti. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘อาปชฺชติ ครุกํ สาวเสสํ,

    ‘‘Āpajjati garukaṃ sāvasesaṃ,

    ฉาเทติ อนาทริยํ ปฎิจฺจ;

    Chādeti anādariyaṃ paṭicca;

    น ภิกฺขุนี โน จ ผุเสยฺย วชฺชํ,

    Na bhikkhunī no ca phuseyya vajjaṃ,

    ปญฺหา เมสา กุสเลหิ จินฺติตา’’ติฯ (ปริ. ๔๘๑) –

    Pañhā mesā kusalehi cintitā’’ti. (pari. 481) –

    อยญฺหิ ปโญฺห อุกฺขิตฺตเกน กถิโตฯ

    Ayañhi pañho ukkhittakena kathito.

    อนนฺตรายิโกติ ยสฺส ทสสุ อนฺตราเยสุ เอโกปิ นตฺถิ, โส เจ อนนฺตรายิกสญฺญี หุตฺวา ฉาเทติ, ฉนฺนา โหติฯ สเจปิ โส ภีรุชาติกตาย อนฺธกาเร อมนุสฺสจณฺฑมิคภเยน อนฺตรายิกสญฺญี หุตฺวา ฉาเทติ, อจฺฉนฺนาว โหติฯ ยสฺสปิ ปพฺพตวิหาเร วสนฺตสฺส กนฺทรํ วา นทิํ วา อติกฺกมิตฺวา อาโรเจตพฺพํ โหติ, อนฺตรามเคฺค จ จณฺฑวาฬอมนุสฺสาทิภยํ อตฺถิ, มเคฺค อชครา นิปชฺชนฺติ, นที ปูรา โหติ, เอตสฺมิํ ปน สติเยว อนฺตราเย อนฺตรายิกสญฺญี ฉาเทติ, อจฺฉนฺนา โหติฯ อนฺตรายิกสฺส ปน อนฺตรายิกสญฺญาย ฉาทยโต อจฺฉนฺนาวฯ

    Anantarāyikoti yassa dasasu antarāyesu ekopi natthi, so ce anantarāyikasaññī hutvā chādeti, channā hoti. Sacepi so bhīrujātikatāya andhakāre amanussacaṇḍamigabhayena antarāyikasaññī hutvā chādeti, acchannāva hoti. Yassapi pabbatavihāre vasantassa kandaraṃ vā nadiṃ vā atikkamitvā ārocetabbaṃ hoti, antarāmagge ca caṇḍavāḷaamanussādibhayaṃ atthi, magge ajagarā nipajjanti, nadī pūrā hoti, etasmiṃ pana satiyeva antarāye antarāyikasaññī chādeti, acchannā hoti. Antarāyikassa pana antarāyikasaññāya chādayato acchannāva.

    ปหูติ โส สโกฺกติ ภิกฺขุโน สนฺติกํ คนฺตุเญฺจว อาโรเจตุญฺจ, โส เจ ปหุสญฺญี หุตฺวา ฉาเทติ, ฉนฺนา โหติฯ สจสฺส มุเข อปฺปมตฺตโก คโณฺฑ วา โหติ, หนุกวาโต วา วิชฺฌติ, ทโนฺต วา รุชฺชติ, ภิกฺขา วา มนฺทา ลทฺธา โหติ, ตาวตเกน ปน เนว วตฺตุํ น สโกฺกติ, น คนฺตุํ, อปิจ โข ‘‘น สโกฺกมี’’ติ สญฺญี โหติ, อยํ ปหุ หุตฺวา อปฺปหุสญฺญี นามฯ อิมินา ฉาทิตาปิ อจฺฉาทิตาฯ อปฺปหุนา ปน วตฺตุํ วา คนฺตุํ วา อสมเตฺถน ปหุสญฺญินา วา อปฺปหุสญฺญินา วา ฉาทิตา โหติ, อจฺฉาทิตาวฯ

    Pahūti so sakkoti bhikkhuno santikaṃ gantuñceva ārocetuñca, so ce pahusaññī hutvā chādeti, channā hoti. Sacassa mukhe appamattako gaṇḍo vā hoti, hanukavāto vā vijjhati, danto vā rujjati, bhikkhā vā mandā laddhā hoti, tāvatakena pana neva vattuṃ na sakkoti, na gantuṃ, apica kho ‘‘na sakkomī’’ti saññī hoti, ayaṃ pahu hutvā appahusaññī nāma. Iminā chāditāpi acchāditā. Appahunā pana vattuṃ vā gantuṃ vā asamatthena pahusaññinā vā appahusaññinā vā chāditā hoti, acchāditāva.

    ฉาเทตุกาโม จ โหติ ฉาเทติ จาติ อิทํ อุตฺตานตฺถเมวฯ สเจ ปน ‘‘ฉาเทสฺสามี’’ติ ธุรนิเกฺขปํ กตฺวา ปุเรภเตฺต วา ปจฺฉาภเตฺต วา ปฐมยามาทีสุ วา ลชฺชิธมฺมํ โอกฺกมิตฺวา อโนฺตอรุเณเยว อาโรเจติ, อยํ ฉาเทตุกาโม น ฉาเทติ นามฯ ยสฺส ปน อภิกฺขุเก ฐาเน วสนฺตสฺส อาปชฺชิตฺวา สภาคสฺส ภิกฺขุโน อาคมนํ อาคเมนฺตสฺส, สภาคสฺส สนฺติกํ วา คจฺฉนฺตสฺส อฑฺฒมาโสปิ มาโสปิ อติกฺกมติ, อยํ น ฉาเทตุกาโม ฉาเทติ นาม, อยมฺปิ อจฺฉนฺนาว โหติฯ โย ปน อาปนฺนมโตฺตว อคฺคิํ อกฺกนฺตปุริโส วิย สหสา ปกฺกมิตฺวา สภาคฎฺฐานํ คนฺตฺวา อาวิกโรติ, อยํ น ฉาเทตุกาโมว น ฉาเทติ นามฯ สเจ ปน สภาคํ ทิสฺวาปิ ‘‘อยํ เม อุปชฺฌาโย วา อาจริโย วา’’ติ ลชฺชาย นาโรเจติ, ฉนฺนาว โหติ อาปตฺติฯ อุปชฺฌายาทิภาโว หิ อิธ อปฺปมาณํ, อเวริสภาคมตฺตเมว ปมาณํฯ ตสฺมา อเวริสภาคสฺส สนฺติเก อาโรเจตพฺพาฯ โย ปน วิสภาโค โหติ สุตฺวา ปกาเสตุกาโม, เอวรูปสฺส อุปชฺฌายสฺสปิ สนฺติเก น อาโรเจตพฺพาฯ

    Chādetukāmo ca hoti chādeti cāti idaṃ uttānatthameva. Sace pana ‘‘chādessāmī’’ti dhuranikkhepaṃ katvā purebhatte vā pacchābhatte vā paṭhamayāmādīsu vā lajjidhammaṃ okkamitvā antoaruṇeyeva āroceti, ayaṃ chādetukāmo na chādeti nāma. Yassa pana abhikkhuke ṭhāne vasantassa āpajjitvā sabhāgassa bhikkhuno āgamanaṃ āgamentassa, sabhāgassa santikaṃ vā gacchantassa aḍḍhamāsopi māsopi atikkamati, ayaṃ na chādetukāmo chādeti nāma, ayampi acchannāva hoti. Yo pana āpannamattova aggiṃ akkantapuriso viya sahasā pakkamitvā sabhāgaṭṭhānaṃ gantvā āvikaroti, ayaṃ na chādetukāmova na chādeti nāma. Sace pana sabhāgaṃ disvāpi ‘‘ayaṃ me upajjhāyo vā ācariyo vā’’ti lajjāya nāroceti, channāva hoti āpatti. Upajjhāyādibhāvo hi idha appamāṇaṃ, averisabhāgamattameva pamāṇaṃ. Tasmā averisabhāgassa santike ārocetabbā. Yo pana visabhāgo hoti sutvā pakāsetukāmo, evarūpassa upajjhāyassapi santike na ārocetabbā.

    ตตฺถ ปุเรภตฺตํ วา อาปตฺติํ อาปโนฺน โหตุ ปจฺฉาภตฺตํ วา ทิวา วา รตฺติํ วา, ยาว อรุณํ น อุคฺคจฺฉติ, ตาว อาโรเจตพฺพํฯ อุทฺธเสฺต อรุเณ ปฎิจฺฉนฺนา โหติ, ปฎิจฺฉาทนปจฺจยา จ ทุกฺกฎํ อาปชฺชติ, สภาคสงฺฆาทิเสสํ อาปนฺนสฺส ปน สนฺติเก อาวิกาตุํ น วฎฺฎติฯ สเจ อาวิกโรติ, อาปตฺติ อาวิกตา โหติ, ทุกฺกฎา ปน น มุจฺจติฯ ตสฺมา สุทฺธสฺส สนฺติเก อาวิกาตพฺพาฯ อาวิกโรโนฺต จ ‘‘ตุยฺหํ สนฺติเก เอกํ อาปตฺติํ อาวิกโรมี’’ติ วา ‘‘อาจิกฺขามี’’ติ วา อาโรเจมี’’ติ วา ‘‘มม เอกํ อาปตฺติํ อาปนฺนภาวํ ชานาหี’’ติ วา วทตุ, ‘‘เอกํ ครุกาปตฺติํ อาวิกโรมี’’ติอาทินา วา นเยน วทตุ, สเพฺพหิปิ อากาเรหิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาว โหตีติ กุรุนฺทิยํ วุตฺตํฯ สเจ ปน ‘‘ลหุกาปตฺติํ อาวิกโรมี’’ติอาทินา นเยน วทติ, ปฎิจฺฉนฺนาว โหติฯ วตฺถุํ อาโรเจติ, อาปตฺติํ อาโรเจติ, อุภยํ อาโรเจติ, ติวิเธนปิ อาโรจิตาว โหติฯ

    Tattha purebhattaṃ vā āpattiṃ āpanno hotu pacchābhattaṃ vā divā vā rattiṃ vā, yāva aruṇaṃ na uggacchati, tāva ārocetabbaṃ. Uddhaste aruṇe paṭicchannā hoti, paṭicchādanapaccayā ca dukkaṭaṃ āpajjati, sabhāgasaṅghādisesaṃ āpannassa pana santike āvikātuṃ na vaṭṭati. Sace āvikaroti, āpatti āvikatā hoti, dukkaṭā pana na muccati. Tasmā suddhassa santike āvikātabbā. Āvikaronto ca ‘‘tuyhaṃ santike ekaṃ āpattiṃ āvikaromī’’ti vā ‘‘ācikkhāmī’’ti vā ārocemī’’ti vā ‘‘mama ekaṃ āpattiṃ āpannabhāvaṃ jānāhī’’ti vā vadatu, ‘‘ekaṃ garukāpattiṃ āvikaromī’’tiādinā vā nayena vadatu, sabbehipi ākārehi appaṭicchannāva hotīti kurundiyaṃ vuttaṃ. Sace pana ‘‘lahukāpattiṃ āvikaromī’’tiādinā nayena vadati, paṭicchannāva hoti. Vatthuṃ āroceti, āpattiṃ āroceti, ubhayaṃ āroceti, tividhenapi ārocitāva hoti.

    ๒๓๗. อิติ อิมานิ ทส การณานิ อุปปริกฺขิตฺวา ปฎิจฺฉนฺนปริวาสํ เทเนฺตน ปฐมเมว ปฎิจฺฉนฺนภาโว ชานิตโพฺพ, ตโต ปฎิจฺฉนฺนทิวเส จ อาปตฺติโย จ สลฺลเกฺขตฺวา สเจ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนา โหติ, ‘‘อหํ, ภเนฺต, เอกํ อาปตฺติํ อาปชฺชิํ สเญฺจตนิกํ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺน’’นฺติ เอวํ ยาจาเปตฺวา ขนฺธเก (จูฬว. ๙๘) อาคตนเยเนว กมฺมวาจํ วตฺวา ปริวาโส ทาตโพฺพฯ อถ ทฺวีหตีหาทิปฎิจฺฉนฺนา โหติ, ‘‘ทฺวีหปฺปฎิจฺฉนฺนํ, ตีหปฺปฎิจฺฉนฺนํ, จตูหปฺปฎิจฺฉนฺนํ, ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนํ…เป.… จุทฺทสาหปฺปฎิจฺฉนฺน’’นฺติ เอวํ ยาว จุทฺทสทิวสานิ ทิวสวเสน โยชนา กาตพฺพา, ปญฺจทสทิวสปฎิจฺฉนฺนาย ‘‘ปกฺขปฎิจฺฉนฺน’’นฺติ โยชนา กาตพฺพาฯ ตโต ยาว เอกูนติํสติโม ทิวโส, ตาว ‘‘อติเรกปกฺขปฎิจฺฉนฺน’’นฺติ, ตโต ‘‘มาสปฎิจฺฉนฺนํ, อติเรกมาสปฎิจฺฉนฺนํ, เทฺวมาสปฎิจฺฉนฺนํ, อติเรกเทฺวมาสปฎิจฺฉนฺนํ, เตมาส…เป.… อติเรกเอกาทสมาสปฎิจฺฉนฺน’’นฺติ เอวํ โยชนา กาตพฺพาฯ สํวจฺฉเร ปุเณฺณ ‘‘เอกสํวจฺฉรปฎิจฺฉนฺน’’นฺติ, ตโต ปรํ ‘‘อติเรกสํวจฺฉรํ, เทฺวสํวจฺฉร’’นฺติ เอวํ ยาว ‘‘สฎฺฐิสํวจฺฉรํ, อติเรกสฎฺฐิสํวจฺฉรปฎิจฺฉนฺน’’นฺติ วา ตโต วา ภิโยฺยปิ วตฺวา โยชนา กาตพฺพาฯ

    237. Iti imāni dasa kāraṇāni upaparikkhitvā paṭicchannaparivāsaṃ dentena paṭhamameva paṭicchannabhāvo jānitabbo, tato paṭicchannadivase ca āpattiyo ca sallakkhetvā sace ekāhappaṭicchannā hoti, ‘‘ahaṃ, bhante, ekaṃ āpattiṃ āpajjiṃ sañcetanikaṃ sukkavissaṭṭhiṃ ekāhappaṭicchanna’’nti evaṃ yācāpetvā khandhake (cūḷava. 98) āgatanayeneva kammavācaṃ vatvā parivāso dātabbo. Atha dvīhatīhādipaṭicchannā hoti, ‘‘dvīhappaṭicchannaṃ, tīhappaṭicchannaṃ, catūhappaṭicchannaṃ, pañcāhappaṭicchannaṃ…pe… cuddasāhappaṭicchanna’’nti evaṃ yāva cuddasadivasāni divasavasena yojanā kātabbā, pañcadasadivasapaṭicchannāya ‘‘pakkhapaṭicchanna’’nti yojanā kātabbā. Tato yāva ekūnatiṃsatimo divaso, tāva ‘‘atirekapakkhapaṭicchanna’’nti, tato ‘‘māsapaṭicchannaṃ, atirekamāsapaṭicchannaṃ, dvemāsapaṭicchannaṃ, atirekadvemāsapaṭicchannaṃ, temāsa…pe… atirekaekādasamāsapaṭicchanna’’nti evaṃ yojanā kātabbā. Saṃvacchare puṇṇe ‘‘ekasaṃvaccharapaṭicchanna’’nti, tato paraṃ ‘‘atirekasaṃvaccharaṃ, dvesaṃvacchara’’nti evaṃ yāva ‘‘saṭṭhisaṃvaccharaṃ, atirekasaṭṭhisaṃvaccharapaṭicchanna’’nti vā tato vā bhiyyopi vatvā yojanā kātabbā.

    สเจ ปน เทฺว ติโสฺส ตตุตฺตริ วา อาปตฺติโย โหนฺติ, ยถา ‘‘เอกํ อาปตฺติ’’นฺติ วุตฺตํ, เอวํ ‘‘เทฺว อาปตฺติโย, ติโสฺส อาปตฺติโย’’ติ วตฺตพฺพํฯ ตโต ปรํ ปน สตํ วา โหตุ สหสฺสํ วา , ‘‘สมฺพหุลา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ นานาวตฺถุกาสุปิ ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกํ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิํ, เอกํ กายสํสคฺคํ, เอกํ ทุฎฺฐุลฺลวาจํ, เอกํ อตฺตกามํ, เอกํ สญฺจริตฺตํ, เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย’’ติ เอวํ คณนวเสน วา ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ นานาวตฺถุกา เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย’’ติ เอวํ วตฺถุกิตฺตนวเสน วา ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย’’ติ เอวํ นามมตฺตวเสน วา โยชนา กาตพฺพาฯ ตตฺถ นามํ ทุวิธํ สชาติสาธารณํ สพฺพสาธารณญฺจฯ ตตฺถ สงฺฆาทิเสโสติ สชาติสาธารณํฯ อาปตฺตีติ สพฺพสาธารณํฯ ตสฺมา ‘‘สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย’’ติ เอวํ สพฺพสาธารณนามวเสนปิ วฎฺฎติฯ อิทญฺหิ ปริวาสาทิวินยกมฺมํ วตฺถุวเสน โคตฺตวเสน นามวเสน อาปตฺติวเสน จ กาตุํ วฎฺฎติเยวฯ

    Sace pana dve tisso tatuttari vā āpattiyo honti, yathā ‘‘ekaṃ āpatti’’nti vuttaṃ, evaṃ ‘‘dve āpattiyo, tisso āpattiyo’’ti vattabbaṃ. Tato paraṃ pana sataṃ vā hotu sahassaṃ vā , ‘‘sambahulā’’ti vattuṃ vaṭṭati. Nānāvatthukāsupi ‘‘ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ ekaṃ sukkavissaṭṭhiṃ, ekaṃ kāyasaṃsaggaṃ, ekaṃ duṭṭhullavācaṃ, ekaṃ attakāmaṃ, ekaṃ sañcarittaṃ, ekāhappaṭicchannāyo’’ti evaṃ gaṇanavasena vā ‘‘ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ nānāvatthukā ekāhappaṭicchannāyo’’ti evaṃ vatthukittanavasena vā ‘‘ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo’’ti evaṃ nāmamattavasena vā yojanā kātabbā. Tattha nāmaṃ duvidhaṃ sajātisādhāraṇaṃ sabbasādhāraṇañca. Tattha saṅghādisesoti sajātisādhāraṇaṃ. Āpattīti sabbasādhāraṇaṃ. Tasmā ‘‘sambahulā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo’’ti evaṃ sabbasādhāraṇanāmavasenapi vaṭṭati. Idañhi parivāsādivinayakammaṃ vatthuvasena gottavasena nāmavasena āpattivasena ca kātuṃ vaṭṭatiyeva.

    ตตฺถ สุกฺกวิสฺสฎฺฐีติ วตฺถุ เจว โคตฺตญฺจฯ สงฺฆาทิเสโสติ นามเญฺจว อาปตฺติ จฯ ตตฺถ ‘‘สุกฺกวิสฺสฎฺฐิํ กายสํสคฺค’’นฺติอาทินา วจเนนปิ ‘‘นานาวตฺถุกาโย’’ติ วจเนนปิ วตฺถุ เจว โคตฺตญฺจ คหิตํ โหติฯ ‘‘สงฺฆาทิเสโส’’ติ วจเนนปิ ‘‘อาปตฺติโย’’ติ วจเนนปิ นามเญฺจว อาปตฺติ จ คหิตา โหติฯ ตสฺมา เอเตสุ ยสฺส กสฺสจิ วเสน กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ อิธ ปน สพฺพาปตฺตีนํ สาธารณวเสน สมฺพหุลนเยเนว จ สพฺพตฺถ กมฺมวาจํ โยเชตฺวา ทสฺสยิสฺสามฯ เอกญฺหิ อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา ‘‘สมฺพหุลา’’ติ วินยกมฺมํ กโรนฺตสฺสปิ วุฎฺฐาติ เอกํ วินา สมฺพหุลานํ อภาวโตฯ สมฺพหุลา ปน อาปชฺชิตฺวา ‘‘เอกํ อาปชฺชิ’’นฺติ กโรนฺตสฺส น วุฎฺฐาติ, ตสฺมา สมฺพหุลนเยเนว โยชยิสฺสามฯ เสยฺยถิทํ – ปฎิจฺฉนฺนปริวาสํ เทเนฺตน สเจ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนา อาปตฺติ โหติฯ

    Tattha sukkavissaṭṭhīti vatthu ceva gottañca. Saṅghādisesoti nāmañceva āpatti ca. Tattha ‘‘sukkavissaṭṭhiṃ kāyasaṃsagga’’ntiādinā vacanenapi ‘‘nānāvatthukāyo’’ti vacanenapi vatthu ceva gottañca gahitaṃ hoti. ‘‘Saṅghādiseso’’ti vacanenapi ‘‘āpattiyo’’ti vacanenapi nāmañceva āpatti ca gahitā hoti. Tasmā etesu yassa kassaci vasena kammavācā kātabbā. Idha pana sabbāpattīnaṃ sādhāraṇavasena sambahulanayeneva ca sabbattha kammavācaṃ yojetvā dassayissāma. Ekañhi āpattiṃ āpajjitvā ‘‘sambahulā’’ti vinayakammaṃ karontassapi vuṭṭhāti ekaṃ vinā sambahulānaṃ abhāvato. Sambahulā pana āpajjitvā ‘‘ekaṃ āpajji’’nti karontassa na vuṭṭhāti, tasmā sambahulanayeneva yojayissāma. Seyyathidaṃ – paṭicchannaparivāsaṃ dentena sace ekāhappaṭicchannā āpatti hoti.

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจามิฯ อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ทุติยมฺปิ, ภเนฺต, สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจามิฯ อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย , ตติยมฺปิ, ภเนฺต, สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจามีติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yācāmi. Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo, dutiyampi, bhante, saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yācāmi. Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo , tatiyampi, bhante, saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yācāmīti –

    เอวํ ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Evaṃ tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ทเทยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji ekāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ dadeyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ เทติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสสฺส ทานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji ekāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yācati, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ deti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsassa dānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ทิโนฺน สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาโส, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Dinno saṅghena itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāso, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ โย โย อาปโนฺน โหติ, ตสฺส ตสฺส นามํ คเหตฺวา กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ yo yo āpanno hoti, tassa tassa nāmaṃ gahetvā kammavācā kātabbā.

    กมฺมวาจาปริโยสาเน จ เตน ภิกฺขุนา มาฬกสีมายเมว ‘‘ปริวาสํ สมาทิยามิ, วตฺตํ สมาทิยามี’’ติ วตฺตํ สมาทาตพฺพํ, สมาทิยิตฺวา ตเตฺถว สงฺฆสฺส อาโรเจตพฺพํฯ อาโรเจเนฺตน จ –

    Kammavācāpariyosāne ca tena bhikkhunā māḷakasīmāyameva ‘‘parivāsaṃ samādiyāmi, vattaṃ samādiyāmī’’ti vattaṃ samādātabbaṃ, samādiyitvā tattheva saṅghassa ārocetabbaṃ. Ārocentena ca –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสามิ, เวทิยามหํ, ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasāmi, vediyāmahaṃ, bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti –

    เอวํ อาโรเจตพฺพํฯ อิมญฺจ อตฺถํ คเหตฺวา ยาย กายจิ วาจาย อาโรเจตุํ วฎฺฎติเยวฯ

    Evaṃ ārocetabbaṃ. Imañca atthaṃ gahetvā yāya kāyaci vācāya ārocetuṃ vaṭṭatiyeva.

    อาโรเจตฺวา (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) สเจ นิกฺขิปิตุกาโม โหติ, ‘‘ปริวาสํ นิกฺขิปามิ, วตฺตํ นิกฺขิปามี’’ติ นิกฺขิปิตพฺพํฯ เอกปเทนปิ เจตฺถ นิกฺขิโตฺต โหติ ปริวาโส, ทฺวีหิ ปน สุนิกฺขิโตฺตเยวฯ สมาทาเนปิ เอเสว นโยฯ นิกฺขิตฺตกาลโต ปฎฺฐาย ปกตตฺตฎฺฐาเน ติฎฺฐติฯ มาฬกโต ภิกฺขูสุ นิกฺขเนฺตสุ เอกสฺสปิ สนฺติเก นิกฺขิปิตุํ วฎฺฎติ, มาฬกโต นิกฺขมิตฺวา สติํ ปฎิลภเนฺตน สหคจฺฉนฺตสฺส สนฺติเก นิกฺขิปิตพฺพํฯ สเจ โสปิ ปกฺกโนฺต, อญฺญสฺส ยสฺส มาฬเก นาโรจิตํ, ตสฺส อาโรเจตฺวา นิกฺขิปิตพฺพํฯ อาโรเจเนฺตน จ อวสาเน ‘‘เวทิยตีติ มํ อายสฺมา ธาเรตู’’ติ วตฺตพฺพํฯ ทฺวินฺนํ อาโรเจเนฺตน ‘‘อายสฺมนฺตา ธาเรนฺตู’’ติ, ติณฺณํ อาโรเจเนฺตน ‘‘อายสฺมโนฺต ธาเรนฺตู’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ อปฺปภิกฺขุโก วิหาโร โหติ, สภาคา ภิกฺขู วสนฺติ, วตฺตํ อนิกฺขิปิตฺวา วิหาเรเยว รตฺติปริคฺคโห กาตโพฺพฯ อถ น สกฺกา โสเธตุํ, วุตฺตนเยเนว วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา ปจฺจูสสมเย เอเกน ภิกฺขุนา สทฺธิํ ปริกฺขิตฺตสฺส วิหารสฺส ปริเกฺขปโต, อปริกฺขิตฺตสฺส วิหารสฺส ปริเกฺขปารหฎฺฐานโต เทฺว เลฑฺฑุปาเต อติกฺกมิตฺวา มหามคฺคโต โอกฺกมฺม คุเมฺพน วา วติยา วา ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน นิสีทิตพฺพํ, อโนฺตอรุเณเยว วุตฺตนเยน วตฺตํ สมาทิยิตฺวา อาโรเจตพฺพํฯ อาโรเจเนฺตน สเจ นวกตโร โหติ, ‘‘อาวุโส’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ วุฑฺฒตโร, ‘‘ภเนฺต’’ติ วตฺตพฺพํฯ สเจ อโญฺญ โกจิ ภิกฺขุ เกนจิเทว กรณีเยน ตํ ฐานํ อาคจฺฉติ, สเจ เอส ตํ ปสฺสติ, สทฺทํ วาสฺส สุณาติ, อาโรเจตพฺพํ, อนาโรเจนฺตสฺส รตฺติเจฺฉโท เจว วตฺตเภโท จฯ อถ ทฺวาทสหตฺถํ อุปจารํ โอกฺกมิตฺวา อชานนฺตเสฺสว คจฺฉติ, รตฺติเจฺฉโท โหติเยว, วตฺตเภโท ปน นตฺถิ, อุคฺคเต อรุเณ วตฺตํ นิกฺขิปิตพฺพํฯ สเจ โส ภิกฺขุ เกนจิเทว กรณีเยน ปกฺกโนฺต โหติ, ยํ อญฺญํ สพฺพปฐมํ ปสฺสติ, ตสฺส อาโรเจตฺวา นิกฺขิปิตพฺพํฯ วิหารํ คนฺตฺวาปิ ยํ ปฐมํ ปสฺสติ, ตสฺส อาโรเจตฺวา นิกฺขิปิตพฺพํฯ อยํ นิกฺขิตฺตวตฺตสฺส ปริหาโร

    Ārocetvā (cūḷava. aṭṭha. 102) sace nikkhipitukāmo hoti, ‘‘parivāsaṃ nikkhipāmi, vattaṃ nikkhipāmī’’ti nikkhipitabbaṃ. Ekapadenapi cettha nikkhitto hoti parivāso, dvīhi pana sunikkhittoyeva. Samādānepi eseva nayo. Nikkhittakālato paṭṭhāya pakatattaṭṭhāne tiṭṭhati. Māḷakato bhikkhūsu nikkhantesu ekassapi santike nikkhipituṃ vaṭṭati, māḷakato nikkhamitvā satiṃ paṭilabhantena sahagacchantassa santike nikkhipitabbaṃ. Sace sopi pakkanto, aññassa yassa māḷake nārocitaṃ, tassa ārocetvā nikkhipitabbaṃ. Ārocentena ca avasāne ‘‘vediyatīti maṃ āyasmā dhāretū’’ti vattabbaṃ. Dvinnaṃ ārocentena ‘‘āyasmantā dhārentū’’ti, tiṇṇaṃ ārocentena ‘‘āyasmanto dhārentū’’ti vattabbaṃ. Sace appabhikkhuko vihāro hoti, sabhāgā bhikkhū vasanti, vattaṃ anikkhipitvā vihāreyeva rattipariggaho kātabbo. Atha na sakkā sodhetuṃ, vuttanayeneva vattaṃ nikkhipitvā paccūsasamaye ekena bhikkhunā saddhiṃ parikkhittassa vihārassa parikkhepato, aparikkhittassa vihārassa parikkhepārahaṭṭhānato dve leḍḍupāte atikkamitvā mahāmaggato okkamma gumbena vā vatiyā vā paṭicchannaṭṭhāne nisīditabbaṃ, antoaruṇeyeva vuttanayena vattaṃ samādiyitvā ārocetabbaṃ. Ārocentena sace navakataro hoti, ‘‘āvuso’’ti vattabbaṃ. Sace vuḍḍhataro, ‘‘bhante’’ti vattabbaṃ. Sace añño koci bhikkhu kenacideva karaṇīyena taṃ ṭhānaṃ āgacchati, sace esa taṃ passati, saddaṃ vāssa suṇāti, ārocetabbaṃ, anārocentassa ratticchedo ceva vattabhedo ca. Atha dvādasahatthaṃ upacāraṃ okkamitvā ajānantasseva gacchati, ratticchedo hotiyeva, vattabhedo pana natthi, uggate aruṇe vattaṃ nikkhipitabbaṃ. Sace so bhikkhu kenacideva karaṇīyena pakkanto hoti, yaṃ aññaṃ sabbapaṭhamaṃ passati, tassa ārocetvā nikkhipitabbaṃ. Vihāraṃ gantvāpi yaṃ paṭhamaṃ passati, tassa ārocetvā nikkhipitabbaṃ. Ayaṃ nikkhittavattassa parihāro.

    ๒๓๘. เอวํ ยตฺตกานิ ทิวสานิ อาปตฺติ ปฎิจฺฉนฺนา โหติ, ตตฺตกานิ ตโต อธิกตรานิ วา กุกฺกุจฺจวิโนทนตฺถาย ปริวสิตฺวา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา วตฺตํ สมาทิยิตฺวา มานตฺตํ ยาจิตพฺพํฯ อยญฺหิ วเตฺต สมาทิเนฺน เอว มานตฺตารโห โหติ นิกฺขิตฺตวเตฺตน ปริวุตฺถตฺตาฯ อนิกฺขิตฺตวตฺตสฺส ปน ปุน สมาทานกิจฺจํ นตฺถิฯ โส หิ ปฎิจฺฉนฺนทิวสาติกฺกเมเนว มานตฺตารโห โหติ, ตสฺมา ตสฺส มานตฺตํ ทาตพฺพเมวฯ ตํ เทเนฺตน –

    238. Evaṃ yattakāni divasāni āpatti paṭicchannā hoti, tattakāni tato adhikatarāni vā kukkuccavinodanatthāya parivasitvā saṅghaṃ upasaṅkamitvā vattaṃ samādiyitvā mānattaṃ yācitabbaṃ. Ayañhi vatte samādinne eva mānattāraho hoti nikkhittavattena parivutthattā. Anikkhittavattassa pana puna samādānakiccaṃ natthi. So hi paṭicchannadivasātikkameneva mānattāraho hoti, tasmā tassa mānattaṃ dātabbameva. Taṃ dentena –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โสหํ, ภเนฺต, ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจามิฯ อหํ, ภเนฺต…เป.… โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส, ทุติยมฺปิ, ภเนฺต, สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจามิฯ อหํ, ภเนฺต…เป.… โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส, ตติยมฺปิ, ภเนฺต, สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ, bhante, parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācāmi. Ahaṃ, bhante…pe… sohaṃ parivutthaparivāso, dutiyampi, bhante, saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācāmi. Ahaṃ, bhante…pe… sohaṃ parivutthaparivāso, tatiyampi, bhante, saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācāmī’’ti –

    เอวํ ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Evaṃ tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ทเทยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji ekāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ dadeyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ เทติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตสฺส ทานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji ekāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācati, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ deti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattassa dānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ทินฺนํ สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Dinnaṃ saṅghena itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    กมฺมวาจาปริโยสาเน จ เตน ภิกฺขุนา มาฬกสีมายเมว ‘‘มานตฺตํ สมาทิยามิ, วตฺตํ สมาทิยามี’’ติ วตฺตํ สมาทาตพฺพํ, สมาทิยิตฺวา ตเตฺถว สงฺฆสฺส อาโรเจตพฺพํฯ อาโรเจเนฺตน จ –

    Kammavācāpariyosāne ca tena bhikkhunā māḷakasīmāyameva ‘‘mānattaṃ samādiyāmi, vattaṃ samādiyāmī’’ti vattaṃ samādātabbaṃ, samādiyitvā tattheva saṅghassa ārocetabbaṃ. Ārocentena ca –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ มานตฺตํ จรามิ, เวทิยามหํ ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ mānattaṃ carāmi, vediyāmahaṃ bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti –

    เอวํ อาโรเจตพฺพํฯ อิมญฺจ ปน อตฺถํ คเหตฺวา ยาย กายจิ วาจาย อาโรเจตุํ วฎฺฎติเยวฯ

    Evaṃ ārocetabbaṃ. Imañca pana atthaṃ gahetvā yāya kāyaci vācāya ārocetuṃ vaṭṭatiyeva.

    อาโรเจตฺวา สเจ นิกฺขิปิตุกาโม โหติ, ‘‘มานตฺตํ นิกฺขิปามิ, วตฺตํ นิกฺขิปามี’’ติ สงฺฆมเชฺฌ นิกฺขิปิตพฺพํฯ มาฬกโต ภิกฺขูสุ นิกฺขเนฺตสุ เอกสฺสปิ สนฺติเก นิกฺขิปิตุํ วฎฺฎติฯ มาฬกโต นิกฺขมิตฺวา สติํ ปฎิลภเนฺตน สหคจฺฉนฺตสฺส สนฺติเก นิกฺขิปิตพฺพํฯ สเจ โสปิ ปกฺกโนฺต, อญฺญสฺส ยสฺส มาฬเก นาโรจิตํ, ตสฺส อาโรเจตฺวา นิกฺขิปิตพฺพํฯ อาโรเจเนฺตน ปน อวสาเน ‘‘เวทิยตีติ มํ อายสฺมา ธาเรตู’’ติ วตฺตพฺพํฯ ทฺวินฺนํ อาโรเจเนฺตน ‘‘อายสฺมนฺตา ธาเรนฺตู’’ติ, ติณฺณํ อาโรเจเนฺตน ‘‘อายสฺมโนฺต ธาเรนฺตู’’ติ วตฺตพฺพํฯ นิกฺขิตฺตกาลโต ปฎฺฐาย ปกตตฺตฎฺฐาเน ติฎฺฐติฯ สเจ อปฺปภิกฺขุโก วิหาโร โหติ, สภาคา ภิกฺขู วสนฺติ, วตฺตํ อนิกฺขิปิตฺวา อโนฺตวิหาเรเยว รตฺติโย คเณตพฺพาฯ อถ น สกฺกา โสเธตุํ, วุตฺตนเยเนว วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา ปจฺจูสสมเย จตูหิ ปญฺจหิ วา ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ปริกฺขิตฺตสฺส วิหารสฺส ปริเกฺขปโต, อปริกฺขิตฺตสฺส ปริเกฺขปารหฎฺฐานโต เทฺว เลฑฺฑุปาเต อติกฺกมิตฺวา มหามคฺคโต โอกฺกมฺม คุเมฺพน วา วติยา วา ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน นิสีทิตพฺพํ, อโนฺตอรุเณเยว วุตฺตนเยน วตฺตํ สมาทิยิตฺวา อาโรเจตพฺพํฯ สเจ อโญฺญ โกจิ ภิกฺขุ เกนจิเทว กรณีเยน ตํ ฐานํ อาคจฺฉติ, สเจ เอส ตํ ปสฺสติ, สทฺทํ วาสฺส สุณาติ, อาโรเจตพฺพํฯ อนาโรเจนฺตสฺส รตฺติเจฺฉโท เจว วตฺตเภโท จ, อถ ทฺวาทสหตฺถํ อุปจารํ โอกฺกมิตฺวา อชานนฺตเสฺสว คจฺฉติ, รตฺติเจฺฉโท โหติ เอว, วตฺตเภโท ปน นตฺถิฯ อาโรจิตกาลโต ปฎฺฐาย เอกํ ภิกฺขุํ ฐเปตฺวา เสเสหิ สติ กรณีเย คนฺตุมฺปิ วฎฺฎติ, อรุเณ อุฎฺฐิเต ตสฺส ภิกฺขุสฺส สนฺติเก วตฺตํ นิกฺขิปิตพฺพํฯ สเจ โสปิ เกนจิ กเมฺมน ปุเร อรุเณเยว คจฺฉติ, อญฺญํ วิหารโต นิกฺขนฺตํ วา อาคนฺตุกํ วา ยํ ปฐมํ ปสฺสติ, ตสฺส สนฺติเก อาโรเจตฺวา วตฺตํ นิกฺขิปิตพฺพํฯ อยญฺจ ยสฺมา คณสฺส อาโรเจตฺวา ภิกฺขูนญฺจ อตฺถิภาวํ สลฺลเกฺขตฺวาว วสิ, เตนสฺส อูเน คเณ จรณโทโส วา วิปฺปวาโส วา น โหติฯ สเจ น กญฺจิ ปสฺสติ, วิหารํ คนฺตฺวาปิ ยํ ปฐมํ ปสฺสติ, ตสฺส อาโรเจตฺวา นิกฺขิปิตพฺพํฯ อยํ นิกฺขิตฺตวตฺตสฺส ปริหาโร

    Ārocetvā sace nikkhipitukāmo hoti, ‘‘mānattaṃ nikkhipāmi, vattaṃ nikkhipāmī’’ti saṅghamajjhe nikkhipitabbaṃ. Māḷakato bhikkhūsu nikkhantesu ekassapi santike nikkhipituṃ vaṭṭati. Māḷakato nikkhamitvā satiṃ paṭilabhantena sahagacchantassa santike nikkhipitabbaṃ. Sace sopi pakkanto, aññassa yassa māḷake nārocitaṃ, tassa ārocetvā nikkhipitabbaṃ. Ārocentena pana avasāne ‘‘vediyatīti maṃ āyasmā dhāretū’’ti vattabbaṃ. Dvinnaṃ ārocentena ‘‘āyasmantā dhārentū’’ti, tiṇṇaṃ ārocentena ‘‘āyasmanto dhārentū’’ti vattabbaṃ. Nikkhittakālato paṭṭhāya pakatattaṭṭhāne tiṭṭhati. Sace appabhikkhuko vihāro hoti, sabhāgā bhikkhū vasanti, vattaṃ anikkhipitvā antovihāreyeva rattiyo gaṇetabbā. Atha na sakkā sodhetuṃ, vuttanayeneva vattaṃ nikkhipitvā paccūsasamaye catūhi pañcahi vā bhikkhūhi saddhiṃ parikkhittassa vihārassa parikkhepato, aparikkhittassa parikkhepārahaṭṭhānato dve leḍḍupāte atikkamitvā mahāmaggato okkamma gumbena vā vatiyā vā paṭicchannaṭṭhāne nisīditabbaṃ, antoaruṇeyeva vuttanayena vattaṃ samādiyitvā ārocetabbaṃ. Sace añño koci bhikkhu kenacideva karaṇīyena taṃ ṭhānaṃ āgacchati, sace esa taṃ passati, saddaṃ vāssa suṇāti, ārocetabbaṃ. Anārocentassa ratticchedo ceva vattabhedo ca, atha dvādasahatthaṃ upacāraṃ okkamitvā ajānantasseva gacchati, ratticchedo hoti eva, vattabhedo pana natthi. Ārocitakālato paṭṭhāya ekaṃ bhikkhuṃ ṭhapetvā sesehi sati karaṇīye gantumpi vaṭṭati, aruṇe uṭṭhite tassa bhikkhussa santike vattaṃ nikkhipitabbaṃ. Sace sopi kenaci kammena pure aruṇeyeva gacchati, aññaṃ vihārato nikkhantaṃ vā āgantukaṃ vā yaṃ paṭhamaṃ passati, tassa santike ārocetvā vattaṃ nikkhipitabbaṃ. Ayañca yasmā gaṇassa ārocetvā bhikkhūnañca atthibhāvaṃ sallakkhetvāva vasi, tenassa ūne gaṇe caraṇadoso vā vippavāso vā na hoti. Sace na kañci passati, vihāraṃ gantvāpi yaṃ paṭhamaṃ passati, tassa ārocetvā nikkhipitabbaṃ. Ayaṃ nikkhittavattassa parihāro.

    ๒๓๙. เอวํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อขณฺฑํ จริตฺวา ยตฺถ สิยา วีสติคโณ ภิกฺขุสโงฺฆ, ตตฺถ โส ภิกฺขุ อเพฺภตโพฺพฯ อเพฺภเนฺตหิ จ ปฐมํ อพฺภานารโห กาตโพฺพฯ อยญฺหิ นิกฺขิตฺตวตฺตตฺตา ปกตตฺตฎฺฐาเน ฐิโต, ปกตตฺตสฺส จ อพฺภานํ กาตุํ น วฎฺฎติ, ตสฺมา วตฺตํ สมาทาเปตโพฺพ, วเตฺต สมาทิเนฺน อพฺภานารโห โหติฯ เตนปิ วตฺตํ สมาทิยิตฺวา อาโรเจตฺวา อพฺภานํ ยาจิตพฺพํฯ อนิกฺขิตฺตวตฺตสฺส ปุน วตฺตสมาทานกิจฺจํ นตฺถิฯ โส หิ ฉารตฺตาติกฺกเมเนว อพฺภานารโห โหติ, ตสฺมา โส อเพฺภตโพฺพฯ อเพฺภเนฺตน จ –

    239. Evaṃ chārattaṃ mānattaṃ akhaṇḍaṃ caritvā yattha siyā vīsatigaṇo bhikkhusaṅgho, tattha so bhikkhu abbhetabbo. Abbhentehi ca paṭhamaṃ abbhānāraho kātabbo. Ayañhi nikkhittavattattā pakatattaṭṭhāne ṭhito, pakatattassa ca abbhānaṃ kātuṃ na vaṭṭati, tasmā vattaṃ samādāpetabbo, vatte samādinne abbhānāraho hoti. Tenapi vattaṃ samādiyitvā ārocetvā abbhānaṃ yācitabbaṃ. Anikkhittavattassa puna vattasamādānakiccaṃ natthi. So hi chārattātikkameneva abbhānāraho hoti, tasmā so abbhetabbo. Abbhentena ca –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ, ภเนฺต, จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจามิฯ อหํ, ภเนฺต…เป.… โสหํ จิณฺณมานโตฺต ทุติยมฺปิ, ภเนฺต, สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจามิฯ อหํ, ภเนฺต…เป.… โสหํ จิณฺณมานโตฺต ตติยมฺปิ, ภเนฺต, สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ, bhante, ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācāmi. Ahaṃ, bhante…pe… sohaṃ ciṇṇamānatto dutiyampi, bhante, saṅghaṃ abbhānaṃ yācāmi. Ahaṃ, bhante…pe… sohaṃ ciṇṇamānatto tatiyampi, bhante, saṅghaṃ abbhānaṃ yācāmī’’ti –

    เอวํ ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Evaṃ tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji ekāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อพฺภานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji ekāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno abbhānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘อพฺภิโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Abbhito saṅghena itthannāmo bhikkhu, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    เอวํ ตาว เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาย อาปตฺติยา ปฎิจฺฉนฺนปริวาโส มานตฺตทานํ อพฺภานญฺจ เวทิตพฺพํฯ อิมินาว นเยน ทฺวีหาทิปฎิจฺฉนฺนาสุปิ ตทนุรูปา กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ tāva ekāhappaṭicchannāya āpattiyā paṭicchannaparivāso mānattadānaṃ abbhānañca veditabbaṃ. Imināva nayena dvīhādipaṭicchannāsupi tadanurūpā kammavācā kātabbā.

    ๒๔๐. สเจ ปน อปฺปฎิจฺฉนฺนา อาปตฺติ โหติ, ปริวาสํ อทตฺวา มานตฺตเมว ทตฺวา จิณฺณมานโตฺต อเพฺภตโพฺพฯ กถํ? มานตฺตํ เทเนฺตน ตาว –

    240. Sace pana appaṭicchannā āpatti hoti, parivāsaṃ adatvā mānattameva datvā ciṇṇamānatto abbhetabbo. Kathaṃ? Mānattaṃ dentena tāva –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจามิฯ อหํ, ภเนฺต…เป.… ทุติยมฺปิ, ภเนฺต, สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจามิฯ อหํ , ภเนฺต…เป.… ตติยมฺปิ, ภเนฺต, สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācāmi. Ahaṃ, bhante…pe… dutiyampi, bhante, saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācāmi. Ahaṃ , bhante…pe… tatiyampi, bhante, saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācāmī’’ti –

    ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ทเทยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ dadeyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ เทติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตสฺส ทานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācati, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ deti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattassa dānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ทินฺนํ สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Dinnaṃ saṅghena itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    กมฺมวาจาปริโยสาเน จ วตฺตสมาทานํ วตฺตนิเกฺขโป มานตฺตจรณญฺจ สพฺพํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อาโรเจเนฺตน ปน –

    Kammavācāpariyosāne ca vattasamādānaṃ vattanikkhepo mānattacaraṇañca sabbaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Ārocentena pana –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ มานตฺตํ จรามิ, เวทิยามหํ, ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ mānattaṃ carāmi, vediyāmahaṃ, bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti –

    เอวํ อาโรเจตพฺพํฯ

    Evaṃ ārocetabbaṃ.

    เอกสฺส ทฺวินฺนํ ติณฺณํ วา อาโรเจเนฺตน ปฎิจฺฉนฺนมานเตฺต วุตฺตนเยเนว อาโรเจตพฺพํฯ จิณฺณมานโตฺต จ ยตฺถ สิยา วีสติคโณ ภิกฺขุสโงฺฆ, ตตฺถ โส อเพฺภตโพฺพฯ อเพฺภเนฺตน จ –

    Ekassa dvinnaṃ tiṇṇaṃ vā ārocentena paṭicchannamānatte vuttanayeneva ārocetabbaṃ. Ciṇṇamānatto ca yattha siyā vīsatigaṇo bhikkhusaṅgho, tattha so abbhetabbo. Abbhentena ca –

    ‘‘อหํ , ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจามิฯ อหํ, ภเนฺต…เป.… โสหํ จิณฺณมานโตฺต ทุติยมฺปิ, ภเนฺต, สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจามิฯ อหํ, ภเนฺต…เป.… โสหํ จิณฺณมานโตฺต ตติยมฺปิ, ภเนฺต, สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ , bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācāmi. Ahaṃ, bhante…pe… sohaṃ ciṇṇamānatto dutiyampi, bhante, saṅghaṃ abbhānaṃ yācāmi. Ahaṃ, bhante…pe… sohaṃ ciṇṇamānatto tatiyampi, bhante, saṅghaṃ abbhānaṃ yācāmī’’ti –

    เอวํ ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Evaṃ tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อพฺภานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno abbhānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    อพฺภิโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    Abbhito saṅghena itthannāmo bhikkhu, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจํ วตฺวา อเพฺภตโพฺพฯ เอวํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาย อาปตฺติยา วุฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ

    Evaṃ kammavācaṃ vatvā abbhetabbo. Evaṃ appaṭicchannāya āpattiyā vuṭṭhānaṃ veditabbaṃ.

    ๒๔๑. สเจ กสฺสจิ เอกาปตฺติ ปฎิจฺฉนฺนา โหติ, เอกา อปฺปฎิจฺฉนฺนา, ตสฺส ปฎิจฺฉนฺนาย อาปตฺติยา ปริวาสํ ทตฺวา ปริวุตฺถปริวาสสฺส มานตฺตํ เทเนฺตน อปฺปฎิจฺฉนฺนาปตฺติํ ปฎิจฺฉนฺนาปตฺติยา สโมธาเนตฺวาปิ ทาตุํ วฎฺฎติฯ กถํ? สเจ ปฎิจฺฉนฺนาปตฺติ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนา โหติ –

    241. Sace kassaci ekāpatti paṭicchannā hoti, ekā appaṭicchannā, tassa paṭicchannāya āpattiyā parivāsaṃ datvā parivutthaparivāsassa mānattaṃ dentena appaṭicchannāpattiṃ paṭicchannāpattiyā samodhānetvāpi dātuṃ vaṭṭati. Kathaṃ? Sace paṭicchannāpatti ekāhappaṭicchannā hoti –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส, อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivutthaparivāso, ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yācāmī’’ti –

    ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ทเทยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji ekāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ dadeyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ เทติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตสฺส ทานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji ekāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yācati, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ deti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattassa dānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ทินฺนํ สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Dinnaṃ saṅghena itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    กมฺมวาจาปริโยสาเน จ วตฺตสมาทานาทิ สพฺพํ วุตฺตนยเมวฯ อาโรเจเนฺตน ปน –

    Kammavācāpariyosāne ca vattasamādānādi sabbaṃ vuttanayameva. Ārocentena pana –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส, อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ มานตฺตํ จรามิ, เวทิยามหํ, ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivutthaparivāso, ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ mānattaṃ carāmi, vediyāmahaṃ, bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti –

    เอวํ อาโรเจตพฺพํฯ

    Evaṃ ārocetabbaṃ.

    สมาทินฺนมานเตฺตน จ อนูนํ กตฺวา วุตฺตนเยน ฉารตฺตํ มานตฺตํ จริตพฺพํฯ จิณฺณมานโตฺต จ ยตฺถ สิยา วีสติคโณ ภิกฺขุสโงฺฆ, ตตฺถ โส อเพฺภตโพฺพฯ อเพฺภเนฺตน จ –

    Samādinnamānattena ca anūnaṃ katvā vuttanayena chārattaṃ mānattaṃ caritabbaṃ. Ciṇṇamānatto ca yattha siyā vīsatigaṇo bhikkhusaṅgho, tattha so abbhetabbo. Abbhentena ca –

    ‘‘อหํ , ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส, อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ, ภเนฺต, จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ , bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ ekāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivutthaparivāso, ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ, bhante, ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācāmī’’ti –

    เอวํ ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Evaṃ tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนาญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji ekāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannāñca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อพฺภานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji ekāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ ekāhappaṭicchannānaṃ ekāhaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno abbhānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘อพฺภิโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Abbhito saṅghena itthannāmo bhikkhu, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจํ กตฺวา อเพฺภตโพฺพฯ

    Evaṃ kammavācaṃ katvā abbhetabbo.

    ปฎิจฺฉนฺนปริวาสกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭicchannaparivāsakathā niṭṭhitā.

    ๒๔๒. สุทฺธนฺตปริวาโส สโมธานปริวาโสติ เทฺว อวเสสาฯ ตตฺถ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) สุทฺธนฺตปริวาโส ทุวิโธ จูฬสุทฺธโนฺต มหาสุทฺธโนฺตติฯ ทุวิโธปิ เจส รตฺติปริเจฺฉทํ สกลํ วา เอกจฺจํ วา อชานนฺตสฺส จ อสฺสรนฺตสฺส จ ตตฺถ เวมติกสฺส จ ทาตโพฺพฯ อาปตฺติปริยนฺตํ ปน ‘‘เอตฺตกา อหํ อาปตฺติโย อาปโนฺน’’ติ ชานาตุ วา มา วา, อการณเมตํ, ตตฺถ โย อุปสมฺปทโต ปฎฺฐาย อนุโลมกฺกเมน วา อาโรจิตทิวสโต ปฎฺฐาย ปฎิโลมกฺกเมน วา ‘‘อสุกญฺจ อสุกญฺจ ทิวสํ วา ปกฺขํ วา มาสํ วา สํวจฺฉรํ วา ตว สุทฺธภาวํ ชานาสี’’ติ ปุจฺฉิยมาโน ‘‘อาม, ภเนฺต, ชานามิ, เอตฺตกํ นาม กาลํ อหํ สุโทฺธ’’ติ วทติ, ตสฺส ทิโนฺน สุทฺธนฺตปริวาโส จูฬสุทฺธโนฺตติ วุจฺจติฯ

    242. Suddhantaparivāso samodhānaparivāsoti dve avasesā. Tattha (cūḷava. aṭṭha. 102) suddhantaparivāso duvidho cūḷasuddhanto mahāsuddhantoti. Duvidhopi cesa rattiparicchedaṃ sakalaṃ vā ekaccaṃ vā ajānantassa ca assarantassa ca tattha vematikassa ca dātabbo. Āpattipariyantaṃ pana ‘‘ettakā ahaṃ āpattiyo āpanno’’ti jānātu vā mā vā, akāraṇametaṃ, tattha yo upasampadato paṭṭhāya anulomakkamena vā ārocitadivasato paṭṭhāya paṭilomakkamena vā ‘‘asukañca asukañca divasaṃ vā pakkhaṃ vā māsaṃ vā saṃvaccharaṃ vā tava suddhabhāvaṃ jānāsī’’ti pucchiyamāno ‘‘āma, bhante, jānāmi, ettakaṃ nāma kālaṃ ahaṃ suddho’’ti vadati, tassa dinno suddhantaparivāso cūḷasuddhantoti vuccati.

    ตํ คเหตฺวา ปริวสเนฺตน ยตฺตกํ กาลํ อตฺตโน สุทฺธิํ ชานาติ, ตตฺตกํ อปเนตฺวา อวเสสํ มาสํ วา เทฺวมาสํ วา ปริวสิตพฺพํฯ สเจ ‘‘มาสมตฺตํ อสุโทฺธมฺหี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา อคฺคเหสิ, ปริวสโนฺต จ ปุน อญฺญํ มาสํ สรติ, ตมฺปิ มาสํ ปริวสิตพฺพเมว, ปุน ปริวาสทานกิจฺจํ นตฺถิฯ อถ ‘‘เทฺวมาสํ อสุโทฺธมฺหี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา อคฺคเหสิ, ปริวสโนฺต จ ‘‘มาสมตฺตเมวาหํ อสุโทฺธมฺหี’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กโรติ, มาสเมว ปริวสิตพฺพํ, ปุน ปริวาสทานกิจฺจํ นตฺถิฯ อยญฺหิ สุทฺธนฺตปริวาโส นาม อุทฺธมฺปิ อาโรหติ, เหฎฺฐาปิ โอโรหติฯ อิทมสฺส ลกฺขณํฯ อญฺญสฺมิํ ปน อาปตฺติวุฎฺฐาเน อิทํ ลกฺขณํ – โย อปฺปฎิจฺฉนฺนํ อาปตฺติํ ‘‘ปฎิจฺฉนฺนา’’ติ วินยกมฺมํ กโรติ, ตสฺสาปตฺติ วุฎฺฐาติฯ โย ปฎิจฺฉนฺนํ ‘‘อปฺปฎิจฺฉนฺนา’’ติ วินยกมฺมํ กโรติ, ตสฺส น วุฎฺฐาติฯ อจิรปฎิจฺฉนฺนํ ‘‘จิรปฎิจฺฉนฺนา’’ติ กโรนฺตสฺสปิ วุฎฺฐาติ, จิรปฎิจฺฉนฺนํ ‘‘อจิรปฎิจฺฉนฺนา’’ติ กโรนฺตสฺส น วุฎฺฐาติฯ เอกํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา ‘‘สมฺพหุลา’’ติ กโรนฺตสฺส วุฎฺฐาติ เอกํ วินา สมฺพหุลานํ อภาวโตฯ สมฺพหุลา ปน อาปชฺชิตฺวา ‘‘เอกํ อาปชฺชิ’’นฺติ กโรนฺตสฺส น วุฎฺฐาติฯ

    Taṃ gahetvā parivasantena yattakaṃ kālaṃ attano suddhiṃ jānāti, tattakaṃ apanetvā avasesaṃ māsaṃ vā dvemāsaṃ vā parivasitabbaṃ. Sace ‘‘māsamattaṃ asuddhomhī’’ti sallakkhetvā aggahesi, parivasanto ca puna aññaṃ māsaṃ sarati, tampi māsaṃ parivasitabbameva, puna parivāsadānakiccaṃ natthi. Atha ‘‘dvemāsaṃ asuddhomhī’’ti sallakkhetvā aggahesi, parivasanto ca ‘‘māsamattamevāhaṃ asuddhomhī’’ti sanniṭṭhānaṃ karoti, māsameva parivasitabbaṃ, puna parivāsadānakiccaṃ natthi. Ayañhi suddhantaparivāso nāma uddhampi ārohati, heṭṭhāpi orohati. Idamassa lakkhaṇaṃ. Aññasmiṃ pana āpattivuṭṭhāne idaṃ lakkhaṇaṃ – yo appaṭicchannaṃ āpattiṃ ‘‘paṭicchannā’’ti vinayakammaṃ karoti, tassāpatti vuṭṭhāti. Yo paṭicchannaṃ ‘‘appaṭicchannā’’ti vinayakammaṃ karoti, tassa na vuṭṭhāti. Acirapaṭicchannaṃ ‘‘cirapaṭicchannā’’ti karontassapi vuṭṭhāti, cirapaṭicchannaṃ ‘‘acirapaṭicchannā’’ti karontassa na vuṭṭhāti. Ekaṃ āpattiṃ āpajjitvā ‘‘sambahulā’’ti karontassa vuṭṭhāti ekaṃ vinā sambahulānaṃ abhāvato. Sambahulā pana āpajjitvā ‘‘ekaṃ āpajji’’nti karontassa na vuṭṭhāti.

    โย ปน ยถาวุเตฺตน อนุโลมปฎิโลมนเยน ปุจฺฉิยมาโนปิ รตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ นสฺสรติ, เวมติโก วา โหติ, ตสฺส ทิโนฺน สุทฺธนฺตปริวาโส มหาสุทฺธโนฺตติ วุจฺจติฯ ตํ คเหตฺวา คหิตทิวสโต ปฎฺฐาย ยาว อุปสมฺปททิวโส, ตาว รตฺติโย คเณตฺวา ปริวสิตพฺพํ, อยํ อุทฺธํ นาโรหติ, เหฎฺฐา ปน โอโรหติฯ ตสฺมา สเจ ปริวสโนฺต รตฺติปริเจฺฉเท สนฺนิฎฺฐานํ กโรติ ‘‘มาโส วา สํวจฺฉโร วา มยฺหํ อาปนฺนสฺสา’’ติ, มาสํ วา สํวจฺฉรํ วา ปริวสิตพฺพํฯ

    Yo pana yathāvuttena anulomapaṭilomanayena pucchiyamānopi rattipariyantaṃ na jānāti nassarati, vematiko vā hoti, tassa dinno suddhantaparivāso mahāsuddhantoti vuccati. Taṃ gahetvā gahitadivasato paṭṭhāya yāva upasampadadivaso, tāva rattiyo gaṇetvā parivasitabbaṃ, ayaṃ uddhaṃ nārohati, heṭṭhā pana orohati. Tasmā sace parivasanto rattiparicchede sanniṭṭhānaṃ karoti ‘‘māso vā saṃvaccharo vā mayhaṃ āpannassā’’ti, māsaṃ vā saṃvaccharaṃ vā parivasitabbaṃ.

    ปริวาสยาจนทานลกฺขณํ ปเนตฺถ เอวํ เวทิตพฺพํ – เตน ภิกฺขุนา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวมสฺส วจนีโย –

    Parivāsayācanadānalakkhaṇaṃ panettha evaṃ veditabbaṃ – tena bhikkhunā saṅghaṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā evamassa vacanīyo –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ, อาปตฺติปริยนฺตํ น ชานามิ, รตฺติปริยนฺตํ น ชานามิ, อาปตฺติปริยนฺตํ นสฺสรามิ, รตฺติปริยนฺตํ นสฺสรามิ, อาปตฺติปริยเนฺต เวมติโก, รตฺติปริยเนฺต เวมติโก, โสหํ สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ ยาจามี’’ติฯ

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ, āpattipariyantaṃ na jānāmi, rattipariyantaṃ na jānāmi, āpattipariyantaṃ nassarāmi, rattipariyantaṃ nassarāmi, āpattipariyante vematiko, rattipariyante vematiko, sohaṃ saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ yācāmī’’ti.

    ทุติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ ตติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ

    Dutiyampi yācitabbo. Tatiyampi yācitabbo.

    พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –

    Byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ, อาปตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, รตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, อาปตฺติปริยนฺตํ นสฺสรติ, รตฺติปริยนฺตํ นสฺสรติ, อาปตฺติปริยเนฺต เวมติโก, รตฺติปริยเนฺต เวมติโก, โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ ทเทยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajji, āpattipariyantaṃ na jānāti, rattipariyantaṃ na jānāti, āpattipariyantaṃ nassarati, rattipariyantaṃ nassarati, āpattipariyante vematiko, rattipariyante vematiko, so saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ dadeyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ, อาปตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, รตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, อาปตฺติปริยนฺตํ นสฺสรติ, รตฺติปริยนฺตํ นสฺสรติ, อาปตฺติปริยเนฺต เวมติโก, รตฺติปริยเนฺต เวมติโก, โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ เทติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสสฺส ทานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajji, āpattipariyantaṃ na jānāti, rattipariyantaṃ na jānāti, āpattipariyantaṃ nassarati, rattipariyantaṃ nassarati, āpattipariyante vematiko, rattipariyante vematiko, so saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ yācati, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ deti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsassa dānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ทิโนฺน สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํฯ สุทฺธนฺตปริวาโส, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Dinno saṅghena itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ. Suddhantaparivāso, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ สุทฺธนฺตปริวาโส ทาตโพฺพฯ

    Evaṃ suddhantaparivāso dātabbo.

    กมฺมวาจาปริโยสาเน วตฺตสมาทานาทิ สพฺพํ วุตฺตนยเมวฯ อาโรเจเนฺตน ปน –

    Kammavācāpariyosāne vattasamādānādi sabbaṃ vuttanayameva. Ārocentena pana –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ, อาปตฺติปริยนฺตํ น ชานามิ, รตฺติปริยนฺตํ น ชานามิ, อาปตฺติปริยนฺตํ นสฺสรามิ, รตฺติปริยนฺตํ นสฺสรามิ, อาปตฺติปริยเนฺต เวมติโก, รตฺติปริยเนฺต เวมติโก, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสามิ, เวทิยามหํ, ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ อาโรเจตพฺพํฯ

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ, āpattipariyantaṃ na jānāmi, rattipariyantaṃ na jānāmi, āpattipariyantaṃ nassarāmi, rattipariyantaṃ nassarāmi, āpattipariyante vematiko, rattipariyante vematiko, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasāmi, vediyāmahaṃ, bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti ārocetabbaṃ.

    เอกสฺส ทฺวินฺนํ วา ติณฺณํ วา อาโรจนํ วุตฺตนยเมวฯ ปริวุตฺถปริวาสสฺส มานตฺตํ เทเนฺตน –

    Ekassa dvinnaṃ vā tiṇṇaṃ vā ārocanaṃ vuttanayameva. Parivutthaparivāsassa mānattaṃ dentena –

    ‘‘อหํ , ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ, อาปตฺติปริยนฺตํ น ชานามิ, รตฺติปริยนฺตํ น ชานามิ, อาปตฺติปริยนฺตํ นสฺสรามิ, รตฺติปริยนฺตํ นสฺสรามิ, อาปตฺติปริยเนฺต เวมติโก, รตฺติปริยเนฺต เวมติโก, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ อทาสิ, โสหํ, ภเนฺต, ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มารตฺตํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ , bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ, āpattipariyantaṃ na jānāmi, rattipariyantaṃ na jānāmi, āpattipariyantaṃ nassarāmi, rattipariyantaṃ nassarāmi, āpattipariyante vematiko, rattipariyante vematiko, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ, bhante, parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mārattaṃ yācāmī’’ti –

    เอวํ ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Evaṃ tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ, อาปตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, รตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, อาปตฺติปริยนฺตํ นสฺสรติ, รตฺติปริยนฺตํ นสฺสรติ, อาปตฺติปริยเนฺต เวมติโก, รตฺติปริยเนฺต เวมติโก, โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ทเทยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajji, āpattipariyantaṃ na jānāti, rattipariyantaṃ na jānāti, āpattipariyantaṃ nassarati, rattipariyantaṃ nassarati, āpattipariyante vematiko, rattipariyante vematiko, so saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ dadeyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ, อาปตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, รตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, อาปตฺติปริยนฺตํ นสฺสรติ, รตฺติปริยนฺตํ นสฺสรติ, อาปตฺติปริยเนฺต เวมติโก, รตฺติปริยเนฺต เวมติโก, โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ เทติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตสฺส ทานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajji, āpattipariyantaṃ na jānāti, rattipariyantaṃ na jānāti, āpattipariyantaṃ nassarati, rattipariyantaṃ nassarati, āpattipariyante vematiko, rattipariyante vematiko, so saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācati, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ deti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattassa dānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ทินฺนํ สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Dinnaṃ saṅghena itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    กมฺมวาจาปริโยสาเน มานตฺตสมาทานาทิ สพฺพํ วุตฺตนยเมวฯ อาโรเจเนฺตน ปน –

    Kammavācāpariyosāne mānattasamādānādi sabbaṃ vuttanayameva. Ārocentena pana –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ, อาปตฺติปริยนฺตํ น ชานามิ, รตฺติปริยนฺตํ น ชานามิ, อาปตฺติปริยนฺตํ นสฺสรามิ, รตฺติปริยนฺตํ นสฺสรามิ, อาปตฺติปริยเนฺต เวมติโก, รตฺติปริยเนฺต เวมติโก, โสหํ สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ มานตฺตํ จรามิ, เวทิยามหํ, ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ, āpattipariyantaṃ na jānāmi, rattipariyantaṃ na jānāmi, āpattipariyantaṃ nassarāmi, rattipariyantaṃ nassarāmi, āpattipariyante vematiko, rattipariyante vematiko, sohaṃ saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ mānattaṃ carāmi, vediyāmahaṃ, bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti –

    เอวํ อาโรเจตพฺพํฯ

    Evaṃ ārocetabbaṃ.

    จิณฺณมานโตฺต จ ยตฺถ สิยา วีสติคโณ ภิกฺขุสโงฺฆ, ตตฺถ โส ภิกฺขุ อเพฺภตโพฺพฯ อเพฺภเนฺตน จ –

    Ciṇṇamānatto ca yattha siyā vīsatigaṇo bhikkhusaṅgho, tattha so bhikkhu abbhetabbo. Abbhentena ca –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ, อาปตฺติปริยนฺตํ น ชานามิ, รตฺติปริยนฺตํ น ชานามิ, อาปตฺติปริยนฺตํ นสฺสรามิ, รตฺติปริยนฺตํ นสฺสรามิ, อาปตฺติปริยเนฺต เวมติโก, รตฺติปริยเนฺต เวมติโก, โสหํ สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ ภเนฺต จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ, āpattipariyantaṃ na jānāmi, rattipariyantaṃ na jānāmi, āpattipariyantaṃ nassarāmi, rattipariyantaṃ nassarāmi, āpattipariyante vematiko, rattipariyante vematiko, sohaṃ saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ bhante ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācāmī’’ti –

    เอวํ ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Evaṃ tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม , ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ, อาปตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, รตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, อาปตฺติปริยนฺตํ นสฺสรติ, รตฺติปริยนฺตํ นสฺสรติ, อาปตฺติปริยเนฺต เวมติโก, รตฺติปริยเนฺต เวมติโก, โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me , bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajji, āpattipariyantaṃ na jānāti, rattipariyantaṃ na jānāti, āpattipariyantaṃ nassarati, rattipariyantaṃ nassarati, āpattipariyante vematiko, rattipariyante vematiko, so saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ, อาปตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, รตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ, อาปตฺติปริยนฺตํ นสฺสรติ, รตฺติปริยนฺตํ นสฺสรติ, อาปตฺติปริยเนฺต เวมติโก, รตฺติปริยเนฺต เวมติโก, โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ สุทฺธนฺตปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อพฺภานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajji, āpattipariyantaṃ na jānāti, rattipariyantaṃ na jānāti, āpattipariyantaṃ nassarati, rattipariyantaṃ nassarati, āpattipariyante vematiko, rattipariyante vematiko, so saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ suddhantaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno abbhānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘อพฺภิโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Abbhito saṅghena itthannāmo bhikkhu, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจํ กตฺวา อเพฺภตโพฺพฯ

    Evaṃ kammavācaṃ katvā abbhetabbo.

    สุทฺธนฺตปริวาสกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Suddhantaparivāsakathā niṭṭhitā.

    ๒๔๓. สโมธานปริวาโส ปน ติวิโธ โหติ – โอธานสโมธาโน อคฺฆสโมธาโน มิสฺสกสโมธาโนติฯ ตตฺถ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) โอธานสโมธาโน นาม อนฺตราปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา ปฎิจฺฉาเทนฺตสฺส ปริวุตฺถทิวเส โอธุนิตฺวา มเกฺขตฺวา ปุริมาย อาปตฺติยา มูลทิวสปริเจฺฉเท ปจฺฉา อาปนฺนํ อาปตฺติํ สโมทหิตฺวา ทาตพฺพปริวาโส วุจฺจติฯ

    243.Samodhānaparivāso pana tividho hoti – odhānasamodhāno agghasamodhāno missakasamodhānoti. Tattha (cūḷava. aṭṭha. 102) odhānasamodhāno nāma antarāpattiṃ āpajjitvā paṭicchādentassa parivutthadivase odhunitvā makkhetvā purimāya āpattiyā mūladivasaparicchede pacchā āpannaṃ āpattiṃ samodahitvā dātabbaparivāso vuccati.

    อยํ ปเนตฺถ วินิจฺฉโย – โย ปฎิจฺฉนฺนาย อาปตฺติยา ปริวาสํ คเหตฺวา ปริวสโนฺต วา มานตฺตารโห วา มานตฺตํ จรโนฺต วา อพฺภานารโห วา อนิกฺขิตฺตวโตฺต อญฺญํ อาปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา ปุริมาย อาปตฺติยา สมา วา อูนตรา วา รตฺติโย ปฎิจฺฉาเทติ, ตสฺส มูลายปฎิกสฺสเนน เต ปริวุตฺถทิวเส จ มานตฺตจิณฺณทิวเส จ สเพฺพ โอธุนิตฺวา อทิวเส กตฺวา ปจฺฉา อาปนฺนาปตฺติํ มูลอาปตฺติยํ สโมธาย ปริวาโส ทาตโพฺพฯ เตน สเจ มูลาปตฺติ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนา, อนฺตราปตฺติ อูนกปกฺขปฎิจฺฉนฺนา, ปุน ปกฺขเมว ปริวาโส ปริวสิตโพฺพฯ อถาปิ อนฺตราปตฺติ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาว, ปกฺขเมว ปริวสิตพฺพํฯ เอเตนุปาเยน ยาว สฎฺฐิวสฺสปฎิจฺฉนฺนา มูลาปตฺติ, ตาว วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ สฎฺฐิวสฺสานิปิ ปริวสิตฺวา มานตฺตารโห หุตฺวาปิ หิ เอกทิวสํ อนฺตราปตฺติํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา ปุน สฎฺฐิวสฺสานิ ปริวาสารโห โหติฯ เอวํ มานตฺตจาริกมานตฺตารหกาเลปิ อาปนฺนาย อาปตฺติยา มูลายปฎิกสฺสเน กเต มานตฺตจิณฺณทิวสาปิ ปริวาสวุตฺถทิวสาปิ สเพฺพ มกฺขิตาว โหนฺติฯ สเจ ปน นิกฺขิตฺตวโตฺต อาปชฺชติ, มูลายปฎิกสฺสนารโห นาม น โหติฯ กสฺมา? ยสฺมา น โส ปริวสโนฺต อาปโนฺน, ปกตตฺตฎฺฐาเน ฐิโต อาปโนฺน, ตสฺมา ตสฺสา อาปตฺติยา วิสุํ มานตฺตํ จริตพฺพํฯ สเจ ปฎิจฺฉนฺนา โหติ, ปริวาโสปิ วสิตโพฺพฯ

    Ayaṃ panettha vinicchayo – yo paṭicchannāya āpattiyā parivāsaṃ gahetvā parivasanto vā mānattāraho vā mānattaṃ caranto vā abbhānāraho vā anikkhittavatto aññaṃ āpattiṃ āpajjitvā purimāya āpattiyā samā vā ūnatarā vā rattiyo paṭicchādeti, tassa mūlāyapaṭikassanena te parivutthadivase ca mānattaciṇṇadivase ca sabbe odhunitvā adivase katvā pacchā āpannāpattiṃ mūlaāpattiyaṃ samodhāya parivāso dātabbo. Tena sace mūlāpatti pakkhapaṭicchannā, antarāpatti ūnakapakkhapaṭicchannā, puna pakkhameva parivāso parivasitabbo. Athāpi antarāpatti pakkhapaṭicchannāva, pakkhameva parivasitabbaṃ. Etenupāyena yāva saṭṭhivassapaṭicchannā mūlāpatti, tāva vinicchayo veditabbo. Saṭṭhivassānipi parivasitvā mānattāraho hutvāpi hi ekadivasaṃ antarāpattiṃ paṭicchādetvā puna saṭṭhivassāni parivāsāraho hoti. Evaṃ mānattacārikamānattārahakālepi āpannāya āpattiyā mūlāyapaṭikassane kate mānattaciṇṇadivasāpi parivāsavutthadivasāpi sabbe makkhitāva honti. Sace pana nikkhittavatto āpajjati, mūlāyapaṭikassanāraho nāma na hoti. Kasmā? Yasmā na so parivasanto āpanno, pakatattaṭṭhāne ṭhito āpanno, tasmā tassā āpattiyā visuṃ mānattaṃ caritabbaṃ. Sace paṭicchannā hoti, parivāsopi vasitabbo.

    ‘‘สเจ ปน อนฺตราปตฺติ มูลาปตฺติโต อติเรกปฎิจฺฉนฺนา โหติ, ตตฺถ กิํ กาตพฺพ’’นฺติ วุเตฺต มหาสุมเตฺถโร อาห ‘‘อเตกิโจฺฉ อยํ ปุคฺคโล, อเตกิโจฺฉ นาม อาวิการาเปตฺวา วิสฺสเชฺชตโพฺพ’’ติฯ มหาปทุมเตฺถโร ปนาห ‘‘กสฺมา อเตกิโจฺฉ นาม, นนุ อยํ สมุจฺจยกฺขนฺธโก นาม พุทฺธานํ ฐิตกาลสทิโส, อาปตฺติ นาม ปฎิจฺฉนฺนา วา โหตุ อปฺปฎิจฺฉนฺนา วา สมกอูนตรอติเรกปฎิจฺฉนฺนา วา, วินยธรสฺส กมฺมวาจํ โยเชตุํ สมตฺถภาโวเยเวตฺถ ปมาณํ, ตสฺมา ยา อติเรกปฎิจฺฉนฺนา โหติ, ตํ มูลาปตฺติํ กตฺวา ตตฺถ อิตรํ สโมธาย ปริวาโส ทาตโพฺพ’’ติฯ อยํ โอธานสโมธาโน นามฯ

    ‘‘Sace pana antarāpatti mūlāpattito atirekapaṭicchannā hoti, tattha kiṃ kātabba’’nti vutte mahāsumatthero āha ‘‘atekiccho ayaṃ puggalo, atekiccho nāma āvikārāpetvā vissajjetabbo’’ti. Mahāpadumatthero panāha ‘‘kasmā atekiccho nāma, nanu ayaṃ samuccayakkhandhako nāma buddhānaṃ ṭhitakālasadiso, āpatti nāma paṭicchannā vā hotu appaṭicchannā vā samakaūnataraatirekapaṭicchannā vā, vinayadharassa kammavācaṃ yojetuṃ samatthabhāvoyevettha pamāṇaṃ, tasmā yā atirekapaṭicchannā hoti, taṃ mūlāpattiṃ katvā tattha itaraṃ samodhāya parivāso dātabbo’’ti. Ayaṃ odhānasamodhāno nāma.

    ตํ เทเนฺตน ปฐมํ มูลาย ปฎิกสฺสิตฺวา ปจฺฉา ปริวาโส ทาตโพฺพฯ สเจ โกจิ ภิกฺขุ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาย อาปตฺติยา ปริวสโนฺต อนฺตรา อนิกฺขิตฺตวโตฺตว ปุน ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนํ อาปตฺติํ อาปชฺชติ, เตน ภิกฺขุนา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา วุฑฺฒานํ ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฎิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวมสฺส วจนีโย –

    Taṃ dentena paṭhamaṃ mūlāya paṭikassitvā pacchā parivāso dātabbo. Sace koci bhikkhu pakkhapaṭicchannāya āpattiyā parivasanto antarā anikkhittavattova puna pañcāhappaṭicchannaṃ āpattiṃ āpajjati, tena bhikkhunā saṅghaṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā vuḍḍhānaṃ bhikkhūnaṃ pāde vanditvā ukkuṭikaṃ nisīditvā añjaliṃ paggahetvā evamassa vacanīyo –

    ‘‘อหํ , ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจามี’’ติฯ

    ‘‘Ahaṃ , bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pakkhapaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pañcāhappaṭicchannāyo, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yācāmī’’ti.

    ทุติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ ตติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ

    Dutiyampi yācitabbo. Tatiyampi yācitabbo.

    พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –

    Byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกเสฺสยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji pañcāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikasseyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนา, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji pañcāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yācati, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassati, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanā, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ปฎิกสฺสิโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนา, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Paṭikassito saṅghena itthannāmo bhikkhu antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanā, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ มูลายปฎิกสฺสนา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ mūlāyapaṭikassanā kātabbā.

    เอวญฺจ สโมธานปริวาโส ทาตโพฺพฯ เตน ภิกฺขุนา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา…เป.… เอวมสฺส วจนีโย –

    Evañca samodhānaparivāso dātabbo. Tena bhikkhunā saṅghaṃ upasaṅkamitvā…pe… evamassa vacanīyo –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิํ, ตํ มํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ ยาจามี’’ติฯ

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pakkhapaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pañcāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāciṃ, taṃ maṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ yācāmī’’ti.

    ทุติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ ตติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ

    Dutiyampi yācitabbo. Tatiyampi yācitabbo.

    พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –

    Byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ ยาจติ , ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ ทเทยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji pañcāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ yācati , yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ dadeyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ เทติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสสฺส ทานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji pañcāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ yācati, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ deti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsassa dānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ทิโนฺน สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาโส , ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Dinno saṅghena itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāso , khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ สโมธานปริวาโส ทาตโพฺพฯ

    Evaṃ samodhānaparivāso dātabbo.

    กมฺมวาจาปริโยสาเน จ วตฺตสมาทานาทิ สพฺพํ ปุเพฺพ วุตฺตนยเมวฯ อาโรเจเนฺตน ปน –

    Kammavācāpariyosāne ca vattasamādānādi sabbaṃ pubbe vuttanayameva. Ārocentena pana –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิํ, ตํ มํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสามิ, เวทิยามหํ, ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pakkhapaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pañcāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāciṃ, taṃ maṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasāmi, vediyāmahaṃ, bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti –

    เอวํ อาโรเจตพฺพํฯ

    Evaṃ ārocetabbaṃ.

    ปริวุตฺถปริวาสสฺส มานตฺตํ เทเนฺตน –

    Parivutthaparivāsassa mānattaṃ dentena –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิํ, ตํ มํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โสหํ, ภเนฺต, ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pakkhapaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pañcāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāciṃ, taṃ maṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ, bhante, parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācāmī’’ti –

    เอวํ ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Evaṃ tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ทเทยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji pañcāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ dadeyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ เทติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตสฺส ทานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji pañcāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācati, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ deti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattassa dānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ทินฺนํ สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Dinnaṃ saṅghena itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    กมฺมวาจาปริโยสาเน จ มานตฺตสมาทานาทิ สพฺพํ วุตฺตนยเมวฯ อาโรเจเนฺตน ปน –

    Kammavācāpariyosāne ca mānattasamādānādi sabbaṃ vuttanayameva. Ārocentena pana –

    ‘‘อหํ , ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิํ, ตํ มํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ , โสหํ มานตฺตํ จรามิ, เวทิยามหํ ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ , bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pakkhapaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pañcāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāciṃ, taṃ maṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi , sohaṃ mānattaṃ carāmi, vediyāmahaṃ bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti –

    เอวํ อาโรเจตพฺพํฯ

    Evaṃ ārocetabbaṃ.

    จิณฺณมานตฺตํ อเพฺภเนฺตน จ –

    Ciṇṇamānattaṃ abbhentena ca –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิํ, ตํ มํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ, ภเนฺต, จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pakkhapaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pañcāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāciṃ, taṃ maṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ, bhante, ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācāmī’’ti –

    เอวํ ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Evaṃ tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji pañcāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ปุริมาสุ อาปตฺตีสุ สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อพฺภานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji pañcāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ pañcāhappaṭicchannānaṃ purimāsu āpattīsu samodhānaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno abbhānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘อพฺภิโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Abbhito saṅghena itthannāmo bhikkhu, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    สเจ มานตฺตารโห วา มานตฺตํ จรโนฺต วา อพฺภานารโห วา อนิกฺขิตฺตวโตฺต อนฺตราปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา ปฎิจฺฉาเทติ, วุตฺตนเยเนว ปุริมาปตฺติยา อนฺตราปตฺติยา จ ทิวสปริเจฺฉทํ สลฺลเกฺขตฺวา ตทนุรูปาย กมฺมวาจาย มูลาย ปฎิกสฺสิตฺวา ปริวาสํ ทตฺวา ปริวุตฺถปริวาสสฺส มานตฺตํ ทตฺวา จิณฺณมานโตฺต อเพฺภตโพฺพฯ สเจ ปน ปฎิจฺฉนฺนาย อาปตฺติยา ปริวสโนฺต อนฺตราปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา น ปฎิจฺฉาเทติ, ตสฺส มูลายปฎิกสฺสนาเยว กาตพฺพา, ปุน ปริวาสทานกิจฺจํ นตฺถิฯ มูลายปฎิกสฺสเนน ปน ปริวุตฺถทิวสานํ มกฺขิตตฺตา ปุน อาทิโต ปฎฺฐาย ปริวสิตพฺพํฯ ปริวุตฺถปริวาสสฺส จ มูลาปตฺติยา อนฺตราปตฺติํ สโมธาเนตฺวา มานตฺตํ ทาตพฺพํ, จิณฺณมานโตฺต จ อเพฺภตโพฺพฯ กถํ? มูลายปฎิกสฺสนํ กโรเนฺตน ตาว สเจ มูลาปตฺติ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนา โหติ,

    Sace mānattāraho vā mānattaṃ caranto vā abbhānāraho vā anikkhittavatto antarāpattiṃ āpajjitvā paṭicchādeti, vuttanayeneva purimāpattiyā antarāpattiyā ca divasaparicchedaṃ sallakkhetvā tadanurūpāya kammavācāya mūlāya paṭikassitvā parivāsaṃ datvā parivutthaparivāsassa mānattaṃ datvā ciṇṇamānatto abbhetabbo. Sace pana paṭicchannāya āpattiyā parivasanto antarāpattiṃ āpajjitvā na paṭicchādeti, tassa mūlāyapaṭikassanāyeva kātabbā, puna parivāsadānakiccaṃ natthi. Mūlāyapaṭikassanena pana parivutthadivasānaṃ makkhitattā puna ādito paṭṭhāya parivasitabbaṃ. Parivutthaparivāsassa ca mūlāpattiyā antarāpattiṃ samodhānetvā mānattaṃ dātabbaṃ, ciṇṇamānatto ca abbhetabbo. Kathaṃ? Mūlāyapaṭikassanaṃ karontena tāva sace mūlāpatti pakkhapaṭicchannā hoti,

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ อนฺตราสมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pakkhapaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ antarāsambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yācāmī’’ti –

    ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกเสฺสยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikasseyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนา, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yācati, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassati, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanā, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ปฎิกสฺสิโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ, อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสนา ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Paṭikassito saṅghena itthannāmo bhikkhu, antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassanā khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    เอวํ มูลาย ปฎิกสฺสิเตน ปุน อาทิโต ปฎฺฐาย ปริวสิตพฺพํฯ ปริวสเนฺตน จ –

    Evaṃ mūlāya paṭikassitena puna ādito paṭṭhāya parivasitabbaṃ. Parivasantena ca –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิํ, ตํ มํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โสหํ ปริวสามิ, เวทิยามหํ, ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pakkhapaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ paṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāciṃ, taṃ maṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, sohaṃ parivasāmi, vediyāmahaṃ, bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti –

    อาโรเจตพฺพํฯ

    Ārocetabbaṃ.

    ปริวุตฺถปริวาสสฺส มานตฺตํ เทเนฺตน –

    Parivutthaparivāsassa mānattaṃ dentena –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิํ, ตํ มํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โสหํ, ภเนฺต, ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pakkhapaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāciṃ, taṃ maṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, sohaṃ, bhante, parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yācāmī’’ti –

    ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, ตํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ทเทยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, taṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ dadeyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, ตํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ เทติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตสฺส ทานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, taṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yācati, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ deti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattassa dānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ทินฺนํ สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Dinnaṃ saṅghena itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    กมฺมวาจาปริโยสาเน มานตฺตสมาทานาทิ สพฺพํ วุตฺตนยเมวฯ อาโรเจเนฺตน ปน –

    Kammavācāpariyosāne mānattasamādānādi sabbaṃ vuttanayameva. Ārocentena pana –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิํ, ตํ มํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ มานตฺตํ จรามิ, เวทิยามหํ ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pakkhapaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāciṃ, taṃ maṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, sohaṃ parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ mānattaṃ carāmi, vediyāmahaṃ bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti –

    เอวํ อาโรเจตพฺพํฯ

    Evaṃ ārocetabbaṃ.

    จิณฺณมานตฺตํ อเพฺภเนฺตน จ –

    Ciṇṇamānattaṃ abbhentena ca –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิํ, ตํ มํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ ภเนฺต จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ pakkhapaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāciṃ, taṃ maṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ apaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, sohaṃ parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ bhante ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācāmī’’ti –

    ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, ตํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ , โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, taṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ adāsi , so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปกฺขปฎิจฺฉนฺนานํ ปกฺขปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวสโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, ตํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ ปฎิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฎิจฺฉนฺนานญฺจ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อพฺภานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji pakkhapaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ pakkhapaṭicchannānaṃ pakkhaparivāsaṃ adāsi, so parivasanto antarā sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, taṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ paṭicchannānañca appaṭicchannānañca chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno abbhānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘อพฺภิโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Abbhito saṅghena itthannāmo bhikkhu, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    อิมินาว นเยน มานตฺตารหมานตฺตจาริกอพฺภานารหกาเลสุปิ อนฺตราปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา อปฺปฎิจฺฉาเทนฺตสฺส มูลายปฎิกสฺสนเมว กตฺวา มูลาปตฺติยา อนฺตราปตฺติํ สโมธาเนตฺวา มานตฺตํ ทตฺวา จิณฺณมานตฺตสฺส อพฺภานํ กาตพฺพํฯ เอตฺถ ปน ‘‘โสหํ ปริวสโนฺต’’ติ อาคตฎฺฐาเน ‘‘โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส มานตฺตารโห’’ติ วา ‘‘โสหํ มานตฺตํ จรโนฺต’’ติ วา ‘‘โสหํ จิณฺณมานโตฺต อพฺภานารโห’’ติ วา วตฺตพฺพํฯ

    Imināva nayena mānattārahamānattacārikaabbhānārahakālesupi antarāpattiṃ āpajjitvā appaṭicchādentassa mūlāyapaṭikassanameva katvā mūlāpattiyā antarāpattiṃ samodhānetvā mānattaṃ datvā ciṇṇamānattassa abbhānaṃ kātabbaṃ. Ettha pana ‘‘sohaṃ parivasanto’’ti āgataṭṭhāne ‘‘sohaṃ parivutthaparivāso mānattāraho’’ti vā ‘‘sohaṃ mānattaṃ caranto’’ti vā ‘‘sohaṃ ciṇṇamānatto abbhānāraho’’ti vā vattabbaṃ.

    สเจ ปน อปฺปฎิจฺฉนฺนาย อาปตฺติยา มานตฺตํ จรโนฺต อนฺตราปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา น ปฎิจฺฉาเทติ, โส มูลาย ปฎิกสฺสิตฺวา อนฺตราปตฺติยา ปุน มานตฺตํ ทตฺวา จิณฺณมานโตฺต อเพฺภตโพฺพฯ กถํ? มูลายปฎิกสฺสนํ กโรเนฺตน ตาว –

    Sace pana appaṭicchannāya āpattiyā mānattaṃ caranto antarāpattiṃ āpajjitvā na paṭicchādeti, so mūlāya paṭikassitvā antarāpattiyā puna mānattaṃ datvā ciṇṇamānatto abbhetabbo. Kathaṃ? Mūlāyapaṭikassanaṃ karontena tāva –

    ‘‘อหํ , ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ มานตฺตํ จรโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ , bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ mānattaṃ caranto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yācāmī’’ti –

    ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส มานตฺตํ จรโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกเสฺสยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so mānattaṃ caranto antarā sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikasseyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส มานตฺตํ จรโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนา, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so mānattaṃ caranto antarā sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yācati, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassati, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanā, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ปฎิกสฺสิโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ, อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนา ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Paṭikassito saṅghena itthannāmo bhikkhu, antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanā khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    เอวํ มูลาย ปฎิกสฺสิตฺวา มานตฺตํ เทเนฺตน –

    Evaṃ mūlāya paṭikassitvā mānattaṃ dentena –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ มานตฺตํ จรโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิํ, ตํ มํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ mānattaṃ caranto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāciṃ, taṃ maṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācāmī’’ti –

    ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส มานตฺตํ จรโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, ตํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ทเทยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so mānattaṃ caranto antarā sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, taṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ dadeyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส มานตฺตํ จรโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, ตํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ เทติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตสฺส ทานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so mānattaṃ caranto antarā sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, taṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācati, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ deti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattassa dānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ทินฺนํ สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Dinnaṃ saṅghena itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    กมฺมวาจาปริโยสาเน มานตฺตสมาทานาทิ สพฺพํ วุตฺตนยเมวฯ อาโรเจเนฺตน ปน –

    Kammavācāpariyosāne mānattasamādānādi sabbaṃ vuttanayameva. Ārocentena pana –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ มานตฺตํ จรโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตํ มํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ มานตฺตํ จรามิ, เวทิยามหํ, ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ mānattaṃ caranto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, taṃ maṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ mānattaṃ carāmi, vediyāmahaṃ, bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti –

    เอวํ อาโรเจตพฺพํฯ

    Evaṃ ārocetabbaṃ.

    จิณฺณมานตฺตํ อเพฺภเนฺตน จ –

    Ciṇṇamānattaṃ abbhentena ca –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ มานตฺตํ จรโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิํ, ตํ มํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โสหํ สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ, ภเนฺต, จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ mānattaṃ caranto antarā sambahulā āpattiyo āpajjiṃ appaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāciṃ, taṃ maṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, sohaṃ saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ, bhante, ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācāmī’’ti –

    ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส มานตฺตํ จรโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, ตํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so mānattaṃ caranto antarā sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, taṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส มานตฺตํ จรโนฺต อนฺตรา สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชิ อปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลายปฎิกสฺสนํ ยาจิ, ตํ สโงฺฆ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ มูลาย ปฎิกสฺสิ, โส สงฺฆํ อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อนฺตรา สมฺพหุลานํ อาปตฺตีนํ อปฺปฎิจฺฉนฺนานํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อพฺภานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so mānattaṃ caranto antarā sambahulā āpattiyo āpajji appaṭicchannāyo, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāyapaṭikassanaṃ yāci, taṃ saṅgho antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ mūlāya paṭikassi, so saṅghaṃ antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno antarā sambahulānaṃ āpattīnaṃ appaṭicchannānaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno abbhānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘อพฺภิโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Abbhito saṅghena itthannāmo bhikkhu, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจํ กตฺวา อเพฺภตโพฺพฯ

    Evaṃ kammavācaṃ katvā abbhetabbo.

    อพฺภานารหกาเลปิ อนฺตราปตฺติํ อาปชฺชิตฺวา อปฺปฎิจฺฉาเทนฺตสฺส อิมินาว นเยน มูลายปฎิกสฺสนา มานตฺตทานํ อพฺภานญฺจ เวทิตพฺพํฯ เกวลํ ปเนตฺถ ‘‘มานตฺตํ จรโนฺต’’ติ อวตฺวา ‘‘จิณฺณมานโตฺต อพฺภานารโห’’ติ วตฺตพฺพํฯ

    Abbhānārahakālepi antarāpattiṃ āpajjitvā appaṭicchādentassa imināva nayena mūlāyapaṭikassanā mānattadānaṃ abbhānañca veditabbaṃ. Kevalaṃ panettha ‘‘mānattaṃ caranto’’ti avatvā ‘‘ciṇṇamānatto abbhānāraho’’ti vattabbaṃ.

    โอธานสโมธานปริวาสกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Odhānasamodhānaparivāsakathā niṭṭhitā.

    ๒๔๔. อคฺฆสโมธาโน (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) นาม สมฺพหุลาสุ อาปตฺตีสุ ยา เอกา วา เทฺว วา ติโสฺส วา สมฺพหุลา วา อาปตฺติโย สพฺพจิรปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธาย ตาสํ รตฺติปริเจฺฉทวเสน อวเสสานํ อูนตรปฎิจฺฉนฺนานํ อาปตฺตีนํ ปริวาโส ทียติ, อยํ วุจฺจติ อคฺฆสโมธาโนฯ ยสฺส ปน สตํ อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนา, อปรมฺปิ สตํ อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาติ เอวํ ทสกฺขตฺตุํ กตฺวา อาปตฺติสหสฺสํ ทิวสสตํ ปฎิจฺฉนฺนํ โหติ, เตน กิํ กาตพฺพนฺติ? สพฺพา สโมทหิตฺวา ทส ทิวเส ปริวสิตพฺพํฯ เอวํ เอเกเนว ทสาเหน ทิวสสตมฺปิ ปริวสิตพฺพเมว โหติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    244.Agghasamodhāno (cūḷava. aṭṭha. 102) nāma sambahulāsu āpattīsu yā ekā vā dve vā tisso vā sambahulā vā āpattiyo sabbacirapaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhāya tāsaṃ rattiparicchedavasena avasesānaṃ ūnatarapaṭicchannānaṃ āpattīnaṃ parivāso dīyati, ayaṃ vuccati agghasamodhāno. Yassa pana sataṃ āpattiyo dasāhappaṭicchannā, aparampi sataṃ āpattiyo dasāhappaṭicchannāti evaṃ dasakkhattuṃ katvā āpattisahassaṃ divasasataṃ paṭicchannaṃ hoti, tena kiṃ kātabbanti? Sabbā samodahitvā dasa divase parivasitabbaṃ. Evaṃ ekeneva dasāhena divasasatampi parivasitabbameva hoti. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ทสสตํ รตฺติสตํ, อาปตฺติโย ฉาทยิตฺวาน;

    ‘‘Dasasataṃ rattisataṃ, āpattiyo chādayitvāna;

    ทส รตฺติโย วสิตฺวาน, มุเจฺจยฺย ปาริวาสิโก’’ติฯ (ปริ. ๔๗๗);

    Dasa rattiyo vasitvāna, mucceyya pārivāsiko’’ti. (pari. 477);

    อยํ อคฺฆสโมธาโน นามฯ

    Ayaṃ agghasamodhāno nāma.

    ตสฺส อาโรจนทานลกฺขณํ เอวํ เวทิตพฺพํ – สเจ กสฺสจิ ภิกฺขุโน เอกา อาปตฺติ เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนา โหติ, เอกา อาปตฺติ ทฺวีหปฺปฎิจฺฉนฺนา, เอกา ตีหปฎิจฺฉนฺนา, เอกา จตูหปฺปฎิจฺฉนฺนา, เอกา ปญฺจาหปฺปฎิจฺฉนฺนา, เอกา ฉาหปฺปฎิจฺฉนฺนา, เอกา สตฺตาหปฺปฎิจฺฉนฺนา, เอกา อฎฺฐาหปฺปฎิจฺฉนฺนา, เอกา นวาหปฺปฎิจฺฉนฺนา, เอกา ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนา โหติ, เตน ภิกฺขุนา สงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา…เป.… เอวมสฺส วจนีโย –

    Tassa ārocanadānalakkhaṇaṃ evaṃ veditabbaṃ – sace kassaci bhikkhuno ekā āpatti ekāhappaṭicchannā hoti, ekā āpatti dvīhappaṭicchannā, ekā tīhapaṭicchannā, ekā catūhappaṭicchannā, ekā pañcāhappaṭicchannā, ekā chāhappaṭicchannā, ekā sattāhappaṭicchannā, ekā aṭṭhāhappaṭicchannā, ekā navāhappaṭicchannā, ekā dasāhappaṭicchannā hoti, tena bhikkhunā saṅghaṃ upasaṅkamitvā ekaṃsaṃ uttarāsaṅgaṃ karitvā…pe… evamassa vacanīyo –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ สมฺพหุลา อาปตฺติโย เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย สมฺพหุลา อาปตฺติโย ทฺวีหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย…เป.… สมฺพหุลา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ ยาจามี’’ติฯ

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ sambahulā āpattiyo ekāhappaṭicchannāyo sambahulā āpattiyo dvīhappaṭicchannāyo…pe… sambahulā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ yācāmī’’ti.

    ทุติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ ตติยมฺปิ ยาจิตโพฺพฯ

    Dutiyampi yācitabbo. Tatiyampi yācitabbo.

    พฺยเตฺตน ภิกฺขุนา ปฎิพเลน สโงฺฆ ญาเปตโพฺพ –

    Byattena bhikkhunā paṭibalena saṅgho ñāpetabbo –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ สมฺพหุลา อาปตฺติโย เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย…เป.… สมฺพหุลา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ ทเทยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajji sambahulā āpattiyo ekāhappaṭicchannāyo…pe… sambahulā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ dadeyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ สมฺพหุลา อาปตฺติโย เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย…เป.… สมฺพหุลา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ เทติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสสฺส ทานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajji sambahulā āpattiyo ekāhappaṭicchannāyo…pe… sambahulā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ yācati, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ deti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsassa dānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ทิโนฺน สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาโส, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Dinno saṅghena itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāso, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    กมฺมวาจาปริโยสาเน วตฺตสมาทานาทิ สพฺพํ วุตฺตนยเมวฯ อาโรเจเนฺตน ปน –

    Kammavācāpariyosāne vattasamādānādi sabbaṃ vuttanayameva. Ārocentena pana –

    ‘‘อหํ , ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ สมฺพหุลา อาปตฺติโย เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย…เป.… สมฺพหุลา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวสามิ, เวทิยามหํ, ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ , bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ sambahulā āpattiyo ekāhappaṭicchannāyo…pe… sambahulā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivasāmi, vediyāmahaṃ, bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti –

    เอวํ อาโรเจตพฺพํฯ

    Evaṃ ārocetabbaṃ.

    ปริวุตฺถปริวาสสฺส มานตฺตํ เทเนฺตน –

    Parivutthaparivāsassa mānattaṃ dentena –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ สมฺพหุลา อาปตฺติโย เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย…เป.… สมฺพหุลา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โสหํ, ภเนฺต, ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ sambahulā āpattiyo ekāhappaṭicchannāyo…pe… sambahulā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ, bhante, parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācāmī’’ti –

    ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ สมฺพหุลา อาปตฺติโย เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย…เป.… สมฺพหุลา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ , สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ทเทยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajji sambahulā āpattiyo ekāhappaṭicchannāyo…pe… sambahulā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ , saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ dadeyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ สมฺพหุลา อาปตฺติโย เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย…เป.… สมฺพหุลา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ เทติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตสฺส ทานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajji sambahulā āpattiyo ekāhappaṭicchannāyo…pe… sambahulā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yācati, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ deti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattassa dānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘ทินฺนํ สเงฺฆน อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Dinnaṃ saṅghena itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจา กาตพฺพาฯ

    Evaṃ kammavācā kātabbā.

    กมฺมวาจาปริโยสาเน จ มานตฺตสมาทานาทิ สพฺพํ วุตฺตนยเมวฯ อาโรเจเนฺตน ปน –

    Kammavācāpariyosāne ca mānattasamādānādi sabbaṃ vuttanayameva. Ārocentena pana –

    ‘‘อหํ , ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ สมฺพหุลา อาปตฺติโย เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย…เป.… สมฺพหุลา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ มานตฺตํ จรามิ, เวทิยามหํ, ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ อาโรเจตพฺพํฯ

    ‘‘Ahaṃ , bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ sambahulā āpattiyo ekāhappaṭicchannāyo…pe… sambahulā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ mānattaṃ carāmi, vediyāmahaṃ, bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti ārocetabbaṃ.

    จิณฺณมานโตฺต อเพฺภตโพฺพฯ อเพฺภเนฺตน จ –

    Ciṇṇamānatto abbhetabbo. Abbhentena ca –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ สมฺพหุลา อาปตฺติโย เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย…เป.… สมฺพหุลา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โสหํ สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิํ, ตสฺส เม สโงฺฆ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โสหํ, ภเนฺต, จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ sambahulā āpattiyo ekāhappaṭicchannāyo…pe… sambahulā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, sohaṃ saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ adāsi, sohaṃ parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāciṃ, tassa me saṅgho tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, sohaṃ, bhante, ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācāmī’’ti –

    ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา –

    Tikkhattuṃ yācāpetvā –

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ สมฺพหุลา อาปตฺติโย เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย…เป.… สมฺพหุลา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภยฺย, เอสา ญตฺติฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajji sambahulā āpattiyo ekāhappaṭicchannāyo…pe… sambahulā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheyya, esā ñatti.

    ‘‘สุณาตุ เม, ภเนฺต, สโงฺฆ, อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ สมฺพหุลา อาปตฺติโย เอกาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย…เป.… สมฺพหุลา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, โส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ยา อาปตฺติโย ทสาหปฺปฎิจฺฉนฺนาโย, ตาสํ อเคฺฆน สโมธานปริวาสํ อทาสิ, โส ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจิ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน ตาสํ อาปตฺตีนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ อทาสิ, โส จิณฺณมานโตฺต สงฺฆํ อพฺภานํ ยาจติ, สโงฺฆ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ อเพฺภติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อพฺภานํ, โส ตุณฺหสฺสฯ ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺยฯ

    ‘‘Suṇātu me, bhante, saṅgho, ayaṃ itthannāmo bhikkhu sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajji sambahulā āpattiyo ekāhappaṭicchannāyo…pe… sambahulā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, so saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ yā āpattiyo dasāhappaṭicchannāyo, tāsaṃ agghena samodhānaparivāsaṃ adāsi, so parivutthaparivāso saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ yāci, saṅgho itthannāmassa bhikkhuno tāsaṃ āpattīnaṃ chārattaṃ mānattaṃ adāsi, so ciṇṇamānatto saṅghaṃ abbhānaṃ yācati, saṅgho itthannāmaṃ bhikkhuṃ abbheti, yassāyasmato khamati itthannāmassa bhikkhuno abbhānaṃ, so tuṇhassa. Yassa nakkhamati, so bhāseyya.

    ‘‘ทุติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.… ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ…เป.…ฯ

    ‘‘Dutiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe… tatiyampi etamatthaṃ vadāmi…pe….

    ‘‘อพฺภิโต สเงฺฆน อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ, ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามี’’ติ –

    ‘‘Abbhito saṅghena itthannāmo bhikkhu, khamati saṅghassa, tasmā tuṇhī, evametaṃ dhārayāmī’’ti –

    เอวํ กมฺมวาจํ กตฺวา อเพฺภตโพฺพฯ

    Evaṃ kammavācaṃ katvā abbhetabbo.

    อคฺฆสโมธานปริวาสกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Agghasamodhānaparivāsakathā niṭṭhitā.

    ๒๔๕. มิสฺสกสโมธาโน (จุฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) นาม – โย นานาวตฺถุกา อาปตฺติโย เอกโต กตฺวา ทียติฯ ตตฺรายํ นโย –

    245.Missakasamodhāno (cuḷava. aṭṭha. 102) nāma – yo nānāvatthukā āpattiyo ekato katvā dīyati. Tatrāyaṃ nayo –

    ‘‘อหํ, ภเนฺต, สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิํ เอกํ สุกฺกวิสฺสฎฺฐิํ, เอกํ กายสํสคฺคํ, เอกํ ทุฎฺฐุลฺลวาจํ, เอกํ อตฺตกามํ, เอกํ สญฺจริตฺตํ, เอกํ กุฎิการํ, เอกํ วิหารการํ, เอกํ ทุฎฺฐโทสํ, เอกํ อญฺญภาคิยํ, เอกํ สงฺฆเภทกํ, เอกํ สงฺฆเภทานุวตฺตกํ, เอกํ ทุพฺพจํ, เอกํ กุลทูสกํ, โสหํ, ภเนฺต, สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สโมธานปริวาสํ ยาจามี’’ติ –

    ‘‘Ahaṃ, bhante, sambahulā saṅghādisesā āpattiyo āpajjiṃ ekaṃ sukkavissaṭṭhiṃ, ekaṃ kāyasaṃsaggaṃ, ekaṃ duṭṭhullavācaṃ, ekaṃ attakāmaṃ, ekaṃ sañcarittaṃ, ekaṃ kuṭikāraṃ, ekaṃ vihārakāraṃ, ekaṃ duṭṭhadosaṃ, ekaṃ aññabhāgiyaṃ, ekaṃ saṅghabhedakaṃ, ekaṃ saṅghabhedānuvattakaṃ, ekaṃ dubbacaṃ, ekaṃ kuladūsakaṃ, sohaṃ, bhante, saṅghaṃ tāsaṃ āpattīnaṃ samodhānaparivāsaṃ yācāmī’’ti –

    ติกฺขตฺตุํ ยาจาเปตฺวา ตทนุรูปาย กมฺมวาจาย ปริวาโส ทาตโพฺพฯ

    Tikkhattuṃ yācāpetvā tadanurūpāya kammavācāya parivāso dātabbo.

    เอตฺถ จ ‘‘สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ นานาวตฺถุกาโย’’ติปิ ‘‘สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชิ’’อิติปิ เอวํ ปุเพฺพ วุตฺตนเยน วตฺถุวเสนปิ โคตฺตวเสนปิ นามวเสนปิ อาปตฺติวเสนปิ โยเชตฺวา กมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติเยว, ตสฺมา น อิธ วิสุํ กมฺมวาจํ โยเชตฺวา ทสฺสยิสฺสาม ปุเพฺพ สพฺพาปตฺติสาธารณํ กตฺวา โยเชตฺวา ทสฺสิตาย เอว กมฺมวาจาย นานาวตฺถุกาหิปิ อาปตฺตีหิ วุฎฺฐานสมฺภวโต สาเยเวตฺถ กมฺมวาจา อลนฺติฯ

    Ettha ca ‘‘saṅghādisesā āpattiyo āpajji nānāvatthukāyo’’tipi ‘‘saṅghādisesā āpattiyo āpajji’’itipi evaṃ pubbe vuttanayena vatthuvasenapi gottavasenapi nāmavasenapi āpattivasenapi yojetvā kammaṃ kātuṃ vaṭṭatiyeva, tasmā na idha visuṃ kammavācaṃ yojetvā dassayissāma pubbe sabbāpattisādhāraṇaṃ katvā yojetvā dassitāya eva kammavācāya nānāvatthukāhipi āpattīhi vuṭṭhānasambhavato sāyevettha kammavācā alanti.

    มิสฺสกสโมธานปริวาสกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Missakasamodhānaparivāsakathā niṭṭhitā.

    ๒๔๖. สเจ โกจิ ภิกฺขุ ปริวสโนฺต วิพฺภมติ, สามเณโร วา โหติ, วิพฺภมนฺตสฺส สามเณรสฺส จ ปริวาโส น รุหติฯ โส เจ ปุน อุปสมฺปชฺชติ, ตสฺส ตเทว ปุริมํ ปริวาสทานํ, โย ปริวาโส ทิโนฺน, สุทิโนฺน, โย ปริวุโตฺถ, สุปริวุโตฺถ, อวเสโส ปริวสิตโพฺพฯ สเจปิ มานตฺตารโห มานตฺตํ จรโนฺต อพฺภานารโห วา วิพฺภมติ, สามเณโร วา โหติ, โส เจ ปุน อุปสมฺปชฺชติ, ตสฺส ตเทว ปุริมํ ปริวาสทานํ, โย ปริวาโส ทิโนฺน, สุทิโนฺน, โย ปริวุโตฺถ, สุปริวุโตฺถ, ยํ มานตฺตํ ทินฺนํ, สุทินฺนํ, ยํ มานตฺตํ จิณฺณํ, ตํ สุจิณฺณํ, โส ภิกฺขุ อเพฺภตโพฺพฯ

    246. Sace koci bhikkhu parivasanto vibbhamati, sāmaṇero vā hoti, vibbhamantassa sāmaṇerassa ca parivāso na ruhati. So ce puna upasampajjati, tassa tadeva purimaṃ parivāsadānaṃ, yo parivāso dinno, sudinno, yo parivuttho, suparivuttho, avaseso parivasitabbo. Sacepi mānattāraho mānattaṃ caranto abbhānāraho vā vibbhamati, sāmaṇero vā hoti, so ce puna upasampajjati, tassa tadeva purimaṃ parivāsadānaṃ, yo parivāso dinno, sudinno, yo parivuttho, suparivuttho, yaṃ mānattaṃ dinnaṃ, sudinnaṃ, yaṃ mānattaṃ ciṇṇaṃ, taṃ suciṇṇaṃ, so bhikkhu abbhetabbo.

    สเจ โกจิ ภิกฺขุ ปริวสโนฺต อุมฺมตฺตโก โหติ ขิตฺตจิโตฺต เวทนาโฎฺฎ, อุมฺมตฺตกสฺส ขิตฺตจิตฺตสฺส เวทนาฎฺฎสฺส จ ปริวาโส น รุหติฯ โส เจ ปุน อนุมฺมตฺตโก โหติ อขิตฺตจิโตฺต อเวทนาโฎฺฎ, ตเทว ปุริมํ ปริวาสทานํ, โย ปริวาโส ทิโนฺน, สุทิโนฺน, โย ปริวุโตฺถ, สุปริวุโตฺถ, อวเสโส ปริวสิตโพฺพฯ มานตฺตารหาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    Sace koci bhikkhu parivasanto ummattako hoti khittacitto vedanāṭṭo, ummattakassa khittacittassa vedanāṭṭassa ca parivāso na ruhati. So ce puna anummattako hoti akhittacitto avedanāṭṭo, tadeva purimaṃ parivāsadānaṃ, yo parivāso dinno, sudinno, yo parivuttho, suparivuttho, avaseso parivasitabbo. Mānattārahādīsupi eseva nayo.

    สเจ โกจิ ปริวสโนฺต อุกฺขิตฺตโก โหติ, อุกฺขิตฺตกสฺส ปริวาโส น รุหติฯ สเจ ปุน โอสารียติ, ตสฺส ตเทว ปุริมํ ปริวาสทานํ, โย ปริวาโส ทิโนฺน, สุทิโนฺน, โย ปริวุโตฺถ, สุปริวุโตฺถ, อวเสโส ปริวสิตโพฺพฯ มานตฺตารหาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    Sace koci parivasanto ukkhittako hoti, ukkhittakassa parivāso na ruhati. Sace puna osārīyati, tassa tadeva purimaṃ parivāsadānaṃ, yo parivāso dinno, sudinno, yo parivuttho, suparivuttho, avaseso parivasitabbo. Mānattārahādīsupi eseva nayo.

    สเจ กสฺสจิ ภิกฺขุโน อิตฺถิลิงฺคํ ปาตุภวติ, ตสฺส สาเยว อุปชฺฌา, สาเยว อุปสมฺปทา, ปุน อุปชฺฌา น คเหตพฺพา, อุปสมฺปทา จ น กาตพฺพา, ภิกฺขุอุปสมฺปทโต ปภุติ ยาว วสฺสคณนา, สาเยว วสฺสคณนา , น อิโต ปฎฺฐาย วสฺสคณนา กาตพฺพาฯ อปฺปติรูปํ ทานิสฺสา ภิกฺขูนํ มเชฺฌ วสิตุํ, ตสฺมา ภิกฺขุนุปสฺสยํ คนฺตฺวา ภิกฺขุนีหิ สทฺธิํ วสิตพฺพํฯ ยา เทสนาคามินิโย วา วุฎฺฐานคามินิโย วา อาปตฺติโย ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีหิ สาธารณา, ตาสํ ภิกฺขุนีหิ กาตพฺพํ, วินยกมฺมเมว ภิกฺขุนีนํ สนฺติเก กาตพฺพํฯ ยา ปน ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีหิ อสาธารณา สุกฺกวิสฺสฎฺฐิอาทิกา อาปตฺติโย, ตาหิ อาปตฺตีหิ อนาปตฺติ, ลิเงฺค ปริวเตฺต ตา อาปตฺติโย วุฎฺฐิตาว โหนฺติ, ปุน ปกติลิเงฺค อุปฺปเนฺนปิ ตาหิ อาปตฺตีหิ ตสฺส อนาปตฺติเยวฯ ภิกฺขุนิยา ปุริสลิเงฺค ปาตุภูเตปิ เอเสว นโยฯ วุตฺตเญฺจตํ –

    Sace kassaci bhikkhuno itthiliṅgaṃ pātubhavati, tassa sāyeva upajjhā, sāyeva upasampadā, puna upajjhā na gahetabbā, upasampadā ca na kātabbā, bhikkhuupasampadato pabhuti yāva vassagaṇanā, sāyeva vassagaṇanā , na ito paṭṭhāya vassagaṇanā kātabbā. Appatirūpaṃ dānissā bhikkhūnaṃ majjhe vasituṃ, tasmā bhikkhunupassayaṃ gantvā bhikkhunīhi saddhiṃ vasitabbaṃ. Yā desanāgāminiyo vā vuṭṭhānagāminiyo vā āpattiyo bhikkhūnaṃ bhikkhunīhi sādhāraṇā, tāsaṃ bhikkhunīhi kātabbaṃ, vinayakammameva bhikkhunīnaṃ santike kātabbaṃ. Yā pana bhikkhūnaṃ bhikkhunīhi asādhāraṇā sukkavissaṭṭhiādikā āpattiyo, tāhi āpattīhi anāpatti, liṅge parivatte tā āpattiyo vuṭṭhitāva honti, puna pakatiliṅge uppannepi tāhi āpattīhi tassa anāpattiyeva. Bhikkhuniyā purisaliṅge pātubhūtepi eseva nayo. Vuttañcetaṃ –

    ‘‘เตน โข ปน สมเยน อญฺญตรสฺส ภิกฺขุโน อิตฺถิลิงฺคํ ปาตุภูตํ โหติฯ ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ อนุชานามิ ภิกฺขเว ตํเยว อุปชฺฌํ, ตํเยว อุปสมฺปทํ, ตานิเยว วสฺสานิ ภิกฺขุนีหิ สงฺคมิตุํ, ยา อาปตฺติโย ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีหิ สาธารณา, ตา อาปตฺติโย ภิกฺขุนีนํ สนฺติเก วุฎฺฐาตุํฯ ยา อาปตฺติโย ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีหิ อสาธารณา, ตาหิ อาปตฺตีหิ อนาปตฺติฯ

    ‘‘Tena kho pana samayena aññatarassa bhikkhuno itthiliṅgaṃ pātubhūtaṃ hoti. Bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ. Anujānāmi bhikkhave taṃyeva upajjhaṃ, taṃyeva upasampadaṃ, tāniyeva vassāni bhikkhunīhi saṅgamituṃ, yā āpattiyo bhikkhūnaṃ bhikkhunīhi sādhāraṇā, tā āpattiyo bhikkhunīnaṃ santike vuṭṭhātuṃ. Yā āpattiyo bhikkhūnaṃ bhikkhunīhi asādhāraṇā, tāhi āpattīhi anāpatti.

    ‘‘เตน โข ปน สมเยน อญฺญตริสฺสา ภิกฺขุนิยา ปุริสลิงฺคํ ปาตุภูตํ โหติฯ ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ อนุชานามิ ภิกฺขเว ตํเยว อุปชฺฌํ, ตํเยว อุปสมฺปทํ, ตานิเยว วสฺสานิ ภิกฺขูหิ สงฺคมิตุํ, ยา อาปตฺติโย ภิกฺขุนีนํ ภิกฺขูหิ สาธารณา, ตา อาปตฺติโย ภิกฺขูนํ สนฺติเก วุฎฺฐาตุํฯ ยา อาปตฺติโย ภิกฺขุนีนํ ภิกฺขูหิ อสาธารณา, ตาหิ อาปตฺตีหิ อนาปตฺตี’’ติ (ปารา. ๖๙)ฯ

    ‘‘Tena kho pana samayena aññatarissā bhikkhuniyā purisaliṅgaṃ pātubhūtaṃ hoti. Bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ. Anujānāmi bhikkhave taṃyeva upajjhaṃ, taṃyeva upasampadaṃ, tāniyeva vassāni bhikkhūhi saṅgamituṃ, yā āpattiyo bhikkhunīnaṃ bhikkhūhi sādhāraṇā, tā āpattiyo bhikkhūnaṃ santike vuṭṭhātuṃ. Yā āpattiyo bhikkhunīnaṃ bhikkhūhi asādhāraṇā, tāhi āpattīhi anāpattī’’ti (pārā. 69).

    ๒๔๗. อยํ ปเนตฺถ ปาฬิมุตฺตกวินิจฺฉโย (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๖๙) – อิเมสุ ทฺวีสุ ลิเงฺคสุ ปุริสลิงฺคํ อุตฺตมํ, อิตฺถิลิงฺคํ หีนํ, ตสฺมา ปุริสลิงฺคํ พลวอกุสเลน อนฺตรธายติ, อิตฺถิลิงฺคํ ทุพฺพลกุสเลน ปติฎฺฐาติฯ อิตฺถิลิงฺคํ ปน อนฺตรธายนฺตํ ทุพฺพลอกุสเลน อนฺตรธายติ, ปุริสลิงฺคํ พลวกุสเลน ปติฎฺฐาติฯ เอวํ อุภยมฺปิ อกุสเลน อนฺตรธายติ, กุสเลน ปฎิลพฺภติฯ

    247.Ayaṃ panettha pāḷimuttakavinicchayo (pārā. aṭṭha. 1.69) – imesu dvīsu liṅgesu purisaliṅgaṃ uttamaṃ, itthiliṅgaṃ hīnaṃ, tasmā purisaliṅgaṃ balavaakusalena antaradhāyati, itthiliṅgaṃ dubbalakusalena patiṭṭhāti. Itthiliṅgaṃ pana antaradhāyantaṃ dubbalaakusalena antaradhāyati, purisaliṅgaṃ balavakusalena patiṭṭhāti. Evaṃ ubhayampi akusalena antaradhāyati, kusalena paṭilabbhati.

    ตตฺถ สเจ ทฺวินฺนํ ภิกฺขูนํ เอกโต สชฺฌายํ วา ธมฺมสากจฺฉํ วา กตฺวา เอกาคาเร นิปชฺชิตฺวา นิทฺทํ โอกฺกนฺตานํ เอกสฺส อิตฺถิลิงฺคํ ปาตุภวติ, อุภินฺนมฺปิ สหเสยฺยาปตฺติ โหติฯ โส เจ ปฎิพุชฺฌิตฺวา อตฺตโน วิปฺปการํ ทิสฺวา ทุกฺขี ทุมฺมโน รตฺติภาเคเยว อิตรสฺส อาโรเจยฺย, เตน สมสฺสาเสตโพฺพ ‘‘โหตุ มา จินฺตยิตฺถ, วฎฺฎเสฺสเวโส โทโส, สมฺมาสมฺพุเทฺธน ทฺวารํ ทินฺนํ, ภิกฺขุ วา โหตุ ภิกฺขุนี วา, อนาวโฎ ธโมฺม, อวาริโต สคฺคมโคฺค’’ติฯ สมสฺสาเสตฺวา เอวํ วตฺตพฺพํ ‘‘ตุเมฺหหิ ภิกฺขุนุปสฺสยํ คนฺตุํ วฎฺฎติ, อตฺถิ ปน เต กาจิ สนฺทิฎฺฐา ภิกฺขุนิโย’’ติฯ สจสฺสา โหนฺติ ตาทิสา ภิกฺขุนิโย, ‘‘อตฺถี’’ติ, โน เจ โหนฺติ, ‘‘นตฺถี’’ติ วตฺวา โส ภิกฺขุ วตฺตโพฺพ ‘‘มม สงฺคหํ กโรถ, อิทานิ มํ ปฐมํ ภิกฺขุนุปสฺสยํ เนถา’’ติฯ เตน ภิกฺขุนา ตํ คเหตฺวา ตสฺสา วา สนฺทิฎฺฐานํ อตฺตโน วา สนฺทิฎฺฐานํ ภิกฺขุนีนํ สนฺติกํ คนฺตพฺพํฯ คจฺฉเนฺตน จ น เอกเกน คนฺตพฺพํ, จตูหิ ปญฺจหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ โชติกญฺจ กตฺตรทณฺฑกญฺจ คเหตฺวา สํวิทหนํ ปริโมเจตฺวา ‘‘มยํ อสุกํ นาม ฐานํ คจฺฉามา’’ติ คนฺตพฺพํฯ สเจ พหิคาเม ทูเร วิหาโร โหติ, อนฺตรามเคฺค คามนฺตรนทีปารรตฺติวิปฺปวาสคณโอหียนาปตฺตีหิ อนาปตฺติฯ ภิกฺขุนุปสฺสยํ คนฺตฺวา ตา ภิกฺขุนิโย วตฺตพฺพา ‘‘อสุกํ นาม ภิกฺขุํ ชานาถา’’ติ? ‘‘อาม, อยฺยา’’ติฯ ตสฺส อิตฺถิลิงฺคํ ปาตุภูตํ, สงฺคหํ ทานิสฺสา กโรถาติฯ ตา เจ ‘‘สาธุ อยฺยา, อิทานิ มยมฺปิ สชฺฌายิสฺสาม, ธมฺมํ โสสฺสาม, คจฺฉถ ตุเมฺห’’ติ วตฺวา สงฺคหํ กโรนฺติ, อาราธิกา จ โหนฺติ สงฺคาหิกา ลชฺชินิโย, ตา โกเปตฺวา อญฺญตฺถ น คนฺตพฺพํฯ คจฺฉติ เจ, คามนฺตรนทีปารรตฺติวิปฺปวาสคณโอหียนาปตฺตีหิ น มุจฺจติฯ

    Tattha sace dvinnaṃ bhikkhūnaṃ ekato sajjhāyaṃ vā dhammasākacchaṃ vā katvā ekāgāre nipajjitvā niddaṃ okkantānaṃ ekassa itthiliṅgaṃ pātubhavati, ubhinnampi sahaseyyāpatti hoti. So ce paṭibujjhitvā attano vippakāraṃ disvā dukkhī dummano rattibhāgeyeva itarassa āroceyya, tena samassāsetabbo ‘‘hotu mā cintayittha, vaṭṭasseveso doso, sammāsambuddhena dvāraṃ dinnaṃ, bhikkhu vā hotu bhikkhunī vā, anāvaṭo dhammo, avārito saggamaggo’’ti. Samassāsetvā evaṃ vattabbaṃ ‘‘tumhehi bhikkhunupassayaṃ gantuṃ vaṭṭati, atthi pana te kāci sandiṭṭhā bhikkhuniyo’’ti. Sacassā honti tādisā bhikkhuniyo, ‘‘atthī’’ti, no ce honti, ‘‘natthī’’ti vatvā so bhikkhu vattabbo ‘‘mama saṅgahaṃ karotha, idāni maṃ paṭhamaṃ bhikkhunupassayaṃ nethā’’ti. Tena bhikkhunā taṃ gahetvā tassā vā sandiṭṭhānaṃ attano vā sandiṭṭhānaṃ bhikkhunīnaṃ santikaṃ gantabbaṃ. Gacchantena ca na ekakena gantabbaṃ, catūhi pañcahi bhikkhūhi saddhiṃ jotikañca kattaradaṇḍakañca gahetvā saṃvidahanaṃ parimocetvā ‘‘mayaṃ asukaṃ nāma ṭhānaṃ gacchāmā’’ti gantabbaṃ. Sace bahigāme dūre vihāro hoti, antarāmagge gāmantaranadīpārarattivippavāsagaṇaohīyanāpattīhi anāpatti. Bhikkhunupassayaṃ gantvā tā bhikkhuniyo vattabbā ‘‘asukaṃ nāma bhikkhuṃ jānāthā’’ti? ‘‘Āma, ayyā’’ti. Tassa itthiliṅgaṃ pātubhūtaṃ, saṅgahaṃ dānissā karothāti. Tā ce ‘‘sādhu ayyā, idāni mayampi sajjhāyissāma, dhammaṃ sossāma, gacchatha tumhe’’ti vatvā saṅgahaṃ karonti, ārādhikā ca honti saṅgāhikā lajjiniyo, tā kopetvā aññattha na gantabbaṃ. Gacchati ce, gāmantaranadīpārarattivippavāsagaṇaohīyanāpattīhi na muccati.

    สเจ ปน ลชฺชินิโย โหนฺติ, น สงฺคาหิกาโย, อญฺญตฺถ คนฺตุํ ลพฺภติฯ สเจปิ อลชฺชินิโย โหนฺติ, สงฺคหํ ปน กโรนฺติ, ตาปิ ปริจฺจชิตฺวา อญฺญตฺถ คนฺตุํ ลพฺภติฯ สเจ ลชฺชินิโย จ สงฺคาหิกา จ, ญาติกา น โหนฺติ, อาสนฺนคาเม ปน อญฺญา ญาติกา โหนฺติ ปฎิชคฺคนิกา, ตาสมฺปิ สนฺติกํ คนฺตุํ วฎฺฎตีติ วทนฺติฯ คนฺตฺวา สเจ ภิกฺขุภาเวปิ นิสฺสยปฎิปโนฺน, ปติรูปาย ภิกฺขุนิยา สนฺติเก นิสฺสโย คเหตโพฺพ, มาติกา วา วินโย วา อุคฺคหิโต สุคฺคหิโต, ปุน อุคฺคณฺหนการณํ นตฺถิฯ สเจ ภิกฺขุภาเวปิ ปริสาวจโร, ตสฺส สนฺติเกเยว อุปสมฺปนฺนา สูปสมฺปนฺนา, อญฺญสฺส สนฺติเก นิสฺสโย คเหตโพฺพฯ ปุเพฺพ ตํ นิสฺสาย วสเนฺตหิปิ อญฺญสฺส สนฺติเก นิสฺสโย คเหตโพฺพฯ ปริปุณฺณวสฺสสามเณเรนปิ อญฺญสฺส สนฺติเก อุปชฺฌา คเหตพฺพาฯ

    Sace pana lajjiniyo honti, na saṅgāhikāyo, aññattha gantuṃ labbhati. Sacepi alajjiniyo honti, saṅgahaṃ pana karonti, tāpi pariccajitvā aññattha gantuṃ labbhati. Sace lajjiniyo ca saṅgāhikā ca, ñātikā na honti, āsannagāme pana aññā ñātikā honti paṭijagganikā, tāsampi santikaṃ gantuṃ vaṭṭatīti vadanti. Gantvā sace bhikkhubhāvepi nissayapaṭipanno, patirūpāya bhikkhuniyā santike nissayo gahetabbo, mātikā vā vinayo vā uggahito suggahito, puna uggaṇhanakāraṇaṃ natthi. Sace bhikkhubhāvepi parisāvacaro, tassa santikeyeva upasampannā sūpasampannā, aññassa santike nissayo gahetabbo. Pubbe taṃ nissāya vasantehipi aññassa santike nissayo gahetabbo. Paripuṇṇavassasāmaṇerenapi aññassa santike upajjhā gahetabbā.

    ยํ ปนสฺส ภิกฺขุภาเว อธิฎฺฐิตํ ติจีวรญฺจ ปโตฺต จ, ตํ อธิฎฺฐานํ วิชหติ, ปุน อธิฎฺฐาตพฺพํฯ สงฺกจฺจิกา จ อุทกสาฎิกา จ คเหตพฺพาฯ ยํ อติเรกจีวรํ วา อติเรกปโตฺต วา วินยกมฺมํ กตฺวา ฐปิโต โหติ, ตมฺปิ สพฺพํ วินยกมฺมํ วิชหติ, ปุน กาตพฺพํฯ ปฎิคฺคหิตเตลมธุผาณิตาทีนิปิ ปฎิคฺคหณํ วิชหนฺติฯ สเจ ปฎิคฺคหณโต สตฺตเม ทิวเส ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, ปุน ปฎิคฺคเหตฺวา สตฺตาหํ วฎฺฎติฯ ยํ ปน ภิกฺขุกาเล อญฺญสฺส ภิกฺขุโน สนฺตกํ ปฎิคฺคหิตํ, ตํ ปฎิคฺคหณํ น วิชหติฯ ยมฺปิ อุภินฺนํ สาธารณํ อวิภชิตฺวา ฐปิตํ, ตํ ปกตโตฺต รกฺขติฯ ยํ ปน วิภตฺตํ เอตเสฺสว สนฺตกํ, ตํ ปฎิคฺคหณํ วิชหติฯ วุตฺตเญฺจตํ ปริวาเร –

    Yaṃ panassa bhikkhubhāve adhiṭṭhitaṃ ticīvarañca patto ca, taṃ adhiṭṭhānaṃ vijahati, puna adhiṭṭhātabbaṃ. Saṅkaccikā ca udakasāṭikā ca gahetabbā. Yaṃ atirekacīvaraṃ vā atirekapatto vā vinayakammaṃ katvā ṭhapito hoti, tampi sabbaṃ vinayakammaṃ vijahati, puna kātabbaṃ. Paṭiggahitatelamadhuphāṇitādīnipi paṭiggahaṇaṃ vijahanti. Sace paṭiggahaṇato sattame divase liṅgaṃ parivattati, puna paṭiggahetvā sattāhaṃ vaṭṭati. Yaṃ pana bhikkhukāle aññassa bhikkhuno santakaṃ paṭiggahitaṃ, taṃ paṭiggahaṇaṃ na vijahati. Yampi ubhinnaṃ sādhāraṇaṃ avibhajitvā ṭhapitaṃ, taṃ pakatatto rakkhati. Yaṃ pana vibhattaṃ etasseva santakaṃ, taṃ paṭiggahaṇaṃ vijahati. Vuttañcetaṃ parivāre –

    ‘‘เตลํ มธุ ผาณิตญฺจาปิ สปฺปิํ, สามํ คเหตฺวา นิกฺขิเปยฺย;

    ‘‘Telaṃ madhu phāṇitañcāpi sappiṃ, sāmaṃ gahetvā nikkhipeyya;

    อวีติวเตฺต สตฺตาเห, สติ ปจฺจเย ปริภุญฺชนฺตสฺส อาปตฺติ;

    Avītivatte sattāhe, sati paccaye paribhuñjantassa āpatti;

    ปญฺหา เมสา กุสเลหิ จินฺติตา’’ติฯ (ปริ. ๔๘๐);

    Pañhā mesā kusalehi cintitā’’ti. (pari. 480);

    อิทญฺหิ ลิงฺคปริวตฺตนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ปฎิคฺคหณํ นาม ลิงฺคปริวตฺตเนน, กาลกิริยาย, สิกฺขาปจฺจกฺขาเนน, หีนายาวตฺตเนน, อนุปสมฺปนฺนสฺส ทาเนน, อนเปกฺขวิสฺสชฺชเนน, อจฺฉินฺทิตฺวา คหเณน จ วิชหติฯ ตสฺมา สเจปิ หรีตกขณฺฑมฺปิ ปฎิคฺคเหตฺวา ฐปิตมตฺถิ, สพฺพมสฺส ปฎิคฺคหณํ วิชหติฯ ภิกฺขุวิหาเร ปน ยํ กิญฺจิสฺสา สนฺตกํ ปฎิคฺคเหตฺวา วา อปฺปฎิคฺคเหตฺวา วา ฐปิตํ, สพฺพสฺส สาว อิสฺสรา, อาหราเปตฺวา คเหตพฺพํฯ ยํ ปเนตฺถ ถาวรํ ตสฺสา สนฺตกํ เสนาสนํ วา อุปโรปกา วา, เต ยสฺสิจฺฉติ, ตสฺส ทาตพฺพาฯ เตรสสุ สมฺมุตีสุ ยา ภิกฺขุกาเล ลทฺธา สมฺมุติ, สพฺพา ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, ปุริมิกาย เสนาสนคฺคาโห ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ สเจ ปจฺฉิมิกาย เสนาสเน คหิเต ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, ภิกฺขุสโงฺฆ จสฺสา อุปฺปนฺนลาภํ ทาตุกาโม โหติ, อปโลเกตฺวา ทาตโพฺพฯ

    Idañhi liṅgaparivattanaṃ sandhāya vuttaṃ. Paṭiggahaṇaṃ nāma liṅgaparivattanena, kālakiriyāya, sikkhāpaccakkhānena, hīnāyāvattanena, anupasampannassa dānena, anapekkhavissajjanena, acchinditvā gahaṇena ca vijahati. Tasmā sacepi harītakakhaṇḍampi paṭiggahetvā ṭhapitamatthi, sabbamassa paṭiggahaṇaṃ vijahati. Bhikkhuvihāre pana yaṃ kiñcissā santakaṃ paṭiggahetvā vā appaṭiggahetvā vā ṭhapitaṃ, sabbassa sāva issarā, āharāpetvā gahetabbaṃ. Yaṃ panettha thāvaraṃ tassā santakaṃ senāsanaṃ vā uparopakā vā, te yassicchati, tassa dātabbā. Terasasu sammutīsu yā bhikkhukāle laddhā sammuti, sabbā paṭippassambhati, purimikāya senāsanaggāho paṭippassambhati. Sace pacchimikāya senāsane gahite liṅgaṃ parivattati, bhikkhusaṅgho cassā uppannalābhaṃ dātukāmo hoti, apaloketvā dātabbo.

    สเจ ภิกฺขุนีหิ สาธารณาย ปฎิจฺฉนฺนาย อาปตฺติยา ปริวสนฺตสฺส ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, ปุน ปกฺขมานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ สเจ มานตฺตํ จรนฺตสฺส ปริวตฺตติ , ปุน ปกฺขมานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ สเจ จิณฺณมานตฺตสฺส ปริวตฺตติ, ภิกฺขุนีหิ อพฺภานกมฺมํ กาตพฺพํฯ สเจ อกุสลวิปาเก ปริกฺขีเณ ปกฺขมานตฺตกาเล ปุนเทว ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, ฉารตฺตํ มานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ สเจ จิเณฺณ ปกฺขมานเตฺต ปริวตฺตติ, ภิกฺขูหิ อพฺภานกมฺมํ กาตพฺพนฺติฯ

    Sace bhikkhunīhi sādhāraṇāya paṭicchannāya āpattiyā parivasantassa liṅgaṃ parivattati, puna pakkhamānattameva dātabbaṃ. Sace mānattaṃ carantassa parivattati , puna pakkhamānattameva dātabbaṃ. Sace ciṇṇamānattassa parivattati, bhikkhunīhi abbhānakammaṃ kātabbaṃ. Sace akusalavipāke parikkhīṇe pakkhamānattakāle punadeva liṅgaṃ parivattati, chārattaṃ mānattameva dātabbaṃ. Sace ciṇṇe pakkhamānatte parivattati, bhikkhūhi abbhānakammaṃ kātabbanti.

    ภิกฺขุนิยา ลิงฺคปริวตฺตเนปิ วุตฺตนเยเนว สโพฺพ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ อยํ ปน วิเสโส – สเจ ภิกฺขุนิกาเล อาปนฺนา สญฺจริตฺตาปตฺติ ปฎิจฺฉนฺนา โหติ, ปริวาสทานํ นตฺถิ, ฉารตฺตํ มานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ สเจ ปกฺขมานตฺตํ จรนฺติยา ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, น เตนโตฺถ, ฉารตฺตํ มานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ สเจ จิณฺณมานตฺตาย ปริวตฺตติ, ปุน มานตฺตํ อทตฺวา ภิกฺขูหิ อเพฺภตโพฺพฯ อถ ภิกฺขูหิ มานเตฺต อทิเนฺน ปุน ลิงฺคํ ปริวตฺตติ, ภิกฺขุนีหิ ปกฺขมานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ อถ ฉารตฺตํ มานตฺตํ จรนฺตสฺส ปุน ปริวตฺตติ, ปกฺขมานตฺตเมว ทาตพฺพํฯ จิณฺณมานตฺตสฺส ปน ลิงฺคปริวเตฺต ชาเต ภิกฺขุนีหิ อพฺภานกมฺมํ กาตพฺพํฯ ปุน ปริวเตฺต จ ลิเงฺค ภิกฺขุนิภาเว ฐิตายปิ ยา อาปตฺติโย ปุเพฺพ ปฎิปฺปสฺสทฺธา, ตา สุปฺปฎิปฺปสฺสทฺธา เอวาติฯ

    Bhikkhuniyā liṅgaparivattanepi vuttanayeneva sabbo vinicchayo veditabbo. Ayaṃ pana viseso – sace bhikkhunikāle āpannā sañcarittāpatti paṭicchannā hoti, parivāsadānaṃ natthi, chārattaṃ mānattameva dātabbaṃ. Sace pakkhamānattaṃ carantiyā liṅgaṃ parivattati, na tenattho, chārattaṃ mānattameva dātabbaṃ. Sace ciṇṇamānattāya parivattati, puna mānattaṃ adatvā bhikkhūhi abbhetabbo. Atha bhikkhūhi mānatte adinne puna liṅgaṃ parivattati, bhikkhunīhi pakkhamānattameva dātabbaṃ. Atha chārattaṃ mānattaṃ carantassa puna parivattati, pakkhamānattameva dātabbaṃ. Ciṇṇamānattassa pana liṅgaparivatte jāte bhikkhunīhi abbhānakammaṃ kātabbaṃ. Puna parivatte ca liṅge bhikkhunibhāve ṭhitāyapi yā āpattiyo pubbe paṭippassaddhā, tā suppaṭippassaddhā evāti.

    ๒๔๘. อิโต ปรํ ปาริวาสิกาทีนํ วตฺตํ ทสฺสยิสฺสาม – ปาริวาสิเกน (จูฬว. อฎฺฐ. ๗๖) ภิกฺขุนา อุปชฺฌาเยน หุตฺวา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ, วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา ปน อุปสมฺปาเทตุํ วฎฺฎติฯ อาจริเยน หุตฺวาปิ กมฺมวาจา น สาเวตพฺพา, อญฺญสฺมิํ อสติ วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา สาเวตุํ วฎฺฎติฯ อาคนฺตุกานํ นิสฺสโย น ทาตโพฺพฯ เยหิปิ ปกติยาว นิสฺสโย คหิโต, เต วตฺตพฺพา ‘‘อหํ วินยกมฺมํ กโรมิ, อสุกเตฺถรสฺส นาม สนฺติเก นิสฺสยํ คณฺหถ, มยฺหํ วตฺตํ มา กโรถ, มา มํ คามปฺปเวสนํ อาปุจฺฉถา’’ติฯ สเจ เอวํ วุเตฺตปิ กโรนฺติเยว, วาริตกาลโต ปฎฺฐาย กโรเนฺตสุปิ อนาปตฺติฯ อโญฺญ สามเณโรปิ น คเหตโพฺพ, อุปชฺฌํ ทตฺวา คหิตสามเณโรปิ วตฺตโพฺพ ‘‘อหํ วินยกมฺมํ กโรมิ, มยฺหํ วตฺตํ มา กโรถ, มา มํ คามปฺปเวสนํ อาปุจฺฉถา’’ติฯ สเจ เอวํ วุเตฺตปิ กโรนฺติเยว, วาริตกาลโต ปฎฺฐาย กโรเนฺตสุปิ อนาปตฺติฯ น ภิกฺขุโนวาทกสมฺมุติ สาทิตพฺพา, สมฺมเตนปิ ภิกฺขุนิโย น โอวทิตพฺพา, ตสฺมา ภิกฺขุสงฺฆสฺส วตฺตพฺพํ ‘‘ภเนฺต, อหํ วินยกมฺมํ กโรมิ, ภิกฺขุโนวาทกํ ชานาถา’’ติฯ ปฎิพลสฺส วา ภิกฺขุสฺส ภาโร กาตโพฺพฯ อาคตา ภิกฺขุนิโย ‘‘สงฺฆสฺส สนฺติกํ คจฺฉถ, สโงฺฆ โว โอวาททายกํ ชานิสฺสตี’’ติ วา ‘‘อหํ วินยกมฺมํ กโรมิ, อสุกภิกฺขุสฺส นาม สนฺติกํ คจฺฉถ, โส โว โอวาทํ ทสฺสตี’’ติ วา วตฺตพฺพาฯ

    248. Ito paraṃ pārivāsikādīnaṃ vattaṃ dassayissāma – pārivāsikena (cūḷava. aṭṭha. 76) bhikkhunā upajjhāyena hutvā na upasampādetabbaṃ, vattaṃ nikkhipitvā pana upasampādetuṃ vaṭṭati. Ācariyena hutvāpi kammavācā na sāvetabbā, aññasmiṃ asati vattaṃ nikkhipitvā sāvetuṃ vaṭṭati. Āgantukānaṃ nissayo na dātabbo. Yehipi pakatiyāva nissayo gahito, te vattabbā ‘‘ahaṃ vinayakammaṃ karomi, asukattherassa nāma santike nissayaṃ gaṇhatha, mayhaṃ vattaṃ mā karotha, mā maṃ gāmappavesanaṃ āpucchathā’’ti. Sace evaṃ vuttepi karontiyeva, vāritakālato paṭṭhāya karontesupi anāpatti. Añño sāmaṇeropi na gahetabbo, upajjhaṃ datvā gahitasāmaṇeropi vattabbo ‘‘ahaṃ vinayakammaṃ karomi, mayhaṃ vattaṃ mā karotha, mā maṃ gāmappavesanaṃ āpucchathā’’ti. Sace evaṃ vuttepi karontiyeva, vāritakālato paṭṭhāya karontesupi anāpatti. Na bhikkhunovādakasammuti sāditabbā, sammatenapi bhikkhuniyo na ovaditabbā, tasmā bhikkhusaṅghassa vattabbaṃ ‘‘bhante, ahaṃ vinayakammaṃ karomi, bhikkhunovādakaṃ jānāthā’’ti. Paṭibalassa vā bhikkhussa bhāro kātabbo. Āgatā bhikkhuniyo ‘‘saṅghassa santikaṃ gacchatha, saṅgho vo ovādadāyakaṃ jānissatī’’ti vā ‘‘ahaṃ vinayakammaṃ karomi, asukabhikkhussa nāma santikaṃ gacchatha, so vo ovādaṃ dassatī’’ti vā vattabbā.

    ยาย อาปตฺติยา สเงฺฆน ปริวาโส ทิโนฺน โหติ, สา อาปตฺติ น อาปชฺชิตพฺพา, อญฺญา วา ตาทิสิกา ตโต วา ปาปิฎฺฐตรา, กมฺมํ น ครหิตพฺพํ, กมฺมิกา น ครหิตพฺพา, น ปกตตฺตสฺส ภิกฺขุโน อุโปสโถ ฐเปตโพฺพ, น ปวารณา ฐเปตพฺพา, ปลิโพธตฺถาย วา ปโกฺกสนตฺถาย วา สวจนียํ น กาตพฺพํฯ ปลิโพธตฺถาย หิ กโรโนฺต ‘‘อหํ อายสฺมนฺตํ อิมสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ สวจนียํ กโรมิ, อิมมฺหา อาวาสา ปรมฺปิ มา ปกฺกม, ยาว น ตํ อธิกรณํ วูปสนฺตํ โหตี’’ติ เอวํ กโรติ, ปโกฺกสนตฺถาย กโรโนฺต ‘‘อหํ ตํ สวจนียํ กโรมิ, เอหิ มยา สทฺธิํ วินยธรานํ สมฺมุขีภาวํ คจฺฉาหี’’ติ เอวํ กโรติ, ตทุภยมฺปิ น กาตพฺพํฯ วิหาเร เชฎฺฐกฎฺฐานํ น กาตพฺพํ, ปาติโมกฺขุเทฺทสเกน วา ธมฺมเชฺฌสเกน วา น ภวิตพฺพํ, นปิ เตรสสุ สมฺมุตีสุ เอกสมฺมุติวเสนปิ อิสฺสริยกมฺมํ กาตพฺพํ, ‘‘กโรตุ เม อายสฺมา โอกาสํ, อหํ ตํ วตฺตุกาโม’’ติ เอวํ ปกตตฺตสฺส โอกาโส น กาเรตโพฺพ, วตฺถุนา วา อาปตฺติยา วา น โจเทตโพฺพ, ‘‘อยํ เต โทโส’’ติ น สาเรตโพฺพ, ภิกฺขูหิ อญฺญมญฺญํ โยเชตฺวา กลโห น กาเรตโพฺพ, สงฺฆเตฺถเรน หุตฺวา ปกตตฺตสฺส ภิกฺขุโน ปุรโต น คนฺตพฺพํ น นิสีทิตพฺพํ, ทฺวาทสหตฺถํ อุปจารํ มุญฺจิตฺวา เอกเกเนว คนฺตพฺพเญฺจว นิสีทิตพฺพญฺจ, โย โหติ สงฺฆสฺส อาสนปริยโนฺต เสยฺยาปริยโนฺต วิหารปริยโนฺต, โส ตสฺส ทาตโพฺพฯ

    Yāya āpattiyā saṅghena parivāso dinno hoti, sā āpatti na āpajjitabbā, aññā vā tādisikā tato vā pāpiṭṭhatarā, kammaṃ na garahitabbaṃ, kammikā na garahitabbā, na pakatattassa bhikkhuno uposatho ṭhapetabbo, na pavāraṇā ṭhapetabbā, palibodhatthāya vā pakkosanatthāya vā savacanīyaṃ na kātabbaṃ. Palibodhatthāya hi karonto ‘‘ahaṃ āyasmantaṃ imasmiṃ vatthusmiṃ savacanīyaṃ karomi, imamhā āvāsā parampi mā pakkama, yāva na taṃ adhikaraṇaṃ vūpasantaṃ hotī’’ti evaṃ karoti, pakkosanatthāya karonto ‘‘ahaṃ taṃ savacanīyaṃ karomi, ehi mayā saddhiṃ vinayadharānaṃ sammukhībhāvaṃ gacchāhī’’ti evaṃ karoti, tadubhayampi na kātabbaṃ. Vihāre jeṭṭhakaṭṭhānaṃ na kātabbaṃ, pātimokkhuddesakena vā dhammajjhesakena vā na bhavitabbaṃ, napi terasasu sammutīsu ekasammutivasenapi issariyakammaṃ kātabbaṃ, ‘‘karotu me āyasmā okāsaṃ, ahaṃ taṃ vattukāmo’’ti evaṃ pakatattassa okāso na kāretabbo, vatthunā vā āpattiyā vā na codetabbo, ‘‘ayaṃ te doso’’ti na sāretabbo, bhikkhūhi aññamaññaṃ yojetvā kalaho na kāretabbo, saṅghattherena hutvā pakatattassa bhikkhuno purato na gantabbaṃ na nisīditabbaṃ, dvādasahatthaṃ upacāraṃ muñcitvā ekakeneva gantabbañceva nisīditabbañca, yo hoti saṅghassa āsanapariyanto seyyāpariyanto vihārapariyanto, so tassa dātabbo.

    ตตฺถ อาสนปริยโนฺต นาม ภตฺตคฺคาทีสุ สงฺฆนวกาสนํ, สฺวสฺส ทาตโพฺพ, ตตฺถ นิสีทิตพฺพํฯ เสยฺยาปริยโนฺต นาม เสยฺยานํ ปริยโนฺต สพฺพลามกํ มญฺจปีฐํฯ อยญฺหิ วสฺสเคฺคน อตฺตโน ปตฺตฎฺฐาเน เสยฺยํ คเหตุํ น ลภติ, สพฺพภิกฺขูหิ วิจินิตฺวา คหิตาวเสสา มงฺคุลคูถภริตา เวตฺตลตาทิวินทฺธา ลามกเสยฺยาวสฺส ทาตพฺพาฯ ยถา จ เสยฺยา, เอวํ วสนอาวาโสปิ วสฺสเคฺคน อตฺตโน ปตฺตฎฺฐาเน ตสฺส น วฎฺฎติ, สพฺพภิกฺขูหิ วิจินิตฺวา คหิตาวเสสา ปน รโชหตภูมิ ชตุกมูสิกภริตา ปณฺณสาลา อสฺส ทาตพฺพาฯ สเจ ปกตตฺตา สเพฺพ รุกฺขมูลิกา อโพฺภกาสิกา จ โหนฺติ, ฉนฺนํ น อุเปนฺติ, สเพฺพปิ เอเตหิ วิสฺสฎฺฐาวาสา นาม โหนฺติ, เตสุ ยํ อิจฺฉติ, ตํ ลภติฯ

    Tattha āsanapariyanto nāma bhattaggādīsu saṅghanavakāsanaṃ, svassa dātabbo, tattha nisīditabbaṃ. Seyyāpariyanto nāma seyyānaṃ pariyanto sabbalāmakaṃ mañcapīṭhaṃ. Ayañhi vassaggena attano pattaṭṭhāne seyyaṃ gahetuṃ na labhati, sabbabhikkhūhi vicinitvā gahitāvasesā maṅgulagūthabharitā vettalatādivinaddhā lāmakaseyyāvassa dātabbā. Yathā ca seyyā, evaṃ vasanaāvāsopi vassaggena attano pattaṭṭhāne tassa na vaṭṭati, sabbabhikkhūhi vicinitvā gahitāvasesā pana rajohatabhūmi jatukamūsikabharitā paṇṇasālā assa dātabbā. Sace pakatattā sabbe rukkhamūlikā abbhokāsikā ca honti, channaṃ na upenti, sabbepi etehi vissaṭṭhāvāsā nāma honti, tesu yaṃ icchati, taṃ labhati.

    วสฺสูปนายิกทิวเส ปจฺจยํ เอกปเสฺส ฐตฺวา วสฺสเคฺคน คณฺหิตุํ ลภติ, เสนาสนํ น ลภติ, นิพทฺธวสฺสาวาสิกํ เสนาสนํ คณฺหิตุ กาเมน วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา คเหตพฺพํฯ ญาติปวาริตฎฺฐาเน ‘‘เอตฺตเก ภิกฺขู คเหตฺวา อาคจฺฉถา’’ติ นิมนฺติเตน ‘‘ภเนฺต, อสุกํ นาม กุลํ ภิกฺขู นิมเนฺตสิ, เอถ, ตตฺถ คจฺฉามา’’ติ เอวํ สํวิธาย ภิกฺขูนํ ปุเรสมเณน วา ปจฺฉาสมเณน วา หุตฺวา กุลานิ น อุปสงฺกมิตพฺพานิ, ‘‘ภเนฺต, อสุกสฺมิํ นาม คาเม มนุสฺสา ภิกฺขูนํ อาคมนํ อิจฺฉนฺติ, สาธุ วตสฺส, สเจ เตสํ สงฺคหํ กเรยฺยาถา’’ติ เอวํ ปนสฺส วินยปริยาเยน กเถตุํ วฎฺฎติฯ อาคตาคตานํ อาโรเจตุํ หรายมาเนน อารญฺญิกธุตงฺคํ น สมาทาตพฺพํฯ เยนปิ ปกติยา สมาทินฺนํ, เตน ทุติยํ ภิกฺขุํ คเหตฺวา อรเญฺญ อรุณํ อุฎฺฐาเปตพฺพํ, น เอกเกน วตฺถพฺพํฯ ตถา ภตฺตคฺคาทีสุ อาสนปริยเนฺต นิสชฺชาย หรายมาเนน ปิณฺฑปาติกธุตงฺคมฺปิ น สมาทาตพฺพํฯ โย ปน ปกติยาว ปิณฺฑปาติโก, ตสฺส ปฎิเสโธ นตฺถิ, น จ ตปฺปจฺจยา ปิณฺฑปาโต นีหราเปตโพฺพ ‘‘มา มํ ชานิํสู’’ติฯ นีหฎภโตฺต หุตฺวา วิหาเรเยว นิสีทิตฺวา ภุญฺชโนฺต ‘‘รตฺติโย คณยิสฺสามิ, คจฺฉโต เม ภิกฺขุํ ทิสฺวา อนาโรเจนฺตสฺส รตฺติเจฺฉโท สิยา’’ติ อิมินา การเณน ปิณฺฑปาโต น นีหราเปตโพฺพ, ‘‘มา มํ เอกภิกฺขุปิ ชานาตู’’ติ จ อิมินา อชฺฌาสเยน วิหาเร สามเณเรหิ ปจาเปตฺวา ภุญฺชิตุมฺปิ น ลภติ, คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิตพฺพเมวฯ คิลานสฺส ปน นวกมฺมอาจริยุปชฺฌายกิจฺจาทิปสุตสฺส วา วิหาเรเยว อจฺฉิตุํ วฎฺฎติฯ

    Vassūpanāyikadivase paccayaṃ ekapasse ṭhatvā vassaggena gaṇhituṃ labhati, senāsanaṃ na labhati, nibaddhavassāvāsikaṃ senāsanaṃ gaṇhitu kāmena vattaṃ nikkhipitvā gahetabbaṃ. Ñātipavāritaṭṭhāne ‘‘ettake bhikkhū gahetvā āgacchathā’’ti nimantitena ‘‘bhante, asukaṃ nāma kulaṃ bhikkhū nimantesi, etha, tattha gacchāmā’’ti evaṃ saṃvidhāya bhikkhūnaṃ puresamaṇena vā pacchāsamaṇena vā hutvā kulāni na upasaṅkamitabbāni, ‘‘bhante, asukasmiṃ nāma gāme manussā bhikkhūnaṃ āgamanaṃ icchanti, sādhu vatassa, sace tesaṃ saṅgahaṃ kareyyāthā’’ti evaṃ panassa vinayapariyāyena kathetuṃ vaṭṭati. Āgatāgatānaṃ ārocetuṃ harāyamānena āraññikadhutaṅgaṃ na samādātabbaṃ. Yenapi pakatiyā samādinnaṃ, tena dutiyaṃ bhikkhuṃ gahetvā araññe aruṇaṃ uṭṭhāpetabbaṃ, na ekakena vatthabbaṃ. Tathā bhattaggādīsu āsanapariyante nisajjāya harāyamānena piṇḍapātikadhutaṅgampi na samādātabbaṃ. Yo pana pakatiyāva piṇḍapātiko, tassa paṭisedho natthi, na ca tappaccayā piṇḍapāto nīharāpetabbo ‘‘mā maṃ jāniṃsū’’ti. Nīhaṭabhatto hutvā vihāreyeva nisīditvā bhuñjanto ‘‘rattiyo gaṇayissāmi, gacchato me bhikkhuṃ disvā anārocentassa ratticchedo siyā’’ti iminā kāraṇena piṇḍapāto na nīharāpetabbo, ‘‘mā maṃ ekabhikkhupi jānātū’’ti ca iminā ajjhāsayena vihāre sāmaṇerehi pacāpetvā bhuñjitumpi na labhati, gāmaṃ piṇḍāya pavisitabbameva. Gilānassa pana navakammaācariyupajjhāyakiccādipasutassa vā vihāreyeva acchituṃ vaṭṭati.

    สเจปิ คาเม อเนกสตา ภิกฺขู วิจรนฺติ, น สกฺกา โหติ อาโรเจตุํ, คามกาวาสํ คนฺตฺวา สภาคฎฺฐาเน วสิตุํ วฎฺฎติฯ ยสฺมา ‘‘ปาริวาสิเกน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา อาคนฺตุเกน อาโรเจตพฺพํ, อาคนฺตุกสฺส อาโรเจตพฺพํ, อุโปสเถ อาโรเจตพฺพํ, ปวารณาย อาโรเจตพฺพํ, สเจ คิลาโน โหติ, ทูเตนปิ อาโรเจตพฺพ’’นฺติ (จูฬว. ๗๖) วุตฺตํ , ตสฺมา กญฺจิ วิหารํ คเตน อาคนฺตุเกน ตตฺถ ภิกฺขูนํ อาโรเจตพฺพํฯ สเจ สเพฺพ เอกฎฺฐาเน ฐิเต ปสฺสติ, เอกฎฺฐาเน ฐิเตเนว อาโรเจตพฺพํฯ อถ รุกฺขมูลาทีสุ วิสุํ ฐิตา โหนฺติ, ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา อาโรเจตพฺพํ, สญฺจิจฺจ อนาโรเจนฺตสฺส รตฺติเจฺฉโท จ โหติ, วตฺตเภเท จ ทุกฺกฎํฯ อถ วิจินโนฺต เอกเจฺจ น ปสฺสติ, รตฺติเจฺฉโทว โหติ, น วตฺตเภเท ทุกฺกฎํฯ

    Sacepi gāme anekasatā bhikkhū vicaranti, na sakkā hoti ārocetuṃ, gāmakāvāsaṃ gantvā sabhāgaṭṭhāne vasituṃ vaṭṭati. Yasmā ‘‘pārivāsikena, bhikkhave, bhikkhunā āgantukena ārocetabbaṃ, āgantukassa ārocetabbaṃ, uposathe ārocetabbaṃ, pavāraṇāya ārocetabbaṃ, sace gilāno hoti, dūtenapi ārocetabba’’nti (cūḷava. 76) vuttaṃ , tasmā kañci vihāraṃ gatena āgantukena tattha bhikkhūnaṃ ārocetabbaṃ. Sace sabbe ekaṭṭhāne ṭhite passati, ekaṭṭhāne ṭhiteneva ārocetabbaṃ. Atha rukkhamūlādīsu visuṃ ṭhitā honti, tattha tattha gantvā ārocetabbaṃ, sañcicca anārocentassa ratticchedo ca hoti, vattabhede ca dukkaṭaṃ. Atha vicinanto ekacce na passati, ratticchedova hoti, na vattabhede dukkaṭaṃ.

    อาคนฺตุกสฺสปิ อตฺตโน วสนวิหารํ อาคตสฺส เอกสฺส วา พหูนํ วา วุตฺตนเยเนว อาโรเจตพฺพํ, รตฺติเจฺฉทวตฺตเภทาปิ เจตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ สเจ อาคนฺตุกา มุหุตฺตํ วิสฺสมิตฺวา วา อวิสฺสมิตฺวา เอว วา วิหารมเชฺฌน คจฺฉนฺติ, เตสมฺปิ อาโรเจตพฺพํฯ สเจ ตสฺส อชานนฺตเสฺสว คจฺฉนฺติ, อยญฺจ คตกาเล ชานาติ, คนฺตฺวา อาโรเจตพฺพํ, สมฺปาปุณิตุํ วา สาเวตุํ วา อสโกฺกนฺตสฺส รตฺติเจฺฉโทว โหติ, น วตฺตเภเท ทุกฺกฎํฯ เยปิ อโนฺตวิหารํ อปฺปวิสิตฺวา อุปจารสีมํ โอกฺกมิตฺวา คจฺฉนฺติ, อยญฺจ เนสํ ฉตฺตสทฺทํ วา อุกฺกาสิตสทฺทํ วา ขิปิตสทฺทํ วา สุตฺวา อาคนฺตุกภาวํ ชานาติ, คนฺตฺวา อาโรเจตพฺพํ, คตกาเล ชานเนฺตนปิ อนุพนฺธิตฺวา อาโรเจตพฺพเมว, สมฺปาปุณิตุํ อสโกฺกนฺตสฺส รตฺติเจฺฉโทว โหติ, น วตฺตเภเท ทุกฺกฎํฯ โยปิ รตฺติํ อาคนฺตฺวา รตฺติํเยว คจฺฉติ, โสปิสฺส รตฺติเจฺฉทํ กโรติ, อญฺญาตตฺตา ปน วตฺตเภเท ทุกฺกฎํ นตฺถิฯ สเจ อชานิตฺวาว อพฺภานํ กโรติ, อกตเมว โหตีติ กุรุนฺทิยํ วุตฺตํ, ตสฺมา อธิกา รตฺติโย คเหตฺวา กาตพฺพํฯ อยํ อปณฺณกปฎิปทาฯ

    Āgantukassapi attano vasanavihāraṃ āgatassa ekassa vā bahūnaṃ vā vuttanayeneva ārocetabbaṃ, ratticchedavattabhedāpi cettha vuttanayeneva veditabbā. Sace āgantukā muhuttaṃ vissamitvā vā avissamitvā eva vā vihāramajjhena gacchanti, tesampi ārocetabbaṃ. Sace tassa ajānantasseva gacchanti, ayañca gatakāle jānāti, gantvā ārocetabbaṃ, sampāpuṇituṃ vā sāvetuṃ vā asakkontassa ratticchedova hoti, na vattabhede dukkaṭaṃ. Yepi antovihāraṃ appavisitvā upacārasīmaṃ okkamitvā gacchanti, ayañca nesaṃ chattasaddaṃ vā ukkāsitasaddaṃ vā khipitasaddaṃ vā sutvā āgantukabhāvaṃ jānāti, gantvā ārocetabbaṃ, gatakāle jānantenapi anubandhitvā ārocetabbameva, sampāpuṇituṃ asakkontassa ratticchedova hoti, na vattabhede dukkaṭaṃ. Yopi rattiṃ āgantvā rattiṃyeva gacchati, sopissa ratticchedaṃ karoti, aññātattā pana vattabhede dukkaṭaṃ natthi. Sace ajānitvāva abbhānaṃ karoti, akatameva hotīti kurundiyaṃ vuttaṃ, tasmā adhikā rattiyo gahetvā kātabbaṃ. Ayaṃ apaṇṇakapaṭipadā.

    นทีอาทีสุ นาวาย คจฺฉนฺตมฺปิ ปรตีเร ฐิตมฺปิ อากาเส คจฺฉนฺตมฺปิ ปพฺพตตลอรญฺญาทีสุ ทูเร ฐิตมฺปิ ภิกฺขุํ ทิสฺวา สเจ ‘‘ภิกฺขู’’ติ ววตฺถานํ อตฺถิ, นาวาทีหิ คนฺตฺวา วา มหาสทฺทํ กตฺวา วา เวเคน อนุพนฺธิตฺวา วา อาโรเจตพฺพํ, อนาโรเจนฺตสฺส รตฺติเจฺฉโท เจว วตฺตเภเท ทุกฺกฎญฺจฯ สเจ วายมโนฺตปิ สมฺปาปุณิตุํ วา สาเวตุํ วา น สโกฺกติ, รตฺติเจฺฉโทว โหติ, น วตฺตเภเท ทุกฺกฎํฯ สงฺฆเสนาภยเตฺถโร ปน วิสยาวิสเยน กเถติ ‘‘วิสเย กิร อนาโรเจนฺตสฺส รตฺติเจฺฉโท เจว วตฺตเภเท ทุกฺกฎญฺจ โหติ, อวิสเย ปน อุภยมฺปิ นตฺถี’’ติฯ กรวีกติสฺสเตฺถโร ‘‘สมโณ อยนฺติ ววตฺถานเมว ปมาณํฯ สเจปิ อวิสโย โหติ, วตฺตเภเท ทุกฺกฎเมว นตฺถิ, รตฺติเจฺฉโท ปน โหติเยวา’’ติ อาหฯ

    Nadīādīsu nāvāya gacchantampi paratīre ṭhitampi ākāse gacchantampi pabbatatalaaraññādīsu dūre ṭhitampi bhikkhuṃ disvā sace ‘‘bhikkhū’’ti vavatthānaṃ atthi, nāvādīhi gantvā vā mahāsaddaṃ katvā vā vegena anubandhitvā vā ārocetabbaṃ, anārocentassa ratticchedo ceva vattabhede dukkaṭañca. Sace vāyamantopi sampāpuṇituṃ vā sāvetuṃ vā na sakkoti, ratticchedova hoti, na vattabhede dukkaṭaṃ. Saṅghasenābhayatthero pana visayāvisayena katheti ‘‘visaye kira anārocentassa ratticchedo ceva vattabhede dukkaṭañca hoti, avisaye pana ubhayampi natthī’’ti. Karavīkatissatthero ‘‘samaṇo ayanti vavatthānameva pamāṇaṃ. Sacepi avisayo hoti, vattabhede dukkaṭameva natthi, ratticchedo pana hotiyevā’’ti āha.

    อุโปสถทิวเส ‘‘อุโปสถํ สมฺปาปุณิสฺสามา’’ติ อาคนฺตุกา ภิกฺขู อาคจฺฉนฺติ, อิทฺธิยา คจฺฉนฺตาปิ อุโปสถภาวํ ญตฺวา โอตริตฺวา อุโปสถํ กโรนฺติ, ตสฺมา อาคนฺตุกโสธนตฺถํ อุโปสถทิวเสปิ อาโรเจตพฺพํฯ ปวารณายปิ เอเสว นโยฯ คนฺตุํ อสมเตฺถน คิลาเนน ภิกฺขุํ เปเสตฺวา อาโรจาเปตพฺพํ, อนุปสมฺปนฺนํ เปเสตุํ น วฎฺฎติฯ

    Uposathadivase ‘‘uposathaṃ sampāpuṇissāmā’’ti āgantukā bhikkhū āgacchanti, iddhiyā gacchantāpi uposathabhāvaṃ ñatvā otaritvā uposathaṃ karonti, tasmā āgantukasodhanatthaṃ uposathadivasepi ārocetabbaṃ. Pavāraṇāyapi eseva nayo. Gantuṃ asamatthena gilānena bhikkhuṃ pesetvā ārocāpetabbaṃ, anupasampannaṃ pesetuṃ na vaṭṭati.

    น ปาริวาสิเกน ภิกฺขุนา สภิกฺขุกา อาวาสา วา อนาวาสา วา อภิกฺขุโก นานาสํวาสเกหิ วา สภิกฺขุโก อาวาโส วา อนาวาโส วา คนฺตโพฺพ อญฺญตฺร ปกตเตฺตน อญฺญตฺร อนฺตรายาฯ ยตฺถ หิ เอโกปิ ภิกฺขุ นตฺถิ, ตตฺถ น วสิตพฺพํฯ น หิ ตตฺถ วุตฺถรตฺติโย คณนูปิกา โหนฺติฯ ทสวิเธ อนฺตราเย ปน สเจปิ รตฺติโย คณนูปิกา น โหนฺติ, อนฺตรายโต ปริมุจฺจนตฺถาย คนฺตพฺพเมวฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อญฺญตฺร อนฺตรายา’’ติฯ นานาสํวาสเกหิ สทฺธิํ วินยกมฺมํ กาตุํ น วฎฺฎติ, เตสํ อนาโรจเนปิ รตฺติเจฺฉโท นตฺถิ, อภิกฺขุกาวาสสทิสเมว โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘นานาสํวาสเกหิ วา สภิกฺขุโก’’ติฯ

    Na pārivāsikena bhikkhunā sabhikkhukā āvāsā vā anāvāsā vā abhikkhuko nānāsaṃvāsakehi vā sabhikkhuko āvāso vā anāvāso vā gantabbo aññatra pakatattena aññatra antarāyā. Yattha hi ekopi bhikkhu natthi, tattha na vasitabbaṃ. Na hi tattha vuttharattiyo gaṇanūpikā honti. Dasavidhe antarāye pana sacepi rattiyo gaṇanūpikā na honti, antarāyato parimuccanatthāya gantabbameva. Tena vuttaṃ ‘‘aññatra antarāyā’’ti. Nānāsaṃvāsakehi saddhiṃ vinayakammaṃ kātuṃ na vaṭṭati, tesaṃ anārocanepi ratticchedo natthi, abhikkhukāvāsasadisameva hoti. Tena vuttaṃ ‘‘nānāsaṃvāsakehi vā sabhikkhuko’’ti.

    น ปาริวาสิเกน ภิกฺขุนา ปกตเตฺตน ภิกฺขุนา สทฺธิํ เอกจฺฉเนฺน อาวาเส วา อนาวาเส วา วตฺถพฺพํฯ ตตฺถ อาวาโส นาม วสนตฺถาย กตเสนาสนํฯ อนาวาโส นาม เจติยฆรํ โพธิฆรํ สมฺมุญฺชนีอฎฺฎโก ทารุอฎฺฎโก ปานียมาโฬ วจฺจกุฎิ ทฺวารโกฎฺฐโกติ เอวมาทิฯ ‘‘เอเตสุ ยตฺถ กตฺถจิ เอกจฺฉเนฺน ฉทนโต อุทกปตนฎฺฐานปริจฺฉิเนฺน โอกาเส อุกฺขิตฺตโกว วสิตุํ น ลภติ, ปาริวาสิโก ปน อโนฺตอาวาเสเยว น ลภตี’’ติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ มหาอฎฺฐกถายํ อวิเสเสน ‘‘อุทกปาเตน วาริต’’นฺติ วุตฺตํฯ กุรุนฺทิยํ ปน ‘‘เอเตสุ เอตฺตเกสุ ปญฺจวณฺณจฺฉทนพทฺธฎฺฐาเนสุ ปาริวาสิกสฺส จ อุกฺขิตฺตกสฺส จ ปกตเตฺตน สทฺธิํ อุทกปาเตน วาริต’’นฺติ วุตฺตํฯ ตสฺมา นานูปจาเรปิ เอกจฺฉเนฺน น วฎฺฎติฯ สเจ ปเนตฺถ ตทหุปสมฺปเนฺนปิ ปกตเตฺต ปฐมํ ปวิสิตฺวา นิปเนฺนปิ สฎฺฐิวสฺสิโกปิ ปาริวาสิโก ปจฺฉา ปวิสิตฺวา ชานโนฺต นิปชฺชติ, รตฺติเจฺฉโท เจว วตฺตเภเท ทุกฺกฎญฺจ, อชานนฺตสฺส รตฺติเจฺฉโทว, น วตฺตเภเท ทุกฺกฎํฯ สเจ ปน ตสฺมิํ นิสิเนฺน ปจฺฉา ปกตโตฺต ปวิสิตฺวา นิปชฺชติ, ปาริวาสิโก จ ชานาติ, รตฺติเจฺฉโท เจว วตฺตเภเท ทุกฺกฎญฺจฯ โน เจ ชานาติ, รตฺติเจฺฉโทว, น วตฺตเภเท ทุกฺกฎํฯ

    Na pārivāsikena bhikkhunā pakatattena bhikkhunā saddhiṃ ekacchanne āvāse vā anāvāse vā vatthabbaṃ. Tattha āvāso nāma vasanatthāya katasenāsanaṃ. Anāvāso nāma cetiyagharaṃ bodhigharaṃ sammuñjanīaṭṭako dāruaṭṭako pānīyamāḷo vaccakuṭi dvārakoṭṭhakoti evamādi. ‘‘Etesu yattha katthaci ekacchanne chadanato udakapatanaṭṭhānaparicchinne okāse ukkhittakova vasituṃ na labhati, pārivāsiko pana antoāvāseyeva na labhatī’’ti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ. Mahāaṭṭhakathāyaṃ avisesena ‘‘udakapātena vārita’’nti vuttaṃ. Kurundiyaṃ pana ‘‘etesu ettakesu pañcavaṇṇacchadanabaddhaṭṭhānesu pārivāsikassa ca ukkhittakassa ca pakatattena saddhiṃ udakapātena vārita’’nti vuttaṃ. Tasmā nānūpacārepi ekacchanne na vaṭṭati. Sace panettha tadahupasampannepi pakatatte paṭhamaṃ pavisitvā nipannepi saṭṭhivassikopi pārivāsiko pacchā pavisitvā jānanto nipajjati, ratticchedo ceva vattabhede dukkaṭañca, ajānantassa ratticchedova, na vattabhede dukkaṭaṃ. Sace pana tasmiṃ nisinne pacchā pakatatto pavisitvā nipajjati, pārivāsiko ca jānāti, ratticchedo ceva vattabhede dukkaṭañca. No ce jānāti, ratticchedova, na vattabhede dukkaṭaṃ.

    ปาริวาสิเกน ภิกฺขุนา ปกตตฺตํ ภิกฺขุํ ตทหุปสมฺปนฺนมฺปิ ทิสฺวา อาสนา วุฎฺฐาตพฺพํ, วุฎฺฐาย จ ‘‘อหํ อิมินา สุขนิสิโนฺน วุฎฺฐาปิโต’’ติ ปรมฺมุเขนปิ น คนฺตพฺพํ, ‘‘อิทํ อาจริย อาสนํ, เอตฺถ นิสีทถา’’ติ เอวํ ปกตโตฺต ภิกฺขุ อาสเนน นิมเนฺตตโพฺพเยวฯ นวเกน ปน ‘‘มหาเถรํ โอพทฺธํ กโรมี’’ติ ปาริวาสิกเตฺถรสฺส สนฺติกํ น คนฺตพฺพํฯ ปาริวาสิเกน ปกตเตฺตน ภิกฺขุนา สทฺธิํ น เอกาสเน นิสีทิตพฺพํ, น นีเจ อาสเน นิสิเนฺน อุเจฺจ อาสเน นิสีทิตพฺพํ, น ฉมายํ นิสิเนฺน อาสเน นิสีทิตพฺพํ, ทฺวาทสหตฺถํ ปน อุปจารํ มุญฺจิตฺวา นิสีทิตุํ วฎฺฎติฯ ปาริวาสิเกน ภิกฺขุนา ปกตเตฺตน สทฺธิํ น เอกจงฺกเม จงฺกมิตพฺพํ, น นีเจ จงฺกเม จงฺกมเนฺต อุเจฺจ จงฺกเม จงฺกมิตพฺพํ, น ฉมายํ จงฺกมเนฺต จงฺกเม จงฺกมิตพฺพํฯ เอตฺถ ปน อกตปริเจฺฉทาย ภูมิยา จงฺกมเนฺต ปริเจฺฉทํ กตฺวา วาลุกํ อากิริตฺวา อาลมฺพนํ โยเชตฺวา กตจงฺกเม นีเจปิ น จงฺกมิตพฺพํ, โก ปน วาโท อิฎฺฐกจเยน สมฺปเนฺน เวทิกาปริกฺขิเตฺตฯ สเจ ปน ปาการปริกฺขิโตฺต โหติ, ทฺวารโกฎฺฐกยุโตฺต ปพฺพตนฺตรวนนฺตรคุมฺพนฺตเรสุ วา สุปฺปฎิจฺฉโนฺน, ตาทิเส จงฺกเม จงฺกมิตุํ วฎฺฎติ, อปฺปฎิจฺฉเนฺนปิ อุปจารํ มุญฺจิตฺวา วฎฺฎติฯ

    Pārivāsikena bhikkhunā pakatattaṃ bhikkhuṃ tadahupasampannampi disvā āsanā vuṭṭhātabbaṃ, vuṭṭhāya ca ‘‘ahaṃ iminā sukhanisinno vuṭṭhāpito’’ti parammukhenapi na gantabbaṃ, ‘‘idaṃ ācariya āsanaṃ, ettha nisīdathā’’ti evaṃ pakatatto bhikkhu āsanena nimantetabboyeva. Navakena pana ‘‘mahātheraṃ obaddhaṃ karomī’’ti pārivāsikattherassa santikaṃ na gantabbaṃ. Pārivāsikena pakatattena bhikkhunā saddhiṃ na ekāsane nisīditabbaṃ, na nīce āsane nisinne ucce āsane nisīditabbaṃ, na chamāyaṃ nisinne āsane nisīditabbaṃ, dvādasahatthaṃ pana upacāraṃ muñcitvā nisīdituṃ vaṭṭati. Pārivāsikena bhikkhunā pakatattena saddhiṃ na ekacaṅkame caṅkamitabbaṃ, na nīce caṅkame caṅkamante ucce caṅkame caṅkamitabbaṃ, na chamāyaṃ caṅkamante caṅkame caṅkamitabbaṃ. Ettha pana akataparicchedāya bhūmiyā caṅkamante paricchedaṃ katvā vālukaṃ ākiritvā ālambanaṃ yojetvā katacaṅkame nīcepi na caṅkamitabbaṃ, ko pana vādo iṭṭhakacayena sampanne vedikāparikkhitte. Sace pana pākāraparikkhitto hoti, dvārakoṭṭhakayutto pabbatantaravanantaragumbantaresu vā suppaṭicchanno, tādise caṅkame caṅkamituṃ vaṭṭati, appaṭicchannepi upacāraṃ muñcitvā vaṭṭati.

    ปาริวาสิเกน ภิกฺขุนา ปาริวาสิกวุฑฺฒตเรน ภิกฺขุนา สทฺธิํ มูลายปฎิกสฺสนารเหน มานตฺตารเหน มานตฺตจาริเกน อพฺภานารเหน ภิกฺขุนา สทฺธิํ น เอกจฺฉเนฺน อาวาเส วา อนาวาเส วา วตฺถพฺพํฯ เอตฺถ ปน สเจ วุฑฺฒตเร ปาริวาสิเก ปฐมํ นิปเนฺน อิตโร ชานโนฺต ปจฺฉา นิปชฺชติ, รตฺติเจฺฉโท จสฺส โหติ, วตฺตเภเท จ ทุกฺกฎํฯ วุฑฺฒตรสฺส ปน รตฺติเจฺฉโทว, น วตฺตเภเท ทุกฺกฎํฯ อชานิตฺวา นิปชฺชติ, ทฺวินฺนมฺปิ วตฺตเภโท นตฺถิ, รตฺติเจฺฉโท ปน โหติฯ อถ นวกปาริวาสิเก ปฐมํ นิปเนฺน วุฑฺฒตโร ปจฺฉา นิปชฺชติ, นวโก จ ชานาติ, รตฺติ จสฺส ฉิชฺชติ, วตฺตเภเท จ ทุกฺกฎํ โหติฯ วุฑฺฒตรสฺส รตฺติเจฺฉโทว, น วตฺตเภโทฯ โน เจ ชานาติ, ทฺวินฺนมฺปิ วตฺตเภโท นตฺถิ, รตฺติเจฺฉโท ปน โหติฯ สเจ อปจฺฉาปุริมํ นิปชฺชนฺติ, วุฑฺฒตรสฺส รตฺติเจฺฉโทว, อิตรสฺส วตฺตเภโทปีติ กุรุนฺทิยํ วุตฺตํฯ

    Pārivāsikena bhikkhunā pārivāsikavuḍḍhatarena bhikkhunā saddhiṃ mūlāyapaṭikassanārahena mānattārahena mānattacārikena abbhānārahena bhikkhunā saddhiṃ na ekacchanne āvāse vā anāvāse vā vatthabbaṃ. Ettha pana sace vuḍḍhatare pārivāsike paṭhamaṃ nipanne itaro jānanto pacchā nipajjati, ratticchedo cassa hoti, vattabhede ca dukkaṭaṃ. Vuḍḍhatarassa pana ratticchedova, na vattabhede dukkaṭaṃ. Ajānitvā nipajjati, dvinnampi vattabhedo natthi, ratticchedo pana hoti. Atha navakapārivāsike paṭhamaṃ nipanne vuḍḍhataro pacchā nipajjati, navako ca jānāti, ratti cassa chijjati, vattabhede ca dukkaṭaṃ hoti. Vuḍḍhatarassa ratticchedova, na vattabhedo. No ce jānāti, dvinnampi vattabhedo natthi, ratticchedo pana hoti. Sace apacchāpurimaṃ nipajjanti, vuḍḍhatarassa ratticchedova, itarassa vattabhedopīti kurundiyaṃ vuttaṃ.

    เทฺว ปาริวาสิกา สมวสฺสา, เอโก ปฐมํ นิปโนฺน, เอโก ชานโนฺตว ปจฺฉา นิปชฺชติ, รตฺติ จสฺส ฉิชฺชติ, วตฺตเภเท จ ทุกฺกฎํฯ ปฐมํ นิปนฺนสฺส รตฺติเจฺฉโทว, น วตฺตเภโทฯ สเจ ปจฺฉา นิปชฺชโนฺตปิ น ชานาติ, ทฺวินฺนมฺปิ วตฺตเภโท นตฺถิ, รตฺติเจฺฉโท ปน โหติฯ สเจ เทฺวปิ อปจฺฉาปุริมํ นิปชฺชนฺติ, ทฺวินฺนมฺปิ รตฺติเจฺฉโทเยว, น วตฺตเภโทฯ สเจ หิ เทฺว ปาริวาสิกา เอกโต วเสยฺยุํ, เต อญฺญมญฺญสฺส อชฺฌาจารํ ญตฺวา อคารวา วา วิปฺปฎิสาริโน วา หุตฺวา ตํ วา อาปตฺติํ อาปเชฺชยฺยุํ ตโต ปาปิฎฺฐตรํ วา, วิพฺภเมยฺยุํ วา, ตสฺมา เนสํ สหเสยฺยา สพฺพปกาเรน ปฎิกฺขิตฺตาฯ มูลายปฎิกสฺสนารหาทโย เจตฺถ ปาริวาสิกานํ ปกตตฺตฎฺฐาเน ฐิตาติ เวทิตพฺพาฯ ตสฺมา ปาริวาสิเกน ภิกฺขุนา มูลายปฎิกสฺสนารเหน มานตฺตารเหน มานตฺตจาริเกน อพฺภานารเหน ภิกฺขุนา สทฺธิํ น เอกาสเน นิสีทิตพฺพํ, น นีเจ อาสเน นิสิเนฺน อุเจฺจ อาสเน นิสีทิตพฺพํ, น ฉมาย นิสิเนฺน อาสเน นิสีทิตพฺพํ, น เอกจงฺกเม จงฺกมิตพฺพํ, น นีเจ จงฺกเม จงฺกมเนฺต อุเจฺจ จงฺกเม จงฺกมิตพฺพํ, น ฉมาย จงฺกมเนฺต จงฺกเม จงฺกมิตพฺพํฯ

    Dve pārivāsikā samavassā, eko paṭhamaṃ nipanno, eko jānantova pacchā nipajjati, ratti cassa chijjati, vattabhede ca dukkaṭaṃ. Paṭhamaṃ nipannassa ratticchedova, na vattabhedo. Sace pacchā nipajjantopi na jānāti, dvinnampi vattabhedo natthi, ratticchedo pana hoti. Sace dvepi apacchāpurimaṃ nipajjanti, dvinnampi ratticchedoyeva, na vattabhedo. Sace hi dve pārivāsikā ekato vaseyyuṃ, te aññamaññassa ajjhācāraṃ ñatvā agāravā vā vippaṭisārino vā hutvā taṃ vā āpattiṃ āpajjeyyuṃ tato pāpiṭṭhataraṃ vā, vibbhameyyuṃ vā, tasmā nesaṃ sahaseyyā sabbapakārena paṭikkhittā. Mūlāyapaṭikassanārahādayo cettha pārivāsikānaṃ pakatattaṭṭhāne ṭhitāti veditabbā. Tasmā pārivāsikena bhikkhunā mūlāyapaṭikassanārahena mānattārahena mānattacārikena abbhānārahena bhikkhunā saddhiṃ na ekāsane nisīditabbaṃ, na nīce āsane nisinne ucce āsane nisīditabbaṃ, na chamāya nisinne āsane nisīditabbaṃ, na ekacaṅkame caṅkamitabbaṃ, na nīce caṅkame caṅkamante ucce caṅkame caṅkamitabbaṃ, na chamāya caṅkamante caṅkame caṅkamitabbaṃ.

    ‘‘น, ภิกฺขเว, ปาริวาสิเกน ภิกฺขุนา สาทิตพฺพํ ปกตตฺตานํ ภิกฺขูนํ อภิวาทนํ ปจฺจุฎฺฐานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํ อาสนาภิหาโร เสยฺยาภิหาโร ปาโททกํ ปาทปีฐํ ปาทกถลิกํ ปตฺตจีวรปฎิคฺคหณํ นหาเน ปิฎฺฐิปริกมฺมํ, โย สาทิเยยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (จูฬว. ๗๕) วจนโต ปกตตฺตานํ ภิกฺขูนํ ฐเปตฺวา นวกตรํ ปาริวาสิกํ อวเสสานํ อนฺตมโส มูลายปฎิกสฺสนารหาทีนมฺปิ อภิวาทนาทิํ สาทิยนฺตสฺส ทุกฺกฎํ, สทฺธิวิหาริกานมฺปิ สาทิยนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวฯ ตสฺมา เต วตฺตพฺพา ‘‘อหํ วินยกมฺมํ กโรมิ, มยฺหํ วตฺตํ มา กโรถ, มา มํ คามปฺปเวสนํ อาปุจฺฉถา’’ติฯ สเจ สทฺธาปพฺพชิตา กุลปุตฺตา ‘‘ตุเมฺห, ภเนฺต, ตุมฺหากํ วินยกมฺมํ กโรถา’’ติ วตฺวา วตฺตํ กโรนฺติ, คามปฺปเวสนมฺปิ อาปุจฺฉนฺติเยว, วาริตกาลโต ปฎฺฐาย อนาปตฺติฯ

    ‘‘Na, bhikkhave, pārivāsikena bhikkhunā sāditabbaṃ pakatattānaṃ bhikkhūnaṃ abhivādanaṃ paccuṭṭhānaṃ añjalikammaṃ sāmīcikammaṃ āsanābhihāro seyyābhihāro pādodakaṃ pādapīṭhaṃ pādakathalikaṃ pattacīvarapaṭiggahaṇaṃ nahāne piṭṭhiparikammaṃ, yo sādiyeyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (cūḷava. 75) vacanato pakatattānaṃ bhikkhūnaṃ ṭhapetvā navakataraṃ pārivāsikaṃ avasesānaṃ antamaso mūlāyapaṭikassanārahādīnampi abhivādanādiṃ sādiyantassa dukkaṭaṃ, saddhivihārikānampi sādiyantassa dukkaṭameva. Tasmā te vattabbā ‘‘ahaṃ vinayakammaṃ karomi, mayhaṃ vattaṃ mā karotha, mā maṃ gāmappavesanaṃ āpucchathā’’ti. Sace saddhāpabbajitā kulaputtā ‘‘tumhe, bhante, tumhākaṃ vinayakammaṃ karothā’’ti vatvā vattaṃ karonti, gāmappavesanampi āpucchantiyeva, vāritakālato paṭṭhāya anāpatti.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปาริวาสิกานํ ภิกฺขูนํ มิถู ยถาวุฑฺฒํ อภิวาทนํ ปจฺจุฎฺฐานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํ อาสนาภิหารํ เสยฺยาภิหารํ ปาโททกํ ปาทปีฐํ ปาทกถลิกํ ปตฺตจีวรปฎิคฺคหณํ นหาเน ปิฎฺฐิปริกมฺม’’นฺติ (จูฬว. ๗๕) วจนโต ปน ปาริวาสิกานํ ภิกฺขูนํ อญฺญมญฺญํ โย โย วุโฑฺฒ, เตน เตน นวกตรสฺส อภิวาทนาทิํ สาทิตุํ วฎฺฎติฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pārivāsikānaṃ bhikkhūnaṃ mithū yathāvuḍḍhaṃ abhivādanaṃ paccuṭṭhānaṃ añjalikammaṃ sāmīcikammaṃ āsanābhihāraṃ seyyābhihāraṃ pādodakaṃ pādapīṭhaṃ pādakathalikaṃ pattacīvarapaṭiggahaṇaṃ nahāne piṭṭhiparikamma’’nti (cūḷava. 75) vacanato pana pārivāsikānaṃ bhikkhūnaṃ aññamaññaṃ yo yo vuḍḍho, tena tena navakatarassa abhivādanādiṃ sādituṃ vaṭṭati.

    ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ปาริวาสิกานํ ภิกฺขูนํ ปญฺจ ยถาวุฑฺฒํ อุโปสถํ ปวารณํ วสฺสิกสาฎิกํ โอโณชนํ ภตฺต’’นฺติ (จูฬว. ๗๕) วจนโต อิมานิ อุโปสถาทีนิ ปญฺจ ปกตเตฺตหิปิ สทฺธิํ วุฑฺฒปฎิปาฎิยา กาตุํ วฎฺฎติ, ตสฺมา (จูฬว. อฎฺฐ. ๗๕) ปาติโมเกฺข อุทฺทิสฺสมาเน หตฺถปาเส นิสีทิตุํ วฎฺฎติฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘ปาฬิยา อนิสีทิตฺวา ปาฬิํ วิหาย หตฺถปาสํ อมุญฺจเนฺตน นิสีทิตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ ปาริสุทฺธิอุโปสเถ กริยมาเน สงฺฆนวกฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา ตเตฺถว นิสิเนฺนน อตฺตโน ปาฬิยา ปาริสุทฺธิอุโปสโถ กาตโพฺพฯ ปวารณายปิ สงฺฆนวกฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา ตเตฺถว นิสิเนฺนน อตฺตโน ปาฬิยา ปวาเรตพฺพํฯ สเงฺฆน ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา ภาชิยมานํ วสฺสิกสาฎิกมฺปิ อตฺตโน ปตฺตฎฺฐาเน คเหตุํ วฎฺฎติฯ

    ‘‘Anujānāmi, bhikkhave, pārivāsikānaṃ bhikkhūnaṃ pañca yathāvuḍḍhaṃ uposathaṃ pavāraṇaṃ vassikasāṭikaṃ oṇojanaṃ bhatta’’nti (cūḷava. 75) vacanato imāni uposathādīni pañca pakatattehipi saddhiṃ vuḍḍhapaṭipāṭiyā kātuṃ vaṭṭati, tasmā (cūḷava. aṭṭha. 75) pātimokkhe uddissamāne hatthapāse nisīdituṃ vaṭṭati. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘pāḷiyā anisīditvā pāḷiṃ vihāya hatthapāsaṃ amuñcantena nisīditabba’’nti vuttaṃ. Pārisuddhiuposathe kariyamāne saṅghanavakaṭṭhāne nisīditvā tattheva nisinnena attano pāḷiyā pārisuddhiuposatho kātabbo. Pavāraṇāyapi saṅghanavakaṭṭhāne nisīditvā tattheva nisinnena attano pāḷiyā pavāretabbaṃ. Saṅghena ghaṇṭiṃ paharitvā bhājiyamānaṃ vassikasāṭikampi attano pattaṭṭhāne gahetuṃ vaṭṭati.

    โอโณชนนฺติ วิสฺสชฺชนํ วุจฺจติฯ สเจ หิ ปาริวาสิกสฺส เทฺว ตีณิ อุเทฺทสภตฺตาทีนิ ปาปุณนฺติ, อญฺญา จสฺส ปุคฺคลิกภตฺตปจฺจาสา โหติ, ตานิ ปฎิปาฎิยา คเหตฺวา ‘‘ภเนฺต, เหฎฺฐา คาเหถ, อชฺช มยฺหํ ภตฺตปจฺจาสา อตฺถิ, เสฺวว คณฺหิสฺสามี’’ติ วตฺวา วิสฺสเชฺชตพฺพานิฯ เอวํ ตานิ ปุนทิวเสสุ คณฺหิตุํ ลภติฯ ‘‘ปุนทิวเส สพฺพปฐมํ ตสฺส ทาตพฺพ’’นฺติ กุรุนฺทิยํ วุตฺตํฯ ยทิ ปน น คณฺหาติ น วิสฺสเชฺชติ, ปุนทิวเส น ลภติฯ อิทํ โอโณชนํ นาม ปาริวาสิกเสฺสว โอทิสฺส อนุญฺญาตํฯ กสฺมา? ตสฺส หิ สงฺฆนวกฎฺฐาเน นิสินฺนสฺส ภตฺตเคฺค ยาคุขชฺชกาทีนิ ปาปุณนฺติ วา น วา, ตสฺมา ‘‘โส ภิกฺขาหาเรน มา กิลมิตฺถา’’ติ อิทมสฺส สงฺคหกรณตฺถาย โอทิสฺส อนุญฺญาตํฯ

    Oṇojananti vissajjanaṃ vuccati. Sace hi pārivāsikassa dve tīṇi uddesabhattādīni pāpuṇanti, aññā cassa puggalikabhattapaccāsā hoti, tāni paṭipāṭiyā gahetvā ‘‘bhante, heṭṭhā gāhetha, ajja mayhaṃ bhattapaccāsā atthi, sveva gaṇhissāmī’’ti vatvā vissajjetabbāni. Evaṃ tāni punadivasesu gaṇhituṃ labhati. ‘‘Punadivase sabbapaṭhamaṃ tassa dātabba’’nti kurundiyaṃ vuttaṃ. Yadi pana na gaṇhāti na vissajjeti, punadivase na labhati. Idaṃ oṇojanaṃ nāma pārivāsikasseva odissa anuññātaṃ. Kasmā? Tassa hi saṅghanavakaṭṭhāne nisinnassa bhattagge yāgukhajjakādīni pāpuṇanti vā na vā, tasmā ‘‘so bhikkhāhārena mā kilamitthā’’ti idamassa saṅgahakaraṇatthāya odissa anuññātaṃ.

    ภตฺตนฺติ อาคตาคเตหิ วุฑฺฒปฎิปาฎิยา คเหตฺวา คนฺตพฺพํ วิหาเร สงฺฆสฺส จตุสฺสาลภตฺตํฯ เอตํ ยถาวุฑฺฒํ ลภติ, ปาฬิยา ปน คนฺตุํ วา ฐาตุํ วา น ลภติ, ตสฺมา ปาฬิโต โอสกฺกิตฺวา หตฺถปาเส ฐิเตน หตฺถํ ปสาเรตฺวา ยถา เสโน นิปติตฺวา คณฺหาติ, เอวํ คณฺหิตพฺพํฯ อารามิกสมณุเทฺทเสหิ อาหราเปตุํ น ลภติฯ สเจ สยเมว อาหรนฺติ, วฎฺฎติฯ รโญฺญ มหาเปฬภเตฺตปิ เอเสว นโยฯ จตุสฺสาลภเตฺต ปน สเจ โอโณชนํ กตฺตุกาโม โหติ, อตฺตโน อตฺถาย อุกฺขิเตฺต ปิเณฺฑ ‘‘อชฺช เม ภตฺตํ อตฺถิ, เสฺวว คณฺหิสฺสามี’’ติ วตฺตพฺพํฯ ‘‘ปุนทิวเส เทฺว ปิเณฺฑ ลภตี’’ติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ อุเทฺทสภตฺตาทีนิปิ ปาฬิโต โอสกฺกิตฺวาว คเหตพฺพานิ, ยตฺถ ปน นิสีทาเปตฺวา ปริวิสนฺติ, ตตฺถ สามเณรานํ เชฎฺฐเกน, ภิกฺขูนํ สงฺฆนวเกน หุตฺวา นิสีทิตพฺพํฯ อิทํ ปาริวาสิกวตฺตํฯ

    Bhattanti āgatāgatehi vuḍḍhapaṭipāṭiyā gahetvā gantabbaṃ vihāre saṅghassa catussālabhattaṃ. Etaṃ yathāvuḍḍhaṃ labhati, pāḷiyā pana gantuṃ vā ṭhātuṃ vā na labhati, tasmā pāḷito osakkitvā hatthapāse ṭhitena hatthaṃ pasāretvā yathā seno nipatitvā gaṇhāti, evaṃ gaṇhitabbaṃ. Ārāmikasamaṇuddesehi āharāpetuṃ na labhati. Sace sayameva āharanti, vaṭṭati. Rañño mahāpeḷabhattepi eseva nayo. Catussālabhatte pana sace oṇojanaṃ kattukāmo hoti, attano atthāya ukkhitte piṇḍe ‘‘ajja me bhattaṃ atthi, sveva gaṇhissāmī’’ti vattabbaṃ. ‘‘Punadivase dve piṇḍe labhatī’’ti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ. Uddesabhattādīnipi pāḷito osakkitvāva gahetabbāni, yattha pana nisīdāpetvā parivisanti, tattha sāmaṇerānaṃ jeṭṭhakena, bhikkhūnaṃ saṅghanavakena hutvā nisīditabbaṃ. Idaṃ pārivāsikavattaṃ.

    มูลายปฎิกสฺสนารหานํ มานตฺตารหานํ มานตฺตจาริกานํ อพฺภานารหานญฺจ อิทเมว วตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ มานตฺตจาริกสฺส วเตฺต ปน ‘‘เทวสิกํ อาโรเจตพฺพ’’นฺติ วิเสโสฯ รตฺติเจฺฉเทสุ จ ‘‘ตโย โข, อุปาลิ, ปาริวาสิกสฺส ภิกฺขุโน รตฺติเจฺฉทา, สหวาโส วิปฺปวาโส อนาโรจนา’’ติ (จูฬว. ๘๓) วจนโต ยฺวายํ ‘‘ปกตเตฺตน ภิกฺขุนา สทฺธิํ เอกจฺฉเนฺน’’ติอาทินา นเยน วุโตฺต สหวาโส, โย จ เอกเสฺสว วาโส, ยา จายํ อาคนฺตุกาทีนํ อนาโรจนา, เอเตสุ ตีสุ เอเกนปิ การเณน ปาริวาสิกสฺส ภิกฺขุโน รตฺติเจฺฉโท โหติฯ

    Mūlāyapaṭikassanārahānaṃ mānattārahānaṃ mānattacārikānaṃ abbhānārahānañca idameva vattanti veditabbaṃ. Mānattacārikassa vatte pana ‘‘devasikaṃ ārocetabba’’nti viseso. Ratticchedesu ca ‘‘tayo kho, upāli, pārivāsikassa bhikkhuno ratticchedā, sahavāso vippavāso anārocanā’’ti (cūḷava. 83) vacanato yvāyaṃ ‘‘pakatattena bhikkhunā saddhiṃ ekacchanne’’tiādinā nayena vutto sahavāso, yo ca ekasseva vāso, yā cāyaṃ āgantukādīnaṃ anārocanā, etesu tīsu ekenapi kāraṇena pārivāsikassa bhikkhuno ratticchedo hoti.

    มานตฺตจาริกสฺส ปน ‘‘จตฺตาโร โข, อุปาลิ, มานตฺตจาริกสฺส ภิกฺขุโน รตฺติเจฺฉทา, สหวาโส, วิปฺปวาโส, อนาโรจนา, อูเน คเณ จรณ’’นฺติ วจนโต อิเมสุ จตูสุ การเณสุ เอเกนปิ รตฺติเจฺฉโท โหติฯ คโณติ เจตฺถ จตฺตาโร วา อติเรกา วาฯ ตสฺมา สเจปิ ตีหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ วสติ, รตฺติเจฺฉโท โหติเยวฯ

    Mānattacārikassa pana ‘‘cattāro kho, upāli, mānattacārikassa bhikkhuno ratticchedā, sahavāso, vippavāso, anārocanā, ūne gaṇe caraṇa’’nti vacanato imesu catūsu kāraṇesu ekenapi ratticchedo hoti. Gaṇoti cettha cattāro vā atirekā vā. Tasmā sacepi tīhi bhikkhūhi saddhiṃ vasati, ratticchedo hotiyeva.

    อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห

    Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe

    ครุกาปตฺติวุฎฺฐานวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ

    Garukāpattivuṭṭhānavinicchayakathā samattā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact